“เรื่องที่พูดมาน่ะ” ธราเค้นเสียง เขาพบว่ายากเย็นเหลือเกินที่จะใช้น้ำเสียงตามปกติได้ เขามองไอ้แพร์ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด มองน้องบีที่ก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน “ไม่ได้โกหกใช่มั้ย ไม่ได้วางแผนกันทำเซอร์ไพรส์อะไรใช่หรือเปล่า คือเจ้ามันก็ชอบเล่นใหญ่ไง อาจจะขอให้พวกมึงมาช่วยหลอกกู ก็มันน่ะเป็นคนอย่างนั้น” พูดเองก็หัวเราะเองแต่อีกสองคนกลับไม่ได้ขำไปกับเขาด้วย ทั้งสองคนยังคงมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ยืนยันว่าคำบอกเล่าที่พูดให้เขาฟังทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง ทั้งเรื่องที่เจ้า จักรพรรดิ เดือนแพทย์มอเจเสียชีวิตและเรื่องที่โลกนี้มีบางอย่างผิดเพี้ยนไป
ธรารู้ดีทีเดียว ไม่ใช่ไม่รู้เพราะเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่เขาก็แค่ยังไม่อยากที่จะยอมรับและก็แค่อยากจะใช้วันคืนที่มีความสุขกับคนรัก ให้เรื่องราวที่มีความสุขนี้ดำเนินไปทุกวันอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด “นี่...ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วกูควรทำยังไงเหรอ”
“ไม่มีใครรู้” ไอ้แพร์ตอบพลางพรูลมหายใจ “กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราจะเป็นยังไงต่อ ห้วงเวลานี้มีเจ้าของและเจ้าของก็คือไอ้เจ้า พวกเราจะหายไปเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ผิดที่ผิดทางต้องกลับไปอยู่ในที่ที่ถูกที่ควร”
“ทั้งหมดเลยเหรอ” ธราย้อนถามเสียงเรียบ “ตลกมั้ยวะมึง”
“เราคิดกันอย่างนั้นนะคะพี่ดิน เพราะตอนนี้เอ๋ก็ติดต่อไม่ได้แล้วค่ะ” ดาวเภสัชฯ คนสวยพูดเสริมขึ้น ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเมื่อพูดถึงคนอีกคนที่ร่วมตามหาคำตอบมาด้วยกัน “แชตของเอ๋กลายเป็นห้องว่าง กลุ่มที่สร้างขึ้นก็เหมือนกัน เมื่อคืนบีก็เลยจะทักบอกพี่หมอแพร์ แต่กลายเป็นทักผิด” หล่อนหยุดพูดไปเพียงครู่พลางมองสบตากับธรา “ไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ ค่ะที่จะให้พี่รู้เรื่องนี้ แชตของพี่หมอแพร์อยู่ถัดจากแชตของพี่ พอดี...บีพินแชตพี่ไว้บนสุด ขอโทษนะคะ”
“พี่ไม่ได้ว่าอะไร ไม่เห็นต้องอธิบายขนาดนี้ก็ได้” ธราพูดเสียงกลั้วหัวเราะ แม้จะรู้ดีว่าสาวเจ้าคิดอย่างไรกับเขา ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ในครั้งนี้ก็ไม่ได้คิดว่าหล่อนโกหกหรือสร้างเรื่องมาหลอกลวง ทว่าเขาก็เลือกที่จะปฏิเสธเรื่องราวด้วยการหลอกตัวเองว่ามันเป็นแค่เรื่องตลกร้าย
“ขอบคุณนะคะที่ไม่ถือสา เมื่อคืนบีกังวลไปหมดเลย นอนก็ไม่หลับมาหลายคืนแล้ว” ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำ มือบางจับกันแน่น “ยอมรับว่าตอนนี้กลัวมากค่ะ เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เอ๋ก็จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ คำว่าหายไปน่ะคือพวกเราต้องตายมั้ยก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้เลย"
“แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่น้องเอ๋นะไอ้ดินเพราะไอ้จอมกับไอ้คินก็ติดต่อไม่ได้แล้ว” ไอ้แพร์บอกเสียงเครียด คิ้วเข้มของมันขมวดมุ่น นึกอยากจะชกหน้าไอ้คนที่เอาแต่ยิ้มอยู่ตรงหน้านัก ไม่รู้ว่ามันจะหลอกตัวเองไปถึงไหน “แล้วกูก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงทีพวกเราบ้าง ตอนที่รู้ว่าบีทักผิดก็เครียดเหมือนกันเพราะกูก็ลังเลว่าจะพูดกับมึงเรื่องนี้ดีมั้ย แต่สุดท้ายก็นั่นแหละ ถ้าพวกกูหายไปดื้อๆ แล้วปล่อยมึงที่ไม่รู้อะไรเลยไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกูคงรู้สึกผิดแน่ๆ กูก็เลยพาบีมาคุยกับมึงด้วย”
“อ่า…อย่างนั้นเอง” ธราเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วเหม่อมองออกไปที่ระเบียง “แต่มันยอมรับได้ยากมึงเข้าใจใช่ไหม ต่อให้กูจะรู้ว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว ทั้งกับคนรอบข้าง ทั้งกับคนใกล้ตัว แต่แล้วยังไง” เขาแค่นยิ้ม “ไม่ตั้งคำถามแล้วไม่ได้เหรอวะ ไม่ต้องคิดสงสัยอะไรแล้วไม่ได้เหรอ แค่ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ต่อ”
“ไอ้ดิน”
“แค่เชื่อว่ามันเป็นความจริงแค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ยากตรงไหนเลยนะที่จะเชื่อ”
“มันยากที่จะยอมรับ กูรู้เว้ย” ไอ้แพร์ตบไหล่กว้างของเพื่อนเบาๆ “แต่มึงหลอกตัวเองต่อไม่ได้แล้ว เราหนีความเป็นจริงไม่พ้นนะมึง สุดท้ายทุกคนต่างต้องไปตามวาระของตัวเอง”
หลังจากที่ไอ้แพร์พูดจบ ต่างคนก็ต่างเงียบ เกือบสิบนาทีที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา แต่ละคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง คิดหาคำตอบกับคำถามที่ผุดขึ้นเป็นร้อยๆ ข้อ ทว่ากลับไม่มีคำถามใดเลยที่มีคำตอบ
“มึง” ธราเป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังจากปล่อยให้ทั้งห้องมีเพียงเสียงเข็มวินาทีจากนาฬิกาแขวนผนัง “ถ้าเจ้าตายแล้วจริงๆ งั้นกูควรทำยังไงถึงจะได้อยู่กับมันวะ”
แววตายามพูดนั้นไม่มีแววล้อเล่น ความเอาจริงเอาจังทำให้อีกสองคนเผลอมองสบตากันอย่างเป็นกังวล ไม่มีใครรู้ว่าธราหลอกตัวเองมานานแค่ไหน เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องจริงทั้งหมดก็ได้ แต่เพราะเขาไม่เคยยอมรับ ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าเจ้า จักรพรรดิ ได้ตายจากไปแล้ว เขาจึงกลายเป็นคนที่ตามืดบอดและเชื่อในสิ่งที่ตนเองอยากเชื่อเท่านั้น
“มึงอย่าแม้แต่จะคิดหาวิธี” ไอ้แพร์ห้ามปราม “เพราะไม่มีทางไหนที่จะทำได้ หรือต่อให้มีก็ไม่ใช่ทางที่ควร”
“บีเห็นด้วยกับพี่หมอแพร์นะคะพี่ดิน พวกเราน่ะทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ” เสียงหวานเสริมขึ้นอีกแรง เพราะความปรารถนาในแววตาของธราไม่อ่อนลงแม้แต่น้อย กลับมุ่งมั่นจนน่าหวั่นใจ “อย่าคิดทำอะไรเลยนะคะ”
“ฟังพวกกูหน่อยเถอะไอ้ดิน เชื่อสิว่าไม่ว่าอะไรก็มีเหตุและผล ไม่ว่าที่ไหนก็มีเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของมัน มึงเชื่อกูเถอะว่าต่อให้มึงคิดจะตายที่นี่ มึงก็ไม่ได้อยู่กับไอ้เจ้าหรอก เรามาถึงทางตันแล้วไอ้ดิน สุดท้ายก็ต้องเดินทางกลับทางเดินของตัวเอง”
“ไม่ไอ้แพร์ มันต้องมีทาง” ธราบอกอย่างดื้อดึง “กูเคยบอกมึงใช่มั้ยว่ากูไม่สนเรื่องศีลธรรม กูก้าวข้ามความถูกต้องทั้งหมดเพื่อที่จะรักมัน แล้วมึงจะให้ความตายมาพรากมันไปจากกูเหรอ”
ไม่ได้หรอก...ใครจะไปยอม
