✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 181836 ครั้ง)

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
โถ่วเว่ยหลงน่าสงสาร​ คิดมากจนผมร่วง​ เนื้อเรื่อง​เข้มข้น​เข้าไปทุกทีๆแล้ว​ ท่อนไม้​ไม่ท่อนไม้แล้ว​

ออฟไลน์ Chobreadyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องจื่อกับพี่ไป๋ โอ้ย คู่สวรรค์สร้าง


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ท่อนไม้ไป๋ตายไปพร้อมกับบทอัศจรรย์ nc แล้วจ้าาา

ชอบความสัมพันธ์ของหยางชวีกับจื่อฟางอ่ะ มันให้ความรู้สึกเพื่อนที่รู้ใจอ่ะ

ส่วนกับไป๋ผูอวี้ คือคนที่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
รอว่าเมื่อไหร่จะบอกความจริงคืออยากรู้ว่าไป๋ผูอวี้จะทำยังไง จะชอบจื่อฟางที่จิตใจ หรือชอบเพราะหน้าตา(ในร่างจิ้งเฟย)

ส่วนคู่ของจิ้งเฟย(ในร่างเจาเฟิง) ตอนนี้คือเหมือนจิ้งเฟยจะรักพี่ฟู่เทียนสือแหละ แต่กับฮ่องเต้คือเหมือนบังคับตัวเองว่าต้องเกลียดฮ่องเต้ แต่เราว่าลึกๆจิ้งเฟยก็รู้สึกดีกับฮ่องเต้ ต้องรอลุ้นอ่ะ ว่า รักสามเส้า จะจบยังไง

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เจ้าแค่นอนเฉยๆก็พอ
 :-[

ออฟไลน์ tn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ท่อนไม้อะไรร้อนขนาดนี้กัน​ :hao6:

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน


ฮ่องเต้เจี่ยผิงนั่งอ่านฎีกาและหนังสือกราบทูลอยู่ในห้องทรงพระอักษร ภายในห้องมีขันทีใหญ่เส้ากงกงถวายงานรับใช้ พร้อมด้วยหัวหน้าคณะบัณฑิตเกาจวีถังที่พ่วงตำแหน่งที่ปรึกษานั่งเดินหมากล้อมอยู่ที่มุมห้อง ร่างนั้นมีใบหน้าสุขุม สวมหมวกบัณฑิตท่าทางเหมือนคนแก่เรียนและยังเป็นสหายคนสนิทของฮ่องเต้ ถนัดบุ๋นไม่ถนัดบู๊ จากที่เจ้าแผ่นดินอนุญาติให้ฝ่ายนั้นร่วมห้องทรงพระอักษรโดยไม่สนตำแหน่งบรรดาศักดิ์ก็บ่งบอกแล้วว่าเป็นสหายคนสำคัญ

“กระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทร่างราชโองการลดทอดอำนาจแคว้นอ๋องหรือ”เกาจวีถังเอ่ยถามเสียงนุ่มราวปุยนุ่น ท่าทางคล้ายคนเลื่อนลอย

“ถูกต้อง เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวก็กล่าวมาในยามที่เรายังอารมณ์ดี”เจี่ยผิงหยักยิ้มด้วยอารมณ์ดียิ่ง เรื่องการลดหย่อนอำนาจการปกครองแคว้นอ๋องคืนสู่ราชสำนักส่วนกลางถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงก้าวใหญ่ เดิมทีอ๋องครองแคว้นมีอำนาจการปกครองในนครของตนอยู่หลายส่วน ยามนี้เมื่อถูกลดทอนอำนาจตำแหน่งอ๋องจึงคล้ายกับเป็นเพียงตำแหน่งประดับบารมีเท่านั้น แม้จะถูกอัครเสนาบดีหลี่ลั่วหวั่นคัดค้านว่าเป็นการตัดสินใจที่เร่งด่วนจนเกินไป แต่เจี่ยผิงหาได้ฟังไม่ ชายหนุ่มหยักยิ้มเมื่อนึกถึงน้องชายต่างมารดาหลิวอ๋องเจี่ยซิน เจ้าผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ฮ่องเต้หนุ่มนึกอยากชมดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายนัก

“กระหม่อมไม่มีสิ่งใดว่ากล่าว เพียงแค่คิดว่าพระองค์เดินหมากเร็วนัก”แม้จะเป็นสหายคนสนิท แต่ที่ปรึกษาเกาจวีถังยังต้องระวังคำพูด

“เร็วรึ เราว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ ที่ปรึกษาเกาไม่ต้องกังวล เราไตร่ตรองดีแล้ว”ฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินเอ่ย ระหว่างที่กวาดสายตาอ่านฎีกาเรื่องโรคเจ็บป่วยของชาวบ้านที่เกิดขึ้นในทุกช่วงเหมันต์ ปีนี้อากาศถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก แต่กลับมีคนเจ็บป่วยล้มตายมากกว่าเมื่อปีกลาย เป็นไปได้อย่างไร? เจี่ยผิงเคยปลอมตัวเป็นคุณชายสูงศักดิ์ออกไปนอกวังอยู่บ่อย ๆถึงได้รู้ว่าปากท้องของราษฎรยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะชนชั้นชาวนา ราชสำนักจึงไม่ได้เพิ่มการเก็บภาษีอากรมาหลายสิบปี แต่ปัญหาก็ยังเป็นเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าการลดหย่อนภาษีไม่ได้ช่วยให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น หากไม่รีบเร่งแก้ไขเจี่ยผิงกลัวว่าชาวบ้านจะต่อต้านการปกครองของเขา

“กระหม่อมมิได้กังวล”เกาจวีถังหมุนตัวหมากในมือเล่น นึกหาคำพูดอยู่เงียบ ๆ  ร่างสูงสง่าในชุดสีขาวละสายตาจากกระดานหมากล้อม “ฝ่าบาทยังจำเรื่องที่กระหม่อมเคยกราบทูลได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เจี่ยผิงเลิกคิ้ว สีหน้าเรียบนิ่ง รอยยิ้มคลุมเครือปรากฏอยู่บนใบหน้า “ความจำของเรายังดีอยู่”คนผู้นี้กำลังผลักดันเรื่องการสอบเคอจวีให้โปร่งใสเที่ยงธรรมเพื่อคัดเลือกขุนนางมีฝีมือมิใช่เส้นสายเข้าสู่ราชสำนัก ขุนนางสายเลือดใหม่อย่างนั้นรึ ลึก ๆแล้วเจี่ยผิงก็เห็นด้วยแต่การขุดรื้อสิ่งที่ปฏิบัติมานานย่อมเกิดเรื่องยุ่งยาก อีกทั้งสถานการณ์ชายแดนยังไม่สู้ดี ขุนนางบางส่วนจึงเห็นว่าในยามนี้การคัดเลือกแรงงานทหารจำเป็นมากกว่านัก

“เช่นนั้นพระองค์คงได้ยินชื่อของไป๋ผูอวี้มาบ้างกระมัง”เกาจวีถังเปรยถึง

“ที่ปรึกษาเกาต้องการเอ่ยอันใดรึ”เจี่ยผิงละสายตาจากฎีกาตรงหน้ามองไปยังที่ปรึกษาด้วยสายตาจริงจัง

“กระหม่อมต้องการบอกว่าไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวผิดแปลกอย่างที่พระองค์กำลังสงสัย แม้คนผู้นั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสอวิ๋นก็ตาม”ชายหนุ่มทราบมาว่าไป๋ผูอวี้ได้ประมือกับองครักษ์ของฮ่องเต้ ด้วยเพราะรู้จักกับเจ้าแผ่นดินมานานจึงคาดเดาว่าอีกฝ่ายต้องสั่งให้คนไปสืบข่าวเกี่ยวกับไป๋ผูอวี้เป็นแน่

“เจ้าดูรู้เรื่องของคนแซ่ไป๋ดีนัก”เจี่ยผิงละการพูดคุยอย่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนางทิ้ง ขยับไหล่ที่ปวดเมื่อย พลางเอื้อมหยิบฎีกาแผ่นใหม่มาอ่าน

“กระหม่อมมีคนให้ข้อมูล”เกาจวีถังเห็นคิ้วของอีกฝ่ายเลิกขึ้นจึงกล่าวเสริม “บุตรชายของเสนาบดีกรมพระคลังไม่ใช่คนเรื่อยเปื่อยอย่างที่คิด มองคนที่ปกหนังสือเพียงอย่างเดียวมิได้หรอก”ชายหนุ่มกล่าว นึกถึงคุณชายจ้าวก็ยกยิ้ม เจี่ยผิงจดจำบุตรชายของเสนาบดีกรมพระคลังได้อย่างเลือนลาง เมื่อพินิจดูดี ๆเขากลับเห็นว่าสหายของตนมีลักษณะอุปนิสัยคล้ายกับบุตรชายของเสนาบดีจ้าวอยู่บ้าง ดูเป็นคนเลื่อนลอยดูน่าเบื่อหน่ายเหมือนๆกัน

“คนแซ่ไป๋ติดต่อกับตาเฒ่าอวิ๋นเซียนหลาง เจ้ามีเหตุผลใดมากล่อมให้ข้าคิดว่าการกระทำของเขาไม่น่าสงสัยเล่าเจ้าอาจเป็นสหาย เป็นที่ปรึกษา แต่ใช่ว่าข้าต้องคล้อยตามเจ้าเสมอ”เจี่ยผิงเอ่ย ต้องการย้ำเตือนอีกฝ่ายไปด้วย ตั้งแต่ลืมตาดูโลกในฐานะองค์ชายรอง เขาถูกพร้ำสอนว่าอย่าไว้วางใจผู้ใด กระทั่งสหายรัก คนนอนร่วมเตียง ผู้ร่วมสายเลือดเดียวกันก็ไม่เว้น ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทด้วยอายุเพียงสิบปีทำให้เขาได้เปิดตารับรู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้ เช่นหูเหม่ยเหรินเป็นสนมเอกที่เสด็จพ่อทรงรักปักใจอย่างสุดซึ้ง เสด็จแม่ของเขาเป็นถึงฮองเฮาก็ยังไม่เคยได้รับความรักอย่างแท้จริง เรื่องยุ่งยากซับซ้อนในราชสำนักหล่อหลอมให้เจี่ยผิงเข้มแข็งเย็นชาแบกรับความคาดหวังความกดดันและความเกลียดชังไว้บนบ่า เมื่อได้ครองบนบัลลังก์มังกรแม้อยู่เหนือคนใต้หล้าก็ยิ่งรับรู้ถึงความโดดเดี่ยวราวกับยิ่งสูงผู้คนก็เอื้อมไม่ถึง ยังจำคำของเสด็จแม่ได้ขึ้นใจ

‘ลูกผิง ในวังหลวงแห่งนี้เรื่องฟุ้งเฟ้อเช่นความรักเป็นสิ่งไม่จำเป็น อำนาจต่างหากเล่าที่ทำให้คนอยู่รอด หากวันใดเจ้าได้ครองบัลลังก์มังกรเจ้าจะเข้าใจเอง’

กับเสิ่นจิ้งเฟย…เป็นความรักหรือต้องการครอบครองเขาก็ไม่แน่ใจนัก

เจี่ยผิงกระพริบตาเมื่อรู้สึกว่าตนเองใจลอย มองสหายที่นั่งอยู่หน้ากระดานหมากรุก ชั่วครู่หนึ่งคล้ายกับเห็นแววเศร้าหมองในดวงตาของที่ปรึกษาเกาแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“กระหม่อมทราบดีว่าไม่สามารถชี้แนะให้ฝ่าบาทคล้อยตามได้ กระหม่อมเพียงอยากชี้แจงว่าไป๋ผูอวี้มีเจตจำนงเดียวกับพวกเราชาวบัณฑิต เขาติดต่อกับผู้อาวุโสอวิ๋นก็เพียงเพราะไม่ทราบความเคลื่อนไหวที่แท้จริงของคนผู้นั้น”

เจี่ยผิงไม่ได้กล่าวสิ่งใด รู้ดีว่าตนเองรู้สึกขุ่นเคืองต่อคนแซ่ไป๋แต่เขาเป็นเจ้าแผ่นดินจะตัดสินคนด้วยอารมณ์ส่วนตัวไม่ได้เด็ดขาด คนเช่นไป๋ผูอวี้เป็นคนซื่อตรง มีคุณธรรม ย่อมต้องไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้อาวุโสอวิ๋น ยามที่องครักษ์มารายงานด้วยเรื่องนี้ เขายังคิดสงสัยกับตัวเองว่าไป๋ผูอวี้รู้หรือไม่ว่าถูกผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางตบตา คนผู้นั้นเคยตบตาได้แม้กระทั่งเสิ่นฉินอี้ แสร้งทำเป็นกล่าววาจาสนับสนุนแสดงจุดยืนต้องการยกตำแหน่งอัครเสนาบดีให้ การกระทำเช่นนั้นมีแต่ทำให้สกุลหลี่คิดลงมือจัดการสกุลเสิ่น ภายใต้หน้ากากคนดีมีคุณธรรมแท้จริงแล้วตาเฒ่าอวิ๋นสนับสนุนเจ้าคนเถื่อนช่างอิ่นเช่นเดียวกับเสด็จพ่อ

หากหูเหม่ยเหรินไม่ถูกจับได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินกองพระคลัง เสด็จพ่อก็ยังคงยืนยันให้ช่างอิ่นขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินด้วยเหตุผลไร้สาระ เรื่องเขายังเยาว์วัยเกินกว่าเป็นองค์รัชทายาท แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ ฮ่องเต้หนุ่มเคยคิดกำจัดตาเฒ่าอวิ๋นเซียนหลางให้พ้นทางตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแต่กลับลงมือไม่ง่ายนักเพราะบารมีที่เคยสั่งสมมายามเป็นอัครเสนาบดี ทั้งยังเคยเป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับยิ่งทำให้เป็นเรื่องยาก

“กระหม่อมคาดหวังในตัวไป๋ผูอวี้ อยากให้เขาเข้าร่วมสภาบัณฑิต น่าเสียดายที่เขาไม่คิดเข้าร่วมราชสำนักในเร็ววันนี้”เกาจวีถังถอนหายใจอย่างเสียดาย ไป๋ผูอวี้เป็นได้ทั้งบู๋และบุ๋นหากได้มาใช้งานย่อมเป็นผลดีต่อราชสำนัก

“เหลวไหล”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวเสียงหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะไม่อยากได้ตัวไป๋ผูอวี้ เขาไม่ปฏิเสธความสามารถของคนผู้นั้น แต่ให้เอาคนมีวรยุทธไปขลุกอยู่กับพวกแก่เรียน วัน ๆเอาแต่ต่อบทกวีถกปัญหาก็น่าเสียดายนัก เกาจวีถังเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอกลับไปสนใจกระดานหมากต่อ ไม่อยากทำให้ฝ่าบาทอารมณ์เสีย แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องทรงพระอักษรเป็นจังหวะ

“กระหม่อมเฮ่อเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”เสียงขององครักษ์คนสนิทดังขึ้น

“เข้ามาได้”เจี่ยผิงขานรับ ส่งสายตาไปยังเส้ากงกงขันทีชั้นผู้ใหญ่ แม้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดแต่เส้ากงกงย่อมรู้ความเนื่องจากรับใช้ฝ่าบาทมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ดังนั้นกงกงจึงรีบถอยออกไปนอกประตูพร้อมกับปิดประตูตามหลังสั่งการให้บ่าวรับใช้ทุกคนถอยห่างออกไปหลายสิบก้าวอย่างรู้หน้าที่ ส่วนตนเองเฝ้าอยู่ด้านหน้ารอรับคำสั่งจากฝ่าบาท เกาจวีถังไม่ได้ลุกจากที่นั่งในเมื่อฮ่องเต้ไม่ได้ไล่ออกปากไล่ เฮ่อเจ๋อสืบเท้าเข้ามาในห้องอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่แม้แต่ปรายตามองเกาจวีถังราวกับเป็นธาตุอากาศ ที่ปรึกษาไม่ได้แสดงท่าทีมีโทสะเพียงแค่วางหมากลงบนกระดานเงียบๆ องครักษ์คุกเข่าคาราวะไปยังทิศที่เจ้าเหนือหัวประทับอยู่

“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”

“ลุกขึ้นเถอะ”เขาสะบัดมืออย่างไม่มีพิธีรีตองมากนัก “ว่าอย่างไร เรื่องที่เรามอบหมายไป เจ้าได้ตรวจสอบแล้วหรือยัง”เขาเอ่ยถามเฮ่อเจ๋อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นทุกครา ส่งสายตาคมกริบไปยังสหาย ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากรู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของไป๋ผูอวี้ให้กระจ่าง

“กระหม่อมตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท สกุลไป๋แต่เดิมมาจากเมืองหลานโจว พวกเขาสืบทอดวิทยายุทธจากอาจารย์แซ่หย่งมาหลายชั่วรุ่น วรยุทธของหย่งสือไม่ได้เป็นที่เผยแพร่มากนัก เพราะสืบทอดกันเองในรุ่น ศิษย์เอกคือไป๋ผูอวี้ ศิษย์รองนามว่าเว่ยหลง ผู้ติดตามของเขา ศิษย์น้องนามว่าซูเหลียนฮวา ฉายานางมารหมื่นพิษ นางมีชื่อโด่งดังอยู่ในเมืองหลานโจว ยามนี้เป็นนางคณิกาอยู่ที่หอผูเยว่พ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรายงาน ได้ประมือกับนางมารหมื่นพิษเล็กน้อย ฝีมือของนางก็สมกับคำเล่าลือ เสียดายที่เขาไม่มีเวลาเล่นด้วยจึงละจากมาก่อน

“อืม”บุรุษหนุ่มพยักหน้า กล่าวถึงผู้เฒ่าหย่งสือ เจี่ยผิงจำได้ว่าวันที่เสิ่นฉินอี้ถูกวางยาพิษ กู้หมิงองครักษ์อีกคนมารายงานว่าผู้เฒ่าหย่งสือได้ลอบเข้าไปในจวนสกุลเสิ่นเพื่อช่วยเหลือเสิ่นฉินอี้แต่ว่าไม่ทันการ ไม่ทันได้สืบค้นความหลังผู้เฒ่าก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่คิดว่าคนจากสกุลไป๋จะรู้จักขุนนางใหญ่เช่นเสิ่นฉินอี้ เรื่องที่น่าแปลกใจคงไม่พ้นเรื่องที่ไป๋อู่เหยียน พ่อค้าคหบดีผู้นั้นรู้จักกับใต้เท้าเฉินฉางเซียงขุนนางเก่าที่วางมือจากราชสำนักไปหลายปี ช่วงที่ใต้เท้าเฉินพำนักอยู่ที่จวนเสนาบดีเสิ่น ใต้เท้าเฉินได้มีการติดต่อกับไป๋อู่เหยียนอยู่บ่อยครั้ง เจี่ยผิงให้คนจับตามองการเคลื่อนไหวแต่ก็ไม่พบสิ่งใดน่าสงสัยเป็นเพียงการนัดพบเยี่ยงมิตรสหายทั่วไป

“ที่ปรึกษาเกา เจ้ารู้หรือไม่ว่าไป๋อู่เหยียนรู้จักกับอดีตขุนนางเก่าชั้นผู้ใหญ่อย่างใต้เท้าเฉินฉางเซียง”เจี่ยผิงกล่าวขึ้นจ้องมองสหายแก่เรียน ร่างนั้นยังคงมีสีหน้าคงเดิมพยักหน้าตอบคำสองสามครั้ง

“เป็นเรื่องแปลกใช่หรือไม่ กระหม่อมรู้ยังอดประหลาดใจไม่ได้ เหตุใดสกุลไป๋ที่ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับบุคคลมีอำนาจถึงได้รู้จักมักจีกับขุนนางเก่าทั้งยังเป็นขุนนางมีฝีมืออีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น…”เกาจวีถังคล้ายกลับกำลังสนุกเหมือนได้เล่านิทาน เฮ่อเจ๋อขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักระหว่างที่รอฟังว่าฝ่ายนั้นจะกล่าววาจาใด

“ไป๋อู่เหยียนยังเคยรู้จักอดีตเสนาบดีเสิ่นฉินอี้อีกด้วย”ที่ปรึกษาเกาสบตากับเจ้าแผ่นดิน ฮ่องเต้เจี่ยผิงเก็บงำกิริยาไว้ไม่อยู่ เสิ่นฉินอี้…จะว่าไปเขาคิดถึงตาแก่ผู้นั้นอยู่ไม่น้อย หากเวลานั้นเจี่ยผิงเข้าไปช่วยเหลือก็คงทันเวลาแต่มานึกเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

“เสิ่นฉินอี้น่ะหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกัน”เขาพึมพำอย่างฉงน หากตาแก่เสิ่นรู้จักกับสกุลไป๋เขาย่อมสืบจนทราบ

“พวกเขาไม่ได้รู้จักกันที่เมืองหลวงแต่รู้จักกันที่หลานโจวเมื่อหลายปีก่อน”ที่ปรึกษาเกากล่าว หลานโจวหรือ ขุนนางเก่าทั้งสองเคยไปเมืองหลานโจวด้วยอย่างนั้นหรือ เจี่ยผิงนิ่งงันไป ควานหาความทรงจำ ดวงตาสีเข้มเป็นประกายเมื่อนึกบางอย่างออกเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว เสิ่นฉินอี้เคยเปรยเอาไว้ว่าเคยไปพักผ่อนที่เมืองหลานโจวกับใต้เท้าเฉินฉางเซียงระหว่างทางถูกโจรป่าดักปล้นลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บ แต่ได้คนจิตใจเมตตาช่วยเหลือไว้ ฮ่องเต้หนุ่มอาจจะลืมไปแล้วก็ได้หากโจรป่าที่ว่าไม่ใช่ชาวหู ชาวหูเป็นชนเผ่านอกด่าน ต้นตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายใหญ่ เคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดีงามกับราชสำนักเพราะบุตรสาวของผู้นำชนเผ่าได้ถูกแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหริน(สนมเอก) แต่เมื่อหูเหม่ยเหรินถูกไต่สวนว่าเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินพระคลังจนถูกปลดจากตำแหน่งอยู่ได้ไม่กี่ปีก็สิ้นพระชน ชาวหูก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

พวกเขาลุกฮือต่อต้านเมื่อองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาท จนเสด็จพ่อต้องนำกำลังทหารเข้าปราบปรามจนราบคาบ จากนั้นเจี่ยผิงจึงถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท แม้เสด็จพ่อจะปลดองค์ชายใหญ่แต่ก็ยังเอ็นดูเจี่ยอี้อยู่มาก ไม่ได้ลงโทษสถานหนักเพียงแค่กักขังอยู่ในวังองค์ชายเท่านั้น เมื่อเสด็จพ่อสวรรคต เจี่ยผิงได้ขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว เขาไม่ต้องการให้เจี่ยอี้เป็นเสี้ยนหนามแต่ไม่อยากฆ่าพี่น้องจึงสั่งถอดยศองค์ชายพระราชทานนามใหม่ว่าช่างอิ่น ย้ายตัวไปคุมขังในคุกหลวง ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีก็เกิดเหตุจลาจลที่แถบชายแดน เหตุการณ์รุนแรงเพราะพวกโจรป่าเถื่อนเหล่านั้นจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน ปล้นสะดม กว่าทหารกำลังเสริมจากเมืองข้างเคียงจะมาถึงราษฎรก็ล้มตายเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันช่างอิ่นก็ถูกช่วยเหลือออกจากคุกหลวงไปได้ ทหารองครักษ์ของเจี่ยผิงถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ด้วยวิธีการป่าเถื่อนเฉกเช่นฝีมือชาวหู ดูท่าจะยังเหลือรอดจากการปราบปรามครั้งนั้น ช่างอิ่นหนีรอดไปได้และกำลังซ่อนตัวแก้แค้นเจี่ยผิง

“ฝ่าบาท…”เสียงเรียกของเกาจวีถังทำให้ชายหนุ่มเหลือบมอง

“ข้าแค่นึกถึงเรื่องที่เสิ่นฉินอี้เคยเล่า”เจี่ยผิงพึมพำ “ตาแก่นั่นเคยบอกว่าถูกโจรป่าที่เหมือนชาวหูทำร้ายที่หลานโจวแต่ได้ผู้ใจดีช่วยเหลือ”

“เช่นนั้นไป๋อู่เหยียนก็ช่วยชีวิตทั้งคู่ไว้น่ะหรือ จุ๊ๆ จะว่าไปบิดากับบุตรชายไม่ต่างกันจริง ๆ”เกาจวีถังพูดถึงพวกคนสกุลไป๋ ไหนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้มีอำนาจอย่างไร แต่ทั้งไป๋อู่เหยียนและไป๋ผูอวี้กลับผิดคำพูดด้วยกันทั้งคู่

ฮ่องเต้เจี่ยผิงลูบคางอย่างใช้ความคิด เบนสายตามององครักษ์ที่ยังคุกเข่าอยู่เช่นเดิม “เจ้าพูดต่อเถิด”

“กระหม่อมได้สืบค้นจนลึกไปสิบชั่วโคตรถึงได้รู้ว่าสกุลไป๋เคยข้องเกี่ยวกับราชสำนักมาก่อน แต่เพราะมีวรยุทธที่เก่งกาจจึงกุมอำนาจด้านการทหารไว้มากจนองค์ฮ่องเต้ในรัชสมัยเจี่ยจงตี้เกิดระแวงหักหลังสกุลไป๋จนแทบสูญสิ้น พวกเขาจึงมีกฎว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักหรือขุมอำนาจใดอีก แต่ทว่าไป๋ผูอวี้กลับทำผิดกฎ”

ที่ปรึกษาเกาพยักหน้าตามช้า ๆ รู้ว่าเฮ่อเจ๋อจะรายงานเรื่องใดต่อ

“หลังจากที่สอบได้ซิ่วไฉอันดับหนึ่งไป๋ผูอวี้ได้พบกับที่ปรึกษาเกาจวีถังในสำนักศึกษาหลวง เขาเริ่มรวมกลุ่มบัณฑิตนัดพบกันที่สวนลู่เป็นประจำ ทั้งยังสนิทสนมกับจ้าวเซียวชิงบุตรชายเสนาบดีกรมพระคลัง จากนั้นไม่นานผู้เฒ่าหย่งสือก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ล่าสุดมีผู้พบเห็นเขาอยู่ทางตอนเหนือพ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรายงาน

“เจ้าเอาข้อมูลพวกนี้มาจากผู้ใดหรือ”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยถาม สายตามองปราดไปที่องครักษ์ของฮ่องเต้ เฮ่อเจ๋อรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้เพราะจับตัวบ่าวไพร่ที่ทำงานในเรือนของไป๋ผูอวี้มา‘ซักถาม’ บ่าวผู้นั้นก็พอมีวรยุทธอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ทนการ‘ซักถาม’ ของเฮ่อเจ๋อไม่ไหว พอดีกับนางมารหมื่นพิษมาขัดจังหวะเสียก่อน

เจี่ยผิงรู้ดีว่าองครักษ์ของตนทำงานเช่นไรจึงทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของสหาย กล่าวขึ้นมาแทน “ถึงเจ้าจะบอกว่าเขาไว้ใจได้แต่อย่างไรข้าก็ยังไม่วางใจจนกว่าจะรู้แน่ชัด”ฮ่องเต้หนุ่มหยักยิ้มคล้ายไม่ยิ้มให้สหายผู้แก่เรียนก่อนหันไปสั่งองครักษ์เสียงเข้ม

“เฮ่อเจ๋อ ให้คนจับตาดูไป๋ผูอวี้ต่อไป เรายังไม่อยากเร่งด่วนตัดสิน แต่หากเขามีท่าทีส่อแววว่าเข้าร่วมการก่อกบฏก็ลงมือจัดการเสีย”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”องครักษ์รับคำสีหน้าเด็ดเดี่ยวเย็นชา เกาจวีถังเพียงแค่วางตัวหมากลงบนกระดาน ไม่ได้แสดงท่าทีโต้แย้ง รู้ดีว่าไม่ควรเร่งร้อน ฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินไม่ใช่คนที่ไว้ใจผู้ใดง่ายๆ สหายเช่นเขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไว้ใจกี่ส่วนกันเชียว คิดแล้วก็เศร้าใจอยู่ไม่น้อย

“ทางด้านหลิวอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”เจี่ยผิงเปลี่ยนคำถามหยักยิ้มพอใจเมื่อนึกถึงน้องชายต่างมารดา

“ยังไม่มีการเคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ อ๋องสามยังไม่ได้ติดต่อกับคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย”ฮ่องเต้พยักหน้า หากจะลงมือจัดการเจี่ยซิน เขาต้องการหลักฐานที่แน่ชัด เพราะหลิวอ๋องมีชื่อเสียงภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาขุนนางน้อยใหญ่ ชาวบ้านต่างก็ชื่นชอบท่านอ๋องผู้จิตใจดี ส่วนเขานั้นเป็นฮ่องเต้ขี้ระแวงคิดลงมือก็ต้องมีหลักฐานมัดตัว อีกทั้งเขาไม่อยากให้ชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏจึงรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม

‘เดิมทีคิดว่าต้องสะสางกับเจี่ยอี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่คิดว่าเจี่ยซินจะเข้ามาสร้างเรื่องปวดหัวให้อีกคน’

“ดี เช่นนั้นส่งม้าเร็วไปยังหัวเมืองสำคัญ ให้เตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่สงบที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ”

