มากกว่ารัก
ตอนที่ 4
นายทหารหนุ่มยืนมองจนรถของชินดนัยแล่นพ้นเขตกรมทหารแล้ว จึงเดินออกมาจากมุมหลังบ้านที่ยืนซ่อนตัวอยู่นาน ดวงตาคมปรากฏแววเคร่งเครียดผิดวิสัย เขาเห็นทุกอย่าง เห็นทุกเหตุการณ์ เห็นแม้กระทั่งว่าชินดนัยต้องเจ็บปวดจากการกระทำของเขา แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เพื่อเราสองคน
ทุกบทสนทนา ทุกถ้อยคำระหว่างเขากับท่านนายพลที่ห้องหนังสือยังคงแจ่มชัด ข้อเสนอของท่านนายพลที่หยิบยื่นมาและข้อต่อรองของเขาที่ตอบกลับไป
‘ผมอยากรู้เพียงอย่างเดียว...’
‘ว่ามา...’
‘ระหว่างชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลกับชิน...พ่อรักอะไรมากกว่า?’
ท่านนายพลหวิดจะเดือดดาลด้วยคำถามที่หลุดออกมาจากปากของลูกชายบุญธรรม แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ คิดทบทวนคำถามของชนวีร์ก่อนจะไตร่ตรองคำถามช้าๆ แล้วเอ่ยตอบกลับไปอย่างหนักแน่น
‘พ่อก็ต้องรักชินมากกว่าน่ะสิ’
ชนวีร์เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มร้ายกาจ อย่างที่ท่านนายพลนึกเอาเองว่าเหมือนกับเพื่อนสนิทของเขาที่ล่วงลับไปแล้วราวกับถอดแบบกันมา รอยยิ้มอย่างคนที่มีแผนการสมกับที่มันเป็นตัวเต็งตำแหน่งด้านเสนาธิการของกรมทหาร แต่คงจะดีกว่านี้ ถ้าคนที่มันกำลังยิ้มให้ไม่ใช่เขา
‘ถ้าพ่อรักชิน พ่อก็ต้องอยากเห็นชินมีความสุข’
‘แกจะบอกพ่อว่า...ความสุขของชินคือแก?’
‘นั่นเป็นคำถามที่พ่อต้องถามชินเอง แต่ถ้าพ่อถามผม ผมก็จะตอบพ่อว่า...ความสุขของชินไม่ใช่ผม แต่ผม...จะทำให้ชินมีความสุข’
ท่านนายพลนึกชื่นชมความสุขุมของลูกชายบุญธรรม ท่าทางแบบนี้เหมือนกับเวลาที่มันรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา สุขุมรอบคอบและเด็ดเดี่ยว ถ้าหากชินดนัยเป็นลูกสาวของเขา...ทุกอย่างคงง่ายกว่านี้ เขาคงพร้อมจะยกชินดนัยให้ชนวีร์ดูแลอย่างไม่ลังเล แต่ในเมื่อต่างคนต่างเป็นผู้ชายเหมือนกัน เรื่องมันจึงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด
‘แกมีหลักประกันอะไร?’
‘ผมรู้ว่าพ่ออยากจะจับผมแยกจากชิน ผมยอม นานเท่าที่พ่อต้องการ หนึ่ง สอง หรือสามปี สุดแท้แต่พ่อเลย แต่ถ้าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ถ้าความรู้สึกของผมกับชินยังมั่นคงต่อกัน พ่อต้องยอมรับและเลิกขัดขวางเรา พ่อยอมหรือเปล่า?’
