[3] วันแห่งความรักนี่ควรจะเป็นแบบไหนนะ
ชื่นมื่น น่าประทับใจหรือเปล่า
ส่วนของเซ็นแล้วมันเป็นเช้าที่ไม่ต่างจากทุกวัน อ้อ มีนิดหน่อยตรงที่ว่าจะซักผ้าปูที่นอน
"มาร์ต เขยิบไปหน่อยนะ"
ปีนขึ้นไปบนเตียงอีกฝั่งที่ยังมีเจ้าของนอนอุตุอยู่ สะกิดพอให้สะลึมสะลือสำหรับเตรียมผลักให้กลิ้งไปอีกฝั่ง พอคนนอนหลับเริ่มมีสติขึ้นมาหน่อยก็จัดการออกแรงให้รู้ตัวว่าต้องทำอะไรต่อ สมาร์ตหมุนตัวรอบครึ่งไปหยุดอยู่บนหมอนฝั่งเขาที่ถอดผ้าปูออกมาเรียบร้อยก่อนแล้วพอดี
จัดการดึงเอาปลอกหมอนออกมาเป็นอย่างแรก ตามด้วยผ้าลายตารางสีน้ำเงินหลายเฉด ไม่ลืมที่จะโยนหมอนข้างถอดรูปกลับไปให้เจ้าของด้วย คนติดหมอนข้างคว้ามันเข้าไปกอดตามความเคยชิน จะว่าไปแล้วก็ควรเอาหมอนออกไปตากแดดบ้างเหมือนกัน
ยัดเอาผ้าของทั้งสองเตียงลงในตะกร้าใบเล็ก เดินไปข้างหลังห้องเพื่อหยิบผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไม่ลืมสิ่งสำคัญที่สุดอย่างเหรียญเอาไว้หยอดตู้ที่วางไว้กระจัดกระจายบนโต๊ะของรูมเมท
ข้อจำกัดของคนที่มีผ้าปูเตียงเพียงแค่หนึ่งชุดคือต้องรีบซักตอนเช้าเพื่อให้แห้งทันเย็นวันนั้น ก็เลยตื่นเช้าทั้งที่วันนี้มีเรียนตอนเก้าโมงครึ่งนี่แหละ จะให้ผัดวันก็ไม่อยากเพราะกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะทำทุกวันที่ 14 และ 30 ของเดือน
คือบ้านเขาทำทุกสองสัปดาห์ไง แต่อีกคนทำทุกเดือน ก็เลยต้องปรับกันไปเพื่อให้เจอจุดพอดี
กลับขึ้นมาอีกครั้งคนมีเรียนเวลาเดียวกันก็ยังหลับตาพริ้ม เลยเข้าไปอาบน้ำก่อนจะออกมาปลุกและเตรียมลงไปเอาผ้าที่ปั่นจนสะอาดแล้ว ถ้าไม่ตื่นก็เรื่องของเขา นี่มีหน้าที่แค่ปลุกเป็นพิธีไม่ต้องติดตามผลลัพธ์
ยังดีที่วันนี้คนขี้เซาไม่มีปัญหากับการลืมตาตื่นมาเรียนให้ทันเวลา เราแวะร้านสะดวกซื้อสำหรับมื้อเร่งด่วนเพราะดูแล้วไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับอาหารเป็นจาน ก็ขนมปังแบบเดียวกัน นมคนละยี่ห้อ แล้วก็ขนมเอาไว้กินเผื่อง่วง นี่ชักจะคิดแล้วนะว่าทำไมถึงเป็นพวกอยู่กับอะไรเดิมๆ ได้ขนาดนี้
"กลางวันเจอกันตรงโถงนะ"
"ได้"
"ตั้งใจเรียนครับเซ็น"
มันเป็นน้ำเสียงอ่อนโยนที่เขาไม่ค่อยได้ยินอีกฝ่ายใช้กับคนอื่น พูดอีกอย่างก็คือตัวเขาเองก็มี 'เสียงสอง' ที่เอาไว้ใช้โดยเฉพาะเหมือนกัน
บรรยากาศโดยทั่วไปในวันนี้ดูสดใสกว่าหลายวันที่ผ่านมา อย่างที่เห็นชัดก็เหล่าช่อดอกไม้ที่เห็นได้หลายจุด ไม่รวมกับของขวัญอย่างอื่นอีก จะว่าไปแล้วคิทแคทในเซเว่นยังลดราคานี่นา เดี๋ยวลากสมาร์ตไปซื้อตุนเอาไว้ในหอดีกว่า เขาจะต้องเป็นโรคเบาหวานสักวันแน่ถ้ายังไม่เลิกเสพติดของหวานทุกชนิดที่มีโปรโมชัน ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเหมาดาร์กช็อกโกแลตแบบหนึ่งแถมหนึ่งไป
อีกฝ่ายนี่ไม่มีการห้ามปรามแถมยังคอยเสาะหาให้อีก สาขานี้หมดก็พร้อมพาไปตะลอนสาขาใกล้เคียงจนกว่าจะเจอ เนี่ย ถึงไปด้วยกันได้เพราะอย่างนี้ไง
