Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 131011 ครั้ง)

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบมากเลยค่ะ  o13  :L2:

ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อ่านแล้วรู้อยากเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่บ่งพร่องทางด้านร่างกายในด้านต่างๆมากๆเลย :L2: :กอด1: :L2:
จริงเราว่าการนำเอาปมด้อยหรือความไม่มั่นใจของคนอื่นมาล้อเลียนเนี่ย เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆเลยนะไม่ต้องถึงกับมีความบ่งพร่องทางร่างกายหรอก แค่ผิวดำกว่า อ้วนกว่า หรือไม่สวยตามพิมม์นิยม ก็ถูกยกมาล้อด้วยกันทั้งนั้น เราก็คนนึงที่เคยถูกล้อตั้งแต่เด็กๆทำให้เสียสูญเรื่องความมั่นใจในตัวเองไปซ่ะเยอะ แต่พอเราโตขึ้นเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้นมันก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบหรอก แต่เราดูดีและมั่นใจได้ในแบบที่เราเป็นต่างหาก :mew1:

ออฟไลน์ knxiiviii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สะดุดก็ตรงผมจะไม่เสียงดังนี่แหละ 555 เอาใจช่วยเนรันให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง :)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 22

ชีวิตของผมในช่วงปิดเทอม มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ โชคดีหน่อยที่พี่เนย์ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ และเราก็ยังคุยโทรศัพท์กันเหมือนเดิมทุกวัน ต่างกันก็แค่ช่วงนี้พี่เนย์ไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลหนักๆ เหมือนช่วงที่ผมกำลังสอบ ซึ่งเป็นช่วงที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญกับปัญหาเข้าพอดี
แถมเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสเจอกับพี่เอ้ที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ เนื่องจากรุ่นพี่สาวแสนใจดี เขามาเที่ยวกับเพื่อนที่ทำงาน โดยตอนนี้พี่เอ้ได้ถือโอกาสหั่นผมยาวๆของตัวเอง จนอยู่ในระดับที่มันสั้นปรกไหล่ เราสองคนเลยมีโอกาสได้คุยกันถึงเรื่องของพี่เนย์ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากที่ผมคิดนัก เพราะเธอเองก็ทราบสถานการณ์ของเพื่อนในกลุ่มเป็นอย่างดี ผมเลยพอจะเบาใจได้บ้าง  แต่ถึงอย่างนั้น พี่เอ้ก็มักจะย้ำเสมอว่า..
ผมคือคนสำคัญที่สามารถทำให้พี่เนย์สบายใจได้มากที่สุด

Rrrrrr

“นอนยัง?” เวลาสี่ทุ่มตรง พี่เนย์ก็โทรมาหาผมตามที่คาดไว้ ผมจึงรับสายอีกฝ่าย พลางนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง
“ยังครับ รอโทรศัพท์พี่อยู่” ผมตอบพลางลุกขึ้นไปปิดไฟ ก่อนจะเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองจนมิดถึงคอ

“วันศุกร์นี้ กูได้ข่าวว่าจะมีฝนดาวตก”
“ครับ” ผมรับคำ เพราะช่วงนี้ข่าวออกเกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์เยอะเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยสนใจ และไม่เคยจะตื่นขึ้นมาดูด้วย

“เรามาดูด้วยกันมั้ย?”
“ให้ผมขึ้นไปหาเหรอครับ?” ผมย้อนถาม พลางแอบอมยิ้มขณะที่คุยกับปลายสาย

“ไม่ เดี๋ยวกูไปหามึงเอง”
“ครับ วันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านด้วย..เพราะที่โรงแรมจัดงานสต๊าฟปาร์ตี้” ผมนิ่งเงียบพลางใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตอบรับอีกฝ่ายเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“พี่ว่า ผมพูดได้เป็นธรรมชาติขึ้น..หรือเปล่าครับ?” ผมตัดสินใจถามอีกฝ่าย เพราะช่วงนี้ผมลองสังเกตตัวเองแล้ว รู้สึกว่าผมมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก แถมบางทีก็สามารถพูดประโยคยาวๆได้คล่องปากแล้วด้วย
“อืม เดี๋ยวนี้เวลามึงพูด กูสามารถเดาสีหน้าของมึงได้จากน้ำเสียง” พี่เขาตอบพลางกลั้วหัวเราะ

“งั้นพี่ลองเดาหน่อยสิครับ..ว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้ายังไง?” ผมย้อนถาม
“มึงแอบยิ้ม เพราะเสียงมึงจะดูบีบๆ กูบอกไม่ถูก แต่กูรู้สึกได้ว่ามึงแอบยิ้ม” พี่เนย์พูดเหมือนมีตาทิพย์

“…” ผมอมยิ้มพลางนอนมองเพดานมืดๆในห้องเงียบๆ กระทั่งบทสนทนาต่อมาของอีกฝ่ายดังขึ้น
“แล้วก็ช่วงอาทิตย์ก่อน น้ำเสียงของมึงฟังดูเศร้าๆ เพราะมึงคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่กูเล่า แต่ตอนนี้กูโอเคขึ้นแล้วนะ เพราะวันก่อนจิตแพทย์ได้ให้ข้อคิดอะไรกูหลายๆอย่าง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า The best thing one can do when it's raining is to let it rain (by Henry Wadsworth Longfellow) มันกินใจกูมาก แล้วมันก็ทำให้กูย้อนคิดไปถึงมุมมองที่มึงเคยมอง กูถึงได้เข้าใจว่ามันยาก ที่เราจะปล่อยวางความรู้สึกที่มันติดค้างอยู่ในใจของเราได้”

“ใช่ครับ มันยาก แต่มันก็ไม่ยากไปกว่า..ความพยายามของเรา”
“มึงเป็นคนที่มีเสน่ห์มากเลยรู้มั้ยรัน ยิ่งรู้จัก กูก็ยิ่งตกหลุมรักมึงมากขึ้นทุกทีๆ”

“ต่อไปถ้าหากพี่ไม่สบายใจ พี่บอกผมได้เสมอเลยนะครับ..ผมสามารถสละเวลามาฟังความทุกข์ใจของพี่ได้..พี่ไม่ต้องกังวลว่าจะรบกวนผมหรอกครับ..โดยเฉพาะช่วงสอบ..พี่ก็สามารถเล่าให้ผมฟังได้นะ”
“อืม”

“พี่เนย์” ผมร้องเรียก เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เงียบหายไป
“…” ผมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง เมื่อคุยกันอยู่ดีๆ พี่เนย์ก็เผลอหลับไปซะได้ ซึ่งมันเป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว คงเพราะเจ้าตัวอาจจะเพลียจากการทำงาน ก็เลยทำให้เรามีเวลาพูดคุยกันน้อยลงกว่าแต่ก่อน เนื่องจากตอนนี้พี่เนย์เข้ามาลุยงานจนเต็มตัวแล้ว

“ฝันดีครับ”

สองวันมานี้ชลบุรีฝนตกบ่อยมาก ทำให้ผมได้นั่งดมกลิ่นไอดินแทบทั้งวัน เลยพอจะหายเบื่อได้บ้าง อีกอย่างกลิ่นดอกไม้หอมที่แม่ปลูกไว้ ก็พากันส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน จนผมเริ่มไม่อยากจะให้ถึงเวลาเปิดเรียนซะแล้ว แถมน้ำดื่มที่บ้านเดี๋ยวนี้ก็แทบจะกลายเป็นน้ำลอยดอกมะลิไปแล้ว เหตุเพราะคุณระพีเธอบอกว่าเวลาดื่มแล้วมันสดชื่นดี จนบางครั้งถ้าแม่หยุดงาน แม่ก็จะนั่งทำน้ำแข็งผสมดอกมะลิตามไอเดียในอินเตอร์เน็ตด้วย แถมในห้องรับแขกก็ยังมีน้ำลอยดอกมะลิวางตั้งเอาไว้บนโต๊ะด้วย แต่แม่ใช้ขันเงินแทนนะ เพราะกลัวเจ้าแชมเปญมันจะทำแตกเหมือนกับโหลปลากัดอีก

“พี่เนย์มาบ้านอีกที..ต้องช็อกแน่ๆเลยเนอะ” ผมก้มหน้าคุยกับเจ้าแชมเปญที่ถือโอกาสมานอนบนตักผมราวกับคุณชาย
“เหมี๊ยว” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคุณชายของบ่าวเขาดันฟังรู้เรื่องเฉยเลย

Rrrrr

“ว่า?” ผมรับสาย เมื่อเห็นว่าเป็นไอ้หมอกโทรมา
“เบื่อไอ้สัส ไม่รู้จะทำเหี้ยอะไรละ”

“เออ เหมือนกัน”
“มึงยังคุยกับแมวได้ แต่กูนี่ เขาไปทำงานกันหมด” ไอ้หมอกบ่นอุบ แถมดันเดาถูกด้วยว่าผมเหงาจนต้องพูดกับแมว

“ว่าแต่ไอ้คิน แม่งไปเดททุกวันเลยเหรอวะ”
“ไม่รู้ดิ กูไม่ค่อยได้เข้าเฟซ” ผมตอบ พลางเดินไปยืนมองฝนอยู่ตรงปากประตูบ้าน จากนั้นผมก็พิงทั้งตัวไว้กับขอบประตู ซึ่งถ้าหากแม่มาเห็น แม่ต้องดุผมแน่ ที่เปิดบ้านต้อนรับโจรขนาดนี้

“เออมึง แค่นี้นะ กูว่ากูนอนดีกว่า มีประโยชน์ที่สุดละ ตี๊ด---” ไอ้หมอกมันร่ายยาวเพียงแค่นั้น แล้วมันก็กดตัดสายไปทันที
แม่งมาเร็ว ไปเร็ว ยิ่งกว่าจรวดอีก

ผมจัดการล็อคประตูบ้าน และเดินกลับมานั่งที่โซฟาอีกครั้ง พลางตัดสินใจเปิดดูหน้าเฟซบุ๊กของพี่เนย์ เพื่อวิเคราะห์อย่างจริงๆจังๆอีกครั้ง ว่าที่ผ่านมา อีกฝ่ายเขารู้สึกและคิดเห็นแบบไหน เนื่องจากช่วงที่พี่เขาดาวน์ ผมก็แทบจะไม่มีเวลามาเปิดเฟซบุ๊กเล่นเลย เพราะช่วงนั้นผมกำลังสอบไฟนอล จนกระทั่งสอบเสร็จ ผมถึงได้มีโอกาสมาเปิดดู แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร แต่พอได้คุยกับพี่เอ้ ผมถึงได้ย้อนกลับมาคิดอีกครั้ง ว่าข้อความที่อีกฝ่ายโพสต์ มันหมายความว่ายังไง เพื่อนๆของพี่เขาถึงได้เป็นห่วงแบบนั้น

Akane Akarawin added 1 new photo
The way I see it, if you want the rainbow, you gotta put up with the rain (by Alan Watts)

ผมนั่งจ้องข้อความนั้นอยู่นานมาก เพราะผมไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร แต่แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เวลาที่พี่เขาสอนหรือให้กำลังใจผม พี่เขามักจะใช้ข้อความเปรียบเปรยที่ตัวเองชอบอ่าน ผมจึงเริ่มจับจุดได้ว่า ‘สายรุ้ง’ ในความคิดของพี่เนย์ก็อาจจะหมายถึงอาชีพนักจิตบำบัด ส่วน ‘สายฝน’ ก็น่าจะหมายถึงอุปสรรค ซึ่งก็มีอยู่เรื่องเดียว คือเรื่องของคนไข้คนนั้น

Akane Akarawin added 1 new photo
One can find so many pains when the rain is falling (by John Steinbeck )