“ไอ้ดิน มึงต้องยอมรับ” ไอ้แพร์เอ่ยเสียงเข้ม บีบที่ไหล่ของธราหวังดึงสติที่อาจจะกำลังหลุดลอยไปไกล “ระหว่างมึงกับไอ้เจ้าน่ะ มันเป็นไปไม่ได้แล้ว มันคือคนที่ตายไปแล้วนะเว้ย ตอนนี้ ที่แห่งนี้คืออะไรก็ยังไม่รู้ พวกเรามีแต่คำว่าไม่รู้เต็มไปหมด วันเวลา สถานที่ หรือแม้แต่ความคิดที่ว่าโลกนี้มีอยู่จริงมั้ยก็ไม่มีใครยืนยันได้ เราเป็นตัวอะไรในที่แห่งนี้ มีตัวตนอยู่หรือเปล่า กูยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ มึงอย่าทำเรื่องบ้าๆ เลย เรายังไม่รู้ความจริงสักอย่าง มีความจริงเพียงแค่อย่างเดียวที่พวกเราแน่ใจในตอนนี้นั่นก็คือไอ้เจ้าตายไปแล้ว”
“พอเถอะไอ้สัด เลิกปั่นได้ละ พักหลังมานี้มึงอาจจะมีเรื่องไม่ชอบใจเจ้า มึงบ่นกูเรื่องที่เจ้าทำให้กูเสียการเรียน แต่ก็ไม่เห็นต้องเล่นแรงขนาดนี้มั้ง”
“มึงคิดได้ไงวะ” อยากจะตะบันหน้ามันสักที จากที่เริ่มคล้อยตามแล้วกลับกลายเป็นค้านหัวชนฝาขึ้นมาเสียอย่างนั้น “กูไม่ได้ปั่นสักนิด ที่กูพูดเป็นความจริงทั้งหมด”
“ใช่ค่ะพี่ดิน พี่เอยืนยันเลยนะคะว่าพี่เจ้าที่เป็นพี่รหัสของพี่เอเสียชีวิตแล้ว เขาโดนยิงเข้าที่กลางอก”
“เจ้ายังไม่ตาย!” ธรามองตาขวาง เขาสะบัดตัวให้มือของเพื่อนหลุดจากไหล่ “กูกอดมันอยู่ทุกวัน ฟังเสียงหัวใจของมันอยู่ตลอด ก็แค่มีบางอย่างผิดปกติไปเท่านั้น โลกมันอาจจะเพี้ยนไปเองก็ได้ แต่เจ้ายังไม่ตายไอ้แพร์ เชื่อความรู้สึกของกูเถอะ”
“แต่ที่นี่มันแปลกนะเว้ย มึงเชื่อกูสิว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา” เชื่อเถอะว่าเราไม่ควรติดอยู่ในวังวนนี้อีกต่อไปแล้ว
“กูไม่สนหรอกว่าที่นี่จะเป็นยังไง ไม่อยากเสียเวลาหาคำตอบด้วย” น้ำเสียงของธราแข็งกร้าว เขามองทั้งเพื่อนซี้และคนเคยควงอย่างหงุดหงิดใจ “ถ้ามึงบอกว่าเจ้า จักรพรรดิในโลกความจริงตายไปแล้ว งั้นก็ทิ้งกูไว้ที่นี่ ไม่ต้องห่วงกู ให้กูได้อยู่ในที่ที่กูกับมันยังสามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป แค่นั้นก็พอ”
“มันไม่มีคำว่าตลอดไปไอ้ดิน”
“มี”
“มึงดื้อจังวะ” ไอ้แพร์แทบสบถออกมา แต่ก็ควบคุมตัวเองไว้ได้ทัน รอจนใจเย็นลงแล้วถึงได้เริ่มพูดต่อ “เอาเถอะ ต่อให้มึงจะอยากอยู่หรือไม่อยากอยู่ยังไง สุดท้ายแล้วมึงก็อยู่ต่อไม่ได้ อย่างที่กูบอกว่าทุกคนต้องกลับไปในที่ของตัวเอง อาจจะแค่เหมือนตื่นจากฝันที่ยาวนานและจำความฝันของตัวเองไม่ได้อีกเลย มันคงจะเป็นในรูปแบบนั้น เหมือนกับที่พวกเราที่ยังติดอยู่ที่นี่แต่กลับนึกหน้าคนที่หายไปไม่ออก ในทางกลับกันเขาก็คงจำเราไม่ได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ ทั้งความรู้สึก ความผูกพัน ความทรงจำ เมื่อกลับไปแล้วคงไม่เหลือให้นึกถึง”
ธรานิ่งเงียบรับฟัง ในขณะที่ไอ้แพร์ยังคงพูดข้อสันนิษฐานของมันต่อไป “ห้วงเวลานี้คือห้วงเวลาของคนตายไอ้ดิน กูไม่รู้ว่าเราทุกคนมาที่นี่ได้ยังไง เงื่อนไขของเวลาอาจจะเป็นระยะเวลาสองปี กูรู้แค่นี้และไม่รู้มากกว่านั้นเพราะกูทำได้แค่คาดเดา ทุกอย่างมันเริ่มแปลกไปตั้งแต่วันครบรอบสองปีของพวกมึง หรืออาจจะหลังจากนั้นกูก็ไม่รู้อีก คนที่รู้ดีที่สุดก็คือเจ้าของห้วงเวลา คนที่เห็นแก่ตัวพาพวกเรามาติดอยู่ในวังวนของมัน อาจจะเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วก็ได้”
“มึงเรียนจนเบลอแล้วมั้งไอ้แพร์ กลับไปนอนมั้ย”
“ไอ้ควายเอ๊ย! กูจะพูดยังไงให้มึงเชื่อดีวะ มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย สมองเป็นส้นตีนอะไร มีปัญหาหรือไงถึงดูไม่ออก ไม่ผิดสังเกตเหี้ยอะไรเลย!”
