(ตอนที่ ๒๕ )
ช่วงนี้ผมไม่ได้จดหมายจากใหญ่เลย โทรไปก็ไม่ได้คุยเจอแต่พ่อบ้าง ลูกน้องบ้าง รู้แต่ว่าแม่มันผ่าตัดแล้วและใกล้จะออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้าน ที่บ้านมันคงยุ่งน่าดูเพราะลูกที่เหลือตอนนี้ก็มีไอ้ใหญ่คนเดียว ไหนจะหลาน ไหนจะพ่อ ไหนจะงานที่ร้าน มันคงหัวหมุนกับภาระที่มาลงที่มันทั้งหมด ผมอยากจะไปช่วยมันบ้างเลยส่งจดหมายลาพักร้อนไป1อาทิตย์ แต่ก็ต้องเคลียร์งานที่ค้างตอนนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วก็เหลือช่วยงานแต่งพี่ฝ้ายอีกนิดหน่อย ก็คงต้องอีกสองสามวันผมถึงจะไปได้
แต่ผมก็ไม่คาดคิดว่าผมจะต้องไปเร็วกว่านั้นเมื่อวันรุ่งขึ้นราวๆสิบเอ็ดโมงกว่ามีโทรศัพท์เข้ามา
ผมเห็นสายแล้วต้องมองซ้ำอีกครั้งไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือว่าเป็นความจริงเมื่อเห็นชื่อสายโทรเข้าเป็นไอ้ใหญ่ พอรับสายผมยังไม่ทันพูดอะไรไอ้ใหญ่มันก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
“ฝัน...แม่กูเสียแล้วเมื่อเช้านี้เอง”
น้ำเสียงของมันไม่สั่นก็จริงแต่แผ่วเบาราวกับคนไม่มีแรงจะพูด แต่มันก็ยังพูดต่อ
“กูไม่อยากจะเชื่อเลยฝัน ว่าแม่กูตายแล้ว กูไม่อยากเชื่อเลย เมื่อคืนเรายังนอนคุยกันอยู่เลย ฮึกๆ”
ในที่สุดใหญ่ก็ร้องไห้ออกมาจนได้ มันร้องไห้เงียบๆอีกพักใหญ่ยังไม่พูดอะไรอีก ผมถึงกับพูดไม่ออกฟังมันร้องไห้อย่างปวดใจ ผมน่าจะได้อยู่ใกล้ๆมันในวันแบบนี้ ได้เป็นที่พักพิงใจให้มัน ผมได้แต่โทษตัวเองที่อยู่ไกล เสียงร้องไห้ของมันยังดังอยู่ถึงแม้จะไม่ได้ดังโฮๆแต่เสียงนั้นก็รบกวนจิตใจของผมจนผมน้ำตาซึมไม่รู้ตัว ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้มั่นคง ผมก็อยากให้มันรับรู้ว่ามันยังมีผมอยู่ถึงแม้เราจะอยู่ห่างกัน
“ใหญ่..ทำใจดีๆ ท่านไปสบายแล้ว มึงทำหน้าที่ลูกได้ดีที่สุดแล้วใหญ่”
“ฮึกๆ..มันเร็วเกินไปฝัน กูไม่ทันเตรียมใจเลย หลังผ่าตัดแม่อาการดีมาตลอด”
“เป็นใครก็ต้องเสียใจเมื่อเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น แต่มึงต้องตั้งสติไว้นะ ยังไงมึงก็มีคนที่ยังต้องดูแลเหลืออยู่อีก ทั้งพ่อ ทั้งน้องออม” เราต้องจัดการกับความรู้สึกของเราก่อนให้ดีครับ ถ้าผมอ่อนแอไปอีกคนไอ้ใหญ่มันก็จะแย่ไปด้วย ผมต้องพยายามให้กำลังใจมันก่อน
“กูรู้ กูร้องไห้ได้ก็แค่กับมึงคนเดียวเท่านั้นเอง ต่อหน้าพ่อกับหลานกูไม่เคยให้เค้าเห็นหรอก”
“อืม..ดีแล้ว แล้วพ่อกับน้องออมเป็นไงมั่ง”คนตายก็ตายไปแล้วครับ มีแต่คนเป็นที่ยังอยู่นี่ล่ะที่เราไม่ควรละเลย
“พ่อเงียบมาก เงียบจนกูสงสาร พ่อเป็นคนแรกที่รู้ว่าแม่สิ้นลมไปแล้ว ท่านเองก็คงนึกไม่ถึงว่าแม่จะจากไปโดยไม่ทันได้ลากัน”
เสียงของไอ้ใหญ่สั่นอีกครั้ง “ความตายมันไม่น่ากลัวเท่ากับการที่เราต้องจากลากันหรอกฝัน”
ผมฟังแล้วก็ได้แต่เศร้า ก็คงจะจริงของใหญ่การจากลากันต่างหากที่เป็นเรื่องน่ากลัวและน่าเศร้าที่สุด
“น้องออมเองก็เอาแต่ร้องไห้ เด็กสี่ขวบที่ต้องมาเจอเรื่องตายจากกันติดๆกันภายในปีเดียว กูสงสารหลานจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วฝัน กู...”