ยิ่งผมตีความเข้าใจ ผมก็ยิ่งรู้สึกเศร้า และเข้าใจความรู้สึกของพี่เนย์ที่กำลังแบกรับชีวิตของคนๆหนึ่งไว้ จนกระทั่งทุกอย่างพังทลายลง ความเจ็บปวดจากการช่วยเหลือที่ล้มเหลว ก็ส่งผลให้ความรู้สึกแย่ๆ มันติดอยู่ในใจ จนทำให้ผมรู้สึกว่า ดีแล้วที่พี่เนย์เลือกที่จะขับรถมาหาผมในวันนั้น และผมก็เลือกที่จะโอบกอดพี่เขาไว้ โดยไม่ต้องพูด ไม่ต้องซักถามอะไร เพียงแค่โอบกอดให้แน่นๆ
นั่นคือสิ่งที่พี่เนย์กำลังต้องการ

Akane Akarawin added 1 new photo
Rainy days should be spent at home with a cup of tea and a good book (by Bill Watterson)

ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจกับข้อความนี้ที่พี่เขาเลือกมาโพสต์ เพราะเท่าที่ทราบ ‘ฝน’ ก็หมายถึงอุปสรรค แต่การอยู่ที่บ้าน แล้วดื่มชากับอ่านหนังสือดีๆสักเล่ม มันหมายถึงอะไร ผมนั่งครุ่นคิดอยู่นาน จนกระทั่งฉุกคิดไปถึงประโยคนึงที่พี่เขาเคยเอ่ยออกมาว่า ‘กว่าจะเสร็จงานศพ กูต้องคอยแต่ภาวนาให้มึงสอบเสร็จเร็วๆ กูจะได้รีบมาหามึง’
ถ้าอย่างนั้น บ้าน น้ำชา และหนังสือ ก็หมายถึงผมน่ะสิ

Akane Akarawin added 1 new photo
Let a smile be your umbrella on a rainy day. (by Jimmy Dorsey)

หลังจากอ่านข้อความในเฟซบุ๊กของพี่เนย์จบ ผมก็แทบไม่ต้องเดาให้มากความ เพราะมีใครหลายคนเคยบอกว่าผมยิ้มสวย และพี่เขาเองก็ชอบรอยยิ้มของผม ดังนั้นในข้อความนี้ ‘รอยยิ้ม’ ก็อาจจะหมายถึงผม และ ‘วันที่ฝนตก’ ก็ยังคงจะหมายถึงอุปสรรค และเมื่อคิดรวมไปกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูด ในทำนองที่ว่า อยากจะเจอผมเร็วๆ ดังนั้น ‘ร่ม’ ก็คงจะหมายถึงอีกไม่นาน เราก็จะได้เจอกัน และวันนั้นรอยยิ้มอย่างผม ก็จะสามารถปกป้องพี่เขาจากสายฝนได้

จู่ๆผมร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะผมสามารถตีความจากข้อความของพี่เขาได้ จึงทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ต่างกับตอนแรกที่ผมยังคิดอะไรตื้นๆ จนส่งผลให้พี่เขาดาวน์หนักขึ้นเรื่อยๆ บวกกับสถานการณ์ในตอนนั้น ผมกำลังอยู่ในช่วงสอบไฟนอล เราก็เลยได้คุยโทรศัพท์กันไม่นานเท่าไหร่ และผมเองก็ยุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือ จนทำให้ไม่มีเวลาคิดไปถึงเรื่องอื่น

ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่คิดว่าพี่เนย์จะเป็นคนที่เข้าใจยาก แต่พอได้พบกับเหตุการณ์นี้ ผมกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อน และก็มักจะชอบการเปรียบเปรยอยู่เสมอ
ดังนั้นโอกาสที่ผมจะไม่เข้าใจอีกฝ่ายก็ย่อมมีสูง

ผมนอนอ่านข้อความที่พี่เนย์โพสต์ จนกระทั่งเผลอหลับไปทั้งน้ำตาเปื้อนแก้ม รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โทรศัพท์มันสั่นอยู่ข้างๆตัว ซึ่งพอรับสาย อีกฝ่ายก็รีบบอกจุดประสงค์ของตัวเองก่อนที่สายจะตัดไป ผมจึงเดินไปเปิดประตูบ้าน ให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของนัด สำหรับกิจกรรมดูฝนดาวตกในคืนนี้

“มึงกินอะไรหรือยัง กูซื้อมาเผื่อ” ผมส่ายหน้า พลางเดินไปเปิดไฟให้ความสว่าง เพราะทั้งบ้านมืดสนิท เนื่องจากเวลานี้หกโมงเย็นแล้ว
“งั้นเดี๋ยวกูเอาไปจัดการในครัวก่อน วันนี้กูซื้อต้มยำไก่บ้าน กับข้าวเปล่ามาแค่สองถุง เพราะกูกลัวมึงจะกินข้าวแล้ว ก็เลยไม่ได้ซื้อมาหลายๆอย่าง” ผมเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในครัว พลางยืนกอดอกมองหนุ่มกรุงเทพที่ดูจะชำนาญที่ทางในบ้านของผมเสียเหลือเกิน

“เขาบอกว่ากอดแบบนี้ จะทำให้คนถูกกอดรู้สึกเหมือนโดนปกป้อง” ผมเดินเข้าไปหาพี่เนย์ที่กำลังเทต้มยำใส่ถ้วย และเทข้าวสวยหนึ่งถุงลงในจานใบหนึ่ง และข้าวสวยจากอีกหนึ่งถุงก็แบ่งใส่ในจานข้างๆ โดยที่ผมก็โอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง พลางเอาหน้าซุกแผ่นหลังกว้างของพี่เขาไว้
“มึงหลอกกอดกูป่ะเนี่ย ปล่อยเลย เร็วๆ กูหิวข้าว” พี่เนย์ตีมือผมเบาๆ ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้ม และยอมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ กระทั่งพี่เขายื่นจานข้าวใบหนึ่งมาให้ผมถือ ผมถึงได้เห็นว่า สองข้างแก้มของพี่เนย์กำลังแดงก่ำ

“พี่เขินผม” ผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะกระจกตรงห้องรับแขก พลางทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเอ่ยปากล้ออีกฝ่ายขึ้นมา
“กูขอแนะนำนะรัน ถ้ามึงไม่อยาก อดกินข้าว แล้วก็ไม่อยาก อดดูฝนดาวตก มึงก็รีบก้มหน้ากินข้าวของมึงไปเลย” พี่เนย์จ้วงข้าวคำใหญ่เข้าปาก พลางดุผม พร้อมเอาช้อนชี้หน้ากำกับด้วย จนผมต้องยอมทำตามอีกฝ่าย แต่ก็ไม่วายจะแอบอมยิ้ม เพราะการกระทำของผมเมื่อครู่ อีกฝ่ายเขารับรู้มันได้ แต่กำลังทำฟอร์มไม่เข้าใจ เพราะความเก้อเขิน

“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำให้นะครับ” ผมว่าพลางลุกเดินกลับเข้าไปในครัว เพราะคาดว่าตัวเองคงจะหยุดยิ้มไม่ได้ และมันก็อาจจะทำให้ตัวเองต้องลำบากในอนาคต

“น้ำลอยดอกมะลิเหรอวะ?” พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม หลังจากดื่มแก้กระหายไปอึกใหญ่
“ครับ ช่วงนี้มะลิออกดอกเยอะ..แม่เลยเอามาลอยน้ำกิน..แล้วก็เอามาทำน้ำแข็ง..ขนาดในห้องรับแขกยังมีน้ำลอยดอกมะลิตั้งเอาไว้เลยครับ” พี่เนย์พยักหน้าในทำนองว่าเข้าใจ เพราะเจ้าตัวเป็นคนเคลื่อนย้ายขันใส่น้ำลอยดอกมะลิ ที่แม่ทำไว้ เพื่อให้เวลาที่เราเปิดแอร์ มันจะได้ส่งกลิ่นหอมกระจายจนทั่วบ้าน

“แม่มึงปลูกไว้ข้างบ้านใช่ป่ะ”
“หลังบ้านด้วยครับ ตอนเราดูฝนดาวตก..น่าจะได้กลิ่นดอกไม้หลายชนิดอยู่นะ..เพราะว่าแม่เพิ่งจะให้พ่อเอาไม้หอมมาปลูกเมื่อช่วงกลางปีนี้เองครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม เมื่อพูดถึงพ่อกับแม่ ฝ่ายพี่เนย์ก็ส่งยิ้มมาให้ผมด้วย คล้ายกับเจ้าตัวเขามีความสุขไปกับเรื่องที่ผมกำลังเล่า

“งั้นกูไปเดินเล่นข้างนอกนะ” หลังจากทานข้าวจนหมด เราสองคนก็ช่วยกันขนจานชามและแก้วมาวางไว้ที่อ่างล้างจาน โดยผมเป็นฝ่ายอาสาจะล้างด้วยตัวเอง พี่เขาก็เลยขอตัวออกไปเดินเล่นข้างนอก กระทั่งผมล้างจานเสร็จก็เดินตามอีกฝ่ายไป โดยมีเจ้าแชมเปญคอยเกาะติดไม่ห่าง
“ฝนดาวตก เขาว่ามีตอนห้าทุ่ม..เราไปนอนกันก่อนไม่ดีเหรอครับ” ผมถามพี่เนย์ที่กำลังเดินก้มหน้าดมดอกไม้แต่ละชนิด คล้ายกับอีกฝ่ายเขากำลังสงสัยว่า กลิ่นหอมต่างๆ ที่ลอยตลบอบอวล หลังจากฝนเพิ่งหยุดไปเมื่อช่วงเย็นนั้น มันคือกลิ่นของดอกอะไร

“กูไม่ตื่นแน่ๆ” พี่เนย์ส่ายหัว พลางย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง
“แสดงว่าพี่ก็ไม่เคยตื่นมาดูฝนดาวตก..เหมือนกันเหรอครับ?” ผมย้อนถาม

“อืม”

“แม่ผมชอบดอกแก้วเจ้าจอมกับมะลิ..เพราะมันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ..ส่วนพ่อชอบดอกชมนาด..เพราะมันส่งกลิ่นหอมตอนช่วงพลบค่ำจนถึงเช้า..พ่อเลยมักจะได้กลิ่นของมันบ่อยๆ..ท่านเลยชอบบอกผมว่ากลิ่นดอกชมนาด..ทำให้ท่านหายเหนื่อยจากงาน”
“แล้วมึงชอบดอกอะไร?” พี่เนย์หันมาถามผมที่กำลังเล่าไปยิ้มไป

“ผมไม่มีดอกไม้ที่ชอบเป็นพิเศษ..เพราะผมชอบแค่กลิ่นดินตอนฝนตก..แต่วันนี้ผมคิดว่าผมชอบกลิ่นหอมของดอกไม้..ตอนที่ฝนกำลังตกด้วย”
“แล้วพี่เนย์ล่ะครับ ชอบดอกอะไร?” ผมย้อนถามขึ้นมาบ้าง

“กูไม่มีดอกอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายตอบพลางโคลงหัวไปมา ก่อนจะเดินย่ำผืนหญ้าชื้นๆ ไปเรื่อยๆ
“แต่ตอนนี้กูคิดว่ากูชอบดอกไม้ทุกดอกที่บ้านมึง”

“เพราะอะไรครับ?”
“เพราะมันทำให้กูรู้สึกหายเหนื่อย เหมือนอย่างที่คุณพ่อท่านว่าจริงๆนั่นแหละ” พี่เนย์ตอบพลางยกยิ้ม จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นกันเกรา ที่เราเคยไปนั่งด้วยการตอนช่วงปิดเทอม