“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรับคำแล้วถอยออกไปนอกห้องอย่างไร้สุ้มเสียง ภายในห้องทรงพระอักษรจึงมีเพียงเสียงวางหมากของเกาจวีถังดังเบา ๆ ฮ่องเต้หนุ่มกลับไปใส่ใจฎีกาบนโต๊ะอีกครั้ง แม่ทัพเมิ่งประจำเมืองอี้โจวในเขตชายแดนทางเหนือกล่าวถึงการปราบชนเผ่าเหลียนที่ลุกฮือต่อต้านทหารราชสำนักทำให้มีราษฎรได้รับบาดเจ็บไปด้วย ที่ผ่านมาชนเผ่าเหลียนไม่เคยมีทีท่าแข็งข้อมาก่อน แสดงว่าต้องมีผู้ปลุกปั่นอยู่เบื้องหลัง เป็นฝีมือของผู้ใด หลิวอ๋องหรือช่างอิ่น? แต่ไม่ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด หากชนเผ่าเหลียนลุกฮือเข้าร่วมก่อจลาจลจนยึดเมืองอี้โจวได้ล่ะก็เหตุการณ์จะยิ่งบานปลาย แต่ยามนี้เงินกองพระคลังเริ่มเหลือน้อยเพราะการลดหย่อนภาษีอากร หากส่งกำลังทหารไปที่ชายแดนอีกจะยิ่งเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองและเสบียง

“ที่ปรึกษาเกา เหตุจลาจลที่เมืองอี้โจวยังไม่สงบ เราควรส่งกองกำลังไปเพิ่มดีหรือไม่”เจี่ยผิงเอ่ยถามหัวคิ้วขมวดมุ่น

“กระหม่อมเห็นสมควรว่าส่งกำลังทหารไปดีที่สุด เมืองอี้โจวติดชายแดนหากชนเผ่าเหลียนรุกรานเข้ามาในแผ่นดินเจี่ยจะยิ่งสร้างปัญหา แต่ยามนี้เงินกองพระคลังเหลือน้อยเต็มที หากนำออกมาสนับสนุนกองทัพ เกรงว่าคงอยู่ไม่ถึงวสันต์ฤดู จำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน เรื่องนี้คงต้องหารือกับเหล่าขุนนางอย่างละเอียด

เจี่ยผิงนวดขมับ นี่เป็นวิธีที่เขาอยากหลีกเลี่ยงที่สุด การเรียกเก็บภาษีจะทำให้มีชาวบ้านบางส่วนเกิดอาการไม่พอใจอย่างแน่นอน เดิมทีพวกเขาก็มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมากอยู่แล้ว ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งเดินไปผลักบานหน้าต่างเปิดออก ทำให้อากาศหนาวเย็นต้องใบหน้า แต่เขาไม่ได้สนใจนัก ทอดสายตามองออกไปยังตำหนักหยุนเอี้ยน ตำหนักของชายงามเจาเฟิง แม้มองไม่เห็นตัวคนแต่ชายหนุ่มก็ยังมองหลังคาตำหนักเหล่านั้น หลายวันก่อนเสิ่นจิ้งเฟยร้องขอฝึกยิงธนู เขาจึงให้องครักษ์ดูแลอย่างใกล้ชิด

‘จิ้งเฟยเจ้าคงไม่ได้ฝึกเพื่อยิงข้าหรอกกระมัง’ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มน้อย ๆเมื่อนึกถึงคุณชายรูปงามที่ไม่ว่าจะอยู่ในร่างของผู้ใดก็สร้างเรื่องให้ได้เสมอ

“สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วฝ่าบาทยังคงดำเนินตามแผนการเดิมหรือ”เกาจวีถังกล่าวด้วยเสียงเลื่อนลอยอีกครั้ง รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของเจี่ยผิงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

“อืม”เขาส่งเสียงหนักแน่น

~•~


เข้าสู่เดือนสอง อากาศยังคงไม่ต่างจากเดิมมากนัก หิมะยังคงตกหนัก ช่วงหลังมานี้จื่อฟางจึงไม่สามารถอาบน้ำได้บ่อย ๆ เพียงแค่ใช้น้ำอุ่นลูบผมพอให้หายเหม็นเท่านั้น ได้แต่ภาวนาให้หมดหน้าหนาวเร็ว ๆ กับไป๋ผูอวี้ก็ไม่ได้ค่อยเจอหน้ากันนัก เพราะฝ่ายนั้นบอกว่าไป๋อู่เหยียนเริ่มมีท่าทีสงสัยจึงไม่อยากลอบเจอที่จวนสกุลเสิ่นบ่อย ๆ นัดพบที่ด้านนอกก็เป็นเรื่องประหลาด เด็กหนุ่มเห็นด้วยเพราะไป๋ผูอวี้กับเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ญาติดีกันถึงขั้นนัดเจอพูดคุยกันด้านนอก ที่นอกเหนือไปจากโรงน้ำชาหลิวซื่อ จึงทำได้แต่เพียงเขียนจดหมายโต้ตอบเท่านั้น แต่กว่าเจ้าท่อนไม้ไป๋จะตอบกลับก็ผ่านไปเจ็ดแปดวัน ทำให้จื่อฟางนึกถึงโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่น่าอึดอัดใจอีกเรื่องก็คือเรื่องของคุณหนูฉินเซียงอิน ได้ยินว่านางไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อย ๆจนทำให้เกิดคำครหา เสนาบดีฉินไม่พอใจมากที่ลูกพ่อค้าอย่างสกุลไป๋ทำให้ชื่อเสียงของบุตรสาวแปดเปื้อน จื่อฟางแน่ใจถ้าหากไป๋ผูอวี้เป็นคุณชายมีตำแหน่งล่ะก็ ฝ่ายนั้นคงรีบเร่งจัดงานแต่งตามประเพณีไปแล้ว แต่มาคิดๆดูนี่อาจเป็นแผนของฉินเซียงอินก็ได้!

“คุณชาย ช่างไม้ชุนเหลียงมาขอพบขอรับ”จางต้าขานบอกจากนอกห้อง ในระหว่างที่เขาอ่านตำราอยู่บนเตียง

“เดี๋ยวข้าไป”เขาก้าวลงจากเตียงอย่างกระตือรือร้น เพราะหมกตัวอยู่ในจวนจนรู้สึกเบื่อ เด็กหนุ่มออกไปที่ห้องรับรองที่อยู่ถัดไป ช่างไม้กำลังดื่มชา สาวใช้คุ้นหน้าตรวจกระถางไฟอยู่ในห้อง นางหลบสายตาของเขา ร่างบางจึงขมวดคิ้ว ตั้งแต่ไป๋ผูอวี้มาหาคราวนั้นก็ทำให้พวกบ่าวไพร่ในเรือนมีท่าทีแปลกๆ เขาไม่ได้ใส่ใจมากนักเพียงแค่กำชับว่าห้ามนำเรื่องไปแพร่งพรายต่อภายนอก โดยเฉพาะเสิ่นมู่หยาง แถมยังต้องใช้เงินปิดปากพวกบ่าวไพร่ในเรือนด้วย

“คุณชายเสิ่น”ช่างไม้ลุกจากที่นั่งมาทักทายตามมารยาท จื่อฟางไม่ค่อยใส่ใจมากนักรีบพยักเพยิดให้อีกฝ่ายนั่งลง

“ท่านมีเรื่องใดหรือ”เขาเอ่ยถามคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องกิจการร้านค้า เด็กหนุ่มนั่งลงระหว่างที่มองคนตรงหน้าหยิบม้วนกระดาษออกมากาง

“ข้าปรับปรุงแบบก่อสร้างใหม่ เชิญคุณชายเสิ่นตรวจดูว่าพอใจหรือไม่”เด็กหนุ่มกวาดตามองก็พบว่าอีกฝ่ายปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเพื่อปรับให้เข้ากับยุคสมัย

“ข้าอยากได้แบบที่ข้าร่างไว้ ถึงจะดูแปลกๆไปบ้าง แต่ร้านของข้าต้องไม่เหมือนผู้ใด”

“ขอรับๆ”ช่างไม้รีบตอบ แม้ในใจจะคิดอีกอย่าง แน่ล่ะ จะเหมือนผู้ใดได้อย่างไร ร้านค้าของคุณชายเสิ่นจะบอกว่าเป็นโรงน้ำชาก็ไม่ถูก เป็นร้านหนังสือก็มิใช่ ทั้งยังไม่ใช่หอดนตรี ศิลปะ แบบร่างร้านค้าของคุณชายคล้ายกับหอคณิกาเสียด้วยซ้ำ สีสันฉูดฉาดคงเป็นร้านค้าที่สะดุดตาที่สุดในตรอกซีหมานแล้วกระมัง ชุนเหลียงไม่เข้าใจความคิดของเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆ

“เจ้ามีปัญหารึ”จื่อฟางเลิกคิ้วเพราะเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของช่างไม้

“เปล่าขอรับ ย่อมไม่มี ข้าเพียงสงสัยว่าคุณชายต้องการทำร้านค้าแบบใดกันแน่”ชุนเหลียงถามเสียงเบาอย่างลังเลใจเพราะกลัวคุณชายรูปงามมีโทสะ

“บอกกล่าวไปท่านก็ไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าเป็นร้านค้าสำหรับพักผ่อนหย่อนใจก็แล้วกัน”เด็กหนุ่มหัวเราะให้กับสีหน้าสับสนของช่างไม้

“ขอรับ”อีกฝ่ายรับคำ “ข้าคาดการณ์แล้ว หากอากาศเริ่มอุ่นจะรีบดำเนินการทันที”

“ดีมาก”เด็กหนุ่มพยักหน้า พูดคุยอีกไม่กี่ประโยคช่างไม้ก็ขอตัวจากไปด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ เขาหยิบขนมในจานเข้าปาก ในขณะที่บ่าวคนสนิทเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา

“คุณชาย มีจดหมายมาถึงขอรับ”จางต้าล้วงจดหมายออกมาจากอกเสื้อส่งให้ผู้เป็นนาย

“จากไป๋ผูอวี้รึ”เขารีบรับจดหมายมาอย่างกระตือรือร้น

“ไม่ทราบเช่นกันขอรับ”บ่าวรับใช้ตอบ เด็กหนุ่มกวาดตามองจดหมายที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อจึงคลี่แกะอ่านอย่างใคร่รู้ ภาพวาดขนาดเล็กปลิวตกอยู่บนตัก เขาหยิบมาพินิจมอง เป็นภาพเส้นทางคดเคี้ยว ท้องฟ้าสีหม่น ล้อมรอบด้วยป่าไม้เขียวชะอุ่ม เบื้องหลังคือภูเขาทะมึน บ่งบอกว่าคนผู้นี้ก็พอมีฝีมือวาดภาพอยู่ไม่น้อย ที่แท้จดหมายก็มาจากฟู่เทียนสือ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2019 14:10:32 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 ‘ถึงน้องเสิ่น ยามนี้ข้าหยุดพักอยู่ที่จุดพักม้าที่อำเภอซานซื่อ เมื่อได้ออกเดินทางเข้าจริง ๆถึงได้รู้ว่าหนทางไปภูเขาเหลียวตงนั้นยังอีกยาวไกลนัก ข้าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าเป็นระยะจนกว่าจะถึงปลายทาง แต่ก็ไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้จะถึงฉางอันเมื่อใด อ้อ อีกประการข้าออกเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้กลัวว่าหากเกิดเรื่องแล้วจะกลับไปช่วยเหลือเจ้าไม่ทัน ข้าจึงสั่งการให้คนสนิทของข้านามว่าเจียงฉวี่ต้าคอยเป็นผู้จัดเตรียมเรื่องนี้แทน หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น เจ้าก็ไปพบเขาที่ตรอกเหวิน เขาจะพาเจ้าหลบหนีไปเอง น้องเสิ่นคงจำเขาได้กระมัง ข้าหวังว่าจะกลับไปฉางอันทันเวลา รักษาตัวด้วย ไว้พบกัน’

 

จื่อฟางอ่านจดหมายจบก็ถอนหายใจ ได้แต่หวังว่าการเดินทางของฟู่เทียนสือจะเป็นไปอย่างราบเรียบ เจียงฉวี่ต้าอย่างนั้นหรือ ค่อยให้หยางชวีไปตรวจสอบดู พูดถึงหยางชวีเขาก็นึกถึงงานที่มอบหมายไปให้

 

“ดูเหมือนว่านายท่านจะกลับจากราชสำนักแล้วขอรับ”จางต้าเปรยเมื่อเห็นว่าคุณชายอ่านจดหมายจบแล้ว

 

“หยางชวีไปสอดแนมแล้วหรือยัง”เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น บ่าวคนสนิทพยักหน้าหงึกหงัก เด็กหนุ่มหยักยิ้ม ยกจอกชาดื่มช้า ๆ เนื่องจากต้องการรู้ความเคลื่อนไหวในราชสำนักเวลาที่เสิ่นมู่หยางกลับมา เขาจึงให้ผู้ติดตามคอยสอดแนม เพราะหากไปถามตรง ๆคนผู้นั้นไม่มีทางบอกแน่ ถึงได้ส่งหยางชวีไป คิดดูแล้วก็น่าตลกนัก เด็กหนุ่มยังจำวันแรกที่เข้ามาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยได้ เสิ่นมู่หยางยังดุด่าบุตรชายที่ไม่เอาไหนไม่สนใจเรื่องบ้านเมือง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

 

“นี่จางต้า...”จื่ดฟางชวนคุยระหว่างที่รอให้หยางชวีกลับมารายงาน “เจ้าคิดว่าที่ผ่านมาข้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่”

“คิดสิขอรับ!แต่ก่อนคุณชายใจร้ายกับข้าจะตาย”บ่าวรับใช้บ่นพึมพำ ทำหน้ามุ่ยแต่เมื่อรู้ตัวว่าพูดสิ่งใดออกมาก็ยกมือปิดปาก เข้ามากอดขาออเซาะผู้เป็นนายที่ยามนี้มีรอยยิ้มปริศนากระจายอยู่บนใบหน้าหมดจด

“คุณชาย ข้าแค่หยอกเล่นเท่านั้น อย่าลงโทษข้าเลย!”

“ข้าจะลงโทษเจ้าทำไม ข้าไม่ถือสา”จื่อฟางอยากบอกความจริงกับจางต้า กับหยางชวีเขาไม่รู้สึกตะขิดตะขวนใจด้วยเพราะไม่ได้รู้จักมักจีมาก่อนหน้านี้ แต่จางต้ารับใช้เสิ่นจิ้งเฟยมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่เหมือนกัน

“จริงหรือขอรับ”บ่าวรับใช้ถอนหายใจโล่งอก กลับไปสำรวมท่าทีตามเดิม จางต้ามองคุณชายเสิ่นอย่างใช้ความคิด

“ข้าน้อยสงสัยว่าคุณชายป่วยจนความจำหายไปจริงหรือแค่แกล้งพูดเล่นกันแน่”บ่าวรับใช้เอ่ยในสิ่งที่สงสัยมานาน

“ความทรงจำของข้าหายไปจริง แต่ยามนี้เริ่มกลับมาทีละเล็กละน้อยแล้ว”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลอบถอนหายใจ อยากให้จางต้าได้พบกับเสิ่นจิ้งเฟย คงเป็นภาพที่แปลกพิลึก เสิ่นจิ้งเฟยในร่างเจาเฟิง ...ว่าแล้วก็อยากรู้ว่าฝ่ายนั้นอยู่ในวังหลวงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

“ยามซวี(19.00 น. - 20.59 น.)เตรียมรถม้าให้ข้าด้วย”เด็กหนุ่มออกคำสั่งเมื่อนึกขึ้นได้

“ขอรับ”บ่าวรับใช้คนสนิทตอบรับ ห้ามความอยากรู้ไว้ไม่ไหว จึงพลั้งปากเอ่ยถามออกไป “คุณชายจะไปที่ใดหรือ”

คุณชายเสิ่นไม่โกรธที่เขาถามวุ่นวายทั้งยังตอบด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น “ข้าก็ออกไปที่หอผูเยว่น่ะสิ ไม่ได้ไปเยี่ยมชมคนงามลู่เจียงนานแล้ว”ได้ยินคำตอบของผู้เป็นนายจางต้าจึงแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา

“คุณชาย...ข้าน้อยคิดว่ากระทำเช่นนี้ไม่สมควรขอรับ”จางต้าทำใจกล้าเอ่ยแย้ง ในใจรู้สึกสงสารคุณชายไป๋นัก...แม้มีสัมพันธ์กับคุณชาย แต่คุณชายกลับยังคิดไปหาแม่นางน้อยที่หอผูเยว่ หรือเป็นเพราะคุณชายไป๋หายหน้าหายตาไปเสียหลายสิบวัน จนคุณชายรู้สึกเปลี่ยวเหงาถึงต้องทำเช่นนี้ แต่มิเป็นการใจร้ายไปหน่อยรึ

“ทำไมถึงไม่สมควรเล่า”จื่อฟางหยักยิ้มอย่างนึกสนุก ที่ต้องการไปหอผูเยว่ก็เพราะต้องการพูดคุยกับลู่เจียงเรื่องแผนการหลบหนี อย่างน้อยก็บอกกล่าวให้นางได้รู้ หากเกิดเรื่องขึ้นจะได้ได้ทันการ

“ก็คุณชายกับไป๋ผูอวี้...เอ่อ”บ่าวรับใช้พูดจาติดขัด

“ข้าคือใคร เสิ่นจิ้งเฟยแห่งฉางอัน แม้แต่หญิงงามยังครอบครองหัวใจข้าไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนแซ่ไป๋ผู้นั้น”เจ้าคนแซ่ไป๋ที่พักนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้า นึกแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ถ้าหากอยู่ในยุคของเขาล่ะก็ เขาคงคิดว่าตัวเองถูกฟันแล้วทิ้งเป็นแน่ แม้จะเขียนจดหมายหากันแต่ไม่เจอหน้าก็ให้ความรู้สึกห่างเหินชอบกล บวกกับกระแสข่าวลือของคุณหนูฉินก็ยิ่งทำให้เขากระสับกระส่าย เด็กหนุ่มเหลือบมองดูสีหน้าตระหนกตกใจของจางต้าก็ยกยิ้ม เจ้าเด็กนี่แกล้งสนุกดีจริง ๆ

“คุณชาย…”จางต้าทำเสียงอ่อย คิดว่าต้องส่งจดหมายถึงเจ้าคนแซ่เว่ยเสียแล้ว พักนี้คุณชายไม่ได้ออกไปนอกจวน เขาที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้จึงไม่มีโอกาสได้ออกไปเช่นกัน จื่อฟางได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาอยู่ด้านนอก พักนี้เจ้าคนหน้าตายบอกว่าลมปราณของเขาเริ่มไหลเวียนดีขึ้น เด็กหนุ่มจึงเริ่มได้ยินเสียงที่อยู่ห่างออกไปแม้จะเป็นเพียงไม่กี่ลี้แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

“คุณชาย ข้าน้อยเข้าไปนะขอรับ”หยางชวีเอ่ยก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของผู้ติดตามปรากฏอยู่ในห้อง 

“ได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง”เขาเอ่ยถามทันที

หยางชวีลอบถอนหายใจ การไปสอดแนมนายท่านทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของคุณชายเสิ่นก็คิดว่าจำเป็นต้องทำ เพราะคุณชายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเกินตัว เขาก็เห็นด้วยหากล่วงรู้ความเป็นไปในราชสำนัก แต่แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของเขาหลบซ่อนไปจากการรับรู้ของศิษย์พี่หานตงไม่ได้   

 ‘เจ้าทำสิ่งใดอยู่’ศิษย์พี่เอ่ยถาม วันแรกที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานของนายท่านเสิ่น ศิษย์พี่ก็จับได้อย่างรวดเร็ว

‘ข้าล่วงรู้ความตั้งใจที่แท้จริงของตัวเองแล้ว ข้าตัดสินใจรับใช้คุณชายเสิ่น’

‘เจ้าถึงได้กล้ามาสอดแนมนายท่านอย่างนั้นรึ’

‘ข้าไม่ได้คิดร้ายใดต่อนายท่าน ไม่แม้แต่สกุลเสิ่น แต่หากข้าบอกเหตุผลกับศิษย์พี่ คุณชายเสิ่นคงไม่มีวันไว้ใจข้าอีก’คำตอบของเขาทำให้ศิษย์พี่หานตงไม่เข้ามาวุ่นวาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นนี้ได้อีกนานเท่าไร


หยางชวีสบตากับคุณชายรูปงามตรงหน้า ก่อนรายงานในสิ่งที่ได้ยินมา “ฮ่องเต้เจี่ยผิงประกาศราชโองการลดอำนาจแคว้นอ๋องแล้วขอรับ”หยางชวีไม่ได้ออกความเห็น เรื่องพวกนี้เหนือความสามารถของเขา

“ลดอำนาจแคว้นอ๋อง...อยากรู้นักว่าหลิวอ๋องคิดเห็นอย่างไร”จื่อฟางพึมพำหลังจากที่นิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนฮ่องเต้เจี่ยผิงทำอย่างที่พูดจริง ๆ เด็กหนุ่มลุกเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าบ่าวรับใช้ คิดสงสัยว่าทำเช่นนี้ไม่เป็นการบีบคั้นหลิวอ๋องเกินไปหรือ อ๋องอีกเจ็ดคนที่ร่วมมือก่อกบฏจะทำอย่างไร ราชโองการนี้คล้ายออกมาเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของพวกเขา การเคลื่อนไหวของหลิวอ๋องยังคาดเดาไม่ออก จากความทรงจำของร่างนี้บอกว่าจะลงมือโจมตีหัวเมืองสำคัญหรือฝ่ายท่านอ๋องกำลังรอเวลา ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มให้หยางชวีทำทีไปซื้อหนังสือที่ร้านเถ้าแก่จางเพื่อตรวจดูว่ามีจดหมายสั่งการใดจากท่านอ๋องมาบ้างหรือไม่ แต่ฝ่ายนั้นก็ยังไม่เคลื่อนไหวเช่นเดิม หากไม่ติดต่อมาในเร็ว ๆนี้ ท่านอ๋องคงไม่คิดใช้งานเสิ่นจิ้งเฟยแล้วกระมัง ซึ่งทำให้เขาหวาดหวั่นอยู่ในอก หมากที่ไม่คิดใช้งาน…จุดจบคงไม่ต้องสืบ

“ไม่แน่หลิวอ๋องอาจหวาดเกรงอำนาจของฮ่องเต้”หยางชวีออกความเห็นราวกับเดาความคิดของจื่อฟางออก เขาปรายตามอง

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ ข้ากลัวว่าท่านอ๋องกำลังวางแผนจัดการข้ามากกว่า”แม้จะซ่อนสีหน้าหวาดกลัว แต่ผู้ติดตามก็มองออก คุณชายหวาดกลัวก็ถูกแล้ว เพราะพักนี้เขาไม่รู้สึกถึงคนของฮ่องเต้ที่เฝ้าอยู่นอกจวน

“มีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางให้ผู้ใดทำร้ายคุณชายได้แม้แต่ปลายก้อย”หยางชวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ตัวตายเขาก็มีหน้าที่ปกป้องคุณชาย

จื่อฟางกระแอม ไม่อยากให้บรรยากาศกดดันจนเกินไปเพราะจางจางต้ามีสีหน้าเหมือนคนใกล้ร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เจ้านี่อายุเท่าไหร่กันนะ?คงไม่มากไม่น้อยไปกว่าเสิ่นจิ้งเฟย

“จากที่ได้ยินนายท่านเสิ่นปรึกษากับสหายในกรม ข้าคิดว่าฮ่องเต้กำลังเตรียมการบางอย่างอยู่ องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกจวน มักหายไปบ่อย ๆ”หยางชวีไม่อยากรายงานเรื่องนี้นักเพราะไม่อยากทำให้คุณชายกลัว แต่ส่วนหนึ่งในใจก็คิดว่าดีแล้ว เขาไม่ชอบให้มีคนนอกมาเกาะติดที่จวนสกุลเสิ่น แม้จะเป็นคนของฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ตาม

จื่อฟางหยุดเดิน คนของฮ่องเต้ไม่ค่อยอยู่อย่างนั้นหรือ?ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือแย่ คิดว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเตรียมกำลังคนไว้รับมือกับการก่อกบฏที่กำลังเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ เด็กหนุ่มมองเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของหยางชวี

“เจ้ามีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกข้าใช่หรือไม่”เขาเอ่ยถาม กอดอกมองผู้ติดตาม

“เรื่องนี้…”เป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจที่จะเอ่ยกับคุณชาย ชายหนุ่มกระแอม “เป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋ผูอวี้…”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ สีหน้ากังวลปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณชายเสิ่น ร่างผอมบางหยุดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าคุณชายมีไรหนวดขึ้นบาง ๆที่เหนือริมฝีปาก แม้จะเป็นเพียงขนอ่อนบางแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก คุณชายเสิ่นปล่อยตัวเกินไปแล้ว หยางชวีย่นคิ้ว ก่นด่าว่าตัวเองที่ยังมีเวลามาคิดเรื่องไร้สาระ

“ไป๋ผูอวี้ทำไม เขาเป็นอะไรหรือ”จื่อฟางถามอย่างว้าวุ่น เขายังไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากไป๋ผูอวี้ นี่ก็ล่วงเลยมานานถึงสิบวันแล้ว ถ้าไม่กลัวผู้คนสงสัยเขาคงแล่นไปหาถึงคฤหาสน์สกุลไป๋

“คุณชายคงได้ยินเหตุการณ์ลุกฮือของชนเผ่าเหลียนที่เมืองอี้โจวมาบ้าง ข้าได้ยินนายท่านเอ่ยว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งไป๋ผูอวี้ไปต่อกรกับชนเผ่าเหลียนที่เมืองอี้โจวขอรับ”หยางชวีบอก หลุบสายตาต่ำ คราแรกเขาก็ไม่เชื่อ แต่มาคิดดูเขาไม่ได้พบหน้าเว่ยหลงมานานแล้ว กับนางมารหมื่นพิษก็เช่นกัน ปกติหากคุณชายไม่ได้ออกไปทีใด เขาจะเจียดเวลาไปประมือกับนางมารหมื่นพิษ แต่นางไม่ได้อยู่ที่หอคณิกา

“เจ้าว่าอะไรนะ บ้าไปแล้วหรือ ไป๋ผูอวี้ไม่ใช่ทหาร เขาจะไปได้อย่างไร”จื่อฟางถูกข้อมูลของอีกฝ่ายโจมตีจนนิ่งงันไปหลายนาที ไป๋ผูอวี้จะยอมทำเช่นนั้นหรือ แล้วเรื่องที่สกุลไป๋ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเล่า

“การตัดสินใจครั้งนี้ก็ยังเป็นเรื่องถกเถียงในหมู่ขุนนางฝ่ายบู๊ แต่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ว่าสกุลไป๋มีฝีมือ ข้าได้ยินว่าเหตุการณ์วุ่นวายที่เมืองอี้โจวยิ่งบานปลาย แม่ทัพที่ประจำการอยู่ร้องขอความช่วยเหลือมาแต่ฝ่าบาทไม่อยากเสี่ยงส่งกองกำลังไปเพิ่ม”ชายหนุ่มเอ่ยตามที่ได้ยิน ไม่เข้าใจฮ่องเต้ผู้นี้นัก เหตุใดไม่ส่งทหารของตัวเองไปเล่า แต่การที่พระองค์ส่งไป๋ผูอวี้ไปเป็นกองเสริมต้องมีเหตุผล

จื่อฟางยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมานัก “สกุลไป๋ไม่มีทางเข้าร่วมกับราชสำนัก…”เขาเริ่มเดินไปเดินมาอีกครั้ง จางต้าได้แต่หุบปากเงียบไม่อยากเอ่ยแย้งออกไปว่าคุณชายรู้จักไป๋ผูอวี้เท่าใดกัน?