ไอ้ใหญ่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เสียงสะอื้นที่มันพยายามกลั้นเอาไว้แต่ก็กลั้นไม่อยู่ทำให้ผมน้ำตาไหล ตัวใหญ่เองก็แทบไม่ต่างไปจากหลาน การสูญเสียเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ก็จริง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาบ่อยเกินไปจิตใจของคนจะทานทนไหวได้ยังไง ผมอยากจะบอกให้มันหยุดร้องไห้ แต่ผมก็กลัวว่าการที่เราเก็บความเศร้าไว้มากไปมันจะยิ่งทำให้ความเศร้ามันไม่ได้รับการปลดปล่อย ดังนั้นถ้าร้องแล้วดีขึ้นผมก็อยากให้มันร้องออกมาให้หมด
แต่ไอ้ใหญ่เองมันก็ปรับอารมณ์ได้เร็วกว่าที่ผมคิด สักพักมันก็บอกผมด้วยน้ำเสียงที่ยังอู้อี้อยู่ว่า “ฝัน..กูคงต้องไปจัดการเรื่องงานศพก่อน กูแค่อยากได้คุยกับมึงเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วงนะ กูจะไม่ร้องแล้ว”
“เข้มแข็งไว้นะใหญ่ กูเสียใจด้วย”
พอผมพูดจบไอ้ใหญ่ก็วางสายไปอย่างเงียบๆ ผมอาจจะดูไม่สนใจไอ้ใหญ่น้อยไปหน่อยเมื่อยอมวางสายไปง่ายๆไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นอีก แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่อย่างเดียวตอนนี้ก็คือ คืนนี้ผมจะนั่งรถไปหามันที่เชียงใหม่ มันคือสิ่งที่ผมควรทำที่สุดแล้วในตอนนี้.....คืออยู่ใกล้ๆมัน
ผมรีบจัดการเรื่องงานให้เรียบร้อยแล้วกะว่าจะไปฝากงานไว้ที่อ้อย ผมเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะอ้อย กำลังลังเลว่าเริ่มต้นเอ่ยปากยังไง ระยะหลังๆเราคุยกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานเท่านั้น
อ้อยเงยหน้าขึ้นมาพอดีแล้วมองหน้าผมอย่างแปลกใจ “มีอะไรเหรอฝัน”
ผมไม่มีเวลามากนักเลยพูดกับอ้อยไปอย่างรวบรัดตัดความ “คือเราจะลาพักร้อนอาทิตย์หนึ่ง แล้วคืนนี้เราจะไปเชียงใหม่แล้ว แต่งานมันยังมีค้างนิดหน่อย เราฝากอ้อยช่วยต่อนิดนึงได้ไหม”
อ้อยพยักหน้าอย่างงงๆแล้วก็ตั้งใจฟังผมอธิบายเรื่องงาน ที่จริงงานก็ไม่ค้างมากมายเพราะผมเตรียมทำมาหลายวันแล้วแต่อาจจะต้องมีบางส่วนที่ต้องส่งต่อให้คนอื่นทำ ผมเลยฝากให้อ้อยช่วยดำเนินการต่อให้ พอผมพูดจบอ้อยก็มองหน้าผมแล้วถามทันที
“มีเรื่องอะไรด่วนมากเหรอ ถึงต้องรีบร้อนขนาดนี้”ผมนิ่งอยู่อึดใจใหญ่ไม่แน่ใจว่าควรเล่าให้อ้อยฟังรึเปล่า อ้อยเลยรีบพูดขึ้นมาว่า “ถ้าไม่สะดวกตอบไม่เป็นไร เราก็ถามในฐานะเพื่อน เผื่อมีอะไรจะให้ช่วยได้บ้าง” ผมรู้สึกละอายใจที่คิดกับอ้อยในทางที่ไม่ดี ผมคงลืมไปว่ายังไงอ้อยก็เป็นเพื่อนใหญ่คนนึงเหมือนกัน แล้วเรื่องที่ผมจะไปก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