“แชมเปญมันติดมึงจริงๆ” พี่เนย์พูดพลางเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าแมวอ้วนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มบนโต๊ะม้าหินอ่อน
“มันอ้อนพี่ใหญ่เลย” ผมว่าพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเจ้าแมวอ้วนมันเอาหัวไปถูไถกับฝ่ามือของพี่เนย์ที่เลื่อนกลับมาวางประสานกัน ตรงหน้าของเจ้าตัว

“ผมเข้าใจพี่เนย์แล้วนะครับ..เรื่องข้อความในเฟซบุ๊ก” ผมพูดขึ้น หลังจากที่เราต่างคนต่างก็นั่งข้างกันเงียบๆ
“อืม”

“ผมขอโทษนะครับ..ที่ผมโง่ไปนิด..ก็เลยตีความสิ่งที่พี่เนย์..กำลังรู้สึกในตอนนั้นไม่ออก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงติดสั่น
“ไม่เป็นไร มึงไม่ต้องรู้สึกแย่ตามกูหรอก อีกอย่างตอนนี้กูก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”

“ผมแค่รู้สึกไม่ดี ที่ปล่อยพี่ไว้คนเดียว..ในเวลาแบบนั้น” ผมพูดพลางร้องไห้ออกมาจนได้ ผมเลยต้องรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเอง เพราะผมไม่ได้อยากจะแสดงด้านที่อ่อนแอให้พี่เขาเห็น ทั้งๆที่เจ้าตัวเขาเพิ่งจะผ่านช่วงเวลาที่อ่อนแอมาหมาดๆ
“รันมึงไม่ได้ทิ้งกู ตอนนั้นมึงแค่มีความจำเป็นที่สำคัญมากๆ มึงถึงต้องมุ่งโฟกัสไปที่จุดนั้น แต่พอเรากลับมาติดต่อกันเหมือนเดิม
น้ำเสียงของมึง มันก็แสดงออกทุกครั้ง ว่ามึงเป็นห่วงกู และมันก็ทำให้กูรู้สึกดีมากๆ” พี่เขาพูดพลางโน้มใบหน้าของผมให้ไปซบลงตรงลาดไหล่ของตัวเอง

“ครั้งต่อไป..พี่ต้องบอกผมตรงๆนะ..ผมเป็นผู้ฟังที่ดี พี่ก็รู้”
“อืม”

“จริงๆแล้ว มึงไม่ใช่คนแรกที่ไม่เข้าใจความคิดของกูหรอก”
“…”

“มึงเคยสงสัยใช่มั้ย ว่าทำไมกูที่ดีกับมึงขนาดนั้น ถึงยังเป็นโสดจนกระทั่งได้มาเจอกับมึง คำตอบของคำถามนั้น ก็คือสิ่งที่ทำให้มึงต้องร้องไห้ในวันนี้”
“กูเป็นคนเข้าใจยาก ในแง่ของการใช้ความคิดเพื่อสื่อสารกับตัวเอง หลายๆคนก็เลยเข้าไม่ถึงตัวตนของกู มันเลยนำไปสู่การไม่เข้าใจกัน และสุดท้ายก็จบลงที่การทะเลาะกัน”

“อย่างเช่นข้อความพวกนั้น หากคนอื่นได้อ่าน เขาก็จะตีความแบบตรงตัว แต่ถ้าคนที่เข้าใจพี่ เขาก็จะตีความในลักษณะที่มันลึกซึ้งมากกว่านั้น ซึ่งก็มีแค่เพื่อนของพี่ที่เรียนจิตวิทยามาด้วยกัน แล้วก็เพิ่งจะมีรันเพิ่มเข้ามาอีกคน พี่ถึงได้บอกว่าไม่เคยมีใครมาเป็นห่วง หรือว่ามาคอยสนใจว่าพี่ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เพราะเขาไม่ได้ช่างสังเกตุเหมือนมึง”
“เอาจริงๆ ถ้าหากไม่ได้พี่เอ้..ผมก็คงยังไม่เข้าใจพี่หรอกครับ..เพราะฉะนั้นเรามาเดินกันคนละครึ่งทาง..เหมือนตอนที่พี่สอนผม..ดีกว่าไหมครับ”

“กูจะพยายามนะรัน ดีแล้วที่มึงพูดกับกูตรงๆ เพราะมันทำให้กูรู้ว่า ต่อไปกูควรจะต้องปรับ ต้องจูนให้เราเข้าใจตรงกันด้วยวิธีไหน” พี่เนย์ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใส จนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามอีกฝ่าย กระทั่งเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ผมก็อาสาเข้าไปเอาผ้าใบพลาสติกที่ใช้สำหรับปิกนิกในสวนสาธารณะ เพื่อเอามาปูรองนอน ระหว่างรอเวลาที่ฝนดาวตกจะปรากฏตัว
“มึงอุ้มแชมเปญไว้ด้วย เดี๋ยวมันเตะยากันยุงล้มล่ะยุ่งเลย” พี่เนย์พูดพลางวางขวดแก้วที่มียากันยุงห้อยอยู่บนนั้น ลงบนเก้าอี้ตัวเล็กที่ใช้สำหรับนั่งซักผ้า จากนั้นอีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนั่งบนผ้าใบพลาสติกผืนเดียวกัน ขณะที่กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้หลากหลายชนิด ก็ยังคงล่องลอยไปตามสายลมอยู่ตลอดเวลา เคล้าด้วยเสียงของจิ้งหรีดเรไร ที่กำลังร้องระงม
ราวกับตื่นเต้นไปกับกิจกรรมที่เราสองคนกำลังรอคอย

เวลาห้าทุ่มตรงตามตารางการเกิดฝนดาวตก ท้องฟ้าเบื้องบนไร้เมฆหมอกบังตา อีกทั้งแสงจันทร์ก็ไม่ได้สว่างไสวมากมายนัก ส่งผลให้ดวงดาวน้อยใหญ่พากันอวดโฉมอยู่บนนั้น กระทั่งลำแสงสีขาว ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเคลื่อนผ่าน สายตาของผมก็จดจ้องไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเกิดลำแสงใหม่ สายตาของผมก็เริ่มโฟกัสไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างตื่นตาตื่นใจ 

“ขอบคุณนะรัน ที่ยอมให้พี่ได้อ่อนแอบ้าง”
“พี่ก็คนนะครับ ไม่ใช่หุ่นยนต์สักหน่อย” ผมหันไปหาอีกฝ่าย จึงทำให้รู้ว่าโฟกัสทางสายตาของเราไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกัน จากนั้นจึงตอบคำถามของพี่เนย์อย่างติดตลก พลางยกยิ้มให้พี่เขาอุ่นใจ เพราะผมไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเรื่องที่พี่เขาพูดอยู่แล้ว ในเมื่อผมเข้าใจดีว่า คนเรามันก็ต้องมีช่วงเวลาที่อ่อนแอกันทุกคนนั่นแหละ

“หึ” พี่เนย์หลุดขำออกมาเบาๆ จากนั้นสายตาของอีกฝ่ายก็เลื่อนขึ้นไปจ้องมองฝนดาวตกบนฟากฟ้า ที่ยิ่งดึกก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที ขณะที่ผมก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถกันบ้าง เพราะการกอดแชมเปญนานๆ ทั้งๆที่มันหลับปุ๋ยไปแล้ว ส่งผลให้แขนของผมมันชายุบยิบไปหมด ผมจึงค่อยๆ ดึงแขนซ้ายมาวางบนผืนผ้าใบตรงพื้นที่ว่างๆ
แต่แล้ว ปลายนิ้วก้อยของใครอีกคน ก็แตะลงบนปลายนิ้วก้อยของผมเพียงเล็กน้อย ผมจึงหันไปมองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ เลยเห็นว่าพี่เขากำลังจ้องมองฝนดาวตกด้วยใบหน้าของเด็กชายอาคเนย์ ที่กำลังปรากฏรอยยิ้มอันสดใส ขณะที่ปลายนิ้วของเรากำลังเกาะเกี่ยวกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมจึงเหลือบมองกลับมายังฝ่ามือของเรา พร้อมยิ้มบางๆกับตัวเองคนเดียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองยังฝนดาวตกบนฟากฟ้า
โดยไม่คิดแม้แต่จะดึงมือออกห่าง จากความอบอุ่นเพียงเสี้ยวเดียวที่ได้รับ


----------------------------------------------
[edit 26/12/2017 แก้คำตกหล่น]
ประกาศนะคะ ช่วงนี้คอมจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลยค่ะ ถ้าหายไปนานๆ คือคอมซ่อมนะคะ ตอนนี้มันกำลังโกงความตายอยู่ 555
สำหรับตอนที่เราแอบทิ้งปมไว้เล็กๆ ก็มาขยายกันที่ตอนนี้สักหน่อย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ พี่เนย์เป็นคนจริงจัง ก็เลยรู้สึกแย่ ที่ช่วยคนไข้คนนั้นไม่ได้ อีกทั้งเค้ายังจากตาย ไม่ได้จากเป็นด้วย ก็เลยอาการหนักนิดหน่อย น้องก็อยู่ห่างไกล แถมยังสอบไฟนอลครั้งสำคัญอีก แล้วยังเป็นคนเข้าใจยากอีก 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2017 14:47:07 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น้องรันเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจอ่ะ อิจพี่เนย์

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ปลื้ม เข้าใจกันมากขึ้นเรื่อยๆเนอะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ gemgems

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นกำลังใจให้พี่เนย์อีกแรงนะคะ พี่เนย์เก่งอยู่แล้ว แล้วยังได้กำลังใจดีๆอีก  :-[

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :katai5: มารอจ้ะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 23

หลังจากดูฝนดาวตกด้วยกันในคืนนั้น พวกเราก็มีโอกาสได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนไข้ผู้ล่วงลับ จากนั้นผมก็ไม่ได้เจอหน้าพี่เนย์อีกเลย จนกระทั่งเปิดเรียน เนื่องจากอีกฝ่ายต้องเตรียมงานสัมมนาเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นกิจกรรมของทางโรงพยาบาล จึงส่งผลให้พี่เขาไม่ทราบข่าวดีบางอย่างของผม
เพราะทุกครั้งที่เราคุยโทรศัพท์กัน ผมมักจะทำตัวเหมือนปกติ

ดังนั้นการเปิดเรียนในคราวนี้ นอกจากผมจะกลายเป็นรุ่นพี่ชั้นปีที่สามแล้ว ผมยังกลับมาพร้อมกับความแปลกใหม่อีกอย่าง ที่ทำให้ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ และรุ่นน้อง ต่างพากันตื่นเต้นเสียยกใหญ่ แต่กลุ่มคนที่ออกอาการมากที่สุด ก็เห็นจะหนีไม่พ้นพวกไอ้หมอก ไอ้คิน ไอ้มอส ไอ้เชษฐ์ และสามสาวจากคณะบัญชี รวมไปถึงสายรหัสของผม และสายรหัสของเพื่อนทั้งสองคน ที่เฝ้ามองพัฒนาการของผมมาเนิ่นนาน
จนในที่สุด ความพยายามมันก็ส่งผลเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ

“เจอกันที่ห้องเว้ย” ผมวาดขาลงจากรถจักรยานของไอ้หมอก เมื่อมันจอดเทียบท่าตรงหน้าคาเฟ่ อันเป็นที่นัดหมายของผมกับพี่เนย์ที่วันนี้แวะมาทำเรื่องจบการศึกษา พลางบอกกล่าวไอ้เพื่อนซี้ตัวดีทั้งสอง ที่มีแพลนจะไปเดินเล่นที่ตลาดนัดในมอ ก่อนจะไปนั่งจับกลุ่มตรงสนามหญ้าหน้าหอพยาบาล อันเป็นกิจกรรมที่พวกผมกับสามสาวจากคณะบัญชีชอบทำ ในวันสุดท้ายของการเรียนในสัปดาห์นั้น
“เออๆ แต่ถ้ามึงเปลี่ยนใจจะตามมา มึงก็ลองโทรหากูก่อนนะเว้ย” ไอ้คินพูดเตือนอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะในแต่ละอาทิตย์ แพลนเตร็ดเตร่ของพวกเรา ก็จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว

“โอเค” ผมตอบพลางทำมือเป็นสัญลักษณ์ที่ทราบกันดีตามคำพูดที่ผมเพิ่งจะพูดออกไป จากนั้นผมก็ก้าวเดินเข้าไปภายในร้าน ที่ตอนนี้มีการขยายต่อเติมออกไปเยอะมาก
“รอนานมั้ยครับ?” เมื่อมองหาอีกฝ่ายจนพบ ผมก็รีบเดินเข้าไปหา พลางถามและยกยิ้มให้อีกคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับด้านจิตวิทยาเงียบๆ พร้อมกับถอดกระเป๋าสะพายข้าง วางไว้บนโต๊ะ และทิ้งตัวลงนั่งทางฝั่งตรงข้าม ที่มีแก้วบลูเลม่อน ที่น้ำแข็งยังไม่ทันจะละลายวางเสิร์ฟอยู่ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า นักจิตบำบัดตรงหน้า เขากะเวลาในการมาถึงของผมได้ดีแค่ไหน

“ไม่หรอก” พี่เขาตอบพลางปิดหนังสือเล่มดังกล่าว
“เดี๋ยวนี้พี่ดื่มกาแฟแบบนี้ด้วยเหรอครับ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นบนโต๊ะมีที่ชงกาแฟประเภทหนึ่งวางตั้งอยู่ ซึ่งด้านบนของที่ชงกาแฟชนิดนี้ จะเป็นโถบรรจุน้ำแข็งและน้ำเย็น ขณะที่ส่วนกลางจะเป็นกระบอกสำหรับใส่กาแฟบด ส่วนด้านล่างคือเหยือกสำหรับใส่กาแฟที่ผ่านการสกัดมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายชั่วโมง

“กูไม่ได้สั่งกาแฟ นี่มันชาอาร์ติโชคแบบ cold drip พอดีทางร้านเขาแนะนำ กูก็เลยลองดู แก้เบื่อดี” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย ว่ามันแก้เบื่อได้ยังไง
“ก็เวลาที่กูอ่านหนังสือเบื่อๆ พอลองเปลี่ยนมานั่งมองชาค่อยๆหยดลงในเหยือกทีละหยดสองหยด มันก็เพลินดีออก กูว่าตอนมึงอ่านหนังสือเตรียมสอบ มึงจะลองดูก็ได้นะ มันน่าจะเป็นการพักผ่อนสมองที่โอเคอยู่” ผมอมยิ้ม พลางนั่งจ้องหยดน้ำสีน้ำตาลอ่อน ที่ค่อยๆตกกระทบลงสู่เบื้องล่าง จนเกิดการสะท้อนของผิวน้ำในวงกว้าง ขณะที่ปากก็คาบหลอดสีขาวเพื่อดูดน้ำสีฟ้าสดอยู่หลายอึก

“เอ้อ ผมว่าจะถามพี่ แต่ก็ลืมไปเลย” พอผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก็พบว่าพี่เขากำลังมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว
“ว่า?” พี่เนย์เลิกคิ้วถาม พลางยกแก้วชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง

“เพื่อนพี่กลับกันหมดแล้วเหรอครับ?”
“อืม” พี่เนย์พยักหน้าพลางส่งเสียงตอบรับในลำคอ จากนั้นอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของตัวเองต่อ ผมเลยนั่งมองน้ำชาค่อยๆหยดลงในเหยือกต่อไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะเห็นด้วยกับคำพูดของพี่เนย์แล้วว่า การนั่งมองเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ มันกลับเพลิดเพลินจนทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่าที่คิด

“อ้าวเฮ้ย! ไอ้รัน! มานี่หน่อย” ผมหันไปมองทางต้นเสียง พบว่าเป็นไอ้มอสที่เข้ามาซื้อเครื่องดื่ม พร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งที่ผมมองหน้าไม่ชัด และถ้าหากจำไม่ผิด ครั้งล่าสุดที่ผมเจอมัน ก็คือที่โรงอาหารกลางตอนช่วงเปิดเทอมอาทิตย์แรกๆ มันเลยได้มีโอกาสทราบความเปลี่ยนแปลงของผมด้วย จากนั้นก็ได้มันนี่แหละ ที่เป็นคนคาบข่าวไปบอกไอ้เชษฐ์ที่หายหัวไปไม่บอกไม่กล่าว
“อ้าว ไอ้เชษฐ์! ทำไมมึงหายหน้าหายตาไปเลยวะ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้เชษฐ์ พลางถามไถ่ด้วยความยินดี เพราะหลังจากวันที่มันส่งแชทมาแสดงความยินดี เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย

“เรียนหนักว่ะมึง กูเลยแวะมาหาเพื่อนแก้เครียด” ไอ้มนุษย์ผู้หลงใหลแมววิเชียรมาศ เอ่ยพร้อมกับยิ้มบางๆอย่างเหนื่อยอ่อน
“พอกันเลยว่ะ กูก็ใกล้จะแย่ละ นี่ขนาดแค่เพิ่งเริ่มเรียนภาษามือด้านการแพทย์ไปนะมึง กูยังเกือบตาย” ผมบ่นอุบ ทำเอาไอ้หมอตัวจริงถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ เพราะมันคงเข้าใจดีว่า ภาษาทางการแพทย์แม่งโคตรของโคตรงานหินจริงๆ

“แล้วนี่มึงจะกลับมอวันไหน?”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็กลับแล้ว” พอมันไขข้อข้องใจจบ ผมก็พยักหน้ารับ พลางหันไปมองคนตรงหน้า

“เออ แล้วนี่มึงยังต้องเรียนคหกรรมอยู่ป่ะ?” ไอ้มอสเอ่ยถามขึ้นบ้าง ท่าทางมันจะติดใจกิจกรรมขายของในคาบคหกรรมของผมจริงๆ เพราะถ้าให้พูดตรงๆ ก็มันนี่แหละ ที่มีส่วนช่วยในการขายของ ยิ่งคาบไหนต้องไปขายที่ตึกนิเทศ คาบนั้นผมแทบจะนั่งเอ้อระเหยเลยก็ได้ เพราะไอ้นี่แม่งรู้จักคนเยอะจริงๆ ไม่ว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมา กี่คนต่อกี่คน ไอ้มอสแม่งก็เรียกเขามาเสียเงินกันหมด
แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ งานคหกรรมของกลุ่มผม แม่งก็ขายดีจนเกลี้ยงถาดเลย

“ไม่มีแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ตัวหินๆของกูทั้งนั้นแหละ”
“กูก็ด้วยเว้ย ช่วงนี้เข้าห้องอัดเสียง เข้าสตูเป็นว่าเล่น มึงดูตากู หมีแพนด้าถามหาไหมล่ะ สาดดดด เวลานอนนี่กูแทบจะนับชั่วโมงได้เลยเว้ย” ไอ้มอสว่า พลางชี้ใต้ตาอันดำคล้ำของตัวเอง

“แต่กูว่าถึงมึงจะนอนจนเต็มอิ่ม มึงก็ยังเหมือนหมีแพนด้าอยู่ดีนะเว้ย” ผมพูดพลางหันไปมองหน้ากับไอ้เชษฐ์อย่างรู้กันดี ว่าไอ้เพื่อนต่างคณะ มันมีใต้ตาอันดำคล้ำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“ไอ้รัน มึงนี่แม่งเล่นกูแล้วไง” ไอ้มอสบ่นอุบ เพราะมันมักจะถูกเพื่อนเรียกด้วยฉายาหมีแพนด้าบ่อยๆ ซึ่งมันไม่ค่อยชอบ บ่นแต่ว่าฉายาเชี่ยไร ไม่เท่ ไม่เร้าใจ สักนิด
สงสัยมันจะทำงานจนเป็นบ้านะผมว่า

“ขอโทษคร๊าบบบ” ผมแกล้งโน้มตัวจนเกือบจะชิดโต๊ะ พลางลากเสียงยานคางใส่พวกมัน

“กูบอกแล้วว่าไอ้นี่มันร้าย” ไอ้เชษฐ์แกล้งป้องปากคุยกับไอ้มอส คล้ายกับผมจะไม่มีทางได้ยินในสิ่งที่มันพูด
“เออ กูเชื่อ” ด้วยความที่สนิทกันมากขึ้นแล้ว ผมเลยกล้าเอาเท้าเตะหน้าแข้งของมันสองคนโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้มากความ

“ถึงคิวกูแล้วว่ะ แยกย้ายๆ ไว้เจอกันเมื่อบังเอิญแล้วกันมึง” ไอ้มอสมันว่า พร้อมกับคว้าเครื่องเรียกคิวขึ้นมาชูตรงหน้าผม จากนั้นมันก็เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ ผมจึงลุกเปิดทางให้ไอ้เชษฐ์ ก่อนจะร่ำลากันเล็กน้อย ถึงค่อยกลับมานั่งที่โต๊ะกับพี่เนย์ตามเดิม

“เป็นอะไรครับ?” ผมถามพลางยกยิ้มแป้นใส่คนที่กำลังมองจ้องผมไม่วางตา
“มึง..”

“ครับ?” ผมแกล้งเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง คล้ายกับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าพี่เขากำลังตกใจในเรื่องอะไร
“เมื่อกี้มึงพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงปกติเลยรัน แถมมึงยังไม่พูดติดๆขัดๆเหมือนกับตอนช่วงปิดเทอมแล้วด้วย นี่มึง.. หายแล้ว?” พี่เนย์เอื้อมมาจับมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางยกยิ้มแบบตลกๆ จนผมยังอดจะขำไม่ได้

“ผมทำมันสำเร็จตอนที่พี่ติดสัมมนานั่นแหละครับ แต่ที่พี่ไม่รู้ เพราะผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะบอกข่าวดีกับพี่ด้วยตัวเอง” ผมยกยิ้มจนตากลายเป็นเส้นตรงจำนวนสองเส้น พลางไล้ปลายนิ้วโป้งกับหลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ เพราะดูท่าทางพี่เนย์จะยังเซอร์ไพร์สไม่หาย
“พี่ไม่โกรธใช่มั้ยครับ ที่ผมไม่ได้บอกพี่เป็นคนแรก?” ผมย้อนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“กูจะโกรธมึงทำบ้าอะไร พูดเหมือนไม่รู้จักนิสัยกู” พี่เนย์เลื่อนมือออกจากการกอบกุม จากนั้นอีกฝ่ายก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นดีดตรงหน้าผากของผม จนเสียงดังลั่นเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ เวลาที่ผมชอบพูดอะไรไม่เข้าท่า
“เพราะรู้ ถึงได้ถามไงครับ” ผมย่นจมูกพลางยกยิ้ม พร้อมกับลูบหน้าผากตรงบริเวณที่บาดเจ็บไปด้วย

“หึ ไปคอนโดกูมั้ย เดี๋ยววันอาทิตย์กูมาส่ง” พี่เนย์ท้าวคางพลางมองมาที่ผม ก่อนจะหลุดขำออกมาเพียงครู่ แล้วจู่ๆอีกฝ่ายก็ถือโอกาสชักชวนผมไปที่คอนโดของตัวเองเฉย
“นึกยังไงถึงได้ชวนผมไปครับ?” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่เปิดเรียนมา อีกฝ่ายไม่เคยชวนผมไปที่คอนโดสักครั้ง