“ใจเย็นๆ กันก่อนนะคะ” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มสนทนาเป็นฝ่ายห้ามปรามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังเดือดได้ที่ คนหนึ่งมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน แม้จะกำลังโดนกระชากคอเสื้อก็ไม่มีทีท่าจะปัดป้อง ส่วนอีกคนจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ปากก่นด่ากับความดื้อแพ่งของอีกคนไม่หยุด
“มึงรู้ไว้นะไอ้ดิน รู้ไว้ว่าแฟนมึงเป็นคนโคตรเห็นแก่ตัว” น้ำเสียงเข้มดุดัน กำปั้นที่เงื้อขึ้นนั้นลดลงแล้วแต่ก็ยังสั่นเทิ้มจนแทบควบคุมไม่ได้ “วังวนความเห็นแก่ตัวของมัน ไม่เคยนึกถึงคนอื่นเลย พวกกูก็มีความรู้สึก มีความทรงจำที่ไม่อยากลืม มีความรู้สึกที่อยากจะจดจำไปตลอดชีวิต มันเคยคิดบ้างมั้ยว่าคนอื่นจะเป็นยังไง คนรักของกูหายไปแล้ว แล้วเขาจะจำกูไม่ได้ มึงไม่เข้าใจหรอกว่ากูรู้สึกยังไงที่อยู่ๆ น้องก็ไปโดยที่ไม่ได้ลากันสักคำ”
“อย่ากล่าวหาถ้ามึงยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ธราเค้นเสียง คราวนี้เขาเป็นฝ่ายกระชากคอเสื้อของเพื่อน จากที่ไม่กี่นาทีก่อนไม่คิดจะโต้กลับ ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายจู่โจมแทน “มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานบ้าๆ ของมึง มึงรู้ได้ยังไงว่าคนที่หายไปเขาจะจำไม่ได้ มึงเคยหายไปหรือไง มีใครในพวกนั้นกลับมาบอกมึงเหรอ มันก็แค่การคาดเดาเหมือนมึงถามว่าตายแล้วไปไหน มีแต่คนที่อยู่คาดเดากันไป แต่สุดท้ายมีใครรู้จริงๆ บ้าง มึงไม่รู้เรื่องของเจ้าก็อย่ากล่าวหา มึงไม่รู้หรอกว่าแฟนกูเป็นยังไง”
“ถ้ามึงรู้ก็หยุดหลอกตัวเองไอ้สัด! มึงจะตายอยู่ที่นี่ จะติดอยู่ในวังวนบ้าๆ นี้ก็แล้วแต่มึง อยากจะอยู่กับผีก็เชิญ! แต่กูจะกลับไปหาคนรักของกู!”
ผลัวะ!
กำปั้นหนักๆ ของธราซัดเข้าที่สันกรามของเพื่อนซี้ ในขณะที่ผู้หญิงคนเดียวในเหตุการณ์อุทานลั่น เพราะหลังจากนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็เริ่มแลกหมัดกัน เสียงกำปั้นหนักๆ ดังเป็นระยะ สร้างบาดแผลให้คนทั้งคู่ หล่อนทำได้เพียงจ้องมองด้วยความพรั่นพรึง อยากเข้าไปห้ามปรามแต่ก็กลัวโดนลูกหลง แต่จะปล่อยไว้ก็ไม่ได้ ทว่าหล่อนก็พะว้าพะวงอยู่ได้ไม่นานเพราะทั้งสองวิวาทกันไม่ถึงห้านาทีก็เลิกราราวกับว่าแค่ระบายความอัดอั้นใส่กันเสียมากกว่าที่จะทะเลาะวิวาทจริงจัง
“ขอโทษทีนะบี ที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้” ธราเอ่ยขึ้นพลางเช็ดเลือดออกจากมุมปาก “พาไอ้หมาบ้านี่กลับไปเถอะ แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”
“พี่ดินคะ” ใบหน้าหวานปรากฏความห่วงใย “ไม่อยู่กับพี่เจ้าแล้วได้มั้ยคะ บีไม่รู้เลยว่าพี่เขาจะทำอะไร อยู่ให้ห่างจากพี่เขาจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องไปจากที่นี่ไม่ได้เหรอคะ”
“กลับไปเถอะ” ธราตัดบท เหลือบมองเพื่อนซี้ที่พยายามเช็ดเลือดที่กำลังไหลเข้าตาเงียบๆ ได้ยินเสียงมันซี๊ดปากเบาๆ ด้วยความเจ็บแล้วก็รู้สึกผิด “ขอโทษแทนเจ้าด้วย ถ้าได้ล่วงเกินอะไรไว้หรือทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้น ยังไงก็ให้อภัยแฟนพี่ด้วยละกันนะบี”
“พี่คะ...”
