Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
Six
พระอาทิตย์อัสดงลับขอบฟ้าอีกฝากของท้องน้ำทะเลอันไพศาลสุดลูกตา แสงสีทองระบายบนผืนน้ำหากเป็นจริงดังตาเห็นนี่อาจจะเป็นสิ่งที่มีมูลค่าคนานับที่ธรรมชาติให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ ทว่ามนุษย์ผู้โง่เขลากลับมองเห็นเป็นเพียงกลไกหนึ่งของธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง จึงเป็นเหตุผลให้ไม่รู้จักหวงแหนเพราะมิเคยเห็นคุณค่า
มนุษย์ผู้ผาดผยองกับทุกสิ่ง เพราะยังไม่เคยสัมผัสว่าธรรมชาติพรากชีวิตอย่างได้ไม่ปราศรัยเช่นไรสองเท้าของมนุษย์ผู้ที่ผ่านความรู้สึกนั้นจดจ้องกับรอยเท้าของตนบนผืนทราย ค่อย ๆ เหยียบย้ำ ซึมซับทรายทุกเม็ดที่สัมผัสฝ่าเท้า ก่อนที่สายน้ำเย็นจะซัดเซาะจนสุดท้ายก็ราบเรียบเหมือนไม่เคยมีใครเคยสัมผัสกับผืนทรายตรงนั้น หากคนเราลบเลือนให้อดีตที่ไม่น่าจดจำเหมือนทะเลทำให้หาดทรายราบเรียบได้ก็คงดี
เพราะเขาคนนี้อยากจะลืมมันเต็มทน“นายฮั้วครับ ๆ นายหญิงให่มาตามหลบบ้าน”
“เราบอกแล้วว่าไม่ให้เรียกเราแบบนี้ มันดูแก่นะ” เขาตอบกลับคนงานในรีสอร์ทด้วยท่าทีสบาย ๆ แม่คงเป็นห่วงตามเคย
“โถ่ นายฮั้วจะให้เบิ้มแหล่งว่าง๊ายย ก็นายฮั้วเป็นนายฮั้วหนิ”
“ฮ่า ๆ เอาเถอะ ๆ เรียกไงก็เรียก แม่ให้มาตามแล้วหรอ”
“ครับ เห็นว่าจะให้ไปแลอะไร๊นี่แหละครับ เบิ้มก็ม่ายรู้”
“งั้นก็ไปสิ เราขับเองนะ”
“เดี๋ยวครับ ๆ เอาหลาว ๆ ซวยเม็ดหลาวหนิ”
คนงานตัวโตผิวดำแดงแทนเสมอกันจากการออกแดดทำงานแล้วแต่คุณนายเจ้าของรีสอร์ทจะใช้ ตอนนี้รับหน้าที่ดูแลนายหัวคนใหม่อย่างประกบชิด เบิ้มเบื่อที่วัน ๆ นายหัวเอาแต่อ่านหนังสือ แถมยังยังคะยั้นคะยอให้เบิ้มเรียนด้วย ตัวเบิ้มเป็นแค่ลูกคนงานเก่าแก่ในรีสอร์ทเท่านั้นความรู้ก็จบที่มอหกแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่มีเงินและปัญญาไปเรียนที่มหา’ลัยกับเขา พอนายหัวถามอะไรที่คนจบมอหกควรรู้ไอ้เบิ้มก็เอาแต่นั่งใบ้ ก็เลยคิดเอาเองว่าดีแล้วที่ไม่เรียนต่อไม่งั้นก็ไม่ต่างจากส่งลิงไปเรียนว่ายน้ำ
“นายหัวจะขับเองพันหนิ”
“ขึ้นมาเถอะ ฉันจะพาเบิ้มซิ่ง เร็วสิ”
รถมอเตอร์ไซค์มือสี่ไม่ต้องอธิบายว่าสภาพมันจะเป็นแบบไหน ดีแค่สนิมไม่ขึ้นตรงแฮนด์จับเท่านั้น พอให้ขับได้ไม่ต้องกลัวบาดทะยัก รถเครื่องทะยานตัวออกด้วยแรงซิ่งเหมือนที่คนขับเคลมไว้ไม่มีผิด คนงานตัวมอมแมมกอดเอวนายหัวอย่างกลัวตาย มันสวดสวดมนต์กับพระศรีมหาธาตุทุกครั้งไปสิหลาว
บรื้น บรื้น
คนขับเบิ้ลเครื่องสองทีพอเป็นสัญญาณว่าเขากลับถึงบ้านด้วยรถสับปะรังเคคันนี้เหมือนทุกวัน
“เฮ้อออ นายฮั้วไม่เอาแล้วหลาว เบิ้มยังไม่อยากหลบไปหาปู่หนิ”
“ถึงบ้านไวกว่าเบิ้มขับตั้งเยอะเหอะว่ะ”
“คุณนายยย คุณนาย นายฮั้วหลบแล้วเฮอะ”
