ตอนที่ ๙
(ภาคปัจจุบัน)
วันนี้เป็นวันพระของพวกมนุษย์ องค์ศศิศเสด็จมาเหนือท้องทะเลเพื่อทรงเตรียมของตักบาตรทำบุญด้วยพระวรกายมุนษย์ รูปโฉมงดงามในร่างบุรุษหนุ่ม โดยมีอัญรัตน์และปัณธรณ์ติดตามมาด้วย ผู้ติดตามทั้งสองออกไปเลือกซื้อของสดมาทำอาหารถวายพระ ขณะที่พระองค์ทรงประทับอยู่หน้าตลาดสด สายพระเนตรทอดไปไกลตามท้องทะเลสีฟ้าใสสะอาด
หลังจากมีพระสุบินเมื่อราตรีที่ผ่านมา พระองค์ก็มั่นพระทัยว่า พระสุบินนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ชาติกำเนิดของพระโอรสของครุฑราชและพระราชชายาลัญยาวดีมาจากพรของพระแม่ปาราวตีหรือพระแม่อุมาเทวี พระแม่ของจักรวาล
พระองค์ยังระลึกถึงสายพระเนตรอ่อนโยนของครุฑราชได้ สายพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความรัก หากแต่สายพระเนตรของพระราชชายาลัญยาวดีกลับเต็มไปด้วยความหวัง พระนางปรารถนาจะมีพระโอรสมาก
ตอนนี้ พระนางควรจะมีความสุขกับพระโอรสน้อยและพระสวามีที่รักพระองค์สุดพระทัย แต่ใครกันช่างใจร้าย ฆ่าพระนางซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาและพระโอรสน้อยผู้บริสุทธิ์ได้ลงคอกัน
ภาพพระโอรสน้อยบรรทมอยู่ที่วิมานฉิมพลีปรากฎขึ้นในพระเศียร ทำให้พระองค์แย้มพระโอรษฐ์กว้าง
ภาพไข่ใบใหญ่ที่พระองค์ได้มาจากชมพูนุชและเกตุไพลิน สองราชนาคีพร้อมคำแนะนำให้เสวยไข่ใบนั้น พวกนางวางแผนให้พระองค์เสวยพระโอรสของพระองค์เอง ถ้าหากพระองค์เสวยไป พระองค์ต้องเสียพระทัยไปตลอดพระชนม์ชีพเป็นแน่
พระองค์เริ่มกำพระหัตถ์แน่น พระเนตรแดงกล่ำ
แต่นาคีสองตนนั่นมีรึจะขึ้นไปยังวิมานฉิมพลี ดินแดนของครุฑได้ จะต้องมีผู้อื่นลงมือเป็นแน่ และแม้สองนาคีนั่นจะชอบยุแหย่วางแผนชั่วร้ายต่างๆนานา แต่พวกนางมิน่าจะมีสติปัญญาวางแผนซับซ้อนจนแม้แต่ครุฑราชเองก็มินึกสงสัยได้แน่
“ถ้าข้ารู้ว่ามันเป็นผู้ใด วางแผนฆ่าลูกของข้า ข้าจะฆ่ามันเสีย”
เสี้ยววินาทีหนึ่ง ความอาฆาตแค้นเข้าครอบงำในพระทัยองค์ศศิศ พระองค์ปรารถนาจะล้างแค้นให้กับตนเองในอดีตชาติ พระองค์จะสืบหาความจริงและฆ่ามันผู้นั้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ขณะเดียวกันในพระทัยก็นึกห่วงพระโอรสของพระองค์
องค์ศศิศร่ายพระเวทย์จนปรากฎกระจกบานใหญ่เท่าตัวของพระองค์ ทอดพระเนตรพระโอรษฐ์ที่กำลังเสวยพระกยาหารเช้า
“ตื่นเช้าเหลือเกิน ลูกแม่” พระองค์ตรัส
พระโอรสแห่งครุฑรีบหยิบกระจกวิเศษขึ้นมาแล้วตรัสตอบสุรเสียงสดใส “คารวะเสด็จแม่พะย่ะค่ะ เสด็จแม่อยู่ที่ใดกัน มีผู้คนมากมายเหลือเกิน”
แววพระเนตรพระโอรสเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ที่นี่คือ โลกมนุษย์ ด้านหลังของแม่คือตลาดสดของพวกมนุษย์”
ครุฑน้อยรีบตรัสถามด้วยความสงสัยทันที “ตลาดสดคืออะไรรึเสด็จแม่”