“พอดีแม่ใหญ่เสียวันนี้ ผมเลยอยากไปช่วยงานมัน” อ้อยฟังแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “อืม..เหรอ งั้นเราฝากแสดงความเสียใจให้ใหญ่ด้วยนะ แล้วขอโทษที่ไม่ได้ไปร่วมงาน”
ผมดีใจที่อ้อยเข้าใจ “งั้นผมฝากอ้อยเอาจดหมายลาไปให้แผนกบุคคลด้วย แล้วถ้ามีอะไรสงสัยเรื่องงานก็โทรถามผมได้นะ” ผมยกมือดูเวลายังพอมีเวลาอีกนิดหน่อย ผมคงต้องไปทำงานต่อ “งั้นผมไปทำงานต่อก่อนนะอ้อย ฝากเรื่องงานด้วย อ้อ..เรื่องเรียนด้วยถ้ามีอะไรด่วนก็โทรไปบอกเราหน่อย”
อ้อยยิ้มรับคำผมแต่พอผมคล้อยหลังไปได้ไม่ไกลอ้อยก็วิ่งมาดึงแขนผมไว้ “ฝัน..เดี๋ยวก่อน”
ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัยถามอ้อยว่า ”อะไรครับ..”
อ้อยยัดซองจดหมายใส่ในมือผมแล้วบอกผมว่า “เราฝากซองไปช่วยใหญ่ทำบุญ ฝากจดหมายให้ใหญ่ด้วยนะ อยู่ในซอง”
ผมยืนงงอยู่สักครู่แล้วอดยิ้มด้วยความชื่นชมอ้อยไม่ได้ “ขอบคุณแทนใหญ่มันด้วยนะ”
อ้อยส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร..ยังไงทั้งฝันทั้งใหญ่ก็ยังเป็นเพื่อนเรานี่ ไปแล้วนะจะรีบไปทำงานจะได้ทำของฝันต่อด้วย” อ้อยเดินหันหลังกลับไปที่โต๊ะทำงาน ผมก็แยกเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองแล้วก็รีบทำงานต่อเพื่อจะไปเชียงใหม่คืนนี้
ขนส่งหมอชิตคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆไม่เว้นแม้แต่คืนนี้ ผมลงจากรถแท็กซี่แล้ววิ่งหลบฝนไปมาแต่ก็ยังไม่วายที่จะเปียกฝนจนได้ ผมก็เหมือนหลายๆคนที่ไม่ชอบพกร่มเพราะมันน่าเกะกะ เมื่อวานผมก็วิ่งตากฝน วันนี้ก็ต้องวิ่งหลบฝนอีก พอเปียกฝนเลยได้แต่ยืนกอดอกสั่นยืนมองสายฝนด้วยความหนาวรอเวลาที่รถออก เสียงเรียกโทรศัพท์ดังขึ้นอยู่นานจนเปลี่ยนเป็นระบบสั่นผมถึงรู้สึกตัว
“โหล...ทำไมรับสายช้าวะ” เสียงไอ้หนุ่ยบ่นมาตามสาย
“กะ..กูหนาว...”ผมเผลอพูดออกไปโดยลืมคำถามมันไปเสียสนิท แล้วก็ขำตัวเอง ได้ยินเสียงไอ้หนุ่ยก็หัวเราะด้วย
“เอ้ย...เสียงมันดังกูอยู่หมอชิต เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”แต่ที่จริงผมคิดว่าเป็นเพราะผมกำลังเหม่อมากกว่า ใจลอยคิดไปหลายเรื่องเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง พอเครื่องสั่นผมถึงรู้สึกตัว
“ไปทำไมหมอชิต”ไอ้หนุ่ยเองก็คงกำลังทำงานอยู่ผมได้ยินเสียงมันรัวแป้นคอมพิวเตอร์อยู่แว่วๆ
“ไอ้บ้า...กูมาตกปลามามั๊งที่หมอชิต ก็ต้องจะมาขึ้นรถซิ” ผมตอบด้วยเสียงหัวเราะ แต่ก็ยังหนาวอยู่ดีจนต้องจามออกมา “ฮัดเช้ย...”