วันนี้เซ็นไม่มีเรียนบ่าย ปล่อยให้รูมเมทได้ไปติวสอบย่อยกับเหล่าคนร่วมชะตากรรมเดียวกัน เขาว่าจะกลับห้องไปหลับชดเชยที่ต้องตื่นเช้า แล้วก็รอไปซ้อมเย็นเป็นการจบไปอีกหนึ่งวัน
ไม่รู้ทำไมอากาศวันนี้มันถึงอบอ้าวจนหลับไม่ลง หรือว่าความริษยาของเหล่าคนโสดมันแผดเผาจนกลายเป็นพื้นที่แห่งความร้อนรุ่มไปเสียก็ไม่รู้ มันเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อเพราะในฟีตมีแต่เรื่องราวของคนมีคู่สลับไปกับสเตตัสตัดพ้อของคนโสด จะว่าไปแล้ววันนี้เมื่อปีที่แล้วเขาได้โพสต์อะไรไหมนะ
ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ตอนที่เห็นภาพช่อดอกกุหลาบสีแดงสดโผล่ขึ้นมา สมาร์ตนอกจากจะเป็นคนนิสัยดีแล้วยังโรแมนติกพอสมควร วันแห่งความรักนี่มาเต็มตลอดแหละ ตั้งแต่ข้อความตอนเช้า เซอร์ไพรส์ดอกไม้ แล้วตอนเย็นก็ยังพาไปกินร้านอาหารบนตึกสูงในเมืองอีก
แตกต่างจากปีนี้ลิบลับเลยแฮะ
ไม่ต้องถามถึงน้องคนนั้นเพราะสุดท้ายแล้วเด็กใหม่อีกคนหนึ่งได้ชิงตัดหน้าขอคบไปก่อนแล้ว เขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีตื้นลึกหนาบางแค่ไหน แต่ดูแล้วก็ไม่ได้เฮิร์ตแถมยังเปลี่ยนไปเฟลิร์ตในแอปแชตต่างประเทศแทนได้ ขอบอกว่าทั้งหมดนี่ไม่ได้สอดรู้สอดเห็นแต่อยู่ดีๆ คนที่ไม่เคยสนใจภาษาอังกฤษกลับตั้งคำถามเกี่ยวกับรูปประโยคและการสะกดคำหลายครั้งมันก็พอเดาได้แหละ
ส่วนเขาเองเพิ่งปฏิเสธคำสารภาพรักจากเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในคณะไปเมื่อตอนต้นปี บอกไม่ได้เลยว่าไปเผลอทำอะไรให้ประทับใจ ก็ว่าทำตัวเป็นเพื่อนกันตามปกตินะ
ชีวิตของพวกเขาก็ยังต้องดำเนินต่อไปในไทม์ไลน์เดียวกัน แม้ว่าสิ่งที่ได้เจอจะเป็นคนละเรื่องราวก็ตาม
เพราะอย่างนั้นตามสไตล์ของคนร่วมห้องที่โสดในวันแห่งความรัก มื้อเย็นของเรานอกจากจะเป็นสเต็กเจ้าประจำ (คำว่าประจำคืออาหารประเภทนี้ก็จะกินแค่ร้านนี้เท่านั้น หมายความว่าเราจะมีร้านข้าวแกงประจำ ร้านก๋วยเตี๋ยวประจำ ร้านน้ำปั่นประจำ เป็นต้น) แล้วก็ต่อด้วยของหวานที่ย่อมเยากับเงินในกระเป๋า
ปังเย็นรสโกโก้กับไอศกรีมวนิลาอีกถ้วยคือสิ่งที่มาส่งถึงโต๊ะ และเราก็ต้องเจอปัญหาเดิมอีกครั้ง
"มาร์ตช่วยผมกินหน่อยสิ"
"สั่งมาก็จัดการเอง" ไม่ให้ความร่วมมือแถมยังตักไอติมสีครีมเข้าปากหน้าตาเฉย "ผมก็ไม่เคยช่วยอยู่แล้ว"
เบ้ปากให้กับเรื่องจริง มากินทีไรก็ไม่เคยจะหมดถ้วยสักครั้ง ก็เขาเป็นพวกชอบกินเอาแค่พอหายอยากไม่สนว่ามันจะคุ้มกับเงินที่เสียไปหรือเปล่า
แม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้วมันก็ยังเห็นร่องรอยของการเฉลิมฉลอง ทั้งลูกโป่งเป่าแก๊สที่หญิงสาวฝั่งตรงข้ามถืออยู่ ช่อดอกไม้ของสองโต๊ะถัดไป จนบางทีก็แอบคิดว่าผู้ชายสองคนมานั่งกินของหวานกันในเวลานี้นี่มันเป็นความผิดปกติสุดๆ
แล้วสิ่งที่เรียกว่า 'ปกติ' คืออะไรนะ?
