ตอนที่ 13
เอลล์กลับมายังห้องทำงานของตัวเองและนั่งบนเก้าอี้แกะสลักงดงามมีอัญมณีประดับอยู่อย่างงดงาม ข้ากล้าบอกเรื่องลุกซ์กับฟาร์คัสไปได้ยังไงกัน.. เอลล์นวดขมับตัวเองเบาๆ ดูเหมือนว่าข้าจะขาดคนคุยด้วยมานานล่ะมั้ง ถึงได้บอกเรื่องนี่กับฟาร์คัส ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากให้ใครรู้เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายแท้ๆ
ก็อก ก็อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับปรากฎร่างของผู้แสนทระนงตัวและเย่อหยิ่งที่ตอนนี้ค่อนข้างชราแล้วแต่ดวงตาที่ส่อประกายแข็งกร้าวนั้นไม่ได้อ่อนลงสักนิด ท่านพ่อของเอลล์นั่นเอง “ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เอลล์ ” น้ำเสียงถามส่อความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ ข้าต้องการคำอธิบายในเรื่องนี้ ”
เอลล์นั่งหลังเหยียดตรงด้วยท่วงท่าของกษัตริย์ “ ทำสิ่งที่ดีที่สุดต่อดินแดนภูตไง ท่านพ่อ ”
“ เจ้าคิดว่าไอ้แผนสร้างสัมพันธไมตรีของเจ้ามันจะไปเชื่อใจได้งั้นเหรอ ! ” เมเออร์ตะคอกใส่เอลล์ “ เจ้ามีพลังมากพอที่จะสร้างกำแพงทำไมเจ้าไม่ทำล่ะเอลล์ อยู่อย่างสันโดษและแข็งแกร่งดีกว่าต้องเป็นพันธมิตรกับศัตรูที่ไม่รู้ว่าวันใดมันจะหักหลังเอา ! ”
ใบหน้าของเอลล์แตะแต้มด้วยรอยยิ้มเบาบาง “ ท่านรู้ว่ากำแพงนั่นมีวันแหลกสลาย ซึ่งข้าก็รู้ถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ต่อให้ข้าสร้างกำแพงขึ้นมาอีกครั้งสักวันมันก็ต้องสูญสลายไปอยู่ดี ถ้าหากราชาภูตในรุ่นนั้นไม่มีอำนาจมากพอที่จะสร้างกำแพงอีกครั้ง เวลานั้นดินแดนของเราอาจจะไม่เหลืออะไรสักอย่างเดียว ” ข้าในตอนนี้เป็นถึงกษัตริย์ของดินแดนภูต ทางเลือกที่ข้าได้เลือกในตอนเด็ก คือสิ่งที่ข้าเลือกที่จะทำให้ดินแดนของข้า
เมเออร์เงียบไปเพราะไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เพราะสิ่งที่เอลล์พูดมานั้นล้วนแต่เป็นเรื่องจริง แต่จะให้คนอย่างเขายอมรับง่ายๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเหมือนกัน ! “ แล้วเจ้าคิดงั้นเหรอว่าไอ้ดินแดนอื่นมันจะไม่ทรยศเรา ”
“ ถ้าหากท่านพ่อไม่ลองเชื่อใจท่านก็จะไม่ได้รับมันกลับเช่นกัน ” เอลล์ตอบสั้นๆ
เมเออร์ถึงกับเลือดขึ้นหน้าเพราะรู้สึกเหมือนว่าเอลล์กำลังท้าทายตนอยู่กลายๆ คำพูดที่พูดราวกับว่าเห็นพ่อของตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องคอยสั่งสอน “ ถ้าเจ้าคิดว่าไอ้ความเชื่อใจของเจ้าจะได้รับสิ่งเดียวกัน ข้าขอบอกในฐานะพ่อของเจ้าเลยว่า โลกใบนี้ไม่ใช่โลกอันแสนสวยงามเหมือนที่เจ้าจินตนาการไว้หรอกนะ เอลล์ ” เมเออร์บอกเสียงเย็นและออกจากห้องไปด้วยอารมณ์คุกกรุ่น