ท่านนายพลไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ระยะเวลาที่ห่างกันคงจะเป็นบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องดูกันว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน ถ้าจะยอมให้ชินดนัยกับชนวีร์ได้รักกัน มันก็ต้องมีบทพิสูจน์ให้ได้ตระหนักว่าความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ารับไหวก็ไปต่อ แต่ถ้าไม่...เขาก็จะขัดขวางให้สุดกำลัง
ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากเห็นลูกมีความสุข แต่พ่อแม่ทุกคนล้วนอยากจะแน่ใจเสียก่อนว่า...ลูกจะมีความสุขจริงๆ
‘ได้ พ่อยอม’
‘ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำนะครับ’
‘สามปี ห้ามติดต่อ ห้ามเจอกัน ห้ามให้ชินรู้ว่าแกอยู่ไหน ถ้าผิดจากนี้เมื่อไหร่ ถือว่าข้อตกลงระหว่างเรายกเลิกทันที’
เป็นข้อตกลงที่ทำเอาคนฟังถึงกับชะงัก เขาครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าออกมาช้าๆ สามปีเพื่อแลกกับการยอมรับตลอดไป
‘ระหว่างสามปี ห้ามชินรู้ข้อตกลงนี้เด็ดขาด’
ชนวีร์แค่นยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงข้อตกลงระหว่างเขากับท่านนายพล เขามั่นใจว่าตัวเองจะเหมือนเดิม เขาเดิมพันความเชื่อใจทั้งหมดลงไป
...สามปีไม่นานเลย เพื่อแลกกับการที่เราจะมีกันตลอดไป... “พร้อมออกเดินทางหรือยังครับผู้พัน” เสียงของผู้กองติสรณ์ดังมาจากข้างๆ
ชนวีร์หันหน้ากลับไปหาคนที่มารับเขา ผู้กองติสรณ์ยืนอยู่ข้างรถจี๊ปที่เตรียมพาเขาไปส่งที่จุดหมายปลายทาง เขากระตุกยิ้มนิดๆก่อนจะแบมือออกไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิผู้กอง”
“ของผู้พันล่ะครับ”
“ผู้บังคับบัญชาเขาสั่งระงับสัญญาณของผมไปแล้ว”
ผู้กองติสรณ์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เอาเข้าจริงๆแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ท่านนายพลถึงได้มีแต่คำสั่งลงมาสายฟ้าแล่บให้เขามารับผู้พัน แต่ในเมื่อเขาเป็นผู้น้อย ก็มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์ถามเรื่องของเจ้านาย แม้ว่าจะสงสัยมากเพียงใดก็ตาม
ชนวีร์รับโทรศัพท์มาจากผู้กองติสรณ์แล้วก็กดหมายเลขสิบตัว ก่อนจะเดินเลี่ยงไปมุมหนึ่ง แต่ไม่ไกลจากสายตาของผู้กองติสรณ์เท่าไหร่นัก เขารอสายอยู่ซักพัก ปลายทางก็กดรับสาย
“ธรณ์ นี่ฉันเองนะ...”
====================
ธรณ์นั่งหน้าเคร่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตรงหน้าคือเอกสารกองใหญ่ เขากวาดสายตาผ่านหนังสืองบประมาณ มือไล่ผ่านทีละบรรทัดช้าๆ ข้างๆกันคือเขตแดนที่กำลังนั่งทำงานอยู่ เมื่อไหร่กัน...ที่เขาย้ายมาทำงานอยู่ห้องเดียวกับเขตแดน น่าจะเป็นหลังกลับจากนิวยอร์กซักสองอาทิตย์ แล้วเจ้าของห้องก็ถือวิสาสะสั่งย้ายข้าวของเขามาล่ะมั้ง ธรณ์คิดเพลินๆก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวสั่นครืดคราดจนต้องรีบคว้าโทรศัพท์มาดู พอเห็นว่าเป็นหมายเลขไม่คุ้นก็ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วกดรับสายไป
(ธรณ์ นี่ฉันเองนะ...)
เขายังไม่ทันได้ขานรับ ปลายสายก็ชิงเอ่ยมาก่อน ธรณ์ค่อยๆนึกว่า ‘ฉัน’ น่ะคือใคร ก่อนจะยิ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ผู้พัน...”
(ฉันคงไม่ได้อยู่ดูแลชินแล้ว ฝากดูแลชินด้วยนะ...)
“ดะ...เดี๋ยวก่อน ผู้พัน...” ธรณ์ร้องออกมาเสียงหลง เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยออกมาแค่สองประโยคแล้วก็ชิงวางสายไป
ชายหนุ่มพยายามโทรกลับไปยังเบอร์ที่โชว์เมื่อครู่ แต่ก็ต้องสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด เมื่อพบว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องเรียบร้อยแล้ว เขาลองโทรเข้าเบอร์ชินดนัย ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกัน
...ไม่ได้ปิดเครื่อง แต่ไม่ยอมรับจนสายตัดไปเอง...
