Episode 12: หมากกระดานจากประสบการณ์ที่พบเจอมาในชีวิต คริสบอกกับเจเรมีว่าอย่าเดินตามแผนการที่เดร็กวางไว้เด็ดขาด เพราะตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากหมากกระดานและเจเรมีก็คือ ‘คิง’ ของฝ่ายเจอโรม หากเขาเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียว นั่นเท่ากับว่าเจอโรมและตระกูลเมอร์ซีจะพ่ายแพ้ย่อยยับทันที อิสรเสรีที่เขาเฝ้าคอยที่จะออกจากคุกแห่งนี้ก็จะถูกลิดรอนไปเหมือนกัน เจเรมีจึงได้แต่อดกลั้นทุกความรู้สึกเอาไว้ในใจ แม้ว่าจะอยากทำตามความต้องการของตัวเองมากเพียงใดแต่เขาก็ตระหนักรู้เสมอว่าที่เรื่องมันยุ่งยากมาจนถึงนาทีนี้เป็นเพราะความใจร้อนของเขา
หากแต่คนอย่างเจเรมีเก็บความรู้สึกคับแค้นใจและทำตัวสงบเสงี่ยมได้ไม่นานนักเมื่อเดร็กรู้ดีว่าจุดอ่อนของชายหนุ่มคนนี้คือครอบครัว
ในเมื่อใช้มารดาเป็นเหยื่อล่อแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องเข้าทางบิดา ถึงจะยังไม่ได้ลงมือเลยเสียทีเดียวเพราะไม่ว่าอย่างไร เจอโรมก็ยังมีอำนาจเก่าและฝักฝ่ายที่เข้าข้างเขาอยู่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้สถานะของท่านผู้นำรายนั้นย่ำแย่ลงกว่าเดิม
ให้อยู่ในจุดที่เสี่ยง...
ให้หมากกระดานตัวหลักของเจอโรมยอมก้าวออกจากตำแหน่งเดิม...
ทั้งหมดก็เพื่อบีบบังคับให้เจอโรมยอมสละอำนาจ ถึงจะรู้ว่าเจอโรมไม่ยอมปล่อยมือจากอำนาจในมือเป็นเพราะเขาต้องการใช้มันเพื่อปกป้องครอบครัว แต่สำหรับฝ่ายของเดร็กและท่านผู้นำตระกูลอื่นๆ แล้ว การที่เจอโรมคานอำนาจการปกครองอยู่อย่างนี้ไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่นัก
ดังนั้นการใช้ ‘เหยื่อล่อ’ จึงจำเป็นต้องกระทำ
อัลเบิร์ตคือหมากอีกตัวในเกมนี้ เขามาเหยียบที่แดนขังแห่งนี้อีกครั้งในรอบสัปดาห์โดยมีจุดมุ่งหมายคือการขอพบเจเรมี หากแต่การขอเข้าพบครั้งนี้ออกจะง่ายดายสักหน่อยนักทั้งที่หลังจากที่เจอกับเจเรมีและทำให้เจเรมีอาละวาดในครั้งแรก เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบเพื่อนสนิทอีกเลย เว้นเสียแต่ครั้งนี้ที่ทางเจ้าหน้าที่แทบจะเป็นฝ่ายไปอุ้มเขามาจากบ้านเสียด้วยซ้ำ
ทั้งหมดก็เป็นเพราะเขาถูกใช้ให้มาเป็นนกพิราบสื่อสาร...
อัลเบิร์ตนั่งรอการมาถึงของเพื่อนด้วยความรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่นัก ครั้งนี้เขาไม่ได้มาพบกับเจเรมีที่ห้องเยี่ยมนักโทษซึ่งมีกระจกกั้น หากแต่เป็นห้องส่วนตัวที่มีผู้คุมยืนรักษาความเรียบร้อยอยู่รอบๆ แทน รออยู่พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่อีกฝ่ายจะถูกนำตัวมา
ทันทีที่ร่างใหญ่ของชายหนุ่มผมบลอนด์ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า อัลเบิร์ตก็ทำลายความเงียบขึ้น
“นายโอเคไหม?”