“ ข้าไม่เคยจินตนาการไว้หรอกนะ ” เอลล์พูดเสียงเบาแม้ท่านพ่อจะออกจากห้องไปแล้ว “ คนตาบอดอย่างข้าจะเคยเห็นโลกที่สวยงามได้อย่างไรกันนอกจากน้ำหมึกสีดำที่แตะแต้มไปทั่ว ” เอลล์ลูบมือที่เย็นเฉียบของตัวเอง “ ข้าก็แค่หวังว่าจะได้มองเห็นโลกที่ท่านบอกไว้ว่าสวยงามก็เท่านั้น ถึงแม้ว่าความจริงมันจะไม่ได้สวยงามดังที่เห็นก็ตาม.. ”
ก็อก ก็อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งเรียกให้เอลล์ที่ยังคงจมในวังวนความคิดของตัวเองให้มาสนใจ เอลล์ปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาปกติอีกครั้ง การถูกพ่อตำหนิไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่หรอก “ เข้ามาได้ ข้าอนุญาต ” พูดจบเอลล์ก็ตั้งใจใช้ประสาทสัมผัสทันทีเพื่อรับรู้ว่าร่างที่เข้ามานั้นเป็นใครเพื่อที่จะได้โต้ตอบได้อย่างเป็นปกติ เอลล์นั้นถูกฝึกให้จำอากับกิริยาทุกอย่างของทุกคนที่รู้จัก เสียงฝีเท้า จังหวะการหายใจ ลักษณะการพูด เอลล์ล้วนแต่สามารถจำได้อย่างง่ายดายแม้จะเพิ่งพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างฟาร์คัสเอลล์ก็รู้สึกกลิ่นอายของปีศาจที่ไม่รุนแรงเท่าคาร์บิลัสทำให้รู้ว่าเป็นผู้ติดตาม
“ ข้ามารายงานเรื่องการขอเข้าร่วมเป็นพันธมิตรขอรับ ” เป็นขุนนางที่ตำแหน่งสูงพอสมควร ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์อะไรแต่ภายในกับร้อนระอุเพราะความคิดที่หักล้างกับผู้เป็นนาย ข้าไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับดินแดนไหนทั้งนั้น !
“ ว่ามาเถอะ เมอร์ฟี ”
“ ดินแดนที่ประสงค์จะเป็นพันธมิตรได้แก่ดินแดนปีศาจ คนแคระ จิ้งจอกไฟ และดินแดนปักษาหิมะ ส่วนดินแดนอื่นประสงค์จะทำการค้าด้วยขอรับ ”
น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี เอลล์คิดในใจ มีดินแดนปีศาจด้วยงั้นเหรอ ? แต่ท่านพ่อของข้าจับเชลยเอาไว้นะ
เมอร์ฟีมองผู้เป็นราชาของดินแดนด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะดินแดนใดล้วนแต่ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น แต่ท่านเอลล์กลับเรื่องที่จะสร้างสัมพันธไมตรีที่ไม่อาจเชื่อถือได้ว่าแต่ละดินแดนจะรักษามันไว้ได้หรือไม่ “ ข้าขอตัวขอรับ ” เมอร์ฟีค้อมหัวพร้อมกับใช้มือซ้ายแตะที่บ่าของตัวเอง นี่เป็นการทำความเคารพต่อราชาของดินแดนภูต
