ตอนที่ ๑๔
๕๐%
เสียงไก่ขันเซ็งแซ่รับแสงของรุ่งอรุณ ลมเย็นพัดโชยเอากลิ่นดอกสายหยุดให้ชื่นใจ หนูแสนจัดสำรับตักข้าวใส่ขันทองเหลืองเตรียมออกไปตักบาตรที่ท่าน้ำ อีกไม่นานพระจะพายเรือมาบิณฑบาต กับข้าวสามอย่างมีปลาทอดหั่นเป็นท่อนๆใส่ในปิ่นโตได้พอดี ต้มจืดและไก่ผัดขิงเมื่อจัดเตรียมครบทุกอย่างก็เดินไปเก็บช่อมะลิซ้อนมัดรวมเป็นกำเพื่อถวายพระ ยายแช่มมองเจ้านายที่เติบใหญ่แต่กิจวัตรประจำวันยังคงเป็นคุณหนูตัวน้อยที่เอาแต่วิ่งตามและทำตามอย่างคุณแม่ต้อยๆไม่มีผิดเพี้ยน
หนูแสนถือถาดสำหรับใส่อาหารตักบาตรมานั่งรอพระที่ศาลาริมน้ำ เสียงจั๊กจั่นที่ร้องเซ็งแซ่หยุดเสียงลงราวกับนัดกันพร้อมๆกับร่างผึ่งผายของเจ้าของเรือนแพใกล้บ้านปรากฏกายขึ้น หนูแสนส่งยิ้มให้กับคุณเล็ก
“พระมาหรือยังคะ?”คุณเล็กก้าวเข้ามานั่งเคียงคู่ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวเช็ง หนูแสนส่ายหน้าตอบ
“ยังค่ะ อีกซักประเดี๋ยวก็คงจะมา”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเล็กขอตักบาตรด้วยคนได้ไหมคะ”ลิขิตเอ่ยขออนุญาต หนูแสนแสร้งถอนหายใจใส่คนแก่กว่า
“ใครจะไปห้ามคนจะทำบุญได้ล่ะคะ บาปกรรม”
“จริงๆถ้าคุณเล็กจะตักบาตรก็ไปตักพร้อมกับคุณแม่ก็ได้ แต่คุณเล็กเลือกจะมาตักบาตรพร้อมหนูแสน รู้มั้ยคะว่าทำไม?”ลิขิตเอ่ยถามคล้ายจะโยนหินถามทาง
ก็คงขี้เกียจเดินไปที่เรือนใหญ่มั้งคะ เทียบกันแล้วตรงนี้ใกล้กว่า”หนูแสนตอบตามซื่อ คุณเล็กส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ใช่เสียที่ไหนเล่าคะ คุณเล็กมาตักบาตรพร้อมหนูแสนเผื่อผลบุญจะพาให้เราไปเกิดคู่กันในชาติหน้าต่างหากล่ะค่ะ ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เหลือแค่เด็ดดอกไม้ร่วมต้นก็จะได้ครองคู่กันตลอดไป”เมื่อได้ฟังคำเฉลยหนูแสนก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ตายจริง นี่คำพูดคำจาของคนที่ไปเล่าเรียนถึงเมืองฝรั่งจริงหรือคะเนี่ย ยังจะเชื่อเรื่องโบราณคร่ำครึอยู่อีก”
“หนูแสนจะด่าว่าคุณเล็กแก่ก็พูดออกมาตรงๆเถอะค่ะ คุณเล็กรับได้”
“แก่ค่ะ คุณเล็กมีความคิดแก่มาก”หนูแสนแกล้งย้ำคำว่าแก่หนักๆให้กับคุณเล็ก ทั้งคู่จ้องหน้ากันต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปครู่แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ นั่งคุยกันอีกไม่นานพระก็พายเรือมาเทียบท่า หนูแสนเป็นฝ่ายตักข้าวใส่บาตรส่วนคุณเล็กคอยช่วยหยิบจับอยู่ข้างๆเมื่อถวายปิ่นโตให้พระเด็กวัดก็เอาปิ่นโตเถาเมื่อวานยื่นคืนหนูแสนวางช่อมะลิซ้อนลงบนฝาบาตรแล้วทั้งคู่ก็พนมมือไหว้พระ เมื่อพระพายเรือจากไปแล้วคุณเล็กก็ฉวยโอกาสตอนที่หนูแสนง่วนอยู่กับการเก็บของใส่ถาดกระซิบใกล้ๆ