“เพราะมึงทำสำเร็จมั้ง กูเลยคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้ว” อีกฝ่ายพูดขึ้น พลางอมยิ้มในลักษณะที่เข้าใจอยู่คนเดียว เพราะการที่ผมกลับมาพูดได้จนเป็นปกติ มันมาเกี่ยวข้องกับการถูกเชิญไปที่คอนโดในครั้งนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้
“ยิ่งพูดยิ่งงงนะครับ” ผมพูดพลางหัวเราะ จากนั้นพี่เนย์ก็ออกปากให้รีบเตรียมตัว จะได้ไปถึงที่คอนโดไม่ดึกมากนัก ผมเลยถือโอกาสไปเข้าห้องน้ำ และโทรบอกเพื่อนสนิทด้วยว่า..
วันนี้ผมถูกว่าที่บัณฑิตเขาลักพาตัวไปกรุงเทพ

ในระหว่างการเดินทาง ด้วยความที่แอร์มันเย็นฉ่ำ อีกทั้งสารถีเจ้าประจำ ยังเปิดเพลงเบาๆคลอไปด้วย ผู้ร่วมเดินทางอย่างผม จึงนั่งสัปหงกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบางครั้งก็เผลอเอาหัวไปโขกกระจก จนเรียกเสียงหัวเราะจากพี่อาคเนย์ได้เป็นอย่างดี ผมเลยต้องขยับหัวมาพิงเบาะด้วยสภาพเอียงกระเท่เร่จนปวดคอ

“เหนื่อยเหรอวะ มึงหลับได้หมดสภาพมาก” พี่เนย์ลงจากรถพร้อมกับเดินอ้อมมาปลุกผม ที่ถึงแม้จะตื่นแล้ว แต่ก็ยังงัวเงียจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ก็นิดหน่อยครับ” ผมตอบพลางลูบหน้าลูบตาจนบิดเบี้ยว

“งั้นมาล้างหน้าก่อน” พี่เนย์เดินไปเปิดประตูด้านหลัง พร้อมกับหยิบขวดน้ำมายื่นให้
“พี่ล้างให้หน่อย” ผมถือโอกาสอ้อนอีกฝ่าย ทำเอาพี่เขายกยิ้มพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงปากประตูด้านที่ผมนั่ง ผมจึงค่อยๆโน้มตัวออกไปด้านนอกรถ ไม่นานสัมผัสเย็นๆ ของน้ำ ก็ปกคลุมไปทั่วใบหน้า พร้อมๆ กับความอบอุ่นจากฝ่ามือของพี่เนย์
“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่าย พลางลุกออกมาจากตัวรถ และยืนมองพี่เขากำลังมุดตัวเอาขวดน้ำเข้าไปเก็บที่เบาะหลังตามเดิม
“ว่า?” เจ้าของรถเขาปิดประตู พลางล็อครถอย่างแน่นหนา พร้อมกับเดินเข้ามากอดคอ เพื่อพาผมเข้าไปยังตัวคอนโด ที่ดูแล้วระบบรักษาความปลอดภัย ท่าทางจะแน่นหนา

“ผมอยากกินซาซิมิแซลม่อน”
“อะไรมึง เป็นเด็กชอบเรียกร้องของรางวัลเหรอ?” พี่เขาย้อนถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ผมจึงพยักหน้าตอบ แต่อีกฝ่ายก็ยังไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ แถมยังเอาแต่ลากคอผมให้เปลี่ยนทิศทางการเดิน โดยมุ่งตรงไปยังเซเว่นใต้คอนโดตรงด้านซ้ายมือ

“เวลาตั้งปีนึง กับแซลม่อนซาซิมิเองครับ ผมสืบมาแล้ว ที่กรุงเทพมีส่งเดลิเวอรี่ด้วย มันสะดวกสบายไม่ต่างกับสั่งเคเอฟซีเลย”
“หึ รู้ดี แต่กูก็ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่ตกลง แค่กำลังคิดว่า เราควรจะซื้ออะไรไปดื่มนิดหน่อย ไหนๆก็จะฉลองกันแล้วไม่ใช่หรือไง?” พี่เนย์ว่าพลางเดินตรงไปยังตู้เครื่องดื่ม จากนั้นก็หยิบเบียร์และฟูลมูนออกมาอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับจ่ายเงินเองเสร็จสรรพ

“หารกันดีไหมครับ?” ผมถาม ขณะเดินตรงไปยังลิฟต์ ตามที่อีกฝ่ายนำทาง
“ถ้าหารกัน แล้วมันจะเรียกว่ากูเลี้ยงมึงได้ยังไง? อีกอย่างเวลาปีนึงกับราคาอาหารมื้อนี้มันเทียบกันไม่ได้เลยรัน หลังจากนี้กูประหยัดๆหน่อยก็ได้ อีกอย่างกูวางแพลนไว้แล้ว ว่าจะทำงานพิเศษที่คลินิกเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิตนี่แหละ” ผมมองจ้องตัวเลขที่ค่อยๆทะยานขึ้นด้านบนอย่างใจจดใจจ่อ หากแต่ในหัว กลับคิดถึงข้อความแอบแฝงที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก
กระทั่งพบว่า งานพิเศษนั่น อาจจะทำให้เราไม่ได้เจอกันมากขึ้น ผมก็อดใจหายไม่ได้

“เดี๋ยวกูขอแม่ให้ แต่มึงต้องหาวิธีนั่งรถมาเองนะรัน” เสียงลิฟต์ดังขึ้นในชั้นที่หก จากนั้นเจ้าของห้องเขาก็เดินนำหน้า พร้อมกับหยิบยื่นข้อเสนอที่มันอาจเป็นไปได้ยาก แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นไปแล้ว ผมจึงเริ่มวางใจ เพราะถ้าหากพี่เนย์เป็นคนพูด พ่อกับแม่ต้องไว้วางใจ และยอมปล่อยให้ผมเดินทางมาหาพี่เนย์ เหมือนกับตอนนั้น ที่ผมกำลังจะหมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้กับปัญหา
“ครับ”

สิ่งแรกที่เห็น เมื่อเปิดประตูเข้ามายังคอนโดของพี่เนย์ ก็คือชั้นวางรองเท้าแบบบิวท์อินขนาดใหญ่ทางฝั่งขวามือ ผมจึงถอดรองเท้าหนังสีดำ วางคู่กับรองเท้าหนังสีเดียวกันของพี่เนย์ ส่วนฝั่งซ้ายมือคือห้องครัวอันกว้างขวาง จากนั้นผมก็เดินตามอีกฝ่ายไปยังมุมรับแขก ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากระเบียงห้องนัก จึงทำให้เห็นมุมมองของการตกแต่งได้ว่า มันเป็นไปในโทนขาวดำ โดยวอลเปเปอร์เป็นสีดำสลับขาว ส่วนผ้าม่านชั้นแรกเป็นผ้าสีขาวบางๆ ขณะที่ชั้นที่สองเป็นสีดำสนิท โดยผูกปมไว้ตรงมุมข้างด้วยความเรียบร้อย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็มีทั้งสีขาว และสีออกดำเทาปะปนกัน

“เดี๋ยวกูเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน มึงโทรสั่งเองเลยแล้วกัน” พี่เนย์พูดอย่างให้อิสระ จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหายไปทางด้านขวามือ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน รวมไปถึงห้องแต่งตัวด้วย ส่วนห้องน้ำ ผมคิดว่าน่าจะอยู่ในห้องนอน หรือไม่ก็น่าจะเป็นห้องที่อยู่ติดกับชั้นวางรองเท้าก็เป็นได้ และเมื่อทั้งห้องเงียบสนิท ผมก็ถือโอกาสเสิร์จหาเบอร์โทรของร้านซาซิมิแบบเดลิเวอรี่จากมือถือของตัวเอง จากนั้นก็ตั้งท่าจะกดเบอร์และโทรออกด้วยโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย ที่เจ้าตัวเขาทิ้งเอาไว้ให้ แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะผมไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดของพี่เนย์เลย

ก๊อก ก๊อก

ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืน และเดินไปยังห้องที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนของอีกฝ่าย จากนั้นก็เคาะประตู จนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาต ผมถึงเปิดเข้าไป ซึ่งก็พอดีกับจังหวะที่พี่เนย์กำลังสวมเสื้อยืดสีขาวจนเรียบร้อย

“ผมไม่รู้ทางมาคอนโด” ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พลางยื่นโทรศัพท์ไปให้
“เออ กูก็ลืมไป งั้นมึงไปเอาเครื่องดื่มที่กูวางไว้บนโต๊ะไปแช่เย็นให้หน่อย” ผมพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอนของพี่เนย์ เพื่อมุ่งตรงไปยังโซนรับแขก จากนั้นผมก็หิ้วถุงเครื่องดื่มเดินตรงมายังโซนห้องครัว ที่มีการตกแต่งแบบครบครัน หากแต่ความสดใหม่ ก็สามารถบ่งบอกได้ว่า เจ้าของห้องเขามีโอกาสใช้อุปกรณ์ในโซนนี้ ไม่มากนัก

ตู้เย็นของพี่เนย์เต็มไปด้วยน้ำเปล่า กับขนมขบเคี้ยวบ้างเล็กน้อย อาจเพราะมีเซเว่นอยู่ใต้คอนโด พี่เขาก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรมาตุนไว้มากมายนัก เหมือนกับตอนที่ยังอยู่หอ

“ทำอะไรครับ?” รอบนี้ผมถือโอกาสเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพี่เนย์อีกครั้ง จึงพบว่าเจ้าของห้องเขายังคงวุ่นวายอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินอยู่ดี
 “หาเสื้อให้มึงใส่” ผมอมยิ้ม โดยไม่คิดจะถามอะไรต่อ จากนั้นผมก็เดินเข้าไปยืนเอนตัว พิงกำแพงสีขาวสะอาด ข้างๆตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่าย กระทั่งเห็นตู้เลี้ยงเจ้าเขี้ยวกุด ผมเลยเดินเข้าไปหา จึงพบว่าภายในตู้เต็มไปด้วยหมอกควันคละคลุ้ง ราวกับว่าเจ้าของห้องเขาเพิ่งจะเปิดเครื่องทำความชื้นเมื่อครู่นี้

“ไงเขี้ยวกุด ไม่เจอกันนานเลย” ผมก้มลงไปทักทายเจ้าเขี้ยวกุดที่กำลังเงยหน้ามองมาทางผม คล้ายกับมันกำลังสงสัยว่าไอ้ผู้ชายคนนี้ ทำไมมันหายหน้าหายตาไปตั้งนาน แล้วจู่ๆก็โผล่หัวมาหากันเฉย
“ลืมกันแล้วมั้ง” ผมเอานิ้วจิ้มๆกระจก พลางหัวเราะกับตัวเอง ที่นอกจากจะพูดกับแมวได้เป็นตุเป็นตะ ผมยังสามารถพูดกับเรดอายสกิ้งค์ได้อีกด้วย

“ทำไมหาให้ผมหลายตัวจังครับ?” ผมยืนพิงตู้สีขาวสำหรับวางที่อยู่เจ้าเขี้ยวกุด พลางกอดอกถามอีกฝ่ายที่กำลังรื้อค้นเสื้อผ้า โดยที่ตัวไหนเหมาะกับผม พี่เนย์เขาก็จะโยนกองไว้บนเตียง
“มึงจะได้ไม่ต้องแบกเสื้อไปๆมาๆให้ลำบากไง” อีกฝ่ายเขาว่าอย่างนั้น โดยที่ยังคงก้มหน้าก้มตาหาเสื้อกับกางเกงที่ตัวเองใส่ไม่ได้ แต่ผมยังสามารถใส่ได้ต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ผมได้แต่มองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กับกางเกงผ้ายืดสีเทา