“จ้า” เสียงคุณนายเจ้าของรีสอร์ทหนึ่งเดียวตอบกลับเบิ้ม คนงานที่เธอเอ็นดูหนักหนาเพราะความซื่อตรง และไว้ใจให้คอยดูแล ‘ลูกชาย’ ของเธอ โดยหวังให้ความร่าเริงของเบิ้มจะช่วยให้เขาปรับตัวได้เร็ววัน
บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ข้างรีสอร์ทติดทะเล จุดชมวิวที่สวยที่สุดของชายหาดชื่อดังของเกาะภูเก็ต แม้จะบอกใคร ๆ ว่าเป็นเพียงรีสอร์ทเล็ก ๆ ทว่าความจริงแล้วไม่ได้เล็กอย่างถ่อมตน คนงานกว่าร้อยชีวิตที่นี่เทียวทำงานทั้งกะเช้ากะดึกเพื่อดูแลแขกที่ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงเท่านี้ยังมีคนงานอีกบางส่วนที่ไม่ได้ทำงานที่รีสอร์ทแต่แวะเวียนมา
ที่นี่เพราะเอาไข่มุกจากฟาร์มมาส่ง เพื่อทำเป็นเครื่องประดับก่อนจะส่งไปขายที่โชว์รูมในตัวเมือง ใช่ คุณภัสสรเป็นเจ้าของฟาร์มมุกขนาดกลางและมีโรงงานเล็ก ๆ ทำเครื่องประดับขายเองอีกด้วย
แต่กว่าจะสร้างทุกอย่างด้วยสองมือ ในขณะที่เธอต้องสูญเสียสามีและเพิ่งจะมีลูกเล็กนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่นี่รู้ดีว่าเป็นผู้หญิงที่ภายนอกอ่อนหวาน แต่ภายในเข้มแข็งดั่งหินผา จึงไม่แปลกที่เธอจะกลัวการสูญเสียคนที่รักมากที่สุดในชีวิตไป
เหตุการณ์เมื่อห้าเดือนก่อนนั้นทำเอาเธอแทบตายทั้งเป็น“มาคุยกับเขาอีกแล้วหรอน้องคริสต์” ภัสสรเดินออกมาจากในครัว หลังจากเจ้าเบิ้มตะโกนมาจากหน้าบ้านว่าพานายหัวของมันกลับมาแล้ว และเธอมักเห็นลูกชายมาคุยกับรูปถ่ายขาวดำของพี่ชายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“พี่ข้าวจะเป็นยังไงบ้างครับแม่ จะสบายดีมั้ย”
“แม่ว่าพี่เขาสบายดีกว่าเรานะ ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเรียน”
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นสินะ ขี้โกงชะมัดหนีไปก่อนได้ไง”
ภัสสรมองดูลูกชายของเธอที่มีรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติในรอบหลายเดือน เธอพลอยสบายใจ แต่ก็อดหนักใจไม่ได้ที่ต้องให้เขากลับไปเจอโลกใบเดิมอีก
“คริสต์”
“ครับ”
“แม่ไม่อยากให้ลูกกลับไปรู้ใช่มั้ย” คริสต์พยักหน้าให้กับคนเป็นแม่และยิ้มให้เธอบาง ๆ เขารู้ดีว่าแม่รักและเป็นห่วงเขาที่สุดในโลก แต่ก็ทำให้แม่เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แบบประเมินสุขภาพจิต และการได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งช่วยเขาไว้ได้มาก “แม่รู้ว่าคริสต์จะรับมือได้ แต่แม่ก็อดห่วงไม่ได้ คริสต์ย้ายมาเรียนมหาลัยใกล้บ้านเราดีมั้ย”
สายตาของคนเป็นแม่ฉายแววห่วงใยทุกครั้งที่พูดคุยกันเรื่องนี้ แต่กฤษตฤณก็จะพูดทุกครั้งว่าเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยที่แม่ไม่ต้องกังวลอะไร “คริสต์จะไม่เป็นอะไรครับแม่ เพราะพี่ข้าวอยู่กับคริสต์นะ พี่ข้าวจะเตือนคริสต์ไม่ให้กลับไปเจอเรื่องแบบั้นอีก”
“...”