“เออ..กูโง่เองที่ถามผิด มึงจะไปไหน ไปเชียงใหม่?” ถามเองตอบเองก็ได้ด้วยไอ้หนุ่ยเพื่อนผม
“เออ..รู้ดีไปหมด แล้วมึงโทรมามีไร หายไปตั้งนาน” ช่วงที่งานมันยุ่งมันก็หายยาวเลยครับ จนอดคิดถึงมันไม่ได้
“ก็ว่าจะชวนไปดื่มกัน คืนพรุ่งนี้ แล้วไปทำไมเชียงใหม่ตอนนี้ ยังไม่ใช่สงกรานต์ ปีใหม่ หรือตรุษจีน สักหน่อย”
ผมถอนหายใจเศร้าใจพอคิดถึงไอ้ใหญ่ เลยยังไม่นึกขำกับมุกของไอ้หนุ่ย “แม่ไอ้ใหญ่มันเสียวันนี้ กูเลยจะไปอยู่เป็นเพื่อนมัน”
เสียงรัวแป้นคอมหยุดทันที “อ้าว...จริงดิ..เออฝากแสดงความเสียใจไปให้มันด้วยนะ แล้วมึงล่ะ ไหวรึเปล่า” ไอ้หนุ่ยถามผมกลับ
“ไหวซิ กูไม่ได้เป็นอะไร”แค่ตอนนี้หนาวจริงๆจังๆแล้วจามอีกครั้ง ท่าจะไม่ดีแฮะ “ฮัดเช้ย...” เสียงไอ้หนุ่ยโวยวายบ่นมาตามสาย “เฮ้ย..มึงไม่สบายรึเปล่าไปหาซื้อยามากินดักไว้ซะ ไม่ดูแลตัวเองแล้วจะไปดูแลคนอื่นได้ยังไง” ผมสูดน้ำมูกที่มันมาตอนไหนไม่รู้ครับแล้วตอบไอ้หนุ่ยไป “เออๆ..เดี๋ยวกูไปซื้อยากิน ไว้กลับมาค่อยคุยกันนะหนุ่ย.รถไกล้ออกแล้ว....”
“เออกลับมาแล้วโทรหากูแล้วกัน ได้ไปกินเหล้ากัน” ผมหัวเราะส่ายหัวไปกับมัน ชีวิตนี้มันคงอุทิศตนแล้วให้เหล้าถ้าผมยังคบมันต่อไปท่าทางผมจะไม่ได้ตายปกติ คงเป็นตับแข็งตายไปพร้อมๆกับมัน
ผมเริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวเลยไปซื้อยาแก้ไข้มากิน กินไปเข้าไปสองเม็ดพอขึ้นรถผมก็หลับตาพักแล้วก็นอนหลับสนิทไปในเวลาไม่นาน นอนไปด้วยความรู้สึกว่ากำลังเป็นไข้ มันหนาวจนผ้าห่มก็เอาไว้ไม่อยู่ แต่ตัวก็ร้อนผ่าวจนรู้สึกระอุไปด้วยกระไอร้อน พอรถมาถึงเชียงใหม่ผมเดินลงจากรถมาในสภาพร่างกายที่ดูไม่ได้ ยืนทรงตัวยังแทบจะไม่ไหว แต่ก็ยังพอตั้งสติว่าต้องไปหาไอ้ใหญ่ก่อน ผมว่าจ้างรถสองแถวรับจ้างให้ไปส่งที่บ้านไอ้ใหญ่เหมือนเคย เหมือนคราวก่อนที่เคยมา ดูๆแล้วเหตุการณ์ดูจะวนเวียนกลับมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมไม่มีแรงเดินไปที่ตลาดเพื่อทานข้าว ได้แต่นั่งพิงประตูรอให้มันเปิดร้าน ผมนั่งมองป้ายชื่อร้านมันที่มีแถบคาดเป็นกากบาทสีขาวเป็นสัญลักษณ์ว่าบ้านนี้มีคนเสียชีวิต อดเศร้าใจแทนไอ้ใหญ่ไม่ได้นึกถึงหน้าแม่มันที่ผมเพิ่งเจอไปไม่กี่เดือนก่อน ไม่นึกว่าแม่จะจากไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ผมนั่งคิดอะไรไปเพลินๆแต่ก็ด้วยความรู้สึกที่สมองหนักอึ้งแล้วผมก็เผลอหลับไปอีกครั้งที่หน้าร้านไอ้ใหญ่นั่นเอง