“ไม่” เจเรมีตอบโดยไม่ต้องครุ่นคิด “แล้วนายล่ะ”
อัลเบิร์ตส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ
แหงล่ะ เป็นใครก็ต้องไม่โอเคกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะอัลเบิร์ตซึ่งมาเหยียบย่างสถานที่แห่งนี้โดยไม่เต็มใจ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมาเจอหน้าเพื่อนคนนี้ เขาอยากเจอ...แต่ต้องไม่ใช่การถูกบังคับ
เจเรมีเห็นเพื่อนว่าอย่างนั้นก็คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะกังวลเรื่องบิดา แมทธิวเองก็เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ฝักฝ่ายเจอโรม แน่นอนว่าหนีไม่พ้นการถูกจ้องเล่นงานและเสี่ยงอยู่ในอันตรายเช่นกัน ซ้ำยังสนิทกับตระกูลเมอร์ซีเสียขนาดนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว
“พ่อฉันอนุญาตให้นายมาเจอฉันได้แล้วเหรอ?”
หากแต่เจเรมีไม่พูดให้เพื่อนกังวล เพียงแค่รับรู้ในใจก็เพียงพอ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อบ่ายเบี่ยงความกังวลใจ
“ยังหรอก ฉันมาเองน่ะ” อัลเบิร์ตยิ้มน้อยๆ อึดอัดใจพอดูที่จะต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาไม่เคยเก็บสีหน้าและท่าทางได้เลย เพียงแค่ประโยคเดียว เจเรมีก็ดูออกแล้ว ก่อนถอนหายใจออกมา เข้าเรื่องฉับพลันด้วยไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรหากต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“มาหาฉัน มีธุระอะไร”
อัลเบิร์ตเหลือบมองด้วยสายตาไม่มั่นใจ กระนั้นก็ยังพยายามหยักยิ้ม
“ฉันก็แค่มาเยี่ยมนาย อยากรู้ว่านายเป็นยังไงบ้าง”
“คิดว่าฉันโง่เหรออัล จู่ๆ ก็โผล่หัวมาหาฉัน แถมยังเป็นห้องสัปปะรังเคนี่อีก มีอะไรก็พูดมา” เป็นอีกครั้งที่เจเรมีว่าออกมาโต้งๆ
อัลเบิร์ตรู้ว่าปิดบังอะไรเจเรมีไม่ได้แล้ว จึงจำเป็นต้องเปิดปากพูด
“ที่ฉันมาหานายวันนี้ก็เพราะว่า...” แล้วก็ชั่งใจไปครู่หนึ่งว่าจะพูดดีหรือไม่
สีหน้าไม่สู้ดีทำให้เจเรมีต้องถามซ้ำ “เพราะว่าอะไร”
“เพราะ...ได้ยินข่าวลือมาว่าพ่อของนายกำลังจะถูกจัดการ”
ฟังแล้วก็ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เจเรมีพอจะเดาได้ว่ามันเป็นแผนของเดร็กที่จะใช้บิดามาล่อลวงเขาให้เข้าร่วมการแข่งขันเวรนั่น
อย่างที่คริสบอก เขาไม่ตกหลุมพรางกับดักนั่นหรอก!
“ถ้ามันจะจัดการ มันทำไปนานแล้ว” คนฟังข่มความรู้สึกเมื่อครู่ พูดออกไปด้วยท่าทีสบายๆ
“แต่มันก็ทำกับแม่ของนายไปแล้วนะ” อัลเบิร์ตว่าเสียงแผ่ว ไม่อยากจะพูดตอกย้ำเพื่อนเท่าไหร่แต่ก็ต้องพูด
“มันใช้แม่ฉันไปบีบให้พ่อต้องยอมจำนนไง และตอนนี้มันก็พยายามจะใช้ฉันเป็นเหยื่อ ข่าวลือที่นายได้ยินมา มันก็แค่ข่าวลวง”
อัลเบิร์ตพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องพูดอย่างนี้ เขาได้ยินจาก ‘คนที่ใช้ให้เขามา’ แล้วเหมือนกัน
มันถูกต้อง แต่ไม่ใช่เสียทั้งหมดเพราะเป้าหมายของคนคนนั้นไม่ใช่แค่เจอโรมหรือเจเรมี หากแต่เป็น ‘ใครบางคน’ ที่สำคัญกับเขามากเช่นกัน
“แต่ข่าวลวงก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นจริงนี่” อัลเบิร์ตแย้ง ก่อนให้คำอธิบาย “เจมี่ ฟังฉันให้ดี นายอยู่ที่นี่ร่วมเดือนแล้ว นายไม่รู้เลยสักนิดว่าข้างนอกวุ่นวายกันขนาดไหน สถานการณ์มันแย่มากเกินกว่าจะกู้คืนแล้ว พ่อของนายช่วยนายออกจากที่นี่ไม่ได้ และเขาเองก็กำลังจะถูกลอบฆ่า พวกนั้นมันทำแน่ถ้ามีโอกาส นายจะยอมเสียทั้งพ่อทั้งแม่ไปหรือไง”
ใครจะยอมเสียไป เจเรมีไม่ยอมอยู่แล้ว
เขานั่งนิ่ง ใบหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่ออัลเบิร์ตเองก็แสดงท่าทางจริงจัง พลันถามเสียงต่ำ
“นายต้องการจะบอกอะไรฉันกันแน่”
เข้าประเด็นอีกครั้ง