ธรณ์นิ่วหน้าออกมา เมื่อรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ไม่เคยมีซักครั้งที่เขาจะติดต่อชินดนัยไม่ได้ และไม่เคยมีซักครั้งที่ผู้พันจะเอ่ยฝากฝังชินดนัยกับเขา มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
“จะไปไหนธรณ์” เขตแดนเอ่ยถามทันทีที่เห็นธรณ์ลุกพรวดขึ้นมา
“ผมจะไปหาชิน ผมว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ”
“พี่ไปด้วย รอพี่เคลียร์งานเดี๋ยวนะ”
ธรณ์เม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปฏิเสธไป
“ไม่ต้องหรอกพี่เขตต์ ผมไปคนเดียวดีกว่า ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไปหาชินที่บ้านมันนั่นแหล่ะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมโทรหา” เอ่ยจบธรณ์ก็ไม่คิดจะอยู่ฟังคำทักท้วงของเขตแดน เขาคว้าของได้แล้วก็เดินออกจากห้องทำงานทันที
เหตุผลที่ธรณ์ปฏิเสธเขตแดนไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า เขารู้ว่าชินดนัยคงไม่อยากให้ใครมาเห็นตอนที่ตัวเองกำลังอ่อนแอ เขาเลยเลือกที่จะไปหาเพื่อนรักตามลำพังแทนที่จะพาเขตแดนไปด้วย
ระยะทางจากบริษัทไปบ้านของชินดนัยไม่ไกล แต่ก็ทำเอาคนใจร้อนอย่างธรณ์ถึงกับหลุดเสียงสบถออกมาเป็นระยะ ใช้เวลาไม่นาน รถยนต์คันหรูก็มาจอดหน้าเรือนเล็กของชินดนัย ธรณ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่ารถของชินดนัยจอดอยู่ แปลว่าเจ้าตัวคงไม่ได้หนีหายไปไหนอย่างที่เขานึกกลัว
พอลงมาจากรถ ธรณ์ก็ตรงเข้าไปที่เรือนเล็กด้วยความคุ้นเคย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ต้องรู้สึกแปลกๆ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดตากับร่างที่นอนแผ่อยู่ตรงโซฟา แค่ก้าวขาพรวดเดียว ธรณ์ก็ไปหยุดอยู่ข้างๆคนที่กำลังนอนเหม่อลอย พอเห็นเพื่อนรักนอนหมดสภาพ ดวงตาแดงก่ำ ท่าทางอิดโรยเหมือนอดหลับอดนอน ธรณ์ก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
“ชิน...เกิดอะไรขึ้นกับมึง”
ชินดนัยเหลือบสายตามามองเพื่อนรักช้าๆ เขาพยายามจะฝืนยิ้มออกมา แต่สำหรับธรณ์แล้ว...มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ธรณ์คุกเข่าลงนั่งข้างๆโซฟา สองมือประคองใบหน้าเพื่อนรักเอาไว้ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“มึงไหวหรือเปล่า...”
“กูยังไหว...”
ถึงแม้ชินดนัยจะตอบว่ายังไหว แต่ธรณ์ดูสภาพเพื่อนแล้วก็ต้องบอกเลยว่า...ชินดนัยไม่ไหวจริงๆ ชินดนัยที่อยู่ตรงหน้าเขา ราวกับเป็นคนละคนกับชินดนัยที่เขาเคยรู้จัก
“เกิดอะไรขึ้น เล่าให้กูฟังหน่อยได้ไหม”
ชินดนัยค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาจากโซฟาช้าๆ พอเห็นเพื่อนรักลุกขึ้นมานั่งแล้ว ธรณ์เลยลุกไปนั่งข้างๆชินดนัย ดวงตาคมที่มองตรงมามีแต่ร่องรอยของความเจ็บช้ำ ก่อนที่ชินดนัยจะค่อยๆเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากให้ธรณ์เห็นความอ่อนแอของตัวเอง
