ตอนที่ 15
เรื่องที่สำคัญสำหรับผมในตอนนี้ นอกจากจีบหนุ่มใกล้บ้านแล้ว ยังต้องตั้งใจเรียนด้วย แน่นอน! เห็นแบบนี้ก็ตั้งใจเรียนนะครับ ไอ้นานาเพื่อนรักคนสวยก็เช่นกัน ไอ้นั่นมันเรียนเก่งอยู่แล้ว แต่คนสมองที่เกือบๆ จะเป็นญาติกับขี้เลื้อยก็ต้องพยายามขยันอ่านหนังสือนิดนึง
นี่ถึงขั้นหักห้ามใจไม่ให้พุ่งตัวไปบ้านไอ้หมาบ้าเลยนะ สอบย่อยในคราวนี้เราต้องทำให้ดีที่สุด นี่ก็นั่งมายาวเลยนะตั้งแต่สองทุ่ม จนตอนนี้เลยเที่ยงคืนไปแล้วนิดหน่อย
แต่ดูๆ แล้ว ทำไมเหมือนอ่านไปได้มี่กี่หน้าเองวะ?
คิดไปเองมั้ง
ก๊อกๆๆ
“ไอ้วิป”
“จ๋าปู่”
“เปิดประตูหน่อย”
ปู่นี่ก็ไม่ยอมหลับยอมนอน คนแก่ควรพักผ่อนนะครับ ผมลุกไปเปิดประตูให้ปู่ กำลังจะอ้าปากถามเลยว่ามีอะไร แต่ปู่ก็ยื่นของให้มือมาให้ซะก่อน มองของที่ยื่นมาแล้วก็แทบจะเบะปากร้องไห้ ซึ้งง่าปู่ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังเอามาให้อีก
“นมกับขนม เอาไว้เผื่อหิว”
“ปู่อ่า~” นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องรับของจากปู่นะจะพุ่งเข้าไปกอดแล้ว ผมรับมาแล้วเอาไปว่างแล้วค่อยเดินกลับไปกอดปู่ ใจดีอะไรอย่างนี้ มีการเอาของกินมาให้ด้วยกลัวเราหิว
“กอดทำไมเนี่ย อึดอัด”
“รักปู่~ รักๆ” ผมรัดร่างปู่แน่นขึ้นไปอีก คนแก่ของเราก็ฟอร์มจัดนะ พยายามจะดันผมให้ออกห่าง แต่ดันได้จริงจังมาก แรงแค่นี้มดมันยังไม่กระเด็นเลยปู่ อยากกอดเค้าเหมือนกันก็บอกมาซี่
“จริงๆ ปู่ควรจะนอนได้แล้วนะ” เมื่อกอดจนพอใจผมก็ผละออกมา มันดึกแล้วไง ผมเองก็เป็นห่วงปู่อยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าปู่จะดูแข็งแรงดีก็เถอะ แต่ยังไงก็อายุมากแล้ว ควรพักผ่อนให้เพียงพอนะปู่นะ คนแก่ที่รักของผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เมื่อผมบอกไปแบบนั้น
“เดี๋ยวไอ้ลูกหมามันไปรื้อครัวหาของกินตอนดึก เช้ามากูต้องไปนั่งเก็บเศษซากอารยธรรมของมึงอีก” เหมือนจะรักกันเลยเนอะปู่เนอะ
“เค้าสัญญา เค้าจะไม่รื้อ ถ้ารื้อก็จะไม่ให้รก”
“หลานเวร”
“ปู่ไปนอนได้แล้ว ดึกมากแล้วนะ” ผมดันๆ ตัวปู่ให้เดินกลับห้อง แต่ปู่แม่งดื้อ! ยื้อตัวเองไว้อีก นี่อย่าให้หลานต้องโหดนะเว้ย เดี๋ยวเล่นบทโหดแล้วปู่จะเสียใจนะ ไปฝึกบทโหดกับไอ้หมาบ้ามาเยอะ เพราะงั้นสมจริงแน่นอน
“เดี๋ยวลงไปล้างจานแล้วปิดบ้านให้เรียบร้อยก่อน มึงก็ตั้งใจอ่านหนังสือไปเถอะ ส่งให้เรียนก็เรียนให้ดีๆ หน่อย ไม่งั้นจะส่งไปอยู่ป่ากับพ่อมึง” แหมะ…พ่อจะเอาผมมั้ยนี่ลองไปถามก่อนดีกว่านะ
“ค่อยล้างพรุ่งนี้ก็ได้มั้งปู่”
“ไม่กี่ใบเอง กูไม่กวนละ ตั้งใจอ่านล่ะ”
“ค้าบบบบบ~” ผมยิ้มทะเล้นใส่ ปู่แก่ส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วเดินลงบันไดไป ผมปิดประตู หันกลับมามองนมที่ปู่เอาขึ้นมาให้แล้วก็ยืนยิ้มอยู่อย่างนั้น โคตรรักปู่เลย ดูแลดีทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะชอบพูดเหมือนไม่รักกันก็เถอะ คนปากแข็ง!
