ตอนที่ 2
“ถ้างั้นก็….เป็นแฟนกันไหม”
ทั้งที่ทุกสิ่งก็ยังคงดำเนินไปเช่นเก่า แต่สำหรับจงรัก ณ วินาทีนี้ เสมือนโลกหยุดเคลื่อนไหว ความร้อนในร่างกายไหลไปรวมกันอยู่ที่ใบหน้าและกกหูจนผิวขาวเหลืองแดงแจ๋ราวมะเขือเทศสุก มือสองข้างสั่นอย่างกับเจ้าเข้าจนต้องจับกุมประสานกันไว้แล้วไพล่ไปด้านหลัง อยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่สามารถบังคับริมฝีปากที่ประเดี๋ยวก็อ้าประเดี๋ยวก็หุบได้ สุดท้ายเขาจึงเลือกเม้มปากไว้แน่นๆ แทน ทว่าที่ร้ายที่สุดก็คือ เมื่อสบกับรอยยิ้มมุมปากของเมฆ ในหัวก็คล้ายได้ยินเสียงระเบิดอีกครั้ง เขาไม่อาจทนจ้องมองใบหน้าของคนคนนี้ได้อีกต่อไป หน่วยตาคมหวานจึงเลื่อนจากหน้าของเมฆไปที่คอนเวิร์สสีเหลืองใบตองของตัวเอง
ทันทีที่ไม่มีรอยยิ้มกับสายตาพิฆาตของเมฆมาคอยทำให้หัวใจปั่นป่วนจนหัวคิดอะไรไม่ออก จงรักก็รวมรวมสติได้อีกครั้ง เขาค่อยๆ พิจารณาประโยคคำถามของเมฆอย่างถี่ถ้วน ก่อนเรียบเรียงความคิดที่สบสันของตัวเอง จากนั้นจึงพบว่าในหัวมีคำถามหนึ่งเกิดขึ้น
นี่เรื่องจริงหรือ? ความรู้สึกเจ็บแปลบจากเล็บที่จิกลงไปบนฝ่ามือช่วยยืนยันว่าหนุ่มตัวเล็กไม่ได้ฝันหรือคิดไปเอง กระนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเมฆจึงเอ่ยออกมาแบบนั้น เอ่ยออกมาทั้งที่เมื่อคืนยังละเมอถึงคนรักเก่าอยู่เลยด้วยซ้ำ
คนรักเก่า ครั้นสำนึกได้ว่าคนตัวสูงตรงหน้ายังคง
รักคนเก่า หัวใจที่กำลังพองฟูของจงรักก็ค่อยๆ ลีบแบนราวกับลูกโป่งสวรรค์ถูกปล่อยลม ลูกโป่งที่กำลังจะล่องลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า กลับต้องพลัดตกดิ่งวูบลงไปมากกว่าเดิม สิ่งที่ได้เผชิญเมื่อยามคนเจ็บไม่รู้ตัวคือข้อพิสูจน์ หากแต่เขาก็ยังสงสัยว่าเมฆพูดออกมาเช่นนั้นเพราะอะไร และต้องการอะไรกันแน่
จงรักสูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มเพื่อเรียกพลังให้กับตนเอง ก่อนจะบังคับจัดระเบียบร่างกายแสนเก้กังของตัวเองให้สงบลง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนที่นั่งรอคำตอบอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“พี่เมฆ”
“หืม” เสียงทุ้มแหบตอบรับในลำคอ
“ก่อนผมจะตอบ ผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ” เมฆมองจงรักอย่างประหลาดใจนิดๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ได้สิ”
“พี่เมฆยังรักหนึ่งนทีอยู่หรือเปล่าครับ”
คำถามของจงรักช่างตรงประเด็นเหลือเกิน มันตรงเสียจนคนถูกถามรู้สึกถึงความเจ็บหนึบที่สะท้อนขึ้นมาจากช่วงอก จากนั้นเมฆก็นิ่งเงียบไป ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจที่ถูกถาม แต่เขาก็ไม่ยอมตอบอะไรออกมา ดวงตาสีสนิมเข้มเมินมองออกไปยังดอกคาร์เนชั่นสีโอรส กลีบดอกหยักน้อยๆ กับสีสันอ่อนนวลไม่ได้ช่วยให้ความหมองมัวในใจของเขาหายไป มีแต่จะเพิ่มเติมให้รู้สึกหม่นเศร้ายิ่งขึ้น เมื่อระลึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็เคยซื้อดอกไม้ชนิดนี้ให้กับหนึ่งนทีบ่อยๆ ครั้งสมัยที่ตามเทียวไล่เทียวขื่อขอจีบ
“นายเป็นคนเอามันมาเหรอ” เมฆเอ่ยถามทั้งที่สายตายังไม่ละจากคาร์เนชั่นในแจกัน จงรักหันไปตามสายตาคนถาม จากนั้นจึงเฉลย