“กลับกันเถอะบี ปล่อยมันโง่อยู่ที่นี่แหละ ยังไงเราก็ช่วยอะไรมันไม่ได้ รักกันมากก็ตายตามกันไป” ไอ้แพร์ลุกขึ้นพลางทิ้งถ้อยคำเจ็บช้ำน้ำใจไว้กับธรา “แต่กูบอกเลยนะไอ้ดิน พวกมึงไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก ความรักของพวกมึงมันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งหมดหวัง แล้วก็ฝากบอกไอ้เจ้าด้วยละกัน กูอโหสิให้”
“เออ โชคดีละกัน แล้วก็ขอบใจที่เคยเป็นเพื่อนกับกู”
ไอ้แพร์หันหลังเดินไปที่ประตู มีร่างเล็กของสาวหน้าหวานเดินตามไปติดๆ ก่อนเสียงปิดประตูจะตามมา มันดังก้องไปทั้งห้องและเงียบลงในฉับพลัน ในห้องนี้จึงเหลือเพียงธราที่ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าแม้บาดแผลที่คิ้วและที่ริมฝีปากจะเริ่มปวดแสบขึ้นมาแล้วก็ตาม
.
.
“ดินครับ...ดิน” มือผอมสะกิดที่ไหล่กว้างของคนที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ร่างหนาส่งเสียงในลำคอพลางพลิกตัวหนีสัมผัสแต่เพราะเนื้อที่คับแคบทำให้เกือบพลัดตกไปบนพื้น โชคดีที่มือผอมดันแผ่นหลังไว้ได้ทัน อีกทั้งยังส่งเสียงดุคนขี้เซาที่ไม่ยอมลืมตาตื่นเสียที “ตื่นครับ จะกลิ้งตกแล้วนะ เดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก”
“อือ” น้ำเสียงงัวเงียดังขึ้นเบาๆ โดยที่เปลือกตานั้นยังปิดสนิท “มาแล้วเหรอเจ้า”
“มาแล้วครับ” ไอ้เจ้าตอบแล้วทาบหลังมือลงบนหน้าผากของธรา ดวงตาเรียวสำรวจใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ ที่คิ้ว แก้มและริมฝีปากก็มีรอยช้ำ “นอนตากแอร์นานจนตัวรุมๆ เลยนะ ทำไมก่อนนอนไม่ห่มผ้าล่ะครับ เจ้าบอกหลายครั้งแล้วนะ แอร์นี่ก็เปิดไปเถอะยี่สิบองศา ไม่แข็งตายก็บุญแค่ไหน แล้วแผลนี่อะไร ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา”
“ก็ไม่ได้คิดจะนอน” เขาแย้งพลางกอดไอ้เจ้าไว้ ซุกหน้ากับไหล่แคบอย่างออดอ้อน “อย่าดุได้มั้ย เผลอหลับไปแป๊บเดียวเอง”
“ไม่ดุอย่างเดียว เป็นไข้จะซ้ำให้” คนชอบดุคาดโทษ แม้น้ำเสียงจะอ่อนมากก็ตาม ถูกอ้อนขนาดนี้ใครจะดุได้ลงกันเล่า! “แต่ตอบมาก่อนว่าได้แผลมายังไง”
“ทะเลาะกับไอ้แพร์นิดหน่อย แต่มึงนี่พอเป็นเมียแล้วก็ดุอย่างกับหมาเลยนะเจ้า” เขาย่นจมูกใส่พลางงับที่ไหล่ของไอ้เจ้าจนโดนตีที่แขนเข้าให้ ต่อสู้กันอยู่ไม่ถึงนาทีก็ต่างคนต่างหยุด ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายตั้งคำถามต่อ “แล้วทำไมกลับเร็ว เพื่อนนอนแล้วเหรอ” พูดแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด “หรือมึงออกไปไหนมานะ กูเพิ่งตื่นก็เลยมึนๆ”
“ไปหาเพื่อนครับ” ไอ้เจ้าคลี่ยิ้มพลางพูด “ชื่อเอ๋ เจ้าบอกคุณแล้ว”
“เออ ใช่...ไอ้น้องเอ๋ ว่าแต่ทำไมมันนอนเร็ว” ว่าแล้วก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนัง “เพิ่งสองทุ่มเอง”
“เที่ยวเพลินก็เลยเพลียครับ” ไอ้เจ้าให้คำตอบแล้วนินทาไอ้เอ๋ให้ฟัง “อวดเก่งจะกินกาแฟ บ่นขมแต่ก็ฝืนกิน สุดท้ายก็อ้วกออกหมด บ่นว่าเวียนหัวสารพัด แต่ใจก็สู้ ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ยอมใจเลย”