อัลเบิร์ตสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนค่อยๆ พูด
“ฉันอยากให้นายปกป้องคนที่เคยปกป้องนาย นายรู้เรื่องที่นายพลแฮร์ริสันกับผู้นำอีกสามตระกูลจะทำโครงการนำร่องการจำกัดนักโทษชั้นเลวแล้วใช่ไหม”
เจเรมีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ยกมือขึ้นกอดอก ไม่ตอบแต่ท่าทางนั้นเป็นการตอบรับคำถาม
“นายเป็นหนึ่งในนักโทษชั้นเลวพวกนั้น...” อัลเบิร์ตย้ำแม้จะไม่อยากพูดเพราะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าเจเรมีไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาถูกยัดเยียดความผิดให้
“ฉันรู้” เจเรมีขานรับ “แล้วนายอยากจะให้ฉันทำอะไร”
ถามตรงประเด็นอีกแล้ว คราวนี้ไม่มีเหตุผลที่อัลเบิร์ตจะต้องพูดอ้อมไปอ้อมมาอีก
“ฉันอยากให้นายเข้าร่วม แต่ฟังก่อน ฉันรู้ว่ามันเป็นแผนที่จะบีบให้นายกับพ่อนายจนมุม แต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้านายรอให้พ่อนายช่วยออกไป ฉันบอกเลยว่ามันค่อนข้างจะ...ยาก”
จริงอย่างที่อัลเบิร์ตว่า ถ้ามันง่าย ป่านนี้เขาได้ออกไปตั้งนานแล้ว
“ฟังให้ดีนะเจมี่ นายต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นคนที่เคยช่วยเหลือนายลำบากกันหมดแน่”
“นายหมายถึงตระกูลวอล์กเกอร์ด้วยใช่ไหม?”
ถูกเอ่ยชื่อตระกูลของตัวเอง อัลเบิร์ตก็พยักหน้า
จับทางได้แล้วว่าอัลเบิร์ตกังวลว่าครอบครัวตัวเองจะเดือดร้อน เจเรมีเห็นใจเพื่อนสนิทอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องนี้เขาจะต้องเก็บเอาไปคิดก่อน
“ฉันขอเวลาตัดสินใจหน่อย”
ท่าทางลังเลทำให้อัลเบิร์ตเม้มริมฝีปากแน่น ดูเลิ่กลั่กขึ้นมาฉับพลันก่อนจะโพล่งขึ้น
“อย่านานนักนะ นายไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
เจเรมีสบตาที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและหวาดกลัวของเพื่อนสนิทก็พอเข้าใจก่อนจะพยักหน้ารับ
“ขอเวลาฉันอีกหน่อยแล้วกัน”
ใจจริงอยากจะเร่งรัดให้ตอบตกลงเสียเดี๋ยวนั้น แต่คนอย่างเจเรมีจะไปบังคับอะไรได้ อัลเบิร์ตจึงได้แต่ยินยอมโดยไร้เงื่อนไขใดๆ
“ได้ ฉันจะรอคำตอบนะ” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนด้วยเห็นว่าผู้คุมส่งสัญญาณมาเป็นเชิงว่าหมดเวลาพูดคุยแล้ว
เจเรมียืนขึ้นบ้าง เตรียมจะหันไปหาผู้คุมให้พากลับไปที่ห้องขัง หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่ออัลเบิร์ตทักขึ้น
“แต่จำไว้อย่างนะเจมี่ ต่อให้หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะอยู่ข้างนาย ถึงนายจะไม่เชื่อ แต่ฉันจะอยู่ข้างนาย”
คงจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องเป็นคนมาขอร้องให้เพื่อนเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับเกมทุเรศๆ อย่างนั้น
เจเรมีหยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่อ่านไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่ ก่อนจะสวนกลับไป
“ไว้ไปเจอกันข้างนอก”
เป็นคำมั่นสัญญาว่าไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะออกไปจากแดนขังแห่งนี้ให้จงได้ อัลเบิร์ตไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีไหน แต่ก็ภาวนาขอให้เป็นอย่างที่เจเรมีพูด
เขาอยากจะพูดคุยกับเจเรมีที่โลกด้านนอกมากกว่าในคุกอย่างนี้มากกว่าเป็นไหนๆ
สายตามองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินออกจากห้องไปด้วยความสับสน เขาไม่ควรทำอย่างนี้เลยแต่ถูกมัดมือชกอย่างนี้แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเจเรมีหายไปจนลับสายตาแล้ว ผู้คุมที่ยังอยู่ในห้องก็ตรงมาหาเขาพร้อมกับโทรศัพท์ซึ่งต่อสายตรงถึงใครบางคน
[ไม่สำเร็จใช่ไหม?]