“ครับ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะคิดว่าพี่น่าจะสดชื่น ถ้าตื่นขึ้นมาเห็นดอกไม้ที่ชอบ”
“รู้อะไรไหม คนที่ชอบคาร์เนชั่นคือหนึ่งต่างหาก...ไม่ใช่พี่” ถึงตอนนี้ตาคู่ดุย้ายกลับมาประสานกับดวงตาคมของจงรักเช่นเดิมแล้ว
เพราะรู้สึกเจ็บจากแผลสดใหม่ที่อดีตคนรักฝากไว้ให้ ทำให้เมฆหลงลืมที่จะระวังความรู้สึกของคนที่เขาเพิ่งจะรับรู้แน่ชัดจากวินว่าหลงรักเขามาเนิ่นนาน จงรักกลืนก้อนความรู้สึกบางอย่างลงไปในอก กดมันให้ลงไปอยู่ในจุดที่ลึกที่สุด เพื่อจะได้ไม่เผลอร้องไห้ออกมา
ทั้งที่คิดว่ารู้ รู้ดีที่สุดว่าเมฆชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่จงรักก็เกือบลืมไปว่าเขามันแค่คนที่แอบชอบ เป็นแค่คนที่มองเมฆจากที่ไกลๆ มองจากมุมที่ไม่อาจขยับเข้าไปใกล้ได้อย่างใจต้องการ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่อะไรหลายๆ อย่างที่คิดว่าถูกกลับเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองทั้งนั้น อย่างเช่นดอกคาร์เนชั่นนั่นไง เพียงแค่เห็นว่าบ่อยครั้งที่เมฆถือมัน เขาก็ทึกทักว่าเป็นที่โปรดปราณ โดยลืมนึกไปว่าเมฆอาจเพียงแค่ถือมันไปมอบให้ใครก็ได้
เขานี่มันโง่จริงๆ“พี่ยังรักเขาอยู่ใช่ไหม”
“อืม...ยังรัก” หลายครั้งที่จงรักเกิดความสงสัยว่าคนเรานั้นจะรู้สึกเจ็บปวดได้มากแค่ไหน แล้วจะทนกับมันได้มากเท่าไหร่กัน
“งั้นพี่มาขอคบกับผมทำไม” ที่ถามไม่ใช่เพราะโกรธ ไม่เลยสักนิดที่คิดจะโมโห แต่ที่ถามเพราะจงรักอยากรู้จริงๆ แต่สิ่งที่อยากรู้ก็ไม่มีทางได้รู้ง่ายๆ เมื่อเมฆตอบออกมาเพียงแค่
“ขอโทษนะ”
“พี่ไม่จำเป็นต้องขอโทษผมเลย พี่ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย พี่อาจแค่สับสน”
“ยังไงก็ต้องขอโทษจริงๆ”
อาจเพราะเสียงที่เริ่มสั่น หรือเพราะหยดน้ำที่รื้นขึ้นมาคลอหน่วยตาใส มันทำให้เมฆระลึกได้ว่าเขาผิดจริงๆ เพราะคำพูดของเพื่อนสนิทที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กคนนี้ให้เขารู้ มันทำให้เขาเกิดความคิดบ้าๆ ขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง โดยลืมนึกถึงว่าหากเป็นตัวเขาเองจะรู้สึกอย่างไร
“พี่ไม่ผิดหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธเลย ผมรู้ว่ายังไงตอนนี้พี่ก็คบกับผมไม่ได้หรอก เพราะพี่ยังรักเขาอยู่” เป็นคนพูดเองแท้ๆแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บเสียเอง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องพูด เพราะเขาตัดสินใจแล้ว ในเมื่อเมฆรู้ว่าเขาแอบรัก ในเมื่อมันไม่มีอะไรต้องเสีย เขาควรพูดกับชายหนุ่มให้รู้เรื่องกันไปเลย พูดอย่างที่ใจคิดและต้องการ
“แต่ในเมื่อพี่เองก็พูดออกมาแล้ว ผมจะขออะไรพี่สักอย่างได้ไหม”
“อะไร”
“ผมไม่ขอให้พี่คบกับผมหรอก ผมขอแค่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ เวลาที่พี่ไม่มีใคร เวลาแบบนี้ ผมขอรักพี่ได้ไหม ถ้าวันหนึ่งที่เขากลับมา หรือว่าพี่จะไป ผมจะไม่ว่าเลย ไม่เรียกร้องอะไรด้วย แต่ตอนนี้ขอให้ผมอยู่ข้างๆ พี่เถอะนะ”