“คริสต์เชื่อพี่ข้าวนะ แล้วแม่เชื่อเหมือนคริสต์มั้ย”
เพียงเอ่ยชื่อข้าวปั้นก็ทำเอาภัสสรน้ำตาคลอ เหตุการณ์ที่ผ่านไปมันทำให้เธอตระหนักมาโดยตลอดว่าไม่มีอะไรเป็นไปได้ดั่งใจ แม้จะวิงวอนต่อพระเจ้าเป็นหมื่นครั้งก็มิอาจฉุดรั้งโชคชะตาอันเลวร้ายไปได้
“ค่ะ พี่ข้าวจะปกป้องน้องคริสต์นะ”
รูปถ่ายหน้าตรงเมื่อสอบเข้าคณะสัตวแพทย์สมัยปีหนึ่งของนายปาณัสม์ อนันตราชัย มีตัวอักษรเขียนกำกับวันชาตะ-มรณะอย่างชัดเจน เลี่ยมด้วยกรอบหลุยส์อย่างดีตั้งบนตั่งภายในบ้านให้เห็นได้ชัด เป็นความตั้งใจของกฤษตฤณผู้เป็นน้อง เพียงเพราะอยากให้พี่ชายเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้เขาว่าที่มีวันนี้เพราะพี่เสียสละให้เขามากแค่ไหน
และเขาจะเป็นคนใช้ชีวิตและทำความฝันของพี่ชายให้เป็นจริงเอง“เบิ้มบอกแม่มีอะไรให้คริสต์ดู อะไรหรอ”
“อ้อ แม่ลืมเลย” คนเป็นแม่เช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ แล้วควานหาของจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะมอบให้ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ
“นี่จ้ะ” พวงกุญแจรถยี่ห้อดังถูกส่งมาให้ผู้เป็นลูกชาย “อย่างน้อย ๆ ลูกจะได้ไม่ต้องกลับไปโหนรถเมล์อีกไง”
“โถ่แม่ คริสต์นั่งรถเมล์สะดวกกว่าน่า กรุงเทพรถติดจะตาย”
“เผื่อกลับดึกไง ลูกจะได้กลับบ้านอย่างที่แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“โอเค ก็ได้ ๆ แค่คิดว่าจะต้องขับรถจากภูเก็ตไปกรุงเทพก็เหนื่อยแล้วเนี่ย” ลูกชายทำทีงอแงให้คนเป็นแม่ เธอยิ้มเพราะคิดไว้แล้วว่าคริสต์จะต้องบ่นเรื่องนี้ และเธอก็เตรียมแก้ปัญหาให้ไว้แล้วเรียบร้อยแล้วด้วย
“ก็ให้คนขับไปให้สิจ้ะ”
“ใครครับ?”