“คิดถึงนะคะ มาเพราะคิดถึง อยากเห็นหน้าเป็นคนแรกในตอนเช้าทุกวันเลย”ทันทีที่ได้ยินคำหวานหนูสองแก้มก็แดงปลั่ง หนูแสนอมยิ้มจนแก้มตุ่ย น่าเอ็นดูจนคุณเล็กอยากจะจับมาฟัดแก้มให้ช้ำ หากแต่สิ่งที่ทำได้คือต้องห้ามใจ หนูแสนควบคุมจิตใจตัวเองจนสงบแล้วจึงช้อนตาขึ้นสบกับคุณเล็ก ริมฝีปากสวยกล่าวคำเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้คุณเล็กเป็นฝ่ายใจเต้นแรงไม่แพ้กัน
“คิดถึงเหมือนกันค่ะ อยากเห็นหน้าคุณเล็กเป็นคนแรกในตอนเช้าทุกวัน อยากเห็นหน้าคุณเล็กเป็นคนสุดท้ายทุกคืน...”
เช้าวันนี้หลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อยแล้วคุณพะยอมก็รับหน้าที่ดูแลหนูหยกเพราะหนูแสนต้องไปนับน้ำอบห้าร้อยขวดที่ลูกค้าสั่งไว้ตั้งแต่เดือนก่อน เพราะอากาศช่วงเช้ากำลังดีไม่ร้อนจนเกินไปเฟื้องจึงพาคุณสนออกมานั่งเล่นตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน
“คุณสนนั่งรอบ่าวอยู่ตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวอีเฟื้องจะเข้าไปเอาน้ำกับขนมมาให้คุณทานเล่นนะเจ้าคะ”เฟื้องบอกกับนายสาวผู้ยังมีแววตาเลื่อนลอย คุณสนนั่งนิ่งไม่ไหวติงหากแต่นกขมิ้นสีเหลืองตัวน้อยกลับบินมาเกาะกิ่งไว้อยู่แถวริมน้ำ คุณสนลุกขึ้นเดินไปหานกตัวน้อยหวังจะไปชมเชยใกล้ๆ แต่พอเข้าไปใกล้นกก็บินไปเกาะกิ่งประดู่ที่ทอดยอดลงไปริมตลิ่ง คุณสนไม่สนใจเสียงเครื่องยนต์ของเรือที่แล่นเข้ามาเทียบท่าจิตใจของหญิงสาวมุ่งแต่จะมองหาเจ้านกตัวน้อย ลืมมองพื้นที่เหยียบว่ามันลื่นและเทลงไปในน้ำ กว่าจะรู้ตัวก็ก้าวพลาดเสียหลักจนร้องวี้ดออกมาอย่างตกใจ ร่างบางกำลังจะไถลลงไปในน้ำหากแต่ใครบางคนที่เห็นท่าทางไม่ปกติของหญิงสาวรีบขึ้นจากเรือยนต์แล้ววิ่งเข้ามาคว้าแขนและเอวของคุณสนไว้ได้ทัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”คุณสนมีสีหน้าตื่นตกใจยืนตัวแข็งทื่อมองผู้ชายแปลกหน้าที่ประคองตนเองอยู่ด้วยสายตาแปลกใจ
“ใคร?”คุณสนเอ่ยถามด้วยสายตางุนงง พลางเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของคนแปลกหน้า
“สวัสดีครับ กระผมชื่อกล้า เป็นพ่อค้ามาจากปากน้ำโพ วันนี้กระผมจะมารับน้ำอบที่สั่งไว้ ไม่ทราบว่าคุณเป็นเจ้าของบ้านใช่หรือไม่”กล้าตอบคำถามของคุณสนด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มดูใจดี คุณสนไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม มีเพียงนังเฟื้องที่เห็นเจ้านายสาวยืนคุยกับคนแปลกหน้า มันรีบวิ่งมาคว้าแขนคุณสนให้ไปหลบอยู่ด้านหลัง มันมองสำรวจท่าทางและเครื่องแต่งกายของกล้า เมื่อประเมินดูแล้วท่วงท่าดูดีมีฐานะอีกทั้งเครื่องแต่งกายก็สะอาดสะอ้านเรียบร้อยด็เอ่ยถาม