เมื่อเมอร์ฟีเดินออกไปเอลล์ก็ยิ้มเบาบางเพราะรู้สึกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเมอร์ฟี ถึงแม้ว่าจะพยายามปกปิดแค่ไหนก็ตาม ถ้าเทียบกับเอลล์ที่ถูกฝึกมาให้จับอารมณ์น้ำเสียงแทนการมองใบหน้าหาอารมณ์ ไม่ว่าใครก็ตามในดินแดนภูต ตอนนี้ล้วนแต่ไม่พอใจในตัวข้าทั้งนั้น
สิ่งที่ข้าทำมันจะส่งผลดีต่อทุกคนจริงๆ งั้นเหรอ
ช่วยไม่ได้ข้าได้หยั่งขาลงไปแล้วข้างนึง
บางทีการเสี่ยงของข้าอาจจะได้อะไรที่คุ้มค่ากลับมาแทน
ถึงแม้จะต้องเอาตัวเข้าแลกก็ตาม
“ น่าเบื่อชะมัด ” ลุกซ์บ่นออกมาเซ็งๆ ในยามที่ไม่มีเอลล์อะไรก็น่าเบื่อทั้งนั้น ถ้าไม่ติดว่าข้าอยากจะช่วยเอลล์ข้ากลับไปกับท่านคาร์บิลัสแล้ว ทำยังไงได้ล่ะ ข้าอยากจะอยู่เคียงข้างเอลล์นี่
ราชาภูตผู้โดดเดี่ยวและตาบอดงั้นเหรอ
มังกรไฟจะเป็นสหายและดวงตาให้เจ้าเอง
แต่ข้าว่าข้าควรจะออกจากกรงเวทบ้าๆ นี่ให้ได้ซะก่อน ลุกซ์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะความเซ็งในตัวเองขั้นรุนแรง ทำไมไอ้ราชาภูตคนก่อนมันเก่งจังวะ ข้าลองทำทุกวิถีทางในการทำลายทั้งกรงเวทและตรวนโซ่ที่ล่ามข้าไว้ พ่นไฟก็แล้ว กระทืบก็แล้ว ใช้กำลังก็แล้ว เตะก็แล้ว แต่มันไม่มีประโยชน์เลยเพราะสะท้อนกลับใส่ข้าจนมึนและเจ็บตัวเป็นวันๆ
แต่สุภาษิตของเผ่าพันธุ์มังกรไฟคือ
ถ้าเจ้ายอมแพ้เจ้าก็เป็นแค่จิ้งจก !
ข้าจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองเป็นจิ้งจกเด็ดขาด เมื่อหายเจ็บตัวข้าก็ตะบี้ตะบันทำลายสิ่งที่พันธนาการข้าไว้ และมันก็กลายเป็นวัฎจักร.. ข้าทำลาย ข้าเจ็บ ข้าพัก ข้าหายแล้ว ข้าทำลายใหม่ อา ข้าช่างดูเป็นพวกรักการเจ็บปวดดีนะ แต่ว่าเอลล์ก็ขยันขนยามารักษาข้าเช่นกันบางทีก็ใช้เวทรักษาบ้าง ฉะนั้นข้าก็ทำมันต่อไปเรื่อยๆ โดยหวังว่ามันจะสำเร็จสักวัน
แต่ตอนนี้ข้ากำลังอยู่ในช่วงพักรักษาตัวอยู่เพราะเมื่อวานข้าหงุดหงิดไปพ่นลูกไฟใส่กรงจนมันสะท้อนกลับใส่ข้าซะมึนเลย ช่วงที่ข้าพักข้าก็นั่งเสกอะไรเล่นแก้เบื่อหรือคิดหาอะไรแปลกๆ ไว้แกล้งเอลล์ตอนที่มาเยี่ยมข้า
ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน ครั้งล่าสุดรู้สึกว่าพอเอลล์เข้ามาในห้องข้าก็เสกไว้คลุมตัวเอลล์ทันทีให้ตกใจเล่น แต่เอลล์ไม่สะดุ้งกับความร้อนของข้าเลยอีกทั้งยังเรียกเวทน้ำออกมาดับอีกต่างหาก ยังดีที่เวทของข้าเป็นเวทไฟไม่ใช่เวทแสงไม่เช่นนั้นอาจจะมีสายรุ้งปรากฎอยู่เต็มห้อง