คุณภัสสรพยักเพยิดไปที่หน้าบ้านที่มีเด็กผู้ชายโตเต็มวัยกำลังผิวปากล้างรถเครื่องโกโรโกโสของมันอย่างอารมณ์ดี คริสต์ถึงกับงงที่แม่จะให้เบิ้มไปกรุงเทพฯ กับเขาด้วย “เดี๋ยวนะครับแม่ คือยังไงเนี่ย”
“แม่กลัวลูกเหงาเคยอยู่บ้านมีหลายคน เลยว่าจะให้เบิ้มไปอยู่ด้วยน่ะ”
“เดี๋ยวก่อนเลย คริสต์อยู่คอนโดได้นะครับ”
“แต่แม่ยื่นใบสมัครเรียนโควต้าพิเศษที่มหาลัยลูกให้เบิ้มแล้ว และมหาลัยก็ตอบรับจ้ะ” คริสต์ถึงกับกุมขมับ เขารู้ดีว่าแม่จัดการเรื่องพวกนี้ได้ง่ายแค่ดีดนิ้วสั่ง อำนาจเงินมันไม่ใช่แค่ใครมีมากกว่ากัน แต่อยู่ที่ใครเป็นคนให้ต่างหาก แม่ของเขาเป็นผู้บริจาคให้มหาลัยอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ก่อนเขาเข้ามหาวิทยาลัยตั้งสิบปี เพราะเธออยากตอบแทนที่มหาลัยให้ทุนเรียนฟรีขณะที่เธอสอบเข้าได้แต่ไม่มีเงินเรียน เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่ง และที่นั่นก็ทำให้เธอได้พบกับคนรักที่ดีที่สุดจนก่อร่างสร้างตัวด้วยกันมาได้ถึงขนาดนี้ เธอจึงอยากส่งมอบสิ่งนี้ให้กับเด็กรุ่นต่อ ๆ ไป เพื่อจะได้มีโอกาสที่ดีเหมือนเธอ และทำไมมหาวิทยาลัยจะไม่เห็นแก่อำนาจเงินของผู้หญิงคนนี้
“เฮ้อ ครับ ๆ แม่ว่าไงคริสต์ก็ว่างั้นแหละ”
“ติวภาษากลางให้มันหน่อยแล้วกัน”
“ฮ่า ๆ ยากกว่าสอนลิงว่ายน้ำอีกนะ”
ภัสสรมองลูกชายที่หัวเราะได้เต็มเสียงก่อนจะมองไปยังลูกคนงานที่เธอไว้ใจมานานนม และมอบความไว้ใจต่อให้ลูกชายเพื่อให้ดูแลลูกชายเธอด้วย เธอหวังว่าอย่างน้อย ๆ หากเกิดอะไรขึ้น คริสต์ของเธอจะไม่ได้สู้กับมันเพียงลำพัง เหมือนอย่างที่พี่ชายของเขาเจอ
“ตู๊ดด ตู๊ดดด”
[K] คริสต์ยิ้มเมื่อเห็นชื่อคนเฟซไทม์มาหา ตรงเวลาเหมือนทุกวัน
“Hey K”
(What’s up dude How’s today)
“You know? You ask me with this question everyday”
(Yessss right! I’m so so soooo worry about you)
“Okay okay I heard that more thousand times”
(When you come back? Your Mom text to me you want to study really soon? That’s right)
“Yep I miss college life”
(Bullshit!!)
“Hahaha language man!”