“คุณชายไม่คิดว่าแปลกหรือ…ที่ไม่ได้พบเจอไป๋ผูอวี้มานานแล้ว อีกทั้งเขายังตอบจดหมายของคุณชายช้านัก”หยางชวีเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก คุณชายเหมือนอยากเอ่ยวาจาโต้ตอบ แต่ก็หุบปากฉับเหมือนคนที่ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ก่อนจะนิ่งเงียบไปนาน

“บ้าไปแล้ว ฮ่องเต้คิดอยากส่งใครไปก็ได้อย่างนั้นหรือ”จื่อฟางไม่เข้าใจ บางทีอาจยังไม่อยากเชื่อว่าไป๋ผูอวี้จะยอมร่วมมือกับฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่เมื่อมาคิดดูผู้ใดจะต่อต้านเจ้าแผ่นดินได้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ พวกทหารยอมรับคนนอกได้หรือ ในระยะแรกย่อมมีเสียงครหาต่อต้าน เพราะไป๋ผูอวี้ไม่ได้ผ่านการสอบคัดกำลังทหาร อยู่ ๆก็โผล่มาแสดงฝีมือ แต่ถ้าหากไป๋ผูอวี้ทำผลงานได้ดีเสียงเล่านี้ย่อมลดน้อยลง และอาจลดการต่อต้านของพวกทหาร ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดใช้งานไป๋ผูอวี้ ฝ่าบาทบอกว่าสนใจสกุลไป๋นี่นะ…

ความเงียบปกคลุมอยู่ในห้อง เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลง รู้สึกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง ไป๋ผูอวี้ไม่คิดจะบอกเขาสักนิด แต่จื่อฟางพยายามเข้าใจว่าเจ้านั่นอาจไม่อยากให้เขาเป็นกังวล แต่คิดอย่างไรก็คิดได้เพียงว่าเจ้าท่อนไม้ยังไม่ไว้ใจเขา เรื่องของผู้อาวุโสอวิ๋นก็ยังไม่กระจ่างชัด มีเพียงตัวเขาที่เปิดเผยกับฝ่ายนั้น

“เจ้าว่าข้าเปิดเผยกับไป๋ผูอวี้มากไปหรือไม่”เด็กหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ จางต้าเหลือบมองผู้ติดตามหน้าตายอีกคน แต่พบว่าเจ้านั่นไม่ได้สบตาเขา ยังคงก้มมองหาเศษฝุ่นอยู่นั่น บ่าวคนสนิทจึงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบ

“คุณชายเสิ่น ข้าคิดว่าคุณชายไป๋มีเหตุผล หากเขากลับมาก็ลองพูดคุยกันดีหรือไม่ อย่างน้อยก็ร่วมเตียงกันแล้ว”พูดจบก็รู้สึกกระแสดำทะมึนที่มาจากหยางชวี

“เจ้าบ้า”จื่อฟางพ่นลมหายใจ “ช่างเถอะ”เขารู้ดีว่าคนอย่างไป๋ผูอวี้ไม่มีทางตัดสินใจอะไรโดยไม่ระวัง ‘ไม่ต้องกังวล’ที่คนผู้นั้นบอกหมายถึงเช่นนี้เองหรือ ไม่ต้องกังวลแต่ไม่บอกให้ข้ารู้เลยน่ะหรือ เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา มัวตัดพ้อเป็นหญิงสาวรำพึงถึงคนรักอยู่ได้! นึกถึงไป๋อู่เหยียนขึ้นมา ฝ่ายนั้นจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของบุตรชายหรือไม่หนอ จื่อฟางนั่งเหม่ออยู่นานสองนาน กว่าจะลุกเดินกลับเข้าไปในห้องก็กินเวลาสองเค่อ(สามสิบนาที) เด็กหนุ่มนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบพู่กันตั้งใจส่งจดหมายถึงไป๋ผูอวี้ แต่ก็หยุดมือ ขว้างพู่กันทิ้ง กลับมาค่อยซักถามดีกว่า

“ข้าอยากดื่มสุรา”เขาหันไปทางจางต้าที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก กลอกตาเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนมีคนตายของอีกฝ่าย

“แต่ว่าคุณชาย…”

“ข้าจัดการอารมณ์ของตัวเองได้น่า หากไม่ได้ก็มานอนเล่นเป็นเพื่อนข้าจะเป็นไรไป”เด็กหนุ่มเอ่ยแกล้ง จางต้าพลันหน้าซีดรีบลุกออกไปนำสุรามาให้คุณชาย ในห้องจึงเหลือเขากับหยางชวีที่ยืนเป็นต้นไม้อยู่ในเงามืด เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก

“ข้าเข้าใจว่าคุณชายเป็นห่วงไป๋ผูอวี้ แต่ถ้าคิดมากไป คุณชายจะป่วยเอา”หยางชวีเอ่ยเตือน

“ขนาดนั้นเลยหรือ”จื่อฟางพึมพำ ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยนี่มันจริง ๆเลย

หยางชวีไม่เอ่ยสิ่งใด จางต้านำสุราฤทธิ์อ่อนถูกคอคุณชายเสิ่นมาวางบนโต๊ะ จื่อฟางสั่งให้ทั้งสองคนดื่มเป็นเพื่อน แต่ทั้งจางต้าและหยางชวีตอบปฏิเสธไม่ยอมร่วมโต๊ะด้วย

“นี่ มาดื่มสาบานกันหน่อยเป็นไร”เด็กหนุ่มกล่าวชวน ดื่มสุราคนเดียวจะไปสนุกอะไร

“คุณชาย…บ่าวมิบังอาจ”จางต้ายืนยันเช่นเดิม

“ยามดื่มสุราไม่มีคุณชายข้ารับใช้อะไรทั้งนั้น ถือว่าเป็นสหายกัน เร็วเข้ามานั่งนี่”เขาเรียกหยางชวี แต่ร่างนั้นยืนนิ่งไม่ไหวติง จึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา อยากไล่ไปให้พ้นหน้าเสีย เจ้าพวกนี้มันจริง ๆเลย เขารู้สึกว่าอยากงอแง แต่ก็ไม่รู้จะไปทำกับใคร แถมยังดูทุเรศ จึงได้แต่รินสุราใส่จอก นั่งหันหลังให้ทั้งสองคน

“จะดื่มสุราข้าก็ยังไม่มีเพื่อน”จื่อฟางได้แต่แสร้งทำเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร หยางชวีจ้องมองแผ่นหลังบอบบางของคุณชายที่สั่นอยู่น้อย ๆ ไม่รู้ว่าแสดงละครหรือไม่ แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนวูบหนึ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงสั่งน้ำมูกดังมาจากร่างนั้นถึงได้แน่ใจว่าคุณชายเสิ่นล้อเล่นอีกแล้ว ท่านทำเรื่องหนักใจให้ผู้อื่นได้ดีนัก

“คุณชายเสิ่น”จางต้าเอ่ยเสียงอ่อย ยอมหยิบจอกสุรามาดื่ม จื่อฟางหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เลื่อนสายตามองหยางชวีที่ยังคงไม่กระดุกกระดิกแม้แต่เส้นผม สบสายตากันอยู่นานร่างนั้นก็ยอมมาร่วมดื่มด้วย

“ดีมาก”เขายกยิ้ม ยกจอกสุราดื่มจนหมดเช่นกัน เป็นสุรารสอ่อน คล้ายกับน้ำเปล่าผสมกลิ่นเหล้าเท่านั้น เด็กหนุ่มดื่มเพียงจอกเดียวเพราะต้องไปพบกับลู่เจียงที่หอผูเยว่ รู้สึกโง่งมที่อยู่ ๆก็ทำตัวเช่นนี้

~•~

ยามซวี(19.00 น. - 20.59 น.)มาถึง เด็กหนุ่มให้หยางชวีติดตามไปเพียงคนเดียว ส่วนจางต้าให้รับหน้าอยู่ที่จวน ระหว่างทางไปหอผูเยว่มีแต่ความเงียบ จนกระทั่งได้ยินเสียงโวยวายดังอยู่ที่สองข้างทางจึงแง้มเปิดบานหน้าต่างมองลอดออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น มองเห็นกลุ่มคนแต่งชุดมอซอจำนวนหนึ่งรวมกลุ่มยืนอออยู่หน้าร้านขายยาสมุนไพร ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวผ่านไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งหันมาเห็นว่าเด็กหนุ่มลอบมองก็โกยหิมะปาใส่รถม้า เขาปิดบานหน้าต่างแทบไม่ทัน

“พวกบ้า”เด็กหนุ่มพึมพำอย่างหงุดหงิด หยางชวีเหลือบมอง สายตาเป็นประกายขบขัน ตั้งแต่ทราบเรื่องของไป๋ผูอวี้คุณชายเสิ่นก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง พอได้เห็นอีกฝ่ายกลับสู่ท่าทีเช่นเดิมก็เบาใจ รถม้าเคลื่อนมาจอดที่หน้าหอผูเยว่ โคมไฟสีแดงส่องแสงสว่าง เมื่อเปิดประตูลงไปก็พบว่ามีขอทานมาเฝ้ารอขอเงินจากพวกเศรษฐีทั้งหลาย แม้จะมีเด็กรับใช้คอยนำไม้กวาดมาไล่ตีหรือนำน้ำเย็นมาสาดพวกขอทานก็ยังไม่ไปเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูนักจนต้องปล่อยเลยตามเลย 

จื่อฟางลงจากรถม้าได้ก็รีบเดินผ่านประตูชั้นในเข้าไป หญิงงามร่างน้อยอ้อนแอ้นเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มยั่วยวน

“คาราวะคุณชาย”นางยอบกายต้อนรับ เขากวาดตามองไปรอบบริเวณ ในห้องโถงกลางมีเสียงกู่เจิงบรรเลงคลอบรรยากาศเปลี่ยวเงียบ เป็นหญิงงามใบหน้าคมเข้มนั่งอยู่หน้าแท่นกู่เจิง สวมชุดสีแดงเย้ายวนอวดทรวดทรงอย่างไม่เหนียมอาย ลู่เจียงนั่นเอง รอบกายมีนางรำร่างกายอ่อนช้อยเคลื่อนไหวราวเทพธิดา ลู่เจียงเงยหน้าสบตากับเขาครู่หนึ่ง รู้สึกไม่ถูกอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าสายตาของบุรุษน้อยใหญ่ต่างก็จับจ้องไปที่นางเหมือนเหยี่ยว แต่ลู่เจียงไม่ได้มีสีหน้าอับอาย ใบหน้างดงามของนางไม่มีสีหน้าใด เขาเหลือบมองหยางชวีที่ปั้นหน้าตายอยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องมาที่ร่างผอมของเด็กหนุ่ม

“หากเจ้าไม่ชอบ รออยู่ด้านนอกก็ได้”

“คุณชายเสิ่น!”แม่เล้าเถาฮวารีบรุดเดินมาหาราวกับมีเรดาห์คอยสอดส่องเขาอย่างไรอย่างนั้น ข้างกายร่างอวบอิ่มของนางมีดรุณีน้อยสองนางก้าวตามมาด้วย ดูแล้วอยู่ในวัยไม่น่าเกินสิบสี่สิบห้าปี ดรุณีน้อยต่างก็ใช้สายตากวาดมองเขาและผู้ติดตามอย่างเปิดเผย หยางชวียังคงทำสีหน้าเย็นชา ปล่อยรังสีทะมึนออกมาจนแม่นางทั้งสองตัวสั่น หลบไปอยู่เบื้องหลังแม่เล้าเถาฮวา

“ไม่ได้เจอคุณชายเสียนาน สาวงามที่หอผูเยว่เหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว”นางกล่าวเย้าหยอก ส่งสายตาล่วงรู้มาให้ ปรายตามองไปยังสาวงามลู่เจียงที่ดีดบรรเลงกู่เจิงด้วยมือเรียวงดงาม

“คุณชาย คืนนี้ลู่เจียงรับรองแขกผู้อื่นแล้ว…เกรงว่า…”

“ข้าต้องการลู่เจียงเท่านั้น”จื่อฟางกล่าวหนักแน่น ทำให้แม่นางน้อยทั้งหลายที่พยายามอวดเรือนร่างต่างก็พากันทำหน้ามุ่ย ลอบสบตากันอย่างเสียดาย พวกนางอยากลองขึ้นเตียงปรนนิบัติคุณชายรูปงามผู้นี้สักคราดูว่าจะดีอย่างที่เล่าลือกันหรือไม่ มีเพียงลู่เจียงและหญิงคณิกาชั้นสูงของหอผูเยว่เท่านั้นที่เคยปรนนิบัติคุณชายเสิ่นผู้นี้

“คุณชายเสิ่น เกรงว่าจะมิได้”แม่เล้าเถาฮวากล่าวอย่างลำบากใจ ก่นด่าอยู่ในใจว่าเหตุใดคุณชายงามท่านนี้มาสร้างเรื่องให้นาง จื่อฟางมองตามสายตาของแม่เล้า สายตานั้นหยุดอยู่ที่โต๊ะดื่มสุราในมุมมืดใกล้กับเสาต้นใหญ่ที่ประดับด้วยม่านสีแดงสด มีตาเฒ่าไว้เคราแพระคนหนึ่งนั่งกระดกจอกสุราลงคอ แต่สุรานั้นหกเลอะเทอะเสื้อผ้าเพราะสายตาเอาแต่จับจ้องไปที่ลู่เจียง ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกรังเกียจ

“ลู่เจียงต้องรับแขกแบบนี้น่ะหรือ เจ้าน่าจะคัดเลือกหน่อยนะ ตาเฒ่านั่นจ่ายค่าตัวนางเท่าใด ข้าจ่ายเพิ่มให้สองเท่า”จื่อฟางกล่าวพอให้ตาเฒ่าที่พูดถึงได้ยิน มิใช่ว่าอยากเอาชนะ แต่พอมองเห็นว่าผู้ใดที่เป็นแขกของนางก็รู้สึกโกรธขึ้นมา ตาเฒ่านั่นแก่เกินกว่าจะมาทำเรื่องพรรคนี้แล้ว ควรจะอยู่เล่นกับลูกเมียที่บ้านมากกว่า จากหางตาเขามองเห็นว่าร่างนั้นหันมามองด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

“อะแฮ่ม ใต้เถ้าเซียงมิได้จ่ายเป็นจำนวนเงิน”แม่เล้าเถาฮวารู้สึกพูดยากอยู่บ้าง ความจริงนางก็ไม่ได้พอใจมากนัก แต่คนผู้นั้นเป็นขุนนางเก่า จึงไม่กล้าโต้แย้ง จื่อฟางเลิกคิ้วพลันเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องมีอำนาจพอตัว

“อ้อ เช่นนั้นก็ดีคนผู้นั้นยังไม่จ่ายเงิน ก็ถือว่ายังไม่มีสิทธิในตัวลู่เจียง”เด็กหนุ่มเอามือไพล่หลัง เสียงบรรเลงกู่เจิงของลู่เจียงยังคงดังเบาๆอยู่เบื้องหลังแต่ท่วงทำนองเปลี่ยนเป็นบาดหูยิ่งนัก เขาเหลือบมองหญิงคณิกา นางสบตาเขา ใบหน้าคมฉายแววไม่เข้าใจ

ปัง!

ตาเฒ่าเซียงกระแทกไหสุราลงกับโต๊ะ บ่าวรับใช้ก้าวตามต้อย ๆอยู่เบื้องหลัง กล้ามโตเหมือนพวกนักเลง วัดจากสายตาน่าจะพอมีฝีมือพอตัว ตาเฒ่าเซียงสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีเดินกร่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าจื่อฟาง สายตานั้นโกรธเกรี้ยวแต่ก็คล้ายกับโลมเลียไปทั่วร่างของเด็กหนุ่ม จนเขารู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง หยางชวียิ่งปล่อยกระแสกดดันออกมา

“คุณชายเสิ่น เจ้าช่างไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเลย ขนาดพ่อท่านยังต้องเกรงใจข้าอยู่หลายส่วน”ตาเฒ่าเซียงกล่าวเสียงดัง 

“ใต้เท้าเซียง อย่าโกรธเคืองคุณชายเสิ่นเลยเจ้าค่ะ”แม่เล้าเถาฮวาปั้นยิ้ม หันไปยอบกายคาราวะ

“ใช่แล้ว ท่านอย่าโกรธเคืองเลย เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งเอา”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวังดี คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากแม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหลังแม่เล้าเถาฮวา นางหันไปถลึงตาใส่

“เสิ่นจิ้งเฟย!เจ้าเสียมารยาทมากไปแล้ว”

“ข้าเปล่า ท่านก็อายุมากแล้วเหตุใดถึงได้วางตัวเช่นนี้เล่า ซื้อของยังต้องจ่ายเงิน แม้พวกนางเป็นหญิงคณิกาแต่ก็ยังมีราคาค่าห้อง ท่านทำเช่นนี้ไม่อายผู้คนบ้างหรือ”จื่อฟางไม่อยากพูดเช่นนี้ ความจริงอยากซื้อตัวลู่เจียงออกมาจากหอผูเยว่ แต่ไม่อยากให้หลิวอ๋องสงสัยเพราะนางเป็นสายของท่านอ๋องในหอคณิกาแห่งนี้

“ก็ได้ ๆ เจ้าไม่ยอมให้ลู่เจียงกับข้า…”สายตาของตาเฒ่าเป็นประกาย มือเหี่ยวๆลูบเคราแพะ “หรือเจ้าจะมาปรนนิบัติข้าแทนเล่า”

ตึง!

จื่อฟางยังไม่ทันได้อ้าปากเถียง หยางชวีก็เคลื่อนไหวไปก่อนแล้ว เพียงวูบเดียวก็กระแทกตาเฒ่าลงไปกองกับพื้น เสียงกระดูกลั่นดังกรอบ เกิดเสียงวีดร้องดังขึ้น ลู่เจียงหยุดบรรเลงกู่เจิง เงยหน้ามองเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้า ในใจคิดว่าคุณชายเสิ่นไปกินอะไรผิดสำแดงมากัน นางรู้ว่าคุณชายท่านนี้เปลี่ยนไปราวคนละคน แต่ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ถึงกับยอมเอ่ยวาจาช่วยนาง

จื่อฟางถอยหลบให้พ้นทาง มองผู้ติดตามของตาเฒ่าเข้ามารับมือกับหยางชวี แต่มีหรือจะรับมือคนฝีมือดีอย่างหยางชวีได้นาน เพียงไม่กี่นาทีผู้ติดตามของตาเฒ่าเซียงก็เหนื่อยหอบ

 “หยุดเถิดเจ้าค่ะ อย่าสร้างความวุ่นวายให้แขกเหรื่อ”แม่เล้าเถาฮวาอยากกรีดร้องนัก นางส่งสายตาเรียกคนงานมีฝีมือมาห้ามทัพ แต่ดูจากตาเปล่า คนของคุณชายเสิ่นมีภาษีมากกว่า นางส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยระหว่างที่เงาดำสองร่างปรากฏตัวขึ้น  ‘ดูท่าจะจัดการได้ไม่ง่าย’

“คุณชายเสิ่น เล่นสนุกพอได้แล้วกระมัง”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแต่แฝงแววตักเตือน ใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยเหลียวมองนาง วูบหนึ่งมองเห็นความเย็นชาแฝงอยู่ทำให้ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน นางเคยเห็นสายตาเช่นนี้ของคุณชายรูปงามราวสตรีมาก่อน เมื่อครั้งที่นางยังเป็นเพียงหญิงคณิกาชั้นต่ำ คุณชายเสิ่นไม่เคยเห็นนาง แต่มาม่าคนก่อนเคยส่งหญิงไม่เป็นงานเข้าไปปรนนิบัติทำให้คุณชายเสิ่นจิ้งเฟย‘ถูกกัด’เข้า คุณชายท่านนี้ถึงกับสั่งให้คนตัดลิ้นนางออก แม่เล้าเถาฮวาจึงรู้ดีว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนเอาไหนไม่ได้ความอย่างที่เห็น

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
นางเอ่ยเตือนท่านอ๋องอยู่หลายคราว่าไม่ควรดึงเสิ่นจิ้งเฟยมาเกี่ยวข้อง แต่ท่านอ๋องก็มิฟัง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด หลิวอ๋องแสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจพวกรักชอบบุรุษ นางเดาใจคนผู้นั้นไม่ถูก บางคราเขาเหมือนจะเอ็นดูเสิ่นจิ้งเฟย บางคราก็เกลียดชัง เป็นคนที่อารมณ์ไม่ค่อยคงที่นักอย่างพวกคนเก็บกด

“อ้อ ขออภัยด้วย หยางชวี พอได้แล้ว”จื่อฟางร้องเรียก ยกยิ้มที่คิดว่าหวานเยิ้มส่งให้ผู้ติดตาม ร่างนั้นหยุดมือ ถอยกลับมายืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นนาย คนของหอผูเยว่มีบาดแผลตามใบหน้า มุมปากเลือดออก ทั้งสองหายร่างจากไปทันที เหลือผู้เฒ่าเซียงที่ยังคงนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น

“โอย…พวกเจ้า…พาข้าไปโรงหมอ!”ตาเฒ่าเซียงเอ่ยสั่งข้ารับใช้ที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมเช่นกัน

“ท่านคงไม่โกรธเคืองข้ากระมัง ท่านเอ่ยวาจาไม่ถูกหูข้า แต่ข้าจะไม่เอาความ”จื่อฟางถอนหายใจ แค่นี้ก็ถือว่าไว้หน้าตาแก่มากแล้ว หญิงงามที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างก็พากันซุบซิบ

“คุณชายเสิ่น เชิญท่านไปรอในห้องรับรองเถิด”แม่เล้าเถาฮวากัดฟันบอก ไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวาย จื่อฟางยิ้มรีบหมุนตัวไปที่ห้องรับรองห้องเดิม สืบเท้าไปตามเฉลียงทางเดินคุ้นตา เขาไม่ได้ตาฝาดแน่ที่เห็นสายตาแหลมคมของแม่เล้า นางต้องมีแผนไม่ดี บางทีหลิวอ๋องอาจสั่งให้นางจับตาดูเขา แต่เมื่อครู่ นางกลัวเขาหรือ? เสิ่นจิ้งเฟยเคยทำอะไรไว้อีกหนอ หยางชวีได้แต่เดินตามมาเงียบ ๆ

“คุณชายเสิ่น แม่เล้านางนั้น…ให้ข้าจัดการหรือไม่”

“อะไรนะ”จื่อฟางหยุดเดินทันที หันมองอีกฝ่ายตาโต จังหวะในอกเต้นระรัว

“ข้ารู้สึกว่านางมีแผนร้ายต่อคุณชาย”ผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา จื่อฟางเม้มปาก เจ้านี่... มาบอกว่าจะฆ่าแม่เล้าเถาฮวาในที่ของนางเนี่ยนะ เขาไหวไหล่ “เอาไว้ก่อน”ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาไม่กล้าสั่งฆ่าคน

 
“หากลงมือช้า นางจะลงมือก่อน คุณชายเข้าใจความหมายของข้าน้อยดี”ชายหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านี้ เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องรับรองก็เอ่ยเสริม

“ข้าน้อยรออยู่ด้านนอก”จื่อฟางได้แต่พยักหน้า ผลักประตูหนาหนักเข้าไป นั่งรอเกือบหนึ่งเค่อ ลู่เจียงก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับสาวน้อยที่นำไหสุรากับของทานเล่นเข้ามา ลู่เจียงส่งสายตาไล่ เมื่อประตูปิดลงอยู่กันสองคน นางก็สืบเท้ามานั่งข้าง ๆ มองหน้าเขาด้วยสีหน้าแววตาไม่เข้าใจ

“คุณชายเสิ่นไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”นางเอ่ยเสียงแผ่ว เอื้อมมือมาจัดแต่งปกเสื้อที่ไม่เรียบร้อยให้เด็กหนุ่ม

“ข้าแค่ไม่ชอบหน้าตาแก่นั่นอยู่แล้ว ไม่ได้ทำเพื่อเจ้าเสียหน่อย”เด็กหนุ่มเอ่ยลอบถอนหายใจ หญิงคณิกาไม่ได้กล่าวโต้ตอบเพียงยืดตัวกลับไปนั่งเงียบๆ รินสุราใส่จอกให้ จื่อฟางมองแต่ไม่ได้ยกดื่ม

“ที่ข้ามาก็เพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย”จื่อฟางเล่าถึงแผนการหลบหนีที่ตกลงไว้กับฟู่เทียนสือคร่าว ๆแม้จะยังไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน แต่ลู่เจียงกลับมองหน้าเขาอยู่นานสองนาน ในดวงตามีน้ำเอ่อคลอ

“ลู่เจียงซึ้งใจนัก”นางกระซิบเบา ๆ เม้มปากเหมือนกำลังคิดเรื่องใดอยู่ เขาวางจอกสุราลงดังกึก

“ลู่เจียง...ข้าไม่แน่ใจว่าเคยถามเจ้ามาก่อนหรือเปล่า เจ้ามาจากนอกด่าน เป็นคนชนเผ่าใดรึ”เขาเอ่ยถามเพื่อหาเรื่องคุย หญิงคณิกามองเขาก่อนยิ้มน้อย ๆ

“คุณชายกลัวข้าวางยาพิษท่านรึ ถึงไม่กล้าดื่ม”ลู่เจียงมองเขาก่อนจะหยิบจอกสุราที่เขาเพิ่งวางยกดื่มจนหมด ดวงตาดำสนิทจับจ้องเขานิ่งงัน

“คุณชายช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่มีทางคิดร้ายต่อท่าน”นางเอ่ยเสียงหม่น เอื้อมมาจับแขนข้างที่ถูกหลิวอ๋องกรีดข้อมือ นางเลิกชายเสื้อ ฝามือเรียวลูบลอยแผลจางเบา ๆ

“ข้าสัญญาว่าจะรับใช้คุณชายด้วยชีวิต”ลู่เจียงมองเขาด้วยใบหน้าจริงจัง จื่อฟางไม่รู้ว่าหญิงผู้นี้ต้องเจอเรื่องราวใดมาบ้าง จึงได้แต่มองหน้านางอย่างประดักประเดิก ร่างบางยกยิ้มขบขัน

“ข้าไม่ไว้ใจแม่เล้าเถาฮวา”เด็กหนุ่มเอ่ยเบา ๆ ลู่เจียงหยักหน้า “มาม่า ไม่ไว้ใจคุณชายเช่นกัน คุณชายแน่ใจหรือว่าไม่เคยสร้างเรื่องให้นางมาก่อน”

“…ไม่นี่”จื่อฟางย่นคิ้ว หรือว่าเคยกันนะ

“ข้าตอบคุณชาย ข้ามาจากชนเผ่าเหลียน”นางกล่าวเสียงเรียบเรื่อย ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ข้าถูกขายมาตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี ไม่มีความผูกพันธ์ใดกับคนพวกนั้น”แววตากระจ่างไม่ได้มีร่องรอยเคียดแค้น ดูคล้ายกับว่าไม่สนใจเรื่องราวภายนอก

“คนพวกนั้น?”จื่อฟางเลิกคิ้ว

“คุณชายคงได้ยินข่าวเหตุวุ่นวายที่เมืองอี้โจว เป็นฝีมือของพวกเขา”หญิงคณิกาเล่า คีบเนื้อแห้งใส่ปากจื่อฟาง เขาอ้าปากเคี้ยวอย่างยากลำบาก เนื้อพวกนี้แข็งอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ตากอากาศมากี่วัน เขาเคี้ยวจนรู้สึกปวดกราม เมืองอี้โจว ชนเผ่าเหลียน เมืองชายแดนที่ไป๋ผูอวี้ถูกส่งไปจัดการสินะ

“พวกเขามีฝีมือหรือไม่”เขาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ กลัวว่าไป๋ผูอวี้จะเจอกับของแข็ง

“ส่วนน้อย ผู้ที่มีฝีมือจริง ๆมีไม่มากนัก ข้าถึงได้แปลกใจที่ได้ยินว่าพวกเขาลุกฮือต่อต้านราชสำนัก”ลู่เจียงสบตากับเขาอย่างมีความนัย

“เหตุการณ์ที่เมืองอี้โจว ลำพังแค่พวกชาวเหลียนไม่มีทางคิดต่อกรกับทหารราชสำนักได้แน่ ข้าคิดว่ามีคนนอกคอยปั่นชักจูงและช่วยพวกเขาอยู่ ข้าไม่คิดว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง ชนเผ่านอกด่านไม่มีทางร่วมมือกับคนแผ่นดินเจี่ย คนที่ช่วยย่อมต้องเป็นฝีมือของชนเผ่าอื่น”ลู่เจียงไม่รู้รายละเอียดมากนัก จื่อฟางจิบสุรา รสชาติแปร่ง ๆไหลลงคอ เขาวางจอกลง นึกถึงองค์ชายใหญ่ เคยอ่านเจอในตำราจึงทราบมาว่ามารดาของเจี่ยอี้เป็นชาวหู การแทรกซึมครั้งนี้เป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่หรือไม่?