คำถามที่เขาตั้งขึ้นมาแต่ไม่เคยได้รับคำตอบที่เข้าท่า เอาจริงแล้วตั้งแต่เขาตัดสินใจคบกับเพศเดียวกันนี่ทัศนคติและความคิดหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้เปลี่ยนไปตลอดกาล อย่างแรกสุดเลยคือเรื่องความรักที่ไม่เกี่ยวกับเพศแต่เป็นเรื่องตัวบุคคล จนบางมุมเขาคิดถึงขั้นว่าไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายประเภทของความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ
จะแบ่งเกย์ว่าคือผู้ชายกับผู้ชายไปทำไม
แล้วทำไมต้องบอกว่าเลสเบี้ยนคือผู้หญิงกับผู้หญิง
เราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้เหรอ
แค่มองให้มันเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องความรักของคนสองคนไม่ต่างจากคู่รักหญิงชาย ไม่จำเป็นต้องไปตั้งชื่อเรียกให้รู้สึกว่าด้อยค่าหรือว่าสูงค่ากว่า เซ็นคิดอย่างนั้น
"วันนี้ก็กินได้แค่ครึ่งเดียวเหมือนเดิม" แต่ก็ไม่เลิกสั่ง แล้วก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นด้วย "ไม่สนใจช่วยจริงอะ"
ขนมปังน่ะหมดแต่ว่าตัวน้ำโกโก้ปั่นยังเหลืออีกเพียบ ช้อนที่ใส่มาตั้งแต่แรกสองคันบอกทางอ้อมว่ามันไม่ใช่ไซซ์สำหรับคนเดียว พอมันเหลือบ่อยๆ มันก็เสียใจเหมือนกัน
"ไม่ครับ"
"ใจร้ายอะ"
ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ารอยยิ้มของสมาร์ตมันน่าเศร้าได้เท่านี้ "ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ"
อย่างที่บอกว่าตั้งใจจะแวะซื้อคิทแคทลดราคาก็เลยแวะเข้าเซเว่นอันเป็นที่พึ่งพึงไม่ว่าจะเวลาไหนของชีวิตเด็กหอ กวาดเอาของที่ต้องการลงตะกร้าแบบที่น่าจะลืมไปว่าเพิ่งบ่นเรื่องโรคเบาหวานไปไม่นาน ของมันอร่อยน่ะเข้าใจไหม
อีกอย่างเขาก็ออกกำลังกายอยู่เสมอ ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง
"เอาแบบชาเขียวไหม?"
ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาหาพร้อมกับขวดน้ำเปล่าและขนมกล่องที่ช่วงนี้ซื้อบ่อยๆ เซ็นส่ายหัววืดเพราะตั้งใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้จะใช้จ่ายแค่นี้พอ คือนี่ก็น่าจะหลายร้อยแล้วล่ะ เล่นกวาดลงมาไม่สนใจจำนวนชิ้นได้ขนาดนี้
"ชอบแบบนี้"
"งั้นผมจ่ายเลยนะ"
"ให้ผมจ่ายดีกว่าไหม ของเยอะกว่าอะ" เอาจริงคือจำตัวเลขได้ด้วยซ้ำว่าของทั้งหมดที่สมาร์ตซื้อคือยี่สิบเจ็ดบาท "เดี๋ยวค่อยให้คืนให้"
"จะจ่ายเอง"
"…"
"ของขวัญวันวาเลนไทน์จากผมให้เซ็นไง"
ก็เพราะอย่างนั้นภาพถ่ายชั้นวางของในตู้เย็นที่เต็มไปด้วยซองขนมสี่เหลี่ยมสีแดงวางระเกะระกะถึงปรากฎขึ้นในโพสต์ล่าสุดที่เปิดให้ดูแค่คนเดียว
Relationship เหี้ยไรเนี่ย ก็จำได้ว่าตอนที่ย้ายเข้ามาไม่ค่อยมีของอะไรนี่นา
ทำไมตอนย้ายออกมันถึงได้กองพะเนินเท่านี้
"มาร์ต พวกแชมพูในห้องน้ำนี่คือยังไง" ชะโงกหน้าเข้าไปมองเห็นว่าตะกร้าใส่อุปกรณ์อาบน้ำยังวางเอาไว้ที่เดิมไม่มีการขยับ "จะทิ้งหรือว่าเอาไปด้วย"
"เอาไปด้วยครับ เซ็นหยิบออกมาตากแดดให้หน่อย"
และเพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งอยู่กับงานจบเราก็เลยไม่ได้ตัวติดกับเกือบทั้งวันทั้งคืนเหมือนที่ผ่านมา รู้ตัวอีกทีก็ต้องมากลุ้มใจเรื่องเก็บห้องย้ายออกจากหอตอนเรียนจบกันแล้ว เล่นอยู่ห้องเดียวมาตั้งสามปีบอกเลยว่าทั้งรกแล้วก็ยากต่อการเก็บกวาด
ระหว่างเดินเข้าไปก็เช็กภาพรวมไปด้วยเลย พวกแปรงสีฟันตั้งใจทิ้งอยู่แล้ว นอกนั้นไม่มีอะไรให้เก็บเพิ่มเติม เดี๋ยวแวะไปหลังห้องดูอีกหน่อยดีกว่า
ราวตากผ้าประกอบเองตั้งเอาไว้โดดเดี่ยวไม่มีเสื้อผ้าแขวนอย่างเช่นทุกที พวกกะละมังที่ตั้งพิงกับกำแพงก็เปลี่ยนไปเป็นภาชนะใส่ของชนิดอื่น สำหรับผงซักฟอกเอาลงไปทิ้งไว้ในห้องซักผ้าพร้อมติดป้ายเอาไปใช้ต่อได้ฟรี
เสื้อผ้าเก็บใส่กระเป๋าเดินทางเรียบร้อย พวกของใช้อย่างอื่นก็เก็บยัดลงกล่องเกือบหมด บนฟูกเปลือยมีกระเป๋าสะพายบรรจุของจุกจิกวางเอาไว้ ตอนนี้ที่เป็นปัญหาใหญ่ก็คือของในลิ้นชักโต๊ะอ่านหนังสือนี่แหละ ไม่เคยใส่ใจจนพอมาเปิดอีกทีเพิ่งรู้ว่ายัดของเอาไว้พอควร ว่าจะทิ้งทั้งหมดแล้วก็เจอของยังใช้ได้ เลยต้องมาสังคายนากันเสียยกใหญ่
"จะเอาไงกับคุณหมาป่า..."