“ชิน ตอนนี้มีแค่กูกับมึง กูรู้ว่ามึงเป็นแค่คนธรรมดา มึงไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ถึงกูจะไม่สามารถทำให้มึงหายเจ็บได้ แต่กูอยากให้มึงดีขึ้น...แค่ซักนิดก็ยังดี”
ทันทีที่ธรณ์พูดจบ ชินดนัยก็คว้าเอาร่างเพื่อนรักเข้าไปกอดแน่น แม้จะอึดอัดจนรู้สึกเจ็บ แต่ธรณ์ก็ยอมนั่งนิ่งๆอยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนรัก เขาลูบหลังลูบไหล่อีกฝ่ายไปมาเป็นเชิงปลอบ แม้จะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นดังออกมา แต่อาการตัวสั่นสะท้าน และความเปียกชื้นที่หัวไหล่ก็เป็นหลักฐานที่แสดงความเสียใจของชินดนัยได้เป็นอย่างดี
“เขา...ไปแล้ว...” เสียงแหบระโหยเอ่ยออกมาเป็นห้วงๆ
“เขาอาจจะแค่ไปออกพื้นที่เหมือนทุกที มึงอย่าเพิ่งด่วนตัดสินไปก่อน”
ชินดนัยแค่นยิ้มออกมา เพราะรู้จักกันมาเกือบตลอดชีวิต เขาถึงกล้าพูดว่ารู้ใจอีกฝ่ายมากกว่าใคร และรู้ดีว่าอีกคนตั้งใจไปจากเขา ไม่ว่าเหตุผลที่จากไปคืออะไร แต่ชนวีร์ก็ได้จากเขาไปแล้ว
“ถ้าไม่ได้จะหนีกูไปจริงๆ คงไม่โทรบอกให้มึงมาดูกูหรอก”
“มึงรู้”
ชินดนัยไม่ตอบ แต่เบือนสายตาไปทางอื่น
“แล้วทำไมผู้พันถึงไป”
สำหรับธรณ์แล้ว เขารู้จักผู้พันมานานเกือบเท่าระยะเวลาที่รู้จักชินดนัย สายตาที่อีกคนมองชินดนัย ไม่ต้องอธิบายออกมาเป็นคำพูดก็รู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ทำไม...ทำไมผู้พันถึงได้ทิ้งชินดนัยไปโดยไม่บอกสาเหตุ
“พ่อกับแม่กูรู้เรื่องแล้ว”
แค่ประโยคเดียวที่หลุดออกจากปากชินดนัย ธรณ์ก็สามารถเดาเรื่องทั้งหมดได้ทันที ธรณ์เคยสงสัยและนึกกลัวแทนชินดนัย ถ้าวันหนึ่งที่บ้านของชินดนัยเกิดรู้ถึงความสัมพันธ์ของชินดนัยกับผู้พันเข้า เรื่องราวมันจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิด
ไม่แปลกที่ท่านนายพลกับคุณหญิงจะยอมรับความสัมพันธ์ของชินดนัยกับผู้พันไม่ได้ ตระกูลจิรวงศ์เองก็เป็นตระกูลใหญ่ ยิ่งท่านนายพลกับคุณหญิงต่างก็มีหน้ามีหน้าตาในวงสังคม หนำซ้ำชินดนัยยังเป็นลูกชายคนเดียวอีก มันคงไม่ใช่เรื่องที่สามารถยอมรับกันได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
“ที่กูเข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะเขา พอไม่มีเขา กูก็เป็นแค่คนธรรมดา...”
“ชิน มึงต้องเข้มแข็งสิ กูเชื่อว่าผู้พันจะต้องกลับมา”
“กูรู้ว่าเขาจะกลับมา แต่เมื่อไหร่ จะให้กูอยู่อย่างไร้จุดหมายแบบนี้เหรอ กูเคยคิดว่า...เราจะพยายามไปด้วยกัน แล้วทำไม...ทำไมถึงได้ทิ้งกูไปง่ายๆแบบนี้วะ”
ถ้อยคำอัดอั้นหลุดออกมา พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ นานแค่ไหนกัน ที่ไม่เคยมีน้ำตา ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอแบบนี้ คงเป็นตอนที่รู้ว่ามีอีกคนอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีแล้ว น้ำตามันถึงได้ไหลออกมาง่ายๆ นับประสาอะไรกับเรื่องที่จะให้ทำตัวเข้มแข็ง มันยากเกินไปจริงๆ...