โครม!!
เพล้ง!!!
!!
เสียงอะไร!
ผมชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบแก้วนมขึ้นมาดื่มเพราะเสียงที่ดังมาจากข้างล่างนั่น ทั้งบ้านมีแค่ผมกับปู่สองคน ไม่ใช่ผมก็ต้องเป็นปู่นั่นแหละ มีเสียงมาแต่ยังไม่ได้รู้ว่าเพราะอะไรผมก็ใจหายไปก่อนแล้ว
ผมรีบเปิดประตูออกไปดู วิ่งลงมาบันไดมา แล้วสิ่งที่เห็นก็เล่นเอาเข่าแทบทรุด ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด รีบพุ่งตัวเข้าไปหาร่างของปู่ที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น
“ปู่!! ปู่!”
มือผมสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ กวาดสายตามองพื้นที่รอบตัว ตู้โชว์สุดรักของปู่ที่ล้มลง แล้วนั่น…แจกันของแม่ ฉิบหายละ แต่ช่างแม่งไปก่อน ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงน่ะคือปู่ผม
ผมพลิกตัวปู่กลับมา เรียกยังไงปู่ก็ไม่ตอบไม่รู้สึกตัวเลย แถมที่ศีรษะของปู่ก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ใจผมแม่งยิ่งร้อนรนไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี เพียงเวลาไม่กี่วินาทีที่ผมกวาดสายตามองสำรวจรอบๆ ตัว นั้น ในหัวผมมันเสือกคิดไปถึงเรื่องไม่ดีขึ้นมา คิดไปว่าเกิดปู่เป็นอะไร ผมจะทำยังไง
“ปู่…ฮึก…”
สติ! มึงต้องมีสติวิป
แต่…ไอ้เหี้ย! กูควรจะทำอะไรก่อนดีวะ มันรนไปหมด เข้าขั้นสติแตก
“โทรศัพท์…” ผมพึมพำอย่างนึกขึ้นได้ ปาดน้ำตาออกจากหน้าแล้ววิ่งขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกหาคนที่ผมคิดถึงเป็นคนแรก แล้วก็วิ่งกลับลงมาหาปู่ด้วย
“รับสิ ฮึก…รับสิวะ”
แกร๊ก
[ฮัลโหล มึงโทรมาทำไมดึกๆ วะ]
“ฮึก นา…ปู่อะ ฮึก ปู่ล้ม…ใช่ น่าจะล้ม แล้วก็…แล้วก็มีเลือดด้วย ฮึก…ไอ้นา กูจะทำยังไงดี กู…” ผมพูดออกไปเท่าที่จะนึกได้ ร้องไห้จนฟังไม่เป็นคำแล้ว
[เดี๋ยวๆ ช้าๆ ไอ้วิป ปู่เป็นอะไร มึงใจเย็นๆ ก่อน]
“เย็นเหี้ยไร!! ฮือออ ปู่เลือดออกนะ! มึงอ่า…กู…กู…เหี้ย! กูสั่นไม่หยุดแล้วเนี่ย” ผมโวยใส่มันลั่นบ้าน ไม่เกรงใจบ้านข้างๆ แล้วในตอนนี้ กูตั้งสติโทรหามึงได้ก็ดีเท่าไหร่ละ