และไม่เคยคิดเลยว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของการย้ายออกคือตุ๊กตาหนึ่งตัว
อัลปาก้าสมาร์ตเอาไปอยู่แล้ว ส่วนเจ้าแคร์รอตก็เป็นของเขา เหลือตัวที่สามนี่แหละที่ไม่ลงตัว ช่วงนี้ไม่มีกล่องรับบริจาคของเป็นตัวเลือกด้วย "มาร์ตเอาไปไหม"
"แต่ตอนนั้นเซ็นเป็นคนอยากได้นะ" แต่คนออกเงินไม่ใช่เขาไง
"แต่ที่บ้านไม่มีที่ให้ตุ๊กตาแล้ว" เตียงเป็นแบบมาตรฐานที่วางหมอนกับผ้าห่มก็เกือบหมดที่ใช้สอย "มาร์ตเอาไปเถอะ ดูแลแทนผมด้วย"
"ก็ได้"
"ไปเอารถเข็นสิ ใกล้เวลานัดแล้วนี่" พี่สาวของสมาร์ตจะมารับตอนบ่าย ส่วนครอบครัวเขากว่าจะมาคงเย็นๆ เลย "ขนสักสามรอบก็น่าจะหมด"
สุดท้ายแล้วใช้จำนวนรอบน้อยกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีดำปักชื่อประเทศไทยเอาไว้วางเด่นล้อมไปด้วยกล่องกระดาษใส่ของใช้ทั่วไปจำนวนหนึ่ง รวมถึงเบาะเซเว่นที่แบ่งคนละหนึ่งชิ้น ระหว่างรอพี่สาวกลับรถมาเราก็นั่งรอตรงขอบบาทวิถีไปพลาง
ช่วงหลังสอบปลายภาคมันก็ได้เวลาแยกย้ายกลับภูมิลำเนา เสียงรถเข็นลากล้อไปตามถนนดังมาเป็นระยะจากทุกทิศทาง จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาว่าเวลาสี่ปีนี่มันเร็วพอควร เหมือนเพิ่งดูผลประกาศนักศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่หอในไปไม่นานเอง
จะว่าไปแล้วที่ตรงนี้เองก็มีความทรงจำอยู่นะ เขาเคยโกรธสมาร์ตเรื่องแฟนเก่าจนเดินปึงปังลงมานั่งสงบสติอารมณ์ข้างล่างตอนห้าทุ่มด้วย ยุงก็เยอะคนที่เดินไปมาก็มองอย่างกับเขาเป็นตัวประหลาด สุดท้ายแล้วอีกคนก็เดินลงมานั่งข้างๆ ไม่ยอมพูดอะไรกันให้กลายเป็นภาพพิลึกเข้าไปอีก
"ไปก่อนนะครับ"
ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมห้องพักได้อย่างดีจนนาทีสุดท้าย เขาโบกมือลาให้กับผู้ชายตัวสูงที่นั่งตรงข้ามคนขับ ตุ๊กตาหมาป่าที่ยังอ้าปากกว้างค้างเอาไว้ถูกยกขึ้นมาปิดเกือบครึ่งหน้าเพื่อทำการบอกลาเช่นกัน
เซ็นจะกลับไปอยู่บ้าน ส่วนอดีตคนร่วมห้องไม่ได้กลับบ้านเกิดอย่างที่คาดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรก เพราะว่าพี่สาวของเขาเพิ่งซื้อบ้านในเมืองกรุงด้วยแหละ ก็เลยตกลงว่าจะลองหางานทำก่อน ถ้าไม่มีถึงกลับไปทำกงสีของที่บ้านเอา
รอจนกระทั่งท้ายรถยนต์ห้าประตูคันใหญ่ลับหายไป เขาถึงถอนหายใจออกมาได้ถนัดหน่อย เซ็นกำลังคิดว่าเขาไม่ใจหายอย่างที่กลัว คงเพราะเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อถึงกันได้ตลอดเวลาด้วยแหละ เราก็คงคุยในไลน์ต่อไปเหมือนเดิม อยากเจอก็แค่นัดล่วงหน้า
กลับขึ้นห้องเพื่อจัดการส่วนที่ยังค้างเอาไว้ เมื่อกี้คุณแม่เพิ่งโทรมาบอกว่าจะเข้ามารับเร็วกว่าที่นัดหมายพอสมควร ภารกิจเคลียร์โต๊ะเลยต้องเร่งมือขึ้นอีก