ทุกวันคริสต์จะคุยกับเพื่อนคนนี้ เขาอยากขอบคุณ อยากให้ทำอะไรตอบแทนให้หลายอย่าง ถ้าวันนั้นเขาไม่ตัดสินใจโทรไปตามนามบัตรที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของพี่ข้าว เขาก็คงเคว้งคว้างจนไม่รู้จะใช้ชีวิตอย่างไร และเพราะเคนี่แหละที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป และหากเขาจะกลับไปเรียนก็ไม่ต้องกลัวอะไรถ้ามีคน ๆ นี้อยู่ด้วย
“จริง ๆ ใช่มั้ยที่จะกลับมาเรียนแล้ว”
“เคว่าเราพร้อมหรือยังล่ะ”
(พร้อมสิ เราติวให้ขนาดนี้แล้ว)
“เสียดายเนอะที่โปรเจ็กต์ของเคจบไปแล้ว เราอดเป็น case study เลยอะ” ผู้ชายปลายสายยิ้มให้เหมือนอย่างเคย หลายเดือนที่ผ่านมา เคเป็นทั้งเพื่อนคุย เพื่อนที่ปรึกษา โดยเฉพาะการปรับทัศนคติและบุคลิกภาพหลายอย่าง จนคริสต์มีความมั่นใจในตัวเองมาขึ้นอย่างที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำได้
(เอาไว้ปีหน้ามาช่วยเราทำธีสีสสิ เราว่าจะทำคล้าย ๆ กันนี่แหละ แค่ใหญ่ขึ้น คนเยอะขึ้น)
“เอาดิ เรายินดีช่วยเคทุกอย่างเลย”
(นี่ยูอย่ามาทำหน้าแบบสำนึกบุญคุณกันได้ป่ะ ขนลุกว่ะ เราไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย) เคขมวดคิ้วเพราะไม่ชอบสายตาของคริสต์ที่มองเหมือนเป็นหนี้บุญคุณที่เขาช่วยเหลืออะไรหนักหนา เพราะมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงในความเป็นเพื่อนมนุษย์กันสักนิด
“อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เราไกลจากพี่ข้าวปั้นแล้วกัน”
(และไม่ใช่แค่ห่างไกลจากภายนอกใช่มั้ย เราอยากให้ยูห่างไกลจากในหัวใจด้วยนะ)
“เอาตรง ๆ นะเค เราทำใจให้ห่างจากพี่ข้าวปั้นไม่ได้ว่ะ เราอยากให้เขาอยู่กับเรา เขาจะได้เหมือนใช้ชีวิตด้วยไง”
(เราเข้าใจ แค่เราเป็นห่วงเรื่องนั้น เข้าใจใช่มั้ย)
“เข้าใจสิ เราก็คิด แต่เราแค่ไม่ได้อยากให้ข้าวตายจากเราทุกคนไป อย่างน้อย ๆ ก็คนพวกนั้น”
(เราได้ยินว่าพาทิศจะกลับมาเรียนเทอมหน้า) พาทิศดร็อปเรียนไปหนึ่งเทอมเต็ม ๆ และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางได้ขึ้นปีสามเพราะเก็บหน่วยกิตปี 2 ไม่ครบ จึงทำให้ต้องลงเรียนใหม่พร้อมกับคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่คริสต์อยากให้มันเกิดขึ้น
“หรอ ก็ดีแล้วไง เราไม่ได้อยากให้ใครไปไหน เราอยากเจอพวกเขาพร้อมหน้าพร้อมตา” ไม่มีใครรู้ว่าพาทิศดร็อปเรียนไปไหน เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เขาโผล่หน้ามาที่บ้านเพียงครั้งเดียว โดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ตามคำบอกเล่าของแม่ และไม่มาที่นี่อีกเลย จนมารู้ข่าวอีกทีว่าพาทิศดร็อปเรียนไปแล้ว
(คริสต์ ยูจะทำอะไร สัญญาได้มั้ยว่าจะบอกกัน)
“ไม่มีความลับระหว่างเรา”
“นายฮั้ว ๆ เบิ้มแลกางเกงในนายฮั้วไม่เห็นนิ ป้าแจ่มเอาไปไว้ไหน ฮาโรย” เบิ้มโผงผางเข้ามาให้ห้องของเขา โดยที่เจ้าของห้องไม่ได้แปลกใจอะไรนัก