“ห้องนี้ท่าทางจะแพงนะครับ” ผมพูดขึ้น พลางเดินไปพับเสื้อที่พี่เนย์เป็นคนเลือกมาโยนๆไว้บนเตียงนอนสีเทาอันเรียบง่าย
“อืม”

“เพราะแบบนี้ พี่เลยต้องทำงานมากขึ้น?” ผมย้อนถาม พลางพับเสื้อและกางเกงให้แยกกองกัน
“ก็ประมาณนั้น เพราะคอนโดนี้ กูตั้งเป้าหมายไว้ว่า มันจะเป็นทรัพย์สินของเราสองคน จากนั้นเราก็ค่อยขยับขยายไปเรื่อยๆ จะได้ไม่ลำบากตอนแก่” ทันทีที่ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายจบ ผมก็อดจะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะสิ่งที่พี่เขาพูด มันเป็นแผนการอันยาวไกลมากจริงๆ

“ขำอะไรรัน กูจริงจังนะเว้ย เพราะอนาคตเราจะมีกันแค่นี้ ไหนจะยังมีพ่อแม่ที่เราต้องดูแลอีก กูเริ่มทำงานแล้ว กูก็ต้องคิดไว้บ้าง เดี๋ยวถ้ามึงเดินไปถึงเส้นชัยเมื่อไหร่ มึงก็ต้องคิดแบบกูนั่นแหละ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

“แต่มึงหัวเราะ” พี่เนย์พูด พลางเหวี่ยงเสื้อมาทางนี้ จนมันหล่นแหมะลงบนหัวผมได้อย่างพอดิบพอดี คล้ายกับคนโยนเขาเพ่งเล็งเอาไว้นานแล้ว
“ตอนนี้ผมอาจจะยังมองอนาคตที่พี่คาดหวังเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผมก็เชื่อนะครับ ว่าสิ่งที่พี่คิด ที่พี่วางแผนไว้ มันจะต้องดีกับเราสองคนแน่ๆ” ผมเดินเข้าไปกอดเอวของอีกฝ่าย พลางฝังหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างหอมๆ ที่ตัวเองไม่ค่อยได้ใกล้ชิดมากนัก
“ช่วงที่กูฝึกงาน พ่อกับแม่ยกยอดค่าคอนโดให้ เพราะพวกท่านเห็นด้วยกับความคิดของกู แล้วท่านก็เอ็นดูมึงด้วย ต่อจากนี้กูถึงต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพราะกูไม่อยากไปรบกวนท่านอีก ในเมื่อที่ผ่านมา กูก็รบกวนท่านมามากเกินพอแล้ว”
“…”

“อีกอย่างกูไม่รู้หรอกนะ ว่ามึงจะมาทำงานที่กรุงเทพมั้ย แต่กูก็อยากวางแผนเผื่อไว้ก่อน เพราะถ้ามึงเรียนจบ กูกะจะไปพูดกับพ่อและแม่ของมึงอย่างจริงๆจังๆเกี่ยวกับเรื่องของเราสักที”
“อือ อันที่จริงเป้าหมายของผม คือล่ามภาษามือ ที่อยู่ในโทรทัศน์น่ะครับ ยังไงก็คงต้องเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ”

“แต่ก่อนหน้านี้ ผมลองเกริ่นๆกับแม่ช่วงปิดเทอมไปบ้างแล้ว ท่านก็เงียบๆ ไม่ได้ว่าอะไร ผมเลยยังไม่แน่ใจว่าท่านจะเห็นด้วยมั้ย แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากผมมาอยู่กับพี่เนย์ ท่านจะต้องเบาใจขึ้น”
“เอาไว้เดี๋ยวมึงไปไหนมาไหนได้เอง เดี๋ยวท่านก็วางใจในตัวมึงเองนั่นแหละ แต่ก่อนอื่น กูต้องหาวิธีพูดโน้มน้าวให้สำเร็จก่อน เพราะรอบนั้นที่ท่านปล่อยมึงมา มันคือเหตุจำเป็น แต่รอบนี้มันไม่เหมือนกัน” พี่เนย์พูด พลางหันหน้าเข้าหา จึงทำให้ผมต้องคลายอ้อมกอดของตัวเองลง

“ครับ แต่ถ้าผมมาอยู่ด้วย เราต้องหารค่าใช้จ่ายกันนะ”
“อืม กูรู้ กูยังจำข้อตกลงของเราได้” พี่เนย์คว้าผมเข้าไปกอด พลางหอมศีรษะของผมที่วางแนบอยู่บนเนินไหล่ของอีกฝ่ายพอดิบพอดี จนทำเอาผมนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

“พี่ครับ ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมกลับมาพูดได้อีกครั้งนะครับ วันแรกที่ผมทำสำเร็จพ่อกับแม่ดีใจมากกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้เสียอีก วันนั้นผมเลยรู้สึกดีใจ แล้วก็ภูมิใจมากๆเลยครับ ที่ผมทำให้พวกท่านยิ้มได้ ในแบบที่ไม่เคยยิ้มได้มากเท่านี้มาก่อน” ผมกอดพี่เนย์แน่นขึ้น พลางเปลี่ยนมาฝังใบหน้าลงกับซอกคอของอีกฝ่าย
“มึงเก่งมาก” พี่เขากระซิบพลางลูบศีรษะของผมครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับกอดรอบเอวให้แน่นขึ้น จนผมหลุดหัวเราะ เพราะคำชื่นชมจากพี่เนย์ มันทำเอาหัวใจของผมรู้สึกพองโตอย่างบอกไม่ถูก
คล้ายกับว่า ในเวลานี้ คือเวลาอันสมควรแล้ว ที่ผมจะรับฟังคำกล่าวชมนั้นอย่างเต็มภาคภูมิ

“ที่กูพูด ไม่ได้เพื่อเอาใจมึงนะ แต่กูพูดเพราะกูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มึงเก่งมากในสายตาของกูมานานแล้ว แถมยังเก่งกว่ากูซะอีก” พี่เนย์งัดใบหน้าของผมขึ้นมาสบกัน พร้อมกับพูดประโยคหนึ่งอย่างช้าๆชัดๆ จนทำเอาผมใจเต้นแรง บวกกับนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่าย กำลังสะท้อนภาพใบหน้าของผม ที่กำลังยกยิ้มจนตาปิด เพราะกำลังดีใจที่ได้รับคำชมนั้นอย่างจริงใจ
“ขอบคุณที่อยู่ข้างๆผมนะครับ เพราะการที่มีใครสักคนยืนอยู่ตรงนั้น มันทำให้ผมอุ่นใจมากจริงๆ” ผมมองเข้าไปนัยน์ตาของอีกฝ่าย พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น พร้อมกับยกยิ้มในแบบที่ชอบทำ

“ถ้าไม่มีพี่เนย์ ผมคงไม่มีวันก้าวเดินไปข้างหน้าได้แน่ๆ เพราะถึงผมจะมีเพื่อน แต่บางครั้ง เพื่อนก็ไม่สามารถเติมเต็มอะไรบางอย่างได้เหมือนกับความรักในรูปแบบของคนรัก และอะไรบางอย่างของความรักในแบบคนรัก ก็ไม่สามารถทดแทนมิตรภาพของเพื่อนได้ หรือแม้แต่ความรักของพ่อกับแม่ก็ด้วย มันต่างกันหมดเลยครับ”
“…”

“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เคยคิดเอาไว้อีกอย่างนึงนะครับ ว่าถ้าหากผมสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีพี่เนย์ได้ ผมจะยังสามารถเดินไปจนถึงเส้นชัยได้หรือเปล่า เพราะหลายๆสิ่งที่ผมเจอ มันทำให้ผมท้อแท้ใจ และคิดอยากจะยอมแพ้อยู่หลายครั้ง แต่เพราะในความเป็นจริง คำพูดของพี่เนย์ มันคอยทำให้ผมกลับมาหยัดยืนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นคำตอบของคำถามที่ผมคิด มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่เลย ผมไม่มีทางทำสำเร็จ ถ้าหากไม่มีพี่คอยยืนอยู่ข้างๆ” ผมยิ้มขณะที่พี่เนย์กำลังลูบหน้าลูบตาของผมอย่าวแผ่วเบา พร้อมกับอมยิ้มตรงมุมปากตลอดการรับฟังความในใจจากผม ที่ไม่เคยได้บอกใคร นอกจากอีกฝ่าย
“กูเองก็โชคดี ที่มีมึงอยู่ข้างๆเหมือนกัน” พี่เนย์พูดเพียงแค่นั้น แล้วโฟกัสทางสายตาของผมก็เริ่มพร่าเลือน เมื่อริมฝีปากของเรากำลังเกาะเกี่ยวแนบชิดกัน ก่อนจะเล็มไล้ตักตวงความหอมหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ และกว่าจะรู้ตัวอีกที แผ่นหลังของผมก็สัมผัสลงบนผิวที่นอนนุ่ม ที่เต็มไปด้วยกองเสื้อผ้า ทั้งจากที่พับแล้ว และยังไม่ได้พับ

ติ้งต่อง~

“ฮ่าๆ” ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น เมื่อเราสองคนกำลังจะเริ่มสานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าซาซิมิแซลม่อนดันมาส่งได้ถูกเวลาซะนี่ ผมกับพี่เนย์เลยต้องดีดตัวออกจากกัน โดยที่คนนึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ พร้อมกับเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปจ่ายค่าเสียหาย ส่วนผมก็ลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆเตียง ที่ในตอนนี้ ผ้าที่พับไว้เป็นกองๆ ดันเละเทะจนไม่เหลือสภาพเดิม

“รันมึงออกมากินข้างนอกเร็วๆ” พี่เนย์ตะโกนเรียกจากด้านนอก ผมจึงรีบขานรับ พร้อมกับลุกเดินออกจากห้องนอน และไม่ลืมจะปิดประตูให้สนิท
เพราะการฉลองในวันนี้ มันคงจะอีกยาวไกล

-----------------------------------
[edit 26/12/2017 แก้คำตกหล่น]
กลับมาแล้วค่ะ เพิ่งแจ้งไปเองว่าคอมโกงความตาย สุดท้ายมันก็ต้องเอามันไปซ่อมจริงๆ กว่าจะกลับมาจับจุดเขียนต่อได้ ยากเหมือนกัน

Cold Drip Coffee คือ วิธีการชงกาแฟด้วยน้ำเย็นแทนที่การชงด้วยน้ำร้อนในแบบเดิมๆ ทำให้ได้กาแฟที่มีรสชาติดีกลมกล่อม หอม และหวานละมุนนุ่มกว่าเดิมเป็นพิเศษ โดยวิธีการชง Cold Drip Coffee มีขั้นตอนและวิธีการชงโดยผ่านเครื่องชงแบบเย็น โดยมีลักษณะส่วนบนเป็นโถใส่น้ำแข็งซึ่งมีวาวล์อยู่ด้านล่าง ส่วนตรงกลางเป็นกระบอกสำหรับใส่กาแฟบด ที่มีฟิลเตอร์สำหรับกรองน้ำ ลงมาในเหยือกที่รองรับน้ำกาแฟที่จะหยดลงมา โดยเวลาชงนั้นเป็นการเติมน้ำเย็นลงไป ใส่กาแฟบดลงไปในกระบอก แล้วปรับวาล์วให้น้ำเย็นค่อยๆ หยดลงมา ซึ่งในการชงกาแฟสกัดเย็นนั้นจะใช้เวลานานมาก เนื่องจากต้องค่อย ๆ ปล่อยให้กาแฟหยดลงมาอย่างช้าๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน 12 – 14 ชั่วโมง กว่าจะได้กาแฟ 1 แก้วไว้รับประทาน
ที่มา : http://suzuki-coffee.com/cold-drip-coffee/

ปล. ในเรื่องเป็นชานะคะ แต่ใช้วิธีชงแบบกาแฟ ถ้าใครสนใจดูรูปเครื่องชงกับต้นอาร์ติโชคและอื่นๆ สามารถดูได้ที่เด็กดีค่ะ
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=53
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2017 14:32:46 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ปลื้มใจกับทุกความสำเร็จที่รันและเนย์ได้เจอะเจอ ภูมิใจด้วยเหมือนตัวเองเป็นแม่ที่เฝ้าดูการเติบโตของทั้งคู่เลย 5555

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ดีใจกับน้องรันด้วย เย้!! หายเป็นปกติแล้วว

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ปกติแล้ววว เย้!!!!!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 24

เมื่อวานตอนก่อนจะกลับมายังมหาวิทยาลัย พี่เนย์พาผมแวะไปหาคุณแม่ที่บ้าน ส่วนคุณพ่อท่านเข้าเวร เราก็เลยไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากัน ซึ่งมันประจวบเหมาะกับวันนั้น คุณแม่ท่านต้มปูเอาไว้เป็นหม้อๆ ผมก็เลยลาภปาก เพราะได้กินจนหายอยาก แถมยังมีโอกาสสอนพี่เนย์แกะปูด้วย ซึ่งพออีกฝ่ายเขาแกะเป็น ทีนี้เราสองคนก็แทบจะตีกันให้ได้
คุณแม่ท่านก็เลยต้องแบ่งปูในส่วนของผมและของพี่เนย์ ไว้คนละฝั่งของถาดใบใหญ่

“ไอ้เชี่ย วันนี้พี่ล่ามมา แต้มบุญของทุกคนในสาขาวันนี้มันน้อยนิดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวตามไอ้หมอก ที่เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปยังห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว แต่สายตาของมันดันประสบเข้ากับพี่ล่ามสุดยอดไอดอล ไอ้นี่มันเลยถึงกับเบรกฝีเท้าจนหัวทิ่ม พร้อมกับรีบปิดประตูแทบไม่ทัน

คือเรื่องของเรื่อง สาขาของเราในชั้นปีที่สาม จะมีเรียนภาษามือทั้งด้านการแพทย์และกฎหมาย ซึ่งทุกคาบจะมีอาจารย์ที่บกพร่องทางการได้ยิน กับอาจารย์ที่ไร้ข้อบกพร่องมาเข้าสอนพร้อมๆกัน โดยอาจารย์จะสุ่มเรียกชื่อเพื่อให้ไปยืนแปลภาษามือตรงหน้าชั้นเรียน จากนั้นอาจารย์ที่ไร้ข้อบกพร่อง จะเป็นคนพูดเรื่องรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับโรค เช่นว่า มีสาเหตุมาจากอะไร อาการเป็นยังไง การรักษาต้องทำยังไง แล้วการป้องกันล่ะเป็นยังไง ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ล้วนเต็มไปด้วยศัพท์ทางการแพทย์แทบทั้งนั้น นี่คือสาเหตุที่ผมกังวล แต่ก็ยังไม่เครียดมากเท่าพวกไอ้หมอก ไอ้คิน เพราะผมยังไม่เคยถูกสุ่มเรียกชื่อ ซึ่งไอ้เพื่อนซี้ของผม แม่งดวงดีตั้งแต่สัปดาห์แรกๆของการเรียนการสอนเลยทีเดียว แถมที่พีคไปกว่านั้น ก็คือพี่ล่ามแกมานั่งดูด้วย ทุกคนเลยพากันเกร็งชิบหายวายวอด เพราะการที่พี่ล่ามเขาปรากฏตัว มันก็ให้อารมณ์เหมือนกับโวลเดอมอร์ จากเรื่องแฮรี่พ็อตเตอร์ ปรากฏตัวน่ะแหละ ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพี่เขาน่ากลัว โหดร้าย หรืออะไรเลย เพียงแต่เวลาเรียน พี่ล่ามจะดุและจริงจังมาก แต่นอกเวลาเรียนนี่จะเล่นหรือจะอะไร พี่เขาก็รับได้ทุกสถานการณ์ ดังนั้นถ้าหากเจอพี่ล่ามในคาบเรียน จึงหมายความว่าวันนั้นแต้มบุญของทุกคนรวมกันยังมีไม่มากพอที่จะทำให้พวกเราโชคดี
เนื่องจากหลายๆครั้ง เวลาที่เพื่อนหน้าชั้นเรียนอธิบายไม่ชัดเจน พี่ล่ามจะเสนอแนะให้เราอธิบายให้ครอบคลุมขึ้น ส่งผลให้อาจารย์ที่มีข้อบกพร่องทางการได้ยินเริ่มกระจ่างแจ้งว่า เออ นักศึกษาเธอทำผิดแล้วนะ แต่ถ้าคาบไหนไม่มีพี่ล่าม อาจารย์แกจะแค่นั่งขมวดคิ้ว ซึ่งนั่นคือสัญญาณเตือนว่าอาจารย์ไม่เข้าใจภาษามือของเรา แต่จะทำอะไรได้ครับ ในเมื่ออาจารย์อีกท่านก็ยังคงพูดข้อมูลของโรคดังกล่าวต่อไป ส่งผลให้เราบรรยายออกมาเป็นภาษามือให้อาจารย์รับรู้ได้ไม่ครบถ้วน แถมยังมีสายตามากกว่าสิบคู่ของเพื่อนร่วมสาขาที่มองมายังเราอีก ใครไม่เกร็งและเครียด หรือสั่นจนสมองประมวลผิด ประมวลถูก ก็เก่งแล้ว จากนั้นท้ายชั่วโมงอาจารย์ก็จะเสนอแนะ และติงบางคำเท่าที่แกจับใจความได้ แต่ถ้าพี่ล่ามอยู่ ก็จะถูกติงเยอะหน่อย ฉะนั้นทุกๆคาบ ผมได้แต่ภาวนาให้แต้มบุญของผมมันเพียงพอที่จะไม่ต้องออกไปบรรยายภาษามือตรงหน้าชั้นเรียน
แม้ผมจะรู้ตัวดีว่า ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่อย่างน้อย การพึ่งไสยศาสตร์ มันก็ทำให้เราอุ่นใจดีนี่หว่า

ส่วนคาบกฎหมาย ก็ไม่ต่างกันเลย เปลี่ยนแค่จากข้อมูลทางการแพทย์ มาเป็นข้อมูลเบื้องต้นของกฏหมาย เช่น กฎคุ้มครองสิทธิ์ผู้พิการ จรรยาบรรณล่ามเกี่ยวกับผู้พิการ  ซึ่งมีการสุ่มเรียกให้ออกมาบรรยาภาษามือตรงหน้าชั้นเรียนเหมือนกันเป๊ะ แล้วท้ายคาบก็ต้องมีการการบ้านเหมือนกันเป๊ะ ซึ่งการบ้านก็ไม่ได้นอกเหนือไปจากเนื้อหาที่เรียนแต่อย่างใด ประมาณว่าคาบนั้นเรียนโรคหรือหลักสิทธิอะไร ก็ต้องอัดวีดิโอเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ มาส่งก่อนจะเริ่มคาบเรียนในครั้งต่อไป ซึ่งการบ้านแบบนี้ มันเป็นอะไรที่พวกเราชาวหูหนวกศึกษาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็เลยไม่วุ่นวายอะไรมาก
เรียกได้ว่าเราปรับตัวเข้ากับการศึกษาได้ดี เหมือนกับปลาดุกจำศีลตอนหน้าแล้ง

“เนรัน” ผมยกแผ่นไม้สำหรับเขียนเลคเชอร์ขึ้น พลางลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบกระเป๋าสะพายใบเก่งติดมือมาด้วย ก่อนจะกลับหลังหันเข้าหาเพื่อนร่วมสาขา เพื่อวางกระเป๋าใบโปรดลงบนที่นั่ง พร้อมกับทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ใส่พวกไอ้หมอกไอ้คินที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากที่วันนี้อาจารย์ดันสุ่มเรียกชื่อผมจนได้
“ซวย” ไอ้หมอกมันขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง พลางหัวเราะคิกคักอย่างสะใจ เพราะการโดนสุ่มเรียกของผมในครั้งนี้ สถานการณ์มันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนที่พวกมันสองคนถูกสุ่มเรียกเลยสักนิด ดังนั้นเพื่อนสนิทอย่างพวกมันถึงได้ดูสะใจเป็นพิเศษ

“โรคไข้เลือดออก” พอผมเดินไปหยุดยืนตรงหน้าห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว อาจารย์วิมลก็เริ่มพูดถึงโรคที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ผมจึงยกมือซ้ายขึ้นตั้งฉาก ในแนวราบตรงระดับอก ขณะที่มือขวาก็จับจีบเหมือนรำไทย โดยคว่ำปลายจีบให้จิ้มลงบนหลังมือขวา คล้ายกับปากแหลมๆของยุงที่กำลังจะดูดเลือด จากนั้นก็ยกมือที่จับจีบขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะตีลงบนหลังมือด้านซ้าย คล้ายกับท่าทางของการโดนยุงกัดแล้วเราก็ตีมัน ก่อนจะเอาหลังมือข้างขวาขึ้นไปแตะตรงหน้าผาก พร้อมกับปรือตาเหมือนคนกำลังไม่สบาย
“เป็นโรคติดเชื้อ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเดงกี โดยมียุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค” พอผมแปลภาษามือของโรคดังกล่าวจบ อาจารย์ก็เริ่มบรรยายถึงสาเหตุของการเกิดโรค ขณะที่ผมก็ต้องใช้สมองอย่างหนักหน่วง เพราะการออกมายืนอยู่ตรงหน้าชั้นเรียน โดยมีอาจารย์สองท่าน รวมถึงพี่ล่าม และเพื่อนๆคนอื่นจ้องมองมาที่ผมคนเดียว มันก็อดจะตื่นตระหนก จนแปลสารคลาดเคลื่อนไม่ได้ ยิ่งเจอศัพท์ทางการแพทย์อย่าง ‘เชื้อไวรัสเดงกี’ ผมก็ยิ่งมึน เพราะเหมือนมันติดอยู่ในใจ แต่กลับคิดไม่ออก กระทั่งเหลือบไปเห็นไอ้หมอกกำลังทำท่ามือ ‘หนอน’ โดยการแบมือซ้ายขึ้น พร้อมกับใช้นิ้วชี้ข้างขวาจรดลงตรงกึ่งกลางของฝ่ามืออีกข้าง ก่อนจะขยับนิ้วชี้ให้เหมือนกับลักษณะการเดินของหนอนไปตามความยาวของฝ่ามือข้างนั้น ผมก็เลยเริ่มจะประติดประต่อได้
เพราะท่ามือ ‘หนอน’ สามารถใช้สื่อถึงคำว่า ‘เชื้อไวรัส’ ได้