“คุณเป็นใครเจ้าคะ มีธุระอะไร?”แต่ยังไม่ทันที่กล้าจะเอ่ยตอบเสียงคุณสนก็พูดแทรกขึ้นมาเบาๆ
“ชื่อกล้ามาซื้อน้ำอบ”นังเฟื้องหันไปมองคุณสนพลางส่งยิ้มให้เจ้านาย
“คุณสนถามแล้วหรือเจ้าคะ เก่งจังเลยเจ้าค่ะ”มันเอ่ยชมราวกับว่าคุณสนเป็นเด็กเล็กที่ทำความดีแล้วจะได้รางวัล
“บ่าวเอาน้ำกับขนมมาให้คุณสนแล้วนะเจ้าคะ คุณสนไปนั่งทางนั้นดีกว่าเดี๋ยวตกน้ำตกท่าไปมันอันตราย”มันพาคุณสนกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม
“ส่วนคุณ เดินตามทางไปด้านหลังนะเจ้าคะ จะมีคุณพะยอมกับคุณแสนเตรียมของรออยู่”เฟื้องชี้มือไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐมอญไปทางข้างตัวตึก กล้าพยักหน้ารับก่อนจะหันไปพูดกับคุณสน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณสน ไว้มีโอกาสคงได้เจอกันใหม่”กล้าค้อมศีรษะให้กับคุณสนน้อยๆแล้วเดินไปตามทางที่เฟื้องบอก คุรสนมองตามชายหนุ่มผมคร้ามแดด หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาติดจะธรรมดาแต่กริยาวาจาสุภาพ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานุ่มทุ้มน่าฟัง สายตาของคนๆนั้นบ่งบอกว่าเป็นคนใจดี หากแต่ความรู้สึกนั้นคล้ายผิวน้ำที่นิ่งสงบแล้วมีหินก้อนเล็กถูกเขวี้ยงลงมาจนผิวน้ำเกิดระลอกคลื่นเป็นวงเล็กน้อยแล้วค่อยกลับมาสงบตามเดิม ในที่สุดคุณสนก็ลืมเลือนไปไม่ได้ให้ความสนใจอะไรอีก
“ร้อน ร้อนจะตายอยู่แล้วโว้ย ไอ้อีคนไหนอยู่แถวนี้เข้ามาเช็ดตัวให้กูหน่อย”เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากห้องของคุณใหญ่ทำเอาคุณหญิงผกาที่กำลังนั่งปักผ้าสะดุ้งจนเข็มตำมือ คนเป็นแม่ส่ายหน้าอย่างระอาใจที่ลูกชายคนโตทำฤทธิ์ได้ทุกวัน เสียงกระเบื้องตกกระทบพื้นแล้วแตกดังลั่น
“เขวี้ยงแก้วชาอีกแล้วกระมัง แม่แอนนา หล่อนมัวพิรี้พิไรทำอะไรอยู่ผัวร้องเรียกทำไมยังไม่มา”คุณหญิงผกาส่งเสียงเรียกลูกสะใภ้แหม่ม หากแต่ไร้เงาของแอนนา
แม่คนนี้นับวันยิ่งเหลวไหล ตอนแรกก็ดูแลดีอยู่หรอก พอนานวันเข้าก็เริ่มไปทางนู้นทีทางนี้ที นี่ไปไหนอีกแล้ว”คุณหญิงผกาบ่นแต่ก็ต้องเงียบเสียงแล้วเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของคุณใหญ่ ทันทีที่ก้าวขาเข้าไปก็อดทำหน้าผะอืดผะอมไม่ได้เมื่อมีกลิ่นเหม็นโชยมาจากตัวของคุณใหญ่
“ตายจริงพ่อใหญ่ ถ่ายหนักหรือลูก”