ความเงียบรอบกายให้ความรู้สึกประหลาดกว่าทุกครั้ง จากที่ไม่ค่อยได้เปิดเพลงระหว่างทำงานคราวนี้เลยต้องมาเสียเวลาหาเพลย์ลิสต์อีกหน่อย ปกติดีเจประจำห้องนี้คือสมาร์ตไม่ใช่เขา นี่ก็เพิ่งรู้ว่าชีตที่หาไม่เจอตอนปีสองก็นอนกองอยู่ในลิ้นชักเช่นเดียวกับสายชาร์จสำรองและบัตรเข้าหอสาย
ทิ้งกองสรุปสมัยปีหนึ่งลงในถุงขยะสีดำเป็นอย่างสุดท้าย พิงหลังกับพนักพลางนึกว่ายังมีสิ่งใดต้องจัดการอีกหรือไม่ ราวตากผ้าก็เอาไปให้รุ่นน้องที่อยู่ชั้นล่างแล้ว ขยะก็เหลือแค่ที่เพิ่งเคลียร์ เสื้อผ้าของใช้ทุกอย่างครบ ต้นไม้ก็เก็บเข้ามาวางเอาไว้ตรงที่ที่มองเห็นง่าย ไม่มีอะไรต้องทำแล้วล่ะ
เสียงรถเข็นดังก้องทั่วทั้งทางเดิน เซ็นหันขวาไปทางเข้าห้องที่ยังคงปิดสนิท มีราวแขวนกุญแจว่างเปล่าไม่ต่างจากส่วนอื่นในห้องเป็นจุดดึงความสนใจเดียว
"..."
ก็แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย
ที่ประตูบานนี้จะไม่มีใครเปิดเข้ามาอีกแล้ว
"อันนี้ของเล่นที่ฝากซื้อ ดีนะไม่เอาแบบสิบแปดบวกไม่อย่างนั้นแม่ต้องถามผมแน่" หยิบกล่องกันพลารุ่นเกือบใหม่ล่าสุดออกจากถุงดิวตี้ฟรีเป็นอย่างแรก ต่อด้วยโฟมล้างหน้าสัญชาติญี่ปุ่นแบบที่ฮิตในไทย "ส่วนนี่ที่แม่มาร์ตฝากซื้อ"
ทริปปลายปีหลังเรียนจบหยุดที่แดนอาทิตย์อุทัยท่ามกลางเสียงยืนยันของบ้านว่าควรจะเปลี่ยนประเทศการเดินทางเสียบ้าง
หลังจากที่เพิ่งพูดอย่างนี้มาเมื่อต้นปีที่แล้ว
"ส่วนขนมนี่ที่มาร์ตชอบตอนมันเข้าไทย เห็นปุ๊บเหมามาให้เลย ...อันนี้เอาไปแรนดอมเอาเองว่าจะได้แมวตัวไหน"
ของบนโต๊ะไม้เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ตามคำอธิบาย ขนมที่บอกเป็นช็อกโกแลตเคลือบแบบแท่งที่เคยเป็นของโปรดของเราอยู่สักพักใหญ่ก่อนที่มันจะหายออกไปจากชั้นวางถาวร เจอขายในร้านร้อยเยนก็เลยกวาดๆ มาทั้งกล่อง ส่วนหลังเป็นกล่องตุ๊กตาแมวที่ต้องเสี่ยงดวงเอาเองว่าจะมีตัวไหนอยู่ข้างใน
สมาร์ตเป็นแมวเลิฟเว่อร์ขั้นหนัก ถึงขั้นที่ว่าเคยเสนอว่าอยากเลี้ยงในหอทั้งที่มีข้อห้ามเรื่องสัตว์เลี้ยงด้วยซ้ำ ก็เลยต้องปลอบใจด้วยการซื้อของฝากเกี่ยวกับสัตว์สี่ขาตัวนี้มาให้ รอบที่แล้วก็ซื้อกาชาปองแมวห้อยแก้ว แขวนเอาไว้ตรงริมตู้เป็นมาสคอตประจำห้อง
เรานัดเจอกันในร้านของหวานเปิดใหม่กลางเมือง สมาร์ตเคยส่งมาบอกว่าอยากจะกินก็เลยได้จังหวะพอดี ยังไงพ่อเด็กเหนือก็ยังไม่ยอมกลมกลืนกับสภาพเมืองสักที ต้องให้เขาพาเดินทางยันป้าย
"ขอบคุณครับ"
"แล้วก็มีโปสการ์ดอีกอย่าง ไม่รู้จะมาวันไหนก็ลองไปเช็กดูแล้วกัน"
ลำปาง เซี่ยงไฮ้ และล่าสุดคือโอซาก้า ทั้งหมดคือสถานที่ต้นทางที่มีชื่อผู้รับคนเดียวกัน