“เรื่องในราชสำนักข้าไม่เข้าใจนัก แต่คุณชายโปรดระวังตัวด้วย”ลู่เจียงเอ่ยเตือน หลิวอ๋องยังไม่เคลื่อนไหวเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก

“เจ้าก็ด้วย เจ้าอยู่ที่นี่คงรู้จักนางคณิกาที่ชื่อซูเหลียนฮวากระมัง อยู่ใกล้นางไว้ก็ดี”เด็กหนุ่มบอก แม้ยามนี้จะค่อนข้างแน่ใจว่านางมารหมื่นพิษไม่ได้อยู่ที่หอผูเยว่ หากไป๋ผูอวี้ถูกส่งไปที่เมืองอี้โจว ไม่มีทางที่นางจะไม่ตามติดไปด้วย เขาจำได้ว่านางคือศิษย์น้องของเจ้าท่อนไม้ไป๋

“ข้าไม่เห็นพี่ซูมาพักใหญ่แล้ว มาม่าเถาฮวาโกรธมาก”ลู่เจียงพึมพำ นึกถึงหญิงคณิกาชั้นสูงผู้นั้น นางไม่ขายเรือนร่างแก่ผู้ใด ยกเว้นแต่คนที่นางถูกใจแต่ครั้งหนึ่งเคยมีคุณชายใบหน้านิ่งที่ไม่ใช่หยางชวีมาพบพี่ซู ท่าทางนางดูถูกใจมากทีเดียว

“หากนางกลับมา ก็อยู่ใกล้นางไว้”เด็กหนุ่มเอ่ยย้ำ ลู่เจียงเลิกคิ้วเรียวงาม ยกยิ้มน้อย ๆ “คุณชายกลัวข้าตายรึ”มองคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดก็รู้สึกแปลกตา

“เอาเถิด ข้าจะระวัง แต่…ข้าขออภัย จำเป็นต้องทำเพื่อความสมจริง มาม่าเถาฮวานางมีสายตาแหลมคมนัก”ลู่เจียงพึมพำตอบ จื่อฟางตีหน้างุนงงว่านางจะทำอะไร แต่ร่างนั้นยื่นริมฝีปากแดงประทับลงบนซอกคอของเขาแรงพอจนทำให้เกิดรอยชาดสีแดงเปื้อนติดอยู่ จัดเสื้อผ้าให้หลวมหลุดลุ่ยเล็กน้อย กลิ่นน้ำหอมของนางติดอยู่ตามเสื้อผ้าของเขาไปด้วย เวลาล่วงเลยจนถึง(ยาม ไฮ่ 21.00 น. - 22.59 น.) จื่อฟางคิดว่าน่าจะพอแล้วจึงกล่าวคำลากับลู่เจียง

“ข้าต้องกลับแล้ว รักษาตัวด้วย”เขาเอ่ยบอก นางยกยิ้มก่อนพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มผลักบานประตูออกไปแสร้งทำสีหน้าแช่มชื่นอย่างคนที่เพิ่งใช้เวลาหาความสุข หยางชวียืนเฝ้าอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้านิ่งสงบ ร่างนั้นกวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลง ๆ

“กลับเถอะ”จื่อฟางยิ้ม สืบเท้ามาถึงห้องโถงที่ยามนี้กลับมาคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะต่อกระซิกของหญิงสาว เสียงกู่เจิงบรรเลงเคล้าคลอลอยก้อง แม่เล้าเถาฮวาเยื้องกายเดินมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตากวาดมองไปทั่วร่างของจื่อฟางอย่างสำรวจ หยางชวีหยิบเงินมาสองตำลึงทองยัดใส่มือของนาง

“ขอบพระคุณมากคุณชายเสิ่น ข้าหวังว่าคุณชายจะแวะมาบ่อยๆ...”แม่เล้าแสร้งยอบกายคาราวะ คุณชายรูปงามผละออกห่างคล้ายไม่อยากเสวนาด้วย รีบเร่งออกมาจากห้องโถง ทิ้งกลิ่นสุรากลิ่นถุงหอมไว้เบื้องหลัง หยางชวีก้าวตามมาเงียบ ๆ อากาศหนาวเย็นด้านนอกต้องใบหน้า แต่ออกมาได้ไม่ทันไร พวกขอทานที่ยังทนต่อการถูกน้ำสาดก็เข้ามาเกาะชายเสื้อของเขาไม่พูดไม่จา จื่อฟางก้มมองชายรูปร่างผอมแห้งน่าเวทนา หันมองหยางชวีครู่หนึ่ง

“เอาเงินให้พวกเขา ข้าอยากได้คนไว้ใช้งาน”เด็กหนุ่มกระซิบ ผู้ติดตามพยักหน้าโดยไม่เอ่ยสิ่งใด จื่อฟางก้าวเข้าไปในรถม้าก่อน ระหว่างที่รอหยางชวีจัดการธุระให้เสร็จ ขณะที่รอก็นึกถึงไป๋ผูอวี้

เจ้าอยู่ที่นี่ก็ดีน่ะสิ

~•~

 ยามโฉ่วแล้ว(01.00 น. - 02.59 น.) แต่จื่อฟางยังนอนไม่หลับ เรื่องของแม่เล้าเถาฮวา หลิวอ๋องและไป๋ผูอวี้ยังรบกวนจิตใจจนข่มตาไม่ลง เขานอนมองแสงโคมไฟที่แขวนอยู่ข้างเตียง พยายามสะกดให้ตัวเองหลับแต่กลับทำไม่ได้ง่าย ๆ ยามทีได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่นอกห้องจึงทำให้เขาเด้งตัวลุกจากเตียงอย่างระแวดระวัง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มากกว่าหนึ่งเข้ามาในเขตเรือน จื่อฟางเม้มปาก มองหาของป้องกันตัวเมื่อแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินไม่ใช่ไป๋ผูอวี้หรือคนในจวน เงาร่างที่ผลักประตูเข้ามาในห้องคือคนในชุดคลุมสีดำไม่คุ้นตา จื่อฟางอ้าปากหมายร้องตะโกนแต่ร่างนั้นเร็วกว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็เข้าถึงตัวพร้อมกับปลายมีดแหลมคมจ่ออยู่ที่ปลายคาง แสงจากโคมไฟสะท้อนให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเมื่อจำใบหน้านั้นได้ “ท่านอ๋อง”

“ใช่ ข้าเอง”หลิวอ๋องแสยะยิ้มมอง ยังคงไม่ละมีด จื่อฟางยังคงสบตาอีกร่างจนกระทั่งฝ่ายนั้นลดมีดลงเอง

“ผู้ติดตามของเจ้าฝีมือดีไม่น้อย คนของข้าต้องใช้กระบี่หยุดเขา”เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง หลิวอ๋องโบกมือไล่ “แค่ขู่ ไม่ได้ฆ่า แปลกนะที่วันนี้เจี่ยผิงไม่ได้ให้คนเฝ้าเจ้า”หลิวอ๋องกระซิบ แววตาวาวโรจน์

“สวมเสื้อคลุมแล้วตามข้ามา วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องสนุก”เจี่ยซินกล่าว มองผ่านแสงไฟไปยังร่างบอบบางของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่ได้เจอเกือบหนึ่งเดือน คุณชายรูปงามผู้นี้ดูจะมีน้ำมีนวล เจี่ยซินละสายตาออกมานึกหงุดหงิดตัวเองอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนวิปริตอย่างพี่ชาย เขามีพระชายา มีอ๋องน้อย เขาไม่มีวันเหมือนคนผู้นั้น

“ท่านอ๋องจะพาข้าไปที่ใด”ร่างนั้นเอ่ยถาม หยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวมใส่ เจี่ยซินไม่ได้เอ่ยตอบทันที เขาดึงผ้าคลุมปิดหน้า ร่างนั้นจึงควานหาผ้าคลุมในหีบมาใช้เช่นกัน เจี่ยซินนึกรำคาญนักที่คุณชายรูปงามยังมีเวลามาควานหาของใช้ จึงส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายตามมาเงียบ ๆ เปิดประตูออกไปก็พบร่างของผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟยนั่งคุกเข่า ที่ลำคอมีเลือดไหลซึมเพราะกระบี่ขององครักษ์ของเขาจ่ออยู่ ชายหนุ่มลอบมองเสิ่นจิ้งเฟย แต่ร่างนั้นไม่ได้เผยท่าทีใดออกมา แต่เขามองออกว่าอีกฝ่ายฝืนมองผ่านรอยแผลบนลำคอของบ่าวรับใช้

พรึบ

เงาดำอีกร่างปรากฏตัว เป็นคนของเสิ่นมู่หยาง

“เจ้าเป็นผู้ใด…!”หานตงดวงตาเป็นประกายอย่างมีโทสะ กวาดมองผู้บุกรุกและคุณชายเสิ่น

“อย่าเอะอะไป”จื่อฟางรีบเอ่ยบอก เขาจะแสดงท่าทีแปลกไปต่อหน้าหลิวอ๋องไม่ได้เด็ดขาด หานตงปรายตามองเขาก่อนหยุดที่หยางชวีและองครักษ์ของหลิวอ๋อง

“คุณชายเสิ่นท่านทำเรื่องใดอยู่”หานตงขบฟันกรอด อยากเข้าไปตบหน้าคุณชายเสิ่นให้ได้สติสักฝามือ แต่รู้ดีว่าทำไม่ได้

“เจ้าวางใจเถอะ อย่านำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายกับผู้ใด หยางชวีเข้าใจสิ่งที่ข้าทำดี”เขาส่งเสียงเย็นชา มองไปที่ผู้ติดตามครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง หลิวอ๋องจับจ้องเขาก่อนหยักยิ้ม พยักหน้าเรียก ร่างนั้นหมุนตัวไปทางกำแพงจวนหยุดรอเขาท่าทางเช่นนั้นคล้ายกลับบอกให้เร่งรีบ จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมมองผู้ติดตามทั้งสอง

“พวกเจ้าห้ามตามมา ข้าออกไปกับสหาย เข้าใจหรือไม่!”ให้ตายเถอะ จื่อฟางไม่สบสายตาน่ากลัวของหานตง มองหยางชวีครู่หนึ่งแล้วรีบหมุนตัวจากมา ร่างสูงใหญ่ของหลิวอ๋องกระโจนไปบนกำแพงจวน องครักษ์อีกคนโผล่มาประกบเขาเหมือนวิญญาณร้าย เด็กหนุ่มรู้สึกถูกหนีบที่เอว ร่างนั้นพาเขากระโจนไปที่กำแพงจวน ก่อนจะเหยียบสัมผัสผืนดิน คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด

บริเวณโดยรอบจึงเงียบสงัดจื่อฟางมองกำแพงจวนของสกุลเสิ่นก่อนหันมองหลิวอ๋องที่ก้าวหายเข้าไปในเงามืดของตรอก เขาไม่ได้เอ่ยถามเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อเดินเลยมาเกือบสุดตรอกก็พบรถม้าจอดอยู่ อาชาสีดำสนิทหายใจเป็นไอขาว  เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปในรถม้า องครักษ์ปิดประตูตามหลังดังกึก

ภายในรถจึงมีเพียงแสงที่ส่องลอดมาจากหน้าต่างฉลุลายเท่านั้น หลิวอ๋องเจี่ยซินนั่งอยู่บนตั่งนั่ง ร่างนั้นเชื้อเชิญให้นั่งที่พื้นด้านล่างอย่างบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง จื่อฟางนึกถึงท่าทีของเสิ่นจิ้งเฟยจึงแสดงละครตบตาไปเช่นนั้น แสร้งส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นอย่างซวนเซเพราะอาชากระชากรถม้าไปด้านหน้า มุ่งไปยังที่ใดก็ไม่ทราบได้

‘ท่านอ๋องจะฆ่าข้าหรือ’ สายตาของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกับถามมาเช่นนั้น เจี่ยซินเอนกายพิงผนังรถม้า สายตาจดจ้องคุณชายรูปงามที่นั่งต่ำกว่า วูบหนึ่งที่เขารู้สึกอยากบดขยี้คุณชายผู้นี้ให้แหลกคามือ ชายหนุ่มไล่ความคิดไร้สาระออกไป

อาชาสีดำสนิทพาพวกเขาออกห่างจากจวนสกุลเสิ่นเรื่อย ๆ หลิวอ๋องจับจ้องจนจื่อฟางจนเกร็งไปหมด เหงื่อชื้นเต็มฝามือ

 
“ท่านอ๋องคงไม่ได้ทำร้ายบ่าวในเรือนของข้ากระมัง”เขาเอ่ยถามทำลายความเงียบ ท่านอ๋องเอนตัวมาใกล้

“ข้าไม่ใช่คนโหดร้าย”ร่างนั้นกล่าว ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ช่วยทำให้ดูดี แสงจันทร์ส่องลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายทำให้ดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

“ท่านอ๋องจิตใจเมตตา คงไม่คิดทำร้ายบ่าวไพร่ไม่รู้ความ”ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เจี่ยซินก็หัวเราะในลำคอ

“อีกห้าวันจะถึงวันคล้ายวันเกิดข้า เจ้าก็เล่นละครให้สมจริงหน่อยก็แล้วกัน วันนั้นเจี่ยผิงก็มาด้วย”เจี่ยซินกล่าวเบาๆ ‘ถ้าหากว่าเจ้ามาได้…’   รถม้ายังคงมุ่งตรงไปยังสำนักศึกษาหลวง เป้าหมายแรกของการก่อกวน เสิ่นจิ้งเฟยมองเขาด้วยดวงตาคู่งามที่มีแววใคร่รู้ปรากฏอยู่ แสงสว่างค่อนข้างน้อยเขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าทั้งหมดของเสิ่นจิ้งเฟย

“ข้าทราบแล้ว”จื่อฟางได้แต่ตอบเช่นนั้น วันเกิดหลิวอ๋องก็ต้องจัดขึ้นที่วังอ๋อง เช่นนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงก็มา เขาจะได้เจอเสิ่นจิ้งเฟยหรือเปล่านะ อย่างน้อยฮ่องเต้ต้องนำคนมาด้วย เขาหวังว่าจะเป็นเสิ่นจิ้งเฟยหรือเจาเฟิง

“ท่านอ๋องจะพาข้าไปที่ใดหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางเงยหน้ามองอีกฝ่าย สะดุ้งเมื่อพบว่าหลิวอ๋องห่างออกไปไม่กี่คืบ จื่อฟางกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นมือแกร่งก็จับคางของเขาพร้อมกับริมฝีปากเย็นประกบแตะ จื่อฟางตอบโต้ด้วยการผลักอีกฝ่ายออก อารมณ์ขุ่นเคืองจากเจ้าของร่างทำให้เขาลืมตัวเผลอถลึงตาใส่ร่างนั้น

“รสชาติก็ไม่เห็นดีที่ตรงไหน เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้หลงไหลเจ้านัก”หลิวอ๋องมองอย่างใคร่รู้ ปรายตามอฃใบหน้าโกรธขึงของคุณชายเสิ่นก็แค่นเสียงในลำคอ แค่แตะริมฝีปากชายหนุ่มก็ขนลุกซู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรังเกียจหรืออย่างไรกันแน่

“เจี่ยผิงส่งคนมาเฝ้าเจ้าที่จวน ข้าจึงอยากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ก็เท่านั้น”เจี่ยซินเอ่ย ระหว่างที่รถม้ายังคงแล่นไปยังจุดหมาย เขาใช้ถนนอีกสายเพื่อหลีกเลี่ยงทหานเวรยาม คืนนี้เป็นคืนสะดวกที่เขาจะลงมือสร้างความปั่นป่วน

“ข้าไม่มีทางเปลี่ยนใจ ข้าเกลียดฝ่าบาท”เสิ่นจิ้งเฟยนัยน์ตาลึกวาวอยู่ในความมืดไม่คล้ายกับเล่นละคร ชายหนุ่มยกยิ้ม

“ดีแต่ข้าไม่ต้องการคำพูด ข้าต้องการสิ่งยืนยันที่แน่ชัด ที่ที่ข้าพาเจ้าไปคือสำนักศึกษาหลวง ข้าต้องการให้เจ้าเผาหอตำราเจี่ยซาน”

คำสั่งของหลิวอ๋องกล่าวทำเอาจื่อฟางตกตะลึง หอหนังสือเจี่ยซานอยู่ในสำนักศึกษาหลวง และก็เป็นหอหนังสือที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงทรงสั่งให้สร้าง เด็กหนุ่มไม่มีเวลาให้ลังเล

“ตกลง ข้าจะทำหากเป็นสิ่งที่ทำให้หลิวอ๋องเชื่อ”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงหนีกแน่นแม้จะสงสัยว่าจะเข้าไปในสำนักศึกษาหลวงได้อย่างไร หลิวอ๋องคล้ายกับเดาความคิดของเขาออก ร่างนั้นโน้มตัวมาใกล้ เด็กหนุ่มเอนตัวออกห่างจากแรงกดดัน

“องครักษ์ของข้าจัดการทหารยามแล้ว คืนนี้ทางสะดวกสำหรับเจ้า น้องชาย”ชายหนุ่มเรียกขานคำที่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ตั้งแต่เอ่ยคำสาบานเป็นพี่น้องมีไม่บ่อยที่เขายอมเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้ เสิ่นจิ้งเฟยเคยเรียกเขาว่าพี่ซินเมื่อนานมาแล้วเมื่อครั้งที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องของเสิ่นฉินอี้

“อืม”จื่อฟางส่งเสียงในลำคออย่างเก้อกระดาก เบนสายตาออกไปทางอื่น คนผู้นี้ประหลาดจนน่ากลัว ครู่หนึ่งทำตัวร้ายกาจ ครู่หนึ่งก็มาทำตัวเป็นคนดี เขาบ้าไปแล้วรึ! จื่อฟางกลัวคนนิสัยเช่นนี้ พวกแสร้งทำเป็นคนดีแต่มีอีกตัวตนซ่อนอยู่

รถม้าหยุดลงแล้ว เด็กหนุ่มจึงก้าวออกมา ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ไม่มีเสียงใดให้ได้ยินรอบบริเวณเงียบสงัด เขากระชับเสื้อคลุมและผ้าปิดหน้าให้เรียบร้อย กวาดมองรอบตัว มีเพียงองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกาย ส่วนหลิวอ๋องรอคอยอยู่ในรถม้า องครักษ์ส่งแท่งเชื้อไฟมาให้ จื่อฟางรับมาถือด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ ถึงเวลาเล่นบทร้ายแล้วสินะ องครักษ์ไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้าตัวเขาพาดบ่ากระโจนไปที่กำแพงสูงเบื้องหน้า อากาศหนาวเย็นทำให้เขาชาไปตามใบหน้า เอี้ยวตัวมองก็พบว่าหอสมุดขนาดกลางตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ตัวอักษรงามวิจิตรสีทองสะท้อนอยู่ในความมืด ร่างหนึ่งนอนกองเป็นเงาทะมึนอยู่หน้าขั้นบันได

วูบ

องครักษ์พาเขามาถึงหน้าประตู จากนั้นก็ปล่อยเขาลง จื่อฟางไม่รอช้าแม้จะกลัวอยู่มากแต่ยามนี้รอเวลาไม่ได้ ไม่อยากทำแต่ไม่ทำก็ตาย เขามีชีวิตเดียวและยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับไป๋ผูอวี้ เขาจะตายก่อนไม่ได้เด็ดขาด!เด็กหนุ่มเปิดบานประตูหนักๆเข้าไป ภายในหอหนังสือมืดสนิทมีเพียงแสงสีแดงเรืองรองจากแท่นเชื้อไฟในมือเท่านั้น กลิ่นเหม็นอับหนังสือลอยเข้าจมูก

จื่อฟางมองหาจุดอับที่สามารถติดไฟได้ดี เขารีบสืบเท้าไปยังชั้นหนังสือเลือกมาเล่มหนึ่ง ลอบเปิดบานหน้าต่างเอาไว้ ก่อนจะเป่าแท่งเชื้อไฟขนไฟสว่างวาบ เขาจุดไฟจนติด รอให้ไฟลุกลาม เด็กหนุ่มก็ปีนออกทางหน้าต่าง อาจจะเพราะความกลัวถึงได้ไม่กลัวเจ็บ ร่างของเขาหล่นตุบลงมากองกับพื้น ได้กลิ่นกระดาษไหม้ลอยแตะจมูก จื่อฟางเงยหน้ามอง ไม่คิดว่าไฟจะติดไวมากถึงเพียงนี้ แต่อากาศหนาวและแห้งยิ่งทำให้ไฟติดง่าย

ร่างบางลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว

“ผู้ใดน่ะ!”เสียงตวาดดังขึ้น จื่อฟางไม่ทันได้อ้าปากร่างของบรรณารักษ์ก็ล้มกองกับพื้น หานตงผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางปรากฏกายพร้อมกับกระบี่ในมือ ใบหน้าของร่างนั้นไม่ปรากฏอารมณ์ใด เยียบเย็นจนชวนให้เข่าอ่อน ผู้ติดตามเข้ามาคว้าเอวเขาก่อนจะพาออกไปจากหอตำรา ลมหนาวพัดโกรก หานตงไม่ได้เอ่ยถาม จื่อฟางรู้ตัวว่าเรื่องนี้ต้องถึงหูเสิ่นมู่หยางแน่จึงทำใจแต่ตอนนี้

หลิวอ๋อง…คิดปล่อยให้เขาหาทางออกมาเอง ร้ายนัก!

เมื่อมาถึงจวนสกุลเสิ่นร่างกายของจื่อฟางก็ไร้ความรู้สึกแล้ว หานตงปล่อยเขาลงที่หน้าเรือน ควันไฟปรากฏให้เห็นเลือนลาง เด็กหนุ่มสบตากับหานตง สีหน้าของอีกฝ่ายเย็นชาและน่าหวาดเกรง จื่อฟางจ้องมองอย่างไม่ลดละ

“คนผู้นั้นเป็นใคร ท่านทำเรื่องใดกันแน่เหตุใดต้องเผาหอหนังสือเจี่ยซานด้วยรู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร”หานตงกระซิบด้วยเสียงที่อดกลั้น คุณชายเสิ่นเป็นคนที่ทำให้เส้นอดทนของเขาขาดสะบั้น กระบี่ในมือยังคงเปื้อนเลือด

“หยางชวีเล่า”จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบแต่ถามคำถามแทน เขามองไปรอบกายก็ไม่พบผู้ติดตาม

ตึง ตึง ตึง

เสียงตีกลองดังแหวกความเงียบของยามอิ๋น(03.00 น. – 04.59 น. )ก้องไปทั้งฉางอัน จื่อฟางเงยหน้ามองท้องฟ้ามืด มีแสงควันไฟมาจากอีกจุดหนึ่ง เขาหรี่ตาหมายความว่าอย่างไร จุดนั้นคือทางตรอกซีหมาน

“คุณชาย สกุลเสิ่นไม่สำคัญต่อท่านเลยรึ”หานตงเอ่ยถาม สืบเท้าเข้ามาใกล้ กระบี่ถูกเก็บอยู่ในฝักแล้ว เด็กหนุ่มเม้มปาก ไม่ได้เอ่ยตอบ ก้าวถอยหลัง จางต้าโผล่มาจากเงามืดมายืนขวางระหว่างเขาและผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยาง บ่าวไพร่ในเรือนต่างก็ตื่นเพราะเสียงตีกลองเตือนภัย

“เจ้าจะทำอะไร”จางต้ากล่าวเสียงแข็ง จื่อฟางกวาดตามองบ่าวรีบใช้ที่มายืนออในลานบ้านด้วยสายตาตื่นตระหนกและงุนงง งุนงงกับภาพที่เห็นตระหนกกับเสียงตีกลอง

“พวกเจ้ากลับไปนอนเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้”จื่อฟางกล่าวขึ้นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา บ่าวไพร่ทั้งหลายมีท่าทีอิดออดแต่ก็ค่อยทยอยกลับไปตามคำสั่ง หานตงยังคงมีสีหน้าน่ากลัว

“ท่านพ่ออยู่ที่ใด เสียงดังเช่นนี้ยังไม่ตื่นอีกหรือ”เขาเอ่ยขึ้น ร่างของหานตงกระตุกเล็กน้อย เห็นแค่นั้นเขาก็เข้าใจ ยกยิ้มหยัน

“เจ้าก็กลับไปเถอะหานตง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าได้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับข้าอีก หากมีเรื่องอยากสั่งสอนก็ไปกล่าวกับพ่อข้า…อ้อ คำถามที่เจ้าถาม สกุลเสิ่นสำคัญกับข้าไหมน่ะหรือ สำคัญสำหรับพวกเจ้า ไม่ใช่ข้า”จื่อฟางกล่าวเสียงเย็นชา ใช้สายตาเยียบเย็นมองอีกฝ่าย ร่างจางต้าที่อยู่เบื้องหน้าแข็งเกร็งเล็กน้อย ไหล่ตกลู่ เขามองผู้ติดตามเบื้องหน้า คนผู้นี้ต่างจากหยางชวีลิบลับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนคือความจงรักภักดี แม้เสิ่นมู่หยางทำสิ่งที่ผิดก็ยังคงทำตามไม่ได้กล่าวแย้ง ใบหน้าของหานตงยังคงไร้ความรู้สึกแต่แววตาสั่นไหว

“ศิษย์พี่…”เสียงของหยางชวีดังขึ้น รีบรุดมาหา เด็กหนุ่มหันมองก็เบิกตาโต ดีนักที่พวกบ่าวไพร่คนอื่นไม่อยู่เพราะยามนี้ทั้งร่างของหยางชวีเปื้อนไปด้วยเลือด เขาอ้าปากค้างน้อยๆ จางต้าหน้าไร้สีเลือด

“จะ เจ้า ไปทำอะไรมา”บ่าวคนสนิทถามเสียงอ่อน ขาอ่อนยวบจนล้มกองกับพื้น

“หึ หยางชวี เจ้ามันน่าผิดหวังนัก แทนที่จะห้ามคุณชายเสิ่น เจ้ากลับส่งเสริมเขา…”หานตงปรายตามองศิษย์น้องที่ฝึกสอนเองกับมือด้วยสายตาผิดหวัง

 “ยามนี้…ข้ารับใช้คุณชายแล้ว ศิษย์พี่คงทราบดี ในฐานะบ่าวรับใช้หากต้องลงนรกก็ย่อมลงนรกไปกับผู้เป็นนาย”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ สบตากับผู้ที่ได้ชื่อว่าศิษย์พี่ ร่างนั้นผ่อนลมหายใจมองปราดไปที่คุณชายเสิ่นก่อนจะหมุนตัวออกไปจากเขตเรือนคุณชาย

“คุณชายเสิ่น…ข้าน้อยไปจัดการเรื่องที่ต้องจัดการ”ผู้ติดตามพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ เป็นครั้งแรกที่จื่อฟางรับรู้ว่าคนผู้นี้น่ากลัว เขากวาดมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและชุดเปื้อนเลือด

“เจ้าหมายถึง….”เขากลัวคำตอบเหลือเกิน

“ทำลายหอผูเยว่ หลังจากที่จัดการนางแม่เล้านั่น ข้าก็จุดไฟเผา เช่นเดียวกับที่หลิวอ๋องสั่งให้คุณชายลงมือ ครานี้เขาได้ระแวงจนหัวหมุนแน่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด”

“หยางชวี…”เจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว

ตึง ตึง ตึง

เสียงกลองยังคงดังก้องไปทั้งฉางอัน

 

----------------------

ตอนนี้ไม่ได้จ่ายค่าตัวไป๋ผูอวี้ เจอกันตอนหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ยกให้หยางชวี ยาวหน่อย ทั้งน้ำทั้งเนื้อเยอะแยะไปหมด  :hao5: อาจหายไปปั่นต้นฉบับนะคะ  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2019 22:42:07 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
แง้ น่ากลัวจริงๆ  ลุ้นมากมาย กำลังเข้มจ้น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านไปอ่านมาปมยิ่งแย่นขึ้นเรื่อยๆ จื่อฟางจะรอดมั้ยเนี่ยยยยย

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
โง้ยยย เนื้อเรื่องตึงเครียดมากแงง กลัวใจแทนน้องง

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หยางชวี นายเท่มากกกกก  เอาใจไปเลย   ❤❤❤❤❤   
จางต้า ก็โดนจื่อฟางเย้าหยอก น่าเอ็นดูจริงๆ  :mew1:

มีเงื่อนงำ สลับซับซ้อนมากกกกกกกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คุณชายไป๋ ข่าวคราวเงียบหาย......♪ ♩ ♭ ♪ ไปหลายๆ.... ♬ ♫ ♬
......ที่แท้ฮ่องเต้ ใช้ไปต่อกรกับพวกกบฏ ฉลาดนะ...เต้

หลิวอ่อง เริ่มสับสนกับจื่อฟางแล้วสินะ มีอยากขยี้ให้ย่อยยับไปกับมือ  :ling1:
มีเข้าไปจูบ อะจ๊ากกกกก  นี่....... ขนาดมีเมีย  มีลูก แล้วนะ......เสน่ห์จื่อฟาง เกินห้ามใจเจงๆ  :o8:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ciaiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
อ่านแล้วตื่นเต้นมากๆ
ทุกผู้ ช่างกล้านัก

ออฟไลน์ heymild

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
บทบรรยายเยอะมาก เราไม่ท้อ อ่านครบทุกตัวอักษร  ลุ้นมาก