วันนี้เมื่อเมฆยังไม่ได้รัก จงรักก็ขอแค่ได้มีโอกาสอยู่ข้างๆ อย่างที่ร้องขอ อยู่อย่างไม่ผูกมัด ทว่าก็ตอกย้ำยืนยันตัวตน อย่างน้อยเมฆก็เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ อย่างน้อยยังได้อยู่ในสายตา เขาหวังว่าอาจมีสักช่วงเวลา ที่เขาจะสามารถทำให้เมฆยิ้มออกมาได้ด้วยตัวของเขาเอง และถ้าหากวันหนึ่งเมฆเกิดรัก อยากจะคบก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะถ้าเมฆฝืนคบไปอย่างที่จงใจแต่แรก คนที่เจ็บที่สุดคงหนีไม่พ้นเมฆเอง และจงรักก็ไม่อยากเห็นชายหนุ่มเป็นแบบนั้น
ตั้งแต่สังเกตมา นี่เป็นครั้งแรกที่นัยน์ตาแขกของคนตัวเล็ก เปล่งประกายระยับจับตาเขาที่สุด มันเป็นประกายแห่งความหวังและดูมุ่งมั่นจนเมฆไม่สามารถหักใจปฏิเสธได้ ยิ่งคำพูดที่ฟังดูออกจะทุ่มเทเสียขนาดนั้น คนหน้าดุมีอันต้องยอมแพ้ และพ่ายให้กับความรู้สึกอันยิ่งใหญ่จนน่านับถือของเจ้าตัว ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือเปล่า แต่เขาก็ยินยอมเว้นที่ข้างตัวให้จงรักเข้ามายืนใกล้ๆ ในวันที่หัวใจอ่อนแอจนถึงขีดสุด
“ได้สิ”
เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งที่หน้าร้านดังติดกันต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเช้า แม้กระทั่งบ่ายลูกค้าจะซาลงไปบ้างแล้ว ทว่าคนงานของพ่อก็ยังเดินเข้าออกร้านเพื่อช่วยกันขนย้ายลังดอกกล้วยไม้จากสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่เข้ามาเก็บในตู้เย็นด้านหลัง เนื่องจากพรุ่งนี้มีออเดอร์รายใหญ่จากลูกพี่ลูกน้องของจงรักซึ่งทำธุรกิจวิวาห์ ที่ร้านจึงวุ่นวายเป็นพิเศษ เจ้าของร้านตัวเล็กหมุนซ้ายหมุนขวาจนเวียนหัว ยุ่งขนาดที่เดินขาแทบขวิดไม่มีเวลานั่งพัก ช่วงนี้ร้านกำลังไปได้ดี จงรักจึงตัดสินใจจ้างพนักงานเพิ่มสองคน เป็นช่างจัดดอกไม้ทั้งช่วยดูแลร้านหนึ่งตำแหน่ง และแมสเซ็นเจอร์คอยส่งดอกไม้อีกหนึ่งตำแหน่ง เพราะเดิมมีอยู่แล้วคนหนึ่ง
ร้านหอมไกลเป็นกิจการที่พ่อกับแม่สร้างขึ้น และช่วยกันดูแลเรื่อยมาจนรุ่นลูก จากที่เคยสั่งดอกไม้จากคนอื่นทั้งหมด ตอนนี้ดอกไม้ส่วนใหญ่มาจากสวนที่พ่อลงทุนลงแรงเอง ถือว่าโชคดีที่บ้านของพ่ออยู่ที่เชียงใหม่ พ่อจึงใช้ที่ดินมรดกของปู่ย่าเป็นแปลงเพาะเลี้ยง
บ้านของจงรักมีด้วยกัน 4 คน ประกอบด้วยพ่อ พี่สาวฝาแฝดสองคนคือจุรีและจิรา สุดท้ายก็จงรักที่เป็นน้องคนสุดท้อง ส่วนแม่ของเขาเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้พ่อดูแลสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่อยู่กับพี่จิรา ซึ่งรายนั้นยังครองตัวเป็นสาวโสดไม่สนใจผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น แม้อายุใกล้ย่างเข้าเลขสามอีกแค่ปีเดียว ต่างกับพี่จุรีที่เพิ่งแต่งงานไปกับสามีชาวต่างชาติ ชายหนุ่มผู้สู้อุตส่าห์มาอุดหนุนดอกไม้ตลอดสองปีเพื่อจีบเจ้าของร้านขายดอกไม้ กระทั่งได้เป็นแฟนแล้วแต่งงานกันสมใจ ตอนนี้ก็พาพี่จุรีบินไปลงหลักปักฐานอยู่ที่เยอรมันเป็นการถาวร จงรักเลยไม่ได้กลับไปช่วยงานพ่อที่บ้านเกิดเพราะต้องสานต่อกิจการหน้าร้านที่กรุงเทพแทน
เมื่อคนงานขนดอกไม้จนหมด ก็มีลูกค้าอีกสองถึงสามรายกระทั่งใกล้เวลาปิดร้านจงรักจึงมีเวลาได้นั่งพัก เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน เช็คดูว่ามีใครโทรเข้ามาหาหรือเปล่า เพราะเวลาเขาทำงานมักไม่ค่อยรู้สึกตัวเวลาที่โทรศัพท์สั่นหรือดังขึ้นมา เช็คดูจนหมดก็เห็นว่ามีเพียงสายของพ่อที่เป็นมิสคอลค้างอยู่ เขารีบกดต่อสายกลับไปหารอครู่เดียวเสียงที่คุ้นเคยก็ลอดออกมา
‘เป็นไงบ้างรัก ที่ร้านเรียบร้อยไหมลูก’
“เรียบร้อยดีครับพ่อ ผมให้เด็กเก็บกล้วยไม้เข้าตู้แช่หมดแล้ว คุมงานเองดอกไม้ของพี่ไอไม่มีช้ำแน่นอน” ลูกชายคนเล็กรายงานด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
‘อืม ดีๆ ดูแลให้เรียบร้อยนะรัก’ เป็นเรื่องปรกติที่พ่อจะต้องกำชับให้แน่ใจ ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าจงรักนั้นดูแลร้านได้เป็นอย่างดีไม่มีบกพร่อง
“ครับ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง แล้วนี่พ่อทำอะไรอยู่ครับ” จงรักรับคำหนักแน่น ก่อนจะถามความเป็นไปของพ่อ
‘พ่อกำลังจะไปดูคนงานย้ายกล้ากุหลาบ คราวนี้ได้มาใหม่ พันธุ์ดีเชียวล่ะ’
“ใช่ Royal Princess ที่พ่อบอกคราวที่แล้วหรือเปล่าครับ” เขาจำได้ลางๆ ว่าพ่อเคยบอกไว้เมื่อครั้งที่คุยกันคราวก่อน
‘อืมนั่นแหละ นี่เกษตรอำเภอก็ฝากคนมาดูงานกับเราด้วยนะ’
“งั้นผมไม่กวนแล้วดีกว่าครับ พ่อไปดูคนงานเถอะ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าเผลอไปยกอะไรหนักๆ เข้าล่ะ เดี๋ยวจะปวดหลังขึ้นมาอีก” จงรักบอกอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร ด้วยความที่ทำงานในสวนทุกวันก็เหมือนได้ออกกำลังกาย แต่พอแก่ตัวลงกระดูกกระเดี้ยวก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ยกกระสอบปุ๋ยจนหลังอักเสบเข้าโรงพยาบาลไปรอบ ตั้งแต่ครั้งนั้นลูกๆ ทุกคนก็พลัดกันคอยเตือนให้พ่อระมัดระวังและดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งหมดนั้นก็เพราะเป็นห่วงจริงๆ
‘อืม เราก็เหมือนกันนะลูก กลับบ้านดีๆ’ พ่อกำชับเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อได้ยินลูกชายรับคำก็วางสายไป
“ครับ”
วางสายจากพ่อเรียบร้อยจงรักก็ไล่ดูโทรศัพท์ไปเรื่อย กระทั่งไปหยุดที่เบอร์ของใครบางคน ใครที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเกือบสองอาทิตย์ ทว่าตั้งแต่ที่ตกลงกันวันนั้นเขาก็ได้สิทธิ์ในการรับรู้เบอร์ส่วนตัว อีกทั้งยังใจกล้าใช้สิทธิ์นั้นโดยการส่งข้อความไปชวนคุยสรรพเพเหระในโปรแกรมแชทที่ชื่อจะขึ้นมาอัตโนมัติหากว่ามีเบอร์อยู่ จงรักหมั่นส่งข้อความไปทุกวัน เช่นกินข้าวหรือยัง เหนื่อยหรือเปล่า แผลหายดีแล้วใช่ไหม แล้วก็อะไรๆ ไร้สาระอีกหลายอย่าง แต่ก็ไม่กล้าโทรไปคุยสักที ถึงเขาจะกล้าขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยเสียหน่อย กว่าจะกดส่งข้อความไปแต่ละทีต้องอ่านย้ำแล้วย้ำอีก บางครั้งก็ลบแล้วพิมพ์ใหม่หลายรอบกว่าจะพอใจ หลายครั้งที่มานั่งคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น จงรักก็ยังนึกทึ่งในตัวเองไม่หาย ไม่รู้ว่ากล้าพูดแบบนั้นไปได้อย่างไร
จงรัก : ถึงบ้านหรือยังครับ
เมฆา : เพิ่งเลิกงาน กำลังจะออกจากออฟฟิศ
จงรัก : เลิกงานช้าจังครับวันนี้
เมฆา : พรุ่งนี้ต้องเสนอโปรเจคเลยยุ่งๆ
จงรัก : เหนื่อยไหมครับ
เมฆา : นิดหน่อย เราล่ะ
จงรัก : ไม่เหนื่อยครับ ^_^
เมฆา : กินข้าวหรือยัง
จงรัก : ยังเลยครับ กำลังจะปิดร้าน
“พี่กลับก่อนนะคะน้องจงรัก” เสียงสดใสของพนักงานคนใหม่ในร้านกล่าวลา ทำให้ตาคู่แขกต้องละจากหน้าจอขึ้นมาหา โดยที่ยังไม่ทันได้อ่านข้อความสุดท้ายที่เมฆส่งมาถาม
“ขอบคุณที่เหนื่อยวันนี้นะครับพี่มิ้น กลับบ้านดีๆ ครับ” เจ้าของร้านตัวเล็กบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มิ้นเป็นสาวร่างเล็กอายุยี่สิบปลายๆ แต่งงานแล้ว ความจริงเธอเป็นแม่บ้านอยู่ดูแลบ้านอย่างเดียว แต่ด้วยความเบื่อหน่าย ผนวกกับมีฝีมือในการจัดดอกมากอย่างหาตัวจับยาก เธอจึงมองหางานทำแก้เบื่อ ประจวบเหมาะพอดีที่รู้จักกับพี่ไอ ลูกพี่ลูกน้องของจงรัก พี่ไอจึงแนะนำให้เธอมาทำงานที่นี่
“ค่ะ น้องจงรักก็กลับบ้านดีๆ นะคะ” เธอยิ้มหวานให้อีกครั้งก่อนออกจากร้านไปขึ้นของรถสามีซึ่งมารออยู่สักพักแล้ว
ไม่ทันที่จะก้มลงไปอ่านบทสนทนาระหว่างตนกับเมฆต่อ โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นครืนขึ้นมา แล้วชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำให้คนตัวเล็กต้องมองอย่างประหลาดใจ ก่อนกดรับสายอย่างรวดเร็ว
“ครับพี่เมฆ”
‘ว่ายังไง เห็นอ่านแล้วแต่ทำไมไม่ตอบ สรุปจะเอายังไง’ เสียงทุ้มเอ่ยถามเรียบๆ
“ห๊ะ? เอาอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ” คนถูกถามถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้ว่าเมฆพูดเรื่องอะไรกันแน่
‘อ่าว ก็อ่านแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นในไลน์มันขึ้นว่าอ่านแล้วนี่’ คราวนี้เป็นเมฆที่แปลกใจบ้างแล้ว
“เดี๋ยวนะครับ รอแปบนึง” บอกให้รอสักครู่จากนั้นจึงรีบกดดูที่คุยกันค้างไว้ เพียงแค่ข้อความสั้นๆ มันกลับทำให้จงรักดีใจแล้วยิ้มออกมาจนเต็มแก้ม ก่อนกลับไปตอบรับคนที่ถือสาย
เมฆา : งั้นไปกินข้าวด้วยกันไหม
“ไปครับ!” จงรักรีบตอบทันทีราวกลับกลัวว่าคนปลายสายคิดเปลี่ยนใจ
‘งั้นรอที่ร้าน เดี๋ยวเข้าไปรับ’
“ครับ” ตอบรับแข็งขัน จากนั้นจึงวางสายไป
มือบางกุมโทรศัพท์แนบอกแน่น ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาคมหวานมีแววดีใจอย่างไม่คิดปิดบัง ไม่นึกเลยว่าฝ่ายที่โทรมาก่อนจะเป็นเมฆา แม้จะดูเป็นเรื่องที่คล้ายกับไม่ได้ตั้งใจก็ตามที กระนั้นจงรักก็ยังดีใจเพราะอีกคนเอ่ยปากชวนเขาไปกินข้าวด้วยกัน แบบนี้ค่อยดูเหมือนจะเข้าใกล้กันจริงๆ ขึ้นมาอีกหน่อย
จงรักลุกจากเก้าอีก ถอดผ้ากันเปื้อนออกไปแขวนไว้ในตู้ด้านหลังแล้วหยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวมทับเสื้อยืดลายกราฟฟิกที่ใส่อยู่ จากนั้นก็เดินไปเช็คอุณภูมิตู้เย็นอีกครั้งพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี กระทั่งตรวจทุกอย่างในร้านเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มร่างเล็กจึงล็อคร้านแล้วพาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ไม้ใต้ต้นกาสะลองหน้าร้าน เพื่อรอให้เมฆามารับตามที่เพิ่งนัดกัน
เมื่อรถญี่ปุ่นใหม่เอี่ยมสีขาวสะอาดตาแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าร้านหอมไกล เจ้าของร้านตัวเล็กก็กระตุกลุกพรวดราวกับรอคอยอยู่นานแล้ว สองขาพาร่างก้าวไปที่ข้างๆ รถ ประจวบกับคนข้างในหมุนกระจกลงมาพอดี ใบหน้าหล่อคมแบบดุดันพยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณบอกว่าให้ขึ้นรถ มือบางจึงเปิดประตูรถแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งบนตำแหน่งข้างคนขับอย่างรู้งาน ครั้นจงรักคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย รถก็เคลื่อนที่ออกไปในทันที
“รอนานไหม” เมฆาเป็นฝ่ายที่เอ่ยขึ้นก่อน
“ไม่นานครับ พอดีผมเช็คดูในร้านก่อนจะปิด ออกมานั่งรอแปบเดียวพี่เมฆก็มา” จงรักตอบไปตามจริง
“อืม แล้วอยากกินอะไรล่ะ”
“แล้วแต่พี่เมฆเลยครับ”
“กินผักได้หรือเปล่า”
“กินได้ครับ”
“อืม” คนหน้าดุตอบรับในลำคอ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก แต่กลับนึกไปถึงคนรักเก่าแทน หนึ่งนทีน่ะไม่ชอบกินผัก จะเรียกว่าเข้าขั้นเกลียดเลยก็ได้ล่ะมั้ง ผิดกับเขาที่ชอบผักเอามากๆ ในมื้ออาหารจะต้องมีสีเขียวแซมอยู่ตลอด แต่ตอนคบกับเด็กคนนั้นเขาก็พลอยไม่ค่อยได้กินมันไปด้วย พอนึกถึงตรงนี้เมฆาก็รู้ตัว เขาเผลอคิดถึงหนึ่งนทีอีกแล้ว
“ปวดหัวหรือเปล่าครับ” เสียงของจงรักดังขึ้น ฉุดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดให้กลับมาอยู่ที่พวงมาลัยรถอีกครั้ง คนหน้าดุหันกลับมามองแวบหนึ่งจึงพบแววตาเป็นห่วงของคนข้างๆ
“เปล่านี่”
“งั้นเหรอครับ เห็นพี่ทำคิ้วขมวด สีหน้าไม่ค่อยดี คิดว่าไม่สบายตรงไหน”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ขอบใจที่เป็นห่วง”
“ครับ” เมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องเบือนหน้าเสมองไปข้างทางเพื่อกลบเกลื่อนริ้วแดงที่ข้างแก้ม เมฆาจึงชัดหน้ากลับมามองตรงแล้วตั้งใจขับรถต่อไป
เป็นที่รู้กันว่าช่วงหัวค่ำของวันศุกร์ถนนในกรุงเทพมหานครจะแน่นขนัดไปด้วยรถรามากมายกว่าปรกติ มีทั้งที่เลิกงานกลับบ้านและทยอยออกต่างจังหวัด จึงทำให้กว่าจงรักกับเมฆจะหลุดจากวงโคจรอันแสนน่าเบื่อก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม ทั้งที่ใช้เวลาในรถนานเป็นชั่วโมง แต่ทั้งคู่ก็คุยกันแทบนับคำได้ สำหรับคนตัวเล็กเขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดอีกแล้ว หากแต่กลับรู้สึกประหม่าเสียแทน นั่งคิดๆ เรียบเรียงในหัวว่าจะพูดอะไรดี ชวนคุยเรื่องนี้ดีไหม กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถึงที่หมายเสียแล้ว
ร้านที่เมฆเลือกเป็นร้านอาหารเวียดนามซึ่งตั้งอยู่ในซอยค่อนข้างลึก หากไม่คุ้นเคยคงหาไม่เจอเป็นแน่ ตัวร้านเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้น โดยใช้ชั้นล่างเป็นร้านอาหารเพียงชั้นเดียว ภายในตกแต่งอย่างร้านอาหารทั่วไปที่บนโต๊ะจะมีเหยือกน้ำกับกล่องช้อนส้อมวางอยู่ ชุดโต๊ะเก้าอี้เป็นไม้ทั้งหมด ผนังมีเมนูแผ่นใหญ่ยักษ์ติดอยู่ พัดลมติดไว้ตรงเพดาน เว้นระยะพอเหมาะเท่าๆ กัน ตัวร้านถูกระบายด้วยสีขาวนวลดูไม่แสบตาเกินไป
เมฆเดินนำจงรักเข้าไปเลือกโต๊ะที่ตรงกับพัดลมมากที่สุดตามวิสัยคนขี้ร้อน ก่อนคุณป้าวัยกลางคนจะเข้ามารับออเดอร์พร้อมกับเสิร์ฟแก้วน้ำแข็งเปล่ามาให้ รักนั่งมองเมฆสั่งไปสามสี่เมนูดูท่าทางคุ้นเคยคงเป็นเพราะมากินบ่อย รอไม่นานอาหารก็มาทยอยมาวางบนโต๊ะ ทั้งกุ้งพันอ้อย ปอเปี๊ยะสดไส้หมูกับใบชะพลู แหนมเนือง และเฝอไก่ อาหารทุกอย่างดูน่ากินไปหมด ผักแกล้มก็สดฉ่ำชวนน้ำลายสอ
ทั้งคู่ลงมือกินเงียบๆ โดยที่แลมองกันเป็นระยะ จงรักตักเฝอไก่แบ่งใส่ถ้วยคนละครึ่ง ก่อนจะเริ่มห่อแหนมเนือง ในขณะที่เมฆตักกุ้งพันอ้อยขึ้นมากินก่อนเป็นอย่างแรก พอกินเสร็จแหนมเนืองห่อผักกับเครื่องเคียงเรียบร้อยก็ถูกวางลงในจาน
“ทำกินเถอะ ไม่ต้องทำให้พี่หรอกจงรัก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากทำ” คนถูกห้ามปฏิเสธออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ เมฆมองนิ่งครู่หนึ่งก็ไม่ได้ห้ามอะไรอีก รู้สึกไม่เคยชินเท่าไหร่กับการที่มีคนคอยทำนั่นทำนี่ให้ เพราะหากเป็นแต่ก่อน หน้าที่เหล่านี้คงเป็นเขามากกว่า
ค่อยๆ กินกันไป คุยกันไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ พออยู่ในอิริยาบถที่ผ่อนคลาย จงรักก็ลดอาการประหม่าลง กล้าซักถามเป็นเจ้าหนูจำไมเหมือนตอนที่คุยผ่านไลน์ทุกครั้ง
“เสาร์นี้ไปเตะบอลกับพวกเฮียวินไหมครับ” จงรักรู้มาว่าเมฆทำงานในวันเสาร์ด้วย จึงไม่แน่ใจว่าเมฆจะไปเตะบอลด้วยหรือเปล่า
แต่ก่อนพวกรุ่นพี่ในคณะและต่างคณะอย่างเมฆ มักจะนัดกันเตะบอลที่สนามของมหาวิทยาลัยทุกเย็นเพราะหลายคนก็เล่นให้ทีมลีกมหาลัย โดยมีน้องๆ เข้ามาแจมด้วยบ้างเช่นจงรัก เมื่อจบออกมาทุกคนจึงทำสัญญาปากเปล่าว่าจะเตะบอลด้วยกันอีก โดยนัดมีทุกเย็นวันเสาร์ จากนั้นก็ไปเช่าสนามเอกชนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ใครว่างก็มาเจอกันใครไม่ว่างก็มาครั้งหน้า จงรักจะไปตามนัดทุกครั้งเพราะเขาชอบเล่นฟุตบอล แม้จะเป็นคนตัวเล็กแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรค มิหนำซ้ำยังถูกวินที่เป็นตัวตั้งตัวตีลากไปเป็นประจำหากว่าเขาอิดออด ทว่าก็ไม่บ่อยที่จะได้เจอกับเมฆ เวลาเจอก็มักมีหนึ่งนทีนั่งถือผ้าเย็นรอที่ข้างสนามให้บาดตาเล่นทุกครั้ง
“น่าจะไป แล้วนายล่ะไปไหม”
“ไปครับ เฮียแกโทรมานัดตั้งแต่วันอังคาร กลัวว่าผมจะเบี้ยว คงเห็นช่วงนี้ที่ร้านยุ่งๆ”
“วันเสาร์ร้านปิดกี่โมง ให้แวะไปรับไหม”
“ปิดห้าโมงเย็น แต่ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมไปเองได้ รบกวนพี่เปล่าๆ”
“ความจริงไม่ได้ลำบากหรอก แต่ก็ตามใจนาย ถ้าจะให้ไปรับก็ไลน์มาบอกแล้วกัน” คนพูดดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรหากแต่มันก็ทำให้จงรักหวั่นไหวเสียจนต้องแอบลอบยิ้มกับตะกร้าผักที่เหลือซึ่งวางอยู่ด้านข้าง ก่อนจะหันมารับคำ
“ครับ”
เมื่อทานอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว เมฆก็พาจงรักกลับ เขาต้องผ่านบ้านของเจ้ารุ่นน้องตัวเล็กก่อน จึงจะถึงบ้านเขาซึ่งมีปลายทางอยู่แถบชานเมือง ในรถเปิดวิทยุฟังเพลงเบาๆ คลอไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศและเครื่องยนต์ชวนให้คนอิ่มหนักหนังตาขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ทว่าขณะที่กำลังเคลิ้มจะหลับแหล่มิหลับแหล่ เสียงทุ้มของคนข้างกายก็ดังขึ้น
“หลับแล้วเหรอ”
“ยังครับ” จงรักตอบเสียงคางยานก่อนหันไปหา “มีอะไรเหรอครับ”
“เปล่าหรอก แค่คิดว่าใกล้จะถึงแล้วหรือเปล่า จากตรงนี้ถึงคอนโดนายพี่เข้าไปไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าซอยไหน” เมื่อได้ยินดังนั้นจงรักจึงหลับไม่ได้อีกเพราะต้องคอยบอกทางกระทั่งถึงที่หมาย คนตัวเล็กปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเมื่อรถจอดสนิทหน้าคอนโด เขารวบกระเป๋ากับเสื้อคลุมไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณสำหรับอาหาร แล้วก็ขอบคุณที่พามาส่ง พี่เมฆขับรถกลับดีๆ นะครับ”
“อืม ฉันก็ขอบใจที่นายไปกินข้าวเป็นเพื่อน”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่”
“เอาเถอะ ตามใจนาย” คนตัวโตไหวไหล่ ส่วนคนตัวเล็กก็ยิ้มรับ เมฆไม่ค่อยเข้าใจการแสดงท่าทางดีใจของจงรักเลยสักนิด ทั้งที่สถานะตอนนี้ก็ดูเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดา แต่เจ้าตัวกลับดูมีความสุขเสียเต็มประดา จนเขาอดรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ ทำไมถึงเป็นคนพอใจอะไรง่ายๆ อย่างนี้ก็ไม่รู้
“จงรัก” จงรักเปิดประตูเตรียมจะลงจากรถ แต่เมฆก็เรียกเอาไว้ก่อน
“ครับ?”
“ถ้ามีอะไร จะโทรมาก็ได้นะ ไม่ต้องส่งมาแต่ข้อความก็ได้” ไม่รู้ทำไมเขาถึงเอ่ยออกมาแบบนั้น หรืออาจเป็นเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้ากันแน่นะ อย่างเช่น ดวงตาระยิบระยับนั่นไง
“ได้เหรอครับ” ดูสิตาก็โตอยู่แล้วยังจะเบิกให้โตขึ้นได้อีก
“อืม” เมฆรักคำ พลางระบายยิ้มขำออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว คนตัวเล็กนิ่งค้างจังงังไปหลายวินาที ราวกับถูกรอยยิ้มที่แปรเปลี่ยนกระสุนสังหารยิงเข้ากลางอก
“ขะ…ขอบคุณครับพี่เมฆ” เอื้อยเอ่ยออกมาติดๆ ขัดๆ ก่อนจะก้มหัวเป็นการบอกลาแล้วลงมายืนข้างๆ รถ รอส่งคนตัวโตก่อนจะขึ้นคอนโด พอรถจะออกก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเคาะกระจกใสเร็วๆ คนข้างในจึงเลื่อนกระจกลง
“มีอะไรเหรอ”
“ฝันดีนะครับ” รวบรวมความกล้าบอกไปอย่างนั้นทั้งที่ตอนนี้รู้สึกถึงความร้อนที่ปะทุออกมาจากใบหน้า แต่เมื่อได้เห็นเมฆาพยักหน้ารับพร้อมยิ้มมุมปากน้อยๆ มันก็คุ้มในสิ่งที่ทำไป
รถสีขาวคันนั้นแล่นห่างออกไปไกลแล้ว แต่คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ยังหุบยิ้มไม่ได้ เหมือนอะไรๆ มันพลิกผันและเปลี่ยนไปจากชีวิตเดิมๆ ของเขามากเหลือเกิน เขารู้ว่าออกจะดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่ถ้าขอให้วันข้างหน้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงไม่มากไปใช่ไหม
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาต่อแล้วค่ะ!!
กว่าจะจบตอนได้ ปาดเหงื่อไปหลายรอบทีเดียว
ตรวจซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ตรงนั้นไม่ดี ตรงนี้ต้องแก้ ลบแล้วลบอีกมันเลยไม่จบสักที
ตอนนี้ดูเหมือนจะลงอาทิตย์ละตอน พยายามจะให้เร็วกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ช้าไปกว่านี้นะคะ
ดีใจที่มีคนอ่านแล้วก็เชียร์จงรักไปด้วยกัน
ส่วนเรื่องหนึ่งนทีนั้นเขาเป็นผู้ชายค่ะ คบกับเมฆมา 2 ปี บอกได้แค่นี้ ข้อมูลที่เหลือก็จะค่อยๆ ตามมาเรื่อยๆ ในเรื่อง ยังไงก็ฝากติดตามได้นะคะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^___^
pungjungza
[20/7/2557 ,20:41]