องค์ศศิศแย้มพระโอรษฐ์กว้าง “ตลาดสดคือ ที่ขายของสดของพวกมนุษย์ สินค้าของพวกเขาก็พวกอาหารทะเล เสื้อผ้า ของใช้ ของประดับ”
ครุฑน้อยแย้มพระโอรษฐ์กว้าง “ลูกอยากไปด้วยเหลือเกิน เสด็จแม่พาลูกไปด้วยได้รึไม่”
“หากลูกเป็นเด็กดี แม่ก็จะพามา”
“เสด็จแม่สัญญาแล้วนะ”
“จ้ะ” องค์ศศิศเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เหตุใดมิมีพระพี่เลี้ยงของพระโอรสอยู่แถวนั้นเลย แต่กลับเต็มไปด้วยเหล่าครุฑร่างกำยำ อาวุธครบมือ “นั่นลูกอยู่ที่ใดกัน”
พระโอรสน้อยทอดพระเนตรไปรอบตัวด้านหลังพระองค์แล้วสะดุ้ง “ลูกมาเที่ยวกับเสด็จพ่อพะย่ะค่ะ"
“มาเที่ยวอย่างนั้นรึ มาเที่ยวในค่ายทหารอย่างนั้นรึ ฆเคศวรเสียสติไปแล้วรึถึงพาลูกมาเที่ยวที่แบบนี้ เจ้ายังเด็กนัก” นาคราชตรัสเสียงขุ่น นึกพิโรธครุฑราชที่พาพระโอรสเสด็จไปที่แบบนั้น
เจ้านกน้อยตัวลีบทันที ตรัสเสียงอ่อยๆ ว่า “เสด็จแม่อย่าเพิ่งกริ้วเสด็จพ่อเลย ลูกแอบติดตามออกมาเอง”
ครุฑราชที่เสด็จออกมานอกกระโจมที่ประทับทอดพระเนตรพระโอรสสนทนากับพระราชมารดาก็เสด็จมาใกล้และโบกพระหัตถ์ทักทาย
“เจ้าสบายดีรึ น้องหญิง”
“ข้าอยากจะขึ้นไปฉีกเนื้อเจ้านัก เป็นพระราชบิดาเยี่ยงไรกันถึงปล่อยให้ลูกไปร่วมรบ”
องค์ศศิศตรัสเสียงเข้ม ไม่สนพระทัยคำปฎิสันถารของครุฑราช แต่กลับรีบตรัสต่อว่าทันที ขณะเดียวกันพระองค์กำลังข่มอารมณ์โกรธที่คุกกรุ่นอยู่ในพระทัย
“น้องหญิง วาโยลูกเรานี้ หาใช่เด็กธรรมดาไม่ เขามีเชื้อสายครุฑ มีพละกำลังมหาศาลและมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ไม่มีภยันตรายใดจะทำร้ายลูกเราได้” ฆเคศวรตรัสเสียงอ่อนโยน
นาคราชมิเห็นด้วย “แม้ว่าลูกจะเป็นพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ แต่ลูกก็ยังเด็กนัก”
“เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย พี่จะคอยดูแลคอยปกป้องลูกของเราเอง”
“ปกป้องตัวเองยังจะมิรอดเลย” นาคราชตรัสเสียดสี
“หึ น้องหญิง เจ้าลืมไปแล้วหรือ วาโยมีบ่วงนาคบาศก์ของเจ้าและความรักอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่อย่างเจ้า ลูกเราจะต้องปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง”
องค์ศศิศตรัสตอบเสียงดังว่า “ถ้าลูกข้าเป็นอันตรายแม้แต่น้อย ข้าจะถอนขนเจ้าทั้งตัวเลย”
ครุฑราชและพระโอรสน้อยสรวลพร้อมๆกัน
“เสด็จแม่ลูกขอไปฝึกต่อสู้กับเสด็จพ่อก่อนนะพะย่ะค่ะ”
องค์ศศิศมหานาคราชแย้มพระโอรษฐ์กว้างแล้วตรัสตอบว่า “ดูแลตนเองด้วยนะ เจ้านกน้อยของแม่”
“พะย่ะค่ะ” พระโอรสตรัสตอบเสียงสดใส
หลังจากนั้น ครุฑราชเข้าตรัสสนทนาแทนทันที “พี่ไปก่อนนะน้องหญิง”
“อืม”
ครุฑราชแสร้งตรัสเสียงเศร้าว่า
“ช่างเย็นชาเหลือเกิน”