แม้ว่าจะลำบากนิดหน่อยตอนคิดว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง ก็เลยเขียนลงไปแค่ว่าอากาศหนาวจนไม่อยากจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแล้วก็เยาะเย้ยคนไร้ดวงไปในตัว สมาร์ตน่ะชอบญี่ปุ่นแต่ไม่เคยได้ไปเหยียบ ทั้งที่ผ่านมาทั้งทัวร์ยุโรปแล้วก็อเมริกาแท้ๆ
นี่น่าเศร้าที่สุดคือตอนบินกลับจากเมกายังได้เที่ยวบินตรง ไม่ได้แวะทรานซิสที่ญี่ปุ่นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
ส่วนเขานี่ไปมารอบที่สามแล้ว และค่อนข้างมั่นใจว่ายังต้องกลับไปเสียเงินให้ประเทศนี้อีกนาน
"ได้เมื่อไหร่จะส่งไปรายงานนะครับ"
"ดีมาก แล้วนี่เตรียมเรื่องชุดครุยเสร็จหมดแล้วใช่ไหม" เห็นบอกว่าจะใช้วิธีการเช่าเอาเลยไม่ต้องรีบ และไม่มีแพลนจะถ่ายรูปรวมกับใครด้วย "ที่บอกให้จัดการเอกสารครบนะ"
"แฮะ"
"มาร์ต"
"เดี๋ยวกลับไปจะรีบทำเลยครับ"
จนถึงตอนนี้เราก็ยังเป็นเครื่องเตือนความจำของกันและกันเช่นเดิม
"ล่ะนี่หางานเป็นไง" เซ็นตัดสินใจว่าจะเรียนต่อปีหน้า ส่วนอีกคนจะทำงานเลย "จะได้กลับไปปลูกต้นไม้ที่บ้านหรือเปล่า"
"ก็มีสัมภาษณ์สัปดาห์หน้า"
"เตรียมตัวดีๆ อย่าลนล่ะ"
"ไปด้วยกันไหม เป็นกำลังใจให้ผมไง"
"ตลก เขาว่ากันว่าไม่ควรจะพาพี่เลี้ยงไปด้วยนะ"
"เซ็นเป็นไลฟ์โค้ชของผมต่างหาก"
เอาที่สบายใจก็แล้วกัน "ทำตัวเป็นคนขี้เหงาไปได้"
"ก็เหงาจริงอะ มานอนค้างที่บ้านบ้างสิ"
จากที่เราเคยอยู่กันสองคนเสมอก็ต้องแยกกันไป ตัวเองน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะว่าชินกับสภาพอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่แยกห้องกับเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมต้นมาอยู่ห้องวิทย์คณิตปกติคนเดียว แต่ว่าอีกคนนี่สิ ทั้งไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนจริงจังแล้วยังต้องมาอยู่ต่างที่คนเดียวอีก
"ว่าที่พี่เขยคงได้สงสัยว่าสรุปแล้วแฟนตัวเองมีน้องชายกี่คน" พี่สาวของสมาร์ตกำลังจะแต่งงานปีหน้า จะเรียกว่าตอนนี้เป็นการทดลองอยู่ก่อนแต่งก็ไม่เพราะว่าคบกันมาเข้าปีที่สิบสามแล้ว คือตอนขอลูกสาวทางบ้านสมาร์ตไม่ขอสินสอดสักบาท ยกให้เลย
"เขาไม่ว่าหรอก"
"แล้วนี่เริ่มชินทางในเมืองหรือยัง"
"ก็ไปได้แค่รูทเดียวอะ อนุสาวรีย์ชัยหัวหมาก ที่เหลือก็เปิดแมปเอา" นี่ก็ไม่เคยเรียนรู้การใช้ชีวิตในเมือง ก่อนไปญี่ปุ่นยังโทรมาถามอยู่เลยว่าจากศูนย์สิริกิตต์ไปปิ่นเกล้านี่มีทางอื่นนอกจากแท็กซี่ที่น่าสนไหม "ว่าจะทำบัตรแรบบิทอยู่ ลืมทุกที"
"ทำก็สะดวกดี ผมบอกให้ทำตั้งนานแล้วนะ"
"ไปทำด้วยกันหน่อย"
ต่อจากลากไปซื้อโทรศัพท์ใหม่ด้วยกันก็เป็นบัตรเติมเงินรถไฟฟ้าเหรอเนี่ย...
"อือ เดี๋ยวขากลับแวะไปทำกัน"
"นี่ถ้าผมไม่ได้เซ็นนะ ตัวเองต้องแย่กว่านี้มากเลย"
"หมายถึง?"
"ผมคงไม่โตเท่านี้" "..."