“แป๊บนะเค” คนปลายสายพยักหน้าอมยิ้ม เคเคยคุยกับหนุ่มใต้คมเข้มคนนี้ทีสองที แต่ก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะเล่นไม่พูดกลางเลย มารู้จากคริสต์ทีหลังว่าพูดไม่ได้ เขาก็เลยยิ่งเอ็นดูไปกันใหญ่
“อยู่ในลิ้นชักล่ะมั้ง นี่เบิ้มเราบอกแล้วว่าไม่ต้องเตรียมเสื้อผ้าให้เรา เราจัดการเอง”
“หม่ายด่าย ๆ คุณนายให้เบิ้มแลนายฮั้วหนิ เบิ้มไม่แล คุณนายก็ด่าน่ะสิ” ไอ้เด็กหนุ่มยังไม่เลิกวอแวกับลิ้นชักภายในห้องของเขา “นี่งายยย สีแดงเลยคืนนี้ กับชุดนอนลายคิตตี้นิ ใส่เป็นเพื่อนกันเนอะนายฮั้ว”
“เออ ๆ ๆ เสร็จยังอะ ไปได้แล้ว”
“เอาหลาวนิ ไล่เบิ้ม ทูกที อ้าว สวัสดีครับคุณ” เบิ้มยกมือสวัสดีเพื่อนของนายทั้งที่ยังถือกางเกงในสีแดงในมือ เบิ้มชอบคุยกับคุณเค เพราะคุณเคพูดน่าฟัง แถมยังสอนภาษากลางเท่ ๆ ให้อีก “เบิ้มจะได้เจอคุณตัวจริงหลาวนิ จะได้ไปกรุงเทพนิ พาเบิ้มแลเมืองกรุงด้วยนะคุณ”
(จริงหรอยู เบิ้มจะมากับยูด้วยหรอ) เคดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าไอ้เด็กใต้ที่จะได้ไปอีก
“ก็ใช่น่ะสิ แม่เราทำเรื่องเรียบร้อย นี่ก็เลยต้องสอนภาษากลางกันยกใหญ่”
(เราสอนให้มั้ย)
“เอานิ ๆ ๆ คุณสอนดี นายฮั้วชอบตีเบิ้ม” เด็กใต้ตัวเขื่องได้ทีฟ้องเพื่อนของเจ้านาย
“เอาใหญ่เลยนะเบิ้ม น้ำอุ่นเตรียมเสร็จแล้วหรอ”
“อุ้ย ยัง แหะ ๆ เบิ้มไปก่อนนิคุณ เดี๋ยวไว้เจอกันตอนเรียนนะ” เด็กผู้ชายตัวสูงร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะทำงานหนักช่วยงานพ่อมาโดยตลอด ผิวสีคล้ำจากแดดทำให้ยิ่งดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก นัยสีตานิลดำสนิทและจมูกโด่ง ถ้าเทรนด์อีกนิดหน่อย นายแบบหน้าใหม่คงไม่พ้นมือ แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ใครเห็นขุมทรัพย์แห่งท้องทะเลเท่าไหร่นัก เคคิดในใจ
“ยิ้มอะไรอะ นี่เด็กเพิ่ง 18 นะยู”
(ก็ป๊าววว เด็กมันน่าเอ็นดูนี่)
“เอ็นดูหรืออยากจะดู...”
(นี่เราสอนเรื่องพวกนี้ให้ก็ไม่ใช่จะพูดกันตรง ๆ แบบนี้หรือเปล่า)
“ฮ่า ๆ ๆ อย่ามาเขินเหอะ เรารู้น่า ค่อย ๆ แล้วกันเด็กมันจะตื่น”
(นี่! พอแล้วไปอ่านหนังสือสอบดีกว่าว่ะ)
“OK see ya dude”
(Nope! BYE!!) คนปลายสายก่อนจะวางมีแลบลิ้นผ่านหน้าจอเพราะทำอะไรเขาไม่ได้ คริสต์รู้ดีว่าเคมีรสนิยมทางเพศแบบใด ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากเขาเท่าไหร่ แค่การแสดงออกของเราทั้งคู่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
เคเป็นคนเปิดเผยและชัดเจน รวมถึงมีความจริงใจที่แสดงออกได้ดีผ่านสายตา ตรงข้ามกับเขาที่ชอบดูชั้นเชิง เพียงเพราะกลัวอีกฝ่ายคิดไม่ตรงกัน แม้เคจะพยายามบอกวิธีให้เลือกแสดงออกตรง ๆ บ้าง แต่เขาก็คิดว่าการยั้งใจมันจะช่วยรักษาใจตัวเองได้ดีกว่าการทุ่มเทไปหมด
รักใครก็ไม่เท่ารักตัวเองมีต่อ