34.2
“ฮ่า ๆ ๆ จริงเหรอครับพี่ พี่ใหญ่นิสัยเปลี่ยนเพราะอกหัก” พวกเราสามคนนั่งหัวเราะกันระหว่างทานอาหารเที่ยงในห้องอาหารโอ่โถง บรรยากาศครื้นเครงที่หายไปนานจากบ้านหลังนี้
“เผากันแบบนี้นี่อยากจะโดนเผาจริงๆใช่ไหม” วาเรเรี่ยนนั่งกอดอกส่งแววตาแข็งกร้าวใส่พี่รองที่กำลังนินทาอยู่
“อ้าวก็วารอสเค้าสงสัยทำไมพี่ถึงนิ่งกว่าแต่ก่อน ผมก็ต้องเล่าไปสิ ฮ่าๆ”
“แล้วไงต่อพี่วาเรน สาวคนนั้นโดนพี่ใหญ่เผาทิ้งไหม” พี่ใหญ่ขึ้นชื่อเรื่องหัวร้อนเสมอทำให้เขาใช้เวทมนตร์ธาตุไฟที่สอดคล้องกับนิสัยของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่ยังต้องท่องคำร่ายคาถาอยู่ พี่ใหญ่แค่ตะโกน ‘เผามัน จะฆ่าทิ้ง ตาย ไปตายซะ’ ก็ปลดปล่อยพลังออกมาได้
“อย่ามาพูดเกินจริงวารอส พี่ไม่ได้โกรธขนาดนั้น พี่ยังไม่ได้รักหมดใจสักหน่อย” พี่ใหญ่แก้ตัว
“แต่ในจดหมายก็บรรยายมาเป็นหน้าๆเลยนะพี่ เย้ย” พี่วาเรนร้องเสียงหลงเมื่อลูกไฟพุ่งข้ามโต๊ะอาหารเข้าหน้า ยังดีที่มีโล่ห์แสงขึ้นมากันทัน
“เดี๋ยวก็ไฟไหม้บ้านพอดี”
“ค่อยดับหลังจากที่เจ้าเป็นเถ้าไปแล้วก็ได้”
“ฮ่า ๆ ๆ” คิดถึงบรรยากาศนี้จริงๆ บรรยากาศที่พวกเราสามคนอยู่ด้วยกัน คุยเล่นกัน แกล้งกัน นั่งมองพี่สองคนตีกัน
“แล้วเจ้าล่ะ วารอส หายไป 6 ปี ทำอะไรมาบ้าง”
“ก็...หลายอย่างครับ” การเดินทางของผมนั้นผ่านเรื่องต่างๆมามากมาย ทั้งพบปะผู้คน เสี่ยงอันตราย ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือแม้แต่เรื่องรักๆใคร่ๆ...
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แทรกขึ้นมา...
...เร็กซ์จะได้กินอะไรบ้างรึยังนะ
“ทำไมจู่ๆก็หงอยไป” พี่ใหญ่ทักขึ้น
“เปล่าครับพี่ แค่...” ผมคงเหม่อลอยเกินไปจนพวกเขาสังเกตได้...ต้องรีบหาข้อแก้ตัว “แค่สงสัยทำไมตอนนั้นพี่ไม่เขียนอะไรมาเล่าให้ฟังบ้าง”
คำถามของผมทำเอาบรรยากาศที่รื่นเริงกลายเป็นตึงๆขึ้นมาทันใด
“พวกพี่ก็ยอมรับว่ามีส่วนผิดที่ละเลยเจ้าไป ช่วงชีวิตวัยรุ่นช่วงนั้นมีหลายอย่างเข้ามาจนปรับตัวไม่ทัน พี่กับวาเรเรี่ยนปรึกษาเรื่องต่างๆกันบ่อยเพราะอายุเราใกล้กันจนทำให้เจ้ารู้สึกเหินห่าง” พี่วาเรนอธิบาย “เจ้าต้องเหงามากแน่ๆ”
“พี่พึ่งจะมาสำนึกได้ก็ตอนเสียเจ้าไปแล้ว พี่ขอโทษจริงๆ” วาเรเรี่ยนเสริมขึ้น
“หึหึ นานๆพี่ใหญ่จะยอมขอโทษใครสักครั้งนึง ยังไงผมก็ต้องรับไว้อยู่แล้ว” พี่ใหญ่น่ะไม่ค่อยยอมคนเท่าไหร่ นานๆแกจะยอมรับผิดสักที
“พูดแบบนี้อยากจะโดนลูกไฟอีกคนใช่ไหม”
ก๊าซซซซ
เสียงคำรามดังแสบหูแม้จะอยู่ในบ้าน เสียงร้องของมังกร สัตว์พาหนะของหัวหน้าตระกูล
“ท่านพ่อกลับมาแล้วล่ะ” พี่วาเรเรี่ยนกล่าว
“จะพูดอะไรกับท่านก็คิดดีๆก่อนนะ” คำเตือนของพี่วาเรนทำเอาผมนั่งแทบจะไม่ติดเก้าอี้ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวจนเลือดในกายสูบฉีดรุนแรง
ไม่กี่อึดใจประตูห้องอาหารก็เปิดออก ชายร่างสูงในชุดคลุมจอมเวทย์เดินฉับๆเข้ามา เส้นผมสีเงินยาวปลิวไสว ใบหน้าของท่านพ่อยังคงดูอ่อนเยาว์แม้วัยจะล่วงเลยไปที่เลขสี่แล้ว เขานั่งที่หัวโต๊ะอาหารอีกฟาก ตำแหน่งที่นั่งของหัวหน้าครอบครัว สายตาเย็นเฉียบจับจ้องมาที่ผม
“มาถึงแล้วรึ ไปเจอที่ไหนล่ะวาเรน” น้ำเสียงนิ่งเรียบส่งไอเย็นยะเยือกลงไปตามสันหลัง ผมได้แต่นั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตา รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของพลังเวทย์ที่ถาถมลงมาจนแทบจะหายใจไม่ออก ท่านต้องโกรธอยู่แน่ๆ
“หมู่บ้านทางตะวันออกครับท่านพ่อ”
“อย่างนั้นรึ”
“ท่านพ่อครับ...อึก” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ สายตาเย็นยะเยือกของพ่อก็ตวัดมองจนผมกลืนคำพูดลงคอไป แรงกดดันเวทมนตร์หนักขึ้นกว่าเก่า อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
“หุบปาก อย่าพึ่งพูดถ้าไม่ได้ถาม” พรมรองพื้น ขาเก้าอี้และโต๊ะเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ
“...”
“ไหนว่ามาสิว่าทำไมถึงก่อเรื่องวุ่นวาย” ท่านถามในที่สุด
“เพราะว่า...” ผมลังเลที่จะพูดจนต้องหันไปหาพี่ๆ พี่วาเรนพยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมบอกตามที่ตระเตรียมไว้ให้
“เพราะว่าผมอยากจะเลือกทางเดินของตนเอง” ผมจับจ้องดวงตาสีฟ้าคู่นั้นด้วยความแน่วแน่ เลือกที่จะพูดนอกบทที่พี่เตรียมให้ แม้อาจจะเป็นทางเลือกที่ผิด แต่ผมเชื่อมั่นในอิสระทางความคิดเสมอ หากโกหกไปก็เท่ากับปฏิเสธตัวของตนเอง
พี่ทั้งสองส่ายหน้ายกมือกุมขมับพร้อมกัน
“ว่ายังไงนะ” เสียงท่านพ่อเจือโทสะ ห้องอาหารหนาวราวกับอยู่กลางทุ่งหิมะ ลมหายใจของผมกลายเป็นไอสีขาว
“ผมสร้างเรื่องทั้งหมดนี้เพราะหลายๆสาเหตุ ทั้งที่บ้านเปลี่ยนไปและทั้งความกระหายสิ่งแปลกใหม่ ผมไม่อยากเป็นจอมเวทย์อย่างที่ถูกกำหนดมา แต่อยากเป็นนักผจญภัยผู้สามารถไปที่ไหนก็ได้ดั่งใจนึก...อึก” ลมหนาวพัดเข้าปะทะใบหน้าจนตัวสั่นระริก ผมหดสองแขนเข้าอกคู้ตัวลงเพราะความหนาวเหน็บ “ผมอยากเลือกชะตาของตนเอง”
“บังอาจนัก หากปฏิเสธพลังอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษมอบให้ก็เท่ากับปฏิเสธตัวตน พวกเราได้รับมอบพลังมาเพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ หากไม่ฝึกฝนให้เก่งกล้าแล้วจะไปช่วยเหลือพวกเขาที่ไว้วางใจพวกเราได้ยังไง” ท่านพ่อตวาด
“แต่มันมีทางช่วยเหลือ...ฮึก” ลมหนาวโหมกระหน่ำดั่งพายุหิมะจนไม่สามารถพูดต่อได้ มันหนาวลึกลงไปถึงกระดูก ผมกำลังจะหนาวตาย เปลือกตาทั้งสองข้างค่อยๆปิดลง
ทว่า...
บางอย่างมอบความอบอุ่นให้กับผม...
ผมลืมตาขึ้นก็พบพี่ชายทั้งสองคนยืนขวางลมหนาวของท่านพ่อไว้ให้ พลังเวทย์ของพี่วาเรเรี่ยนร้อนระอุเหมือนกองไฟกลางทุ่งหิมะ ในขณะที่พี่วาเรนนั้นอบอุ่นเหมือนแสงตะวันกลางฤดูหนาว พี่ทั้งสองลุกขึ้นปกป้องผมไว้
“พอเถอะครับท่านพ่อ ไหนๆน้องก็กลับมาเดินตามสิ่งที่ตระกูลกำหนดไว้แล้ว ให้อภัยน้องเถอะ” พี่วาเรเรี่ยนอ้อนวอน
“แล้วถ้าคนนอกรู้ว่าเรื่องจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เจ้าตระกูลยังไม่ลดละ
“เรื่องนั้นผมคิดไว้แล้วครับท่านพ่อ ให้ข่าวออกไปว่าวารอสประสบอุบัติเหตุที่บึงนั่นแล้วเสียความทรงจำกับพลังเวทย์ไป ที่กลับมาเพราะความจำและพลังฟื้นแล้ว” พี่วาเรนช่วยเสริม
...พายุหิมะสงบลงในที่สุด
“เอาแบบนั้นก็ได้ แจ้งไปยังญาติคนอื่น เตรียมพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการภายใน 3 วัน” ท่านลุกเดินออกไปที่ประตูก่อนจะหันมาทิ้งท้าย “แล้วอย่าให้ไปก่อเรื่องอีก” ก่อนจะปิดประตูหายไป
“เฮ้อ/เฮ้อ” เมื่อลับสายตาชายร่างสูงโปร่งทั้งสองก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน ต่างคนต่างถอนหายใจโล่งอก
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ” พี่วาเรเรี่ยนกุมขมับ
“ก็บอกแล้วให้พูดตามที่เตรียมกันไว้ เจ้าตัวแสบ” พี่วาเรนไถลตัวลงไปจนแทบจะนอนลงที่เก้าอี้
“ผมแค่พูดตามที่คิด” ผมเถียงเบาๆ แม้ต้องตายผมก็จะไม่ยอมเสียศรัธทาในสิ่งที่เชื่อ
“เอาเถอะ ให้เวลาพ่อหน่อย เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น”
“แล้วจะเอาไงต่อล่ะ วารอส”
“ก็คง...ต้องทำตามที่พ่อบอกนั่นแหละ” ถึงจะไม่อยากเดินเส้นทางนี้แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ
..............................