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เป็นนิยายที่สนุก ควรค่าแก่การติดตามมาก จะอ่านเรื่องนี้จนจบแน่นอน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ขอสารภาพเลยว่าอ่านไปไม่กี่ตอนเรากดโหวตไปว่าขอดูก่อนเพราะคิดว่านิยายก็คงจะพีเรียดทั่วไปขอดูก่อนแล้วกันว่าจะโอเคแค่ไหน แต่เมื่อเราได้อ่านมันจนถึงตอนล่าสุดเรากลับบอกตัวเองได้คำตอบเลยว่านิยายแบบนี้คงต้องได้มาครอบครองแล้ว พีเรียดมีหาอ่านได้ทั่วไปแต่พีเรียดที่ทำให้รู้สึกประทับใจและอยากที่จะกดอ่านๆเรื่อยๆหายากมากและนี่คือหนึ่งในเรื่องที่เราขอยกขึ้นหิ้งในใจเลยในตอนนี้ เราชอบการมีเหตุผลของทุกๆตัวละครที่อยู่ในเรื่อง จื่อฟางที่อยู่ในร่างจิ้งเฟยผู้ที่รับกรรมมากที่สุดคือตัวละครที่เรารู้สึกว่าเขาสู้มากเลยนะสู้กับสภาวะที่เปลี่ยนไป สู้กับแรงกดดัน สู้กับเรื่องที่ซับซ้อนและก็ผ่านมาได้แบบวิถีเรื่อยๆไม่ใช่คนที่เก่งกาจแต่ก็ปรับสภาพตัวเองได้เก่งมาก ไป๋ผูอวี้ตัวละครที่สำหรับเราก็มีความซับซ้อนแต่ไม่ซับซ้อนพอสมควร เราสัมผัสได้ว่าตัวละครนี้มีความเก่งและเด็ดขาดในความอ่อนโยนและซื่อตรง ไม่รู้ว่าจะน่าเป็นห่งไหมในภายภาคหน้ากับนิสัยแบบซื่อของตัวละครนี้ แต่อีกสิ่งที่สัมผัสได้อีกอย่างคือคนๆนี้เจ้าเล่ห์นะดูมีอะไรน่าจะมีอะไรให้ตัวละครนี้ปล่อยของอีกเยอะเลยเรากำลังรอติดตามอย่างใจจดใจจ่อ เราเชื่อว่าไป๋ผูอวี้จะปกป้องจื่อฟางได้ และน่าจะเป็นตัวพลิกเกมได้ของอีกหลายตัวละครเลยทีเดียว จิ้งเฟยตัวละครที่เราสงสารมากที่สุดและเราตัวละครนี้มากทั้งที่ออกมาได้ไม่กี่ตอน แม้อยู่ในร่างคนอื่นแต่เราชอบความยโสในความเป็นตัวเองของตัวละครนี้มาก น่าสงสารที่แม้แต่บิดายังให้คำมั่นสัญญาจอมปลอม แม้แต่คนที่คิดว่าเคยไว้ใจได้อย่างฮ่องเต้ก็ยังหลอกล่อ ตอนนี้ที่เราคาดเดาคือจิ้งเฟยคงจะประทับใจและตกหลุมรักความเป็นสุภาพบุรุษและจิตใจดีของฟู่เทียนสืออยู่ไม่น้อย แต่ในความรักนี้ยังไม่สิ่งกวนใจที่เรียกว่าเจี่ยผิงตอนแรกเราคิดว่าคงฝืนทนกับตัวละครนี้ไม่น้อยคงไม่น่าใช้ความรักแต่พออ่านๆไปเรากลับคิดว่าจิ้งเฟยมีความรักให้กับคนๆนี้อยู่นะอาจจะอยู่ลึกสุดของหัวใจไม่ได้ถูกเปิดเผย พอมีเรื่องปู่ก็เกลียดชังแต่พอความจริงเปิดเผยกลับเริ่มสองจิตสองใจจนตอนนี้เราก็คิดว่าน่าจะเป็นตัวละครนี้จะเป็นตัวละครที่ร่วมฝ่าฟันไปกับฮ่องเต้ในหลายๆเรื่องพอสมควร ฮ่องเต้เจี่ยผิงตัวละครที่เหมือนจะรู้ว่าความรักคืออะไรแต่ไม่ยอมรับนี่ว่าชัดเจนนะว่ารักจิ้งเฟยแต่เพราะเคยถูกสอนแต่การครอบครองไม่ใช่ความรักเลยตีค่าความรักคือการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่อยากให้ตัวละครนี้ตายไปเฉยๆเลยเราเสียดายในความไร้เดียงสาในแง่ของรัก ดูหวงไปหมดอยากครอบครองไปหมดควรได้รับบทเรียนอีกเยอะ เราเอนเอียงไปทางเจี่ยผิงจิ้งเฟยมากเรากลับมองว่าสองคนนี้ควรคู่กันและได้เรียนรู้กันมากกว่านี้เคมีสองคนนี้มันดีมาก เราชอบทุกฉากที่เขียนถึงสองคนนี้การบรรยายสื่อถึงความรักที่ฮ่องเต้มีให้จิ้งเฟยก็ดูไม่ธรรมดาเพราะตอนสองตอนล่าสุดยิ่งดูชัดเจนนะแม้จะบอกว่าสนใจครอบครองร่างเก่าของจิ้งเฟยแต่พอเอาจริงๆกลับดูห่งจิ้งเฟยที่เป็นจิตวิญญาณจริงๆชัดเจนมาก เราภาวนาให้รู้ใจตัวเองสักวัน จางต้าและหยางชวีขอซูฮกในความเป็นสหายที่แท้จริงถ้าขาดสองคนนี้ไปบอกเลยว่าจื่อฟางในร่างนี้คงจะตายไปนานแล้วสองคนนี้นิยามคำว่าเป็นคนคู่คิดคู่ใจได้ดีมาก คนหนึ่งแม้ไม่เก่งแต่พร้อมเคียงข้าง อีกคนเก่งกาจพร้อมออกหน้าแทนนับว่าเป็นโชคดีอีกชั้นของจื่อฟางนอกจากไป๋ยังมีเพื่อนที่ดีนับรวมคุณชายจ้าวอีกคนออกมาน้อยแต่น่าประทับใจมาก ส่วนอ๋องกับคุณชายใหญ่เจี่ยซินเจี้ยอี้เรากำลังรอดูการเดินหมากของสองคนนี้ดูจะสนุกมากแต่ก็โหดเหี้ยมมากพอควร อ๋องนางมีความลุ่มหลงในร่างของจิ้งเฟยพอสมควรจากอ่านๆมา เราว่านางคงมีปมในใจพอสมควรถึงอยากครอบครองอำนาจขนาดนี้ ส่วนเจี่ยอี้ไม่รู้จะพูดยังไงนางผิดในความไม่ผิด ผิดที่คนโกงแบบนั้น แต่ก็ต้องโทษใหญ่โตไปมากจริงๆนางคงแค้นใจไปทุกอย่าง แต่เราว่าตัวละครนี้ไม่คู่ควรกับการเป็นฮ่องเต้เลยนะ ดูมุทะลุพอควรจากการจะฆ่าจิ้งเฟย และดูเลือดเย็น เราทีมเจี่ยผิงชัดเจนสินะได้แต่คิดในใจโดนตัวละครนี้ตกไปแล้ว เราหวังว่าผู้เขียนจะไม่ใจร้ายจนเกินไปกับตัวละครนี้นะ ให้เขาได้เรียนรู้ความรักที่ดีจากคนที่เขารอคอยที่เถอะ ส่วนคู่จื่อฟางกับท่อนไม้ไป๋เราหวังว่าผู้เขียนจะไม่ใจร้ายเกินไปทำให้ต้องมีกรรมเลวร้ายกับสองตัวละครนี้นะให้ได้จบหวานชื่นเสียเถอะ ตัวละครสองตัวนี้ดูเหนื่อยทั้งเรื่องมาก จื่อฟางควรมีชีวิตที่ดีและสงบกับคนรักไป๋ของเขามากจริงๆ เราพิมพ์ไปเยอะมากอาจจะไม่ตรงกับนิสัยตัวละครที่ผู้เขียนวางไว้แต่อันนี้มาจากมุมของเราที่เรารู้สึกกับแต่ละตัวละครจริงๆมีอีกหลายตัวละครเลยที่เราอยากเขียนถึงแต่ตอนนี้ขอทำความรู้จักกับอีกหลายๆตัวละครไปก่อน รวมถึงตัวละครที่ได้เขียนถึงไป รอคอยสำหรับนิยายตอนต่อไปและหนังสือของเรื่องนี้นะคะ ถ้ามี e-book ยิ่งจะดีมาก ขอกราบผู้เขียนอย่าเทเรื่องนี้ด้วยจะปราบปลื้มมาก ขอบคุณมากจริงๆค่ะที่รังสรรค์นิยายดีๆมาให้อ่าน

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อ่านแล้วก็ไม่ชอบพ่อของเสิ่นจือฟางเลย ถ้ารักษาคำพูดไม่ได้ก็ไม่ควรที่จะให้สัญญาเพื่อให้คนเป็นลูกต้องมารู้สึกเสียใจแบบนี้เลย
เนื้อเรื่องตอนนี้เข้มข้นมาก ๆ เลย หยางชวีเท่มาก ชอบมาก ส่วนท่อนไม้ไป๋หายไปเลยไม่รู้ว่าไปทำอะไรแต่หวังว่าจะดีกับจือฟางนะ

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
 
 บทยี่สิบสอง: หวนคืน


เสียงโหวกเหวกที่ดังอยู่ด้านนอกทำให้จื่อฟางสะดุ้งตื่น เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องอย่างตื่นตระหนก บานประตูถูกผลักเข้ามาก่อนที่จางต้าจะพรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเผือดซีด

“คุณชาย!เกิดเรื่องแล้ว”เสียงร้องของอีกฝ่ายทำให้เขาใจหล่นวูบ ก้าวลงจากเตียงทันที

“มีอะไร”เขาใจเต้นแรงเพราะนึกถึงเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่หอหนังสือเจี่ยซานที่ตนเองเป็นผู้ลงมือ “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”เด็กหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้องหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เห็นสีหน้าของบ่าวคนสนิทก็พอจะเดาได้ว่ามิใช่เรื่องดี

“นายท่านเสิ่นมู่หยางถูกนำตัวไปไต่สวนที่ศาลหลวงขอรับ”จางต้ารายงาน จื่อฟางเบิกตากว้างด้วยความตระหนก ไต่สวน? เขามองบ่าวคนสนิทด้วยสีหน้ามึนงง เขาคาดหวังว่าจะได้ยินข่าวเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นทั้งสองแห่งในเมืองฉางอันแต่กลับได้ยินข่าวของเสิ่นมู่หยางถูกนำตัวไปไต่สวนแทนจึงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อ”เขาถามอย่างร้อนใจ ระหว่างที่เร่งฝีเท้าออกไปนอกห้อง พบว่าบ่าวไพร่ต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจไม่แพ้กัน 

“ข้าน้อยก็ไม่รู้แน่ชัด ทหารที่มานำตัวนายท่านออกไปบอกว่าเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่และเหตุการณ์เพลิงไหม้”จื่อฟางชะงักกึก สองเรื่องที่ว่ามานั่นมันเกี่ยวข้องกันตรงไหน ดูเหมือนจางต้าจะเดาใจเขาออกจึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมา

“รอฟังจากหยางชวีดีกว่าขอรับ”บ่าวคนสนิทพึมพำ เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างไม่สบายใจนัก ได้แต่เดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ

“คุณชายกลับไปรอในห้องเถิด”จางต้าเอ่ยบอกอย่างเป็นห่วง จื่อฟางถอนหายใจกลับเข้าไปนั่งรอในห้องตามคำบอกของอีกฝ่าย บ่าวคนสนิทเห็นเช่นนั้นจึงยกอ่างล่างหน้ามาให้คุณชาย รอคุณชายล้างหน้าล้างตาบ้วนปากจนเสร็จแล้วค่อยยกถ้วยยาสมุนไพรบำรุงโลหิตมาให้ เด็กหนุ่มค่อยๆดื่มยาจนหมด จากนั้นก็รอคอย เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หยางชวีก็ปรากฏตัว

“เกิดอะไรขึ้น”เขาเอ่ยถามอย่างไม่รอช้า ร่างสูงใหญ่ของผู้ติดตามสืบเท้าเข้ามาใกล้ รอยแผลตามร่างกายได้รับการรักษาแล้วแต่ก็ยังเหลือร่องรอยฟกช้ำให้เห็น

“คุณชายไม่ต้องตื่นตระหนก เรื่องนี้นายท่านเสิ่นไม่น่าเดือดร้อน เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องมาจากเพลิงไหม้หอหนังสือเจี่ยซานขอรับ”แค่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับการวางเพลิงที่ตัวเองเป็นผู้ก่อจื่อฟางก็หายใจไม่ทั่วท้อง

“ข้าไปสอบถามศิษย์พี่หานตงได้ความมาว่าทหารเวรยามที่เข้าไปช่วยดับเพลิงพบป้ายหยกของอัครเสนาบดีหลี่ลั่วหวั่นตกอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่อัครเสนาบดีปฏิเสธว่าไม่ได้มีเหตุเกี่ยวข้อง ทั้งยังบอกว่ามีคนเข้ามาลอบทำร้ายถึงภายในบ้านพักและขโมยป้ายหยกไป อัครเสนาบดีหลี่จึงสงสัยว่ามีคนต้องการใส่ความเขา ประจวบกับที่นายท่านเสิ่นไม่ได้อยู่ที่จวน อัครเสนาบดีจึงกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของนายท่านที่ต้องการแก้แค้นสกุลหลี่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงสั่งให้มีการสืบหาความจริงและสอบสวนอย่างเร่งด่วนเพื่อความยุติธรรมแก่สองขุนนางขอรับ”หยางชวีเอ่ยด้วยเสียงสงบ เล่าตามที่ทราบมาจากศิษยิ์พี่หานตง ศิษยิ์พี่ยังคงมีโทสะจากเรื่องเมื่อคืน แต่ก็ยอมบอกรายละเอียดเรื่องของนายท่านเสิ่นให้เขารับรู้ ผู้เป็นศิษย์น้องเช่นเขาจึงรู้สึกผิดยิ่งนัก

จื่อฟางอ้าปากน้อย ๆถูกข้อมูลที่อีกฝ่ายนำมาถาโถมใส่จนมึนงง ทำป้ายหยกตก?คงมีแต่คนบ้ากระมังที่ทำของสำคัญตกในที่เกิดเหตุ พวกเขาเชื่อหลักฐานไร้สาระเช่นนี้ด้วยหรือ ร่างบางกัดริมฝีปาก มีคนจงใจเล่นงานสกุลหลี่แน่ ๆ หรือที่หลิวอ๋องให้เขาลงมือวางเพลิงหอหนังสือก็เพราะต้องการจัดฉากใส่ความอัครเสนาบดีหลี่? หลิวอ๋องใส่ร้ายอัครเสนาบดีเพื่อเหตุใดกัน หลี่ลั่วหวั่นเป็นขุนนางขั้นหนึ่งเป็นผู้อยู่ใต้หนึ่งเหนือหมื่น อำนาจบารมีไม่ต้องกล่าวถึงแต่หลิวอ๋องก็ยังกล้าเล่นงานด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ แถมยังขโมยป้ายหยกซึ่งๆหน้าอีก บ้าบิ่นเกินไปแล้ว

ไม่แปลกที่หลี่ลั่วหวั่นจะหวาดระแวงคิดว่าเป็นฝีมือของคนสกุลเสิ่น เพราะทั้งสองสกุลมีเรื่องราวกันมาก่อน แต่ถ้ากคิดให้ดีจะมีผู้ใดกล้าลงมือซึ่งๆหน้า จื่อฟางรู้ดีว่าเสิ่นมู่หยางไม่มีทางทำเช่นนั้น แม้คืนเกิดเหตุเสนาบดีเสิ่นจะไม่ได้อยู่ที่จวนก็ตาม เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายเพียงแค่หายไปพบปะอนุเช่นเคย บิดาผู้นี้ไม่ได้คิดแค้นเคืองสกุลหลี่ แม้แต่การตายอันคลุมเครือของเสิ่นฉินอี้บิดาของตัวเองแท้ๆ เสิ่นมู่หยางยังไม่คิดแก้แค้น แล้วจะกล้าลงมือกับหลี่ลั่วหวั่นในเวลานี้ได้อย่างไร หรือนี่เป็นเพียงเกมส์การเมืองจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

“…เมื่อคืนท่านพ่อไม่ได้กลับจวนไม่ใช่รึ ท่านพ่อจะเดือดร้อนหรือไม่”เด็กหนุ่มรีบเอ่ยถาม หักห้ามไม่ให้รู้สึกหวาดกลัว

“ข้าคิดว่าไม่เป็นไรขอรับ ถึงอย่างไรนายท่านก็ต้องบอกความจริงเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ต่อหน้าศาล แต่...นายท่านอาจจะต้องอับอายผู้คนในการไต่สวน…”ผู้ติดตามไม่ได้กล่าวจนจบ เพราะรู้สึกละอายแก่ใจ ต่างก็รู้กันดีว่าเสิ่นมู่หยางไปที่ใด จื่อฟางหยักยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ หากต้องการยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุวางเพลิงและสกุลหลี่ เสิ่นมู่หยางต้องบอกความจริง เขาอยากหัวเราะเยาะนัก ท่านก็ขายหน้าไปเถิด ขุนนางใหญ่มีอนุไม่ผิด แต่ลักลอบมีทั้งยังไม่แต่งตั้งเข้าสกุล เสิ่นมู่หยางจะเอาหน้าไปไว้ทีใด

“ฮ่องเต้มีท่าทีต่อเหตุการณ์เพลิงไหม้อย่างไรบ้าง”ร่างบางกระซิบถาม รู้สึกไม่สบายใจนักเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ลงมือกระทำความผิดอีกทั้งสกุลหลี่ดันมารับเคราะห์แทน

“เกิดเรื่องวุ่นวายใต้จมูกฮ่องเต้ พระองค์ย่อมมีโทสะ ฝ่าบาทสั่งให้มีการสืบค้นอย่างเคร่งครัด เหตุการณ์เพลิงไหม้ทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนก เรื่องหอผูเยว่นอกจากแม่เล้าเถาฮวาและคนงานชายบางส่วน นางคณิกาเกือบทั้งหมดหนีรอดออกมาได้ขอรับ ข้าพาลู่เจียงไปพำนักที่บ้านเล็ก ๆนอกเมืองตามที่นางต้องการ นางบอกว่าถ้าสงบจิตใจได้แล้วจะมาเยี่ยมคุณชายเสิ่น”ผู้ติดตามกล่าวเสียงเรียบราวกับไม่ได้เป็นผู้ลงมือเผาหอผูเยว่เสียเอง แม่เล้าเถาฮวากลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมกับหอคณิกา เท่ากับว่าสถานที่นัดพบของหลิวอ๋องถูกกำจัดทิ้งไป จื่อฟางกลับรู้สึกโล่งอกไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะมีท่าทีอย่างไร

“ขอบใจมาก”เขาพึมพำเหตุการณ์เมื่อคืนคล้ายกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง 

“ข้าน้อยยินดี”หยางชวีก้มหน้าตอบ พอไม่มีเรื่องกวนใจจื่อฟางก็พลันรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา หนังตาเริ่มหนักอึ้ง เด็กหนุ่มสู้กับความอ่อนเพลียไม่ไหวจึงทิ้งตัวลงนอนต่อ รับรู้ว่าจางต้าเข้ามาช่วยจัดผ้าห่มให้เรียบร้อยก่อนออกไปจากห้องปล่อยให้เขาพักผ่อน


……

เขาตื่นอีกครั้งในช่วงยามเซิน (15.00 น. - 16.59 น.)เพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากนอกเรือน  คิ้วเรียวงามย่นเข้าหากัน นอนฟังเสียงโต้ตอบก็จับใจความได้ว่าเป็นจางต้า หยางชวีและเสิ่นมู่หยาง เขาลืมตาในทันที เสิ่นมู่หยางกลับมาจากการไต่สวนแล้วหรือ

“นายท่านเสิ่น บ่าวขอร้อง คุณชายไม่ได้สร้างเรื่องอะไรทั้งนั้นขอรับ!อย่าลงโทษคุณชายเลย”เสียงอ้อนวอนของจางต้าดังแว่วมา จื่อฟางเหวี่ยงผ้าห่มออกจากร่าง รีบจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

“หลบไปให้พ้น บ่าวไพร่ออกไปจากเรือนเสิ่นจิ้งเฟยให้หมด!ข้าจะเข้าไปหาไอ้เด็กสารเลวนั่น!”เสิ่นมู่หยางตะโกนเสียงดัง ได้ยินเสียงบ่าวไพร่ในเรือนตอบรับพร้อมกับเสียงฝีเท้าพากันออกไปจากเรือน เด็กหนุ่มเพิ่งเดินพ้นออกมานอกฉากกั้น ร่างสูงใหญ่ของเสิ่นมู่หยางก็สืบเท้าเข้ามาในห้อง

“เสิ่นจิ้งเฟย!”เสียงราวฟ้าผ่าดังกึกก้องทำร่างบางสะดุ้งโหยง หานตงก้าวตามมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเย็นชา ผู้ติดตามของบิดาสบตาเขาเพียงครู่เดียวก็ก้มหลบ ยืนแผ่รังสีกดดันอยู่ที่กรอบประตูกันจางต้าและหยางชวีไว้ด้านนอก เด็กหนุ่มเริ่มจะเข้าใจเรื่องราว หานตงคงบอกความจริงกับเสิ่นมู่หยางแล้วกระมัง

“ท่านพ่อมีเรื่องใดหรือ ข้าได้ยินว่าท่านถูกนำตัวไปไต่สวน เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นห่วงแทบแย่”จื่อฟางตีหน้าซื่อยิ่งทำให้เสนาบดีเสิ่นเดือดดาลเมื่อนึกถึงการไต่สวนที่น่าอับอาย

“เจ้า…!”เสิ่นมู่หยางชี้หน้าบุตรชายอย่างโกรธเคือง อารมณ์โกรธที่กักแน่นอยู่ในอกมีมากเสียจนคิดว่าคงระเบิดออกมา 

“สร้างเรื่องให้ข้าแล้วยังมาทำหน้าระรื่นอีกรึ เจ้ามันไม่รักดี”เสิ่นมู่หยางโกรธมากจนใบหน้าแดงก่ำไปด้วยโทสะ แววตาคุกรุ่นมีทั้งความผิดหวังอับอายและเสียใจปะปนกัน หานตงบอกเขาหมดแล้ว เรื่องเพลิงไหม้ที่หอหนังสือเป็นฝีมือของบุตรชาย อีกทั้งยังมีคนปริศนาพามันออกไปอีก เป็นเรื่องราวใดกันแน่ ไม่คิดว่ามันจะใจกล้าทำเรื่องเช่นนี้

“ท่านอับอายเรื่องการไต่สวนก็เลยมาลงกับข้า ทำแบบนี้ถูกที่ไหน”แม้จื่อฟางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ต่อหน้าศาลหลวงเขาไม่คิดว่าเสิ่นมู่หยางจะกล้าโกหก นอกจากต้องบอกความจริงไปว่าทิ้งจวนออกไปกกอนุภรรยาที่ยังไม่แต่งตั้งตามธรรมเนียม  เสิ่นมู่หยางได้ยินก็ปรี่เข้ามาหา แต่ไม่กล้าลงมือทุบตีบุตรชาย ได้แต่ถลึงตาใส่อย่างดุดัน

“เจ้าอยากเห็นข้าอกแตกตายนักหรือไร”เสิ่นมู่หยางเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจก่อนหยุดยืนมองหน้าบุตรชาย

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ก็เพราะคิดต่อต้านฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ”ผู้เป็นบิดากระซิบถามแผ่วเบา แทบอดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ ใบหน้ายิ่งดำคล้ำจนจื่อฟางกลัวว่าคนตรงหน้าจะมีโทสะจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน จื่อฟางไม่ตอบ คำพูดของอีกฝ่ายเข้าใกล้ความจริงมากสุดแล้วกระมัง เสนาบดีเสิ่นไม่เอ่ยถามมากความอีกต่อไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้กลม นวดขมับที่ปวดตุบ ๆ

“ไปเอาชาดำมาให้ข้าที”เสนาบดีเสิ่นสั่งกับบ่าวรับใช้ จางต้ารีบผลุนผลันออกไปทันที

“เป็นความผิดของข้าเอง”เสิ่นมู่หยางพึมพำ เขารู้ตัวดีว่าที่ผ่านมาปฏิบัติกับบุตรชายไม่ดีเท่าที่ควร หากใส่ใจเสิ่นจิ้งเฟยมากกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่อง คงห้ามบุตรชายทำเรื่องสิ้นคิดได้ทันเวลา แต่มาคร่ำครวญเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว 

“ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”จื่อฟางตอบ มองเห็นสีหน้าซับซ้อนบนใบหน้าเครียดเขม็งของอีกฝ่ายก็สงสัยว่าคนผู้นี้คิดอะไรอยู่

“ตอนที่เจ้าวางเพลิงหอหนังสือมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามออกมาในที่สุด เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงคืนก่อเหตุ จำได้เพียงร่างไร้ชีวิตของยามหน้าหอหนังสือ 

“ไม่มี...แค่คิดว่าเป็นคืนที่เงียบสงบผิดปกติ ท่านพ่อมีความคิดใดหรือ”เขาเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มคลายโทสะบ้างแล้วจึงเอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน เสิ่นมู่หยางจับจ้องบุตรชายด้วยสายตาแหลมคม ช่วงหลังมานี้ใช่ว่าจะไม่สังเกตุท่าทีของหยางชวี เจ้านั่นถึงกับลอบมาสอดแนมในเรือนของเขา เจ้าหยางชวีคนอกตัญญูนั่น!คิดแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด มิใช่ว่าเขาเป็นเจ้านายมันรึเหตุใดถึงได้เชื่อฟังเสิ่นจิ้งเฟยราวกับสุนัขแสนเชื่องตัวหนึ่ง แต่เสิ่นมู่หยางไม่ได้โกรธเคืองหนักหนา มิเช่นนั้นคงลงโทษหยางชวีไปแล้ว อย่างน้อยมันก็ปกป้องบุตรชายของเขาได้

“เหตุการณ์ครั้งนี้...ผู้ที่ออกไปกับเจ้าเป็นผู้ใด บอกข้ามา เพราะเขาอาจเป็นคนจัดฉากใส่ร้ายสกุลหลี่”อีกฝ่ายเอ่ยถาม จื่อฟางนั่งลงที่เก้าอี้กลมอีกตัว พอดีกับจางต้านำถาดน้ำชาและขนมมาวางบนโต๊ะที่คั่นกลางระหว่างสองพ่อลูก เด็กหนุ่มรินน้ำชาให้อีกร่างและตัวเอง คิดว่าถึงเวลาพูดกับเสิ่นมู่หยางแล้ว อีกทั้งคนผู้นี้ก็รู้เรื่องราวในราชสำนักมากกว่าเขา จื่อฟางเหลือบมองบ่าวรับใช้ทั้งสองคนที่แสดงสีหน้าต่างกันออกไป 

“หากข้าบอก ท่านสาบานกับข้ามาก่อนว่าจะไม่จับข้าเข้าคุกหลวง”เขายังมีอารมณ์มาเอ่ยล้อเล่น

“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวรึ”เสนาบดีเสิ่นหรี่ตาลง ทำใจไว้แล้วส่วนหนึ่งหลังจากที่หานตงมารายงานเรื่องของบุตรชาย เขาก็คิดมาค่อนคืน การเคลื่อนไหวของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ แต่ตัวเขาไม่อยากคิดเช่นนั้น เฟยเอ๋อร์จะกล้าทำเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ขุนนางใหญ่ถอนหายใจ ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ฟังเหตุผลผู้อื่นเสียเมื่อไหร่ เขาสบตามองใบหน้างามหมดจดของบุตรชายที่ย้ำเตือนถึงโหยวหลัน

“ถึงข้าจะเป็นบิดาที่ไม่เอาไหนสำหรับเจ้า แต่ก็ไม่คิดส่งบุตรชายตัวเองเข้าคุกแม้ว่าเจ้าจะทำเรื่องผิดจริงก็เถอะ”เสิ่นมู่หยางกล่าว จะดีเลวอย่างไรเขาก็ตัดขาดไม่ลง

“ข้าร่วมมือกับหลิวอ๋อง”จื่อฟางเอ่ยเสียงเบา มองดูท่าทีของเสนาบดีเสิ่นที่คล้ากับถูกหมัดที่มองไม่เห็นเหวี่ยงใส่จนนิ่งงัน สีหน้าเดือดดาลปรากฏให้เห็น ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ บ่าวของเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีท่าทีตื่นตระหนก มีเพียงหานตงที่สูดลมหายใจเข้าเสียงดัง ร่วมมือกับหลิวอ๋อง จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร คุณชายท่านนี้ไม่คิดถึงคนร่วมสกุลเลยรึ หากอยากก่อเรื่องเหตุใดต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย ข้าติดตามนายท่านเสิ่นมานานหลายปี จะต้องมาตายเพราะความเลินเล่อของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยน่ะหรือ เป็นเรื่องตลกใดกัน  หานตงได้แต่คิดอย่างเจ็บปวด เขวี้ยงสายตาเย็นชาไปยังศิษย์น้อง เหตุใดถึงไม่ห้ามคุณชายของเจ้า แต่หยางชวีก็คือหยางชวี นอกจากทำสีหน้าตายก็ไม่สบสายตาผู้ใด

จื่อฟางกวาดตามองไปรอบห้องที่เงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจอย่างตื่นตระหนกของเสิ่นมู่หยาง

“เจ้า...กับท่านอ๋องวางแผนก่อกบฏ?”เสิ่นมู่หยางเอ่ยเสียงแหบแห้ง เบาจนแทบไม่ได้ยิน เหงื่อไหลย้อยมาจากหน้าผาก กบฏบุตรชายของเขาข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้ก็ว่าร้ายแรงแล้วแต่นี่ยังข้องเกี่ยวกับหลิวอ๋องเจี่ยซินผู้นั้นอีก ถึงแม้ในยามนี้สกุลเสิ่นจะไม่ได้มีอำนาจในราชสำนักเท่ากาลก่อน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีมิตรสหายเก่าแก่ไว้หนุนหลังช่วยเหลือ จึงพอรู้มาบ้างว่าหลิวอ๋องมีใจคิดเป็นอื่น เขาถึงได้รู้สึกอึดอัดใจทุกครั้งยามที่เข้าใกล้ท่านอ๋องผู้สุภาพหล่อเหลาผู้นั้น รับรู้ได้กลายๆว่าท่านอ๋องมีบางอย่างผิดแปลก จะว่าไปพวกสกุลเจี่ยต่างหากที่ผิดแปลก 

เจ้าเฟยเอ๋อร์ไปเอาความบ้าบิ่นมาจากที่ใดกัน จากท่านรึ ตาแก่เสิ่นฉินอี้ เสิ่นมู่หยางก่นว่าอยู่ในใจ เมื่อเห็นบุตรชายพยักหน้าตอบรับ ก็ลุกพรวดเดินไปเดินมาก่อนจะหยุดตรงหน้าร่างของหยางชวี สาดชาดำใส่ด้วยความโมโห

“เจ้า! เหตุใดถึงไม่นำเรื่องมารายงานข้า”เสิ่นมู่หยางกัดฟันกรอด โกรธเสียจนมือสั่น

“นายท่านงานยุ่ง อยู่ไม่ติดจวน ข้าน้อยหาจังหวะรายงานไม่ได้ขอรับ”หยางชวีตอบกลับเสียงเรียบ จื่อฟางอ้าปากค้างอีกรอบ หยางชวีต่อปากต่อคำกับเสิ่นมู่หยางเช่นนี้ หายากนัก หานตงและจางต้าต่างก็แสดงสีหน้าคาดไม่ถึง เสิ่นมู่หยางมองหน้าผู้ติดตามของบุตรชายราวไม่เคยเห็นมาก่อน มิใช่เขาหรือที่ขุดดึงมันมาจากโคลนตม เสนาบดีเสิ่นหน้าขาวซีด รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง หยางชวีไม่ได้มองหน้าเขาอีก เพียงแค่คุกเข่าโขกศีรษะเสียงดังหลายที

“ข้าน้อยปากไม่ดี นายท่านลงโทษข้าเถอะ”หยางชวีหน้าผากแดงเถือก ราวกับใกล้ปริแตก จื่อฟางได้แต่นั่งมองเหตุการณ์ด้วยความตกใจ แต่นี่เป็นเรื่องของหยางชวีและเสิ่นมู่หยางจึงไม่อยากเข้าไปสอด

“หุบปาก!”เสิ่นมู่หยางไม่อยู่ในอารมณ์มาโต้เถียง หันมองทางบุตรชายตัวดี

“เจ้าคิดก่อกบฏ ไม่ใช่แค่เจ้าที่เดือดร้อน และไม่ใช่แค่ตัวข้า แต่เป็นทั้งสกุลเสิ่น เจ้าเข้าใจรึไม่ว่าเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ทำไมถึงทำเรื่องไม่คิดเช่นนี้”เสิ่นมู่หยางลดเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่ทำได้ จื่อฟางก้มหน้าไม่พูดไม่จา รู้ดีว่าการกระทำของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่เรื่องถูก คาดความยั้งคิดอยู่มาก แต่เรื่องสกุลเสิ่นเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจมากนัก นอกจากคนในจวนแห่งนี้ พวกสกุลเสิ่นที่เหลือก็ไม่เคยเห็นหน้า

“เรื่องก็เกิดไปแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดแก้ตัว”เขาเอ่ยตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง จนเกิดความเงียบงันขึ้นอีกระลอก

“เฟยเอ๋อร์ ไยเจ้าถึง...เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้”

“เป็นเพราะเรื่องท่านปู่ด้วยส่วนหนึ่ง”จื่อฟางเอ่ยตอบ ผู้เป็นบิดาได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็อยากโวยวายลั่นห้องอยู่หรอก แต่ทำไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดจึงได้แต่สงบสติอารมณ์ เขาเคยคิดหวังให้บุตรชายเปลี่ยนแปลงตัวเอง สนใจเรื่องราวบ้านเมืองอย่างผู้อื่นบ้าง แต่พอมาวันนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปหมด!

