✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 180666 ครั้ง)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อวสานท่อนไม้ไป๋ตั้งแต่วันนั้นแล้ว
กลายร่างเป็นไม้เลื้อยเต็มรูปแบบในวันเขเาหอ
นางน่ารักตรงเซอไพร้ซ์ไว้ก่อนแล้วตั้งแต่รบเสร็จ โอ้โห ฟินแล้วก้อบูู๊ต่อเลย
สงสารร่างบอบบางของฟางเอ๋อร์จริงๆ

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แอบฮาบทที่ว่าจื่อฟางให้ไป๋ลอดแขนเข้าหออ่ะ
ส่วนพี่ไป๋ก็บอกน้องว่าไม่หิว แต่รอกินน้องอยู่
คือแบบ ใครร้ายกาจกว่ากันคะ เลือกไม่ถูกเลย

แอบสงสารหยางชวี หาคู่ให้น้องหน่อยค่ะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
สนุก น่าติดตาม ชอบมากๆค่ะ

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จื่อฟาง นางแซ่บเกินไปแล้ว
คุณชายไป๋ก็อหมือนกัน เห็นเงียบๆ นางดุมากกกกด

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
กรี๊ด ท่านไป๋มิใช่ท่อนไม้อีกต่อไป แต่เป็นปีศาจไม้เลี้อย น้องฟางก็อึดดีแท้ ตอนนี้หวานไปก่อน ตอนหน้าเครียดแน่

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ตอนนี้ดีงามมากเจ้าท่อนไม้มีวิวัฒนาการ​ล้ำเลิศจนได้ลงเอย​เป็นสามีภรรยากับฟางเอ๋อ​กันแล้ว​ ตอนหน้าก่อกบฏ​ตื่นเต้น​เลยค่ะ

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
หยางน้อยยยเจ้าเด็กขี้หวงงงง 5555555 เอ็นดูนางงง พายุลูกใหม่กำลังจะถาโถมเข้ามาแล้วสินะ ฮ่องเต้กับคนงามของเขาก็ไม่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้น แต่ฮ่องเต้กก็แอบเข้าใจความรักมากขึ้นนะ

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
บทยี่สิบสี่: พลิกผัน


ฮ่องเต้เจี่ยผิงมาเยือนคุกหลวง เขาสวมใส่ชุดตัวยาวธรรมดา มือไพล่หลังด้วยท่าทีสงบ เบื้องหน้าของเขาคือบุตรชายสกุลหลี่เสื้อผ้าที่เคยใหม่เอี่ยมเปื้อนไปด้วยฝุ่น ร่างซูบผอมหมอบกราบอยู่แทบเท้าเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจี่ยผิงมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กจื่อฟางคิดอย่างไรถึงได้อยากช่วยคนผู้นี้ หลี่ฮุ่ยจือมิใช่มิตรสหายด้วยซ้ำ กระทั่งตัวเสิ่นจิ้งเฟยเองยังไม่ใคร่ใส่ใจนัก 

ยามที่ชายหนุ่มได้รับจดหมายฉบับนี้จากที่ปรึกษาเกา เขาได้เปรยถามความเห็นของเสิ่นจิ้งเฟย ชายงามตอบเพียงว่าแล้วแต่การตัดสินใจของเขา เจี่ยผิงยอมเสียเวลามาพบเจอบุตรชายสกุลหลี่ก็เพราะอยากรู้ถึงเรื่องเร่งด่วนตามที่เนื้อความในจดหมายบอกไว้

“เจ้ามีเรื่องใดต้องการบอกเราหรือ หลี่ฮุ่ยจือ”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เด็กหนุ่มที่หมอบกราบตรงหน้าขยับร่างเล็กน้อย ศีรษะยังคงก้มต่ำ

“กระหม่อมต้องการบอกถึงแผนการร้ายของหลี่ลั่วหวั่นพ่ะย่ะค่ะ”หลี่ฮุ่ยจือตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนเบาอย่างไม่แน่ใจนัก เขาไม่ได้ใช่คำว่าบิดา เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับท่านพ่อมากอยู่แล้ว การตัดสินใจของคนผู้นั้นไม่เกี่ยวกับเขา เมื่อนึกถึงเสิ่นจิ้งเฟยก็น้ำตารื้นไม่คิดว่าคุณชายรูปงามผู้นั้นจะยอมออกปากช่วยเหลือตนจริง ๆ มาคิดดูแล้วที่ผ่านมาหลี่ฮุ่ยจือก็สร้างเรื่องงามหน้าให้กับอีกฝ่ายไม่น้อย

“แผนการร้าย?”ฮ่องเต้หยักยิ้ม“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ”กู้หมิงยกเก้าอี้มาให้โอรสสวรรค์นั่งเพราะรู้ดีว่าฝ่าบาทเริ่มสนใจการสนทนาครั้งนี้ เจี่ยผิงยกชายเสื้อนั่ง จ้องมองไปที่หลี่ฮุ่ยจือด้วยสายตาเยียบเย็น

“กระหม่อมบังเอิญได้ยินหลี่ลั่วหวั่นพูดคุยกับสหาย พูดถึงการลอบเข้ามาในเมืองหลวงขององค์ชายใหญ่ และพวกชาวหูที่ตั้งใจจะบุกมาจากเขตชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”

“น่าเสียดายนักที่เรื่องพวกนี้เรารู้หมดแล้ว”บุรุษหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแต่กลับสนใจสหายที่อีกฝ่ายกล่าวถึงมากกว่า “สหายที่เจ้าว่าคือผู้ใด”

หลี่ฮุ่ยจือเลียริมฝีปาก ใจเต้นรัวแรง “กระหม่อมมิรู้จัก แต่เขาชื่อแม่ทัพเจิ้งพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หนุ่มเลิกคิ้ว แม่ทัพสกุลเจิ้ง คงมีเพียงผู้เดียว คนผู้นี้ไม่เห็นด้วยกับการคุมขังอัครเสนาบดีหลี่ อีกทั้งยามนี้ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ชายหนุ่มทบทวนอยู่ในใจ คงต้องให้คนรีบส่งม้าเร็วไปเตือนกำลังพลที่ซุ่มโจมตีอยู่ที่เมืองลั่วหยางให้ระวังแม่ทัพเจิ้งไว้

“เท่านี้รึ”ฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังบอกกล่าวไม่หมดคงไม่กล้าแทรกวาจาขัดจังหวะความคิดของเขา

“ยะ ยังมีอีกพ่ะย่ะค่ะ”บุตรชายสกุลหลี่รีบโพล่งออกมา สบตาเขาวูบหนึ่งก่อนรีบก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “หลี่ลั่วหวั่นยังกล่าวอีกว่าในคืนก่อนวันคล้ายวันเกิดของหลิวอ๋องเจี่ยซินจะมีเหตุจลาจลเกิดขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งก็คือคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”หลี่ฮุ่ยจือบอกออกไปแล้ว จำได้ว่าคืนนั้นตนเมาสุรามากเสียจนเข้าไปนอนสลบที่ห้องชั้นในหลังฉากกั้นห้องหนังสือของบิดาโดยบังเอิญ เมื่อสะดุ้งตื่นก็ได้ยินท่านพ่อกำลังสนทนากับแม่ทัพผู้หนึ่งด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด นึกแล้วก็โล่งอกที่วันนั้นเขาไม่โดนจับได้ ไม่รู้เช่นกันว่าท่านพ่อจะจัดการกับเขาอย่างไร เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าออกช้า ๆไม่กล้าสบพระพักต์ของเจ้าแผ่นดิน ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าข้อมูลของตนจะเป็นประโยชน์พอให้รอดออกจากคุกหลวงแห่งนี้

ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ฟังก็นิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด ลงมือก่อความวุ่นวายในคืนนี้อย่างนั้นหรือ เขาได้แบ่งกำลังทหารและหน่วยมีฝีมือไว้คอยป้องกันตามหัวเมืองต่าง ๆเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในเมืองหลวงก็วางกำลังป้องกันไว้ อีกส่วนหนึ่งปกป้องวังหลวงอย่างหนาแน่น หากจะมีคนกล้าก่อความวุ่นวายในวังหลวงก็คงเป็นเพียงฝีมือของคนในเท่านั้น คนที่ยังพอใช้งานและไว้ใจได้ก็มีเพียงองครักษ์ที่ส่งไปจับตาดูจื่อฟางที่จวนสกุลเสิ่น คงต้องให้สองคนนั่นคอยระงับเหตุการณ์ร้ายแรงในจุดที่บุตรชายสกุลหลี่บอก เขาไม่อยากเรียกใช้นายทหารเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้ว่ามีการเคลื่อนไหว

“เจ้าคงรู้ว่าควรทำสิ่งใด”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวส่งสายตาสื่อความนัยไปทางเฮ่อเจ๋อ  ร่างนั้นรับคำทำความเคารพก่อนหมุนตัวออกไปจัดการตามคำสั่งทันที เขาเบนสายตากลับมาที่บุตรชายสกุลหลี่ จะว่าอย่างไรดี เขาไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอย่างจื่อฟางเสียด้วย เจ้าคนผู้นี้เคยล่วงเกินเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อนหากไม่ทรมานเล่นสักเล็กน้อยก็น่าเบื่อแย่

เจี่ยผิงลุกจากเก้าอี้ จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ข้อมูลของเจ้าน่าสนใจ แต่ยังไม่มีน้ำหนักมากพอให้เราลดโทษให้แก่เจ้า แต่หากว่าเจ้าอดทนผ่านการลงทัณฑ์ของเราได้เกินสามวัน เราสัญญาว่าจะปล่อยตัวเจ้าออกจากคุงหลวง”แต่ปล่อยไปที่ใดนั้น ยังไม่ตัดสินใจ เจี่ยผิงหยักยิ้มก้มมองร่างผอมซูบที่ตัวสั่นงันงกอย่างห้ามไม่อยู่

“เจ้าคิดว่าคำขอของชายรูปงามผู้หนึ่งจะเปลี่ยนความคิดเราได้อย่างนั้นหรือ”อีกทั้งผู้ร้องขอก็มิใช่เสิ่นจิ้งเฟย

“ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้เกี่ยวข้องใดกับการกระทำของบิดา โปรดเมตตากระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”หลี่ฮุ่ยจือโขกศีรษะร้องขออย่างสิ้นหวัง เจี่ยผิงปรายตามองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินออกมาจากคุกหลวง ทิ้งให้บุตรชายสกุลหลี่ทรุดอยู่เช่นนั้น หลี่ฮุ่ยจือรู้สึกว่าอยากร่ำไห้แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่หวังว่าตนจะมีชีวิตรอดจากการลงทัณฑ์


~•~


จื่อฟางทิ้งหยางชวีไว้ด้านนอก ปล่อยให้เจ้าคนหน้าตายนั่นตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนเข้านอนเด็กหนุ่มแขวนโคมไฟทิ้งไว้ที่ฉากกั้นเช่นทุกครา นึกไปถึงโคมไฟบนหัวเตียงที่บ้านหลังเล็กของไป๋ผูอวี้ก็ยิ้มออกมา โคมไฟต้องจุดไว้ให้ครบสามวันนับแต่วันเข้าหอห้ามให้ดับ แต่จะว่าไปไม่อยากเชื่อว่าตนแต่งงานแล้ว เขาสะบัดความคิดเพ้อเจ้อออกไปจากหัว จัดหมอนให้เรียบร้อยก่อนล้มตัวนอน หยางชวีถอยออกไปเฝ้าด้านนอกห้องเช่นเคยยังคงครุ่นคิดเรื่องของคุณชายเสิ่น จางต้าเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยของผู้เป็นนายพลันนึกถึงเรื่องเมื่อวานตอนเย็นได้พอดีจึงกระแอมกระไอเบาๆ

“คุณชาย ข้าน้อยเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งได้ เมื่อวานตอนค่ำๆ ข้าเห็นคนผู้หนึ่งที่กำแพงจวน”จางต้าบรรยายถึงลักษณะท่าทางให้คุณชายเสิ่นฟัง ทีแรกคุณชายก็นอนดี ๆแต่พอเขาเล่าว่าคนผู้นั้นมีใบหน้างดงามราวสตรีแต่เป็นความงามที่เหมือนอาบยาพิษคุณชายเสิ่นก็พลิกตัวหันมามองหน้าเขาเขม็ง

“เอ่อ…มีอะไรหรือขอรับ หรือคนผู้นั้นเป็นผู้ร้าย”จางต้าได้แต่สงสัยว่าตนพูดผิดไปที่ใดหรือไม่

“เปล่าหรอก เขาเป็นสหายข้า เจ้าไม่ต้องกังวลไป”จื่อฟางพึมพำบอก มองร่างของบ่าวรับใช้ด้วยสายตาครุ่นคิด ไม่ผิดแน่ จากคำบรรยายของอีกฝ่ายคนงามผู้นั้นต้องเป็นเจาเฟิง เสิ่นจิ้งเฟยมาที่จวนสกุลเสิ่น มาเพราะเหตุใดกัน หรือเพราะมาดูจางต้า ความคิดนี้ทำให้เขาอมยิ้มน้อย ๆ

 บ่าวคนสนิทมองคุณชายอย่างไม่เข้าใจนัก คิดไปว่าคงเป็นเรื่องของไป๋ผูอวี้กระมังคุณชายถึงได้ยิ้มเช่นนี้