ฉะนั้นข้าขอสรุปว่ามันเป็นอะไรที่ล้มเหลวสิ้นดี แต่ข้าก็ยังสรรหาวิธีการใหม่ๆ อยู่ดีเพื่อที่จะเรียกรอยยิ้มนั้นออกมา ข้านั่งเสกกระต่ายไฟให้มันกระโดดโหยงเหยงไปมาแก้เซ็งรวมถึงให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวภายในกรงขังแคบๆ อากาศที่ไม่ค่อยถ่ายเท อุณหภูมิที่เย็นและชื้นตลอดเวลา
ถ้าข้าออกไปได้ก็คงดีสินะ ดวงตาของลุกซ์หม่นลง ข้ามันโง่เง่าสิ้นดีที่ในตอนนั้นไม่ยอมออกไปพร้อมกับท่านคาร์บิลัสเพราะมัวแต่เป็นห่วงเอลล์กลัวว่าเอลล์จะไม่เจอข้าแล้วจะเสียใจ แทนที่ข้าจะหาทางลอบออกไปหาเอลล์ในเวลาอื่นนะ
“ เจ้าทำหน้าเหมือนกำลังจะตายนะ ลุกซ์ ”
ลุกซ์สะดุ้งจนกระต่ายไฟกลายเป็นสิงโตตัวย่อมคอยจะโจมตีแทน
คาร์บิลัสทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ลูกน้องของตัวเอง
“ ทะ ท่านคาร์บิลัส ” ลุกซ์เบิกตากว้างอย่างตกใจและสลายสิงโตไฟไป
“ เออ สิ ” คาร์บิลัสตอบพร้อมกับวาดวงเวทไว้ข้างๆ ตัวเองเพื่อเป็นทางผ่านให้ฟาร์คัสและดัฟฟ์ใช้เข้ามา ที่ไม่เข้ามาพร้อมกันเพราะคาร์บิลัสเข้ามาสำรวจความปลอดภัยก่อน
ฟาร์คัสขมวดคิ้วเมื่อก้าวขาเข้ามาในคุกใต้ดินที่คาร์บิลัสบอกไว้ว่าใช้ขังมังกรไฟ อากาศภายในนี้ค่อนข้างหายใจลำบาก
“ หายใจไม่ออกอ่ะ แก๊ซ ” ดัฟฟ์งอแงใช้หัวถูกกับขาของฟาร์คัส
“ อยู่นิ่งๆ เงียบๆ ไปดัฟฟ์ ”
“ หึ ” คาร์บิลัสแค่นเสียงและยิ้มใส่ดัฟฟ์อย่างสะใจ ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็โดนฟาร์คัสเอ็ดบ้างแล้ว ไอ้มังกรบ้า และต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อฟาร์คัสเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นโมโหแล้ว
“ รอเอลล์ก่อน ” ฟาร์คัสบอกเสียงเรียบ
ลุกซ์ขยี้ตาตัวเองซ้ำอีกครั้ง ท่านคาร์บิลัส ? กลัวปีศาจอีกานั้น ? พูดเป็นเล่น ท่านราชาปีศาจที่โหดเหี้ยมทระนงตัวคนนั้นน่ะเหรอ
“ ท่านคาร์บิลัส ท่านกลัวอีกางั้นเหรอ ”
“ พูดบ้าอะไรของเจ้า ” คาร์บิลัสตอบกลับเสียงเหี้ยม
“ ก็ท่านเปลี่ยนสีหน้าทันที ที่เจ้าอีกาทำหน้าโมโหนี่ขอรับ ” ลุกซ์ยังคงถามต่ออย่างไม่เกรงกลัวคาร์บิลัส จะเรียกว่าความเลือดร้อนของลุกซ์ก็ได้ที่ทำให้เจ้าตัวไม่กลัวราชาปีศาจอีกทั้งยังกล้าคุยตรงๆ ด้วยอีก แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ลุกซ์มักจะโดนคาร์บิลัสลงทัณฑ์บ่อยๆ
“ ข้าไม่ได้กลัว ” คาร์บิลัสตอบแต่เสียงไม่หนักแน่นนักพลางเหลือบมองร่างของฟาร์คัส
ลุกซ์เลิกคิ้วอย่างสนใจ