“แล้วอีกส่วนหนึ่งเล่า”เสิ่นมู่หยางถาม แต่ก็พอจะคาดเดาคำตอบที่เหลือได้ ...ฮ่องเต้เจี่ยผิง คนผู้นั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของบุตรชายไปเสียแล้ว และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะหลุดพ้นได้หรือเปล่า

“ครั้งนี้เจ้าสร้างเรื่องใหญ่นัก”เสนาบดีเสิ่นยังคงเดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่านใจ เด็กหนุ่มถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองจนอึดอัด จึงเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง

“ถ้าเช่นนั้นท่านพ่อจะบอกว่าผู้ที่ใส่ความอัครเสนาบดีหลี่คือหลิวอ๋องอย่างนั้นรึ เขามีเหตุผลใดต้องทำเช่นนั้น”

เสิ่นมู่หยางย่นคิ้วอย่างใช้ความคิดชั่งใจว่าจะบอกบุตรชายดีหรือไม่ ในตอนแรกเขาเอนเอียงไปทางฮ่องเต้เจี่ยผิง เพราะสกุลหลี่คานอำนาจของฮ่องเต้มานาน แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลงมือกำจัดหลี่ลั่วหวั่น แม้ว่าอำนาจของสกุลหลี่จะมากอย่างไรแต่ก็ยังอยู่ภายใต้ฮ่องเต้ดังคำกล่าวใต้หนึ่งเหนือหมื่น เว้นแต่ว่าพระองค์อยากคุมอำนาจไว้ในมือเพียงลำพัง

พอคิดว่าบุคคลปริศนาที่พาเสิ่นจิ้งเฟยออกไปคือหลิวอ๋อง เสิ่นมู่หยางก็เริ่มประติดประต่อเรื่องราวที่ทราบมา เขาไม่อยากให้บุตรชายเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักแต่ในเมื่อมันเอาตัวเข้ามาเกี่ยวเต็มๆก็ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องปิดบัง ควรจะบอกกล่าวให้บุตรชายระวังตัวไว้จะดีกว่าในเมื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้แล้ว

“บอกเจ้าตามตรง ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้…”เสนาบดีกรมพิธีการมีสีหน้าหนักใจ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้กลมอีกครั้ง

“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น หากเป็นหลิวอ๋องก็คิดได้เพียงว่าเขาตั้งใจเล่นงานผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางผ่านทางหลี่ลั่วหวั่น เพราะผู้อาวุโสให้ไป๋ผูอวี้คอยสืบเรื่องการก่อกบฏของหลิวอ๋อง ท่านอ๋องรู้เข้าคงไม่พอใจเท่าไหร่ เจ้าคงรู้สินะว่า‘สหาย’ของเจ้าทำงานให้กับตาเฒ่านั่น”เสิ่นมู่หยางกล่าว ปรายตามองร่างบางที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ตั้งใจเอ่ยคำว่า‘สหาย’ออกไป และก็เห็นได้ชัดว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีท่าทีผิดแปลกเพราะคำพูดนี้ 

“ข้าพอทราบมาบ้าง”จื่อฟางตอบพึมพำ พยายามซึมทราบข้อมูลที่ได้รับ

“หากกำจัดสกุลหลี่และผู้อาวุโสอวิ๋นได้ในคราวเดียว ก็ถือว่ากำจัดคนขององค์ชายใหญ่ไปด้วย”เสิ่นมู่หยางยกจอกชาดื่มช้า ๆ ใช้สายตาสื่อความนัยมองบุตรชาย แปลกพิลึก...ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขามานั่งถกปัญหาการเมืองกับเสิ่นจิ้งเฟย

“คนขององค์ชายใหญ่...”เด็กหนุ่มพึมพำอย่างคาดไม่ถึง สกุลหลี่กับผู้อาวุโสเป็นคนขององค์ชายใหญ่ ที่แท้ผู้อาวุโสนั่นก็มีความเคลื่อนไหวเช่นนี้เอง ไป๋ผูอวี้คงไม่รู้เรื่องกระมังถึงได้ร่วมมือด้วย ไม่คิดว่าคนอย่างไป๋ผูอวี้จะพลาด จื่อฟางนึกถึงเรื่องที่ใต้เท้าเฉินฉางเซียงเคยบอก เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง มีคนช่วยหนีรอดออกไปได้ อย่าบอกนะว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คืออัครเสนาบดีหลี่และผู้อาวุโสอวิ๋น ร่างบางใจเต้นแรง ยกจอกชามาจิบบ้าง แต่ก็แทบอ้วกกับรสชาติอันไม่คุ้นชิน

“ท่านพ่อทราบเรื่องราวเยอะพอดู”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบา ๆ แปลกใจอยู่บ้างเพราะเสนาบดีกรมพิธีการผู้นี้ดูไม่ค่อยเล่นพรรคเล่นพวกเท่าใด เสิ่นมู่หยางหัวเราะในลำคอ

“ใช่ว่าสกุลเสิ่นจะหมดอำนาจไปโดยปริยาย ข้าก็ยังพอมีเส้นสายให้ใช้อยู่บ้าง มิเช่นนั้นไอ้กิจการร้านค้าที่เจ้าอยากทำ จะเป็นไปได้ด้วยดีอย่างนี้หรือ ใช่ว่าจะรื้อถอนก่อสร้างในตรอกซีหมานได้ตามใจชอบเสียเมื่อไหร่ หากเป็นคนธรรมดาพวกมือปราบคงมาถามหาเจ้าแล้ว”เสิ่นมู่หยางกล่าวเสียงห้วน

“ข้าขอบพระคุณมาก”จื่อฟางส่งยิ้มหวานให้อย่างเอาใจ เรื่องไหนที่คนผู้นี้ทำดีก็ต้องชม

“เฟยเอ๋อร์ การก่อกบฏครั้งนี้เจ้ามั่นใจหรือว่าหลิวอ๋องจะชนะ หากเขาทำสำเร็จเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาไม่คิดกำจัดเจ้า แล้วถ้าหากไม่สำเร็จเจ้าจะทำอย่างไร รู้ดีไม่ใช่รึว่าโทษถึงตาย”เสนาบดีกรมพิธีการมีใบหน้าตึงเครียด บรรยากาศภายในห้องกลับมากดดันอีกครั้ง 

“หากข้าบอกท่าน ก็อย่าโวยวายไป ข้ารู้ตัวว่าร่วมมือกับหลิวอ๋องเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด จึงพยายามแก้ไขด้วยการร่วมมือกับฮ่องเต้เจี่ยผิง พระองค์ถึงได้ส่งคนมาเฝ้าข้าที่จวน”เด็กหนุ่มตัดสินใจเอ่ยขึ้น ไม่อยากตอบว่าวางแผนหนีออกจากฉางอันไว้แล้ว เสิ่นมู่หยางเหมือนถูกเหวี่ยงหมัดใส่ซ้ำ ๆจนมึนงง ได้แต่กวาดตามองบุตรชายราวไม่เคยเห็นมาก่อน เรื่องวันนี้เสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาประหลาดใจจริง ๆ นึกถึงคำพูดของท่านนักพรตที่บอกว่ามีวิญญาณร้ายเข้าสิงร่างบุตรชายก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าเชื่อ เขาสะบัดความคิดไร้สาระทิ้ง

“ฝ่าบาทไม่ใช่คนที่จะไว้ใจผู้ใดง่าย ๆแม้แต่กับเจ้าก็เถอะ”เขาไม่คิดว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะยอมร่วมมือกับบุตรชายง่าย ๆ

“เจ้าเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายมากถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงช่วยเหลือเจ้าแสดงว่าต้องมีแผนใดเป็นแน่ ไหนจะหลิวอ๋อง...”เสิ่นมู่หยางรู้สึกหมดเรี่ยวแรง อยากจะดุด่าว่าสิ้นคิดนัก แต่ก็หุบปากฉับเมื่อคิดได้ว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวเขาเองทั้งนั้นที่ปล่อยให้ฮ่องเต้เข้าใกล้บุตรชายได้ถึงเพียงนี้ เสิ่นจิ้งเฟยที่เปลี่ยวเหงามาเจอคำพูดล่อลวงของคนผู้นั้นจะไม่หลงกลได้อย่างไร

“ขอบใจท่านพ่อที่เป็นห่วง ข้าเองก็ระวังอยู่เช่นกัน”จื่อฟางยิ้มน้อย ๆ เกิดความเงียบระลอกใหญ่เมื่อต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิด

“แล้ว...จะเกิดอะไรขึ้นกับสกุลหลี่หรือ”เขาเอ่ยถามเมื่อนึกถึงหลี่ฮุ่ยจือที่ไม่รู้เรื่องราวใด ยังจำคำพูดของอีกฝ่ายที่โรงเตี๊ยมวันนั้นได้ เจ้าหื่นกามนั่นบอกว่าหลี่ลั่วหวั่นคิดจัดการกับเขา 

“พวกคนสกุลหลี่ยังคงถูกสอบสวน ถูกกักตัวอยู่ในจวนจนกว่าจะสืบหาความจริงได้แน่ชัด ถึงแม้หลี่ลั่วหวั่นจะบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่มีป้ายหยกอยู่ในที่เกิดเหตุก็ยากปฏิเสธ แถมเจ้านั่นก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าถูกคนมาชิงป้ายหยกไปจริง ตอนเกิดเรื่องก็ไม่ได้พักอยู่ที่จวนสกุลหลี่ น่าแปลกนัก ฤดูเหมันต์เช่นนี้เขาจะออกไปพักที่อื่นทำไม”เสิ่นมู่หยางบอกเล่าด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด ยังจำเหตุการในห้องไต่สวนได้ ไม่ว่าเหตุผลของอัครเสนาบดีคืออะไร นอกจากบ่าวคนสนิทก็ไม่มีผู้ยืนยัน คำให้การไม่มีน้ำหนักเช่นนี้ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ค่อยพอพระทัยนัก แม้จะมีขุนนางที่สนิทสนมกับอัครเสนาบดีหลี่มาประท้วงร้องเรียนที่หน้าประตูจั่วซุ่นก็ตาม



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2019 21:55:17 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
ฮ่องเต้กล่าวเพียงว่า ‘เราต้องการความชัดเจน อัครเสนาบดีหลี่จะถูกไต่สวนและถูกคุมขังอยู่ในจวนจนกว่าความจริงจะกระจ่าง’เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดแล้ว เสิ่นมู่หยางรู้สึกว่าพระองค์พอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ บางทีอาจจะถือโอกาสลิดลอนอำนาจสกุลหลี่ก็เป็นได้

จื่อฟางขมวดคิ้ว “แต่ว่าเรื่องนี้ก็มองออกอย่างชัดเจนว่ามีคนใส่ความสกุลหลี่...”

“ผู้ใดก็มองออก แต่พูดออกไปได้หรือในเมื่อไม่มีหลักฐาน หลี่ลั่วหวั่นเองก็ทำตัวน่าสงสัย นอกจากบ่าวรับใช้ก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดมาชี้แจ้งว่าคืนนั้นไม่ได้ออกไปเพ่นพ่านด้านนอก”เหมือนท่านที่ไปหมกอยู่บ้านอนุกระมัง เด็กหนุ่มโต้ตอบอยู่ในใจ ไม่อยากรื้อฟื้นให้บรรยากาศเสีย

“หลี่ฮุ่ยจือจะโดนลงโทษด้วยหรือไม่”เขาถามอย่างสนใจ แม้เขาจะไม่ชอบคนหื่นกามนั่นแต่ถ้าหากคุณชายท่านนั้นโดนทำโทษเพราะตัวเขาเป็นต้นเหตุก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน

เสิ่นมู่หยางส่ายศีรษะไปมา แต่สีหน้าดูพอใจที่สกุลหลี่ตกที่นั่งลำบาก “ผู้ใดแซ่หลี่ย่อมไม่มีข้อยกเว้น เอาเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล ไม่มีผู้ใดสาวถึงเจ้าก็ดีแล้ว ยามนี้อย่าเพิ่งทำเรื่องเสี่ยงอันตรายก็พอ”พอคิดถึงเรื่องที่บุตรชาก่อกบฏก็ยิ่งพบว่าน่าปวดหัว จะเกิดอะไรขึ้นอีก เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าไม่เหมือนบุตรชายที่ข้าเคยรู้จักจริง ๆ

“ข้าเข้าใจแล้ว”จื่อฟางรับคำแต่โดยดี เหลือบมองบ่าวรับใช้ในห้องอีกสามคน พวกนั้นมีสีหน้าตึงเครียดไม่ต่างกัน แม้แต่หยางชวีและหานตงที่ปกติจะทำหน้านิ่ง หัวคิ้วของคนทั้งคู่ย่นเข้าหากัน เป็นภาพที่ทำให้เขาหัวเราะ ศิษย์พี่กับศิษย์น้องช่างคล้ายกันเสียจริง แต่เขาชอบความยืดหยุ่นของหยางชวีมากกว่า

“เฟยเอ๋อร์ ข้าถามเจ้าจริง ๆ เจ้ารู้สึกเช่นไรกับฝ่าบาท”ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายเริ่มผ่อนคลาย

“ข้า...”จื่อฟางขมวดคิ้ว ยังต้องถามอีกเหรอ เขานึกถึงเสิ่นจิ้งเฟย ความรู้สึกของเจ้านั่น...“ค่อนข้างซับซ้อน แต่ข้าไม่ได้ต้องการเป็นชายงามของเขา”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเมื่อคิดใคร่ครวญดีแล้ว

“ดี ข้าได้ยินมาว่าพระองค์ทรงโปรดปรานชายงามเจาเฟิงมากนัก ถึงกับปลดชายงามออกไปเกือบหมดตำหนัก”เสิ่นมู่หยางเล่า มองปฏิกิริยาของร่างงามไปด้วย แต่บุตรชายของตนกลับพยักหน้าเงียบ ๆรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหมดจด

“อ๋องสามเล่า เจ้าคงไม่ได้มี...เอ่อ...”เสิ่นมู่หยางอึกอัก เมื่อรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเกี่ยวข้องกับหลิวอ๋องก็เป็นกังวล คนผู้นั้นไม่เหมือนฮ่องเต้ก็จริง เขาไม่ได้มีท่าทีชอบชายงาม แต่เฟยเอ๋อร์ของเขารูปงามเกินบุรุษ กลัวว่าหากเข้าใกล้จะทำให้ท่านอ๋องสับสน 

“ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ชอบคนอายุห่างขนาดนั้น”จื่อฟางลอบถอนหายใจ แม้หลิวอ๋องจะไม่ได้อายุขึ้นเลขสามและยังดูหล่อเหลาเหมือนคนหนุ่ม แต่คนอย่างท่านอ๋องน่ากลัวเกินไป บอกตามตรงว่าพี่น้องสกุลเจี่ยไม่มีผู้ใดน่าเข้าใกล้สักคน เขาไม่เคยเห็นองค์หญิงคนอื่น แต่นิสัยคงไม่ต่างกันหรอกกระมัง

“อะแฮ่ม แล้วหลี่ฮุ่ยจือเล่า”เสิ่นมู่หยางยังคงถามต่อ

“เหตุใดท่านต้องยกบุรุษพวกนี้มาถามด้วย หากข้าชื่นชอบจริง ท่านรับได้รึ”จื่อฟางแกล้งหยอกกลับ อยากรู้ท่าทีของอีกฝ่าย ไม่ใส่ใจหยางชวีที่ยืนส่ายศีรษะให้วูบหนึ่งอยู่เบื้องหลัง

เสิ่นมู่หยางขมวดคิ้ว เรื่องรักชอบบุรุษไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกโดยเฉพาะกับพวกชนชั้นสูง เขาพบเห็นมาจนชินตา อีกทั้งบุตรชายก็งดงาม ถูกเข้าใจผิดก็หลายครั้ง เขาไม่ได้รังเกียจพวกรักชอบบุรุษ แต่หากเกิดขึ้นกับเสิ่นจิ้งเฟยก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เขาปรายตามองอีกฝ่าย พอจะรู้ว่าเพราะเหตุใดร่างตรงหน้าถึงได้เอ่ยถาม เรื่องไป๋ผูอวี้ทำให้เสนาบดีเสิ่นคาใจนัก ที่ผ่านมาบุตรชายก็ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับสกุลไป๋ แม้อาจจะพูดคุยกันได้เพราะฝ่ายนั้นมาสอนหนังสือ แต่เขามองอย่างไรก็ว่าแปลก จึงให้หานตงไปสืบมา ถึงได้รู้ว่าไป๋ผูอวี้ลอบมาหาเสิ่นจิ้งเฟยถึงในจวน เสิ่นมู่หยางกระแอม

“หากเจ้าแค่เล่นสนุกข้าไม่ว่า แต่ถ้าคิดจริงจังเจ้าไม่ควร หญิงงามมีมากมายเหตุใดไม่สนใจมองเล่า เจ้าเป็นชายสมควรมีทายาทให้สกุลเสิ่นถึงจะถูก”เขากล่าวไปเช่นนั้นเพราะยังไม่อยากบังคับบุตรชายมากเกินไป ไม่รู้ว่าสองคนนั่นรักชอบกันจริงหรือไม่ อีกอย่างเจ้าเฟยเอ๋อร์ก็เอาแต่กังวลกลัวว่าเขาจะจับได้ จนลืมนึกไปกระมังว่าไป๋อู่เหยียนต่างหากที่น่าห่วง สกุลไป๋เหมือนพวกคุณธรรมค้ำคอจนน่าหัวร่อ จะยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้หรือ 

เล่นสนุก อย่างนั้นหรือ จื่อฟางคิด มุมปากกระตุกเล็กน้อย เท่านี้ก็ถือว่าดีแล้วแม้จะไม่อยากใช้คำว่า‘เล่นสนุก’กับไป๋ผูอวี้ก็ตาม สายตาของเสิ่นมู่หยางยามเอ่ยเรื่องนี้ราวกับอ่านใจเขาออก เด็กหนุ่มจึงกระแอมกระไอเบา ๆ

“ถ้าหากข้าเล่นสนุกกับไป๋ผูอวี้ท่านก็อนุญาตหรือ”จื่อฟางยังไม่เปลี่ยนเรื่อง จางต้าเม้มปากส่ายศีรษะไปมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เสิ่นมู่หยางรู้สึกว่าเส้นความอดทนค่อยๆขาด สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หากเขาออกปากห้าม จะห้ามได้หรือ “เจ้าอยากเล่นสนุกก็เล่นไป แต่อย่าให้เกิดคำครหา เจ้ายังต้องมีทายาทสืบสกุล”ถึงอย่างไรเขาก็คาดหวังให้เสิ่นจิ้งเฟยมีทายาทสืบสกุล แม้จะมีบุตรอีกคนกับอนุ แต่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นบุตรชายคนโตไม่เปลี่ยนแปลง จื่อฟางไม่ได้โต้แย้ง ยังไงก็ไม่อยู่ทำหลานให้เสิ่นมู่หยางอยู่แล้ว สำหรับเขาคิดว่าดีที่อีกฝ่ายยังมีบุตรอีกคนให้หวังพึ่ง แต่เสิ่นจิ้งเฟยคงคิดตรงกันข้าม

ไป๋ผูอวี้ ข้าหวังว่าจะได้เล่นสนุกกับเจ้าบ่อย ๆ 

~•~


เข้าวันที่สามหลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ มีเทียบเชิญจากวังหลิวอ๋องส่งมาที่จวนสกุลเสิ่น วันคล้ายวันเกิดของหลิวอ๋องเจี่ยซินจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันที่จะถึงนี้ จื่อฟางจึงสั่งให้สาวใช้ตัดชุดใหม่ หวังว่าจะได้เจอเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงด้วย อยากพูดคุยสักเล็กน้อย ขณะที่กำลังเลือกพัดอยู่นั้น จางต้าก็เร่งรุดเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเปล่งประกายรอยยิ้มเต็มหน้า

“คุณชายเสิ่นขอรับ”

“มีอะไร ทำเสียงดังหนวกหูนัก”จื่อฟางใจกระตุก แม้สีหน้าของบ่าวรับใช้จะเต็มไปด้วยความยินดีแต่เขาก็ยังหวาดหวั่น เรื่องเผาหอหนังสือเจี่ยซานยังทำให้เขาระแวงจนหลับไม่สนิทเพราะกลัวว่าจะถูกคนจับได้

“ไป๋ผูอวี้กับกองทัพที่ไปต่อกรกับพวกชาวเหลียนกลับมาแล้ว อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงประตูเมือง คุณชายไปดูด้วยกันสิขอรับ”จางต้าเอ่ยชวน รู้ดีว่าคุณชายเสิ่นอยากพบหน้าของไป๋ผูอวี้แค่ไหน

“จะให้ข้าไปต้อนรับ เหมือนพวกหญิงสาวเนี่ยนะ”จื่อฟางเอ่ยเสียงแข็งแต่ซ่อนรอยยิ้มบนหน้าไม่ได้อยู่ดี จึงเม้มปาก ก้มมองพัดในมือ หลายสิบวันที่ไม่ได้เจอหน้าเจ้าท่อนไม้ไป๋ ทำให้เขารู้ว่าคิดถึงเจ้านั่นอยู่ไม่น้อย แม้ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ เขายังมีเรื่องต้องคุยกับไป๋ผูอวี้ ถ้าทำได้ก็อยากกระโดดไปหาที่คฤหาสน์สกุลไป๋เสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ

“ก็ได้ๆ ข้าไปก็ได้ รอเดี๋ยว ข้าไม่อยากให้คนเห็น”เด็กหนุ่มมองเงาสะท้อนในคันฉ่อง ถอดเปลี่ยนชุดสีน้ำเงินออก จนเหลือเพียงชุดตัวกลางสีขาว ควานหาเสื้อผ้าก้นหีบ หยิบเสื้อคลุมสีเหลืองอ่อนปักลายหงส์สวยงามออกมาสวม ใช้หวีสางผมยาวสยายถึงกลางหลัง นำผ้ามาคลุมปกปิดใบหน้า มองไปคล้ายหญิงงามผู้อ่อนหวาน จื่อฟางเบ้หน้า หมุนตัวไปหยิบพู่กันที่โต๊ะเขียนหนังสือ นำหมึกมาแต้มเป็นจุดใหญ่ๆที่แก้มขวาเหมือนปานอัปลักษณ์ เท่านี้ใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยก็เปลี่ยนไปแล้ว

“คุณชาย...”จางต้าอ้าปากค้าง สายตากวาดมองเสิ่นจิ้งเฟยที่บัดนี้เหมือนหญิงสาวในวัยแรกแย้มผู้หนึ่งถึงแม้จะมีแต้มสีดำน่าเกลียดอยู่ที่แก้มก็ตาม

“งดงามมากจริง ๆ”บ่าวคนสนิทนัยน์ตาเป็นประกาย จื่อฟางขึงตาใส่ “งดงาม? ข้าเติมจุดดำแล้วยังไม่พออีกหรือ”เขายื่นไปหยิบพู่กันหวังจะแต้มจุดลงบนหน้าผาก แต่บ่าวรับใช้รีบดึงออก
“พอแล้วขอรับ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา ข้าน้อยเตรียมรถม้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”จางต้ากระซิบกระซาบอย่างมีความนัย รีบจูงมือเขาออกมาจากห้อง บ่าวไพร่ที่ปัดกวาดเช็ดถูต่างก็มองเป็นตาเดียว จื่อฟางเกิดกระดากอายขึ้นมา ความมั่นใจลดฮวบ
“จางต้าทำแบบนี้จะดีจริงเหรอ”เขาเอ่ยถามระหว่างที่ถูกบ่าวคนสนิทพาวิ่งไปตามเฉลียงทางเดิน จื่อฟางวิ่งได้ไม่นานก็หอบแฮ่ก แข็งขาเริ่มอ่อนแรง ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของหยางชวีเข้าพอดี แต่ร่างนั้นคว้าแขนของเขาไว้จึงไม่หงายหลังล้มไปเสียก่อน
“…คุณชายเสิ่น…”หยางชวีมึนงงไปครู่ใหญ่กวาดตามองขึ้นลง “จะไปที่ใด”เขาได้สติก็เอ่ยถามจนจบประโยค
“พาคุณชายออกไปนอกจวนที ข้าจะไปทางประตูหน้า”จางต้าพึมพำจบก็วิ่งไปตามทาง หยางชวีไม่เอ่ยมากความจับร่างของเขาพาดบ่าแล้วกระโดดไปบนกำแพงจวน จื่อฟางเบิกตากว้าง ความสูงทำให้เวียนหัว

“นี่...”เด็กหนุ่มพึมพำ ผู้ติดตามกระโจนลงมาบนผืนดินอย่างนุ่มนวล แต่เขายังเวียนหัวไม่หาย ชายหนุ่มพาเขามาที่จุดรอรถม้า ปล่อยร่างของเสิ่นจิ้งเฟยลง คุณชายก็รีบผลุบหายเข้าไปในรถม้าทันทีราวกับกลัวมีผู้คนพบเห็น แต่หากเจอยามนี้ก็คงไม่มีผู้ใดจำได้หรอกกระมัง จื่อฟางถอนหายใจเมื่อเข้ามานั่งในรถม้าแล้ว รู้สึกโชคดีที่หยางชวีเป็นคนหน้าตายโดยธรรมชาติ จางต้าเพิ่งวิ่งออกมาจากหน้าประตูจวนหอบจนตัวโยน มองผู้ติดตามหน้าตายที่ยืนมองรถม้าด้วยสีหน้าโง่งม

“คะ คุณชายเสิ่น ไปกันเถอะ”จางต้าหอบ โบกมือไล่หยางชวี เข้าไปนั่งในรถม้าพร้อมปิดประตูตามหลังกันอากาศหนาวเย็น อาชาสีน้ำตาลอ่อนออกวิ่งกระชากรถม้าไปเบื้องหน้า จื่อฟางไม่ทันได้ตั้งตัวจึงหัวโขกกับผนังรถเสียงดังโป๊ก

“โอ๊ย”เขาใช้มือถูหน้าผาก คาดว่าอีกไม่นานต้องเป็นรอยแดงน่าเกลียด บวกกับแต้มดำบนแก้มคงลดความงามของร่างนี้ได้บ้าง เขาจึงยิ้มอย่างพอใจ

“คนเยอะรึไม่ ข้ากลัวมีคนจำได้”เด็กหนุ่มเอ่ยถามบ่าวรับใช้ จางต้ายังคงใช้สายตาเป็นประกายจ้องมองอย่างชื่นชม

“คุณชายงามเหมือนสตรีแรกแย้มเช่นนี้ ผู้คนจำไม่ได้หรอก”บ่าวคนสนิทตอบอย่างไม่คิด

“เจ้ากล่าววาจาเวอร์วังเกินไปแล้ว”เด็กหนุ่มได้แต่พึมพำเบา ๆ

“คุณชายว่าอะไรนะขอรับ”จางต้าได้ยินคำแปลก ๆที่คุณชายพูดออกมาก็ทำสีหน้าฉงน หรือเขาหูฝาดไปเอง

“เปล่า แค่บอกว่าเจ้าพูดจาเกินจริง”จื่อฟางทำสีหน้าเรียบนิ่ง เผลอพูดจาสมัยใหม่ไปเสียได้ อาชาเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองอย่างกระฉับกระเฉงราวกับรับรู้จิตใจของผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้า