“นอนเถิดขอรับ”จางต้าจัดผ้าห่มบนตัวของผู้เป็นนายให้เรียบร้อย

“ขอบคุณมาก”จื่อฟางรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้ก็มีจางต้านี่แหละที่คอยดูแลไม่ห่างไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เคยเอ่ยบ่น(ให้ได้ยิน) จางต้าได้ยินคุณชายรูปงามเอ่ยเช่นนั้นก็เกาหัวแกรกๆ ออกมาล้มตัวนอนที่นอกฉากกั้น จื่อฟางหัวเราะขำกับสีหน้าของอีกฝ่ายแม้จะอ่อนเพลียแต่ก็ข่มตานอนหลับไม่ได้ง่ายๆ นึกถึงวันรุ่งขึ้น เขาต้องไปวังหลิวอ๋อง เป็นครั้งแรกที่ได้ไปที่นั่นจึงรู้สึกตื่นเต้นและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มนอนคิดเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งความอ่อนล้าเอาชนะได้ในที่สุด 

เวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืนเสียงตีกลองบอกเวลาดังก้องไปทั้งฉางอัน หยางชวีที่อยู่นอกห้องออกมายืนมองท้องฟ้าดำมืดที่ลานบ้าน มีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะแรงกดดันขององครักษ์ทั้งสองที่ด้านนอกจวนหายไปแล้ว ผู้ใดเป็นผู้ลงมือ หลิวอ๋องหรือคนขององค์ชายใหญ่ ผู้ติดตามยังคงยืนมองไปยังที่ห่างไกลออกไป กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เหลือบมองก็พบจางต้าขยี้ตาอย่างง่วงงุ่น

“เจ้าออกมาทำไม”

“ข้าปวดฉี่น่ะสิ”บ่าวเซ่อซ่าตอบ เงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นกัน ทันใดนั้นท่ามกลางความเงียบมีเสียงแปลกๆดังขึ้น เสียงผิวปากที่คล้ายกับเสียงนกร้อง แต่หยางชวีรู้ดีว่าไม่ใช่ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณมากกว่า ชายหนุ่มยืนตัวตรงด้วยท่าทีระแวดระวัง ดวงตาสีดำสอดส่องไปในความมืด ขยับกระบี่ที่อยู่ในมือ จางต้าสะดุ้งโหยงมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายนำออกมาตั้งแต่เมื่อใด

“เจ้าได้ยินหรือไม่หยางชวี”บ่าวรับใช้มองไปรอบ ๆอย่างขลาดกลัว เสียงผิวปากหวีดหวิวดังขึ้นอีกครั้ง

“จางต้า เจ้าไปถามศิษย์พี่หานตงที่เรือนของนายท่านว่ามีเรื่องแปลกเกิดขึ้นหรือไม่ ข้าจะอยู่ดูคุณชายเสิ่นเอง”ชายหนุ่มเอ่ยสั่งเสียงจริงจัง เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ไอ้อาการหนาวเย็นไปถึงกระดูกสันหลังคล้ายกับว่าถูกจับตามอง หยางชวีไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ มันทำให้เขาเหมือนตกเป็นเหยื่อในขณะที่ผู้ล่ากำลังซุ่มสังเกตการณ์

“อืม”จางต้าไม่เอ่ยมากความแม้จะหวาดกลัวแต่ก็รีบสาวเท้าออกไปที่เรือนด้านหน้าทันที หยางชวีมองเงาร่างของฝ่ายนั้นหายไปจากกรอบสายตา สายลมพัดเอื่อย เขาจึงเงียหูฟังเสียงบางอย่าง คิดว่าได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ทันใดนั้นเงาร่างสามร่างก็ปรากฏตัว หยางชวีรับมือการจู่โจมดุดันของชายปริศนาทั้งสามคนในคราวเดียว

แย่แล้วหยางชวีเหลือบมองเห็นบ่าวรับใช้ในเรือนที่หูดีหน่อยออกมาดูที่ลานบ้าน ชายปริศนาจึงพุ่งร่างไปหา บ่าวผู้นั้นร่วงกองกับพื้นราวกับตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง แต่เขาไม่มีเวลามาห่วงผู้อื่นเพราะต้องรับมือกับชายชุดดำมากฝีมือถึงสองคน ในใจห่วงคุณชายเสิ่นที่นอนหลับอยู่ในห้อง เพราะไป๋ผูอวี้แท้ๆที่ทำให้คุณชายอ่อนเพลียขนาดนั้น

หยางชวีหลบริ้วกระบี่ได้เพียงหนึ่ง อีกคมดาบก็พุ่งแทงมาที่ท้องน้อย ชายหนุ่มขบฟัน ได้ยินเสียงมาจากเรือนของนายท่านเสิ่นมู่หยาง ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่เรือนของคุณชายเท่านั้นที่ถูกลอบโจมตี ในตอนนี้คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าสกุลเสิ่นถูกเล่นงานเข้าแล้ว!หยางชวีพยายามต้านชายปริศนาทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่คนชุดดำอีกคนไปจัดการบ่าวไพร่ในเรือนไม่ให้ส่งเสียง

‘คุณชายเสิ่น!’ หยางชวีหมุนตัวมุ่งหน้าไปห้องหนังสือแต่คู่ต่อสู้ไม่ปล่อยให้เขาหนี กลับต้อนโจมตีให้ออกห่างจากห้องหนังสือมากเข้าไปทุกที อาการบาดเจ็บของชายหนุ่มยิ่งเพิ่มจากหนึ่งเป็นสองและดูท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาจะสู้จนตัวตาย

จื่อฟางสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกห้อง เขาลืมตากวาดมองในความมืด ใจกระตุกวูบเมื่อพบกับใบหน้าร้ายกาจของหลิวอ๋องเจี่ยซินที่อยู่ในระยะประชิด มือหนาของร่างนั้นเอื้อมมาปิดการร้องตะโกนด้วยความตกใจของเขา
 
“ชู่วว อย่าส่งเสียง”หลิวอ๋องกระซิบอย่างมุ่งร้าย จ่อมีดสั้นแหลมคมมาที่ลำคอของเขาอย่างข่มขู่ โคมไฟที่แขวนอยู่ส่องแสงริบหรี่ ทำให้มองเห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดสีดำทั้งร่างเฉกเช่นวันที่ลอบเข้ามาในจวนสกุลเสิ่นครั้งก่อน เด็กหนุ่มใจเต้นแรง เสียงด้านนอกห้องยังคงดังให้ได้ยิน เขามั่นใจว่าเป็นเสียงของการต่อสู้ หลิวอ๋องปล่อยมือออกจากริมฝีปากของอีกร่าง ออกแรงกดปลายมีดที่ลำคอของเด็กหนุ่มเป็นการข่มขู่

“ท่านคิดทำสิ่งใด”เด็กหนุ่มถามเสียงแหบแห้ง เลียริมฝีปากที่แห้งผาก ใจเต้นแรงอย่างตื่นตระหนก “ข้ารับใช้ของข้าเล่า”เขาถามแม้จะเริ่มคาดเดาสถานการณ์ได้ส่วนหนึ่ง เสียงการต่อสู้ที่ด้านนอกนั่นต้องเป็นของหยางชวีแน่อยู่แล้ว ไหนจางต้าที่ไม่ได้อยู่ในห้องนอกฉากกั้นเช่นทุกที ความคิดนี้ทำให้เขาไม่สบายใจนัก

หลิวอ๋องแสยะยิ้ม “ผู้ติดตามของเจ้าฝีมือดี ข้าจึงต้องหาคนฝีมือดีกว่ามาจัดการเขาให้พ้นทาง คิดว่าเขาคงบาดเจ็บไม่น้อย พ่อเจ้าก็เช่นกัน เจ้าอยากไปจากที่แห่งนี้ไม่ใช่หรือ น้องเสิ่น ข้ามากำจัดเขาให้เจ้าแล้วอย่างไร งานของเราจะได้ง่ายขึ้น”หลิวอ๋องเอ่ยวาจาอย่างเย็นชา แววตาดำมืด จื่อฟางถูกคำพูดของท่านอ๋องจู่โจมจนตื่นตระหนก กำจัดเสิ่นมู่หยาง ไม่นะ เขาไม่ต้องการเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเสิ่นจิ้งเฟย และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับคนผู้นั้น แต่คนในจวนสกุลเสิ่นแห่งนี้เปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเขาไปแล้วกระทั่งจางต้าก็เหมือนน้องชายคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการให้หลิวอ๋องฆ่าคนเหมือนผักปลา

“ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้”จื่อฟางกระซิบเสียงเบาอย่างร้อนใจ ตั้งใจจะขยับตัวแต่หลิวอ๋องเลื่อนมีดแหลมคมจ่อมาที่ใบหน้าของเขาอย่างอันตราย หลิวอ๋องคิดวางแผนใด เขาเริ่มรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี 

“ทำไมจะไม่ได้ เจ้าบอกข้าเองว่าเกลียดเสิ่นมู่หยาง อยากไปจากจวนสกุลเสิ่นแห่งนี้...หรือเจ้าคิดเปลี่ยนใจเสียแล้ว ต้องการเล่นบทบุตรชายผู้ใฝ่ดี”ดวงตาของเจี่ยซินเป็นประกายมาดร้าย คืนนี้เขามาหาเสิ่นจิ้งเฟยเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตัดสินใจว่าจะเก็บคุณชายรูปงามผู้นี้ไว้ใช้งานหรือไม่ ชายหนุ่มพร้อมลงมือแล้ว ยามนี้ไม่สามารถชักช้าได้อีกต่อไปเพราะหากเขาไม่เร่งลงมือ ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงได้จัดการเขาก่อน องค์ชายใหญ่อาจจะลงมือเมื่อใดก็ได้

“ข้ามิคิดเปลี่ยนใจ ครั้งก่อนก็ยืนยันแล้วไม่ใช่หรือ”จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เพราะปลายมีดแหลมคมสัมผัสกับแก้มของเขาเบา ๆ ดูท่าหลิวอ๋องจะติดโรคขี้ระแวงสงสัยมาจากฮ่องเต้เจี่ยผิง

“ถ้าเช่นนั้นก็เลือกมาว่าจะร่วมมือกับข้าหรือไม่ คืนนี้ข้าจะเดินทางออกจากฉางอันก่อนที่เจี่ยผิงจะปิดตายเมืองหลวง”หลิวอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงคั่งแค้น คนผู้นี้บีบคั้นเขาทุกทาง เพราะราชโองการลิดลอนอำนาจอ๋องทำให้มีอ๋องครองแคว้นหลายคนไม่กล้าลงมือ จากเจ็ดเหลือเพียงสี่เท่านั้น  แต่ในเมื่อลงเรือมาลำเดียวกันเจี่ยซินไม่มีทางให้อ๋องอีกสามคนกระโดดหนีลงเรือไปก่อน จึงใช้การข่มขู่ให้เข้าร่วม เป้าหมายของเจี่ยซินคือเมืองเสียนหยาง อ๋องที่เหลือแยกย้ายไปตามแผนที่วางไว้และต้องปรับเปลี่ยนเพราะเจี่ยผิงลอบวางกำลังพลไว้ซุ่มโจมตีระหว่างทาง

“คืนนี้เลยน่ะหรือ ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าออกไปจากประตูเมืองได้”จื่อฟางกล่าวเตือนสติ หลิวอ๋องมองมาด้วยแววตาข่มขู่ ร่างของบุรุษด้านบนกดน้ำหนักลงมาจนหายใจไม่สะดวก  เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าหงึกหงักเมื่อเห็นสัญญาณเตือนของอีกฝ่าย ขณะที่สมองคิดหาทางเอาตัวรอด

เสียงการต่อสู้ด้านนอกเงียบลงแล้ว  หยางชวีตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย เขายังได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากที่ไกลออกไปไม่มากนัก...เสียงนั้นคล้ายดังมาจากเรือนของเสิ่นมู่หยาง ในใจของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หลิวอ๋องเล่นงานสกุลเสิ่นจริง ๆน่ะหรือ! ม่านที่ปกคลุมเตียงไหวเล็กน้อยเพราะแรงลม แสดงว่าบานหน้าต่างถูกเปิดออก

“ข้าร่วมมือกับท่านตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือพี่เจี่ยซิน”จื่อฟางกลั้นใจเอ่ยชื่อนี้ออกไป เป็นชื่อที่อยู่ลึกในความทรงจำของร่างนี้ นานมาแล้วที่ไม่ได้หยิบยกมาใช้ คนด้านบนมีสีหน้าอ่านไม่ออก ดวงตาดำลึกเป็นประกาย ร่างขององครักษ์สองคนโผล่เข้ามาพร้อมกลิ่นคาวเลือดฉุนอยู่ในห้อง กระบี่แหลมคมของพวกเขาส่องประกายอยู่ในความมืด ท้องไส้ของจื่อฟางบิดมวนรู้สึกเหมือนป่วยไข้ เลือดบนปลายดาบมาจากหยางชวีและคนในเรือนของเขาสินะ ในอกของเด็กหนุ่มพลันบีบรัดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