“ไอ้อีขี้ข้ามันไปไหนหมดคุณแม่ มันปล่อยให้ลูกนอนแช่ขี้แช่เยี่ยวอยู่อย่างนี้ได้ยังไง”คุณใหญ่ตะโกนโวยวายใส่ผู้เป็นแม่ คุณหญิงผกาออกไปร้องเรียกบ่าวที่อยู่ด้านนอกซึ่งทุกคนแทบจะหลบไปให้พ้น ไม่มีใครอยากจะมาดูแลคนป่วยติดเตียงแถมถ่ายหนักถ่ายเบาเรี่ยราดแบบนี้ ตั้งแต่คุณใหญ่กลับมารักษาตัวตอนนี้ก็เกือบครึ่งปีมีบ่าวขอลาออกไปหลายคนแล้ว ที่มาใหม่ก็ทนงานสกปรกแบบนี้ได้ไม่นานจนตอนนี้เหลือเพียงคนเก่าๆที่แก่ชรากันเสียส่วนมาก ที่เป็นกำลังหลักจริงๆก็คือแอนนาที่อยู่ดูแลคุณใหญ่แม้ว่าจะทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่บ่อยๆก็ตามที
“มาช่วยกันล้างตัวคุณใหญ่หน่อยเถอะ ข้าคนเดียวเปลี่ยนผ้าไม่ไหวหรอก”บ่าวที่เข้ามาสองคนกลั้นหายใจก่อนจะช่วยกันยกตัวยกขาดึงผ้าเปรอะเปื้อนออก คุณหญิงผกาเป็นคนเช็ดตัวให้ลูกชาย ใช้เวลานานร่วมชั่วโมงกว่าจะแล้วเสร็จเล่นเอาพยาบาลจำเป็นทั้งสามเหงื่อซึมเหนื่อยหอบไปตามๆกัน
“พวกเอ็งออกไปได้แล้ว”คุณหญิงผกาเอ่ยปากไล่บ่าวอีกสองคนให้ออกไป เมื่อประตูห้องถูกหับเรียบร้อยแล้วนางก็เดินมานั่งข้างเตียงของลูกชาย
“พ่อใหญ่ เป็นอย่างไรบ้างลูก สบายตัวขึ้นมั้ย อยากได้อะไรอีกหรือเปล่าเดี๋ยวแม่จะให้บ่าวเอามาให้”
ลูกอยากได้ขา อยากเดินอยากกลับไปเป็นปกติ คุณแม่หามาให้กระผมได้หรือไม่เล่าขอรับ?”คุณใหญ่ที่อารมณ์ไม่ดีเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงห้วน คุณหญิงผกาหน้าเสียเมื่อได้ฟังความต้องการของลูก
“โธ่...พ่อใหญ่ ขออะไรที่แม่หาให้ได้สิลูก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ก็ไม่ต้องมาถามเซ้าซี้ให้กระผมรำคาญใจ ทำไมลูกต้องมานอนเป็นผักเป็นปลาแบบนี้ด้วย ตายก็ไม่ตาย”ปากเอ่ยตัดพ้อโชคชะตามือก็ทุบลงบนขาที่ไร้ความรู้สึกของตัวเองจนเกิดเสียงดัง คุณหญิงผการีบผวาไปคว้าแขนของลูกไว้ไม่ให้ทำร้ายตัวเอง น้ำตาไหลด้วยความสงสารเวทนาผู้เป็นบุตรชาย
“พ่อใหญ่ อย่าทำแบบนี้สิลูก ไม่เอาอย่าทำร้ายตัวเอง หากแลกแขนขนแลกชีวิตกันได้แม่ก็จะยกชีวิตของแม่ให้กับลูก แต่นี่แม่ก็จนใจ แม่ช่วยอะไรลูกไม่ได้จริงๆ แบ่งเบาความเจ็บปวดของลูกก็ไม่ได้ แม่ขอโทษนะลูกนะ”คุณหญิงผกากอดลูกชายไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ อนลนอนปล่อยน้ำตาให้ไหลลงข้างแก้มนิ่งเลิกโวยวายแต่ก็ไม่ยอมรับชะตาชีวิตที่ตนเองกำลังเผชิญ
กระท่อมท้ายสวนที่มีไว้ให้กับบ่าวผู้ชายพักปรากฏร่างของเด็กชายอเล็กซ์และหนูยิ่งกำลังแอบมองอะไรบางอย่างภายใน เด็กทั้งสองป้องปากหัวเราะคิกคักก่อนจะพากันวิ่งแอบพากันกลับเรือน ทิ้งกระท่อมไว้เบื้องหลังแต่ภาพที่เห็นถูกจดจำไว้ในสมองของเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้