~•~
   
 
 
ไป๋ผูอวี้มองท้องฟ้าครึ้มแดดครึ้มฝนเบื้องบนด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายไปกว่าครึ่ง อาชาสีขาวแข็งแรงควบฝ่าสายลมหนาวมุ่งหน้าไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่เริ่มมองเห็นเป็นรูปร่าง ประตูเมืองฉางอันอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เหล่าทหารของแม่ทัพเมิ่งควบม้าตามมาติด ๆ เขาเหลือบมองเว่ยหลง ซูเหลียนฮวาและคนของสกุลไป๋อีกจำนวนหนึ่งที่ควบอาชาตามมาห่าง ๆ คิดว่าดีนักที่ผู้ติดตามเหล่านี้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ แค่เพียงชายหนุ่มเอ่ยบอกว่าจะร่วมมือกับทหารราชสำนักจัดการชนเผ่าเหลียนที่เมืองอี้โจว พวกเขาก็ยินดีร่วมศึกโดยไม่เอ่ยถามมากความ ชายหนุ่มนึกไปถึงความทรงจำยามเผชิญหน้ากับฮ่องเต้เจี่ยผิง
   
ภายในห้องดื่มชา อวลไปด้วยกลิ่นชา คุณชายสูงศักดิ์ใบหน้าหล่อเหลาสวมชุดผ้าแพรชั้นดีนั่งจิบชาอุ่นร้อนอย่างช้า ๆ ใบหน้านิ่งสงบ หลับตารับรสชาติหอมละมุนลิ้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าของร่างจะลืมตามองบุตรชายสกุลไป๋ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย

ไป๋ผูอวี้เป็นเพียงบุตรชายคหบดี บรรดาศักดิ์ไม่อาจเทียบได้ สายตาจึงหลุบต่ำไม่ได้มองผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า

“ไม่ต้องมากพิธี”ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวเชื่องช้าแต่เป็นเพียงคำพูดเลื่อนลอยเสียมากกว่า เจ้าแผ่นดินแสดงชัดเจนว่าพอใจกับสถานการณ์เช่นนี้ ที่เบื้องหลังเขามีองครักษ์นามว่าเฮ่อเจ๋อตามติดมาเช่นทุกครา ไป๋ผูอวี้ต้องข่มกลั้นความโกรธที่มีต่อองครักษ์ผู้นั้น บ่าวในเรือนของเขาเกือบตายเพราะการข่มขู่ทรมานให้ได้ข้อมูลของอีกฝ่าย แต่เฮ่อเจ๋อคล้ายกับล่วงรู้ความในใจ ใบหน้าภายใต้การปกปิด หันมองเขาเพียงนิด ดวงตาสีดำเป็นประกายท้าทาย   

“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีรับใช้ ยินยอมไปรบที่ชายแดน แต่กระหม่อมมีเรื่องบังอาจร้องขอ...”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเปรย รู้ดีว่าเป็นเรื่องเสี่ยงเพียงไหน

“ร้องขอ? เจ้าคงไม่ได้หมายถึงเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยหรอกกระมัง”ใบหน้าสูงศักดิ์ของฮ่องเต้เจี่ยผิงมีประกายความโกรธแผ่ซ่าน ร่างสง่าลุกจากที่นั่ง ยืนไพล่หลังก้มมองร่างของบุตรชายสกุลไป๋ด้วยสายตาเยียบเย็น ในขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างไม่ได้เงยหน้าสบตา ยังคงคุกเข่าด้วยท่วงท่าองอาจอยู่เช่นเดิม ใบหน้าของไป๋ผูอวี้ไม่ปรากฏอารมณ์ใด ความรู้สึกเหมือนกลืนลูกเหม็นลงคอ เขาไม่เคยคุกเข่าให้ผู้ใดมาก่อน ยกเว้นกับท่านพ่อและท่านอาจารย์หย่งสือ เพราะเหตุนี้กระมังเขาถึงสองจิตสองใจว่าอยากเป็นขุนนางหรือไม่ ศักดิ์ศรีของสกุลไป๋ค้ำคอ เขาพยายามท่องบทสอนของอาจารย์หย่งสือ

‘ลูกผู้ชาย ศักดิ์ศรีสำคัญเท่าชีวิต แต่หากมีชีวิตที่สำคัญกว่า ก็จงปกป้องจนตัวตายให้เท่ากับศักดิ์ศรีที่อยากรักษา’

เพราะมีสิ่งที่ต้องปกป้อง เขาจึงกล้ำกลืนคำว่าศักดิ์ศรีลงคอ และไป๋ผูอวี้รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงจะไม่พอใจฮ่องเต้แต่ก็ไม่โง่ทำเสียกิริยาต่อหน้าเจ้าแผ่นดิน

“ไป๋ผูอวี้ เจ้ามิใช่คนโง่งม คงไม่ได้คิดต่อรองกับเราหรอกกระมัง ฐานะของเจ้ากับเราต่างกันราวฟ้าเหว ยังคิดกล้าต่อรองอีกหรือ”เสียงของฮ่องเต้เจี่ยผิงก้องกังวานอยู่ในห้องดื่มชา ไร้ความรู้สึกชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่ายามนี้โอรสสวรรค์รู้สึกเช่นไร

“กระหม่อมทราบดี แต่ก็ยังยืนยันเช่นเดิม กระหม่อมยินดีช่วยเหลือแผ่นดินเจี่ย ยินดีรับใช้ฝ่าบาท เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยชายงามเพียงคนเดียวคงไม่มีทางสำคัญกว่าเรื่องแผ่นดิน กระหม่อมกล่าวถูกหรือไม่”ชายหนุ่มกล่าว ยังคงก้มหน้า มองเห็นเพียงชายเสื้อคลุมขององค์ฮ่องเต้ เฮ่อเจ๋อยืนฟังอยู่ในมุมมืด ครุ่นคิดว่าไป๋ผูอวี้กล่าวออกมาเช่นนี้ถือว่าใจกล้ามากทีเดียว เป็นสิ่งที่เขาเห็นด้วยแต่ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกไป เสิ่นจิ้งเฟยก็แค่ชายงามผู้หนึ่ง ฮ่องเต้มิจำเป็นต้องใส่ใจยกมาเทียบเท่างานแผ่นดิน

ไป๋ผูอวี้ใจเต้นระรัวอยู่ในอก รับรู้ถึงกระแสกดดันจากฮ่องเต้เจี่ยผิงที่แผ่ออกมาลึกๆก็หวั่นใจว่าฮ่องเต้จะไม่สนใจคำพูดของเขา เขาเป็นผู้ใดเล่า?ก็แค่เก่งกาจวรยุทธมากกว่าผู้อื่น ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องใส่ใจด้วยซ้ำ แต่เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้วางแผนใช้คนสกุลไป๋ไว้อย่างไร ไป๋ผูอวี้ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ตนเอ่ยจะไม่เป็นการกระทบโทสะของฮ่องเต้

“เจ้าช่างพูดนัก ที่ปรึกษาเกาคงสอนมาดี”เจี่ยผิงกล่าวเบา ๆ ฮ่องเต้หนุ่มมองไม่เห็นสีหน้าของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจึงไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้คิดสิ่งใด แม้จะอยู่ที่ต่ำกว่าชายหนุ่มก็ยังสัมผัสได้ถึงความถือดีของคนแซ่ไป๋

“ไป๋ผูอวี้ เราไม่คิดว่าเจ้าจะยอมแหกกฎสกุลไป๋เพราะเสิ่นจิ้งเฟย เราประทับใจนัก”น้ำเสียงนั้นมีร่องรอยประชดประชัน สำหรับเจี่ยผิงแม้ว่าจะชอบคนงามมากเพียงใด แต่แน่นอนว่างานแผ่นดินย่อมสำคัญกว่าชายงามผู้หนึ่ง เขารู้ดีว่าไป๋ผูอวี้กำลังต่อรองกับตนด้วยการนำสิ่งที่เขาต้องการมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน ช่างโง่เขลาและกล้าบ้าบิ่น แต่ฮ่องเต้หนุ่มกลับพบว่าตนเองพอใจอยู่น้อย ๆ

ไป๋ผูอวี้ผู้นี้ไม่รู้ความจริงที่เขารู้ แม้ว่าเจี่ยผิงจะต้องการร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยมากเพียงไหน แต่ในยามนี้เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอยู่กับเขา เรื่องของจื่อฟางค่อยจัดการทีหลัง ยามนี้เขาต้องการกำลังของคนสกุลไป๋ไว้รับมือกับการก่อกบฏของหลิวอ๋อง ส่วนกำลังทหารมีฝีมืออีกส่วนหนึ่งจะนำมาป้องกันอารักขาเมืองหลวงต้อนรับการมาของช่างอิ่น

“เจ้าต้องการขอสิ่งใดก็ว่ามา”ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสไร้ความขุ่นหมอง แต่ไป๋ผูอวี้กลับฟังออกว่าเป็นสัญญาณอันตราย ฮ่องเต้มีแผนอยู่ในใจ เขาต้องระมัดระวังคำพูด...

“คำร้องขอของกระหม่อมเป็นเรื่องง่าย กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาทยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป ผู้คนมิใช่สิ่งของ เสิ่นจิ้งเฟยก็เช่นกัน เขามิใช่นกน้อยในกรงทองของท่าน เขามีความคิดมีความรู้สึก”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยเสียงตั้งมั่น หัวคิ้วขมวดมุ่นน้อย ๆ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนเว่ยหลงยามที่ทำเรื่องสิ้นคิด ผู้ติดตามของเขามักห้ามอารมณ์ตนเองไม่อยู่ ชอบพูดจายั่วโทสะผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง การทำตัวโง่เง่ารู้สึกเช่นนี้เองหรือ

“เจ้าบังอาจนัก กล้ากล่าววาจาสั่งสอนเราหรือ ไป๋ผูอวี”เจี่ยผิงขบฟัน กวาดตามองร่างตรงหน้าด้วยสายตาแผดเผา ‘ยึดติดรึ เจ้าไม่รู้เรื่องใดเลยต่างหาก ไป๋ผูอวี้ เจ้าเข้ามาแทรกแซงเรื่องของเรา’

“กระหม่อมมิกล้า เพียงแค่บอกเล่าให้พระองค์ฟัง”ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยวาจาร้องขอไปตรง ๆแต่คิดว่าฝ่าบาทคงเข้าใจความนัยของการร้องขอครานี้ถึงได้มีโทสะ การปล่อยเสิ่นจิ้งเฟยมีอิสระไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฮ่องเต้เจี่ยผิง

“หึ เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เราสงสารเจ้านัก เสิ่นจิ้งเฟยมิใช่คนเดิมที่เจ้ารู้จัก  หากเขาเป็นอีกคนเจ้าจะยังต้องการเขาอยู่หรือ ไป๋ผูอวี้”เจี่ยผิงข่มอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า

“ความต้องการของกระหม่อมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นอย่างไร เขาจะหน้าตาอัปลักษณ์ กระหม่อมก็ไม่เปลี่ยนใจ กระหม่อมชื่นชอบในตัวตนของเขา”ไป๋ผูอวี้ตอบ ครั้งนี้เงยหน้าสบตากับเจ้าแผ่นดินวูบหนึ่ง มองเห็นสีหน้าราบเรียบของฮ่องเต้เจี่ยผิงที่ดูแปลกตาไป คล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฮ่องเต้ยังคงไม่ขยับเขยื้อน

“ชื่นชอบที่ตัวตนอย่างนั้นหรือ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา เสียงหัวเราะเย็นชาดังตามมา ร่างของคุณชายสูงศักดิ์หมุนตัวออกไปจากห้องดื่มชาโดยไม่บอกไม่กล่าว  สองวันต่อมาฮ่องเต้เจี่ยผิงปรากกายที่โรงน้ำชาหลิวซื่ออีกครั้งบิดาของเขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่มองมาด้วยท่าทางสงสัย ฮ่องเต้เจี่ยผิงเอามือไพล่หลังกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“เราให้เวลาเจ้าปราบชนเผ่าเหลียนครึ่งเดือน หากเจ้าทำสำเร็จ เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเสิ่นจิ้งเฟย”

ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่ามีช่องว่างในคำพูดของฝ่าบาท คนผู้นั้นไม่ได้เอ่ยจำเพาะเจาะจง แต่เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เขาให้คำสัญญากับเสิ่นจิ้งเฟยไว้ หากจัดการเรื่องสกุลไป๋เสร็จจะพาหนีไปด้วยกัน เขาได้แต่ภาวนาให้เรื่องวุ่นวายจบลงในเร็ววันเสียที

“กระหม่อมรับทราบพ่ะย่ะค่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น เรื่องของบ้านเมืองย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตัว คนผู้นั้นต้องการกำลังของสกุลไป๋ ต้องการความภักดีของเขา ชายหนุ่มไม่ชอบฮ่องเต้ผู้นี้ แต่เรื่องบ้านเมืองจะให้ความรู้สึกส่วนตัวมาชี้นำไม่ได้ เขาละทิ้งอคติต่อเจ้าแผ่นดิน คาราวะฮ่องเต้ด้วยจิตใจที่ไร้ความรู้สึก



“ไป๋ผูอวี้ ท่านคงเหนื่อยไม่น้อย”แม่ทัพเมิ่งกล่าวขึ้น เมื่ออาชาของฝ่ายนั้นหยุดรอเขาก้าวหนึ่งจนอาชาสีขาวของไป๋ผูอวี้ตามทัน ผู้ร่วมศึกทั้งสองจึงควบม้าเคียงกัน เป็นเรื่องดีที่แม่ทัพเมิ่งไม่ใช่พวกแบ่งพรรคแบ่งพวก ไป๋ผูอวี้จึงไม่มีปัญหาในการร่วมศึก แม่ทัพเมิ่งไม่เหมือนพวกขุนนางในราชสำนัก เขาทำเพื่อแผ่นดินเจี่ยอย่างแท้จริง เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ส่งคนมาช่วยเหลือก็ไม่ได้ว่ากล่าวมากความ รีบบอกถึงสถานการณ์ที่ชาวบ้านบางกลุ่มไม่พอใจราชสำนักจนร่วมมือกับชนเผ่าเหลียน

ไป๋ผูอวี้ไม่ต้องการให้มีราษฎรได้รับบาดเจ็บเพิ่ม จึงใช้สันติวิธีให้พลทหารนำความไปบอกแก่ชาวบ้าน หากผู้ใดที่ไม่คิดร่วมมือกับชนเผ่านอกด่าน ให้นำผ้าขาวมาแขวนที่หน้าประตูบ้าน เหตุนี้จึงลดความสูญเสียบาดเจ็บของราษฎร อีกทั้งแม่ทัพเมิ่งเองก็มีฝีมือ ให้พลทหารส่วนหนึ่งประจำการณ์อยู่ที่เมืองอี้โจว ไป๋ผูอวี้คิดว่าการลุกฮือต่อต้านราชสำนักไม่ใช่เรื่องธรรมดานอกจากชนเผ่าเหลียนแล้วยังมีคนของชนเผ่าหูชักจูงอยู่เบื้องหลัง ชนเผ่าหูเกี่ยวข้องถึงอดีตองค์รัชทายาทเจี่ยอี้

“แม่ทัพเมิ่งก็เช่นกัน ข้าเพียงแค่มาเสริมกำลังให้พวกท่านเท่านั้น”ชายหนุ่มกล่าวถ่อมตัว ยังคงภาพลักษณ์คุณชายผู้สุขุมไว้อยู่ แม้ว่ายามนี้เขาจะไม่เหมือนคุณชายที่ชื่นชอบดื่มชาเล่นหมากอีกต่อไปแล้ว เส้นผมของเขาถูกรวบเป็นมวย ใบหน้าคล้ำแดด มีรอยแผลจากการสู้รบ ร่างกำยำขึ้นหลายส่วน ท่วงท่าอย่างนักรบผู้องอาจมาแทนที่ แม่ทัพเมิ่งสังเกตเห็นและรู้ดีว่าไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ฝึกได้ในไม่กี่วัน ไป๋ผูอวี้คุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้ เขาได้ยินว่าบุตรชายสกุลไป๋มีวรยุทธที่เก่งกาจ แม่ทัพเมิ่งเห็นคนผู้นี้จับกระบี่ก็ไม่มีข้อสงสัย อีกไม่นานคนผู้นี้คงมียศตำแหน่งด้านทหาร ด้วยฝีมือแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังขา ยกเว้นพวกขุนนางในวังหลวงจะเข้ามาสอด

“ข้าหวังว่าจะได้พบท่านอีก”เมิ่งอู่หลันกล่าวก่อนจะกระตุกบังเหียนม้านำหน้าไปหลายก้าว ไป๋ผูอวี้เพียงหยักยิ้ม เขาไปสมทบที่เมืองอี้โจวใช้เวลาต่อกรกับพวกชนเผ่าเหลียนเพียงยี่สิบวันเท่านั้น ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดวางเขาไว้ที่ตำแหน่งใดก็ไม่ทราบได้ นึกถึงที่ปรึกษาเกาจวีถังก็ถอนหายใจ คงไม่พ้นถูกบ่นอีกกระมัง หัวหน้าคณะบัณฑิตผู้นั้นต้องการให้เขาเข้าร่วมสภาบัณฑิต ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบด้าน เขาควบม้ามานานหลายชั่วยามแล้วจึงรู้สึกเหนื่อยอ่อนอยู่บ้าง เมื่อเห็นประตูเมืองฉางอันอยู่เบื้องหน้าก็ปล่อยลมหายใจออกมา   



~•~


รถม้าของจื่อฟางใช้เวลาหนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) กว่าจะมาถึงประตูเมือง ร่างบางเลิกม่านออกไปมองด้านนอกพบว่ามีชาวบ้านยืนออเป็นแถวยาวเพื่อรอดูท่านแม่ทัพเมิ่งผู้กล้าหาญและคนสกุลไป๋ที่เพิ่งกลับมาจากชายแดนทางเหนือ จางต้าสวมใส่ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเช่นกัน ร่างของบ่าวคนสนิทช่วยพยุงเขาลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าเหมือนประคองสตรีรูปร่างบอบบางก็ไม่ปาน

ทันทีที่เขาก้าวลงจากรถ สายตาของผู้คนก็จ้องมองมาทันที หญิงแรกแย้มสวมชุดสีเหลืองอ่อนสบายตา นางปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำทำให้ดูลึกลับ ดวงตากระจ่างแฝงแววถือดีมองกวาดไปทั่ว แม้จะมีรอยปานสีดำที่ข้างแก้มแต่ก็มองออกว่าเป็นแม่นางน้อยผู้งดงามคนหนึ่ง จื่อฟางถูกคนจ้องจนเหงื่อตก กระซิบกับจางต้า

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่มีคนจำข้าได้”เด็กหนุ่มไม่มั่นใจเอาเสียเลย ลมหนาวพัดโกรกมาวูบใหญ่พาให้หนาวสั่น จื่อฟางรีบจับรวบผ้าคลุมที่เปิดออกเล็กน้อย มือเรียวขาวซีดปรากฏให้เห็น ใบหน้าคุ้นตาทำให้ยิ่งถูกจ้องมอง เขาจึงก้มหน้าปล่อยให้บ่าวคนสนิทดึงชายเสื้อไปยังแถวที่มีชาวบ้านยืนออกันอยู่

“หลบหน่อย ๆ แม่นางของข้าไม่ค่อยสบาย”เขาได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อเจ้าบ่าวคนสนิทพูดจาไร้สาระ แต่เวลานี้ทำอะไรไม่สะดวก จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผู้คน

“นี่ แล้วข้าจะเห็นเขาเหรอ”จื่อฟางพึมพำจับผ้าคลุมหน้าไว้เมื่อลมหนาวพัดมาอีกวูบหนึ่ง

“เห็นสิขอรับ”จางต้ากระซิบดึงดันจนพาเด็กหนุ่มมายืนอยู่แถวหน้าสุด เสียงกีบม้าดังแว่วมาไกล ๆ จื่อฟางใจเต้นกระหน่ำ เก้อกระดากขึ้นมาเมื่อนึกถึงหนังจีนโบราณที่มีฉากนางเอกเฝ้ารอคอยพระเอกที่เป็นแม่ทัพกลับมาจากการสู้รบ จึงเม้มปาก ใบหน้าร้อนไปกับความคิดไร้สาระ น่าอายจริง ๆ เขาไม่น่าลำบากมาเลย อากาศหนาวเย็นซ้ำยังต้องคอยระวังผ้าคลุมหน้า ไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้จะจำได้หรือเปล่า
 


ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4


“มาแล้ว ๆ”เสียงชาวบ้านด้านหน้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงกู่ร้องยินดีของชาวบ้านที่มารอต้อนรับ จื่อฟางเอาแต่ก้มหน้าเพราะฝุ่นที่ฟุ้งจนเข้าหน้าเข้าตาทำให้สำลักไอสองสามครั้ง แม่ทัพเมิ่งควบม้านำหน้าสวมชุดเกราะสกปรก ใบหน้าหล่อเหลาแบบชายชาตรีเขียวครึ้มไปด้วยนวดเครา จื่อฟางน้ำตาไหลเพราะฝุ่นเข้าตา กวาดสายตามองหาไม่นานก็พบกับร่างคุ้นตา จางต้ากระตุกชายเสื้อของเขารัว ๆไปด้วย

เจ้าบ่าวคนนี้ เด็กหนุ่มขึงตาใส่จางต้า ก่อนมองคนบนหลังม้าให้ชัด ไป๋ผูอวี้ควบอาชาสีขาวตัวใหญ่สวยงามตัวหนึ่ง ร่างนั้นสวมชุดเสื้อกางเกงยาวสีดำ ไม่คล้ายคุณชายผู้สุภาพสุขุมอีกต่อไป ร่างนั้นอย่างน้อยก็กำยำกว่าเดิมหลายส่วน ใบหน้าหล่อเหลามีไรนวดขึ้นจางทำให้ดูดุดันสมกับเป็นนักรบ ดวงตาสีดำมองตรงไปด้านหน้า เบื้องหลังมองเห็นเว่ยหลงและซูเหลียนฮวาควบม้าตามมาไม่ห่าง นางมารหมื่นพิษแต่งตัวอย่างบุรุษ จื่อฟางเผลอยกมือโบกอย่างลืมตัวเมื่ออาชาสีขาวเข้ามาใกล้

โอ๊ะ

เด็กหนุ่มรีบหดมือกลับทันที เพราะมีสายตาหลายคู่จ้องมองมา ไป๋ผูอวี้สบตากับเขา

ตึกตัก ตึกตัก

เจ้านี่จะจำเขาได้หรือไม่นะ ม้าของไป๋ผูอวี้หยุดอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มบนหลังม้าก้มมอง สายตาเป็นประกาย ริมฝีปากยกยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็น ทำเอาหญิงงามที่มายืนต้อนรับมองเป็นตาเดียว

“คุณชาย...”เสียงของซูเหลียนฮวาลอยเข้าหู จื่อฟางสบตากับนางครู่หนึ่ง พบว่าใบหน้าที่แต่งแต้มเหมือนบุรุษหน้าหวานมีรอยยิ้มหยอกล้อ เขาจึงเบนสายตามองไป๋ผูอวี้อีกครั้ง ชายหนุ่มบนหลังอาชายื่นมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลมาให้

“แม่นาง...”เสียงทุ้มต่ำของร่างนั้นคล้ายกับดังอยู่ข้างหู

กรอดด ไป๋ผูอวี้เรียกเขาว่าแม่นาง! แต่ยามนี้เขาก็คือแม่นางนี่นะ

จื่อฟางเงยหน้ามองผ่านผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง เอื้อมจับมือหนาหยาบกร้านกว่าเดิมของอีกฝ่าย อ้อมแขนนั้นดึงรั้งตัวเขาขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างนุ่มนวล ร่างของเขาจึงอยู่ภายในอ้อมแขนแกร่งของไป๋ผูอวี้ แผ่นหลังผอมบางสัมผัสกับหน้าอกกำยำของร่างด้านหลัง เสียงเกรียวกราวของเหล่าชาวบ้านที่มองดูยิ่งสร้างความเขินอายแก่เขานัก บ้าไปแล้ว!ฉากแบบนี้มันอะไรกัน เขาเม้มริมฝีปาก อยากมุดแผ่นดินหนี

“นั่งนิ่ง ๆ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”ไป๋ผูอวี้กระซิบ กระตุกบังเหียนเบา ๆ อาชาสีขาวจึงควบไปเบื้องหน้า จื่อฟางปล่อยเสียงอุทานออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ข้าจะตกแล้ว!”เด็กหนุ่มคว้าท่อนแขนของไป๋ผูอวี้ไว้ เขาไม่ได้ขี่ม้ามานานมากแล้ว ยิ่งร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะปวดเมื่อยตามตัวไปอีกกี่วัน

“ชู่ววว”ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคอราวกับมีความสุขนักหนา จมูกจรดใกล้กับเส้นผมของร่างบางในอ้อมแขนที่สั่นน้อย ๆตามการเคลื่อนไหวของอาชา

“เจ้าไม่ตอบจดหมายข้า”จื่อฟางพึมพำ ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนเมื่ออาชาควบผ่านตรอกแห่งหนึ่ง แม้จะหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีผู้คนแล้วก็ยังไม่พ้น

“ข้าขอโทษ เรื่องยาวนัก ไว้ข้าจะเล่าให้ฟัง เวลานั้นค่อยดุด่าข้าดีหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเบา มือข้างหนึ่งรวบเอวบางของคุณชายรูปงามไว้ จื่อฟางไม่กล้าเงยหน้ามองรอบข้าง “เจ้าไม่กลัวผู้คนเอาไปพูดหรือ”

“คนเอาไปพูดก็คงบอกเพียงว่าบุตรชายสกุลไป๋พาแม่นางใบหน้ามีตำหนิผู้หนึ่งออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ได้เจอหลายวันก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เปลี่ยนไป ท่วงท่าอย่างคุณชายดูจะหายไปด้วย ไม่รู้ว่ายามอยู่เมืองหลานโจวไป๋ผูอวี้เป็นคนเช่นไร หรือนี่คือตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นี้

“เจ้าเป็นแบบนี้เสมอเลยหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ระหว่างที่ม้าควบพาไป๋ผูอวี้มุ่งหน้าไปยังตรอกซอกซอยห่างไกลจากตรอกซีหมาน

“ไม่รู้สิ”แม้มองไม่เห็นสีหน้า เขาก็คิดว่าคนด้านหลังคงยกยิ้มอยู่ “ไหนเจ้าบอกว่าจะพาข้ากลับบ้านอย่างไร”จื่อฟางมองไปรอบตัวเมื่ออาชาหยุดอยู่หน้าเรือนสี่ประสานขนาดพอเหมาะหลังหนึ่ง

“นี่เป็นบ้านของข้า”ไป๋ผูอวี้กล่าว เหวี่ยงขาลงจากม้า กระโดดลงด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง เมื่อลงมาแล้วก็ยื่นมือออกไปรวบเอวของคุณชายเสิ่นมาอุ้มในท่วงท่าของหญิงสาว คุณชายรูปงามขึงตาใส่อย่างหงุดหงิด เขาอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้เห็นหน้าของคุณชายท่านนี้สิบกว่ากลับรู้สึกเหมือนผ่านไปนานนัก

“บ้านของเจ้า หมายความว่าอย่างไร”จื่อฟางขมวดคิ้ว สูดดมกลิ่นกายบุรุษ ไป๋ผูอวี้ที่เคยหอมกลิ่นชาอ่อน ๆไม่มีอีกต่อไปแล้ว

“ข้าซื้อบ้านหลังนี้ไว้นานแล้ว เอาไว้นัดพบสหาย คุณชายเสิ่นเข้าใจหรือยัง”ชายหนุ่มกระโจนขึ้นไปผ่านกำแพงบ้าน อย่างชำนาญ เมื่อเท้าสัมผัสผืนดินก็ก้าวฉับ ๆ เข้าไปในเรือน ลานบ้านปลูกต้นเหมยไว้สามสี่ต้น เพราะเป็นช่วงเหมันต์หิมะตกหนักมาก่อนหน้านี้ ดอกเหมยจึงร่วงหล่นช้ำเกลื่อนพื้นดูไม่สวยงามเฉกเช่นทุกที

“ไป๋ผูอวี้เจ้ามีความลับเยอะนัก คิดจะปกปิดข้าไปถึงเมื่อไหร่”จื่อฟางเอ่ยพึมพำ ขณะที่ชายหนุ่มร่างกำยำพาเขาเข้าไปในห้องรับรอง บรรยากาศอุ่นสัมผัสร่างกายเย็น ไป๋ผูอวี้ปล่อยร่างของเขาลง เด็กหนุ่มจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มองการเคลื่อนไหวรวดเร็วของอีกร่างจุดกระถางไฟในห้อง พร้อมกับนำเครื่องมือชงชาออกมา เด็กหนุ่มนั่งลงบนตั่งขณะกอดอกมองร่างของชายหนุ่มอีกคน ไป๋ผูอวี้หมุนกลับมาเผชิญหน้า รอยยิ้มสุภาพคุ้นตากระจายบนใบหน้าหล่อเหลา

“ข้าจะบอกเจ้า”ไป๋ผูอวี้ก้าวไปใกล้ เอื้อมปลดผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าของคุณชายร่างบางออก ใช้สายตาสำรวจมองอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ 

“เจ้ามองจนพอใจหรือยัง”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายจ้องนานเกินไปแล้ว ไม่กลืนข้าลงท้องเลยเล่า