“พากันตะลอนทั้งวันสิท่า”
“ครับ ดูหนัง เล่นเกม เดินเที่ยว ซื้อของ เยอะแยะไปหมด เอ๋ก็พลังงานล้นเหลือ กระตือรือร้นแทบทุกอย่าง ว่าแต่ใครทำแผลให้คุณ ทำเองเหรอครับ”
“ทำเอง เมียหนีเที่ยวไม่อยู่ดูแลก็ต้องทำเองดิ” ธราบอก เห็นไอ้เจ้าพูดจ้อแล้วก็คลี่ยิ้มกว้าง “แล้วเพลียมั้ยเนี่ย เที่ยวทั้งวัน นึกว่าลืมกูไปแล้ว ไม่ทักมาเลย”
“นิดหนึ่ง” ความจริงก็ไม่นิดเท่าไร “ตอนเที่ยวไม่ได้จับโทรศัพท์เลย ขอโทษนะครับที่รัก”
“ไถ่โทษยังไง” ธราถาม หลังจากนั้นก็ได้ริมฝีปากนิ่มๆ มาเป็นของไถ่โทษ “ก็แค่นี้”
“แล้วทะเลาะอะไรกับไอ้แพร์ ปกติมันใจเย็นมาก” ไอ้แพร์น่ะเป็นคนสุดท้ายในโลกเลยก็ว่าได้ที่ไอ้เจ้าคิดว่ามันจะใช้กำลังแก้ไขปัญหา ต่างจากธราตัวดีของมันที่เอะอะอะไรก็ต่อยก็ตี คนใจร้อนกับคนใจเย็นเป็นเพื่อนกันก็เข้าที ทว่าถึงขั้นต่อยตีกันอย่างนี้ ไอ้แพร์ก็คงไม่ได้เย็นเท่าไรนักหรอก
“เรื่องไร้สาระทั้งนั้นแหละ มันพูดไม่เข้าหู”
“นักเลงจัง”
ธรายักไหล่ก่อนจะซุกไซ้ใบหน้าลงกับซอกคอของไอ้เจ้า แต่คนที่เพิ่งเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนเที่ยวทั้งวันเบี่ยงตัวออกอย่างไม่ม่ันใจในกลิ่นของตัวเอง “อยู่นิ่งๆ”
“เจ้ายังไม่ได้อาบน้ำ”
“ยังหอมอยู่” ว่าเสียงงึมงำเพราะริมฝีปากกำลังจูบย้ำบนผิวเนื้ออ่อน ดูดงับจนเกิดรอยสีกุหลาบอีกรอย แต่สังขารก็ไม่อำนวยเท่าไรนัก เพราะยิ่งใช้งานริมฝีปากมากก็ยิ่งเจ็บแผล “ซี๊ดด..ด ไอ้เหี้ยแพร์โคตรแย่ เจ็บอย่างนี้จะจูบเมียได้ไงวะ”
“สงสารอะ” คำพูดสวนทางกับรอยยิ้มระยับบนใบหน้า แต่พอเห็นธราทำหน้าบึ้งก็รีบปลอบโยน “มาครับ เจ้าเป่าเพี๊ยง หายเจ็บแน่นอนเลย”
“ก็คือโตแล้ว ไม่เชื่ออะไรแบบนี้”
“เอ้า โตแล้วเหรอ”
“อือ แต่ถ้าอยากเป่าก็ได้ มานั่งตักสิ” สั่งพลางตบตักตัวเอง “จะได้เป่าถนัด แล้วเดี๋ยวกูนวดตอบแทนให้”
“แหนะ” ยิ้มล้ออย่างรู้ทัน
“มานงมาแหนะอะไร ไม่ได้คิดอกุศลสักนิด” เขาบ่ายเบี่ยงแต่แววตากลับเจ้าเล่ห์ “แค่ตอนนั่งก็บดสะโพกตอบแทนหน่อย”
“นี่ขนาดไม่คิด” ไอ้เจ้าส่ายหน้าระอาแต่ก็ยอมย้ายไปนั่งบนตักแกร่ง จัดท่าทางอยู่นานจนเป็นที่พึงใจของเขาแล้ว มือหนาก็เริ่มลงมือนวดขมับให้ ระหว่างนั้นไอ้เจ้าก็เป่าคาถาไล่ความเจ็บปวดที่บาดแผลของเขาไปด้วย เห็นเขาทำท่ายกมือปิดจมูกราวกับรับกลิ่นไม่ได้ก็อยากจะตีซ้ำให้เจ็บ แต่เพราะความผ่อนคลายที่ได้จากการนวด ไอ้เจ้าจะไม่ถือสาเอาความก็ได้
“เจ้า” ธราร้องเรียกเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าของไอ้เจ้าได้ชัดเจนจากระยะใกล้ “ร้องไห้มาเหรอ”
“หืม” เลิกคิ้วเพียงนิดแล้วปฏิเสธ “เปล่านี่ครับ”
“อย่าโกหก ขอบตาช้ำเนี่ย” เสียงดุขึ้นมาทันที “เล่ามา”
“ก็ไม่มีอะไร”
“คาเตียงนะบอกก่อน ถ้ากูได้เค้น”
ไอ้เจ้าหัวเราะกับคำขู่ของธรา อยากบอกใจแทบขาดว่าจัดมาหนักๆ ได้เลย แต่ก็เกรงว่าจะหนักเกินไป วันนี้เพลียมาทั้งวันก็อยากจะพักผ่อนแทนที่ร้องครางอยู่ใต้ร่างเขา “ก็จะบอกยังไงดี พอดีว่าวันนี้เอ๋น่ะ...”