“เหตุใดต้องทำร้ายคนในจวนข้า”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม หลิวอ๋องเจี่ยซินยกยิ้มเยือกเย็น หันมองคนสนิทอย่างสื่อความนัย จื่อฟางออกแรงดิ้นไปมาเมื่อคาดเดาเรื่องราวออก หลิวอ๋องตั้งใจจะฆ่าปิดปากเขา?ทันใดนั้นดาบยาวในมือของชายชุดดำคนหนึ่งวางพาดอยู่ที่ลำคอของเขา ชายอีกคนถือแท่นจุดไฟอันคุ้นตาอยู่ในมือ ดวงตาของคนผู้นั้นเป็นประกายมุ่งร้าย ระหว่างที่เป่าแท่งจุดไฟจนเกิดเปลวเพลิงลุกวาบจากนั้นก็โยนใส่ชั้นหนังสือเบื้องหลัง ไฟค่อยๆลามเลียจุดติดอย่างง่ายดาย

“ข้าคิดทำลายสกุลเสิ่นอย่างไรเล่า งานของเราจะได้ง่ายขึ้น”คืนนี้เจี่ยซินเป็นฝ่ายเดินหมากก่อนย่อมได้เปรียบ เขาส่งสายตาไปทางองครักษ์ ชายชุดดำเคลื่อนไหวรวดเร็ว ใช้ผ้าอุดปากของเด็กหนุ่มจนเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังอู้อี้อยู่ในลำคอ  มัดมือของเขาด้วยเชือก ร่างบางออกแรงดิ้นด้วยความตระหนกแม้ดาบยาวจะบาดลึกที่ลำคอ น้ำตาเอ่ออย่างห้ามไม่ได้ เหลือบตามองเห็นเปลวเพลิงค่อยๆลามเลียไปตามฉากกั้น

 ความหวาดกลัวกัดกินอยู่ในจิตใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใกล้ความตายมากขนาดนี้ อยู่ ๆใบหน้าของพ่อกับแม่ก็วาบเข้ามาในใจ ทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรบ้าง หากจื่อฟางตายจะได้เจอพวกท่านอีกหรือไม่ เขาเริ่มตระหนักถึงความเป็นจริงอันน่าเจ็บปวด ที่นี่คือโลกนิยาย โลกที่ไม่มีอยู่จริง แม้แต่ไป๋ผูอวี้ก็เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้น ตัวเขาเองยังไม่มีร่างที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ ยิ่งคิดเช่นนี้ก็ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งออกแรงดิ้น ร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่ในหัวอย่างสิ้นหวัง

“เจ้าหวาดกลัวหรือ ไม่ต้องห่วง อีกนิดเดียวเจ้าก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”เจี่ยซินฉีกยิ้มเป็นมิตร ลูบศีรษะของเด็กหนุ่มราวกับต้องการปลอบโยน

“ไฟไหม้ห้องหนังสือของคุณชายเสิ่น!”เสียงบ่าวคนหนึ่งตะโกนลั่นแหวกความเงียบก่อนที่เสียงร้องลั่นด้วยความตระหนกจะดังตามมา

“ละ เลือด!มีคนลอบทำร้ายสกุลเสิ่น…”คำพูดเงียบหายไปตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเพียงครึ่งคำจากนั้นก็ได้ยินเสียงของหนักหล่นกระทบพื้นดังตุบ จื่อฟางนอนฟังด้วยความหวาดกลัว บ่าวคนนั้นคงถูกฆ่าตาย ผิดคาดจริง ๆ เขาคิดว่าคนผู้นี้จะลงมือในงานวันคล้ายวันเกิดของตนเสียอีก เสียงจากเรือนของเสิ่นมู่หยางยิ่งดังมากขึ้น เปลวไฟยิ่งลุกลามในห้องหนังสือจนความร้อนอาบไปทั่วร่าง นี่เขาต้องถูกย่างทั้งเป็นจริง ๆน่ะเหรอ!ตอนจะตายเลือกสภาพศพไม่ได้จริง ๆ 

ไป๋ผูอวี้ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาเจ้า นึกถึงพิธีแต่งงานอันรวดเร็วที่คล้ายความฝันตื่นหนึ่งก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากร้องไห้ ร่างบางหมุนพลิกตัวพยายามหลีกหนีความตาย แต่หลิวอ๋องยิ่งออกแรงกดกดปลายมีดที่แก้มจนกระแสเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่าง

“เสิ่นจิ้งเฟย ไว้พบกันคราวหลัง”หลิวอ๋องยกยิ้ม เด็กหนุ่มเห็นปลายมีดแหลมคมอยู่ตรงหน้า รับรู้ว่าถูกกรีดที่แก้ม เขากรีดร้องลั่นอยู่ในลำคอด้วยความเจ็บปวด ร่างกายเกร็งกระตุก เปลวไฟโหมลุกอยู่ในห้องจนร้อนอบอ้าว

ใครก็ได้ช่วยที! เขานึกถึงไป๋ผูอวี้ นึกถึงหยางชวี แม้กระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิง ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ใจเต้นกระหน่ำ อาการเจ็บแปลบทำให้น้ำตาไหลอาบใบหน้างาม ปนเปื้อนไปกับเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาจากบาดแผลตรงข้างแก้ม จื่อฟางตัวสั่นไปทั้งร่าง มองเห็นหลิวอ๋องเจี่ยซินโน้มตัวเข้ามาใกล้ พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้ยิน ภาพตรงหน้าเริ่มดำมืด ครู่หนึ่งจื่อฟางคล้ายกับมองเห็นภาพหลอน เป็นภาพขาด ๆ เกินๆราวกับวิทยุที่หมุนไม่ตรงคลื่น ในหัวมองเห็นผนังห้องสีขาวสะอาดตา  เขากระพริบตาเพ่งมองภาพให้ชัด จังหวะการเต้นในอกถี่รัวเมื่อมองเห็นเงาร่างหนึ่งเด่นชัด

“จื่อฟาง นาย...”ร่างนั้นมีสีหน้าตื่นตระหนก ก้มเข้ามาใกล้จนเห็นภาพชัดเจน จื่อฟางเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นทรงผมที่ตัดสั้นตามยุคสมัย ร่างที่มีใบหน้าเหมือนไป๋ผูอวี้ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวสิ แต่ร่างกายของเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกดึงกระชาก ภาพของชายตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน เจ็บปวดไปทั้งตัว ภาพขาดๆเกินๆเหล่านั้นหายไป ก่อนที่สติจะดับวูบ จื่อฟางได้ยินเสียงร้องตะโกนเป็นที่วุ่นวายของบ่าวไพร่ในจวนสกุลเสิ่นห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือเปลวไฟลามเลียอยู่รอบตัว

ไป๋ผูอวี้…


~•~


เสิ่นจิ้งเฟยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่ที่ริมหน้าต่างจากตำหนักหยุนเอี้ยน แม้จะเข้าสู่ปลายเดือนสอง อากาศไม่เย็นมากนัก แต่นางกำนัลก็ยังคะยั้นคะยอให้เขาสวมผ้าคลุมขนสัตว์ที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงสั่งตัดให้เป็นพิเศษเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจฝ่าบาท ชายงามย่นคิ้วให้กับความคิดนั้น เขาไม่เคยเอาอกเอาใจฮ่องเต้และคิดว่าไม่มีวัน เสิ่นจิ้งเฟยปรายตามองร่างของเจ้าแผ่นดินที่นั่งอ่านตำราอยู่ที่ตั่งนอนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คืนนี้คนผู้นี้มาค้างที่ตำหนักของเขาอีกแล้ว

“เจ้ามองข้านานแล้ว”เจี่ยผิงเอ่ยโดยไม่ละสายตามาจากตัวอักษรงดงามตรงหน้า เขากำลังอ่านจดหมายจากชายแดนเมืองอี้โจว ดูเหมือนว่าช่างอิ่นกำลังลงมือแล้ว ชายหนุ่มยกยิ้ม

‘เร็วเข้า เจี่ยซิน เจี่ยอี้ เราอยากจบเรื่องนี้เสียที’

“ข้าแค่กำลังคิดว่าท่านเคยสนใจฮองเฮากับองค์รัชทายาทบ้างหรือเปล่าก็เท่านั้น”เสิ่นจิ้งเฟยยิ่งรู้สึกไม่ชอบน้ำหน้าเจี่ยผิง ฝ่าบาททำเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับที่เสิ่นมู่หยางทำกับเขา รัชทายาทจะว่าอย่างไรที่บิดาผู้เป็นเจ้าแผ่นดินมาหลงไหลชายงามผู้หนึ่งจนไม่ยอมแวะเวียนไปที่ตำหนัก

คำถามของอีกฝ่ายทำให้ฮ่องเต้เจี่ยผิงนิ่งงันไปอย่างไตร่ตรอง จริงอยู่ที่เขาไม่ได้แวะไปที่ตำหนักฮองเฮา แต่เขาไม่ได้ละเลยรัชทายาท ยังคงให้บัณฑิตหลิวเซียนฟางไปช่วยสอนหนังสือบุตรชายอยู่บ่อยครั้งแม้ว่าช่วงหลังบัณฑิตหลิวจะสุขภาพไม่ค่อยดี ทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ

“เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสอด”เจี่ยผิงจงใจเอ่ยด้วยถ้อยคำรุนแรง ต้องการให้อีกฝ่ายรู้แม้ว่าถูกโปรดปรานแต่ก็ใช่ว่าจะเอ่ยอย่างที่ใจคิดได้ทุกเรื่อง ชายงามจ้องหน้าเขาอยู่ครู่ใหญ่ แค่นเสียงในลำคอก่อนจะเหม่อมองท้องฟ้าด้านนอกต่อไป ฮ่องเต้หนุ่มปิดตำราก้าวลงจากตั่ง สืบเท้าไปหาคนงาม เสิ่นจิ้งเฟยเหมือนอยากถอยหนีแต่เพราะถูกร่างของชายหนุ่มกักขังจึงยืนตัวแข็งอยู่เช่นนั้น

“เจ้าโกรธข้า?”เขาแสร้งเอ่ยถามยื่นมือไปแตะแผ่นหลังของร่างนั้นเบาๆ เสิ่นจิ้งเฟยปรายตามองอย่างเยียบเย็นจนเจี่ยผิงหวาดหวั่น ชายงามผู้นี้ส่งผลกระทบต่อเขามากเกินไป

“ท่านรู้ว่าข้าถูกบิดาปฏิบัติเช่นไร แล้วไยยังกระทำกับรัชทายาทเช่นเดียวกันไม่เห็นหรือว่าข้าเป็นอย่างไร”เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยากยุ่งเรื่องครอบครัวของเจี่ยผิงนัก เป็นเรื่องใหญ่เกินไปสำหรับเขา พอคิดเช่นนี้แล้วก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเส้นทางของเขากับฮ่องเต้ไม่มีทางบรรจบกัน คนผู้นี้มีฮองเฮา มีโอรส อีกทั้งยังมีสนมงาม เหตุใดท่านมักมากเช่นนี้!

“ข้าไม่มีวันทอดทิ้งรัชทายาท”เจี่ยผิงกล่าวเบาๆ ไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้ ชายหนุ่มมองออกว่าเรื่องนี้เป็นบาดแผลใหญ่ของเสิ่นจิ้งเฟย มองร่างบางตรงหน้าแล้วเขาก็รู้สึกว่าอยากโอบกอด

“ข้าขอกอดเจ้าได้หรือไม่”น่าขันจริงเชียว แค่กอดชายงามผู้หนึ่งก็ยังต้องออกปากขอ เขาเป็นเจ้าแผ่นดินมิใช่หรือ คิดอยากทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้เอ่ยตอบ ไม่สบตากับอีกคน พักนี้เขาค่อนข้างเหนื่อยฝันประหลาดอยู่บ่อยครั้ง ราวกับว่ามีอีกโลกหนึ่งอยู่ในความฝัน เสิ่นจิ้งเฟยได้สติเมื่อถูกอ้อมแขนของชายหนุ่มด้านหลังโอบกอด ร่างบางออกแรงดิ้นแต่อ้อมแขนนั้นกลับยิ่งรัดแน่น

“ขออยู่แบบนี้แค่ครู่เดียว”เจี่ยผิงพึมพำเบา ๆ ซบหน้าลงกับไหล่เล็ก ร่างของเจาเฟิงมีเนื้อหนังมากกว่าร่างผอมแห้งของเสิ่นจิ้งเฟย เวลากอดจึงรู้สึกเต็มไม้เต็มมือมากกว่า

“ท่านไม่คิดว่าเปิดเผยความรู้สึกมากเกินไปหรือ”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขึ้นเบา ๆ ลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มร่างใหญ่เป่ารดอยู่ที่ซอกคอจนให้ความรู้สึกหวาบหวิวจนต้องขบฟันห้ามความทรงจำเก่า ๆ แต่ก่อนก็จำได้ว่าถูกกอดเช่นนี้ แต่คนผู้นั้นมักบอกว่าเป็นกอดเช่นพี่ชายน้องชาย ‘ข้าช่างไร้เดียงสาจนเข้าขั้นโง่’

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของอีกร่าง เปิดเผยมากไปงั้นหรือ มิใช่ว่าเขาแสดงออกมาตลอดหรือไร? เขาปล่อยร่างของเจาเฟิง ยืดกายด้วยท่าทีสงบ ข่มกลั้นความรู้สึกต้องการเอาไว้ เขารอมานานหลายปี ต่อให้ต้องรออีกซักหลายเดือนก็ทนได้ เสิ่นจิ้งเฟยทอดสายตามองท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินฮ่องเต้ก้าวกลับไปนั่งที่ตั่งยาวเช่นเดิมก็ผ่อนไหล่ที่ตึงเครียดลง

“จื่อฟาง…”



ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิด ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเกร็งเขม็งขึ้นมา เสียงเรียกนี้ดังหลอกหลอนมานานหลายคืน เสียงปริศนาร้องเรียกชื่อของจื่อฟางช่างคุ้นหู เขาไม่รู้ว่าจื่อฟางผู้นี้เป็นใครมาจากที่ไหนจึงคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะเช่นนี้จึงอยากไปพูดกับเจ้านั่น เสิ่นจิ้งเฟยหลับตา พยายามไล่เสียงประหลาดออกไปจากหัว ก่อนก้าวไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องดนตรี จรดมือลงบนกู่เจิงบรรเลงบทเพลงเบา ๆ

ฮ่องเต้หนุ่มเงยหน้ามองเมื่อได้ยินบทเพลงอันคุ้นหูเป็นบทเพลงที่เขาจำได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยแต่งขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่ตนเป็นเพียงองค์รัชทายาท....หรือฟู่จวิ้น เจี่ยผิงยกยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่เคยเย็นชาของเจาเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบระหว่างที่มือเคลื่อนไหวอยู่บนกู่เจิง เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้เล่นบทเพลงนี้เพื่อเอาใจผู้ใดเพียงแค่นึกอยากเล่นเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว เด็กหนุ่มเล่นไปได้สักพักก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน ราวกับถูกฉุดกระชากด้วยมือที่มองไม่เห็น 

“โอ๊ย”เสิ่นจิ้งเฟยยกมือกุมหน้าอก ใจเต้นถี่รัว อาการเช่นนี้ไม่ใช่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เขาแน่นหน้าอกที่หอผูเยว่ก่อนที่ตนจะเข้าร่างของเจาเฟิง หรือว่า…หรือว่าเขาจะกลับร่างเดิม? ระหว่างที่ปวดรวดร้าวไปทั้งร่างก็มองเห็นฮ่องเต้เจี่ยผิงรีบก้าวมาหา พริบตาเดียวก็มาอยู่เบื้องหน้า

“จิ้งเฟย เจ้าเป็นอะไร”เจี่ยผิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาปราดสายตามองไปนอกประตู “เส้ากงกง เรียกหมอหลวงชวีมาที่นี่ด่วน!”

“จิ้งเฟย เจ้าอดทนก่อน อย่าเพิ่ง…”อย่าเพิ่งไปจากข้า!ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ใช้สองมือประคองใบหน้าเล็กของชายงามที่เผือดซีด ดวงตาคู่งามเลื่อนลอยไม่ได้จับจ้องมาที่เขา

“…ฟะ”เสิ่นจิ้งเฟยพยายามร้องเรียก แต่ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว อยากขยับร่างแต่ก็ทำไม่ได้ ราวกับความคิดไม่สอดคล้องกับร่างกาย ความหวาดกลัวในส่วนลึกแผ่กระจาย เด็กหนุ่มไม่อยากกลับไปที่ร่างเดิม!เขาไม่ต้องการร่างอ่อนแอน่าสมเพชนั่น จื่อฟาง เจ้าอยู่ที่ใด เกิดอะไรขึ้น!เสิ่นจิ้งเฟยรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเอ่ยคำพูดออกมา

“ฟู่จวิ้น”เด็กหนุ่มเรียกชื่ออันแสนคุ้นเพราะต้องการฟู่จวิ้นคนเดิม มิใช่ฮ่องเต้ผู้เห็นแก่ตัวมองไม่เห็นผู้ใดนอกจากตัวเอง ก่อนที่เขาจะจากร่างนี้ไป ฝ่าบาทท่านจะคิดได้หรือไม่ว่าท่านไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ใดทั้งนั้น

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าอยู่นี่”เจี่ยผิงตอบเบา ๆเขย่าร่างบางที่เริ่มเย็นเฉียบอย่างน่าใจหาย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ต้องไม่ใช่เรื่องดี เขามองดวงตาของอีกฝ่ายก็ไม่เห็นร่องรอยมีชีวิตชีวาของเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในนั้น ราวกับเป็นเพียงร่างว่างเปล่า เขาเม้มปากมองออกไปด้านนอกรู้สึกงุ่นง่านเหลือกำลัง

 “หมอหลวงชวียังไม่มาอีกหรือ!ไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอกเลยรึไง ไปตามหมอหลวงมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”ฮ่องเต้หนุ่มตวาดลั่นในอกแผดร้อนเรากับมีไฟแผดเผา เขาหวาดกลัวจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

“จื่อฟาง”เสียงเดิมร้องเรียก คนผู้นั้นเอ่ยชื่อของเจ้าคนโชคร้ายที่อยู่ในร่างของเขา ภาพปรากฏให้เห็นเป็นห้องแปลกตาห้องหนึ่ง… สีขาวสะอาด มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาคุ้นตา เส้นผมสีดำตัดสั้น ชายหนุ่มที่โน้มตัวอยู่ตรงหน้าคล้ายกับไป๋ผูอวี้แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เสิ่นจิ้งเฟยตะเกียกตะกายหลีกหนีสุดกำลัง มองเห็นภาพบางอย่างเข้ามาในความทรงจำ ภาพที่ไม่ใช่ของเขา วิญญาณคล้ายกับถูกกระตุก

“ข้าไม่…อยากไป”เด็กหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งรอบตัวแล้ว จึงได้แต่พึมพำอย่างมืดบอด เขาไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ใด ไปยังสถานที่แปลกตานั่นหรือร่างเดิม อา…ที่ไหนเขาก็ไม่อยากไปทั้งนั้น ความรู้สึกของเขาช่างสับสนนัก แต่ต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางยอมรับ จนกว่าเจี่ยผิงจะได้รับบทเรียน!

“ข้าไม่ให้เจ้าไป จิ้งเฟยเจ้าต้องอยู่กับข้า”เจี่ยผิงกอดร่างเย็นเยียบในอ้อมแขนแน่น ไม่อยากให้เสิ่นจิ้งเฟยไปที่ใดทั้งนั้นแต่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้คนในอ้อมแขนไม่เป็นไร

“เฮ่อเจ๋อ ไปที่จวนสกุลเสิ่นดูว่าจื่อฟาง ไม่สิ เสิ่นจิ้งเฟยยังอยู่ดีหรือไม่”ฮ่องเต้กล่าวอย่างเร่งร้อนไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้างามเพียงนิด ในตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าใครจะอยู่ในร่างผู้ใด เขาแค่ต้องการเสิ่นจิ้งเฟย เฮ่อเจ๋อรับคำก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว เสิ่นจิ้งเฟยหอบหายใจ อาการเจ็บปวดร้าวไปทั้งร่างคล้ายถูกบีบรัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ฮ่องเต้เจี่ยผิงปรากฏชัดเดี๋ยวก็พร่ามัว เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใบหน้าตื่นกลัวของผู้ที่ได้ชื่อว่าโอรสสวรรค์

ท่านก็เจ็บปวดเป็นด้วยหรือ “ฟู่จวิ้น…”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกกระตุกดึงเป็นครั้งสุดท้าย

“เชิญท่านแก่เฒ่าไปผู้เดียวเถิด”เขายกยิ้มเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบากก่อนที่รอบกายจะดำมืด มองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของฮ่องเต้เจี่ยผิงเป็นสิ่งสุดท้าย

“เสิ่นจิ้งเฟย!”ชายหนุ่มร้องเรียก เขย่าร่างบางที่อ่อนปวกเปียกไร้สติอยู่ในอ้อมแขน เอามือแตะที่ปลายจมูกของอีกคนทันที ลมหายใจจากร่างนั้นยังมีอยู่แต่ก็บางเบาจนน่าใจหาย เจี่ยผิงร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไรก็ไม่ฟื้น จนกระทั่งหมอหลวงชวีรีบเร่งเข้ามา ชายหนุ่มรีบวางร่างของเสิ่นจิ้งเฟยลงบนเตียง จากนั้นก็รอหมอหลวงตรวจอาการ เดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่น

‘เชิญท่านแก่เฒ่าไปผู้เดียวเถิด’คำพูดนี้ทำให้เขาเจ็บแปลบในอก สู้บอกว่าเกลียดข้ายังดีกว่าพูดคำนี้ ชายหนุ่มกำมือแน่นตวัดสายตามองหมอหลวงชวี ชายชราพลันรับรู้ถึงสายตาเยียบเย็นของฮ่องเต้ที่อาบร่างของตนก็เหงื่อแตก จับชีพจรของชายงามจนแน่ใจแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นเผือดซีดด้วยความหวาดกลัว จะให้บอกเจ้าแผ่นดินที่อยู่ในอารมณ์ผีเข้าผีออกอย่างไรเล่าว่าชายงามผู้นี้ตายแล้ว!ชายชราได้แต่ตัวสั่นมองเห็นประตูปรโลกเปิดกว้างทุกที

“ว่าอย่างไร”ชายหนุ่มเร่งถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของชายมากอายุ หวาดกลัวกับคำตอบที่จะได้รับ

“ทูลฝ่าบาท...ชายงามเจาเฟิง…ไม่มีลมหายใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงชวีก้มหน้าเอ่ยคุกเข่าด้วยร่างสั่นเทิ้ม รู้ดีว่าชายงามเจาเฟิงเป็นผู้ที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงโปรดปรานมากที่สุดในขณะนี้ เจี่ยผิงได้ยินก็โกรธจัดสืบเท้ามาอยู่เบื้องหน้าหมอหลวง

“เจ้าพูดอะไรออกมา!เมื่อครู่เขายังดีอยู่แท้ๆ เขาจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!”ฮ่องเต้หนุ่มไม่อยากยอมรับ ยิ่งมองเห็นร่างสั่นเทาของหมอหลวงก็มีแต่ทำให้โทสะพวยพุ่งจึงถีบร่างนั้นจนกระเด็น

“ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมทูลกล่าวตามความจริง ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าจะช่วยเขามิได้”หมอหลวงทรุดหมอบแทบเท้าเจ้าเหนือหัว ไม่กล้าบอกกล่าวไปตามที่คิดว่าร่างของชายงามผู้นี้แปลกนัก เย็นเฉียบราวกับคนที่ตายไปนานแล้ว

ฮ่องเต้เจี่ยผิงใบหน้าซีดเผือด ดวงตาดำลึกมีประกายโทสะ “นำตัวหมอหลวงชวีไปโบยร้อยไม้”ชายหนุ่มไม่มองร่างของตาแก่นั่นอีก ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกรีบเข้ามานำตัวหมอหลวงชวีออกไปทันที ชายชราร้องขอความเมตตาแต่ฮ่องเต้ก็ไม่คิดชายตามอง

เจี่ยผิงเบนสายตามองร่างไร้สติของเจาเฟิง สืบเท้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เอื้อมมือไปสัมผัสผิวกายเย็นเยียบ เจ้าตายหรือ?เรื่องตลกอันใด ข้ารู้ว่าเจ้าออกจากร่างนี้ไปเท่านั้น เจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้น

ที่หน้าประตูตำหนักร่างของเฮ่อเจ๋อปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน เจี่ยผิงไม่ได้หันไปมองเพียงพยักหน้าให้กับองค์รักษ์คนสนิท

“ฝ่าบาท เกิดเหตุที่จวนสกุลเสิ่นพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีกรมพิธีการถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บ และยังมีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นที่ห้องหนังสือของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย ยามนี้ยังไม่สามารถนำร่างของเขาออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรายงานเสียงเรียบ รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องเยียบเย็นลง องครักษ์คนสนิทไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าสบพระพักต์ของเจ้าแผ่นดิน

“เพลิงไหม้…จิ้งเฟย”เจี่ยผิงมองร่างเจาเฟิง ถูกความจริงกระแทกใส่จนมึนงง ร่างจริงของเสิ่นจิ้งเฟยติดอยู่ในเพลิงไหม้ ถ้าเช่นนั้นวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยจะไปที่ใดเล่า ฮ่องเต้สับสนไปหมด คราแรกคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะกลับร่างเดิมจึงรู้สึกเหมือนเห็นภูเขาพังทลายต่อหน้าต่อตา ร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง

 ‘สวรรค์ มิใช่ว่าท่านเข้าข้างข้าหรอกหรือ เหตุใดถึงทำเรื่องวุ่นวายเช่นนี้’

“เกิดเรื่องใดขึ้น!จู่ๆจะมีคนเข้ามาทำร้ายสกุลเสิ่นได้อย่างไร คนที่ข้าส่งไปมัวทำอะไรอยู่เหตุใดไม่ช่วยเขา!”ฮ่องเต้สืบเท้ามาหาเฮ่อเจ๋อ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะอันน่าหวาดกลัว เฮ่อเจ๋อรีบคุกเข่าทันที

“ฝ่าบาท เกิดเหตุวุ่นวายที่อีกฝั่งของเมืองฉางอัน พระองค์อาจหลงลืมว่าทรงถ่ายทอดคำสั่งให้องครักษ์สองคนนั้นเข้าไปหยุดสถานการณ์…จวนสกุลเสิ่นจึงถูกคนโจมตี ที่หน้าประตูเมืองก็เช่นกัน ทหารถูกฆ่าตายหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะแต่มีชาวบ้านพบเห็นว่ามีรถม้าต้องสงสัยมุ่งหน้าออกไป”