“หนูยิ่งลูก ยกมะปรางริ้วเข้าไปให้คุณพ่อไป”คุณหญิงผกาเลื่อนจานมะปรางริ้วให้กับหนูยิ่งยกไปให้ผู้เป็นพ่อ หนูยิ่งวัย 6 ขวบทำตามคำสั่งผู้เป็นย่าอย่างว่าง่าย แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปเสียงเอะอะโวยวายก็ดังออกมาให้ได้ยินเหมือนเช่นทุกวัน
“อนล เธอทำร้ายฉันอีกแล้วนะ”แอนนาตะเบ็งเสียงใส่อนลที่ทึ้งผมของหล่อนด้วยความโมโหที่แอนนาตัดเล็บให้แต่พลาดทำเอาเข้าเนื้อ
“แกมันโง่ ตัดเล็บง่ายๆยังทำไม่ได้ นั่นมือหรือตีน แกทำฉันเจ็บเห็นมั้ย”
“ถ้าเก่งนักทำไมเธอไม่ทำเองล่ะ พิการง่อยเปลี้ยแล้วไม่สำเหนียกตัว เอะอะเอาแต่ใจ ฉันจะทนเธอไม่ไหวแล้วนะ”
“ทนไม่ไหวแล้วเธอจะมีปัญญาทำอะไรได้ ผู้หญิงหิวเงินที่ปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจับผู้ชายอย่างเธอ ถ้าไม่มีเงินจะมีปัญญาไปไหนได้ไกล สมใจเธอหรือยังล่ะ ที่ชีวิตฉันพังแบบนี้ก็เพราะเธอ ถ้าเธออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวรอรับเงินรายเดือนอยู่ฝรั่งเศสฉันก็ไม่ต้องมานอนแบบนี้”
“นี่เธอโทษฉันหรืออนล เธอควรโทษตัวเองมากกว่ามั้ย ถ้าเธอไม่ตอแหลปลิ้นปล้อน ไม่มักมากในกามเธอก็ไม่ต้องมานอนเป็นผักเน่าๆแบบนี้หรอก ถ้าฉันรู้ว่าการมาหาเธอแล้วฉันต้องมาลำบากต้องมาตกนรกแบบนี้ จ้างให้ฉันก็ไม่มา ทุเรศ เกิดเป็นชายเสียเปล่าแต่ให้ความสุขใครก็ไม่ได้แล้วซ้ำยังมาเป็นภาระให้คนอื่นดูแล เธอมันกระจอก อนล รู้ไว้ด้วย ฉันจะบอกเธอให้นะ ตอนนี้ฉันน่ะเจอคนที่ให้ความสุขฉันได้มากกว่าเธอ หนุ่มกว่าเธอแข็งแรงกว่าเธอ ลีลาก็ดีกว่าเธอ พอกันที ฉันจะไม่ทนกับคนทุเรศไร้ประโยชน์อย่างเธออีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้ก็ช่วยเหลือตัวเองก็แล้วกัน ฉันไม่ทนแล้ว”แอนนาปาผ้าเช็ดมือใส่หน้าอนลแล้วผลุนผลันออกจากห้องไป อนลร้องเรียกเท่าไหร่เธอก็ไม่หันกลับมา ไม่นานหญิงสาวก็หิ้วตะกร้าใส่ข้าวของส่วนตัวก่อนจะมายืนต่อหน้าคุณหญิงผกาที่ทำหน้าตาเหรอหราด้วยไม่รู้ว่าทั้งคู่ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร มีเพียงอเล็กซ์ที่ฟังออกหมดทุกคำรีบวิ่งเข้ามากอดผู้เป็นมารดาไว้ แอนนาเอ่ยกับคุณหญิงเป็นภาษาไทยแปร่งหู
“ฉันขอลา”
“ลา? ลาอะไร หล่อนจะไปไหน?”คุณหญิงผกาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ มองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่แอนนกยกออกมาพลันก็รู้สึกใจหาย
“ทะเลาะอะไรกันเล่า? ร้ายแรงถึงขั้นต้องหอบผ้าหอบผ่อนหนีกันเชียวหรือ?”
“ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว อนลร้ายกาจเจ้าอารมณ์มาก”
“หล่อนไปแบบนี้พ่อเล็กเล่า อดทนอีกหน่อยเถอะนะ ถือว่าเห็นแก่ลูก”
“ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงสยามเลยซักนิด ทำไมเราต้องอดทนถ้าชีวิตคู่มันไปด้วยกันไม่ได้ การแยกทางกันอาจจะเป็นผลดีกับเด็กมากกว่า ฉันไม่อยากให้ลูกต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่พ่อแม่ตะโกนใส่กันทุกวันหรอกค่ะ”
“แล้วหล่อนจะไปอยู่ที่ไหน กลับเมืองฝาหรั่งรึ? แล้วพ่อเล็กเล่าจะเอาไปด้วยหรือไร?”คุณหญิงผกาถามอย่างใจหาย เวลาหลายเดือนหล่อนก็รู้สึกรักและเอ็นดูเจ้าหลานลูกครึ่งพอๆกับที่รักหนูยิ่ง ในใจคุณหญิงผกานั้นกลัวว่าแอนนาจะเอาลูกไปด้วย แอนนาก้มลงมองลูกชายที่กอดหล่อนไว้แน่น หล่อนพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสบอกกับลูกชายให้รู้เพียงสองคน
“ลูกแม่ ลูกต้องอยู่ที่นี่ ลูกเป็นหลานชายคนโตของคุณปู่ ที่แม่ไม่เอาลูกไปก็เพราะแม่รักลูกมาก แม่อยากให้ลูกมีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ จำไว้นะลูกรัก เมื่อลูกเติบใหญ่ อย่าทำตัวเหมือนพ่อ อย่าหลอกให้ใครรักจงเป็นชายที่รักเดียวใจเดียว แม่จะหมั่นมาเยี่ยมหาลูกบ่อยๆ”หล่อนนั่งลงแล้วกดจูบลงบนหน้าผากของลูกชาย หันไปยกมือไหว้ลาคุณหญิงผกาแล้วหมุนตัวเตรียมลงจากเรือน อเล็กซ์รีบวิ่งไปสวมกอดผู้เป็นแม่
“แม่อย่าไป พลีส”แอนดาสะอื้นไห้กับคำร้องขอนั้นของลูก ที่ตีนบันไดปรากฏร่างของไอ้อิน บ่าวที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่สวนได้ไม่นานยืนรออยู่หล่อนตัดในดึงลูกออกและผลักให้ห่างตัวก่อนจะวิ่งลงบันได้แล้วคว้าข้อมือของอินพากันวิ่งหนีออกมาจากเรือนใหญ่ คุณหญิงผการีบวิ่งมากอดรั้งร่างของอเล็กซ์ที่ร้องตามถลาจะวิ่งตามแม่ไปไว้กับอก มองภาพสะใภ้แหม่มวิ่งหนีไปพร้อมบ่าวคนใหม่แล้วอยากจะเป็นลม
ไม่นานข่าวสะใภ้แหม่มของเจ้าคุณสรอรรถหนีตามผู้ชายก็กระจายไปทั่ว ผลกระทบจากคำนินทาอื้ออึงนั้นย่อมถึงเจ้าคุณสรอรรถและคุณเล็ก หลายคนที่ทำงานด้วยกันต่างพากันมาถาม บ้างก็ซุบซิบนินทาให้เห็นซึ่งๆหน้าก็มี หากแต่สองพ่อลูกทำวางเฉยเสียไม่ได้พูดจาต่อความยาวสาวความยืดกับใครในที่สุดคนเหล่านั้นก็เลิกสนใจหันไปสนใจเรื่องของคนอื่นที่มีกระแสมาให้ซุบซิบแทน
อนลนอนเหม่อมองหนูยิ่งที่นั่งเล่นอยู่บนพื้นเพียงลำพัง อเล็กซ์ออกไปข้างนอกเพื่อไปเอาของเล่นที่ห้องเมื่อครู่ ชายหนุ่มมองลูกชายวัยหกขวบที่เขาไม่ค่อยได้สนใจลูกซักเท่าไหร่
“ยิ่ง...”คุณใหญ่เอ่ยเรียกลูกชาย หนูยิ่งเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นพ่อกวักมือเรียกก็เดินเข้าไปหาอย่างเชื่อฟัง
“ที่ผ่านมาพ่อไม่เคยได้ดูแลลูกให้สมกับการเป็นพ่อที่ดี พ่อขอโทษนะ ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้พ่อยิ่งจำไว้ว่าพ่อรักลูกนะ”
“หนูยิ่งก็รักคุณพ่อครับ”เด็กน้อยตอบผู้เป็นพ่อตามประสาซื่อ คุณใหญ่ส่งยิ้มให้ลูก มือหนาวางลงบนกลุ่มผมของลูก ลูบเบาๆอย่างหมายจะซึมซับความรู้สึกนี้ให้นานที่สุด
“ช่วยอะไรพ่อซักอย่างได้มั้ย?”