อีกครั้งที่เกลียดการยกขึ้นของมุมปากนั่นจับใจ เซ็นเข้าใจว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรแฝงเอาไว้หรอก มาร์ตน่ะไม่ค่อยได้ไปเรียนตอนมัธยมเพราะแข่งเยอะ เพื่อนก็มีน้อย การเรียนนี่ไม่ต้องพูดถึงช่วงแรกสามวันดีสี่วันต้องมากังวลว่าจะเรียนไหวไหม เกรดสองเทอมแรกก็น่าห่วงเหลือเกิน ยังดีที่ปีสองดึงตัวเองกลับมาได้เยอะอยู่
ก็เป็นเขา ที่ทั้งปลอบทั้งขู่ จนถึงขั้นว่าเอ่ยปากกับพ่อแม่อีกฝ่ายเองว่าถ้าลูกชายเรียนไม่จบสี่ปีก็ไม่ต้องแปลกใจนะ ทำทุกทางเท่าที่จะคิดออกแล้ว อย่างพวกกิจกรรมก็ต้องช่วยปรามเอาไว้ให้รอบด้านตามประสาคนเคยเจ็บมาก่อน ไม่อย่างนั้นคนใจดีไม่เคยปฏิเสธใครต้องมาเหนื่อยเองเสมอ
...แต่ก็อดคิดไม่ได้ ว่ามันมีเรื่องอื่นที่เขาต้องการสื่อถึง
"ขอบคุณนะครับ"
(ล่ะไง มึงเลยเอากลับมาคิดเป็นหมาบ้า)
"คือไอ้เหี้ย มึงจะให้กูปล่อยไปเลยก็ไม่ได้ปะวะ" บุหรี่มวนที่สามหลังจากที่ไม่เคยแตะอีกเลยเพราะเคยสัญญากันเอาไว้ถูกจุดเกือบเป็นมวนต่อมวน "คำว่าขอบคุณของแม่งคือแบบ..."
เราแยกกันหลังจากหมดมื้อของหวาน เหมาะสมกับชีวิตของคนที่อดีตเป็นรูมเมทกันดี
(ก็ไม่แปลกปะ นอกจากเป็นผัวหรือเมียให้มันแล้วกูว่ามึงก็ทำตัวเหมือนพ่อด้วยอะ)
คำที่ยังค้างอยู่ข้างในใจเรียกให้เขาหาที่ระบาย และมันก็จบลงที่เพื่อนคนเดิมที่น่าจะเป็นคนรู้เรื่องมากที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด เราสนิทกันกว่าเดิมช่วงปีสี่ด้วยเนื้องานและการมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกัน คือการเจอความป่วงและผีหลายอย่างมันช่วยหลอมให้เราเข้าใจหัวอกกันมากขึ้น
"ก็มันน่าห่วง มาร์ตชอบใจดีเกินไปอะมึง"
(ห่วงจังเลยนะ รูมเมทที่เป็นอดีตแฟนของมึงเนี่ย)
มาทุกตำแหน่งเอาไม่ให้ดิ้นเลย
"กลับมาเรื่องเดิมก่อน กูยังติดใจคำของมันอยู่เลย"
(ไม่ต้องคิดใจ ปล่อยไป)
"แต่มึง..."
(มูฟออนครับ) ในห้วงความคิดมีคำปฏิเสธจำนวนมาก เซ็นยังคงยืนกรานคำเดิมว่าเราไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว โดยเฉพาะกับเรื่องความรู้สึก ที่ตลกที่สุดคือสุดท้ายเราสองคนก็จบปริญญาตรีมาโดยที่ต่างฝ่ายก็ไม่ได้มีคนใหม่
เทกสอง จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่มีแฟนใหม่ทั้งคู่
(เงียบเลย ตายยัง?)
"ยัง ไอ้สัตว์"
(ให้กูเสือกได้ปะ กูอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้พวกมึงยังทำตัวงงๆ ได้ถึงทุกวันนี้วะ นี่กูเห็นรูปที่มึงเพิ่งอัปแล้วรู้เลยว่าใครถ่ายให้)
เซ็นเพิ่งอัปรูปตัวเองกับน้ำมะม่วงปั่นเจ้าประจำในมือระหว่างเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง มาร์ตน่ะชอบแอบถ่ายประจำ อย่างรูปเวลาไปอ่านหนังสือในร้านกาแฟหรือไม่ก็ตอนซ้อมกีฬา ล่ะชอบใช้อยู่ฟิลเตอร์เดียวจนทุกคนรู้หมดแล้วว่าเป็นผลงานของใคร
โดนจี้เป็นครั้งแรกในเรื่องที่ยังเรียกได้ว่า ' ค้างคา' และไม่รู้ว่าจะจางลงไปเมื่อไหร่ คิดว่าไม่เคยรู้สึกหรือว่าถามตัวเองหรือไงว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แล้วสุดท้ายก็ได้คำตอบให้ตัวเองเพียงหนึ่งเดียว
"เพราะพวกกูไม่เคยกลับไปพูดถึงมันมั้ง"
(หมายถึง...?)