เจี่ยผิงกัดฟันกรอด นัยน์ตาวาวโรจน์ อยากระเบิดความโกรธแค้นที่คั่งอยู่ในอกออกมา เหตุวุ่นวายที่อีกฝั่งของฉางอันเป็นแผนการของหลี่ลั่วหวั่นจริง รึเป็นเพียงแผนการหลอกล่อให้คนเข้าไปก่อเรื่องในจวนสกุลเสิ่น เป็นเช่นนี้เจี่ยผิงค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นฝีมือของเจี่ยซิน เขามาจัดการฆ่าเสิ่นจิ้งเฟยด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับที่เขาวางแผนใส่ร้ายสกุลหลี่

“เจี่ยซิน เจ้าเอาคืนได้เจ็บแสบนัก ประเสริฐ เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนข้ออีก”ฮ่องเต้พึมพำ ใบหน้าปรากฏแววกระหายเลือด ออกคำสั่งกับองครักษ์ “ส่งคนไปที่จวนสกุลเสิ่น ตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุให้แน่ชัด แล้วนำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยมาที่นี่”เขาต้องการเห็นกับตาให้แน่ใจ

“พ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อจากไปอีกครั้ง ทิ้งกู้หมิงเฝ้าระวังความปลอดภัยของฮ่องเต้ เจี่ยผิงกลับไปเฝ้าร่างไร้ชีวิตของเจาเฟิงเช่นเดิม คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว ถ้าหากร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถูกทำลาย แล้วเจ้าเด็กจื่อฟางนั่นเล่า ไปที่ใด ฮ่องเต้หนุ่มนั่งมองร่างของชายงามที่บัดนี้เริ่มแข็งตัว เขาหลับตาลง ความรู้สึกยิ่งชัดเจน ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งก่อนยื่นมือสัมผัสใบหน้านั้นเบาๆ เจี่ยผิงรู้มาตลอดว่าตนต้องการสิ่งใด ตั้งแต่ต้นเขาก็ต้องการเสิ่นจิ้งเฟย ทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ แต่ในยามนี้...แม้แต่วิญญาณก็ไม่หลงเหลือ ในกำมือของเขาเหลือเพียงความว่างเปล่า 

‘เชิญท่านแก่เฒ่าไปผู้เดียวเถิด’

ข้าไม่ยอมหรอกจิ้งเฟย ต่อให้เจ้าตาย ร่างของเจ้าก็ต้องฝังไปพร้อมกับข้า


~•~

ไป๋ผูอวี้รู้สึกไม่ดีนักที่โคมไฟบนหัวเตียงดับลงทั้ง ๆที่ไม่ได้เปิดหน้าต่าง ทั้งที่ไม่มีลมใดหลุดรอดเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มจุดโคมอีกครั้ง ก่อนกลับมากวาดตามองแผนที่ของเมืองฉางอันอย่างครุ่นคิด ตามที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงบอก เจ็ดอ๋องที่ก่อกบฏต่างก็กำลังเคลื่อนไหวไปโจมตีเจ็ดเมืองสำคัญ ฮ่องเต้ส่งกำลังฝีมือดีไปที่เมืองอื่นแล้ว มีเพียงเมืองใกล้เคียงฉางอันที่คนสกุลไป๋ต้องรับมือ ได้แก่เมืองเสียนหยางและลั่วหยาง

“คุณชายไป๋!”เว่ยหลงกระแทกประตูเข้ามาในห้องอย่างไม่มีพิธีรีตอง สีหน้าตื่นตระหนกของผู้ติดตามทำให้ไป๋ผูอวี้ไม่ออกปากต่อว่า แสดงว่ามีเหตุร้ายแรง ในอกกระตุกวูบอย่างลางไม่ดี

“มีเรื่องใด”

“สกุลเสิ่นถูกโจมตี…เสิ่นจิ้งเฟยติดอยู่ในเพลิงไหม้…”เว่ยหลงยังพูดไม่ทันจบ ไป๋ผูอวี้ก็สืบเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เว่ยหลงรีบก้าวตามไปติด ๆ ในใจรู้สึกสงสารผู้เป็นนายยิ่งนัก เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อวานยังจัดพิธีแต่งงานอยู่เลยมิใช่หรือ กระทั่งที่ลานบ้านก็ยังไม่ได้เอาผ้าแพรแดงออก

ไป๋ผูอวี้กระโจนขึ้นหลังอาชา กระตุกบังเหียนมุ่งหน้าไปที่จวนสกุลเสิ่นทันที เขาตกใจมากจนไม่ได้คิดสิ่งใด ความคิดมีเพียงต้องไปช่วยจื่อฟางเท่านั้น ทุกก้าวจังหวะย้ำเตือนถึงโอกาสรอดของผู้ที่ได้ชื่อว่าภรรยาของเขา ที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่เคยหวาดกลัวความตายมาพรากคนรักไปจากตน เขามีแต่หวาดกลัวคนเป็น กลัวว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะมาแทรกกลาง เขาช่างโง่นัก ที่คิดว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ไป๋ผูอวี้มองไม่เห็นรอบกายคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องไปถึงจวนสกุลเสิ่นให้เร็วที่สุด หากเกิดเหตุร้ายขึ้นแสดงว่าหยางชวีได้รับบาดเจ็บหรือแย่กว่านั้น…ไป๋ผูอวี้ขบฟันรู้ดีว่าผู้ติดตามหน้าตายไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่     

เว่ยหลงควบม้าตามผู้เป็นนายมาติด ๆเอ่ยรายงานสถานการณ์ไปด้วย “ข้าให้ซูเหลียนฮวาล่วงหน้าไปก่อน หากมีเรื่องด่วนจะได้ให้นางรักษาได้ทันท่วงที”ไม่รู้ว่าคุณชายไป๋จะได้ยินที่ตนรายงานหรือไม่ เพราะเบื้องหน้ามองเห็นควันไฟและเปลวเพลิงเด่นชัดในท้องฟ้ามืดมน เสียงโวยวายจากจวนสกุลเสิ่นดังมาให้ได้ยิน ไป๋ผูอวี้ใจหล่นวูบไม่คิดว่าเปลวเพลิงจะรุนแรงเช่นนั้น เขากำสายบังเหียนจนเจ็บ ได้แต่เรียกชื่อจื่อฟางซ้ำ ๆ

รอข้าก่อน ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ไม่ว่าร่างที่ติดอยู่ในกองไฟจะใช่ร่างของเจ้าหรือไม่ก็ตาม


……………..


จวนสกุลเสิ่นเกิดเหตุเพลิงไหม้  ควันไฟสีเทาหม่นพวยพุ่งลอยอยู่ในอากาศ จุดเกิดเหตุอยู่ที่ห้องหนังสือชั้นในของคุณชายเสิ่น และที่สำคัญร่างของเสิ่นจิ้งเฟยยังอยู่ในนั้น บ่าวรับใช้จากเรือนของเสิ่นมู่หยางที่ยังหลงเหลืออยู่รีบพากันนำถังน้ำมาดับไฟเป็นที่วุ่นวาย ทหารเวรยามเข้ามาตรวจสถานการณ์ต่างก็ช่วยดูแลความปลอดภัยของจวนสกุลเสิ่น บางส่วนมาช่วยดับไฟ แต่ก็ทำได้ยากลำบาก ยังไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าเปลวเพลิงนำร่างของคุณชายเสิ่นออกมา เกิดเรื่องร้ายแรงกับสกุลเสิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในเขตเรือนของคุณชายพบร่างไร้ชีวิตของบ่าวไพร่นอนเกลื่อน

ปัง!

เกิดเสียงกระแทกดังขึ้น บานประตูห้องหนังสือถูกกระแทกเปิดออก พวกบ่าวไพร่ที่เหลือพยายามเข้าไปให้ถึงห้องชั้นในแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังผ่านความเงียบยามค่ำคืน พวกเขาต่างก็ใช้สายตาหวาดกลัวกวาดมองไปที่ด้านในฉากกั้นที่ไฟโหมลุกอย่างรุนแรง ไม่กล้าฝ่าเปลวเพลิงเข้าไป  เดิมทีพวกเขาบ่าวไพร่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาด้านในเรือนของคุณชายเสิ่นและที่แห่งนี้ด้วยซ้ำ

มีเพียงบ่าวคนสนิทและผู้ติดตามหน้าตายมักจะคอยเฝ้าดูแลคุณชายเสิ่นเสมอแต่ยามนี้ทั้งจางต้าและหยางชวีต่างก็ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงถึงชีวิต ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แม้จะมีหมอทหารเข้ามาช่วยรักษา เรือนของนายท่านเสิ่นมู่หยางก็ถูกบุกรุกโจมตีเช่นกัน พวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดก่อน จวนสกุลเสิ่นถูกโจมตี ความเสียหายครั้งนี้ ดูท่าจะประเมินไม่ได้

“คุณชายเสิ่น”ร่างซวนเซของหานตงโผล่มาด้วยสภาพได้รับบาดเจ็บ แขนข้างหนึ่งถูกกระบี่บาดลึกจนเนื้อเปิด เลือดไหลทะลักท่วมร่าง สายตาเรียบเฉยกวาดมองไปรอบบริเวณมองเห็นร่างของหยางชวีจมกองเลือดมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ซูเหลียนฮวาหญิงที่มีฉายาว่านางมารหมื่นพิษผู้นั้นพยายามห้ามเลือดอย่างสุดความสามารถ หานตงหันมองเปลวเพลิงเบื้องหน้า แม้จะไม่แสดงออกแต่ภายในใจของเขาสั่นไหว สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณชายเสิ่นจะยังมีชีวิตรอด

“รีบช่วยกันดับไฟ”หานตงเอ่ยสั่ง ไม่อยากให้กำลังใจของบ่าวไพร่หดหาย ชายหนุ่มยกมืออีกข้างกุมบาดแผล แววตาเป็นประกายคั่งแค้น เขาจำองครักษ์ที่จู่โจมนายท่านเสิ่นได้เพราะเคยเห็นเมื่อครั้งก่อน คนของหลิวอ๋อง แม้จะโกรธเคืองที่คุณชายร่วมมือกับคนผู้นั้นก่อกบฏจนเกิดเรื่องเช่นนี้ แต่เขาไม่เคยต้องการให้เสิ่นจิ้งเฟยตาย ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้านายที่เคยเห็นมาแต่เล็ก หานตงพยายามฝ่าเปลวไฟเข้าไปแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายซวนเซเพราะอาการบาดเจ็บ เขาพยายามฝืนร่างกายให้คงสติไว้อย่างยากเย็น บ่าวไพร่ที่ใจกล้าพากันยกถังน้ำเข้าไปสาดดับไฟถึงด้านในเปลวเพลิงจึงดับวูบไปบางส่วน

ทันใดนั้นร่างสูงโปร่งในชุดสีเทาสง่าก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าไร้สีเลือด กลิ่นชาอ่อน ๆติดตัวมาด้วย ไป๋ผูอวี้จ้องมองเปลวเพลิงเบื้องหน้า ตามมาด้วยเว่ยหลงที่ดูตื่นตระหนกกับภาพที่เห็นเช่นกัน ไป๋ผูอวี้รู้สึกร่างกายชาไปครู่หนึ่งคว้าถังน้ำมาจากบ่าวที่วิ่งผ่าน ถอดเสื้อคลุมชุบน้ำจนเปียก เอาผ้าคลุมร่างก่อนจะพุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงดั่งคนโง่ แต่เว่ยหลงคว้าแขนของเขาไว้

“ไม่ได้นะคุณชาย เปลวเพลิงเช่นนี้….เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางรอด”เว่ยหลงรีบกล่าวเรียกสติผู้เป็นนาย แม้ว่าจะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เขาจำเป็นต้องพูดตามจริง เขามองเห็นดวงตาที่เคยนิ่งสงบของคุณชายมีคลื่นเจ็บปวดถาโถม ชายหนุ่มก้าวถอยหลังเล็กน้อย ข่มกลั้นธารอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ในอก สวรรค์ท่านเล่นตลกมากเกินไปแล้ว ไม่คิดให้เขามีความสุขนานกว่านี้หน่อยหรือ พิธีแต่งงานที่เพิ่งเกิดขึ้นราวกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง อยู่ ๆก็เกิดเรื่องเช่นนี้ ท่านพ่อออกเดินทางกลับเมืองหลานโจวไปแล้ว หากเขายังปล่อยให้จื่อฟางไปอีกคน...