[เออ! มึงใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ พูด กูฟังมึงไม่รู้เรื่อง ปู่เลือดออก เลือดออกยังไง เป็นอะไร] มันพยายามพูดให้ผมใจเย็นลง ถ้าเป็นเวลาปกตินะ ไอ้นานาจอมเหวี่ยงคนนี้ไม่มีหรอกที่จะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแบบนี้ถ้าเกิดเจอผมโวยใส่น่ะ
“ฮึก…ปู่ล้ม แต่…กูไม่รู้! หัวปู่เลือดออก แล้วปู่ไม่ยอมตื่นด้วย ฮืออออไอ้นา กูทำยังไงดี” สติแตกเต็มขั้นแล้ว ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างเครียดจัด เดินวนไปวนมารอบๆ ตัวปู่ เผลอไปเหยียบไอ้เศษแจกันสุดรักของแม่เข้าแต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
[แล้วทำไมมึงไม่โทรเรียกรถพยาบาล!! ควาย! โทรเรียกเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่พาปู่มึงไปโรงบาลก็โทรเรียกมา แล้วหยุดสติแตกซะ! กูจะรีบไป ไอ้ห่า! บ้านกูเหมือนอยู่ใกล้เลยเนี่ย กูจะรีบไปแล้วกัน] ไอ้นานาสั่งออกมาเป็นชุด ผมพยายามตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ มันกำชับให้ผมโทรเรียกรถพยาบาลซะ ส่วนมันจะรีบมาให้เร็วที่สุด
หลังจากวางสายไอ้นาแล้วผมก็จัดการโทรเรียกแบบที่มันสั่งเอาไว้ แล้วระหว่างที่รอผมก็พยายามห้ามเลือดในแบบที่ผมพอจะรู้มาบ้าง
“ฮึก…”
เหี้ย! ทำไมมันช้างี้วะ
ผ่านไปแค่ไม่กี่วิแต่เหมือนนานเป็นชั่วโมง พอนั่งรออยู่คนเดียวแล้วก็เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมา ผมหันซ้ายหันขวาเหมือนคนใกล้บ้า มัวแต่สนใจแผลที่ศีรษะของปู่ ไม่ได้สนใจแผลที่เท้าตัวเองเลย ตอนนี้มันเริ่มรู้สึกชาๆ แล้ว
ผมหันมองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัว กัดริมฝีปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนนี้ผมต้องการใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่งั้นผมได้บ้าจริงๆ แน่
คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกเบอร์ไอ้กัน ภาวนาสุดใจให้มันรับสาย ถ้าเป็นเวลาปกติผมจะไม่โทรไปดึกดื่นป่านนี้หรอกนะ เพราะมันอาจจะหลับไปแล้ว แต่ตอนนี้ ถึงมึงหลับกูก็จะปลุกมึงขึ้นมา
แกร๊ก
[มีอะไร]
ขอบคุณครับ มันรับสาย!
“กันๆ ฮึก…มาหากูหน่อย กูจะบ้าแล้ว กู…”
[มึงเป็นอะไร] ทางนู้นเองก็แปลกใจเมื่ออยู่ๆ ไอ้บ้าแบบผมก็โทรไปร้องไห้ใส่แล้วขอให้มาหา คือถ้าไอ้ตองอยู่ใกล้ๆ แบบมึงกูก็โทรหามัน ไม่เสียเวลาโทรหาคนพูดยากแบบมึงหรอก แต่เพราะมึงอยู่ใกล้สุดไง เลยซวยไป
“ปู่หัวแตก ปู่…ไม่ตื่นเลย ฮึก…กูจะบ้าแล้วกันๆ ฮึก…มาหากูหน่อย นะ กูขอร้อง”
[มึงหยุดร้องไห้ กูฟังไม่รู้เรื่อง แล้วนี่มึงเรียกรถพยาบาลหรือยัง] ในเวลาแบบนี้มึงยังจะมาดุกูอีก ผมปล่อยโฮใส่แม่งเลยเมื่อมันบอกว่าฟังผมไม่รู้เรื่อง
“ฮืออออมึงอ่า~ เรียกแล้ว เรียกแล้วจริงๆ นะ มาหากูหน่อย ฮึก…นะไอ้กัน มึงอย่าใจร้ายดิ”
[เดี๋ยวกูไป] ปลายสายตอบกลับมาแค่นั้นแล้ววางไป ผมก็เบาใจขึ้นมาหน่อยเมื่อมันบอกว่าจะมา และเพียงแป๊บเดียวเท่านั้น เสียงเปิดประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้นและตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามา ใบหน้าที่ชื้นเหงื่อบวกกับอาการหอบเล็กน้อยนั่นเป็นตัวบอกได้ดีว่ามันนั้นได้วิ่งมาจากบ้าน
“กันๆ” พอเห็นหน้ามันปุ๊บน้ำตาก็ทะลักอีกรอบ ยิ่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายรีบวิ่งมาแบบนี้ด้วยแล้ว ไอ้หมาบ้าเดินเข้ามา ย่อตัวนั่งลงข้างๆ ดวงตาคมดุกวาดมองสำรวจรอบๆ จากนั้นคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน
“มึง ปู่จะเป็นอะไรมั้ย”
“มึงใจเย็นๆ ก่อน”
“แต่ปู่…” ผมยื่นมือไปกำชายเสื้อมัน โดยที่ลืมไปเลยว่ามือตัวเองเลอะเลือดอยู่ ไอ้กันก้มลงมามองมือผม นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกตัว กำลังจะดึงมือกลับ แต่คนตรงหน้าก็เลื่อนมือลงมากุมมือผมไว้ซะก่อน
“ปู่ไม่เป็นอะไรมากหรอก มึงอย่าเพิ่งคิดมาก”
ฮ้อยมันปลอบ อยากยิ้มอยากดีใจ แต่ดีใจไม่ออกจริงๆ ทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับคำเท่านั้น ไอ้ที่เคยบอกเอาไว้ว่ามันใจร้าย เห็นทีคงต้องคิดดูใหม่แล้ว จริงๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ มีปลอบด้วยทั้งๆ ที่มันเบื่อหน้าผมจะตาย แถมขอให้มาก็ยังมาหาอีก ดึกป่านนี้แล้วด้วย
“แล้วนี่…มึงเลือดออก?”
“อ่า…กูเหยียบเศษแจกัน”
“แล้วมึงไม่เจ็บหรือไง” มันถามด้วยเสียงที่เข้มขึ้นมาหนึ่งระดับ ผมทำหน้าเอ๋อใส่ มองหน้ามัน แล้วเลื่อนไปมองเท้าตัวเองที่มีเลือดแห้งๆ ติดอยู่ ลองขยับดูก็รู้สึกปวดหนึบๆ ผมเบะปากใส่ร่างหนา
“กันๆ ฮึก…กูเริ่มเจ็บแล้วอ่า~”
“เฮ้อ…”
ไอ้กันถอนหายใจพร้อมกับทำหน้าเบื่อใส่ มันเองก็คงอยากจะด่าผมอยู่เหมือนกัน ตั้งนานมึงไม่รู้จักเจ็บ พอกูทักเข้าหน่อยก็เจ็บขึ้นมาทันที
“กันๆ เจ็บอะ”
“เออ รู้แล้วว่าเจ็บ แต่คงไม่เป็นอะไรมากหรอก เลือดก็หยุดไหลแล้วด้วย อีกอย่างเด็กบ้าๆ แบบมึงน่ะไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก มัวแต่ห่วงปู่ไม่ดูตัวเอง” บ่นเป็นพ่อกูเลยนะมึง ได้ทีล่ะเอาใหญ่เลยนะ
“ถ้าไม่ห่วงปู่แล้วจะให้ห่วงใครล่ะ”
“กูขี้เกียจเถียงกับมึงแล้ว”
ร่างหนาพูดตัดบทแต่เพียงเท่านั้น และอีกไม่นานรถพยาบาลก็มา ระหว่างทางที่นั่งรถไปที่โรงพยาบาลผมนี่เบะแล้วเบะอีก จนไอ้หมาบ้ามันขี้เกียจจะปลอบแล้ว ได้แต่ส่ายหน้าเบื่อๆ ให้
หึ! ไม่ให้เป็นปู่มึงบ้างก็แล้วไป แสส! แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณมันอยู่ดีนะ นี่ผมไม่ได้เอ่ยปากขอร้องให้มันมาด้วยนะ พี่แกสมัครใจมาด้วยตนเองเลย ซึ้งใจแทบอยากจะกอด แต่เอาไว้ก่อน ไว้กอดทีหลังก็ยังทัน
และพอมาถึง ผมก็ได้รู้ว่าที่ไอ้กันมันมาด้วยเพราะอะไร มันกลัวว่าผมจะห่วงปู่จนทำอะไรไม่ถูก เพราะงั้นมันเลยมาช่วย เรื่องของปู่เสร็จรอหมอตรวจและเย็บแผล ระหว่างนี้ไอ้หมาบ้าก็ลากผมมาให้พยาบาลทำแผลที่เท้าให้
“มึงๆ” ผมสะกิดเรียกร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ นางพยาบาลคนสวยกำลังเตรียมอุปกรณ์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ผมมองแบบแหยงๆ บวกกลัวนิดๆ ถึงจะเบาใจไปได้หน่อยนึง (หน่อยเดียวนะ) ตอนที่เขาบอกว่าไม่ถึงกับต้องเย็บแผล แต่เฮ้ย…ล้างแผลมันก็แสบนะเว้ย!
“อะไร”
“ล้างแผลนี่มัน…แสบใช่มั้ยวะ” คือ…เค้ากลัวง่ะ
“แสบ”
ไอ้เหี้ยนี่ก็ไม่ให้กำลังใจกูเลย
“กูกลับไปทำแผลที่บ้านเองได้มั้ยวะ กูกลัวอะ” ผมเบะปากเตรียมจะร้องไห้อีกรอบ และนั่น! มึงอย่า ไอ้กันๆ กูเห็นนะว่ามึงแอบหันไปขำกูน่ะ ผมตีหน้าบึ้งใส่ เดี๋ยวก็งอแงใส่เลยหนิ นิสัยจริงๆ
“อย่างมึงเนี่ยนะกลัว กะไอ้แค่ล้างแผล” เย้ยเข้าไปเถอะพ่อ ผมกระตุกชายเสื้อ (ที่เลอะเลือด) ของมันแล้วส่ายหน้ารัวๆ เค้าไม่เอาอะตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะชาๆ แล้วก็เถอะนะ แต่เค้าก็กลัวนะตัว ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงรอยยิ้มเหี้ยมๆ นั่น
ปู่จ๋า~
“นี่วิป”
“จ๋า…” จะร้องแล้วจ้ะ
“มันก็มีวิธีที่ทำให้ไม่แสบมากอยู่นะ” ร่างสูงโน้มตัวเอาหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ ผมหูตั้งตาโตทันที พยักหน้าตกลงแบบไม่ต้องรอฟังว่ามันคืออะไร
“สาดแอลกอฮอล์ไปทีเดียวเลย แสบแป๊บเดียว หึๆ”
ปู่ครับ ไอ้บ้านี่มันจะแกล้งผม ฮืออออ
“มาค่ะ ทำแผลกันนะคะ” ไม่ทำได้มั้ยครับ ใจจริงผมก็อยากจะบอกไปแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะเออ แต่คุณคนสวยเล่นเดินเข้ามาเตรียมพร้อมทำแบบไม่ปรึกษาผมเลยสักคำ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมรอรับความแสบที่จะได้รับ แหมะ…เปิดประสบการณ์ใหม่จริงๆ เลย
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ค่ะน้อง ไม่เจ็บหรอก” คำปลอบโยนของพี่ใช้ไม่ได้ผลหรอกครับ
หมับ!
ผมหันไปคว้าแขนไอ้หมาบ้าข้างตัวไว้ จับไว้ก่อนเดี๋ยวมันหนีออกไป เดี๋ยวผมไม่มีเพื่อน ช่วงนี้เราอ่อนแอนาย เพราะงั้นเชิญมึงขำได้เต็มที่ เดี๋ยวเอาคืนที่หลัง
ไอ้กันมันขำจริงๆ นะ มีแบบแค่ยิ้มเยาะ ขำเบาๆ และเบือนหน้าไปขำอีกทาง มึงมีหลายระดับจังวะ แต่ร่างสูงก็ยังมีความใจดีอยู่นิดๆ เพราะไม่บ่นอะไรที่ผมยึดมันไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหน
ต้องกราบขอบคุณคุณพี่พยาบาลคนสวยนี่จริงๆ มือเบามาก ถึงแม้ว่ามันจะแสบอยู่ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นที่คิดเอาไว้ ทำแผลเสร็จก็ลำบากคนที่มาด้วยต้องพยุงผมออกมา
“นั่งก่อน” มันพามาให้นั่งรออยู่ที่หน้าห้องที่ปู่เข้าไป บอกให้นั่งนี่ดูพูดดีนะ แต่มันแทบจะโยนผมลงเก้าอี้เลยล่ะ จากนั้นมันก็มานั่งข้างๆ ต่างคนต่างเงียบไปสักพักผมก็นึกขึ้นมาได้
“กูต้องโทรบอกไอ้นานาก่อน”
“ทำไม”
“มันบอกว่าจะรีบมา ต้องบอกมันก่อนว่าอยู่โรงบาลแล้ว” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไอ้นานา
[ว่าไงมึง เป็นไงบ้าง]
“กูอยู่โรงบาลแล้วนา มึงจะมามั้ย มึงอยู่ไหนแล้ว”
[กูเกือบถึงบ้านมึงแล้ว งั้นเดี๋ยวกูไปหามึงที่นู้นแล้วกัน มึงโอเคนะวิป ไม่เป็นไรนะ] น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจากแม่สาวโหดทำให้ผมยิ้มออกได้นิดหน่อย ผมบอกชื่อโรงพยาบาลไปจากนั้นก็วางสาย คนข้างตัวผมก็ไม่ได้ชวนคุยอะไร นั่งเงียบแบบนี้ผมเริ่มคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีกแล้ว
“เฮ้อ! กันๆ”
“อะไร วันนี้เรียกกูกี่ครั้งแล้วเนี่ย” ทำไมต้องเสียงดุใส่ด้วยวะเนี่ย ผมหันหน้าหงอยๆ ของตัวเองไปมองมัน ไอ้กันคงรับไม่ได้กับสภาพผมในตอนนี้ มอมแมมเหมาะแก่การอาบน้ำเป็นอย่างมาก
“ขอพิงหน่อยได้มั้ยอะ”
“ไม่มีกระดูกหรือไง เก้าอี้ก็มีพนักพิง พิงไป” โคตรใจแข็งเลย สีหน้าผมหงอยลงไปอีก ไม่พิงก็ได้วะ ขอแค่นี้ก็ไม่ยอมให้ ใจร้ายยย~ ผมดึงหน้ากลับมาพร้อมกับความรู้สึกหงอยๆ ในใจ จิตใจเปราะบางนะเว้ยตอนนี้ ร้องไห้ง่ายนะบอกให้ นี่ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนอยากจะร้องอีกครั้ง
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจจากไอ้บ้าข้างตัวแม่งยิ่งขับให้น้ำตาผมไหลออกมา
หมับ!
“กูให้มึงแค่วันนี้นะ” คล้ายกับว่าร่างสูงทนเห็นผมเป็นอย่างนี้ไม่ไหว มือหนาดึงตัวผมเข้าไปซุกอกแล้วกอดผมไว้แบบนั้น ผมค้างไปนิด จากนั้นบ่อน้ำตาก็แตกทะลัก เครียดเรื่องปู่ด้วย และดีใจด้วยที่มันมากอด แถมเป็นคนดึงเข้าไปกอดเองด้วย
“ฮือออ กันๆ ฟืดดดด!”
“ไอ้วิป!”
“ฮึก”
“เสื้อกู” ร่างหนาพึมพำกับตัวเอง ดูท่าทางจะรังเกียจมิใช่มั้ย แต่ก็ยอมกอดผมไว้อยู่ ใบหน้าหล่อเหลาเบือนหนีไปอีกทางอย่างรับไม่ได้ มือหนาแทบจะดันหน้าผมออกห่างอยู่แล้ว ดูก็รู้ว่ายั้งตัวเองอยู่
“อะไรวะ รังเกียจหรือไง”
“ขี้มูกนะไอ้วิป ให้กูรักหรือไง” ดูครับ มันมีเถียงด้วย พอ! กูไม่พูดกับมึงแล้ว
และเพียงไม่นานไอ้นานาเพื่อนรักก็มาถึง ผมเลยย้ายที่พึ่งจากไอ้หมาบ้าสุดโหดนั่นไปที่คนสวยแทน เห็นหน้าเพื่อนแล้วก็ได้ฤกษ์ร้องไห้อีกรอบ เดือดร้อนไอ้นานาต้องปลอบยกใหญ่ และต่อจากนั้นไม่นานหมอก็ออกมา ผมรีบผุดลุกไปหา สรุปได้ว่าปู่นั้น…เป็นลมหัวฟาดพื้น เพราะพักผ่อนไม่พอ
ปู่ค้าบบบบบ นอนอยู่บ้านทุกวันพักไม่พออะไรกันวะ
“ยังไงให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนนะครับ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็กลับบ้านได้”
“อ่าครับ ขอบคุณครับ”
“มึงกลับไปอาบน้ำที่บ้านหน่อยมั้ยวิป เลอะเทอะมากเลยเนี่ย ปู่มึงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว” พอหมอเดินจากไปไอ้นานาก็หันมากอดอกมองสารรูปผมด้วยสีหน้ารับไม่ได้ เอาจริงๆ ผมก็คิดแบบนั้นนะแต่ว่า…
“กูห่วงปู่”
“หมอก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเป็นห่วง มึงไม่เชื่อหมอหรือไง” มึงนี่น่ากลัวว่าหมออีกนะนานา สายตานี่มาแบบบังคับผมมากเลย ผมหันไปขอความช่วยเหลือจากร่างสูงข้างๆ พี่ท่านหาวแล้วครับ คงง่วงนอนน่าดู เห็นแล้วก็รู้สึกผิดหน่อยๆ ที่ลากมันมาด้วยอย่างนี้
“กันๆ”
“มึงควรกลับอย่างที่นานาบอก สภาพมึงดูไม่ได้แล้ววิป อีกอย่างเท้ามึงก็เจ็บ” ดวงตาดุๆ นั่นเลื่อนลงไปมองที่เท้าผม นั่นเลยทำให้เพื่อนรักของผมสังเกตเห็นขึ้นมา
“มึงเป็นอะไรน่ะวิป”
“กูเหยียบเศษกระเบื้องน่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก เดินไม่ถนัดนิดหน่อยเอง”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไอ้ห่า! กูตกใจหมดตอนที่มึงโทรไป ร้อนรนซะจนกูรนไปด้วย ไม่ต้องคิดมาก ปู่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว กลับบ้านเหอะเดี๋ยวกูไปส่ง นายด้วย บ้านอยู่ใกล้กันหนิ” คำหลังมันหันไปพูดกับไอ้กัน ไอ้นี่ก็ว่าง่ายครับ พยักหน้ารับคำแบบไม่มีปฏิเสธอะไรเลย ผมเลยดื้อต่อไม่ได้
“แล้วนี่…ทำไมนายมากับไอ้วิปมันได้ล่ะ” ระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน โดยมีคนสวยเป็นคนขับให้ เพื่อนรักถึงขั้นเอารถออกมาขับเองเลย ทุกทีแม่คุณไม่ค่อยชอบเอารถออกมาใช้เท่าไหร่ ไอ้กันที่นั่งอยู่ด้านหลังเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะตอบไอ้นานาไป
“มันโทรขอให้มาหา”
“อ๋อ…” อ๋อเหมือนเข้าใจนะ ทั้งๆ ที่ไอ้หมาบ้ายังไม่ได้อธิบายอะไรเลยด้วย นานาเหล่ตามามองผม ดูก็รู้แม่คุณอยากเผือกเต็มที่แต่สถานที่ไม่อำนวย ทำได้เพียงส่งสายตามาเป็นการถาม พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าพวกมึงไปถึงไหนกันแล้ว
ผมส่ายหน้าตอบ ก็ไม่ถึงไหน อยู่ที่เดิมแหละ แต่เพราะเกิดเรื่องไง ไม่อย่างนั้นไอ้กันๆ ไม่มีทางยอมออกมาหาแบบนี้หรอก
“เดี๋ยวมึงนอนค้างกับกูเลยก็ได้นะ ขับรถกลับดึกๆ อันตราย”
“แล้วให้กูมาหาดึกๆ แบบนี้ไม่อันตรายเลยเนอะ”
“ก็กูเสียใจอยู่ กูตกใจ กูต้องการที่พึ่ง”
“ที่พึ่งมึงก็มีแล้วหนิ” แม่คุณเหล่ไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง กันๆ ไม่สนใจบทสนทนาของเราสองคน เอาแต่มองออกไปนอกกระจก แต่ยังไงก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว ผมยิ้มแหยๆ ที่พึ่งที่มาแบบบังคับเขาน่ะสิ ดูหน้าด้วย พร้อมงับได้ตลอดเลยนั่น
“นานา เดี๋ยวเธอจอดที่บ้านไอ้วิปนั่นแหละ ไม่ต้องไปส่งฉันที่บ้านหรอก” พอเลี้ยวเข้ามาในซอยบ้านแล้วไอ้กันก็เอ่ยขึ้นมา พอจอดที่หน้าบ้านผมปุ๊บมันก็เปิดประตูลงไปทันที
“เดี๋ยวกันๆ” ผมรีบลงไปเรียกไว้
“อะไรอีก”
“เดินไปส่งมั้ย” ผมเดินกะเผลกๆ เข้าไปหา พี่ท่านถอนหายใจรดหัวกันแบบเต็มๆ เลย โด่ว~ ไอ้เราก็เป็นห่วง ตัวนายเดินกลับคนเดียวมืดๆ ก็อันตรายนะ เราต้องดูแลคนที่เป็นหัวใจของเราสิ ตอบแทนที่อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนกันจนถึงตอนนี้
“เดี้ยงแบบนี้มึงเข้าบ้านไปอาบน้ำนอนเถอะ”
“แต่เป็นห่วง…”
แปะ!
“เข้าบ้านไป”
แล้วทำไมต้องดีดหน้าผากกันด้วยเล่า!
_____________________________________________
เริ่มปลุกความเป็นพระเอกในตัวกันๆ 5555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณที่เม้นต์ให้นะคะ กราบงาม