“ช่างมันเถอะ” ธราตัดบทเอาดื้อๆ “ไม่ต้องเล่าแล้ว ขี้เกียจฟัง”
“เอ๊ะ หึงใช่มั้ยนะ” ไอ้เจ้าหยอกเย้า จิ้มแก้มขาวของธราไปหนึ่งที
“มาก”
“ดุดันจนรู้สึกเร้าใจ”
“เป็นเล่นไป ก็รู้ว่ากูเร้าใจได้มากกว่านี้”
ไอ้เจ้ายกมือยอมแพ้ เพราะมือปลาหมึกของธรากำลังจะพิสูจน์ความเร้าใจให้มันได้เห็นจึงต้องชิงยอมแพ้ไว้ก่อน “โอเคครับ เจ้ารู้แล้ว”
“โห ไม่สนุกเลย” ธราทำหน้าเสียดาย แต่ก็ยอมหยุดมือที่กำลังจะเลื้อยผ่านใต้เสื้อไว้แค่นั้น “เออ ก็ลืมถาม มึงกินข้าวมาหรือยัง”
“ยังครับ” ไอ้เจ้าปฏิเสธ เพราะมันตั้งตารอจะมากินอาหารฝีมือของธราที่เขาอวดไว้ว่าจะทำตามที่ดูในยูทูป “เจ้ารอกลับมากินพร้อมคุณ”
“ดีๆ งั้นเดี๋ยวไปอุ่นกับข้าว จะได้กินด้วยกัน” ธราว่าพลางภูมิใจนำเสนอ “กูทำของโปรดมึงไว้เลยนะ ดูในยูทูป เขาบอกวิธีละเอียดยิบ เข้าใจง่ายดี กูกลั้นใจชิมแล้ว แกงเขียวหวานอะไรของมึงเนี่ย มันก็โอเค กินได้แน่นอน”
ไอ้เจ้าคลี่ยิ้มน่ามอง “อยากกินอาหารฝีมือคุณทุกมื้อเลย”
“เออ จะทำให้กินทุกวัน ถ้ากูไม่เรียนจนเป็นบ้าไปซะก่อน”
“ฮ่าๆ ๆ น่าสงสารเด็กดีของเจ้า” เสียงหัวเราะของไอ้เจ้าน่าฟัง แต่ก็แค่ชั่วครู่เท่านั้น เพราะหลังจากนั้นแววตาของมันกลับเศร้าสร้อยจนธราเลือกที่จะเมินไปทางอื่น “ดิน”
“ว่า”
“ถ้าเจ้าไม่อยู่แล้ว ดินจะกินข้าวคนเดียวได้มั้ยนะ”
“หุบปากไอ้สัด มึงจะไปไหน” ธราเสียงดุขึ้นมาทันที เขามองไอ้เจ้าด้วยสีหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “อย่าพูดอะไรเป็นลาง ได้กูแล้วจะทิ้งเหรอ อยากโดนดีหรือไง”
“เกรี้ยวกราดเวอร์ คุณอินอะไร” ไอ้เจ้าแสร้งทำหน้าตกใจ ยิ้มกลบเกลื่อน “ก็แค่ถามเอง”
“ถามอะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านี้” น้ำเสียงของธราจริงจัง เขาบีบเอวไอ้เจ้าเป็นการลงโทษ “กูไม่ชอบฟัง เป็นอะไรนักถึงชอบพูดแบบนี้”
“คือว่า...”
“ไม่ต้องพูด” ธราตัดบทเสียงเสียบ มองแววตาก็รู้แล้วว่ามันจะพูดอะไร “บอกรักกูหน่อย”
“เปลี่ยนอารมณ์เร็วเกิน” ไอ้เจ้าส่ายหน้าระอากับคนอารมณ์แปรปรวนที่ยังทำหน้าดุ “ตามไม่ทันแล้ว”
ธรายกมือขึ้นบีบจมูกของไอ้เจ้า เห็นสีหน้าของมันแล้วหมั่นไส้ “ต่อไปถ้าจะพูดอะไรแย่ๆ ก็บอกรักกูดีกว่า น่าฟังกว่าเยอะ เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจแล้วจ้า” ยอมความอย่างเสียมิได้ ไม่อย่างนั้นคนรูปหล่อของไอ้เจ้าก็คงไม่หายหงุดหงิด ไอ้เจ้าอยากเห็นรอยยิ้มของเขา รอยยิ้มที่ทำให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นมากกว่า “เออนี่ที่รัก พรุ่งนี้ไปชลบุรีกัน ครั้งนี้ไปยาวๆ เลย”
“ไปอีกแล้วเหรอ” บางแห่งในใจตะโกนเป็นสัญญาณเตือน เขารู้สึกไม่ดีเลยสักนิด “ไม่ไปได้มั้ยวะ กูขาดเรียนนานๆ ไม่ได้หรอก”
“แต่ใกล้วันเกิดแล้ว เจ้าอยากกลับไปที่นั่น”
“วันเกิดเหรอ” เขาทวนถามเสียงแผ่ว “อีกกี่วันนะ”
“สามวัน”
“เดือนกรกฎาคมแล้วหรือไง” วันเวลาไม่เคยคอยท่า คงอย่างที่คิดไว้ว่ามันผิดเพี้ยนไปหมด เพราะทั้งที่ล่วงเข้าเดือนกรกฎาคมแล้ว เขาก็ยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ ยังไม่ได้สอบไฟนอลเลื่อนชั้นปี แต่วันเกิดของไอ้เจ้ากลับใกล้เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ไอ้เจ้ายิ้มกว้าง แม้จะแคลงใจกับสีหน้าไม่เห็นด้วยของธราที่บ่งบอกว่าเขาไม่อยากไป แต่กลับโฟกัสอีกเรื่องที่ทำให้หัวใจเต้นแรง “คุณรู้วันเกิดเจ้าด้วยเหรอดิน”
“ก็จำได้” เขาตอบเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยนทอดมองคนสำคัญ “เคยฉลองวันเกิดให้ทุกปี ทำไมจะจำไม่ได้”
“ตอนนี้ไม่รู้แล้วนะว่าคุณจำอะไรได้บ้าง เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันสักพักแล้วสินะ”
“อืม แต่ไม่ต้องห่วง กูจำได้แต่เรื่องที่อยากจำนั่นแหละ” ธราตอบ ยกมือลูบศีรษะของไอ้เจ้า “ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ว่ามึงจะเคยทำอะไร กูก็รักมึง ไม่เคยเกลียดเลย”
“ดิน…"
“กูรักมึงมากนะเจ้า ไม่เคยคิดสักครั้งว่าวันหนึ่งจะไม่มีมึง”
ผมก็รักคุณ ผมรักคุณมาก ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะแยกจากคุณ
“อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยได้มั้ย”
แต่ผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อคำว่าตลอดไปมันไม่มีจริง ผมอยู่กับคุณไม่ได้อีกแล้ว
“หรือถ้าไม่ได้...ก็ให้กูจำเรื่องของมึงตลอดไปได้หรือเปล่า”
อย่าจดจำผมเลย ให้มีแค่ผมจำเรื่องของคุณก็พอแล้ว
“กูไม่อยากลืมมึงอีกแล้ว”
ลืมผมเถอะ อย่าเจ็บปวดเพราะผมเลย
“ไม่อยากทำให้มึงต้องเจ็บอีกแล้วนะเจ้า มีความสุขสักทีได้ไหม”
ตอนนี้ผมมีความสุขแล้วที่รัก เพราะตอนนี้ผมอยู่ในอ้อมกอดของคุณ
“พระเจ้าของกูนี่ร้องไห้เก่งจริงๆ”
ไม่เคยเลยสักครั้งที่ธราจะเห็นไอ้เจ้าร้องไห้มากขนาดนี้ คนที่เข้มแข็งมาตลอด คนที่ไม่เคยให้ใครได้เห็นด้านที่อ่อนแอกลับปล่อยโฮออกมา น้ำตารินไหลอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า แววตาที่ไม่ค่อยเผยความรู้สึกก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เป็นความเจ็บปวดที่ไม่คาดคิดว่าคนคนหนึ่งจะทนไหว แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้นอกจากเช็ดน้ำตาให้และดึงร่างผอมที่แสนเปราะบางนี้เข้ามากอดไว้
ร้องออกมาเถอะนะ ให้โอกาสคนที่รักได้เช็ดน้ำตาให้บ้าง
ครั้งสุดท้ายก็ยังดี
.
.
D. : จี้ ถ้ากูไม่ยอมปล่อยให้เจ้าไป จะมีเรื่องที่แย่ยิ่่งกว่านี้เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือที่เป็นอยู่นี้มันแย่ที่สุดแล้ววะ
-Read-
..............TBC..........
ที่สุดก็ต้องเป็นไป
ขอบคุณทุกคอมเม้นและกำลังใจค่า