“เหลวไหล เจ้าปล่อยข้า ข้ารู้ดีว่าเขา...”ไป๋ผูอวี้พูดไม่ออก แม้จะเข้าใจแต่ยังไม่อยากยอมรับ เขากัดฟันเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“จะปล่อยให้เขามอดไหม้ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ได้อย่างไร”ผู้ที่เจ็บปวดเป็นจื่อฟางไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย เขาจะนำจื่อฟางออกมาไม่ว่านั่นจะเป็นร่างของผู้ใดก็ตาม เว่ยหลงพูดไม่ออก จึงปล่อยมือจากคุณชายไป๋ กวาดสายตามองไปรอบ ๆเพื่อมองหาร่างคุ้นตาของซูเหลียนฮวา นางกำลังคุกเข่าอยู่ข้างกายที่มีบาดแผลหลายแห่ง

                “คุณชายไป๋ มีบานหน้าต่างที่สามารถเข้าไปได้ขอรับ”บ่าวคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมารายงาน แม้จะไม่รู้จักบุตรชายร้านน้ำชาผู้นี้มากนัก แต่ก็ดูจะเป็นคนเดียวที่พอช่วยเหลือคุณชายเสิ่นได้ ไป๋ผูอวี้ได้ยินก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้าตามบ่าวผู้นั้นไปทันที เดินอ้อมไปไม่นานก็พบกับบานหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่เล็กน้อย เขาไม่เสียเวลาคิดรีบกระโจนร่างเข้าไปทันที

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงร้องเรียกตามหลัง คิดว่าคุณชายใจร้อนเกินไปแล้ว ผู้ติดตามได้แต่รออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจ หันมองหานตงที่ดูคล้ายจะล้มตึงไปได้ทุกเมื่อ ทันใดก็ได้ยินเสียงของเสิ่นมู่หยางดังแว่วมา

“เฟยเอ๋อร์”เสนาบดีเสิ่นมีบ่าวไพร่ช่วยพยุงซ้ายขวา ขาข้างซ้ายมีผ้าพันแผลพันไว้ ใบหน้าเผือดซีด แม้จะเจ็บปวดจากบาดแผลถูกแทงแต่ยามนี้เขาเป็นห่วงบุตรชายเกินกว่าจะมาใส่ใจ เมื่อมองเห็นเปลวเพลิงลุกท่วมห้องหนังสือก็แทบซวนเซ เพลิงไหม้แดงฉานเช่นนั้น เสิ่นจิ้งเฟยจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เขากวาดตามองพบว่าหยางชวีได้รับบาดเจ็บ ในใจยิ่งเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว เสิ่นมู่หยางเริ่มแสบเคืองนัยน์ตา มองเห็นผู้ติดตามของไป๋ผูอวี้ที่ยืนเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ แสดงว่าเจ้าคนแซ่ไป๋อยู่ที่นี่ เขาบอกกับตัวเองว่ายังพอมีหวัง หานตงรีบเข้าไปประคองผู้เป็นนายไม่ให้ล้ม เสิ่นมู่หยางถูกแทงที่ต้นขา ดีที่เส้นเอ็นไม่ถูกตัดขาดยังพอรักษาให้เดินกลับเป็นปกติได้ พวกบ่าวไพร่ต่างก็มองผู้เป็นนายด้วยสีหน้าขลาดกลัว

“เหตุใดเจ้าไม่ช่วยบุตรชายข้า!”เสิ่นมู่หยางเห็นผู้ติดตามของตนก็คว้าคอเสื้อแน่น หลังจากที่ถูกโจมตี หานตงห้ามเลือดบาดแผลของเขาเสร็จ เสนาบดีเสิ่นก็ไล่ให้มันไปดูบุตรชายก่อน

“ข้าน้อยมาถึงเปลวเพลิงก็ลุกท่วมแล้วไม่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย”หานตงได้แต่ยืนก้มหน้ารับผิด

“เจ้ามัน…”

ท่ามกลางความเงียบ ร่างของไป๋ผูอวี้ก็กระแทกบานหน้าต่างออกมา ใจของผู้เป็นบิดากระตุกวูบเมื่อปราดมองไปที่ชายหนุ่ม ในอ้อมแขนมีเสื้อคลุมห่อร่างหนึ่งไว้ แขนขาวซีดห้อยตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง กลิ่นไหม้ของผิวเนื้อลอยอวลอยู่ในอากาศ ไป๋ผูอวี้วางร่างในอ้อมแขนลงบนพื้นอย่างเบามือ ชายหนุ่มเงยหน้ามองเว่ยหลง แม้ไม่เอ่ยสิ่งใดแต่ผู้ติดตามก็รีบเข้ามาใกล้ ถอดเสื้อคลุมออกมาปกปิดร่างส่วนที่เหลือ

ไป๋ผูอวี้จัดผ้าคลุมปกปิดร่างที่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก แต่มือกลับสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาดำลึกมีประกายคลื่นวูบหนึ่ง ยามที่เข้าไปร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถูกเปลวไฟเผาทำลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะส่วนใบหน้า เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นจึงใช้ผ้าคลุมไว้ ไป๋ผูอวี้เจ็บแปลบในอกที่ต้องเห็นภาพเช่นนี้ เขาเคยเห็นคนตายมาหลากหลายรูปแบบแต่จื่อฟางทำให้เขาเก็บซ่อนความอ่อนแอไว้ไม่อยู่

“ไป๋ผูอวี้ บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”เสนาบดีเสิ่นรีบก้าวไปหาไป๋ผูอวี้เท่าที่ขาอ่อนเปลี้ยจะเอื้ออำนวย แม้ส่วนลึกในใจจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม ร่างบุตรชายที่ถูกผ้าคลุมไว้ดูอย่างไรก็ไม่น่ามีชีวิตอยู่ ยิ่งทำให้เขาไร้เรี่ยวแรง ผู้ติดตามข้างกายได้แต่ประคองไม่ให้ผู้เป็นนายเป็นลม ไป๋ผูอวี้ยังคงมองร่างไร้วิญญาณของจื่อฟางไม่ไหวติง แม้ผิวหนังของเขาจะแสบร้อนเพราะถูกความร้อนลวกผิวแต่ยามนี้กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ยกเว้นที่ในอก เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน อาการปวดหนึบทำให้เขาอยากร่ำไห้แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ ความเจ็บปวดที่ไม่มีบาดแผลย่อมต้องทนได้

แต่ไป๋ผูอวี้เสียใจยิ่งนักที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ที่กล่าวได้ว่าเป็นภรรยาของเขา ฟางเอ๋อร์จากไปแล้ว เหลือเพียงร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น ภรรยาของเขาจากไปอย่างน่าเวทนา โคมไฟในห้องหอยังจุดไม่ครบสามวันเลยด้วยซ้ำ เจ้าคนผู้นี้ก็รีบหนีเขาไปเสียแล้ว ความทรงจำสุดท้ายคือภาพที่จื่อฟางหอมแก้มของเขา ไป๋ผูอวี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก

 “คุณชายไป๋”เว่ยหลงเอ่ยเรียกเสียงแหบแห้ง พอมาได้เห็นเสิ่นผู้เคยงดงามตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ เสิ่นจิ้งเฟยเพิ่งเข้าห้องหอกับคุณชายของเขาได้เพียงวันเดียวก็เป็นเช่นนี้แล้ว ช่างอับโชคยิ่งนัก

                “ไป๋ผูอวี้ ว่าอย่างไร!ข้าถามเจ้า”เสิ่นมู่หยางร้อนใจเสียจนอยากร่ำไห้ ข่มความเจ็บปวดที่บาดแผลไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว 

“ตายแล้ว”ไป๋ผูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ก่อนจะเงยหน้ามองเสนาบดีเสิ่นด้วยดวงตาดำลึก “บุตรชายของท่านตายแล้ว”ชายหนุ่มเอ่ยย้ำเพื่อบอกกล่าวย้ำเตือนกับตนเองด้วย

“ไม่จริง เจ้าโกหก”เสิ่นมู่หยางตะโกนตั้งใจจะโถมตัวไปดูร่างบุตรชายแต่ท่อนขาก็ฝืนทนต่ออาการบาดเจ็บไม่ไหวทำให้ซวนเซล้มลง

“นายท่าน”หานตงเอ่ยเรียก รีบประคองร่างนั้นด้วยสีหน้าเศร้าหมองดูเหมือนนายท่านเสิ่นจะไม่เหลือแรงแล้ว เขามองไป๋ผูอวี้ขยับประคองอุ้มคุณชายเสิ่นไว้ในอ้อมแขนก่อนจะพาร่างของคุณชายกลับไปยังเรือนนอน เขาเคยแคลงใจเรื่องไป๋ผูอวี้ แต่บัดนี้กระจ่างแจ้งแล้ว อย่างไรก็ต้องยอมรับ บุตรชายสกุลไป๋ผู้นี้กล้าฝ่าเปลวเพลิงนำร่างของคุณชายเสิ่นออกมาอย่างไม่กลัวตาย

“เฟยเอ๋อร์ ข้าผิดเอง”เสิ่นมู่หยางน้ำตาไหลอย่างไม่คิดอับอายผู้ใด หรือนี่เป็นเวรกรรมของเขา หานตงอยากปลอบใจผู้เป็นนายแต่รู้ดีว่าไม่ถนัดเรื่องเช่นนี้ จึงทำได้เพียงคุกเข่าอยู่ข้างกาย

         เว่ยหลงเร่งฝีเท้าตามคุณชายไปที่เรือนนอนของเสิ่นจิ้งเฟย มองแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของคุณชายก็ได้แต่ถอดถอนใจ ยามนี้เอ่ยปลอบอย่างไรคงไม่ได้ผล ไป๋ผูอวี้บรรจงวางร่างของเสิ่นจิ้งเฟยลงที่เตียงนอนอย่างระมัดระวัง เอื้อมมือที่ยังคงสั่นน้อย ๆ เปิดผ้าที่คลุมส่วนใบหน้าออก ชายหนุ่มไม่หวาดกลัวบาดแผลไหม้บนใบหน้างาม เดิมทีเขาก็ไม่ได้มองอีกฝ่ายเพราะความงามอยู่แล้ว แต่เห็นเช่นนี้เขาก็ยังเจ็บปวดเมื่อคิดถึงว่าจื่อฟางจะทรมานมากเพียงใด เขาลูบใบหน้านั้นเบา ๆ จ้องมองจนพอใจก่อนจะใช้ผ้าคลุมตามเดิมไม่ให้มีส่วนใดหลุดรอดออกมาให้คนเห็น

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงเอ่ยเรียกอย่างเป็นกังวล คุณชายของเขาดูเลื่อนลอยไปชั่วขณะ เอื้อมมือไปเขย่าไหล่ของผู้เป็นนาย แต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังคงเหม่อมองร่างไร้วิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟย เขานึกถึงเรื่องหนึ่ง ในเมื่อร่างนี้ไม่ใช่ร่างของจื่อฟางแล้วตอนนี้วิญญาณของจื่อฟางอยู่ที่ใด จะวนเวียนอยู่ที่นี่หรือกลับไปยังที่ที่จากมา คิดดูแล้วก็ยิ่งโกรธตัวเองไป๋ผูอวี้ไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยสักนิด เรื่องบ้านเกิดของจื่อฟางเป็นอย่างไร

ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ รีบก้าวไปหยิบภาพวาดของจื่อฟางมาดู เว่ยหลงยืนมองอยู่เงียบ ๆ ไม่เข้าใจการกระทำของผู้เป็นนายมากนัก เหตุใดคุณชายต้องมองรูปชายอื่นด้วยสายตาเศร้าหมองเช่นนั้นด้วยเล่า?




ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
 

มีเสียงดังอยู่หน้าประตูก่อนที่ร่างของเสิ่นมู่หยางจะปรากฏให้เห็น ชายหนุ่มรีบเก็บซ่อนสีหน้า หานตงพยุงร่างของเสิ่นมู่หยางเข้ามาในห้องช้า ๆ

“ไป๋ผูอวี้”เสิ่นมู่หยางเอ่ยเรียก ควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้ว สายตามองปราดไปที่ร่างบนเตียงก็แสบเคืองนัยน์ตา “ข้าขอบคุณเจ้าจากใจที่นำร่างเฟยเอ๋อร์ออกมา”เสนาบดีเสิ่นทันมองเห็นสีหน้าเศร้าเสียใจของอีกฝ่ายจึงคิดได้เพียงว่าคนผู้นี้คงมีความรู้สึกดี ๆให้บุตรชายไม่น้อย ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงก้มศีรษะให้เท่านั้น เขาเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากดุด่าผู้ใดอีกจึงปล่อยเลยตามเลย ก้าวไปหาเสิ่นจิ้งเฟยบนเตียง กลั้นใจเปิดผ้าคลุมเพื่อบอกลาบุตรชาย พอเห็นร่างที่เคยงดงามของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเช่นนี้ก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่

เว่ยหลงรู้สึกกระดากอายยิ่งจึงถอยออกมานอกห้อง เพื่อไปตรวจดูด้านนอก พบหมอทหารกำลังรักษาบาดแผลให้จางต้าที่นอนไม่ได้สติใบหน้าไร้สีเลือด ชายหนุ่มก้มเอามือแตะที่ปลายจมูกพบว่ายังมีลมหายใจแต่บางเบา จึงควักเอาห่อยาในอกเสื้อออกมา ใช้มืองัดริมฝีปากของอีกฝ่ายเต็มแรง

“เจ้าทำอะไร”ทหารผู้นั้นมองเขาด้วยสายตาเหมือนเห็นคนบ้า เว่ยหลงไม่ตอบแต่กรอกยาใส่ปากอีกฝ่ายจนหมด เป็นยารักษาอาการบาดเจ็บภายในที่ซูเหลียนฮวาคิดค้นและให้เขาพกติดตัวไว้ ชายหนุ่มใช้สองมือแตะเส้นชีพจรที่ลำคอของจางต้าเมื่อพบว่าเริ่มเต้นเป็นจังหวะมั่นคงก็หยักยิ้มให้ทหารตรงหน้า เคลื่อนกายมองหานางมารหมื่นพิษ ดูท่าเจ้าคนหน้าตายนั่นบาดเจ็บหนักไม่น้อย   

 หยางชวีประคองสติอย่างยากลำบาก รับรู้ว่าถูกคนผู้หนึ่งรักษาบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าท้องให้อย่างเบามือ แต่ผู้ติดตามไม่ได้สนใจนัก เขาพยายามขยับร่าง และพยายามเปิดเปลือกตาเพื่อสำรวจความเสียหาย ได้ยินเสียงรอบตัววุ่นวายไปหมด บ่าวไพร่ร้องตะโกนวิ่งพล่านไปไม่หยุด กลิ่นเผาไหม้ลอยอวลอยู่ในอากาศเย็น คุณชายเสิ่นติดอยู่ในห้องหนังสือ!เขาต้องไปช่วย ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คุณชายเป็นเถ้าถ่านอยู่ในที่นั้น

“เจ้าอยู่นิ่งๆ”น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้น หยางชวีเปิดริมฝีปากที่แห้งแตก รับรู้ว่าถูกกำลังภายในแข็งแกร่งดันเม็ดยาหลายสิบเม็ดเข้ามาในลำคอ ซูเหลียนฮวา…ถ้าเช่นนั้น ไป๋ผูอวี้ก็คงมาด้วย ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาอย่างไม่ง่ายนัก ลมหายใจยังคงติดขัด เจ็บปวดไปทั้งร่างเกินกว่าจะขยับได้ คิดว่าคงตายไปแล้วหากไม่ได้นางมารหมื่นพิษรักษา

“คะ คุณชายเสิ่น…ช่วย”เขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก ทิ้งศีรษะลงบนพื้นดิน กลอกตาไปยังทิศที่เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้แต่ก็อ่อนกำลังลงมาก เวลาผ่านไปเท่าใดแล้ว?