น้ำเสียงแหบห้าวดังเข้ามาให้ได้ยิน
เสียงของนายพลแฮร์ริสัน...
“ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ขอเวลาให้เขาตัดสินใจหน่อยครับ” อัลเบิร์ตตอบกลับ
[เร็วหน่อยก็แล้วกัน นายเองมีเวลาไม่มากสักเท่าไหร่นัก พ่อของนายจะอยู่หรือไป ขึ้นอยู่กับไอ้เวรนั่น]
อีกฝ่ายว่ามาอย่างนี้ ทำเอาอัลเบิร์ตกำโทรศัพท์แน่น
ใช่... เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาบอกว่าบิดาของเจเรมีกำลังถูกวางแผนฆ่า นั่นเป็นเรื่องโกหก คนที่ถูกวางแผนฆ่าน่ะคือ แมทธิว วอล์กเกอร์ บิดาของเขาที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้และไม่ยอมถอนตัวออกมาแม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงถึงขั้นวิกฤตก็ตาม
และมันเป็นจุดอ่อนที่ทำให้แมทธิวตกอยู่ในอันตราย เดร็กฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปขู่กับแมทธิวโดยตรง ทว่าเลือกบุตรชายที่อ่อนแอและไร้ทางสู้แทน ดังนั้นการที่อัลเบิร์ตมาพบกับเจเรมีในวันนี้ไม่ได้มาเพื่อใครหน้าไหนทั้งนั้น
เขามาเพื่อปกป้องบิดา แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการหักหลังเพื่อสนิททางอ้อมก็ตาม แต่เขาก็ต้องทำ
เพื่อที่จะรักษาชีวิตของคนที่เขารักไว้ มันไม่มีทางเลือก...
มือส่งโทรศัพท์คืนให้กับผู้คุม ความรู้สึกผิดพร่างพรายเข้ามาในอกอย่างท่วมท้น
ถ้ารู้ว่าทุกอย่างจะลงเอยอย่างนี้ เขาจะไม่ห้ามเจเรมีไม่ให้ทำร้ายธีโอในวันนั้น
เขาจะยุให้ฆ่า...
ในเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมามันไม่ต่างกันก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้
เพิ่งจะเข้าใจในตอนนี้เองว่าการเกลียดชังใครสักคนจนแทบไม่สามารถอยู่ร่วมโลกได้มันเป็นอย่างไร
เกลียดจนอยากฆ่าให้ตาย... ถ้าเขาเข้มแข็งเหมือนเจเรมีล่ะก็ เขาคงจะไม่มายืมมือเจเรมีอย่างนี้แน่นอน
หลังจากที่ถูกส่งตัวกลับเข้าห้องขังในวันนั้น เจเรมีก็ใช้เวลาหลายวันในการขบคิดถึงคำพูดของอัลเบิร์ต จะบอกว่าเขาไม่เชื่อที่อัลเบิร์ตพูดร้อยเปอร์เซ็นต์มันก็ไม่ใช่ เขาเองก็กังวลใจเช่นเดียวกันและคงทนไม่ไหวแน่ถ้าหากบิดาเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน
ความลังเลนั้นก่อให้เกิดความอัดอั้น เขาหลุดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้คริสฟัง และลงท้ายด้วยการที่คริสบอกว่า...