จื่อฟางกระแอม “เจ้าดูสบายดี คงไม่ได้รับบาดเจ็บกลับมากระมัง”

“ตรวจดูไหมเล่า”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหยอกพร้อมกับแหวกสาบเสื้อบริเวณหน้าอกให้เห็น แผ่นอกแข็งแรงเผยให้เห็น

“ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้า”จื่อฟางทำเสียงเข้ม รู้ดีว่าความโกรธเคืองที่มีต่อคนตรงหน้ามอดดับไปตั้งแต่สบตากันที่ประตูเมืองแล้ว

“เหตุใดฮ่องเต้ถึงไว้ใจเจ้า แล้วเจ้ายอมร่วมมือกับฝ่าบาทได้อย่างไร ไหนว่าสกุลไป๋ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย”จื่อฟางซักถามอย่างข้องใจ มองไป๋ผูอวี้หยิบเอาห่อใบชาแห้งออกมาจากอกเสื้อ จัดเตรียมชงชา ชายหนุ่มเงยหน้ามองเสิ่นจิ้งเฟยก่อนยกยิ้ม รู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่คุ้นชินกับตนในสภาพทะมัดทะแมงเช่นนี้ นี่คือตัวตนของชายหนุ่มยามอยู่หลานโจว แต่เมื่อมาลงหลักปักฐานที่ฉางอันเมืองหลวงอันมั่งคั่ง ย่อมต้องทำตามผู้อื่น คุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกเป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบนับถือ เขาจึงสวมบทบาทนั้น ยามที่อยู่เมืองอี้โจวจึงรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเก่า 

“ฮ่องเต้เจี่ยผิงมาพบข้าที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ เอ่ยเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณชายเสิ่นฟัง แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายลึกลับเมื่อเล่าถึงองครักษ์ของฮ่องเต้ที่ทรมานบ่าวในเรือนของเขาอย่างทารุณเพื่อซักถาม จื่อฟางขนลุกที่ท้ายทอยเมื่อเห็นสายตานั้นของอีกฝ่าย  ดูท่าจะไม่ใช่การซักถามธรรมดาเสียแล้ว เขาจ้องร่างสูงกำยำชงชาด้วยท่วงท่าคุ้นตา คุณชายไป๋ที่สุภาพนุ่มนวลกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มยกยิ้มจาง นั่งลงข้างกายเขา ในมือกุมจอกชากลิ่นอ่อนยื่นส่งให้ร่างบาง จื่อฟางไม่คิดดื่มแต่ก็รับมาถือแก้หนาวตามมารยาท

 “เดิมทีสกุลไป๋เคยข้องเกี่ยวกับราชสำนักเป็นเรื่องนานมาแล้วกระทั่งท่านพ่อก็ยังไม่เกิด แต่เพราะฮ่องเต้ในสมัยนั้นหวาดระแวงสกุลไป๋ที่คุมกำลังด้านทหารจึงวางแผนกำจัดสกุลไป๋ เรื่องครานั้นทำให้สกุลไป๋หลบหนีไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองหลานโจว ตั้งแต่นั้นมาคนสกุลไป๋จึงถูกพร่ำสอนว่าอย่าได้ข้องเกี่ยวกับพวกราชสำนักและคนมีอำนาจ คงมีท่านพ่อกับข้ากระมังที่ละเมิดกฎ”ไป๋ผูอวี้ยิ้มหยัน ละเลียดดื่มชาด้วยมาดของคุณชาย จื่อฟางได้แต่กวาดตามองคนใกล้ตัวอย่างละเอียด ใบหน้าของร่างนั้นคล้ำแดด มีรอยแผลรอยเล็ก ๆกระจายอยู่ใกล้หางคิ้ว 

“ข้าถึงได้รู้เรื่องผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ เขามองคนผิดไปจริง ๆ ตอนพบเจอกันครั้งแรกท่านผู้อาวุโสบอกว่าทำงานให้กับฮ่องเต้เจี่ยผิง ต้องการให้เขาสืบเรื่องการก่อกบฏของหลิวอ๋อง ชายหนุ่มเป็นคนนำเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยร่วมมือกับท่านอ๋องไปรายงานเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วก็รู้สึกว่าโง่เขลานัก

“ไปเมืองอี้โจว ฮ่องเต้ไม่ได้บังคับ ข้าเต็มใจไปเอง แต่ข้าเอ่ยขอกับฝ่าบาทเรื่องหนึ่ง…”ชายหนุ่มถอนหายใจ สบตากับเสิ่นจิ้งเฟยอย่างสื่อความนัย เด็กหนุ่มเบิกตาโต พอจะรู้ว่าเรื่องที่ไป๋ผูอวี้ร้องขอคือเรื่องใด

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เหตุใดถึงร้องขอเขา เจ้าไม่ควรทำเช่นนั้น”จื่อฟางพึมพำ ไม่ชอบความคิดที่อีกฝ่ายต้องก้มหัวขอร้องฮ่องเต้เจี่ยผิง ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มมองเขาด้วยสายตาจริงจังจนหัวใจเต้นแรงอย่างไม่เอาไหน

“ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องการ”

“เขายอมหรือ…”จื่อฟางเม้มริมฝีปาก ฮ่องเต้กล่าวชัดเจนว่าต้องการ‘ทั้งหมด’ของเสิ่นจิ้งเฟย คนผู้นั้นดีแต่เหนี่ยวรั้งผู้คนให้อยู่ด้วยอำนาจ ไม่รู้จักกับความรัก บางทีฮ่องเต้อาจรู้สึกรักเสิ่นจิ้งเฟยอยู่บ้าง แต่คงแยกไม่ออก คิดถึงฮ่องเต้ก็ทำให้เขาปวดหัวทั้ง ๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“เรื่องแผ่นดินกับชายงาม ถ้าหากฝ่าบาทยังเลือกชายงาม ข้าว่าเขาก็ไม่ควรเป็นเจ้าแผ่นดินอย่างที่หลิวอ๋องคิด”ไป๋ผูอวี้พึมพำ

“เจ้าจะบอกว่าเจ้ายอมละเมิดกฎสกุลไป๋เพราะข้า?”จื่อฟางมองคนใกล้ตัวอย่างตกตะลึงปะปนกับความซาบซึ้งใจ ความอบอุ่นคืบคลานเข้ามาในอก

“ข้าทำตามความต้องการของตัวเอง ข้าต้องการเจ้า”ไป๋ผูอวี้สบตากับคุณชายรูปงามที่ใบหน้ามีรอยหมึกสีดำแต้มอยู่ที่ข้างแก้ม ชายหนุ่มไม่ได้ใช้มือเช็ดออก โคลงศีรษะมอง คิดว่าก็ไม่น่าเกลียดเท่าไรนัก

“ไป๋ผูอวี้เจ้ารู้หรือไม่...ฮ่องเต้ไม่มีทางยอมง่าย ๆ ที่เขายอมก็เพราะ...”เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก ตั้งใจจะบอกความจริง แต่ก็ยังหวาดกลัวกับท่าทีของอีกฝ่าย

“เพราะอันใด”ชายหนุ่มรอฟังเงียบ ๆรู้ดีว่าคุณชายท่านนี้มีเรื่องสำคัญจะกล่าว ร่างบางผ่อนลมหายใจ มองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส

“ไป๋ผูอวี้ ข้ามิใช่เสิ่นจิ้งเฟย”

ชายหนุ่มยกจอกชาดื่ม “เจ้าเคยบอกแล้ว…ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”

จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ บิดมือไปมาอย่างเป็นกังล “ข้าคือ…ร่างที่เจ้าเห็นคือเสิ่นจิ้งเฟย แต่วิญญาณของข้าไม่ใช่ ชื่อของข้าคือจื่อฟาง”เขากลั้นใจบอกออกไป ในห้องเกิดความเงียบอยู่นาน เด็กหนุ่มจึงหันมอง ไป๋ผูอวี้จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตานิ่งงัน เดาไม่ออก จื่อฟางเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้ง

“เจ้าว่าอย่างไร”

“เจ้าคือจื่อฟาง?”ไป๋ผูอวี้เอ่ยทวนช้า ๆ คุณชายท่านนี้มักพูดจาชวนงุนงงอยู่บ่อยครั้ง วิญญาณหรือ…“จื่อฟางผู้นั้นเป็นชายในฝันของเจ้าไม่ใช่หรือไร”

“ความจริงก็คือตัวข้าจื่อฟางเป็นวิญญาณผู้หนึ่ง เข้ามาอยู่ในร่างของคุณชายไม่เอาไหนเสิ่นจิ้งเฟย”เด็กหนุ่มอธิบายช้า ๆ มองร่างตรงหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าคือดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้ถาม ต้องการคำตอบที่แน่ชัด

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ข้าไม่รู้ว่าร่างของข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ข้าไม่ได้มาจากโลกนี้ ข้ามาจากที่อื่น สถานที่ที่ใกล้มาก”

“เจ้าหมายถึงปรโลก…เจ้าตายไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้ยื่นมือมาจิ้มแก้มเขาเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายวาบไหว

“ไม่ใช่!”จื่อฟางลุกพรวดอย่างขัดใจ เหตุใดถึงมาทำตัวโง่งมเอาตอนนี้ “เจ้าจำได้หรือไม่ ข้าชนกับเจ้าที่นอกหอผูเยว่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้ามาโลกนี้ เข้าร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ภาพวาดที่ข้าบอกว่าเป็นชายในฝันคือร่างจริงของข้า ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง...ยามนี้อยู่ในร่างชายงามของฮ่องเต้นามว่าเจาเฟิง”จื่อฟางกล่าวช้า ๆ กลั้นหายใจบอกความจริงทั้งหมด จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ไม่ได้ละสายตาออกไปจากชายหนุ่มตรงหน้า

ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วน้อย ๆ สิ่งที่ได้ยินเหนือความคาดหมายของเขา ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ มีเรื่องแบบนี้เกิดด้วยหรือไร แต่เมื่อมาคิดดูแล้วคุณชายท่านนี้เปลี่ยนไปราวคนละคนก็นับแต่วันนั้น ก็เพราะเหตุนี้เอง

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แม้จะไม่ได้รู้สึกขบขัน “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

“เจ้าเชื่อข้าหรือเปล่า ข้าพูดความจริง”เด็กหนุ่มถามซ้ำ ไป๋ผูอวี้ดื่มชาจนหมดก่อนวางจอกชาลงบนโต๊ะ มองเขาด้วยสีหน้าใคร่รู้

“ข้ายังจำวันที่พบเจ้าที่นอกหอผูเยว่ได้ดีนัก เจ้าดูสับสนมึนงง มาคิดดูเจ้าไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยที่ข้ารู้จัก ลายมือของเจ้าต่างจากของเขา หรือว่า...นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เจ้าไม่ยอมบรรเลงกู่เจิงให้ข้าฟัง”ชายหนุ่มกระจ่างแจ้งในบัดดล ทุกสิ่งอย่างที่ผิดแปลกของร่างนี้เริ่มเค้าเข้า ไป๋ผูอวี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากทีเดียว แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว คุณชายท่านนี้ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก

“ถูก”จื่อฟางยอมรับ กระแอมเล็กน้อย “ร่างจริงของข้าไม่ได้งดงาม ไม่มีฝีมือบรรเลงกู่เจิงไพเราะ ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่งไม่มีสิ่งใดโดดเด่น เจ้าคง...ชอบข้าอยู่กระมัง”เด็กหนุ่มพบว่าการสบสายตาของชายอีกคนเป็นเรื่องที่ยากนักจึงเบนสายตามองเครื่องใช้ในห้องแทน

“ข้าขอเวลาไตร่ตรองสักครู่”ไป๋ผูอวี้กล่าวจบก็ก้าวออกจากห้องไป ทิ้งให้จื่อฟางว้าวุ่นอยู่เพียงลำพัง ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ เขากัดริมฝีปากก่อนสืบเท้าตามออกไปด้านนอก บรรยากาศเย็นต้องร่าง ไป๋ผูอวี้ยืนกอดอกมองต้นเหมยด้วยท่าทางเหม่อลอย เขามองไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าร่างนั้นมีรอยยิ้มที่มุมปาก ไป๋ผูอวี้หรี่ตามองคุณชายร่างบางทางหางตา ดูท่าเขาจะแกล้งได้ผล

ไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยรึ เขาลองนึกภาพตนเองตีสนิท จุมพิตทำเรื่องบนเตียงกับคุณชายเสิ่นคนเดิม ก็ขมวดคิ้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เขาไม่มีทางทำลงเด็ดขาด ต่อให้หลับตาก็ตาม และคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยที่ตนรู้จักไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่ เรื่องที่เสิ่น--ไม่สิจื่อฟางบอกมาเป็นเรื่องเหลือเชื่ออยู่บ้าง วิญญาณเข้าร่าง?ฟังดูน่าสับสน เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอยู่ใกล้ฮ่องเต้ น่าสงสารนัก แต่เขาว่าจื่อฟางน่าสงสารมากกว่า เข้ามาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยโดยที่ไม่รู้เรื่องใดรอดมาได้นานถึงเพียงนี้ก็ดีแล้ว

“ไป๋ผูอวี้ เจ้า…ยอมรับไม่ได้หรือ”จื่อฟางเอ่ยถามไม่เต็มเสียง

“ข้าอยากฟังเจ้าบรรเลงกู่เจิง”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นช้า ๆ สายลมหนาวพัดมาอีกระลอก พาให้หนาวสั่น เขาจึงหมุนตัวหันมองคุณชายร่างบางที่ใช้แขนผอมบางโอบกอดรอบตัว สีหน้าหวาดหวั่นชวนให้เวทนา ไป๋ผูอวี้แกล้งอีกฝ่ายมากไปหรือไม่

“ข้าบรรเลงไม่ได้ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย”เด็กหนุ่มกำมืออยู่ในแขนเสื้อจนรู้สึกเจ็บ

“ข้าไม่ได้พูดถึงเสิ่นจิ้งเฟย ข้าหมายถึงเจ้า ฟางเอ๋อร์”ไป๋ผูอวี้ก้าวมาประชิดตัว ร่างสูงใหญ่บดบังลมหนาวที่พัดเอื่อยมาเป็นระลอก

ฟางเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ เด็กหนุ่มเม้มปาก รู้สึกงุ่นง่านไปหมด

“ข้าฝีมือไม่ดี”เขาพึมพำ

“ข้าอยากฟัง หูของข้าทนได้”ชายหนุ่มกล่าวหยอกล้อ จนร่างบางขึงตาใส่ ก่อนเบนสายตาหลบหนีมองต้นเหมยในลานบ้านแทน แต่ฝามือหนาของชายหนุ่มจับใบหน้าของเขาให้หันกลับมาสบตา

“จื่อฟาง เจ้าฟังข้า ข้าไม่ได้ชอบเสิ่นจิ้งเฟย ตั้งแต่แรกข้าสงสัยมาตลอดว่าการกระทำที่ของเสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนไป  ผู้ที่ทำให้ข้าสนใจก็คือเจ้า หากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม ข้าไม่มีวันเหลียวมองเขา ข้าชอบตัวตนของเจ้า ต่อให้เป็นคนอัปลักษณ์ ข้าก็ยืนยันเช่นเดิม”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงหนักแน่นจนในอกสั่นไหว อยากเอาหน้ามุดแผ่นดินเพราะสายตาพลุ่งพล่านทของอีกฝ่าย

“ข้า…ข้าก็ชอบเจ้าเช่นกัน”จื่อฟางสารภาพความในใจออกไปตรง ๆ ถือว่าครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ในโลกปัจจุบันเขาไม่เคยเอ่ยปากบอกชอบใคร ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเป็นเพียงเรื่องผิวเผินเท่านั้น

“ถ้าเช่นนั้น”ไป๋ผูอวี้เอียงศีรษะมอง

“เวลาข้าอยู่กับเจ้า ข้าจะเรียกชื่อจริงของเจ้า ดีหรือไม่ ฟางเอ๋อร์”ชายหนุ่มมองเห็นว่าจื่อฟางหูแดงก่ำ จึงเอื้อมไปบีบนวดเบา ๆ เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก สูดหายใจเข้าลึก ๆก่อนโน้มตัวไปจุมพิตที่ริมฝีปากของชายหนุ่มตรงหน้า เพราะความสูงที่ต่างกันจึงต้องเขย่งเท้า ไป๋ผูอวี้ยึดต้นคอของเขาไว้ก่อนจะจูบละลาบละล้วงไม่เกรงใจราวกับอดอยากมานานปี ชายหนุ่มบดเบียดริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนกลีบปากนุ่ม ปลายลิ้นสอดกวาดอย่างห่วงหา ร่างของจื่อฟางถูกสองแขนแข็งแรงรวบกอด ฉุดดึงเบา ๆเพียงนิดแผ่นหลังของเขาก็แนบติดกับผนังห้อง แม้อากาศภายนอกจะเย็นแต่ร่างกายกำยำของไป่ผูอวี้ร้อนผ่าว กักเขาอยู่ในอ้อมแขนจนแทบหลอมละลายไปด้วย

“เจ้าหายไปไม่บอกไม่กล่าว”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายผละริมฝีปากออกมาพรมจูบทั่วใบหน้าเล็ก “คราวหลังอย่าทำเช่นนี้อีก”เขากล่าวเตือน ริมฝีปากเลื่อนมาสัมผัสกันอีกครั้ง ไป๋ผูอวี้เลื่อนมือโอบแผ่นหลังคนในอ้อมแขน  อีกมือหนึ่งเลื่อนต่ำลงมาวางที่บั้นท้าย จื่อฟางขยับตัวอย่างไม่คุ้นชินกับสัมผัสหนักแน่นจากฝามือนั้น ใจเต้นตึกตัก ทำไมไป๋ผูอวี้ถึงห่างไกลจากคำว่าท่อนไม้เข้าไปทุกทีเล่า

“ข้าจะไม่ทำอีก”ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ร่างบางแค่นเสียงในลำคอ สายตาของชายหนุ่มปราดมองลำคอขาวตรงหน้าก่อนประทับจูบที่ซอกคอเบา ๆ ริมฝีปากอุ่นขบเม้ม ปลายลิ้นลากวนอย่างหยอกล้อ ได้ยินเสียงร้องเบา         ๆดังเครืออยู่ในลำคอ จื่อฟางโอบกอดอีกฝ่าย ซบหน้าลงกับบ่าแข็งแรง กอดแนบชิดอยู่เช่นนั้นอยู่นานจนกระทั่งรู้สึกถึงส่วนนั้นของไป๋ผูอวี้ที่ตอบสนองต่อสัมผัสเมื่อครู่ เขาผละมองหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าร้อนผ่าว ๆ

“ขออภัยคุณชาย ข้าอยู่ในสนามรบ ไม่มีเวลาทำเรื่อง…”ไป๋ผูอวี้โคลงศีรษะ แววตาเป็นประกายจ้องมองเด็กหนุ่มในอ้อมแขน

“ไม่เหมือนเจ้า มีเวลาไปหาความสุขที่หอผูเยว่”ชายหนุ่มคลายอ้อมกอด ดันร่างของจื่อฟางกลับเข้าไปในห้องเพราะตากอากาศเย็นอยู่นานแล้ว จื่อฟางก้าวเดินตามแรงดันจากชายหนุ่ม

“เจ้ารู้มาจากผู้ใด”เขาเอ่ยถามหน้าเผือดซีด นึกได้ว่าหอคณิกาแห่งนั้นเหลือเพียงเถ้าถ่าน เถ้ากระดูกของแม่เล้าเถาฮวาก็คงปะปนอยู่เช่นกัน เขานั่งลงอย่างอ่อนแรง รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง   

“จางต้าเขียนจดหมายถึงข้า”ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ บ่าวคนสนิทของเสิ่นจิ้งเฟยช่างน่าขำนัก แต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีที่ฉายชัดเจนของอีกร่างจึงเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องใดขึ้นที่หอผูเยว่ สีหน้าของเจ้าไม่ค่อยดียามที่พูดถึง”จื่อฟางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในฉางอันให้ฟัง รวมทั้งเรื่องหลิวอ๋อง การใส่ร้ายสกุลหลี่ เมื่อเล่าจบไป๋ผูอวี้ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ฝามือหยาบหนาลูบแก้มข้างที่มีปานดำปลอม ๆแต่งแต้มอยู่ เด็กหนุ่มเอียงหน้าหนีฝามือหยาบชวนจั้กจี้นั้น

“ข้าไม่ได้อยู่ช่วยเหลือเจ้า”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ

“เจ้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”บทสนทนาของเขากับเจ้านี่เริ่มแปลกๆเข้าไปทุกที

“หยางชวีดูแลเจ้าได้ดีนัก”น้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้จื่อฟางต้องเลิกคิ้วมอง “เจ้าหึง?”

“เปล่า”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าชอบหยอกล้อเขาอยู่เรื่อย หากเขาคิดจริงจังขึ้นมาเล่า เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่าหยางชวีเป็นพวกเก็บซ่อนความรู้สึกเก่ง ไม่มีทางทำเรื่องผิดต่อจื่อฟาง เขาถอนหายใจอีกรอบ

“เจ้าไม่ต้องไปพบฮ่องเต้หรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ ใช้มือลูบริมฝีปากของตัวเองอย่างเหม่อลอย คล้ายกับว่าสัมผัสของอีกฝ่ายยังคงอยู่ ไป๋ผูอวี้จ้องมองตามนิ้วมือเรียวที่ลูบไปตามกลีบปากอ่อนนุ่มแต่ก็ต้องหักห้ามใจตัวเองเป็นการใหญ่ 

“เอาไว้คราวหลัง ตอนนี้ข้ายังมิใช่ทหารใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาท”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบ ลูบเส้นผมดำขลับยาวสยายของร่างบาง แววตามีประกายสงสัยวาบผ่าน

“จื่อฟาง ตัวจริงของเจ้าไม่ได้ไว้ผมยาวหรือ”เขาจำภาพวาดของจื่อฟางได้ ใบหน้าไม่ได้หล่อเหลาสะดุดตาเช่นคุณชายสูงศักดิ์ ผมสั้นสีดำเข้มยาวระต้นคอ แต่ดวงตาของร่างนั้นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูด

“ใช่ ในโลกที่ข้าจากมา ไม่ได้เป็นเช่นยุคนี้ ขนบธรรมเนียมต่างกัน ชายหญิงแตะต้องกันไม่ผิด หลับนอนก่อนแต่งงานก็ไม่ผิด โลกนี้...ข้าเรียกว่ายุคโบราณ”ทั้งความคิดคนและยุคสมัย จื่อฟางตอบ ไป๋ผูอวี้คล้ายกับนิ่งงันไป

“ทำไมรึ”

“ตัวเจ้า ในโลกที่เจ้าจากมามีคู่ครองหรือยัง”ชายหนุ่มอยากรู้ กวาดตามองร่างตรงหน้าขึ้นลง นึกถึงเรื่องหวาบหวามบนเตียงเมื่อคราวก่อนก็คิดว่าคนผู้นี้ดูเชี่ยวชาญไม่เหมือนคนที่ไม่เคย 

“ข้าไม่มีคู่ครอง แต่เคยผ่านคู่นอนร่วมเตียงมาบ้าง”จื่อฟางตอบตามตรง ร่างกายผ่อนคลาย ไม่ต้องแสร้งแสดงละครต่อหน้าไป๋ผูอวี้อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มได้ยินคำตอบจากอีกร่างก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ   

“หมายความว่าอย่างไร”

“ก็หมายความว่าข้า เอ่อ มีสัมพันธ์ทางกายกับผู้อื่นก่อนมาเจอเจ้า แต่ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก”จื่อฟางไม่ค่อยอยากพูดถึงมาก เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนว่าไป๋ผูอวี้มีเรื่องที่อยากเอ่ยถามมากมาย

“เอาไว้ข้ากลับไปจวนสกุลเสิ่นเมื่อใด ข้าจะวาดภาพเปลือยของตัวเองให้เจ้าดูดีหรือไม่ จะได้เห็นว่าเรือนร่างที่แท้จริงของข้าเป็นอย่างไร”เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกสนุก หัวเราะเบา ๆเมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนกระแอมกระไอ “เจ้าบ้าหรือ”

“รูปร่างของข้า ไม่ได้อ้อนแอ้นเหมือนหญิงอย่างเสิ่นจิ้งเฟย เกรงว่าเจ้าจะผิดหวังเสียมากกว่า”จะว่าไปเขาก็ถือเป็นคนแข็งแรงคนหนึ่งเพราะต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ร่างกายจึงค่อนข้างแตกต่างจากร่างนี้มาก 

“ข้าไม่คาดหวัง”ชายหนุ่มพึมพำ ทำให้คุณชายร่างบางหรี่ตามอง ไป๋ผูอวี้ยิ้มจาง รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้นานแล้ว ราวกับได้กลับบ้านเก่า แต่รอยยิ้มก็จางหายเมื่อนึกถึงเรื่องวุ่นวายที่ต้องเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของเขา ชายหนุ่มไม่ได้ละทิ้งสกุลไป๋เพื่อคนผู้หนึ่ง บุรุษคนหนึ่งจะปกป้องสิ่งมีค่าพร้อม ๆกันไม่ได้เชียวหรือ เขาจะปกป้องจื่อฟางและสกุลไป๋

“ท่านพ่อของเจ้าว่าอย่างไร”จื่อฟางเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายก็ถามขึ้น

“เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าทำ บิดาโกรธข้ามากทีเดียว”ไป๋ผูอวี้ไม่อยากนึกถึงว่าท่านพ่อจะมีท่าทีอย่างไรหากทราบเรื่องของเขาและจื่อฟาง
   
‘ไป๋ผูอวี้ ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก ข้าเคยบอกกล่าวกับเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าได้ข้องเกี่ยวกับราชสำนัก เหตุใดถึงไม่ฟังคำสอยของข้า’ไป๋อู่เหยียนมองมาที่บุตรชายด้วยแววตาไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาบุตรชายเช่นเขาไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียแก่วงส์สกุล ยึดมั่นเดินตามขนบธรรมเนียมเสมอมา

‘ยามที่ท่านพ่อช่วยเหลือเสิ่นฉินอี้และใต้เท้าเฉินที่หลานโจวคราวนั้น ท่านมีเหตุผลใดลึกซึ้งหรือไม่เล่า’ไป๋ผูอวี้ย้อนถามกลับ

‘เรื่องของข้ากับเจ้าเทียบกันได้หรือ สถานการณ์ต่างกันมากนัก เจ้าละเมิดกฏจนท่านอาจารย์หนีไปยังไม่พออีกหรือไร ยังทำเช่นนี้ข้าถามเจ้าในฐานะบิดา หากเจ้าสร้างเรื่องจนตัวตาย คิดบ้างหรือไม่ว่าสกุลไป๋จะเหลือสิ่งใด กว่าจะตั้งหลักได้ก็ผ่านมาหลายสิบรุ่น เจ้ากลับทำลายทิ้งเพราะความต้องการของตนเอง’

‘ข้าทำในสิ่งที่ต้องการ’

‘เจ้าต้องการสิ่งใดกันเล่า ข้าสงสัยนัก ถามตัวเจ้าให้ดี’ไป๋อู่เหยียนทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น 

ท่านพ่อมิน่าถาม สิ่งที่ข้าต้องการคือเส้นทางที่ต่างจากท่านและสิ่งที่สกุลไป๋ขีดเส้นไว้
ไป๋ผูอวี้เสียใจที่ทำผิดต่อสกุลไป๋ แต่เส้นทางที่เขาเลือกเดินไม่อาจย้อนกลับ ก่อนจะได้เจอกับจื่อฟาง เขาก็เดินเข้ามาลึกมากแล้ว เรื่องของคณะบัณฑิต ที่ปรึกษาเกา ผู้อาวุโสอวิ๋นและฮ่องเต้เจี่ยผิง ไม่ใช่เรื่องผิวเผิน เขาไตร่ตรองดีแล้ว


“ข้าไม่ได้คิดหันหลังให้สกุลไป๋ ไม่ช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องเกิดเรื่อง”ไป๋ผูอวี้ปวดขมับจี๊ด ๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องกลับไปเผชิญที่คฤหาสก์สกุลไป๋ เหตุนี้เขาถึงได้พาคุณชายรูปงามมาพูดคุยอย่างเปิดอกที่บ้านหลังนี้ก่อน ได้เจอคนผู้นี้ถือว่าเป็นการเติมพลังอย่างหนึ่ง 

“หวังว่าเรื่องจะไม่ร้ายแรงไปกว่านี้”จื่อฟางพึมพำเบา ๆ 
 
 
------------------------------------
ไป๋ผูอวี้กลับมาแล้วว เจอกันตอนหน้าค่ะ

 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2019 05:51:07 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไป๋ผูอวี้ ข้าหวังว่าจะได้เล่นสนุกกับเจ้าบ่อย ๆ 
นั่น...ก็คือความต้องการของคนอ่าน ......เช่นกัน   :z3: :z3: :z3:

ไป๋ เปิดเผยความต้องการจื่อฟางต่อฮ่องเต้  :katai2-1:
จื่อฟาง ก็บอกความจริง ตัวตนของตัวเองให้ไป๋รู้  :mew1:
เต้.........นายจะเอาหมดคนเดียวได้ยังไง แฟร์ๆ นะเต้  o18
ชอบบบบบ  ที่ไป๋ พาจื่อฟางสภาพหญิง ขึ้นม้าตัวเดียวกัน   :impress2:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อ่านวนตอนพาขึ้นม้าหลายรอบ ฮือออ ละมุน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แนบชิดสนิทแน่นกันแล้ววววว  :hao6:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด