Short Story : That should be me
ผมเกลียดอากาศร้อนเพราะมันทำให้ผมมีผื่นแดงๆขึ้นมา ผมไม่ชอบอาหารทะเลเพราะบางครั้งผมทานเข้าไปแล้วเป็นลมพิษ ผมไม่ชอบที่ที่ไม่สะอาดเพราะผมแพ้ฝุ่น ผมทนสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงมากไม่ได้เพราะภูมิคุ้มกันผมไม่ค่อยปกติ ผมเล่นกีฬาไม่เก่งเพราะผมไม่ชอบออกกำลังกาย ผมชอบนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ และเวลาอ่านหนังสือผมจะไม่รับรู้โลกภายนอก
ผมเป็นคนแบบนี้ เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่บางทีคนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง....
“เฮ้ย! ตฤณไปเล่นบอลกัน”
ผมเงยหน้ามองดลเพื่อนสนิทของผม มันเป็นคนขาวมากๆ ตาโตหวานใส่แว่น แต่ยังไงมันก็ดูแมนๆห้าวๆมากกว่าที่จะเหมือนพวกหนุ่มหน้าหวานปกติ มันเป็นคนมีเพื่อนเยอะ มนุษยสัมพันธ์ก็ดี เป็นคนร่าเริงคุยเก่ง นิสัยดี มีน้ำใจ เอาเป็นว่าอะไรดีๆรวมกันในตัวมันหมด
“อือ วันนี้ขอนั่งดูแล้วกัน ยังอ่านหนังสือค้างอยู่” ผมยิ้ม มันเองก็ไม่ว่าอะไรช่วยผมเก็บกระเป๋า ก่อนเราสองคนจะเดินไปยังสนามฟุตบอล
“นั่งดูตรงนี้นะ อย่าอ่านหนังสือเพลินจนลืมดูทางบอลล่ะ”
ดลมันสั่งกำชับนักหนา กลัวว่าผมจะเอาหน้ามาแทน Goal ผมก็พยักหน้าส่งๆ ตอบมันไปอย่างไม่คิดมาก ครั้งนี้ผมคงไม่ได้ซวยถึงขนาดที่ว่ามีคนเห็นหน้าผมเป็น Goal อีกครั้งหรอกมั้ง? หวังว่าอย่างนั้นล่ะนะ
ผมก้มหน้าลงเปิดหนังสือในมืออ่านอีกครั้ง อากาศวันนี้ร้อนเอาการขนาดแดดร่มแล้วผมก็ยังรู้สึกว่ามันร้อนเกินไปอยู่ดี ผมขยับเข้าหาเงาร่มไม้ก่อนเริ่มเข้าสู่โลกของหนังสืออีกครั้ง ผมอ่านหนังสือได้เกือบทุกแนวที่ชอบมากคงเป็นเกี่ยวกับพวกสารคดีการค้นพบต่างๆ หรือไม่ก็พวกนวนิยายแฟนตาซีจินตนาการสูงๆไปเลย
อากาศร้อยพาลเอาอารมณ์ของผมหงุดหงิดขึ้นมา เหงื่อกาฬเริ่มไหลราวกับท่อประปาแตก ไม่รู้ว่าดลมันเล่นบอลทั้งๆที่อากาศร้อนขนาดนี้ได้ยังไง
ผมทนไม่ไหวถอดแว่นออกควานๆ หาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋านักเรียน แต่ดูท่าทางผมจะลืมเอามาจากบ้าน ถอนหายใจเซ็งๆ อยู่ดีๆ ก็มีผ้าขนหนูสีขาวโยนมาคลุมหัวผมเอาไว้ เสียงฝีเท้าวิ่งมาทางผมผมเลยต้องเปิดผ้าออกพยายามมองหน้าคนที่โยนผ้ามาให้ แต่ว่าดลที่วิ่งมากลับโยนผ้าที่คลุมหัวผมออก ก่อนมันจะยื่นผ้าของมันให้กับผมแทน
“เช็ดหน้าซะ เดี๋ยวกลับบ้านกันไม่เล่นแล้ว”
ถึงผมจะมองหน้าดลมันไม่ชัดแต่รับรู้ได้ถึงน้ำเสียงซึ่งดูจะหงุดหงิด
พอเช็ดหน้าเสร็จผมก็ยื่นผ้าคืนให้ดล ก่อนจะเช็ดแว่นตัวเองสักพักค่อยใส่กลับเข้าที่ แต่พอเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ผมแอบคิดว่าผมมองไม่เห็นซะยังดีกว่า
“กลับบ้านเถอะ”
ดลย้ำอีกครั้งผมเลยลุกขึ้นเก็บหนังสือไม่อยากหันไปมองภาพตรงหน้านั้นอีก บางทีผมแอบคิดว่าคนที่ยืนตรงนั้นควรเป็นผมมากกว่า แต่นั่นแค่ความคิดของผมคนเดียวเท่านั้น
“อ้าว! พี่ดลกับพี่ตฤณจะกลับแล้วหรือครับ เดี๋ยวรอกลับพร้อมผมกับพี่เต้ก็ได้ ทางเดียวกันอยู่แล้ว”
อาเหลียงรุ่นน้องในชมรมของดลส่งเสียงเรียกผมกับดลเอาไว้ ผมอยากยืนแทนที่น้องเขา อยากยืนในจุดที่น้องเขาได้ยืนข้างๆคนๆนั้น
“ไม่ต้องชวนหรอก เขาคงไม่ได้อยากกลับกับเราสองคน อีกอย่างมาก็ขัดความสุข” สายตาแบบนั้นทำให้ผมอยากจะหายไปจากตรงนี้ การมีผมอยู่คงทำให้โลกของเขามันดูสกปรกมากอย่างนั้นสินะ
“ไปเถอะ อยู่ตรงนี้นานๆไม่ดี อารมณ์ดีๆมันจะเน่าซะหมด”
ดลกอดคอผมลากออกมาจากตรงนั้น ตลอดทางที่เดินไปยังรถของดลผมนิ่งเงียบ ดลเองก็เลือกที่จะเงียบตามไปด้วย ตอนนี้ผมไม่รู้ตัวเลยว่าควรต้องทำอะไร รู้สึกเหมือนหัวใจค่อยๆถูกน้ำกรดราดทีละเล็กทีละน้อย บางจุดเริ่มเป็นช่องโหว่ บางจุดมีเพียงบาดแผลสด
กว่าเราสองคนจะกลับถึงบ้านก็ใช้เวลานานพอสมควร ฝนตกทำให้รถติด ซ้ำร้ายร่มหรืออะไรเราสองคนก็ไม่ได้พกติดรถเอาไว้ ตอนลงจากรถจะเข้าบ้านผมเลยอาศัยฝ่าฝนเข้าไปเล็กน้อย ซึ่งทีแรกดลก็ไม่ยอมท่าเดียว แต่ว่าวันนี้บ้านผมไม่มีคนอยู่จะให้ใครเอาร่มออกมารับคงไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากรบกวนดลมันไปมากกว่านี้
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขณะที่ผมกำลังเช็ดผมให้แห้งหลังการอาบน้ำ ไม่อย่างนั้นคงเป็นหวัดหนัก
“ดล...ว่ายังไง”
“ตฤณ มึงกินข้าวและกินยาแก้หวัดเข้าไปด้วย ถ้ากูรู้ว่ามึงไม่ทำกูจะขอป๊าไปนอนค้างกับมึงเดี๋ยวนี้เลย เช็ดผมให้แห้งด้วยพรุ่งนี้มีเทสต์ป่วยมาจะแย่เอา อีกอย่างนอนเร็วๆ เข้าใจไหม”
เสียงปลายสายร่ายยาวจนผมเผลอหลุดหัวเราะออกมา ดลมันสั่งอย่างกับจะเป็นพ่อผมอีกคนไปแล้ว
“ไม่ต้องมาขำเลย รีบๆกินข้าว กินยา เออแปรงฟันก่อนนอนด้วยนะ อีกอย่างแปรงนานๆเดี๋ยวฟันผุ รอกูเป็นหมอฟันก่อนมึงอยากทำอะไรทำไปกูรักษาฟรี แต่ตอนนี้อย่าลืมแปรงฟันให้สะอาดก่อนนอน”
“ไอ้บ้า กูไม่ใช่เด็กสามขวบนะ” ผมทั้งหัวเราะทั้งแอบจิกกัดมันแสบๆคันๆ
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่วะ ให้กูไปนอนเป็นเพื่อนไหม กูกลัวมึงไม่สบายไม่มีใครดูแล”
“ไม่ต้องๆ มึงเองก็อ่านหนังสือด้วย เทสต์ครั้งนี้ได้น้อยกว่ากูอย่ามาโวยวายนะ” ผมแหย่มันกลับเรียกเสียงโวยวายลั่น จนมีเสียงพี่สาวของมันตะโกนเข้ามาว่าให้เงียบๆหน่อย
“กูต้องวางแล้วว่ะ พี่ดรีมด่ากูใหญ่แล้ว อย่าลืมทำตามที่กูบอกนะมึง พรุ่งนี้เช้ากูไปรับหน้าบ้าน”
“อือ พรุ่งนี้เจอกันนะ”
ผมกดตัดสายกลับมาเช็ดผมตัวเองต่อ เหลือบไปมองคอนแทคเลนส์บนโต๊ะแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มีกระดาษโน้ตแปะเอาไว้ กำชับว่ายังไงก็ต้องใช้แทนแว่นตาอันเก่าที่เริ่มมัวๆ เพราะสายตาที่สั้นขึ้นของผม ลายมือแบบนั้นคงไม่พ้นคุณพี่ชายสุดประเสริฐที่อุตส่าห์โดดเรียนเอาของแอบมาวางในห้องผม
ผมลืมตาตื่นในตอนเช้าของอีกวัน พอจะลุกขึ้นเท่านั้นกลับรู้สึกเหมือนจะวูบลงไป จับๆตัวเองรู้ทันทีว่าไข้ไม่ได้ลดลงจากเมื่อคืนทั้งที่กินยาเข้าไปแล้ว แต่วันนี้มีเทสต์ผมเลยตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เหลือบมองกล่องคอนแทคเลนส์ก็ถอนหายใจก่อนจัดแจงใส่ตามที่คนซื้อให้เขาอุตส่าห์ลำบากมา
“ตฤณ มึงอยู่ไหนอ่ะ กูเอาข้าวเช้ามากินพร้อมมึงด้วย”
เสียงดลมันตะโกนก่อนเปิดประตูเข้ามา ผมเห็นมันจ้องหน้าผมพร้อมทั้งขมวดคิ้วยุ่ง
“ทำไมไม่ใส่แว่น?”
คำถามนั้นยิงใส่ผมทันทีที่เห็นว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
“พี่ชายกูเอานี่มาให้ มึงก็รู้ว่าพี่กูเป็นคนยังไง” ผมตอบขำๆ พี่เป็นคนรักน้องมาก ห่วงใย ใส่ใจคนรอบข้างเสมอ แต่ข้อเสียคือถ้าคนที่พี่เขาหวังดีแล้วไม่ยอมทำตามพี่จะงอน ใช่เลยงอนไปหลายวัน....
“เออๆ เสร็จแล้วลงไปกินข้าวกัน กูซื้อโจ๊กมากินพร้อมมึงแล้ว”
พอกินข้าวเสร็จผมก็ได้อาศัยรถของดลในการไปโรงเรียนอีกครั้ง ไม่นานพวกผมเองก็จะจบจากโรงเรียนแห่งนี้ไป ผมกับดลตัดสินใจจะเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่คนละคณะ ดลอยากเรียนเป็นทันตแพทย์ ส่วนผมอยากทำงานเกี่ยวกับด้านภาษากับงานเขียนมากกว่า คิดว่าจะเรียนอักษรศาสตร์
“ตฤณ ติวให้กูหน่อย กูไม่เข้าใจตรงนี้ว่ะ”
เจเพื่อนในห้องวิ่งเข้ามากอดคอผมราวกับดีใจที่ได้เห็นหน้าผมในวันนี้มาก ไม่แปลกอะไรเวลาจะสอบทีไรเป็นแบบนี้กันทุกที
“หลบไปเลยไอ้เจ วันนี้กูนัดตฤณติวให้กูแล้วโว้ย!”
โจฝาแฝดของเจเข้ามาผลักหัวแฝดน้องของตัวเองอย่างแรง จนเจมันกระเด็นไปอีกทาง ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ชิงผม(?)ไปเป็นติวเตอร์มากกว่านี้เสียงจากหลังห้องก็ดังมาขัดอารมณ์ผมจนได้
“หึ! ตฤณมันต้องติวกับแฟนมันสิ พวกมึงอย่าไปสอดมือยุ่งความสัมพันธ์ของมันเลย”
เต้ตะโกนมาจากหลังห้องทั้งๆที่มือยังโอบเอวของอาเหลียงเอาไว้ ผมหลบสายตานั่นก่อนจะเดินไปยังห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องที่ดลเรียนอยู่ทันที
ไม่อยากต้องเห็นอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว....
“ดล กูขออ่านหนังสือห้องมึงนะ” ผมเดินยิ้มๆ ก่อนจะนั่งที่ของดล พักเดียวเท่านั้นก็มีเก้าอี้อีกหลายตัวลากมารอบๆให้ผมช่วยติวเทสต์ภาษาอังกฤษวันนี้
คาบเช้าจบสิ้นไปพร้อมกับการจบการเทสต์ของห้องผมและห้องของดล ได้ยินเสียงพูดคุยกันถึงข้อสอบแต่ละข้อจ้อกแจ้กจอแจกันไปหมด อาการเวียนหัวของผมเริ่มหนักขึ้น ซ้ำยังรู้สึกคันไปทั้งตัว สงสัยผื่นคงขึ้นไม่รู้ว่าไปโดนอะไรอีก
ผมเดินตรงไปห้องพยาบาลโดยไม่ได้บอกดลมัน เห็นมันกำลังยืนจีบสาวในดวงใจของมันผมเลยไม่อยากไปขัด ดลมันเป็นประเภทรักเพื่อนมาก ผมกับมันคบกันมาจะ 12 ปีแล้ว ไม่แปลกอะไรถ้าเห็นผมกับมันทำตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋ แต่อีกไม่นานผมว่ามันคงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักที แล้วผมก็ยินดีที่จะเป็นแบบนั้น จะได้เลิกมีข่าวลือแปลกๆว่าผมกับมันมีอะไรๆ กันสักที
อาจารย์ห้องพยาบาลไม่อยู่ ผมเลยจัดแจงหยิบขวดยาออกมาอย่างเคยชิน หลังจากทานยาลดไข้ไปอีกเม็ดก็หยิบยาทาแก้ผดผื่นคันออกมา เดินตรงไปที่เตียงซึ่งมีม่านกั้น ผมเลือกจะใช้เตียงในสุดเพราะตรงนั้นมีกระจกส่องทำให้ผมรู้ได้ว่าควรจะทายาตรงไหนบ้าง
ผมถอดเสื้อนักเรียนออกก่อนจะถอดเสื้อกล้ามออก ทำให้เห็นผื่นแดงซึ่งขึ้นตามแผ่นหลังเป็นจุดๆ ถึงจะไม่มากแต่ปล่อยไว้คงลามไปทั่ว เขย่าขวดยาสักพักก็หันหลังเข้ากระจกเอื้อมมือจะทายา แต่คงเพราะผมมัวแต่จ้องกับแผ่นหลังของตัวเองทำให้ไม่ทันสังเกตว่ามีคนเข้ามา
“เอาขวดยามานี่ กูทาให้มึงเอง”
ผมหันขวับไปมองตามเสียงแล้วก็ต้องประหลาดใจ ก่อนพยายามถอยหนีมือที่ยื่นมานั่น.....
***************************************************************************************************
ได้ยินแว่วๆ มีคนบ่นเรื่องเก่าไม่จบมันหาเรื่อง(สั้น)มาเพิ่มอีกแล้ว = ="
เหะๆ แบบบรรยากาศฝนตกมันพาไปอ่ะเนอะ ตอนหน้าก็จบแล้วอ่ะ ฝากไว้หน่อยแล้วกันนะคะ แบบมาตามเพลง~~~~
Ps. ลองหาเพลงมาฟังแล้วอ่านไปด้วยได้อารมณ์ดีค่ะ