“อย่าตอบตกลงไปเชียว มันก็แค่กับดัก”
ทำไมเจเรมีจะไม่รู้ล่ะ รู้อยู่แก่ใจ แต่ว่า...มันก็อดเป็นพะวักพะวนใจไม่ได้อยู่ดี
และหนักข้อขึ้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเริ่มมีการรายงานข่าวทางโทรทัศน์ว่าเจอโรมถูกมือสไนเปอร์ยิงโดยไม่หวังผลคล้ายกับว่าเป็นการขู่ นั่นทำให้เจเรมีรู้ว่าเขาเริ่มถูกบีบคั้นแล้ว และถ้าหากยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างอยู่อย่างนี้ มีหวังเขาได้เสียคนที่รักไปอีกคนแน่
ดังนั้นคำเตือนของคริสจึงไม่มีผลใดๆ กับเขาตั้งแต่วินาทีนี้ทั้งสิ้น ทันทีที่ได้ยินข่าวนั้น เขาก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะเข้าร่วม คริสเอ่ยปากห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังจนเขาจนปัญญาที่จะห้ามแล้ว จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เลือกทางเดินของชีวิตตัวเองโดยที่เขาจะไม่เอาชีวิตไปเสี่ยง
ทว่า... มีเหรอที่นักโทษอย่างเขาหรือจะรอด
หากเป็นนักโทษคดีกบฏธรรมดา เขาอาจจะรอดก็ได้ แต่เขาดันเป็นคู่แห่งโชคชะตาของเจเรมีนี่สิที่ทำให้ถูกจับยัดลงมาเป็นหมากในเกมนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ
สุดท้ายแล้วก็ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกับเจเรมีอีก คราวนี้จากที่เตือนให้เจเรมีควบคุมตัวเอง อยู่อย่างสงบ ไม่ให้ไปมีเรื่องกับใครในคุกเพื่อที่จะได้อยู่ง่ายๆ กลายเป็นว่าต้องมาเตือนไม่ให้เจเรมีไปยุ่มย่ามเรื่องของใครในระหว่างการล่าอีกเพื่อที่จะได้มีชีวิตรอด
มีชีวิตรอด... เขาเน้นย้ำประโยคนี้หลังจากที่ได้ฟังกฎกติกาในการเป็นผู้ชนะโครงการนำร่องการกำจัดนักโทษชั้นเลว ซึ่งตอนนี้เขาเรียกมันว่าเกม
ในเกมนี้จะมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นสิบห้าคน เป็นอัลฟ่าสิบคนและโอเมก้าอีกห้าคน ทุกคนจะมีเวลาสามสิบวันในการเล่นเกม เกมนี้มีกฎอยู่ไม่กี่ข้อในการเป็นผู้ชนะ
ข้อแรก... อัลฟ่าและโอเมก้าที่เป็นของกันและกันและเหลือชีวิตรอดถึงคู่สุดท้ายจะได้ทุกสิ่งตามปรารถนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามได้หนึ่งประการ
ข้อสอง... โอเมก้าสามารถเลือกได้ว่าจะยอมเป็นของอัลฟ่าสักคนเพื่อให้อัลฟ่าปกป้องหรือฆ่าอัลฟ่าก็ได้ แต่โอเมก้าก็ต้องฆ่ากันเองด้วยเพื่อให้เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ
ข้อสาม... อัลฟ่าไม่สามารถเป็นผู้ชนะถ้าหากไม่ได้ครอบครองโอเมก้าต่อให้อยู่รอดเป็นคนสุดท้ายก็ตาม ถ้าโอเมก้าตายหมด เท่ากับว่าการมีชีวิตรอดนั้นจะไร้ความหมาย ดังนั้นกฎเหล็กของเกมคืออัลฟ่าต้องพยายามรักษาชีวิตของโอเมก้าเอาไว้ แต่ไม่ได้ห้ามฆ่า
กฎในการแข่งขันเช่นนี้ ฟังครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนออกกฎต้องการให้อัลฟ่าฆ่ากันเอง ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้โอเมก้าถูกย่ำยีจนถึงขีดสุด หากโอเมก้ายินยอมเป็นของอัลฟ่าสักคนและอัลฟ่าคนนั้นถูกฆ่าตาย ก็ต้องตกเป็นของอัลฟ่าคนอื่น
ไม่ว่าอย่างไร เกมนี้มันก็วิปริตชัดๆ
เจเรมีฟังกฎแล้วก็นิ่วหน้า เขาเกลียดการที่สวะพวกนี้ดูแคลนโอเมก้าราวกับไม่ใช่มนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาได้ฟังการกดขี่โดยปราศจากมนุษยธรรมอย่างนี้ เขาก็ยิ่งเกลียดชังชนชั้นบรรดาศักดิ์ของโครงสร้างสังคมนี้มากขึ้นไปอีก
มันเน่าเฟะ... ทุเรศ... ดักดาน...
ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายใดมาพรรณนาความชั่วร้ายของระบบทางสังคมเช่นนี้ดี รู้สึกแย่ยิ่งกว่านั้นด้วยเมื่อรู้ว่าโอเมก้าที่เข้าร่วมในเกมครั้งนี้ไม่ได้สมัครใจ แต่ถูกบังคับมา
มันเป็นการถูกบังคับให้มาตายชัดๆ!
ถึงจะเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ แต่โอเมก้าเหล่านั้นก็ควรมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง
ทำไมล่ะ ในเมื่อนักโทษชนชั้นอัลฟ่ายังตัดสินใจเองได้ แล้วทำไมโอเมก้าถึงทำไม่ได้!?
เจเรมีพยายามจะกักเก็บความขุ่นข้องใจนั้นไว้ภายในเมื่อหูได้ยินคริสเตือนว่าอย่าไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง กฎของการอยู่ในคุกอย่างสงบสุขคือไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างนักโทษด้วยกันหรือเรื่องระหว่างนักโทษกับผู้คุมก็ตาม โดยเฉพาะการมาทำเรื่องบ้าๆ ที่มีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน ยิ่งไม่ควรไปยุ่งเรื่องคนอื่นเข้าไปใหญ่ถ้าอยากมีชีวิตรอดเป็นผู้ชนะ
มันเป็นวิธีที่ฉลาด...เจเรมีเห็นด้วย หากแต่การที่เขาถูกจับมาตรวจร่างกายพร้อมกับนักโทษคนอื่นๆ ที่มาจากแดนขังทั่วทั้งมหานครเพิร์ลแล้วได้เห็นความไม่ชอบธรรม มันก็อดไม่ได้
ตอนนี้เขาเห็นโอเมก้าคนหนึ่งกำลังวิงวอนขอชีวิตจากผู้คุมที่ฉุดกระชากตนให้เข้ามายืนในจุดสำหรับตรวจร่างกายและบังคับให้เปลื้องผ้าอยู่
เป็นการละเมิดสิทธิ์อย่างร้ายแรง และเขาจะไม่สนใจเลยถ้าหากว่าโอเมก้าคนนั้นไม่คุ้นตาอย่างประหลาดคล้ายกับว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
เจอในตลาดค้าโอเมก้า...
โอเมก้าที่ถูกจับมาขายเป็นวัตถุทางบำบัดความใคร่...
“หมอนั่นมัน...ลูก้า” เจเรมีครางออกมาทันทีที่เห็นว่าคนที่มองอยู่ถูกไม้กระบองฟาดเข้าที่กลางหลังอย่างจัง
คริสในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างจากนักโทษคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในระหว่างรอตรวจร่างกายเหลือบหางตามามอง
“รู้จักเหรอ?” สังหรณ์ใจไม่ดีด้วยว่าอีกฝ่ายอาจจะเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนต้องพูดดัก “อย่าเข้าไปยุ่มย่ามเชียว”
เจเรมีไม่ตอบใดๆ มองร่างแกร็นของเด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่เชื่อสายตา ข่าวที่เขาได้ยินในวันที่ออกจากโรงแรมก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าคุกผุดพรายเข้ามาในหัวทันที
โอเมก้ารูปร่างบอบบางและถูกกลั่นแกล้งโดยธีโอกับพรรคพวกคนนั้นน่ะนะที่เป็นฆาตรกรคดีฆ่าอัลฟ่า!?
จำลูกก้าขึ้นมาได้ฉับพลัน ไม่ผิดตัวแน่ คนตรงหน้าคือโอเมก้าที่เขาเคยช่วยไว้ มากไปกว่านั้นเขาจำรอยสักแสดงการผลัดเปลี่ยนเจ้าของที่ต้นแขนด้านขวาได้ ที่ไม่น่าเชื่อก็คือคนอ่อนแออย่างนั้นน่ะนะที่กล้าพอจะฆ่าใครได้
กระนั้นก็ไม่ได้สนใจแล้ว นอกจากเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าลูก้าถูกทุบตีหนักขึ้นจนน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็ถูกผู้คุมเข้ามาขวาง ยกมือดันหน้าอกเขาไม่ให้เข้ามาใกล้
“เฮ้ยๆ คิดจะทำอะไร ไปต่อแถว” ดันให้ไปรอในจุดเดิมเพื่อทำการตรวจร่างกาย
เจเรมีปัดมือของผู้คุมออกเต็มแรง กดเสียงต่ำ “ไสหัวไป”
การกระทำของเขาเรียกสายตาของทุกคนให้หันมามองทันทีไม่เว้นแม้แต่ลูก้า เขาเห็นชายหนุ่มผมบลอนด์ก็พลันได้สติในตอนี้ จำได้ทันควันว่าคือคนที่ช่วยและมอบเสื้อเครื่องแบบของสถาบันพัฒนาอัลฟ่าฯ ให้กับเขา
เจเรมี...เจเรมี เมอร์ซี จริงๆ ด้วย!
ความดีใจล้นปรี่จนแน่นหน้าอกแทนความหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ น้ำตารื้นขึ้นปริ่มขอบตา
ในที่สุดเขาก็ได้เจอผู้ชายคนนี้สักที…
หากแต่เจเรทีไม่รู้หรอกว่าลูก้าคิดอะไร เขาหัวเสียมากกว่าที่เห็นผู้คุมปฏิบัติกับพวกโอเมก้าราวกับเป็นสัตว์ พอถูกผู้คุมเข้ามาผลักอกอีกครั้ง เขาก็แผดเสียงใส่
“บอกให้ไสหัวไปไงวะ!”
ไม่เพียงแผดเสียง ยังคว้าเอาแขนของผู้คุมคนนั้นมาจับไว้ก่อนพลิกตัว ออกแรงยกและจับทุ่มลงกับพื้นเต็มแรง
การกระทำที่ไม่มีใครคาดคิดส่งผลให้บรรดาผู้คุมกรูกันเข้ามาควบคุมตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว คริสเห็นท่าไม่ดีจึงรีบปรี่เข้าไปขวางก่อนที่เจเรมีจะถูกกระบองนั้นทุบตีหรือถูกกระบองไฟฟ้าช็อต อย่างน้อยเขาก็สนิทกับผู้คุมมากพอที่จะต่อรองได้ หากแต่เจเรมีไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าคริสพยายามจะช่วย อาศัยจังหวะชุลมุนนี้ถลาเข้าไปหาผู้คุมที่ยังกระชากแขนลูก้าอยู่ก่อนที่จะตะบันหมัดใส่หน้าสุดแรง
มือของผู้คุมปล่อยท่อนแขนผอมบางทันที ร่างใหญ่กระเด็นหงายหลังล้มลงไปอีกทาง ปากสบถด่าเจเรมีที่ต่อยเขาเข้ามาแรงเสียจนเลือดกำเดาไหลพรากด้วยถ้อยคำหยาบคาย หากแต่คนตัวการไม่สน เขาคว้าแขนของลูก้าแล้วดึงให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ลูก้าไม่ตอบ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินออกมาเป็นทางและรอยยิ้มปีติเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น
“เฮ้ ฉันถามว่าไม่เป็นไรใช่ไหม ตอบสิ!” พอไม่ได้คำตอบก็เสียงดังใส่อีก
ลูกก้าถึงได้ยอมเปิดปากขึ้น
“นะ...ในที่สุดผมก็ได้พบคุณอีกครั้ง คุณเมอร์ซี...”
คนฟังประหลาดใจไม่น้อยทีเดียวที่ถูกทักอย่างนั้นเป็นประโยคแรก ก่อนจะต้องร้องโอดโอย ทรุดตัวลงกับพื้นเมื่อถูกกระบองของผู้คุมคนหนึ่งฟาดและช็อตเข้ามาอย่างจัง เขาเกือบจะถูกกระหน่ำช็อตอีกระลอกใหญ่แล้วถ้าหากคริสไม่เข้ามาขวางเสียก่อน
“อย่าเสียเวลากับหมอนี่เลยน่า พวกคุณจะทำให้เขาตายก่อนได้เข้าไปอยู่ในเกมนรกนั่น ผมเชื่อว่านายพลแฮร์ริสันต้องไม่ปลื้มแน่ถ้ารู้ว่าพวกคุณทำให้เหยื่อของเขาเป็นอะไรก่อนทุกอย่างจะเริ่มแบบนั้น”
ยกเอาชื่อของเดร็กมาขู่ พวกผู้คุมก็ยอมถอย สบถขู่ตามหลังเล็กน้อยอย่างหัวเสีย
“ดูแลเมียนายให้ดี อย่าให้ก่อเรื่องอีก”
คำดูแคลนนั้นทำให้เจเรมีกัดฟันกรอด ทำท่าจะผุดลุกขึ้นมาก่อเรื่องอีกรอบ
“ไอ้เวร!”
