ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย
เดชาที่วันนี้รับอาสาเป็นแพทย์สนามรุดมายังห้องพักนักกีฬาหลังจากได้รับแจ้งว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน ตลอดทางได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด แต่เมื่อมาถึงเห็นพายุพัดทรุดลงนั่งกับพื้น หลังพิงอยู่กับล็อกเกอร์ก็ได้แต่ถอนใจ แม้ใบหน้านั้นจะสงบนิ่ง แต่หัวคิ้วที่ขวมวดมุ่น มือกำเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนกลับบ่งบอกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ร่างสูงย่อตัวลงนั่งวางกระเป๋ายาไว้ข้าง ๆ ก่อนจะตรวจดูอาการในเบื้องต้น เพียงใช้มือสัมผัสแขนแกร่งเล็กน้อยก็ทำคนเจ็บสะดุ้งเฮือก เดชาหันไปสั่งชลชาติให้ช่วยปลดกระดุมเสื้อของเพื่อน จากนั้นจึงเปิดกระเป๋าหยิบสเปรย์เย็นผสมยาชาขึ้นเขย่าก่อนจะเปิดขวดแล้วพ่นลงบนหัวไหล่ไล่มาตามต้นแขนเพื่อคลายความเจ็บปวดให้แก่ฉลามหนุ่ม
“อยู่นิ่ง ๆ นะ อย่าเพิ่งขยับ” ว่าแล้วก็หันไปบอกอีกคน “มีน แจ้งกองอำนวยการให้เตรียมรถพยาบาลที”
คำพูดของอดีตแพทย์ประจำทีมทีมชาติไทยทำให้ชลชาติรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่พายุพัดว่าไว้อีกต่อไป ชายหนุ่มลุกขึ้นดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงจากนั้นจึงโทรหาเพื่อนที่ประจำจุดกองอำนวยการ ไม่นานเจ้าหน้าที่หน่วยพยาบาลก็มาถึง พายุพัดถูกจับใส่อุปกรณ์พยุงแขนก่อนที่หนุ่มฉกรรจ์ 2-3 คนจะช่วยพาร่างของเขาขึ้นแปล ยกวางบนรถเข็นผู้ป่วยแล้วเข็นไปยังรถพยาบาลซึ่งจอดรออยู่แล้ว ชลชาตินั่งไปกับเพื่อนในรถพยาบาลด้วย ระหว่างทางเขาติดต่อแสนยาให้แจ้งข่าวนี้แก่นคินทร แต่กว่าทั้งหมดจะตามไปถึงโรงพยาบาล พายุพัดก็เปลี่ยนชุดและเข้าพักในห้องพักผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว
ครูหนุ่มยืนนิ่ง ฟังแพทย์เจ้าของไข้พูดคุยกับพ่อของตนถึงอาการล่าสุดของคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้คือฝันไปหรือเรื่องจริงกันแน่ นั่นเพราะพายุพัดไม่เคยปริปากเล่าถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ผลจากการทำ MRI นอกจากจะพบหินปูนเกาะแล้ว ยังพบเส้นเอ็นบางส่วนเสียหาย แต่เท่าที่เห็นสภาพวันนี้คิดว่าน่าจะรุนแรงขึ้นครับ”
อดีตหมอทหารพยักหน้าก่อนจะเบนสายตาไปยังลูกชายที่เอาแต่ทอดมองคนบนเตียง
“แล้วอย่างนี้ต้องทำยังไงไอ้พายมันถึงจะหายล่ะพี่” แสนยาเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้เราไปคุยกันข้างนอกดีกว่าครับ ปล่อยให้พายหลับสักพัก” เดชากล่าวแล้วเดินนำทุกคนออกไป
วาสนาสืบเท้าเข้ายืนเคียงร่างสูง เธอแตะฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของลูกชาย เมื่อเห็นนคินทรเหลียวมองจึงได้พยักหน้าเตือนให้เขาไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่ด้านนอก
“จากที่ผมเคยคุยกับพายเกี่ยวกับการรักษาที่ผ่านมา ประกอบกับผลการทำ MRI ล่าสุด คิดว่าตอนนี้คงทำได้วิธีเดียวก็คือการผ่าตัด ที่จริงพายก็มาคุยเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่ขอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน” คุณหมอหนุ่มผ่อนลมหายใจ “ผมเองก็รับรองไม่ได้ว่าเมื่อผ่าตัดแล้วพายจะกลับมาว่ายน้ำได้เหมือนเดิม ก็คงต้องลองเสี่ยงดู”
“ไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอพี่”
เห็นทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดเดชาจึงกล่าว “มีสองทางให้เลือกคือจะผ่าวันคู่หรือวันคี่”
“โธ่พี่เดช เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก”
“ก็ไม่อยากให้เครียดกัน ผ่าตัดไม่น่ากลัวหรอก ดูจากประวัติการรักษาก็เหลือวิธีนี้วิธีเดียวแล้วละ หลังจากนั้นก็คงต้องพักฟื้นยาวเลย”