“คุณชายไป๋ช่วยเสิ่นจิ้งเฟยออกมาได้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ”ซูเหลียนฮวาบังคับให้ตนทำเสียงเฉกเช่นปกติ ไม่เผยสีหน้าใด ยังคงยกยิ้มเช่นทุกทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าคุณชายไป๋ช่วยเสิ่นจิ้งเฟยออกมาได้หรือยัง แต่เห็นเปลวเพลิงที่เผาไหม้ห้องหนังสือของคุณชายเสิ่น มองอย่างไรก็ไม่สามารถมีชีวิตรอด แม้คุณชายไป๋จะเข้าไปช่วยก็ตาม

“เจ้าไม่ต้องห่วง ผ่อนคลายร่างเสีย”หญิงสาวไม่อยากเอ่ยโกหก แต่จำเป็นต้องทำ รู้ดีว่าหากหยางชวีรู้ว่านางโกหกคงถูกโกรธไปทั้งชาติ แต่หากนางบอกความจริงเรื่องคุณชายเสิ่นไปตอนนี้เกรงว่าหยางชวีจะไม่อยากคิดมีชีวิตอยู่อีก คนผู้นี้ยอมละทิ้งเป้าหมายเพื่อมาติดตามเสิ่นจิ้งเฟย แต่กลับช่วยเหลือผู้เป็นนายไว้ไม่ได้ เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยู่แล้ว เจ้าคนหน้าตายคงไม่คิดอยากทำสิ่งใด นางรู้จักหยางชวีดี ในฐานะข้ารับใช้ที่ช่วยเหลือเจ้านายไม่ได้ อีกฝ่ายคงไม่อยากมีชีวิตอยู่

หญิงสาวยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อร่างของหยางชวีเริ่มผ่อนคลาย ผู้ติดตามพอได้ยินว่าผู้เป็นนายไม่เป็นอะไรก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ความผิดพลาดของเขาไม่ได้ทำให้คุณชายเสิ่นบาดเจ็บไปด้วย ชายหนุ่มฝืนประคองสติมานานจึงสลบไปทันที ซูเหลียนฮวาจึงเผยสีหน้าหมองเศร้าออกมา เงยหน้ามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้

“เจ้าโกหกเขา”เว่ยหลงนั่งยอง ๆลงข้างกายเจ้าคนหน้าตาย ส่ายศีรษะน้อย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนสกุลเสิ่นเป็นเรื่องใหญ่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงไม่ไว้ชีวิตผู้ที่ลงมือฆ่าชายงามที่หมายตามานานปี ร่างกำยำยื่นมือไปกดนวดที่หัวคิ้วของหยางชวี แม้ยามไม่ได้สติก็ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด คนผู้นี้ไม่เมื่อยหรือไร ซูเหลียนฮวาผลักมือของเขาออก ก่อนจะตรวจวัดชีพจร เมื่อเห็นว่าคงที่แล้วก็ถอนหายใจ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากมน

“คุณชายไป๋เป็นอย่างไรบ้าง”นางไม่รู้ว่าคุณชายรับเรื่องเช่นนี้ได้ดีแค่ไหน ยามที่มารดาของคุณชายจากไป คุณชายของนางก็เงียบไม่พูดไม่จากับผู้ใดไปหนึ่งเดือน แต่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นภรรยาของคุณชาย…แม้จะแต่งได้วันเดียวก็ตาม นางมองควันไฟที่พวยพุ่งจากจวนสกุลเสิ่นก็ใจหาย รู้สึกว่าน่าเศร้ายิ่งนัก 

“ดูเหม่อลอย ทั้งยังมองรูปชายอื่นด้วยสายตาเศร้าหมอง ข้ากลัวว่าคุณชายจะ…”เว่ยหลงไม่ได้กล่าวออกมา เพราะถูกสายตาแผดเผาของนางมารหมื่นพิษเขวี้ยงใส่ แต่เขาเป็นกังวลจริง ๆ คุณชายไม่เคยทำผิดกฎสกุลไป๋มาก่อน แต่ก็ยอมแหกกฎทุกอย่างเพื่อเสิ่นจิ้งเฟย อีกฝ่ายมาจากไปเช่นนี้ ทั้งเป็นการจากไปที่น่าสงสาร เขาไม่คิดว่าคุณชายจะทำใจได้ในเร็ววัน

“คุณชายไป๋มิใช่คนอ่อนแอ”ซูเหลียนฮวาพึมพำ แม้รู้ดีว่าหากเป็นเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายจะไม่เป็นตัวของตัวเองเสมอ

‘สวรรค์ท่านไม่ใจร้ายไปหน่อยรึ ให้เวลาคุณชายของข้ามีความสุขมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไร’ หญิงสาวได้แต่หวังว่าก่อนจากไปเสิ่นจิ้งเฟยจะไม่เจ็บปวดมากนัก หญิงสาวและเว่ยหลงยืดตัวตรงเมื่อรับรู้กระแสกำลังภายในแข็งแกร่งมุ่งตรงมาที่จวนสกุลเสิ่น ร่างขององครักษ์ในชุดดำปกปิดใบหน้าปรากฏตัวขึ้น คนผู้นั้นกวาดมองไปรอบบริเวณ บ่าวไพร่ในจวนมีท่าทีตื่นตระหนกเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในเรือนของคุณชายอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นทหารบางส่วนทำความเคารพคนผู้นั้นก็ไม่กล้าแม้แต่กระดิกตัว คิดว่าเป็นคนสำคัญ

 องครักษ์ของฮ่องเต้สืบเท้าเข้ามาในห้องของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างถือวิสาสะ เสิ่นมู่หยางที่ยังคงนั่งอยู่ข้างกายบุตรชายปราดตามองทันที ไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจมากนัก

“ฮ่องเต้เจี่ยผิงมีรับสั่งให้นำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยไปที่วังหลวง”เฮ่อเจ๋อเอ่ยเสียงเรียบผ่านผ้าคลุมหน้า คำพูดดังกล่าวคล้ายกับกระแทกใส่เสนาบดีเสิ่น

“ว่าอะไรนะ”เสิ่นมู่หยางบีบเค้นเสียงออกมาจนได้ เขาขบกรามพยุงร่างลุกยืนอย่างทุลักทุเล หานตงเข้ามาประคองช่วยทันที

“นี่เป็นร่างของบุตรชายข้า ข้าไม่ยอมให้ผู้ใดเอาไปทั้งนั้น”เสนาบดีกรมพิธีการลืมตัวไปชั่วขณะ ห้ามคำพูดไว้ไม่ทัน แม้แต่ร่างของบุตรชายเขาก็ยังเก็บไว้ไม่ได้เลยหรือ เหตุใดฝ่าบาทถึงได้มาสั่งผู้อื่นเช่นนี้

“เป็นคำสั่งของฝ่าบาท หากท่านขัดขืน ข้าจะไม่เกรงใจ”เฮ่อเจ๋อกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์  เสิ่นมู่หยางได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยโทสะ ผู้ติดตามวางมือลงบนแผ่นหลังของผู้เป็นนายเบาๆเป็นการเอ่ยเตือน เขาจึงหลับตาเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ที่คุกรุ่นไม่ให้ปะทุออกมา

ไป๋ผูอวี้ปรายตามององครักษ์ เดิมทีคิดปฏิเสธ แต่เมื่อคิดได้ว่าต่อต้านในตอนนี้จะยิ่งส่งผลเสีย อีกทั้งร่างไร้ชิวิตก็มิใช่ร่างที่แท้จริงของจื่อฟาง ฮ่องเต้อยากได้ก็เอาไปเถิด คนที่ตายไปแล้วยังจะอยากครอบครองอีกหรือ ชายหนุ่มยอมปล่อยให้องครักษ์ก้าวเข้ามาที่เตียงยกอุ้มร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกไป ชายหนุ่มข่มอาการปวดหนึบในอกเมื่อแขนไร้สีเลือดข้างหนึ่งห้อยตกออกมาจากผ้าคลุม มีรอยเผาไหม้ให้เห็น องครักษ์ใช้ผ้าคลุมอย่างเบามือไม่อยากให้ฮ่องเต้พิโรธหากร่างของคุณชายผู้นี้เป็นรอยช้ำ ยิ่งไร้ชีวิตยิ่งช้ำง่าย เฮ่อเจ๋อคิดว่าดีนักที่เสิ่นจิ้งเฟยและชายงามเจาเฟิงนั่นตายไปได้ก็ดี จะให้พวกรูปงามแต่ไร้สมองรบกวนจิตใจของฮ่องเต้ได้อย่างไร

เสิ่นมู่หยางทิ้งร่างนั่งลงอย่างอ่อนแรง คิดถึงโหยวหลันก็ลำคอตีบตัน เฟยเอ๋อร์เจ้าคงได้พบมารดาแล้วกระมัง เสนาบดีกรมพิธีการนึกไปถึงพวกสกุลโหยวก็ปวดขมับ คนพวกนั้นคงยิ่งเกลียดตนเข้ากระดูกดำ มีหวังได้ตัดขาดกันอย่างถาวรเป็นแน่ เสิ่นมู่หยางเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ นึกถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง คนผู้นี้แม้แต่ความตายก็ไม่คิดปล่อยบุตรชายของเขา อย่างน้อยเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ต้องติดอยู่ในกรงขังของท่าน

ค่ำคืนนี้จึงเป็นฝันร้ายสำหรับผู้คนในจวนสกุลเสิ่น



~•~
             
             จื่อฟางมองเห็นแสงสว่างเป็นเส้นแนวยาวอยู่ที่เบื้องหน้า จึงยื่นมือออกไปไขว่คว้า ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งร้องเรียกชื่อของตนซ้ำ ๆ

จื่อฟาง...จื่อฟาง

เสียงเรียกช่างคุ้นหูจนต้องยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม แต่ร่างกายของเขาคล้ายกับหินผา ยกแขนขาแทบไม่ขึ้นกระทั่งเปลือกตายังเปิดไม่ได้ แต่เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้มากจนเขาอยากร้องตอบ  ข้าอยู่นี่ เสียงเรียกนั้นราวกับดังอยู่ข้างใบหู ทั้งยังมีกระแสโล่งอกปะปนอยู่ด้วย

จื่อฟางได้ยินเสียงรอบกายชัดเจนมากขึ้น แม้จะยังลืมตาไม่ได้แต่ประสาทสัมผัสเริ่มทำงาน รับรู้ได้ว่าบนใบหน้าคล้ายกับมีของบางอย่างกดทับ จังหวะการเต้นหัวใจยังคงดังตึก ๆ บ่งบอกว่าเขายังไม่ตาย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?หรือกลับมาในยุคปัจจุบัน โลกปัจจุบันที่เป็นโลกของเขา โลกที่เขามีตัวตนอยู่จริง ๆไม่ต้องอาศัยยืมร่างผู้ใด ภาพใบหน้าของไป๋ผูอวี้วาบเข้ามา ไป๋ผูอวี้...นึกถึงชื่อนี้ทำให้ลมหายใจติดขัด แต่ไป๋ผูอวี้ก็เป็นแค่ตัวละครในโลกนิยาย ไม่ได้มีตัวตนจริง ๆ ราวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงโลกในจินตนาการของเขา เป็นเพียงความฝัน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากลืมตา ถ้าหากว่าเป็นความฝันเขาก็ไม่อยากตื่น ไป๋ผูอวี้ ฉันยังไม่ได้บอกลานายเลย 

“จื่อฟาง นายรู้สึกตัวแล้วใช่ไหม”เสียงเดิมยังคงดังอยู่ใกล้ๆ แม้จังหวะการพูดจะแตกต่างแต่ก็คุ้นอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มสูดดมกลิ่นรอบตัว เป็นกลิ่นเฉพาะที่ทำให้คุณรู้ได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นของโรงพยาบาล เขาอยู่ที่โรงพยาบาล รู้สึกดีเล็กน้อยที่ไม่ได้ติดแหง็กอยู่ในหอแคบ ๆของตัวเอง หรืออยู่ในโลงศพถูกฝังอยู่ในสุสาน