“ถึงไม่มีผู้พัน แต่มึงก็ต้องเข้มแข็งนะชิน มึงต้องพยายามให้พ่อแม่มึงยอมรับให้ได้”
“กูจะพยายามไปเพื่ออะไรในเมื่อเขาไม่อยู่”
ธรณ์ประคองใบหน้าชินดนัยเอาไว้ จ้องลึกลงไปในดวงตาของเพื่อนรัก
“ตอนนี้มึงอ่อนแอได้ แต่ชินดนัยที่กูรู้จักไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนี้ กูจะช่วยมึงสืบหาผู้พันอีกแรง สัญญากับกู...ว่ามึงจะอ่อนแอแค่ตอนนี้ แล้วกลับมาเป็นชินดนัยคนเดิม ชีวิตมึงยังมีวันพรุ่งนี้ อย่าเอาแต่จมปลักอยู่กับวันนี้...สัญญากับกู”
ชินดนัยพยักหน้าช้าๆ ถึงจะอยากจมอยู่กับความเจ็บปวดให้นานแค่ไหน แต่มันก็ไม่ใช่วิสัยของเขา กมือปาดคราบน้ำตาออกช้าๆ ได้แต่ยิ้มหยันให้กับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่
...ตอนอยู่ด้วยกันไม่เคยมีน้ำตา แต่พออีกคนจากลาแค่เพียงวันเดียว น้ำตาก็รินไหลอย่างห้ามไม่ได้ จะมีใครที่น่าสมเพชไปกว่าเขาอีกไหม...
ก็ได้แต่หวัง...ว่าเขาจะกลับมาเป็นชินดนัยคนเดิมเร็วๆ
เขาเชื่อว่าชนวีร์จะกลับมา แต่เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่?...
ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ถ้าคำตอบของคำถามคือคำว่า ‘ตลอดไป’ เขาก็ยังยินดีที่จะรอ เพราะหัวใจ...มันให้ไปหมดทั้งดวงแล้ว
“ถ้ามึงเข้มแข็งเมื่อไหร่ก็ไปคุยกับพ่อแม่มึงดีๆซะ คุยกันให้รู้เรื่องไปเลย”
พอได้ยินที่ธรณ์เอ่ย ชินดนัยก็ฉุกคิดทันที ถ้ามีสติอยู่กับตัวซักนิด เขาน่าจะฉุกคิด...ถ้าจะมีใครซักคนรับรู้ว่าชนวีร์หายไปไหน คนๆนั้นก็คงจะเป็นท่านนายพลอย่างไม่ต้องสงสัย
====================
“เข้ามา...”
ทันทีที่ได้ยินเสียงอนุญาต ชินดนัยก็เปิดประตูห้องหนังสือเข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เอ่ยถามถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอดหลายวันทันที
“พ่อส่งพี่วีร์ไปไหน?”
ท่านนายพลเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร กวาดสายตาดูลูกชายคนเดียวอย่างพิจารณา ยอมรับเลยว่าสภาพชินดนัยดีกว่าวันแรกที่กลับมา ส่วนหนึ่งคงต้องขอบคุณธรณ์ที่พาตัวเองมาอยู่กับชินดนัยเกือบทุกวัน
วันแรกที่เห็นชินดนัยพาตัวเองกลับมา ท่านนายพลแทบไม่อยากเชื่อสายตา ว่าเขาจะเลี้ยงชินดนัยให้กลายเป็นคนที่อ่อนแอเพราะความรักได้ถึงเพียงนี้ นับว่ายังดีที่ความอ่อนแอเหล่านั้นมีให้เห็นเพียงแค่ไม่กี่วัน ก่อนที่ชินดนัยจะกลับมาเป็นคนเดิมอย่างที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
“ทำไมชินถึงคิดว่าพ่อจะรู้” ท่านนายพลเอ่ยถามพลางเอนหลังพิงพนัก ทอดสายตามองลูกชายนิ่งๆ
“เวลาพี่วีร์มีภารกิจที่ไหน พ่อต้องรู้ทุกครั้งไม่ใช่เหรอไง”
“แต่ครั้งนี้พ่อไม่รู้”
ชินดนัยมองสบตาผู้ให้กำเนิดด้วยความไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของเขา ทำไมไม่ลองให้โอกาสเขาได้พยายามดูบ้าง ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการกีดกันเขากับชนวีร์ออกจากกันเลย
“ผมจะให้คนไปสืบ”
“ก็เอาสิ ถ้าคิดว่าอำนาจที่แกมีจะเหนือกว่าอำนาจของจิรวงศ์”
“แล้วพ่อก็ยอมรับว่าพ่อรู้ พ่อส่งพี่วีร์ไปไหน”
ท่านนายพลลุกขึ้นมาจากโต๊ะช้าๆ ก่อนจะค่อยๆเดินตรงมาหาชินดนัย
“พ่อจะบอกอะไรแกให้นะชิน เลิกไร้สาระแล้วก็ฝันถึงสิ่งที่มันไม่มีทางเป็นจริงได้แล้ว แกคงไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะปล่อยให้ลูกชายคนเดียวเป็นเกย์หรอกนะ...”