“ไอ้ธรรม์ก็รู้เรื่องนี้ใช่ไหมครับ” ชลชาติถามเสียงเย็นเยือก
เดชาพยักหน้า “พี่เจอธรรม์วันเดียวกับที่พายมาพบพี่ที่โรงพยาบาล”
“มันตั้งใจให้เป็นแบบนี้จริง ๆ ด้วย มันรู้ว่าพายเจ็บแต่ก็ยังมาท้าแข่ง” อาจารย์หนุ่มกำหมัดแน่น
“นี่พายไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เลยเหรอ”
“พายมันไม่บอกใครครับ ผมเองก็เพิ่งรู้เมื่อวันที่ขอเบอร์จากแสนแล้วโทรไปถามพี่”
คำพูดของชลชาติทำนคินทรรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกที่ในลำคอ เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้แต่เขากลับมารู้เอาเป็นคนสุดท้าย
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าธรรม์มาเนียนถามพี่สินะ” เดชาว่า “มันถามเรื่องที่พายประสบอุบัติเหตุว่ายังมีปัญหาอยู่ใช่ไหม พายถึงเลิกว่ายน้ำ แล้วก็อ้างเรื่องที่เพื่อน ๆ จะจัดแข่งว่ายน้ำการกุศล ถ้ามีปัญหาจริงแล้วพายยังฝืนคราวนี้ต้องเจ็บอีกแน่ ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะได้มาบอกมีนให้ช่วยห้ามพาย พี่เห็นว่าเป็นเพื่อนกันคงเตือนกันได้ เลยฝากไอ้ธรรม์ให้มันมาเตือนไอ้พายว่าอย่าหักโหมนัก ไม่คิดเลยว่ามันจะมาท้าแข่ง”
“ครับ เพราะเรื่องกองทุนพายก็เลยรับคำท้า ไอ้ธรรม์มันสัญญาว่าถ้าพายชนะ มันจะช่วยไปพูดกับลุง ไม่ให้ขัดขวางโครงการนี้ พายก็เลยทุ่มเทให้การแข่งครั้งนี้มาก ๆ”
หลังจากนายแพทย์เดชาได้อธิบายถึงวิธีการรักษาเรียบร้อยแล้ว แสนยาและชลชาติก็รับอาสาไปส่ง พลตรี นายแพทย์ธรณินและคุณวาสนาที่บ้าน นคินทรเดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเลื่อนมือขึ้นกุมมือคนที่กำลังหลับเอาไว้พลางถอนหายใจเบา ๆ เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเพราะเหตุใดพายุพัดจึงได้ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่เป็นรายการแข่งขันเพื่อการกุศล...
ฉลามหนุ่มปรือตาขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์จวนลับขอบฟ้า มองผ่านประตูกระจกบานเลื่อนเห็นนคินทรยืนอยู่ที่ระเบียงจึงใช้มือข้างที่เหลือจับที่กั้นเตียงเพื่อดึงตัวเองลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็ต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพราะการเกร็งกล้ามเนื้อทำให้รู้สึกปวดขึ้นอีก กระนั้นอาการในขณะนี้ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อตอนแข่งเสร็จอยู่มาก พายุพัดจึงได้ลองพยายามอีกครั้ง
เสียงโครมครามที่ดังมาจากด้านในทำให้นคินทรต้องรีบเปิดประตูเข้ามา เขากดปุ่มปรับเตียงก่อนจะเดินอ้อมไปประคองพายุพัด จัดให้ชายหนุ่มอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนโดยใช้หมอนหนุนหลังจะได้สบายขึ้น
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” นคินทรกล่าวขณะหันไปรินน้ำใส่แก้ว
“ดีขึ้นแล้วละ” พายุพัดตอบพลางรับน้ำมาดื่ม จากนั้นจึงส่งแก้วคืนให้ มองเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่ไม่แม้แต่จะสบตากัน
ได้ฟังดังนั้นนคินทรจึงนั่งลงที่เก้าอี้ ดวงตาจับจ้องที่กำไลเงินบนข้อมือ ในที่สุดจึงเงยหน้าขึ้นสบตา “ไม่เห็นบอกกันเลย”
“ม่อน...” คนรู้ตัวว่าผิดกล่าวเสียงแผ่ว
“นายบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ เวลาที่เราทุกข์ใจ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องของนายบ้าง นายกลับไม่เคยบอกให้เรารู้”
“ร...เราขอโทษ เราแค่ไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง”
นคินทรได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ
“อย่าโกรธเราเลยนะ”
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนายแพทย์เดชาและใครอีกคนหนึ่ง
....