"พวกกูไม่เคยพูดถึงมันเลยว่าทำไมถึงเลิกกัน ไม่เคยเคลียร์ว่าความคิดของเราตอนนั้นมันมีอะไรอยู่ และเรารู้ว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ควรปล่อยไปไม่รื้อฟื้นอีก ที่เป็นอยู่ตอนนี้คือดีที่สุดแล้ว"
เขารู้จักตัวเองดี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร
สิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเองในเวลานั้นมันสร้างความเจ็บช้ำให้อีกฝ่ายหรือไม่
จู่ๆ ก็คิดถึงคำห้ามจริงจังและเด็ดขาดว่าต้องเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ ทั้งที่ก็ไม่เสพติดจนขาดไม่ได้สมาร์ตก็ยังโกรธเงียบไม่ยอมพูดจาทุกครั้งที่บังเอิญเจอเขาตรงโซนสูบหรือว่ากลับห้องมาพร้อมกลิ่นยาเส้น
ยกยิ้มให้กับเรื่องที่ดูไร้สาระเมื่อมองกลับไป ค้นพบสัจธรรมหนึ่งอย่างว่าท้ายสุดแล้วต่อให้ในอดีตเคยทะเลาะกันแรงแค่ไหนมันก็กลายเป็นเรื่องตลกได้ และสิ่งนี้คือสิ่งที่จะอยู่กับเขาไปนิรันดร์
"มึงรู้ปะ มาร์ตเคยถามเรื่องที่ทำกูนิ่งไปเลยอะ ว่าตลอดเวลากูแทนชื่อเขาว่าเมทให้ที่บ้านฟัง ไม่เคยเรียกชื่อเขาบ้างเลย"
(...)
"หรือบางทีมันอาจไม่ใช่ความรักตั้งแต่แรกแล้วก็ได้มั้ง"
มันอาจจะเป็นแค่ความใกล้ชิด ความผูกพัน หรืออาจเป็นการโหยหาความคล้ายคลึงกับตนเอง
เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตให้ได้เรียนรู้ถึงความสุขและความเจ็บปวด
(มึงอย่าพูดอะไรเข้าใจยาก กูตามไม่ทัน)
"แค่ตอบคำถาม"
(กวนตีนได้นี่เลิกบ้าแล้วใช่ไหม)
"กูอัดมวนสามแล้วเนี่ยให้กูสงบเถอะ" ปล่อยควันสีหม่นขึ้นไปบนท้องฟ้า รัตติกาลยังคงความเงียบเหงาและน่าอบอุ่นใจในเวลาเดียวกันได้เช่นเดิม เซ็นไม่ชอบการอยู่ในเมืองเพราะเงยขึ้นไปมองบนฟ้าแล้วไม่ค่อยเห็นประกายของดวงดาว
ต่างจากช่วงเวลาการเป็นเด็กหอที่มักจะหาเรื่องอ้อนให้อีกคนทำหน้าที่เป็นคนปั่นจักรยานหรือมอเตอร์ไซต์พาเขาไปยังส่วนมุมร้างกินบริเวณพอสมควรของมหาวิทยาลัย มันประดับไฟแค่ไม่กี่ดวงเลยไม่บดบังทัศนียภาพความสวยงามของแผ่นฟ้าเท่าไหร่
"เนี่ย ถ้ามาร์ตรู้ว่ากูกลับมาสูบนะแม่งก็บ่นอีก"
(ก็อย่าให้มันรู้สิ)
"เนอะ ไม่เห็นยาก"
(มึงอะคิดมากไป)
ดับมวนสุดท้ายของวัน โยนซองที่ยังเหลืออยู่เกินครึ่งลงถังขยะข้างตัวโดยไม่มีความเสียดาย ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ติด ถือว่าเป็นการสูบในวันพิเศษก็แล้วกัน "เออ ได้สติล่ะ"
(นัดเจอกันหน่อยไหมล่ะ เผื่อมึงจะดีขึ้น)
พอนึกว่าได้เจอกันครั้งสุดท้ายก็หลายเดือนมาแล้วเลยคิดว่าหัดออกจากบ้านก่อนจะกลายเป็นมนุษย์ติดบ้านก็ดี "ได้นะ เมื่อไหร่ล่ะ"
(กูไปกทม. เดือนแปด ต้นเดือน)
"ต้นเดือนไม่ว่าง มีนัด"
(ไปไหน)
"งานรดน้ำสังข์พี่สาวมาร์ต กูโดนจองตัวตั้งแต่ยังไม่ขอแต่งงาน"
มีอย่างที่ไหนโทรมาถามเรื่องไซซ์ชุดแล้วยังกำชับว่าจองตัวเอาไว้แล้ว ห้ามมีธุระในวันนั้นเด็ดขาด ล่ะเดี๋ยวพอวันแต่งก็ต้องไปอีกรอบ
(...ไปในฐานะไรวะ)
"ก็รูมเมทอดีตแฟนของน้องชายเจ้าสาวไง"
NEVER END
***
เป็นเรื่องที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเล่าเลยค่ะ (หัวเราะ) คือมันไม่ได้มีธีมซับซ้อนอะไร เป็นการเล่าเรื่องของแฟนเก่าที่ยังเป็นรูมเมทกันต่อจนเรียนจบเท่านั้นเอง
เอาจริงแล้วเจ้าว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการที่กลับไปรักกันคือการที่เรายังมีอีกฝ่ายในชีวิตนี่แหละค่ะ (ยิ้ม)
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
23August
#รูมเมทอดีตแฟน