“พ่อ...”
“เลิกถามได้แล้วว่าเจ้าวีร์มันไปไหน เพราะยังไงพ่อก็ไม่มีทางบอกแกแน่ๆ และที่สำคัญ...เตรียมตัวหมั้นกับหนูแพรพลอยได้เลย”
การที่ต้องมารับรู้ว่าชนวีร์จากไป มันทำให้ชินดนัยเจ็บปวดมากแค่ไหน การที่ต้องหมั้นกับแพรพลอย ก็ไม่ต่างอะไรกับข่าวร้ายดีๆนี่เอง
“พ่อไม่มีสิทธิ์บังคับผม ผมไม่หมั้นกับแพรแน่ๆ”
สาบานเถอะ...ต่อให้ฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย ยังไงชินดนัยก็ไม่มีวันยอมหมั้นหรือแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาไม่รักเด็ดขาด อย่าให้เขาต้องเป็นคนใจร้ายด้วยการทำร้ายจิตใจผู้หญิงดีๆอย่างแพรพลอยเลย ผู้หญิงเพียบพร้อยอย่างแพรพลอย ไม่สมควรที่จะมาจมปลักอยู่กับผู้ชายที่ไม่มีวันรักเธอได้อย่างเขา
“พ่อไม่ได้ถามความเห็นแกนะชิน เรื่องนี้พวกผู้ใหญ่เขาคุยกันแล้ว เตรียมตัวไว้เลย แต่งงานกับแพรพลอยแล้วมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้มซะ เลิกคิดเลิกฝันถึงอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ซะที”
“พ่อไม่สงสารผมก็ไม่เป็นไร แต่สงสารแพรหน่อยเถอะ อย่าดึงเธอมาเกี่ยวด้วยเลย เธออยู่ของเธอดีอยู่แล้ว อย่าให้เธอต้องมาทนทุกข์เพราะการแต่งงานกับคนอย่างผมได้ไหม”
ถ้าจะมีคนต้องเจ็บปวด ก็ให้เป็นเขาแค่คนเดียวได้ไหม ชินดนัยไม่อยากเห็นแก่ตัว ไม่อยากทำร้ายใคร โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อมอย่างแพรพลอย ท่านนายพลอาจจะบังคับให้เขาแต่งงานกับเธอได้ แต่ก็ไม่อาจบังคับให้เขารักเธอ และถ้าต้องแต่งงานกันไปโดยที่ไม่ได้รักกัน สุดท้ายคนที่ทุกข์และเสียใจจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่แพรพลอย
“ถ้าไม่แต่งกับแพรพลอย แล้วแกจะแต่งกับใคร” ท่านนายพลเอ่ยถามเสียงห้วน
ชินดนัยมองสบตาผู้เป็นพ่อนิ่ง แววตาเขาจริงจังกว่าที่เคยก่อนจะเอ่ยออกไปช้าๆ ทว่าชัดเจน
“ผมไม่คิดที่จะแต่งงานกับใครอยู่แล้ว”
“ชินดนัย!!”
“พ่อสั่งได้แค่ร่างกายของผม ถึงยังไงพ่อก็สั่งใจผมไม่ได้ ถ้าพ่อไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว...”
ท่านนายพลมองตามแผ่นหลังของชินดนัยที่เดินหันหลังจากไป แววตาแข็งกร้าวเมื่อครู่ของลูกชาย...นานแค่ไหนกันที่ไม่ได้เห็น ก็ได้แต่หวังว่า...
“มั่นคงให้ได้ตลอดรอดฝั่งละกัน”
====================