อาจารย์ทวีมาเยี่ยมพายุพัดในอีกสองวันถัดมา เขาเดินตามเดชาเข้ามาภายในห้อง รับไหว้ชายหนุ่มแปลกหน้าและกล่าวทักทายคนที่แขนข้างขวายังถูกยึดด้วยอุปกรณ์ช่วยพยุง
“ชลชาติโทรไปบอกตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง แต่ตอนนั้นผมยังอยู่ต่างจังหวัดก็เลยเพิ่งได้มาเยี่ยม คงช้ากว่าคนของสมาคมสินะ” ปากว่าในขณะที่ตามองแจกันทรงสูงประดับด้วยดอกไม้ที่เริ่มจะเหี่ยวเฉา ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นนามบัตรที่มีสัญลักษณ์สมาคมว่ายน้ำ “เขามาเยี่ยมอย่างเดียวหรือพ่วงเรื่องอื่นมาด้วยล่ะ”
พายุพัดสบตาหมอเจ้าของไข้ซึ่งยืนอยู่ปลายเตียงที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ตอนที่คนของสมาคมว่ายน้ำนำแจกันดอกไม้มาให้ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มพรูลมหายใจจากนั้นจึงเบนสายตากลับมายังคนที่หยุดยืนข้าง ๆ “ผมคิดว่าอาจารย์คงทราบแล้ว”
นคินทรมองสามคนที่ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด เห็นว่าตนเองเป็นคนนอกจึงได้เลี่ยงไปอีกทางจากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
ทวีพยักหน้า “ก่อนมานี่ผมก็ถูกนายกสมาคมเรียกเข้าไปคุย เขาขอให้ผมช่วยมาพูดให้คุณรับข้อเสนอนั่น”
ฉลามหนุ่มหวนนึกถึงข้อเสนอที่สมาคมว่ายน้ำยืนให้ โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการผ่าตัด รวมถึงดูแลระหว่างที่เขาพักฟื้น แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องเดินทางไปผ่าตัดที่ประเทศออสเตรเลียก่อนที่จะเข้ารับการอบรมเป็นผู้ฝึกสอนว่ายน้ำในกลางปีหน้า ซึ่งหากเขารับเสนอก็จะส่งผลให้กำหนดคาดเคลื่อน จากเดิมที่ต้องไปเพียงหนึ่งเดือนจะกลายป็นยาวนานออกไปอีก ด้วยเหตุนี้พายุพัดจึงมิได้ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว
“แล้วอาจารย์ว่ายังไงครับ”
“ผมคิดว่าลองคุณปฏิเสธแล้ว โอกาสที่จะเปลี่ยนใจก็เป็นศูนย์ ผมเลยไม่ได้รับปากเขา บอกแค่ว่าจะลองดู”
ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าว “อาจารย์อย่าทำให้ผมต้องลำบากใจเลยครับ”
“ผมไม่ได้มาขอร้อง ไม่ได้มาใช้ความเป็นครูกดดันคุณ แต่อยากให้คิดทบทวนมากหน่อย ผมรู้ว่าสมาคมเองก็มีข้อบกพร่อง เขาไม่คิดจะเอาโครงการของพวกคุณมาพิจารณาใหม่อยู่แล้ว แต่การที่หลังเกิดเรื่องชลชาติก็ไปดึงเอกสารโครงการจัดตั้งกองทุนกลับ แล้วรวมตัวกับเพื่อน ๆ ประกาศตั้งกองทุนช่วยเหลืออดีตโค้ชและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยกันเอง นั่นก็เป็นการหักหน้าเขาอย่างหนึ่ง อีกอย่างก็คือเรื่องที่สมาคมว่ายน้ำออสเตรเลียเชิญคุณเข้าร่วมการอบรมเป็นผู้ฝึกสอนว่ายน้ำโดยไม่ผ่านสมาคมว่ายน้ำของไทย แล้วคุณก็ตอบรับ”
“แต่ผมไม่ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติแล้วนะครับอาจารย์ อีกอย่างผมผ่าตัดที่นี่ก็ได้ ผมไม่เห็นความจำเป็นที่สมาคมต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ เพราะยิ่งไปไกลค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมาก”
“มันคือวิธีการกู้หน้าและสร้างความน่าเชื่อถืออย่างหนึ่ง”
และทุกข้อสงสัยก็กระจ่างด้วยประโยคสั้น ๆ ของอาจารย์ทวี
....