“ไปเสียทีสิ” นาคราชตรัสไล่ หลังจากภาพก็หายไป องค์ศศิศแย้มพระโอรษฐ์กว้างจนอัญรัตน์อดทักไม่ได้
“อารมณ์ดีเรื่องอันใดเพคะ หม่อมฉันเห็นพระองค์แย้มพระโอรษฐ์กว้างปานจะกลืนพระสุริยะเสียแล้ว”
องค์ศศิศมหานาคราชรีบตีพระพักตร์นิ่งทันที
“หม่อมฉันไม่ล้อเลียนพระองค์แล้ว มิต้องตีพระพักตร์นิ่งเช่นนั้นก็ได้” อัญรัตน์เอ่ยเสียงสดใส นางสนิทสนมกับองค์ศศิศตั้งแต่ทรงพระเยาว์จึงกล้าเอ่ยวาจายอกเย้าได้ มิเกรงกลัวอาญา
นาคราชหันพระพักตร์ไปแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งสนทนากับลูกน่ะ”
เมื่อเสนาธิบดีหนุ่มได้ยินรีบเอ่ยถามทันทีว่า “พระโอรสวาโยเสด็จมาที่นี่หรือพะย่ะค่ะ กระหม่อมเสียดายเหลือเกินที่ไม่ได้พบพระโอรส”
“มิใช่ดอก ปัณธรณ์ ข้าสนทนากับลูกผ่านกระจกนี่ต่างหากเหล่า” องค์ศศิศร่ายมนต์ขึ้น ทันใดนั้นก็ปรากฎรูปกระจกบานใหญ่ขึ้นมา ภายในมีภาพของครุฑราชและพระโอรสน้อยประลองกันอยู่
“ลูกรัก เสด็จแม่ของลูกกำลังดูเจ้าอยู่” ฆเคศวรตรัสขึ้น หลังจากกระจกวิเศษเล็กเพียงปลายนิ้วก้อยส่องแสงสว่างจ้า ก่อนจะขยายขนาดเป็นบานใหญ่เท่าขนาดตัวพระโอรส
“เสด็จแม่ ตอนนี้เสด็จพ่อกำลังจะสอนลูกใช้พลังของครุฑอยู่พะย่ะค่ะ” พระโอรสวาโยตรัสเสียงสดใส พระองค์อยากอวดพระราชมารดา พระองค์เสด็จมาประทับอยู่เบื้องหน้ากระจกบังพระราชบิดาที่ชะโงกพระพักตร์มาเพราะอยากสนทนากับเจ้าของดวงหทัยของพระองค์บ้าง
“ตั้งใจเรียนนะ ลูกรัก เจ้าจะต้องเก่งกว่าบิดาของเจ้าอย่างแน่นอน” นาคราชหนุ่มตรัสเสียงอ่อนโยน
พระโอรษฐ์น้อยรีบตรัสตอบทันทีว่า “ลูกจะตั้งใจเรียน”
ทั้งปัณธรณ์และอัญรัตน์รีบถลาเข้ามาแย่งพื้นที่หน้ากระจกและแย่งกันพูด
“ถวายบังคมพะย่ะค่ะ พระโอรส อ๊ะ อัญรัตน์ เจ้าเข้ามายืนบังข้าทำไม ไม่เห็นรึข้ากำลังสนทนากับพระโอรส”
“ถวายพระพรเพคะ พระโอรส เอ๊ะ ท่านปัณธรณ์ท่านจะมาเบียดข้าทำไม ข้าจะสนทนากับพระโอรส”
พระโอรสวาโยทรงพระสรวลแล้วตรัสตอบไปว่า
“เราสบายดี”
“พระโอรสโตเร็วเหลือเกิน คราที่กระหม่อมเห็นพระองค์ล่าสุด พระองค์เพิ่งจะเหมือนเด็กพระชันษาเพียง 7 – 8 ขวบเท่านั้น” เสนาบดีหนุ่มเอ่ยถามขึ้น
“นั่นสิ เหตุใด พระองค์จึงเหมือนมีพระชันษา 11 – 12 ปี ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน” อัญรัตน์เองก็แปลกใจมิแพ้ปัณธรณ์ พระโอรสประสูติจากไข่ แต่ช่างโตเร็วจนน่าตกใจ
“นั่นเพราะวาโยคือบุตรของข้าน่ะสิ สายเลือดเข้มข้น ทำให้เขาโตเร็วและเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เผ่าครุฑของเรา ยิ่งศักดิ์สูง ยิ่งมีโอรสหรือธิดายาก หากแต่ถ้าถือกำเนิดแล้วจะเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง สติปัญญาและบารมี” ครุฑราชกลับเป็นฝ่ายตรัสตอบปัญหานี้แทนพระโอรส “วาโยน่ะ มีพลังตั้งแต่เขายังอยู่ในท้องเสด็จแม่ของเขาเสียด้วยซ้ำ”