“คุณพ่อจะให้หนูยิ่งทำอะไรครับ?”
“หยิบของในลิ้นชักข้างล่างให้พ่อที”หนูยิ่งมองตามนิ้วของคุณใหญ่ที่ชี้ไปที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานชั้นล่างสุด หนูยิ่งเดินไปเปิดลิ้นชักตามที่พ่อบอก มือน้อยหยิบห่อผ้าที่ห่อวัตถุบางอย่างที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก
“นั่นแหละ เอามาให้พ่อ”คุณใหญ่สั่งลูกชายที่ทำท่าจะเปิดห่อผ้าออกดู หนูยิ่งละความสนใจกับห่อผ้าเดินเอามามอบใส่มือผู้เป็นพ่อ
“พ่อคอแห้ง อยากกินชาร้อน ยิ่งไปบอกบ่าวในครัวให้พ่อทีได้มั้ยว่าพ่อขอชาร้อนซักกา”
“ได้ครับ เดี๋ยวหนูยิ่งไปบอกในครัวให้นะครับ”หนูยิ่งฉวยเอากาที่วางบนโต๊ะซึ่งบัดนี้เหลือเพียงกากชาวิ่งปร๋อออกไปจากห้อง เด็กน้อยรู้สึกลิงโลดใจที่วันนี้ผู้เป็นพ่อพูดกับตัวเองมากกว่าทุกวัน แต่พอลงมาจนถึงบันไดขั้นล่างสุดเด็กน้อยก็สะดุ้งสุดตัว กาน้ำชาในมือหล่นแตกเมื่อมีเสียงเปรี้ยงดังราวฟ้าผ่าดังอกมาจากห้องนอนของคุณใหญ่ คุณหญิงผกาที่นอนพักอยู่ในห้องรีบเปิดประตูออกมาหาต้นตอของเสียงด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“เสียงอะไร เสียงปืน ใครยิงปืน!!”
“เสียงมาจากห้องคุณใหญ่เจ้าค่ะคุณหญิง”นางผินตอบผู้เป็นนายสีหน้าแตกตื่นไม่แพ้กัน คุณหญิงผกาพอได้ยืนคำบอกว่ามาจากห้องคุณใหญ่ก็รีบวิ่งไปทันที วินาทีที่เปิดบานประตูไม้ ภาพที่คุณหญิงเห็นคือคุณใหญ่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง หมอนสีขาวรวมทั้งผ้าปูที่นอนเปรอะเปื้อนด้วยโลหิตและมันสมอง ที่ขมับปรากฏแผลจากคมกระสุนทะลุมาที่กกหูอีกด้าน วินาทีนั้นคุณหญิงผการ้องเรียกลูกชายเสียงหลงแล้วเป็นลมล้มพับหัวฟาดกับธรณีประตูแน่นิ่งไปทันทีโดยที่นางผินก็รับร่างผู้เป็นนายไม่ทัน
............
บันทัดมันชิดกันไปมั้ยคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เราอ่านทุกอันค่ะ