ผมมารู้สึกตัวลางๆก็ตอนที่มีคนมาเขย่าตัวผม พอผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นหน้าลูกน้องของไอ้ใหญ่คนเดิม มันยกมือไหว้ผมแต่ผมกลับไม่มีแรงยกมือรับไหว้มัน “เพื่อนเสี่ยนี่เองที่เคยมา เชิญครับเชิญเข้าบ้านก่อน”
ผมลุกแทบจะไม่ไหวจนไอ้หนุ่มนั่นคงเห็นต้องมาช่วยพยุงตัว พอมันจับตัวผมมันก็หันมาถามผมทันทีว่า “พี่ไม่สบายเหรอตัวร้อนจี๋เลย หน้าก็แดงด้วยไข้ขึ้นแน่ๆ”
ผมยิ้มให้มันอย่างเพลียๆ มันก็ฉลาดดีเป็นคนช่างสังเกต “พี่มีไข้นิดหน่อยเดี๋ยวขอน้ำทานยาหน่อยนะ แล้วพี่จะเดินขึ้นไปห้องเสี่ยเอง เสี่ยใหญ่ยังไม่ตื่นใช่มั้ย”ไอ้หนุ่มนั่นยกกระเป๋าตามมาให้ผมแล้วพาผมมานั่งที่เก้าอี้ก่อน ผมต้องกุมขมับด้วยความปวดหัวแล้วหลับตาลง “นี่ครับพี่ น้ำดื่มพร้อมยาแก้ไข้”
ผมรับน้ำและยามากินแล้วบอกขอบใจแล้วส่งคืนแก้วไป ไอ้หนุ่มนั่นยืนมองผมอยู่สักครู่แล้วก็พูดว่า “ให้ผมพาพี่ขึ้นไปดีกว่าเดี๋ยวเกิดหน้ามืดเป็นลมตกบันไดลงมา เสี่ยดุผมแย่เลย”
ผมอยากจะบอกปฏิเสธมันไปแต่ก็ขี้เกียจพูดมากเลยปล่อยให้ไอ้หนุ่มนั่นพยุงผมขึ้นข้างบนบ้าน
“พี่มาก็ดีแล้วจะได้อยู่เป็นเพื่อนเสี่ย ช่วงนี้เสี่ยหน้าตาเครียดมากเลย แทบไม่คุยกับใคร ผมเห็นแล้วก็เป็นห่วง”
ไอ้หนุ่มนี่ยังคงพูดเจื้อยแจ้วต่อไปโดยไม่ได้สนใจว่าผมไม่ได้พูดตอบอะไรเลย “ ตั้งแต่คุญผู้หญิงไปผ่าตัด เสี่ยก็ไม่ยิ้มอยู่แล้ว พอมาเสียไปเมื่อวาน ตอนนี้ทั้งไม่ยิ้ม ไม่พูด ผมเห็นแล้วจะบ้าตาย เฮ้อ” ฟังดูแล้วท่าทางไอ้ใหญ่ก็อาการไม่ดีเท่าไหร่แต่มันก็ยังปากแข็งกับผม
พอผมมาถึงห้องไอ้หนุ่มนี่ก็ปล่อยแขนผม “เดี๋ยวผมทำข้าวต้มให้พี่กินนะ ป่วยๆอยู่”
ผมพยักหน้าให้แล้วก็เดินโซเซเข้าไปในห้องไอ้ใหญ่เงียบๆ มันยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงตามเคย ผมเข้าไปยืนมองหน้ามันแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงมัน ไอ้ใหญ่ผอมลงไปจากคราวก่อนที่ผมเจอมัน รอยขอบตาดำคล้ำผมยาวขึ้นมาอีกนิด ริมฝีปากที่เคยยิ้มให้ผมกลับดูแห้งผาก ผมเอื้อมมือจะไปแตะแต่ก็กลัวว่าจะไปกวนมันตื่น ผมอยากให้มันพักให้มากที่สุด ผมเลยเอาหัวเอนนอนทับแขนตัวเองแทนหมอนแล้วมองดูหน้ามัน
ความอิ่มเอมใจหลั่งไหลเข้ามาสู่หัวใจผมอีกครั้งในที่สุดผมก็ได้เจอมันแล้วหลังจากที่คิดถึงกันทุกวันผมเผลอยิ้มกับตัวเองขณะที่มองหน้ามันไปด้วย นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับลงไปด้วยพิษไข้อีกครั้งที่ข้างๆเตียงของไอ้ใหญ่นั่นเอง
*****************************************
ยินดีต้อนรับคนที่หลงทางมาอ่านใหม่ทุกๆคนคะ