“ถ้าเช่นนั้น พระโอรสก็เก่งตั้งแต่อยู่ในพระครรภ์แล้วสิพะย่ะค่ะ” เสนาธิบดีแห่งนครบาดาลรู้สึกทึ่งเหลือเกิน
“ใช่ วาโยน่ะรับรู้ทุกอย่าง มีตาทิพย์ หูทิพย์ตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์แล้วล่ะ เพียงแต่พอออกจากไข่ความทรงจำนั้นก็จะหายไปเพราะร่างกายเปลี่ยนสภาพ” ครุฑราชตรัสตอบ
“ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกินนะเพคะ” อัญรัตน์เอ่ยชื่นชม
แม้ว่าองค์ศศิศจะนึกหมั่นไส้ในคำตรัสของครุฑราช แต่ความเป็นแม่ในพระทัยของพระองค์มีมากล้นจนสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งของสองเผ่าพันธุ์ได้ พระองค์รู้สึกยินดีที่พระโอรสแข็งแรง และเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา
“ดีเหลือเกิน เจ้านกน้อยของแม่ แม่หวังให้เจ้าแข็งแรงและมีความสุขในทุกๆวัน”
“ลูกมีสุขทุกๆวันที่ลูกได้อยู่กับเสด็จแม่และเสด็จพ่อ”
“แม่ก็มีความสุขที่ได้อย่กับลูกจ้ะ เจ้านกน้อยของแม่” องค์ศศิศตรัสตอบ พระโอรสสุดรักของพระองค์เอง
ขณะที่ครุฑราชกลายร่างเป็นพญาครุฑขนาดมหึมา ขนสีแดงเพลิง ดวงเนตรสีทอง เมื่อทรงสลายปีกเบาๆ กลับมีแรงลมมหาศาลจนทำให้ต้นไม้ใหญ่ล้มได้ “วาโย ลูกลองแสดงพละกำลังอันมหาศาลของลูกให้เสด็จแม่ของลูกได้ดูสิ”
“พะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
พระโอรสน้อยทรงชื่นชมพระอัจฉริยภาพของพระราชบิดา พระองค์กลับกลายเป็นพญาครุฑตัวมหึมา แม้จะเล็กกว่าครุฑราช แต่ก็ใหญ่กว่าครุฑทั่วไปหลายเท่าตัวนั้น เพียงสลายปีกเบาๆ ต้นไม้ใหญ่ก็หักโค่นลงมาเช่นกัน ลมแรงพัดหมุนวนจนเหล่าทหารครุฑด้วยกันแทบจะล้มทั้งยืน
นาคราชตกพระทัยเมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตร พระองค์มิเคยรู้เลยว่า พระโอรสจะมีพละกำลังมหาศาลเท่านี้
“ทำไมกัน”
ครุฑราชตรัสตอบทันทีเมื่อเห็นสีพระพักตร์ตกตะลึงของพระราชชายา
“พี่ถึงบอกเจ้าอย่างไรเล่า ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายลูกเราได้”
“แต่ลูกยังเด็ก” องค์ศศิศตรัสเถียงขึ้น แม้เจ้านกน้อยจะมีพละกำลังมหาศาลเพียงใด เขาก็ยังเป็นเด็กที่เพิ่งเกิดได้เพียง 7 วัน เป็นเด็กน้อยในสายพระเนตรของมารดาผู้นี้อยู่เสมอมา
“น้องหญิง เจ้าอย่าให้ความคิดของเจ้ามาขัดขวางความสามารถของลูกสิ ลูกของเรามาจากพรอันประเสริฐของพระแม่อุมา ลูกของเราไม่ใช่เด็กธรรมดา” ฆเคศวรตรัสอธิบายอย่างพระทัยเย็น
“ข้ารู้” พระองค์ตรัสตอบพึมพำ พระองค์รู้ดียิ่งกว่าใครว่า เจ้านกน้อยเก่งกาจเพียงใด แต่ความเป็นแม่ทำให้อดเป็นห่วงมิได้
หลังจากทอดพระเนตรสองบิดาและบุตรเรียนต่อสู้กันแล้ว พระองค์ก็ทรงเสด็จไปปรุงอาหารเพื่อถวายพระตามแรงศรัทธา
( ต่อด้านล่าง)