คริสคว้าแขนไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่เจเรมีจะได้ลุกขึ้นเสียอีก หันไปพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นเชิงว่าให้สงบสติอารมณ์ เจเรมีจึงได้แต่ฮึดฮัดและยอมปล่อยมือออกจากเรื่องนี้
ยอมเชื่อคริส... สัญชาตญาณบอกไว้ว่าผู้ชายตรงหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ทำร้ายเขา
คริสเองก็พอใจที่เจเรมียอมเชื่อฟังคำแนะนำของเขามากขึ้นกว่าเดิม จะมีก็แต่ลูก้าเท่านั้นที่ได้ยินและเห็นภาพนั้นก็เกิดข้องใจขึ้นมาจนหลุดปากถาม
“คุณกับคุณเมอร์ซีเป็น...” ถามยังไม่ทันจบก็เงียบเสียงไปคล้ายกับตระหนักขึ้นมาฉับพลันว่าไม่ควรถามเรื่องนี้ แต่ก็อยากรู้ว่าใช่อย่างที่ตนคิดหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ มันหมายความว่าทั้งคู่จับคู่กันแล้วทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเกมเลยด้วยซ้ำ
หากแต่คริสดูออกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะถามอะไร จึงชิงตอบออกมาทั้งที่คำถามไม่สมบูรณ์
“ไม่ได้เป็นอย่างที่นายเข้าใจ แค่เป็นคู่แห่งโชคชะตา”
ลูก้าพยักหน้ารับน้อยๆ ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะเบนความสนใจมาที่เจเรมีซึ่งพยายามจะลุกขึ้น
“ไหวไหมครับ” ถามพลางยื่นมือไปให้เจเรมีจับเพื่อช่วยพยุงขึ้น
ทว่าเจเรมีกลับเลือกที่จะยื่นมือไปจับมือของคริสแทน
“ไหว” แล้วก็ตอบสั้นๆ
ลูก้าดึงมือกลับไป ยิ้มบางๆ “ขอบคุณครับที่ช่วยผม”
“ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น”
อย่างที่เจเรมีพูด เขาช่วยแค่ครั้งนี้เท่านั้นเพราะเห็นใจที่ลูก้าถูกดึงเข้ามาเอี่ยวในเกมการเมืองนี้อย่างไม่เต็มใจด้วย แต่ถ้าจะให้ผูกพันไปมากกว่านี้ล่ะก็ เขาไม่เอาด้วยคน
ไม่อยากจะผูกพันกับใครโดยไม่จำเป็น มันจะทำให้การเดินหมากของเขามันยากขึ้น เพราะสักวันเขาอาจจะต้องฆ่าลูก้า...
เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด แต่ในเมื่อกฎถูกวางมาอย่างนี้ก็จำต้องดำเนินไป
ร่างใหญ่ลุกขึ้นยืนได้ก็เดินกลับเข้าไปในแถวเพื่อรอคิวตรวจร่างกายดังเดิม ปล่อยให้ลูก้าถูกผู้คุมจับเปลื้องผ้าอีกครั้ง ครั้งนี้ลูก้าไม่ขัดขืน ยินยอมแต่โดยดีในขณะที่สายตาก็จับจ้องไปที่เจเรมีด้วยความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ผู้ชายคนที่เขาอยากจะขอบคุณที่เคยช่วยเขาไว้...มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
------------------------------------
แปะให้เต็มตอนเลยค่ะ เขียนไปเขียนมาเพลิน จบตอนพอดี 555
ปกเต็มๆ มาแล้วนะคะ เข้าไปดูที่เพจของ สนพ.ได้เลย แปะรูปไม่เป็น ฮืออ
อันนี้เพจของ สนพ.นะคะ เกาะหน้าเพจ สนพ.ไว้ เดือนนี้จะเปิดพรีออเดอร์ เดี๋ยวให้ทาง สนพ.แจ้งอีกทีนะ
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/ส่วนตอนหน้า บอกได้เลยว่าสัญชาตญาณดิบสมชื่อมากกก
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะ XD