ฟาร์คัสไม่ได้สนใจคาร์บิลัสที่คุยกัน เพราะสิ่งที่สนใจเป็นลวดลายบนผนัง อักษรต่างๆ ที่น่าจะเป็นภาษาภูตและรูปภาพปีศาจที่กำลังไล่ฆ่าภูต ถึงแม้ภาพจะดูไม่ชัดแต่ก็รู้สึกถึงความแค้นของผู้ที่วาดออกมา การลงฝีแปรงที่รุนแรงในภาพของปีศาจและอ่อนนุ่มในภาพของชาวภูต ซึ่งพอมองไปนานๆ กลับรู้สึกสลดไม่น้อย สงครามไม่เคยก่อสิ่งที่ดีให้แก่ฝ่ายใดเพราะทั้งสองฝ่ายล้วนเสียหายและเสียใจ
ข้าน่าจะเลือกสิ่งที่ถูกแล้วสินะ ฟาร์คัสคิดเงียบๆ
แกร๊ก
“ ขออภัยที่ข้ามาช้า ” เสียงกลไกดังขึ้นพร้อมกับปรากฎร่างเจ้าของดินแดน เอลล์ยิ้มบางเมื่อก้าวลงมาถึงหน้ากรงขังของลุกซ์ “ ต้องการจะคุยอะไรหรือ ท่านคาร์บิลัส ”
“ ให้ผู้ติดตามของข้าคุยเถอะ ” คาร์บิลัสบอกปัดเพราะเรื่องนี้ยกให้ฟาร์คัสตัดสินใจ
“ เจ้าต้องการปล่อยตัวลุกซ์ไหม เอลล์ ” เพราะที่เอาคาร์บิลัสมาก็เพื่อการนี้
“ อยากสิ ” เอลล์ตอบไปตรงๆ “ แต่ถ้าข้าปล่อยไป ท่านพ่อของข้าคงไม่นิ่งเฉยแน่ ฟาร์คัส ” และยิ้มเศร้าๆ ออกมา
“ งั้นถ้าให้คาร์บิลัสช่วยออกไปแล้วกัน ” ฟาร์คัสสรุปง่ายๆ และหันไปสั่งคาร์บิลัส “ เอามังกรไฟลูกน้องของเจ้าออกมา ”
เอลล์นิ่งค้างไปทันทีอย่างคาดไม่ถึงแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร
“ ได้เลย ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสตอบอย่างกระตือรือร้นเรียกดาบสีดำสนิทคู่ใจออกมา “ ออกไปไกลๆ แล้วกัน ” ประโยคนี้คาร์บิลัสบอกกับลุกซ์และตวัดดาบใส่ลูกกรงเวทอย่างสนุกสนานจนลูกกรงเวทนั้นสลายหายไปทั้งหมดเหลือเพียงไอจางๆ ล่องลอยในอากาศซึ่งไม่มีผลอะไรต่อสิ่งมีชีวิต
ลุกซ์มองลูกกรงตาค้าง ไอ้ลูกกรงที่ข้าคอยถีบ เตะ กระทืบ พ่นไฟ แค่มันโดนดาบของท่านคาร์บิลัสก็หายไปง่ายๆ แล้ว
คาร์บิลัสก้าวขาเข้าไปใกล้ลุกซ์เพ่งมองตรวนโซ่ของเมเออร์ “ ตรวนแค่นี้เจ้าก็เอาออกไม่ได้นะ ลุกซ์ ” และแค่นสายตาเวทนาใส่ลุกซ์ คาร์บิลัสหยิบตรวนเวทขึ้นมาและกำเบาๆ มันก็กลายเป็นฝุ่นผงสีทองทันที
“ ข้าไม่ใช่ราชาปีศาจเช่นท่านนี่ถึงได้มีพลังล้นเหลือขนาดนั้น ” ลุกซ์บ่นแต่ร่างกายนั้นได้เข้าไปใกล้เอลล์และใช้มือถอดหน้ากากของเอลล์อย่างอ่อนโยน
เอลล์ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะรู้ว่าผู้ที่ถอดหน้ากากให้ตนนั้นคือ คนที่อยากให้ออกจากกรงขังมาตลอด เอลล์ยิ้มเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือหยาบร้อนที่ลูบไล้ใบหน้าของตัวเอง
“ ลืมตาสิเอลล์ ” ลุกซ์กระซิบ
เอลล์ยอมลืมตาตามที่ลุกซ์บอกแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม
ลุกซ์ลูบตาของเอลล์ด้วยความเศร้า เมื่อไหร่กันที่ดวงตาคู่นี้จะสะท้อนภาพของข้ากัน
“ เอ่อ เอลล์ ข้าขอคุยก่อนแปปนึง ต่อจากนั้นพวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำเถอะ ” ฟาร์คัสพูดสีหน้าติดจะแดงเพราะรับรู้ถึงความ
สัมพันธ์ของร่างตรงหน้าทั้งสองคน แปลว่าตามที่ข้าคาดเดาจริงๆ มังกรไฟที่ว่าคือลูกน้องของคาร์บิลัสนั่นเอง
คาร์บิลัสหน้ามุ่ยเหมือนเห็นฟาร์คัสหน้าแดงเพราะคนอื่น อะไรกัน ทีข้าทำอะไรทำนองนี้ด้วยกลับไม่หน้าแดงเอาแต่ทำร้ายข้าเหมือนกับข้าเป็นกระสอบทราย คาร์บิลัสยิ่งเศร้าเข้าไปอีกเมื่อนึกถึงเรื่องหลัง
เอลล์สะดุ้งตัวออกจากลุกซ์และหน้าแดงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นอยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของฟาร์คัสแต่ก็รู้สึกถึงน้ำเสียงที่กระดากอาย “ เรื่องของลุกซ์ ข้าว่าอีกไม่นานท่านพ่อต้องรู้แน่ๆ ว่าตรวนของตัวเองถูกทำลาย ”
“ ก็แค่บอกว่าคาร์บิลัสบุกเข้ามาช่วยลูกน้องของตัวเองก็น่าจะจบแล้วล่ะ เอลล์ ” ฟาร์คัสตอบราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ แต่ว่าเจ้าพึ่งจะประกาศเป็นพันธมิตรกับดินแดนเราเองนะ ข้าว่าข้าบอกว่าปล่อยตัวเพื่อแลกกับสานสัมพันธไมตรีไม่ดีกว่าเหรอ ” เอลล์ขมวดคิ้วถาม
“ เจ้าคิดว่าพ่อของเจ้าจะยอมเหรอ เอลล์ ”
“ ตามนั้นนั่นแหละ ” เอลล์พยักหน้าหงึกหงักเพราะคิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออก “ แล้วลุกซ์ต้องกลับกับเจ้าหรือเปล่า ” และน้ำเสียงติดจะเศร้าในประโยคท้าย
“ ข้าไม่กลับ ” ลุกซ์ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ ใครว่าข้ามารับเจ้าล่ะ ” คาร์บิลัสตอบด้วยน้ำเสียงยียวน
“ ไม่ล่ะ ข้าเบื่อมังกรเต็มทนแล้ว ” ฟาร์คัสพูดพร้อมกับเหล่ไปมองดัฟฟ์ที่ทำหน้าเศร้าอย่างสุดซึ้ง
“ แง้ ดัฟฟ์จะไม่ดื้อ ”
“ เรื่องของเจ้า ” ฟาร์คัสตอบอย่างเย็นชาและหันไปมองลุกซ์ “ ส่วนลุกซ์เจ้ามากับพวกข้าก่อน เมเออร์จะได้เชื่อว่าคาร์บิลัสบุกชิงจริงๆ ”
“ ก็ได้ ข้ายังไงก็ได้อยู่แล้ว ขอแค่พอเรื่องจบข้าได้อยู่กับเอลล์ก็พอ ” ลุกซ์มองเอลล์สายตาเศร้าๆ อะไรกันนี่ข้าแค่เพิ่งออกมาได้ไม่นานก็ต้องหนีไปกบดานแทนที่จะได้อยู่กับเอลล์งั้นเหรอ
“ งั้นก็เตรียมหนีได้แล้วล่ะ ” ฟาร์คัสเหลือบมองไปทางบันไดที่เหมือนได้ยินเสียงพังอะไรบางอย่าง
“ ไม่ ข้ายังไม่ได้ลาเอลล์เลย ” ลุกซ์ทำท่าจะโผเข้าใส่เอลล์
คาร์บิลัสสสสสสส !
เสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวดังลั่นขัดกับอายุที่ล่วงมามาก เมเออร์พังกลไกประตูเข้ามาเพราะรู้สึกถึงเวทพันธนการของตัวเองที่ถูกทำลาย
“ เผ่นกันเถอะ ! ” คาร์บิลัสร่ายเวทขนาดยักษ์ที่ครอบคลุมทุกคนและหายไปทันที
ทิ้งไว้เพียงเมเออร์กระฟัดกระเฟียดอย่างโมโห
นี่มันหยามข้ามากเกินไปแล้ว !
ร่างชราคิดอย่างเคียดแค้น
“ โซแวน ” วารันเรียกเพื่อนสนิทของตัวเองที่นอนอยู่บนตักตัวเองอยู่ ใบหน้าของโซแวนติดจะขมวดอยู่จนวารันอดนวดให้เบาๆ ไม่ได้จนคิ้วที่ขมวดคลายออก
“ อะไร ” โซแวนถามสั้นๆ จะใช้อะไรข้าอีก หืม ?
“ เจ้าช่วยไปหาฟาร์คัสแทนข้าทีสิ ข้าอยากให้ของรับขวัญน่ะ ” วารันใช้นิ้วจิ้มเข้าที่จมูกของโซแวนอย่างนึกสนุกเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมลืมตาสักที
“ ข้าจะได้อะไรถ้าข้าไปล่ะ วารัน ”
“ งั้นอ้อมกอดอุ่นๆ ของข้าไหมล่ะ โซแวน ” วารันฉีกยิ้มให้กับโซแวนเมื่ออีกฝ่ายลืมตาขึ้นมา
“ เฮ้อ เจ้าไม่เคยรู้อะไรเลยจริงๆ ” โซแวนหลับตาลงอีกครั้งปล่อยให้มือซุกซนเล่นหน้าเล่นตาไปอย่างไม่ถือสา
“ เจ้าไม่ชอบอ้อมกอดของข้างั้นเหรอ ” วารันทำท่าคิด “ ข้าติดแหง็กอยู่ในต้นไม้นี่ไปอีกชาตินึง ข้าของที่เจ้าต้องการให้เจ้าไม่ได้หรอกนะ ”
“ เจ้ามีมันอยู่แล้ว วารัน ”
“ มีอยู่แล้ว ? ”
“ ช่างมันเถอะ ” โซแวนถอนหายใจ “ เจ้าจะให้ข้าเอาอะไรไปให้ล่ะ ”
“ ช่างไม่ได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าโดนข้าใช้โดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนนะ เจ้าไม่ใช่คนใช้ของข้าสักหน่อย ”
“ ข้าว่าตอนนี้ก็เหมือนข้าเป็นนะ ”
“ อะไรกัน ข้าก็เสนออ้อมกอดอุ่นของข้าเป็นการตอบแทนแล้วไง ”
“ ของไร้สาระพรรค์นั้นข้าไม่ต้องการ ”
“ อ๋า เจ้าหาว่าอ้อมกอดของข้าไร้สาระเหรอ ” วารันทำเสียงเศร้าแต่หน้าตากลับยังยิ้มแย้ม
“ ใช่ ”
“ ข้าเสียใจนะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ ”
“ สรุปเจ้าจะให้ข้าเอาของสะสมของเจ้าอันไหนไปให้ ฟาร์คัสกัน ”
วารันนั่งคิดสักพักและดันหัวโซแวนออกจนกระแทกกับเก้าอี้ วารันวิ่งไปยังตู้เก็บของของตัวเองทิ้งให้โซแวนกัดฟันกรอด
“ ถ้าเผลอเมื่อไหร่ข้าจะเอาให้หนักเลย วารัน ” แต่เสียงที่พูดออกมากลับอ่อนโยน
วารันเอาหัวมุดเข้าไปตู้เก็บของที่ทะลุไปมิติไหนไม่รู้ทำให้สามารถเก็บของได้มากมายเป็นภูเขาได้หลายลูก
โซแวนลูบหัวตัวเองและเดินตามมายืนข้างหลังวารัน
“ เอาล่ะ ข้าจะให้น้ำตาเงือกไปแล้วกัน ” วารันยิ้มและยื่นให้โซแวน
-------------------------
มาแล้วววววววว
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ
ดีใจที่ชอบค่ะ