“พยักหน้าหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้ว่านายไม่ได้เส้นกระตุก”เสียงนั้นยังคงพูดต่อไป จื่อฟางขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักสองสามครั้ง ได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากคนพูด

“ฟื้นแล้วจริง ๆสินะ ฉันมาเยี่ยมตลอดเลยรู้ไหม ขนาดฉันยังแปลกใจกับตัวเองเลย เราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย”ร่างนั้นยังคงพึมพำต่อไป น่ารำคาญจริง ๆ แต่เสียงแบบนี้...หรือจะเป็นเพื่อนในคลาสที่หน้าเหมือนไป๋ผูอวี้ เขาจำได้ว่าแทบไม่เคยคุย ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อด้วยซ้ำ จื่อฟางหยุดความคิดวุ่นวายเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักมือวางอยู่ที่ศีรษะก่อนที่มือนั้นจะลูบไปมา

จื่อฟางคิดว่าไม่ได้การควรลืมตาสักหน่อย จึงค่อยๆเปิดตาช้า ๆ ภาพเบื้องหน้าแจ่มชัดเสียจนต้องหลับตาลงก่อน เขาเปิดเปลือกตามองอีกครั้งแม้จะระคายเคืองบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหา เด็กหนุ่มกระพริบตาเหม่อมองฉากสีขาวสะอาดเบื้องหน้า รับรู้ว่าใส่ที่ครอบช่วยหายใจ ปลายเตียงมีเครื่องวัดจังหวะการเต้นของหัวใจ เขามองเห็นโซฟาหนังสีดำที่ฝั่งตรงข้าม ภาพวาดเด็กน้อยยิ้มเห็นฟันหลอจ้องมองมาที่เขา ที่นี่คือห้องพักผู้ป่วยพิเศษ

‘พ่อกับแม่มีเงินพอด้วยหรือ’

เด็กหนุ่มคิดอย่างมึนงง ยังคงยกแขนไม่ขึ้น จึงเบนสายตามองคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แทน จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งเพื่อซึมซับความจริง ร่างที่เห็นสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงยีนส์สีซีด เขาค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปเรื่อย ๆจนกระทั่งถึงใบหน้า เป็นใบหน้าที่คล้ายกับไป๋ผูอวี้ แต่ความหล่อและความสง่าแตกต่างกันเล็กน้อย สิ่งที่เหมือนกันคือกลิ่นชาอ่อนๆจากร่างนั้น

หมอนี่คือ…

“ไป๋อี้เสวี่ย”ร่างนั้นเอ่ยตอบราวกับคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไป๋อี้เสวี่ย ชื่อนี้นี่เอง บ้าจริง ก่อนหน้านี้ทำไมเขาจำชื่อเพื่อนในคลาสไม่ได้นะ เด็กหนุ่มพยายามจะพูดแต่ที่ช่วยหายใจยังอยู่ ไป๋อี้เสวี่ยมองเครื่องวัดที่ปลายเตียงเมื่อไม่เห็นสัญญาณผิดปกติก็เอื้อมมาเลื่อนออกไว้ที่ปลายคาง นิ้วมือของอีกฝ่ายถูกผิวกายของเด็กหนุ่มทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบ จื่อฟางคิดว่าแปลกนัก เขาไม่ได้รู้จักมักจีกับคนๆนี้ แต่ทำไมยังรู้สึกประหลาด ๆด้วย

เขากระแอมกระไอก่อนเอ่ยคำ “เจ้า...”

เสียงของจื่อฟางแหบแห้ง อีกทั้งยังเอื้อนเอ่ยคำโบราณออกมาอีกไป๋อี้เสวี่ยคงคิดว่าสมองเขามีปัญหาแน่ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนโน้มตัวมาช่วยปรับเตียงให้พอดี เอื้อมมาหยิบขวดน้ำที่โต๊ะข้างเตียง รินน้ำใส่แก้ว หยิบหลอดใส่แก้วน้ำก่อนนำมาจ่อใกล้ริมฝีปากของเขา การกระทำของไป๋อี้เสวี่ยเป็นธรรมชาติเสียจนจื่อฟางไม่ได้รู้สึกเก้อเขิน ความรู้สึกแปลก ๆ ทำให้เขาหลบสายตา ดูดน้ำช้า ๆ เพิ่งรู้ว่าร่างกายกระหายน้ำแค่ไหนก็ตอนที่ดูดจนหมดแก้วทำให้เกิดเสียงดังท่ามกลางความเงียบ

ระหว่างนั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับคุณหมอในชุดกาวน์และพยาบาลอีกสองคนเร่งรีบเข้ามาในห้อง คุณหมอมีใบหน้าหล่อเหลาจะว่าไปก็หน้าตาคล้ายไปทางไป๋อู่เหยียน อย่าบอกนะว่านี่คือพ่อของไป๋อี้เสวี่ย  เขามองคนทั้งคู่สลับไปมาก็ยิ่งเห็นถึงความคล้ายของทั้งสองคน

“คุณจื่อรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ คุณหลับไม่ได้สติไปเกือบสามวัน มีอาการผิดปกติใดหรือเปล่า”คุณหมอถามคำถาม ระหว่างที่ตรวจดูม่านตาของเขาไปด้วย จื่อฟางนิ่งงันไปพักใหญ่ สามวันกับเรื่องที่เกิดในโลกนิยายนั่นน่ะเหรอ จะว่าไปก็แปลก

“คุณจื่อ”คุณหมอเรียก “คุณจื่อฟางครับ”เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบ ๆ ส่ายศีรษะเป็นคำตอบ

“ข้า...เอ่อ ผมสบายดีครับ”เสียงของเขายังคงแหบแห้ง รู้สึกหน้าร้อนวูบเพราะยังติดคำโบราณ คุณหมอจะคิดว่าสมองเขาเพี้ยนรึเปล่าเนี่ย

“เขาพูดคำโบราณ”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ยแทรกขึ้นมาแทน จื่อฟางกลอกตามอง คุณหมอเพียงพยักหน้ารับรู้ ระหว่างที่พยาบาลตรวจเช็คเครื่องที่ปลายเตียง ตรวจสายน้ำเกลือด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“คุณจื่อสลบไปนานอาจทำให้เกิดความสับสน…”คุณหมอเอ่ย จื่อฟางรู้ดีว่าคำพูดต่อมาคืออะไรจึงรีบเอ่ยแทรก

“ผมปกติดีครับ แค่…มึนงงจากความฝันเล็กน้อย”เขาตอบไม่อยากเข้าเครื่องสแกนให้ทรมานตัวเองเปล่า ๆเพราะเขารู้ดีว่าไม่ได้เป็นอะไร คุณหมอยกยิ้มหันมองไปทางไป๋อี้เสวี่ยก่อนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นหากผ่านไปหลายวันคุณจื่อยังไม่หายมึนงงก็คอยตรวจสแกนสมองก็แล้วกันครับ”อีกฝ่ายเอ่ยพูดเหมือนคุยกับเด็กน้อย

จื่อฟางได้แต่กลอกตา เขาไม่ได้เพี้ยนหรือเป็นอะไรเสียหน่อยเรื่องหลังจากนั้นเขาก็ถูกตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแขนและขาว่ายังใช้ได้ปกติหรือไม่ ในส่วนนี้ไม่มีปัญหาแค่ยังอ่อนแรงเพราะนอนติดเตียงมาหลายวันจึงรู้สึกปวดเมื่อย ได้ทำกายภาพก็น่าจะไม่มีปัญหา คุณหมอจึงสรุปว่าให้ทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูห้าวัน จื่อฟางได้แต่พยักหน้าตอบครับๆ อย่างเดียว ว่าอย่างไรก็ตามนั้น เริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงหลับตาเอนกาย นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนิยาย ความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้คือหลิวอ๋องให้คนจุดไฟเผาห้องหนังสือ

ถ้าอย่างนั้น…ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นเถ้าถ่านไปแล้วน่ะสิ จะเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยเล่า หากร่างจริงถูกทำลาย หรือติดอยู่ในร่างของเจาเฟิงตลอดไป?เป็นคำถามที่เขาไม่รู้คำตอบ เขานึกถึงไป๋ผูอวี้จึงพลิกตัวหันหลังให้กับไป๋อี้เสวี่ย ขยี้ตาที่เริ่มแสบเคือง ไป๋ผูอวี้คงคิดว่าเขาตายไปแล้วสินะ เด็กหนุ่มเม้มปากไม่อยากร้องไห้ในขณะที่มีคนแปลกหน้าอยู่ในห้อง ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง รับมือกับเรื่องนี้ยังไง คิดว่าดีจริง ๆที่ตัวเองบอกความจริงกับไป๋ผูอวี้ไม่อย่างนั้นเจ้านั่นก็คงคิดว่าเขาคือเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางขบกัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างไร

ไป๋ผูอวี้ไม่มีอยู่จริง ไป๋ผูอวี้ไม่มีอยู่จริง

“นายร้องไห้ทำไม”ไป๋อี้เสวี่ยชะโงกตัวมามอง สีหน้าเฉยชานั้นแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนไม่ได้เก็บซ่อนเช่นท่อนไม้ไป๋นั่น ทำอย่างไรดี จากมาได้ไม่นานเขาก็คิดถึงเจ้าท่อนไม้นั่นซะแล้ว จื่อฟางเอาหน้าซุกหมอนไม่ได้เอ่ยตอบ รับรู้ว่าถูกสายตาของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าจ้องมอง

“ฉันโทรบอกพ่อกับแม่ของนายแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมา”ฝ่ายนั้นตอบ โอ้…เขานอนสลบไปสามวัน หมอนี่ก็รู้จักเบอร์พ่อแม่เขาแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันกับโลกทางนี้กันแน่ จื่อฟางเริ่มเหน็ดเหนื่อย

“อือ”เขาส่งเสียงในลำคอ อยากสอบถามมากกว่านี้แต่เปลือกตาเริ่มหนัก ความมืดครอบงำจนงีบหลับไปอีกรอบ ข้างเตียงยังคงมีไป๋อี้เสวี่ยเฝ้าอยู่เช่นเคย



------------------------------------------
มาแล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่เรากังวลมาก จากนี้ก็จะเฉลยในส่วนโลกปัจจุบันว่ามีอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวทางไป๋ผูอวี้ก็ยังดำเนินต่อไปปป เสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางจะเป็นยังไงต่อไปฝากติดตามด้วยนะคะไม่จบเศร้าแน่นอน เจอกันตอนหน้าค่ะ ลงช้า ๆเล็กน้อย  ปั่นต้นฉบับไม่ทันแล้วววว (ความผิดตัวเองต้องรอให้ไฟลนก้น) ช่วงนี้ชีวิตจึงติดกาแฟดำมาก
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ :กอด1: ในโซเชี่ยลเราได้อ่านตลอด แต่ไม่ค่อยได้เข้าไปเล่นเท่าไหร่ ดีใจที่มีคนตามอ่านและชอบนิยายเรา ทุกคอมเม้นและยอดอ่านเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก ๆค่ะ   (ทำไมเขียนยาว ฮ่าๆ)
 





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะกลับไปได้อย่างไรกันนะ  :hao3:

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อุแงคิดไว้แล้วว่าต้องมีตอนที่ก่อกบฏแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ สงสารทั้งคู่อุแงงง  :katai1: :katai1: ยังไงก็แล้วแต่ขออย่าให้คุงไป๋ในโลกนิยายคู่กับคุณหนูฉินเลยย

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
เป็นตอนที่ลุ้นระทึกมาก
เขียนให้ทุกตัวละครต่างมีบทบาทจริงๆ
เก่งมากๆ

รอตอนต่อไปค่ะ


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อ้าวแล้ว คุณชายท่อนไม้ในนิยายจะทำไงต่อไปล่ะ รีบมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ Chobreadyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ciaiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ต้องกลัยไปอ่านนิยายเรื่องเดิม

ถึงจะกลับไปได้
ใช่ไหมนะ

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เป็นกำลังใจให้จ้า  o13

ออฟไลน์ Prince-Faluke

  • เจ้าชายน้อยแห่งคาบูกิโชว
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ไม่นะ  สงสารฮ่องเต้กับคุณชายไป๋
ที่สุดคือสงสารตัวเอง  ค้างคามาก

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
พีคมากตรงพี่ไป๋มาแล้ว
มาค่ะรีบๆจีบน้องจื่อ งื้อลุ้นนน

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
โลกนิยายยี่สิบสี่ตอน โลกปัจจุบัน กี่ตอนดี จื่อฟางฟื้นแล้ว แต่ยังคิดถึงเจ้าท่อนไม้ด้วย

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ฮื้ออ คุณท่อนไม้จะเป็นไง

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ไป๋อี้เสวี่ยก็ดูแลจื่อฟางดีนะ

แต่เราคิดถึงท่อนไม้ไป๋กับหยางชวี

ไหนจะรักสามเส้าของจิ้งเฟย ฮ่องเต้ ฟู่เทียนสืออีก

อยากให้เคลียร์ในอดีตแล้วค่อยกลับมาปัจจุบัน

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ heymild

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แงงงน้องจะกลับไปยังไงง TvT
เครียดอ่าาาา :z3: :z3:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ไม่ทันได้เตรียมใจเลยค่ะ เราไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ สงสารทุกคนในนิยายเลย ฮือ  :ling3:

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
กงะบมาแบบไม่อยากให้กลับเลย จากกันแบบนี้ ไม่ดีจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด