ตอนที่ 2 : แม้โดนไล่ก็ไม่หวั่น
สุดท้ายผมก็กลับบ้าน...บ้านของจิระนะครับ ยังไม่มีหน้าไปหาพ่อแม่ที่ยังสะเทือนใจในตอนนี้หรอก ก็ยังดีที่ในกระเป๋าเงินมีคีย์การ์ดคอนโด บอกชื่อและเลขห้องเสร็จสรรพ ผมเลยเรียกแท็กซี่ ควักเงินในกระเป๋าจ่ายไปแล้วพาสารร่างที่ยังเมาค้างจนเดินเป๋มานอนเกยตื้นบนเตียง
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่ผมถูกปลุกด้วยเสียงเอะอะเมื่อห้องถูกบุกรุก พร้อมกับร่างที่โดนลากลงมาคุกเข่ากับพื้นอย่างโหดร้าย ขี้ตาเต็มหน้า ปากยังอ้าหาวอยู่เลย
“อ้าว คุณสัน สวัสดีครับ”
คุณเลขาหน้านิ่งถอนหายใจเฮือกเมื่อผมทักอย่างสนิทสนมทั้งที่เพิ่งเจอกันเมื่อวาน แถมยังอยู่ในสภาพไม่ค่อยเรียบร้อยซะด้วยสิ ก็ผมติดนิสัยชอบนอนเปลือยท่อนบน เพราะห้องที่บ้านมีแต่พัดลมไม่มีแอร์ ตอนนี้เลยกลายเป็นจิระตัวขาวเปลือยอก โดนจับแขนคนละข้างเหมือนนักโทษทำความผิด
“ยังอุตส่าห์มาที่นี่ถูกด้วยนะครับคุณจิ...ไม่สิ คุณอยากให้ผมเรียกว่าอะไร”
“เรียกว่าจิก็ได้” ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เพราะชื่อเล่นผมเหมือนกับจิระ แม้ส่วนใหญ่มักถูกเพื่อนๆ เรียกว่า ‘ไอ้จิต’ ก็เถอะ “ส่วนที่มาถูกเพราะผมเจอคีย์การ์ดครับคุณสัน เอ่อ...มาหาถึงที่แสดงว่าเสี่ยเชื่อจริงๆ สินะว่าผมวิญญาณสลับร่าง”
“ถึงจะไม่น่าเชื่อ และไม่อยากเชื่อ แต่จากเหตุการณ์เมื่อวาน...ยังไงก็ต้องเชื่อล่ะครับ”
แสดงว่าผมอธิบายเก่งล่ะสิ*!*
ดอกไม้บานรอบตัวไอ้จิในทันดล
“แล้วมาแต่เช้ามีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับเนี่ย” ผมยิ้มแฉ่งอย่างดีใจ นึกนับถือในความฉลาดของเสี่ย
“นี่เป็นห้องที่เสี่ยซื้อให้คุณจิ...จิระ ในเมื่อคุณจิระไม่อยู่แล้ว เสี่ยเลยขอคืนครับ”
“อ้อ...แบบนี้นี่เอง” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เดี๋ยวนะ เสี่ยยึดคืนแล้วผมจะไปอยู่ที่ไหน!”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเสี่ยครับ” คุณสันตอบได้โหดร้ายมาก แต่พอคิดไปคิดมา ผมก็เข้าใจเสี่ย
เขาคงไม่อยากเก็บเด็กเลี้ยงที่มีวิญญาณพิลึกสิงร่างหรอก
“งั้น...เอ่อ ขอผมอาบน้ำอาบท่าแล้วเก็บของก่อนได้มั้ย”
คุณเลขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อผมว่าง่ายเกินคาด แต่ผมเองก็ไม่ได้อยากจะข้องแวะกับเสี่ยอยู่แล้วนี่หว่า และนี่เป็นร่างของจิระ คนที่ขับรถชนผมด้วย หลังจากนี้เขาจะเสียโอกาส จะเป็นยังไงก็ช่าง ผมแค่ขอมีชีวิตรอดต่อไป จนกว่าพ่อแม่จะทำใจได้และหาทางกลับร่างก็พอแล้ว
พอคุณสันยกมือ ชายร่างโตสองคนที่หิ้วแขนคนละข้างก็ยอมปล่อย ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเดินเกาพุงเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง เมื่อวานเพลียจัดพอถึงห้องก็นอนเลย มาตอนนี้ตื่นเต็มตา อาการวิงเวียนเริ่มน้อยลงเยอะ แม้ยังปวดหัวอยู่หน่อยๆ แต่ก็เพิ่งมีแก่ใจสำรวจ ‘จิระ’ ด้วยสติสมบูรณ์พร้อม
แม่เจ้าโว้ย*! คนอะไรโคตรมีเสน่ห์!*
ผมเกาะกระจก เพ่งพิจารณาใบหน้าของจิระที่แม้จะมีรอยช้ำจากการถูกต่อยก็ไม่ช่วยลดทอนความดูดีของเขาเลย โดยเฉพาะหางตาชี้ขึ้นนิดๆ ที่แฝงความดื้อรั้นและเชิดใส่ ขนตายาว ปากบางสวย ยิ่งทำหน้าบึ้งๆ ยิ่งดูมีเสน่ห์ แต่พอยิ้มก็ทำให้โลกสว่างไสว แถมจิระยังย้อมผมสีชา ขับให้ผิวยิ่งขาวสะท้อนแสงอย่างกับโอโม่ โดดเด่นแทบละสายตาไม่ได้ ผู้ชายเห็นต้องเหลียวหลัง ผู้หญิงเห็นต้องตะลึง
เสียแต่เขาผอมไปหน่อย ถ้ามีเนื้อมีหนังกว่านี้น่าจะกำลังเพอร์เฟ็ค แต่ก็ใช่ว่าเขาจะผอมน่าเกลียด เพราะเมื่อผสมรวมกับใบหน้าของจิระ กลับทำให้ดูน่าทะนุถนอม ข้อมือบางนั้นก็เซ็กซี่อย่างร้ายกาจ ไม่แปลกใจที่จะเป็นเด็กเสี่ย เพราะขนาดผมยังใจเต้นกับเขาเลย!
ลองยกมือแตะเงาสะท้อน ไม่ว่าจะส่วนไหนก็ดูสวยงามไปหมด อย่างกับปะติมากรรมรูปปั้นที่ช่างสรรสร้างบรรจงเก็บรายละเอียดแต่ละส่วนอย่างดีเยี่ยม ขนาดนิ้วยังสวย เล็บก็ยังดูดี! คนแบบนี้ต่อให้ตดกลางที่สาธารณะก็ไม่มีใครกล้าวิจารณ์แถมยังชมว่าน่ารักอีกต่างหาก!
ผมกลืนน้ำลาย ไม่กล้าทำร้ายร่างกายที่แสนจะเลอค่านี้ด้วยความเป็นคนหยาบกระด้างไม่ค่อยดูแลตัวเอง ความโกรธเกลียดก็ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ นี่สินะ...คนหน้าตาดีทำอะไรก็ไม่ผิด หากได้ร่างคืนแล้วจิระตัวจริงพาใบหน้านี้มาอ้อน มาพูดขอโทษผม มีหวังใจอ่อนยวบยาบ ถอนคดีให้แต่โดยดี
ชักจะไปกันใหญ่...ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินย่องเบาเข้าไปอาบน้ำทั้งที่มือสั่น พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! ผิวนุ่มลื่นเหลือเกิน! นี่ผิวคนหรือผิวเด็ก! แถมยังไม่ค่อยมีขน หน้าแข้งเนียนสวย ใต้รักแร้เกลี้ยงเกลา ผมอึ้งกับความมหัศจรรย์ของร่างกายจิระ อดคิดไม่ได้ว่าเสี่ยคงจะเจ็บปวดใจมากทีเดียวที่ต้องปล่อยมือจากคนคนนี้
จิระไม่ใช่ผู้หญิง บอกว่าเขาหน้าสวยก็ไม่เชิง ต้องเรียกว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ จึงจะเหมาะสมที่สุด ถ้าปัดผมขึ้นก็หล่อคมเผยหางตาเรียวชี้ที่สะกดคนมอง ถ้าปัดผมลงก็ดูลึกลับน่าค้นหา เป็นได้ทุกลุคทุกสไตล์
ช่างแตกต่างกับร่างเดิมของผมเหลือเกิน จิตริน ชายร่างสูงก้ามปูที่ใบหน้าหล่อคมผิวเข้ม ผมดกดำตัดสั้นเกรียน
อย่างกับเทวดาและซาตาน
แน่นอนว่าจิระน่ะเป็นเทวดา ส่วนผมคือซาตาน
แม้ในความเป็นจริงจะสลับกันก็ตาม เพราะคงไม่มีเทวดาที่ไหนเมาแล้วขับจนชนคนเกือบตายได้หรอก!
ผมรู้สึกเหมือนฝันไป ใส่เสื้อแล้วเดินออกจากห้องด้วยความอึ้งตะลึงที่ยากทำใจ และยิ่งอึ้งกว่าเดิมเมื่อพบว่าคุณเลขานั้นช่วยจัดกระเป๋าให้...กระเป๋าเดินทางสามใบโต บรรจุเต็มด้วยเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้สารพัดอย่าง
“ที่นี่มีเป้มั้ยครับ” ผมถามหลังกวาดตามองกระเป๋าสามใบที่เปิดอ้า
คุณเลขาหันไปพยักหน้ากับลูกน้อง ไม่นาน กระเป๋าเป้ผ้าร่มแบบกันน้ำก็อยู่ในมือผม คงจะแพงไม่เบาเพราะดูทนทานและแปะป้ายยี่ห้อหราด้วยสีเบจเรียบหรู ผมเลือกหยิบเสื้อผ้าใส่สบายมาสามชุด หยิบสายชาร์จแบตโทรศัพท์ กับชั้นในอีกเล็กน้อยใส่ลงไปแล้วปิดเป้
“ที่เหลือฝากเอาไปบริจาคแล้วกันครับ ส่วนนี่...” ผมหยิบคีย์การ์ดห้องขึ้นมา “ผมคืนให้เสี่ย”
“...เสื้อผ้าแค่สามชุดจะพอเหรอครับ” คุณเลขารับไปถือพลางมองผมอย่างกังวลใจ คงกลัวว่าผมจะพาร่างจิระไปทรมาน
“ผมคนเดียวจะลากกระเป๋าเดินทางสามใบยังไงไหวล่ะครับ ไม่ต้องห่วง ผมไม่เอาร่างนี้ไปทำอะไรเสี่ยงๆ หรอก เรื่องเสื้อผ้าก็ไม่มีปัญหา ใส่ซ้ำเอาก็ได้ ผมซักมือเป็น ใส่ๆ ซักๆ ตากๆ ไม่เดือดร้อนอะไร”
“แล้วคุณจะไปไหน กลับบ้านเหรอครับ”
“ผมยังไม่อยากโดนไล่ แล้วครอบครัวผมตอนนี้คงอยู่ที่โรงพยาบาลกันหมด” ผมเกาแก้มตัวเองพลางยิ้มแห้ง “ไว้พ่อแม่ทำใจได้ค่อยกลับบ้าน ระหว่างนั้นก็หางานทำไปก่อน ผมเคยเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านเหล้าโอบีวายด้วยนะ ผู้จัดการดูแลดีมากๆ เลย ผมเลยกะจะไปทำงานที่นั่นก่อน เขามีสวัสดิการให้ห้องพักกับพนักงานฟรีด้วย เอ๊ะ ว่าแต่คุณสันรู้มั้ยครับว่าเอกสารการเรียนของจิระอยู่ตรงไหน ผมจะได้เอาไปสมัครงาน”
คุณสันมองผมตาปริบๆ ก่อนจะเปิดลิ้นชักข้างๆ หยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาพร้อมกับคว้าเอานาฬิกาเรือนหรูบนโต๊ะส่งให้ด้วย
“เสี่ยให้คุณ เก็บไว้เถอะ”
“เสี่ยให้จิระต่างหาก ผมไม่เอาหรอก”
“ตอนนี้คุณก็คือจิระ เก็บไว้เผื่อฉุกเฉินเถอะครับ”
“งั้นผมไม่เกี่ยงล่ะ” ผมรับมาสวมข้อมือผอมบางที่เห็นกี่ครั้งก็ยังไม่ชิน ถึงจะน่าถนอมแค่ไหนแต่ใจคิดถึงก้ามปูมากกว่า “งั้นผมขอตัวนะคุณสัน คุณเองก็สู้ๆ นะ”
คุณสันไม่วายยัดนามบัตรให้ผมอีกหนึ่งใบ
“ถ้ามีปัญหาก็โทรหาผมได้นะครับ”
“งั้น...” ผมรับนามบัตรนั้นมาแล้วกดโทรออก เห็นเสี่ยเรียกสันๆ ไม่นึกว่าชื่อจริงเขาจะชื่อ ‘คมสัน’ เพราะหน้าตาของคุณเลขานั้นออกจะสุภาพเรียบร้อย ค่อนไปทางหวานมากกว่า “นี่เบอร์ผม ถ้ามีอะไรคุณสันก็โทรมาได้ แต่ผมไม่รับปรึกษาปัญหาชีวิตนะ เรื่องความรักก็ไม่สันทัดอย่างแรง”
คุณสันยิ้มส่งแบบแกนๆ
“งั้นไปจริงๆ แล้วนะครับ บาย!”
หลังออกจากคอนโดผมก็เดินฮัมเพลงไปขึ้นรถเมล์เพื่อเดินทางสู่ร้านเหล้าโอบีวายซึ่งรู้จักมักคุ้นกันดี เมื่อก่อนผมต้องทำงานแต่เด็กเพื่อส่งตัวเองเรียน และที่นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมส่งเสียตัวเองได้ ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าผู้ให้โอกาสผมในวันนั้น จะต้องให้โอกาสผมในวันนี้อีกอย่างแน่นอน
แม้ร้านเหล้าจะเปิดตอนเย็น แต่ผมรู้จักเจ้าของร้านและนับถือเป็นผู้มีพระคุณ เลยเดินเข้าไปในซอยด้านข้าง มองหาหอพักสำหรับเช่าซึ่งมีไว้ให้พนักงานและคนทั่วไปก่อนจะเคาะประตูที่ห้องชั้นแรก
กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้มาหา
คงตั้งแต่ผมเรียนจบและได้โอกาสไปทำงานเป็นสตั้นท์แมน ต้องเดินทางไปโน่นมานี่ไม่หยุด
“ใครวะ”
“ผมมาสมัครงานครับพี่สมพงศ์” ผมยกมือไหว้คนหน้าหนวดตรงหน้าที่ออกจะมึนๆ งงๆ ไม่เจอกันหลายปี หน้ายังโหดเหมือนโจรห้าร้อยแบบเดิมเปี๊ยบ “จิตรินแนะนำผมมาครับ เราเป็นเพื่อนซี้กัน”
คนหน้าหนวดที่ไม่ชอบให้ใครเรียกว่าลุงทั้งที่อายุปาไปสี่สิบเผยรอยยิ้มทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น ทั้งที่เมื่อกี้ขมวดคิ้วเตรียมหาเรื่องที่โดนปลุกก่อนเวลา แถมยังเปิดประตูอ้ากว้าง เผยให้เห็นห้องที่สะอาดเอี่ยมจัดเป็นระเบียบผิดกับรูปลักษณ์เถื่อนๆ ภายนอก
“เพื่อนไอ้จิเองเหรอ มันเป็นไงบ้างเนี่ย ล่าสุดเห็นไปเล่นหนัง อวดใหญ่เลยนี่”
“ก็เรื่อยๆ แหละพี่” ผมยิ้ม คาดว่าเขายังไม่รู้ข่าวว่าผมถูกรถชน เพราะเราไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว “พี่พอมีตำแหน่งว่างให้ผมบ้างมั้ย ตอนนี้ผมเดือดร้อนจริงๆ ที่อยู่ก็ไม่มี เลยจะมาขอใช้สวัสดิการพนักงานกับพี่”
“ไอ้จิมันบอกล่ะสิ” พี่สมพงศ์เออออ “แล้วนี่ชื่ออะไรล่ะเรา”
“จิระครับ” ผมยื่นสำเนาบัตรประชาชนกับเอกสารการเรียนให้ ถึงจะอยากป่าวประกาศบอกว่าตัวเองคือจิตริน แต่ก็ยังมีสำนึกเลือกคนด้วย เพราะผมไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานอยู่แล้ว บอกไปก็เป็นเรื่องเปล่าๆ พอดีผมไม่ชอบความยุ่งยากน่ะ โดยเฉพาะกับ...เอ่อ...ตาลุงที่มองผมตาพราว พี่สมพงศ์ดีทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องเจ้าชู้ประตูดินเนี่ยล่ะ!
“อ้าว เรียนไม่จบปริญญาหรอกเหรอ”
“แฮะๆ” ผมไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่ยิ้มแห้งให้ ด้วยใบหน้าของจิระ เจอรอยยิ้มนี้เข้าไปต่อให้เรียนไม่จบก็มีคนพร้อมจะถวายงานให้แต่โดยดี อันที่จริงตอนเห็นประวัติ ผมก็งงอยู่เหมือนกัน จิระมีเสี่ยเลี้ยงดูแต่ดันเรียนไม่จบปริญญาตรี แม้อายุน้อยกว่าผมสองปีแต่ก็ไม่เคยมีประวัติทำงานสักครั้ง น่าสงสัยเป็นบ้าว่ามาอยู่กับเสี่ยนานแค่ไหน อย่าบอกนะว่าโดนกินตับตั้งแต่ไม่บรรลุนิติภาวะ!
“แล้วชื่อจิระ...พี่น้องฝาแฝดคนละพ่อแม่กับมันรึไงเรา”
“แฮะๆ”
“นิสัยก็คล้ายๆ นะ เอาเถอะ พี่รับแล้วกัน แต่ห้องพักพนักงานต้องนอนรวมกับอีกสองคน ท่าทางอ้อนแอ้นปลิวลมผิวพรรณดีอย่างนี้คงไหวใช่มั้ย” พูดจบพี่สมพงศ์ก็ยื่นเอกสารสมัครงานให้
“ไหวสิพี่” ผมทำท่าเบ่งกล้าม เมื่อก่อนทำแล้วดูดี แต่ตอนนี้ทำแล้วมีแต่ขี้ก้างโชว์ ไม่สิ เผลอๆ จะเป็นการยั่วซะเปล่าๆ เพราะพี่สมพงศ์ยิ้มกว้างมากขึ้น สายตาก็แฝงเลศนัยมากขึ้นด้วย...
เวรแล้วไง
“ห้องผมอยู่ชั้นไหนครับ” ผมรีบตัดบทเตรียมเผ่น
“ห้องสามหนึ่งศูนย์ ชั้นสาม ขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวขวาอยู่ในสุด อ้อ เพื่อนร่วมงานคงนอนตายอยู่เพราะเมื่อคืนเข้ากะดึก อย่าไปกวนพวกมันล่ะ”
“ขอบคุณมากครับพี่สมพงศ์”
“ทำงานให้ดีแล้วกัน หน้าอย่างเรา คงเรียกลูกค้าได้เยอะ”
...คิดถูกมั้ยวะเนี่ยที่เลือกสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ
ผมชักเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แต่ก็นึกที่พักพิงอื่นไม่ออก แถมที่นี่ให้เงินดี ด้วยหน้าตาของจิระ น่าจะได้ทิปเยอะ พอเอามาจุนเจือตัวเองและส่งให้ครอบครัวเพื่อรักษาอาการร่างอันน่าสงสารของผมที่ยังนอนเป็นผักได้ เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้...ว่าเสี่ยจะช่วยจ่ายให้รึเปล่า
ผมไม่ยอมให้พ่อกับแม่มาสิ้นเปลืองเพราะตัวเองแน่ เพราะไอ้เจตริน น้องชายของผมเรียนชั้นมัธยมที่ห้า อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเตรียมเอนทรานซ์เข้ามหาลัยพอดี ควรทุ่มเทไปที่การเรียนของน้องถึงจะถูก!
ห้องพักที่นี่ค่อนข้างเก่า ระบบก็เป็นแบบไขกุญแจเปิดปิดไม่ได้รูดคีย์การ์ดเหมือนคอนโดจิระ แค่เปิดประตูก็ได้กลิ่นเหม็นอับทันที แน่นอนว่าด้วยสวัสดิการพนักงาน ย่อมไม่มีเตียงให้ ฉะนั้นที่นอนของผมคืนนี้คือฟูกปูนอน ถึงจะปวดหลังไปหน่อยแต่ก็อบอุ่นเพราะมีเพื่อนเพิ่มอีกสองคน
ผมพยายามย่องเบาไม่ให้เพื่อนร่วมห้องที่นอนเกยขาเปิดพุงตากพัดลมรู้สึกตัวตื่น ก่อนจะหาที่ว่างวางเป้ เพราะห้องนี้รกมาก จานชามที่กินเหลือก็กองๆ ไว้กับพื้น หนังสือพิมพ์ นิตยสารโป๊กระจัดกระจาย เสื้อที่ไม่ได้ซักกองทิ้งไว้เป็นจุดๆ แถมยังมีปีเตอร์วิ่งออกมาทักทาย ไหนๆ ผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็เลยจัดการเก็บกวาดเพื่อเสริมสร้างมิตรภาพอันดี ถึงเป็นผู้ชายแต่ผมเก่งงานบ้านมาก เพราะพ่อกับแม่ทำงานตลอด เลยต้องดูแลตัวเอง พยายามทำตัวให้มีประโยชน์ ครอบครัวจะได้ไม่เหนื่อย
เริ่มจากเอาเสื้อที่กระจายเป็นจุดๆ โยนใส่ตะกร้า แล้วแบกลงไปซักเครื่องหยอดเหรียญสามสิบบาท ระหว่างนั้นก็ขึ้นไปล้างจานและจัดเรียงหนังสือที่ไม่ค่อยจะมีหนังสือวิชาการสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการ์ตูนกับนิตยสารมากกว่า
สี่สิบนาทีผ่านไป ผมลงไปเอาเสื้อขึ้นมาตากที่ระเบียงซึ่งมีเส้นลวดไขว้ไปมาสำหรับพาดผ้า พอเดินเข้ามาห้องก็มีที่มีทางมากขึ้น เลยว่าจะกวาดพื้นสักหน่อย แต่ผมหาไม้กวาดไม่เจอ
ขณะที่คิดว่าจะลงไปขอยืมพี่สมพงศ์ หนึ่งในสองคนนั้นก็ผงกหัวขึ้นมา
“ใครวะขาวฉิบ”
“ผมชื่อจิระครับ” ผมฉีกยิ้มหวาน แต่คงประมาทหน้าตาของจิระเกินไป เพราะเพื่อนใหม่ถึงกับผงะ ยกมือป้องตาเหมือนโดนลำแสงสาดส่องเข้าอย่างจัง
“หูย ตัวขาวฟันขาว น่าเจี๊ยะแท้ๆ เด็กซื้อมึงเหรอเจียว เฮ้ เจียว”
“ไรวะ” แล้วคนที่สองก็ตื่นตามกันเมื่อถูกสะกิดรัวๆ โดยที่คนแรกยังไม่ละสายตาไปจากผม “เฮ้ย ใครเนี่ย เด็กซื้อมึงเหรอ”
“ของพรีเมี่ยมขนาดนี้จ่ายไม่ไหวว่ะ สรุปไม่ใช่ของมึง?”
“เอาเงินแดกเหล้าหมดแล้วจะเอาที่ไหนมาจ่ายละวะ แล้วนี่มาไง หรือว่าเด็กพี่พงศ์”
“กูเป็นพนักงานใหม่ จะเริ่มทำงานวันนี้ ชื่อจิระ ยินดีที่ได้รู้จัก”
...สองคนที่ถกเถียงกันถึงกับชะงักงันทันทีเมื่อผมพูดหยาบทั้งรอยยิ้ม
“เมื่อกี้ยังพูดเพราะอยู่เลยอีหนูของพี่”
“หน้าตาดีเสียของนี่หว่า”
“แมนๆ ครับเพื่อน สนิทสนมกันหน่อย” ผมยกหมัดขึ้นมาต่อยเบาๆ ที่อกของคนชื่อเจียวที่ก้มหน้าเสียอกเสียใจ ต้องอยู่ด้วยกันอีกพักใหญ่ ให้เห็นธาตุแท้ของผมแต่แรกจะได้ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ เลิกคิดอกุศล “พวกมึงชื่อไร เรียกกูว่าจิก็ได้นะ”
“ไข่เจียว” คนหัวฟู คิ้วเข้ม นอนเปิดพุงพูดเสียงอ่อย
“ต้นหอม” คนหัวเกรียน คิ้วบาง นอนกางขาพูด
“ไข่เจียวต้นหอม เข้ากันดีว่ะ” ผมหัวเราะก๊าก
“โดนล้อจนชินแล้ว ขนาดพี่พงศ์ยังจับคู่ให้มาเป็นรูมเมทกันเลย” ต้นหอมเอ่ยเซ็งๆ “ขอเถอะจิ อย่าพูดกูมึงได้มั้ย เสียดายหน้าตา เห็นแล้วรับไม่ได้”
“กูขอด้วย” ไข่เจียวรีบยกมือลงคะแนนเสียง
“พูดเพราะเดี๋ยวแม่งอารมณ์ขึ้นอีก”
“โอ๊ย เพื่อนกันๆ ไม่หื่นขึ้นแล้วครับ ขอโทษครับ” ต้นหอมยกมือไหว้ผมอย่างขอโทษขอโพยที่เข้าใจผิด “ว่าแต่เป็นคุณหนูคุณชายตกยากจากไหน ผิวเนียนหน้าใสขนาดนี้เคยทำงานรึเปล่าเนี่ย”
“ลองทักทายห้องใหม่ตัวเองสิแล้วค่อยมาถาม” ผมยักคิ้ว ทำให้ไข่เจียวต้นหอมเพิ่งมีแก่ใจสำรวจห้องว่าสะอาดเอี่ยมขนาดไหน หนังสือเก็บบนชั้น จานชามล้างสะอาดไว้เป็นที่ทาง เสื้อผ้าก็ถูกตากอยู่นอกระเบียงเป็นระเบียบแถมยังแยกสีไว้ด้วย
“นางฟ้าชัดๆ น้องจิของพี่!”
ต้นหอมทำเนียนจะกอด ถ้าเป็นปกติผมคงอ้าแขนแล้วใช้ก้ามปูรัดคอแกล้งเล่น แต่เพื่อความปลอดภัยของจิระ เลยรีบเดินหนี ทำให้เพื่อนใหม่จับกบ หน้าทิ่มพื้นก้นโด่งชี้ฟ้า
“ทำให้แค่วันนี้เท่านั้นแหละ” ผมหัวเราะกับท่าทางตลกๆ นั่น “ถือเป็นน้ำใจเพื่อนใหม่”
“เป็นพระคุณอย่างสูงขอรับ” ต้นหอมถือโอกาสที่นอนหมอบกับพื้นยกมือก้มกราบล้อเลียน “ไอ้ไข่เจียวนิ่งไมวะ นางฟ้ามาโปรดก็รีบไหว้ดิ นานครั้งจะมีของดีมาอยู่ด้วยกัน เอาใจน้องจิหน่อย”
“เราเคยเจอกันรึเปล่า”
ผมนิ่งไปกับคำถามของไข่เจียว
“อ้าว กิ๊กเก่าเหรอมึง ว้ายๆ” ต้นหอมเอาศอกสะกิดเพื่อนยกใหญ่
“ล้ออีกพูดกูมึงนะครับ”
“โอ๊ยๆ น้องจิครับ กระผมล้อเล่น” ต้นหอมรีบหันมาทำหน้าพินบพิเทาใส่ ช่างแตกต่างกับสมัยเคยทำงานที่นี่เหลือเกิน ตอนนั้นโดนใช้งานสารพัด พวกเพื่อนๆ ก็ชอบแกล้ง ไม่เคยถูกเอาอกเอาใจขนาดนี้ “สรุปว่าเคยเจอกันจริงดิ”
“สงสัยจำคนผิด”
ผมถอนหายใจเฮือก เมื่อกี้สะดุ้งในใจแทบแย่ นึกว่าจิระแอบมีกิ๊กลับหลังเสี่ย ไม่รู้ว่าถ้าความแตก เสี่ยหน้าดุคนนั้นจะตามมาคิดบัญชีกับผมแทนรึเปล่า แต่ตอนนี้ผมก็โดนตัดหางปล่อยวัดแล้วนี่หว่า แล้วจะกังวลทำไมล่ะเนี่ย
คงเพราะนึกสงสารเสี่ยหากโดนนอกใจ
ก็จิระคนนี้ท่าทางไม่ใช่เล่นๆ เลย!
พวกผมสนิทกันอย่างรวดเร็วปานคบกันมานานปี แม้ความสัมพันธ์ค่อนข้างแปลกๆ เพราะต้นหอมพยายามตามไล้ตามขื่อแบบทีเล่นทีจริง ขณะที่ไข่เจียวนั้นถึงจะเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ผมสังเกตว่าเขาชอบเว้นระยะห่าง ไม่ค่อยแตะเนื้อต้องตัวผมเท่าไหร่
ตอนเย็นผมสวมเครื่องแบบพนักงานเสิร์ฟ เป็นเสื้อยืดสีดำสกรีนตัวโอบีวายสีเงิน และผูกผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงินเข้มมีสะเก็ดสีขาวคล้ายกาเล็กซี่ เพราะโอบีวาย มาจากคำว่าโอบีวัน ตัวละครในเรื่องสตาร์วอร์ เรื่องโปรดของเจ้าของร้านนั่นเอง
“เสื้อยืดตัวละร้อย ทำไมน้องจิของพี่ต้นถึงได้ดูดีอย่างกับนายแบบจังครับ”
“ก็มันแพงที่หน้า ไม่ได้แพงที่เสื้อไงเพื่อน”
“ชอกช้ำใจนัก คนดีขยันย้ำสถานะเหลือเกิน”
ผมส่ายศีรษะอย่างไม่เอาความกับต้นหอม เพราะถ้าผมเจอคนหน้าตาดีขนาดนี้ใกล้ตัว ก็คงจะเผลอยั้งปากไว้ไม่ได้เหมือนกัน แม้จะเป็นผู้ชายก็เถอะ ไม่สิ เพราะเป็นผู้ชายต่างหากเลยพูดได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวว่าจะคิดเล็กคิดน้อย
ตอนเปิดร้าน พี่สมพงศ์ให้ผมแนะนำตัวกับพนักงานคนอื่นๆ แน่นอนว่าถูกมองด้วยสายตาหลากหลาย พร้อมกับชั้นบรรยากาศบางๆ ที่เหมือนจะขวางกั้นระหว่างตัวจิระกับทุกคน แต่เมื่อผมเข้าไปทักทายอย่างสนิทสนม หัวเราะร่าเปิดปากน้ำลายหก ก็ทำให้ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ
ยกเว้นแต่...
“น้อง น้องคนนั้นน่ะ!”
ผมถูกสารพัดโต๊ะเรียกหาจนวิ่งวนไม่หยุดนับตั้งแต่เปิดร้านแล้ว!
แขนของจิระนั้นกระดูกเล็กบอบบางซะเหลือเกิน ถือถาดวางเครื่องดื่มได้ไม่กี่แก้ว ถือขวดเหล้าได้ไม่กี่ขวดติดต่อกันแค่ชั่วโมงเดียวก็เริ่มปวดเมื่อยแล้ว ผมฝืนยิ้ม เพราะลูกค้าเรียกแสดงว่าได้เงิน ถึงจะต้องเวียนเข้าเวียนออก ถูกเจาะจงตัวให้ต้องเสิร์ฟเหล้าแบกถังเบียร์บ่อยๆ จนล้าก็ตาม
ไม่ไหวๆ สงสัยต้องเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้จิระหน่อยแล้ว*!*
ผมหมายมั่นปั้นใจว่าพรุ่งนี้จะต้องไปวิ่งออกกำลังกาย แล้วซื้อดัมเบลมายกเล่นในห้อง ร่างกายของจิระเป็นประเภทฟิตกล้ามไม่ขึ้นก็จริง แต่เพิ่มความอึดความแข็งแรงน่าจะรอด
“น้องชายชื่อไรจ๊ะ คืนนี้ว่างมั้ยเอ่ย”
“ไม่ว่างครับ เมียผมใกล้คลอดแล้ว”
ลูกค้าที่ถามหน้าเสียไปวูบใหญ่ ก่อนโต๊ะข้างๆ จะอยากมีส่วนร่วมรีบพูดแทรกขึ้นมา
“พูดว่ามีผัวจะน่าเชื่อกว่านะไอ้น้อง”
“อ้อ มีทั้งผัวทั้งเมียแหละครับ อยู่กันสามคน ค่าใช้จ่ายก็เยอะ เลยต้องมาวิ่งรอกทำงานไงครับ”
ผมยังยิ้มหวาน รอยยิ้มของจิระพิฆาตใจอยู่แล้ว ท่าทางไม่เหมือนคนโกหกราวกำลังบอกเล่าอย่างเปิดใจเป็นเรื่องปกติธรรมดานั้นทำให้หลายคนเลือกจะหุบปากเงียบ เพราะยิ่งถามล้วงลึก ผมก็ยิ่งแถยาว เล่าไปถึงไหนต่อไหนอย่างสนุกปาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากเงื้อมมือมารที่มักจะผลุบๆ โผล่ๆ แอบลวนลามลูบก้นลูบเอวจับไม้จับมือผมเป็นระยะ เกิดมาก็เพิ่งมีประสบการณ์ถูกผู้ชายแต๊ะอั๋งเอาตอนนี้ แถมยังไม่ใช่ร่างตัวเองอีก รู้สึกแปลกเป็นบ้า
ในเมื่อไม่ได้ขยะแขยงอะไร ปฏิกิริยาจากผมเลยค่อนข้างเฉยชา
พอโดนจับก้นก็...
“ขอโทษครับ ผมท้องเสีย เมื่อกี้เพิ่งไปเข้าห้องน้ำมา ระวังกลิ่นตุๆ นะครับ
พอโดนจับมือก็...
“ผมเข้าห้องน้ำไม่ล้างมือนะครับ”
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หน้าตาดีแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้ความสถุลซกมกของคนได้
ทุกอย่างราบรื่นด้วยดี จนกระทั่ง...
“ไอ้เหี้ย!”
หลุดอุทานอย่างมาดแมน เมื่อแขนล้าจนเผลอทำเครื่องดื่มหกทั้งถาด เสียงแก้วแตกดังลั่น ขนาดพี่สมพงศ์ยังชะโงกหน้าออกมาดูจากห้องทำงานด้านใน
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ” ผมรีบก้มหน้าก้มตาเก็บเศษแก้วใส่ถาด โชคดีที่ไม่ได้ทำหกใส่ลูกค้า ไม่งั้นงานช้างแน่ไอ้จิเอ๊ย
แต่ผิวของจิระก็ช่างบอบบางเหลือเกิน แค่แตะโดนขอบแก้วเบาๆ เลือดก็ไหลอาบนิ้วขาวเนียนแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนไอ้จิตรินบุกน้ำลุยไฟแค่ไหนก็ไม่กระทบต่อผิวอันหยาบกระด้างท้าลมแดดฝ่าลมฝนเลยสักนิด
“นี่ครับ”
พลันมือหนึ่งยื่นมาข้างหน้าพร้อมผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนหนึ่ง
“ขอบคุณครับ” ผมรีบเอ่ยแล้วรับมากดแผล ก่อนจะฉุกใจนึกได้ว่าเสียงคุ้นๆ สุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนแสนดีขนาดนี้จะเป็นใครไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่...”คุณสัน!”
ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเขาตามมาถูก เพราะก่อนออกจากห้องเล่นประกาศชื่อร้านชัดขนาดนั้น แต่ที่ตกใจ ก็เพราะข้างหลังคุณเลขา มีร่างในชุดสูทเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า หลุบตามองผมซึ่งนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
เป็นครั้งแรกที่ได้สบสายตากับเสี่ยผู้ชอบคุยกับอากาศคนนั้น
พลันหัวใจเต้นรัวแรงจนควบคุมไม่ได้
...ไม่รู้ว่าเป็นหัวใจของจิตริน หรือของจิระกันแน่...
---------------------
ตอนสองมาแล้วค่า เรื่องนี้แอบแต่งตุนไว้ประมาณนึง เลยจะลงติดต่อกันทุกวันนะคะ อ่านแล้วอย่าลืมเม้นให้กำลังใจกันด้วยน้า เปิดเรื่องใหม่ รู้สึกวาบหวิวๆ ค่ะ ^ ^
เพจนักเขียนที่แต่งตอนหิว...ออกมาเป็นไข่เจียวต้นหอม