เมื่ออาการบาดเจ็บทุเลาลง เดชาจึงอนุญาตให้คนไข้ในการดูแลกลับบ้านได้ เพื่อให้ชายหนุ่มได้มีเวลาตัดสินใจและจัดการธุระต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนการผ่าตัด พายุพัดเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วเดินไปนั่งลงที่โซฟา มองอีกคนที่หอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรังตามมา
นคินทรวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วหันมากล่าว “เรากลับก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิม่อน” เจ้าของห้องบอกพลางยึดข้อมือคนที่ยังไม่หายโกรธเอาไว้ ตั้งแต่อยู่โรงพยาบาล นั่งเครื่องบินมาด้วยกันจนกระทั่งถึงบ้าน นคินทรพูดกับเขาแทบนับคำได้ “อย่าเพิ่งไปเลยนะ อยู่กับเราก่อน” ว่าแล้วพายุพัดก็ขยับถอยหลังพิงพนักโซฟา แยกขาออกแล้วดึงอีกอีกฝ่ายให้นั่งลงตรงกลาง สองแขนโอบรอบเอวสอบเข้านิด ๆ ไว้หลวม ๆ พลางพาดคางลงบนบ่าแล้วแตะจูบลงที่หลังคอไล่มาจนถึงหัวไหล่ กระนั้นคนในอ้อมแขนก็ยังคงนั่งนิ่ง
“ยังไม่หายโกรธเราอีกเหรอ”
“...”
“หายโกรธเถอะนะ”
“...”
“สงสารเราเถอะ”
ประโยคสุดท้ายทำเอาใจอ่อนยวบ “คราวหลังมีอะไรต้องบอกนะ” พูดจบนคินทรก็ถอดกำไลที่ข้อมือของตนสวมคืนให้เจ้าของ
พายุพัดซุกหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างจากนั้นจึงพยักหน้า ถือโอกาสสูดกลิ่นหอมจากตัวของคนที่ไม่ได้กอดเสียหลายวัน
“พาย พอน่า จั๊กจี้”
“หอมนี่นา”
นคินทรส่ายหัวเบา ๆ “ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวก็เจ็บไหล่อีกหรอก”
“ได้กอดม่อนแบบนี้ ถึงเจ็บเราก็ยอม” ว่าแล้วก็จับนคินทรนอนลาบลงกับโซฟา จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นก่อนจะค่อย ๆ โน้มหน้าเข้าใกล้ หวังจะจุมพิตลงบนกลีบปากชวนหลงใหลนั้นเป็นหนที่สอง
“แล้วเรื่องผ่าตัดล่ะว่ายังไง” ครูหนุ่มพูดพร้อมกับยกมือขึ้นประคองแก้มของคนที่กำลังทาบทับอยู่บนร่างของตน
พายุพัดจึงจำต้องอดใจ จับมือนั้นไว้แล้วดึงลงมากดจูบซ้ำ ๆ ก่อนจะกล่าวถึงเหตุผลสำคัญที่ให้เขาไม่คิดยอมรับข้อเสนอจากสมาคม “ถ้าเราตอบตกลง เราก็จะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ม่อนแบบนี้”
“แต่ถ้านายไม่ตอบตกลง ทางนั้นยิ่งเสียหน้า ยังไงนายก็เคยเป็นนักกีฬาของเขามาก่อน”
“เรื่องนั้นเราไม่เคยลืมและจะไม่มีวันลืมด้วย” หนุ่มนักกีฬาบอก แนบหูลงกับอกของคนใต้ร่าง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มือหนึ่งยังคงเกาะเกี่ยวเรียวนิ้วของอีกฝ่ายเอาไว้ “ตอนที่รู้ว่าจะมีธงไตรรงค์ติดหน้าอก รู้ว่าจะได้รับใช้ชาติ ตอนนั้นใคร ๆ ก็ภูมิใจจนลืมคิดไปว่าชีวิตหลังจากนั้นจะต้องเจอกับอะไรบ้าง พวกเราฝึกซ้อมกันอย่างหนัก ทุ่มเทให้กับทุก ๆ การแข่งขัน ต้องไกลบ้าน ไกลเพื่อน ไกลคนที่รัก แต่เมื่อถึงวันที่ไม่สามารถทำประโยชน์ได้แล้วกลับไม่ได้รับการเหลียวแล”
นคินทรฟังแล้วให้สะท้อนใจ เลื่อนมือขึ้นลูบหลังของคนพูดเพื่อปลอบประโลม “บางทีนายอาจจะเป็นคนสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับทุกคนก็ได้นะ”
“เราไม่รู้เหมือนกัน” พายุพัดกล่าวอย่างไม่มั่นใจ แต่ที่มั่นใจที่สุดนั่นคือถ้อยคำต่อจากนี้ “รู้แค่ว่าอยู่กับม่อนแล้วเรามีความสุข ขอเราอยู่แบบนี้ก่อนแล้วค่อยคิดนะ”
....
(มีต่อค่ะ)