จากนั้นผมก็เริ่มแปลภาษามือเป็นคำว่า ‘เดงกี’ ซึ่งต้องใช้การประสมคำของพยัญชนะและสระ โดยเริ่มที่ ‘สระเอ’ ด้วยการแบมือข้างซ้ายขึ้นตั้งฉาก พร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มที่ปลายนิ้วนางข้างซ้าย ต่อด้วย ‘ด’ โดยการชูนิ้วชี้ข้างขวาขึ้น คล้ายกับสัญลักษณ์ของเลขหนึ่งที่คนทั่วไปทราบกันดี ตามด้วย ‘ง’ เริ่มจากการชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางข้างขวาขึ้นและหุบลง ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ในแนวราบ คล้ายกับการแอคท่าหล่อๆที่คนทั่วไปชอบวางแปะไว้ตรงปลายคางขณะที่กำลังโพสต์ท่าถ่ายรูป จากนั้นก็ต่อด้วย ‘ก’ โดยการชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางด้านขวาขึ้น พร้อมกับเอานิ้วโป้งแตะลงตรงกึ่งกลางระหว่างสองนิ้วนั้น ต่อด้วย ‘สระอี’ โดยการชูมือขวาขึ้นพร้อมกับงอนิ้วทั้งห้าแนบลงกับฝ่ามือ ก็เป็นอันจบภาษาทางการแพทย์
“กล่าวคือยุงลายตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออก แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร ซึ่งจะเป็นการแพร่เชื้อไปให้บุคคลอื่น ๆ ต่อไป อีกทั้งยุงชนิดนี้ ยังเป็นยุงที่ออกหากินในเวลากลางวันและกลางคืน และชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ แจกัน จานรองตู้กับข้าว กระป๋อง ฝากะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น” อาจารย์วิมลยังคงบรรยายต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ได้นึกถึงสมองน้อยๆของผมเลย ว่าจะประมวลผลทันหรือไม่ ยิ่งเจออาจารย์พิสมัยขมวดคิ้วด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งห่อเหี่ยวใจจนไม่กล้ามองไปยังพี่ล่ามอีกเลย พร้อมกับรู้ตัวดีว่า หลังจากจบการบรรยายสาเหตุของโรคแล้ว ผมน่าจะโดนพี่ล่ามให้คำแนะนำเป็นคนแรก จากนั้นอาจารย์พิสมัยผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินก็จะคอมเมนต์ยาวๆ เพื่อต่อยอดจากข้อมูลของพี่ล่ามให้ครบถ้วน เพราะว่าพี่เขาทั้งได้ยินและเข้าใจภาษามือ จึงสามารถเก็บรายละเอียดยิบย่อยได้เยอะ
ดังนั้นพวกเราจะกลัวพี่ล่ามมากกว่าอาจารย์พิศมัยก็ไม่แปลก

“โหดเชี่ยๆ เลยโว้ย! พี่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ไม่ว่าจะหมอหรือนักกฎหมาย พี่ก็เป็นได้!” หลังจากหมดคาบเรียน พร้อมกับได้การบ้านมาคนละชิ้น ผมก็อดจะบ่นออกมาไม่ได้
“ไงล่ะมึง เข้าใจอารมณ์เครียดและกดดันของกูหรือยัง?” ไอ้คินมันหัวเราะอย่างตลกขบขัน เมื่อเห็นผมโวยวายออกมาเป็นครั้งแรก ซ้ำยังยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ไม่ต่างกับวันที่มันถูกเรียกให้ไปแปลภาษามือเรื่องต้อกระจก ซึ่งมีศัพท์ทางการแพทย์ที่มันหินๆ ไม่ต่างกับโรคไข้เลือดออกของผมเลย และวันนั้นทั้งไอ้คินไอ้หมอก ก็เสือกดวงดี โดนเรียกติดๆกันด้วย ครั้นพอจบคาบ พวกแม่งก็ยีหัวจนยุ่งเหยิง ขณะที่ผมกลับหัวเราะด้วยความชิวเว่อร์ เพราะผมไม่โดนเรียกไง ส่วนการบ้านเราก็มีเวลาปรึกษาหารือกับเพื่อนได้ ฉะนั้นผมจะเครียดไปทำไม

“เออ ไม่โดนกับตัว แม่งไม่รู้เลยว่ามันหินชิบหาย กังวลตอนสอบเลยว่ะ กูตายแน่ พี่ล่ามแม่งต้องเข้ามาดูแน่ๆ” ผมพูดพร้อมกับทำสีหน้าสยดสยอง เพราะภาษามือหินๆ ที่เราเรียนมันไม่ได้มีแค่ด้านการแพทย์นี่สิ
ท่าทางว่าช่วงสอบมิดเทอม ผมคงได้ตายคูณสองแน่ๆเลยว่ะ

“งั้นพวกเรามายืนไว้อาลัยแด่มิดเทอมในปีนี้พร้อมกันสามนาที” ไอ้หมอกมันว่า พลางควงแขนพวกผมคนละข้าง พร้อมกับยืนตรงแหน่ว อีกทั้งยังก้มหน้าอย่างสำรวมตรงหน้าตึกคณะอย่างไม่เกรงใจสายตาใคร
“ตลก!” ผมเฉดหัวไอ้เพื่อนสุดกวนประสาทสักหนึ่งที จากนั้นผมก็เดินตรงไปยังที่จอดรถจักรยาน เพราะขณะนี้มันก็เที่ยงตรงแล้ว เราก็ควรหาอะไรแดกแก้เครียดท่าจะดี

“เอาจริงๆ กูเริ่มเครียดแล้วว่ะ คืนนี้ลองสุ่มแปลภาษามือโรคที่เคยๆเรียนดูดีกว่ามั้ย” ผมถามขณะกำลังกินข้าวผัดทะเลที่โรงอาหารกลางพร้อมกับไอ้เพื่อนซี้และสามสาวจากคณะบัญชี
“เออ กูว่าก็ดีนะ แถมปีนี้ปีเราไม่มีแคมเปญด้วย ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกเยอะ” ไอ้คินพยักหน้าพร้อมกับแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน

“มึงเลิกขี้เกียจเลยไอ้หมอก งานนี้มึงชิวไม่ได้นะเว้ย” ผมเตะขาไอ้เพื่อนรักที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับชักจูงให้มันเลิกทำตัวชิวเหมือนที่ผมเคยเป็น เนื่องจากไอ้หมอกมันเป็นคนที่อารมณ์แจ่มใสมากเว่อร์ เครียดอะไรไม่ค่อยจะนานหรอก สุดท้ายก็ชิวเกินจนเกือบจะซวย ดีที่พวกผมเคี่ยวเข็ญมันได้ ไม่ต่างกับวิชาภาษามือของปีก่อนๆ ที่มันเองก็ช่วยเคี่ยวเข็ญพวกผมอย่างสุดความสามารถ
“เออๆ กูรู้น่า เริ่มสักสามสี่ทุ่มแล้วกันนะมึง กูขอพักสมองก่อน” ผมพยักหน้าอนุญาต เพราะบ่ายนี้ผมกะจะไปนั่งจิบชา ตามคำแนะนำของพี่เนย์เพื่อแก้เครียดด้วยเหมือนกัน

กระทั่งเวลาใกล้จะบ่ายโมง สามสาวจากคณะบัญชีเขาก็ต้องไปเรียนต่อ ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็ขอตัวกลับไปนอนเอาแรง ขณะที่ผมก็ยังคงมีจุดยืนที่ชัดเจน จึงเดินแยกมาที่คาเฟ่เจ้าประจำเพียงลำพัง และเมื่อมาถึงร้าน ผมก็เดินไปสั่งเมนูที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับสอบถามประเภทชาแบบ cold drip ว่ามันมีให้เลือกกี่ประเภท

“เมนูแบบ cold drip ของทางร้านเราก็จะมีชาเอิร์ลเกรย์ฮันนี่ไลม์จินเจอร์ รสชาติจะออกหวานๆเปรี้ยวๆของน้ำผึ้งผสมมะนาว แล้วก็ชาอู่หลงฮันนี่ไลม์มินท์ ตัวนี้ก็จะมีกลิ่นมินท์เพิ่มความโดดเด่นเข้ามาค่ะ ส่วนชาจัสมินฮันนี่ไลม์เลมอนกราส กลิ่นจะเบาๆหน่อย แต่ก็เข้ากันได้ดีกับกลิ่นสดชื่นของตะไคร้ ส่วนรสชาติก็จะผสมผสานความเปรี้ยวหวานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนอีกเมนูนึงที่อยากแนะนำก็คือชาอาร์ติโชค เป็นชาตัวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมมากๆเลยค่ะ”
“ผมขอเป็นเอิร์ลเกรย์ดีกว่าครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม จากนั้นก็รับเครื่องเรียกคิวมาถือไว้ ก่อนจะเดินหามุมสงบของร้านในการนั่งเอ้อระเหย โดยผมเลือกนั่งตรงซอกหลืบเล็กๆ ข้างๆ เคาน์เตอร์ที่ไม่ค่อยมีคน อีกทั้งยังเป็นมุมที่ค่อนข้างเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากๆ มุมหนึ่ง แถมบนโต๊ะยังประดับด้วยแจกันดอกไม้แห้งและยังมีตุ๊กตาน่ารักๆสองตัววางเอาไว้ข้างๆ ซึ่งถ้าหากผมจำไม่ผิด ที่นั่งมุมประจำของผมกับพี่เนย์จะไม่มีตุ๊กตาแบบนี้วางไว้
แสดงว่าทางร้านเขาคงจะเลือกวางเฉพาะมุมเล็กๆของร้านล่ะมั้ง

‘น่ารักมั้ยครับ?’ หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ผมก็ส่งไลน์ไปให้หนุ่มกรุงเทพ ผู้ชื่นชอบสัตว์แปลกๆ จากนั้นผมก็เป็นหาข้อมูลของสัตว์ประหลาดตัวที่ว่า เพราะผมคุ้นๆเหมือนกับว่าตุ๊กตาสองตัวนี้จะเป็นจิ้งจกน้ำ หรืออะไรสักอย่างที่มีขายอยู่ในร้านเดียวกับที่พี่เนย์ไปเจรจาซื้อขายเจ้าเขี้ยวกุดนั่นแหละ
‘จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน เหมือนเพื่อนรักเจ้าเขี้ยวกุดเลยนะครับ’ ผมอมยิ้มพลางกดส่งข้อความไปให้นักจิตบำบัดที่ตอนนี้คงจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอยู่ และกว่าจะรู้ว่าผมกำลังล้อเจ้าลูกชายของตัวเองก็คงจะเลิกงานโน่นเลย ซึ่งระหว่างนี้ ผมก็ฆ่าเวลาด้วยการเฝ้ามองหยดน้ำทองอ่อนๆ ที่ค่อยๆตกกระทบลงในภาชนะสำหรับรองรับน้ำชาที่เกิดจากการกลั่นตัวของผงชาเอิร์ลเกรย์อันขึ้นชื่อจากประเภทอังกฤษตามคำโฆษณาของพนักงาน

ติ้ง!

‘เหมือนยังไงไม่ทราบ?’ หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พี่เนย์ก็ส่งไลน์มาถาม ผมจึงรีบอมยิ้ม พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาจะอธิบายความเหมือนของเจ้าซาราแมนเดอร์สัญชาติแม็กซิโกกับเรดอายสกิ้งค์ลูกรักของคุณอาคเนย์
‘ประหลาดเหมือนกันไงครับ พี่ดูสิจิ้งจกน้ำมันมีหนวดเหมือนนกยุงตอนกำลังลำแพนหาง แต่หน้าตาของมันกลับเหมือนปลาดุกชนเขื่อน ส่วนขาของมันดันเหมือนจิ้งจก แต่ตัวดันเหมือนลูกอ๊อด’ ผมขำคิกคักอย่างชอบใจ แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกแหย่อีกฝ่าย เพราะท่าทางว่าพี่เนย์จะมาพักเข้าห้องน้ำ ก็เลยสามารถโต้เถียงกับผมได้ ก่อนจะหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว

ติ้ง!

‘วอนซะแล้วมึง ไอ้ที่บรรยายมานี่ ไม่ได้เสี้ยวของลูกกูเลย แล้วอีกอย่างลูกกูออกจะเท่เหมือนมังกร ไม่ได้ประหลาดเหมือนไอ้ตัวอะไรนั่นที่มึงว่า’ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พี่เนย์ก็ส่งไลน์มาหาผม พร้อมกับพิมพ์สาธยายเสียยืดยาว โดยที่อ่านดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเขาใส่อารมณ์มากแค่ไหน

Rrrr

“กล้ารังแกลูกกูเหรอมึง เดี๋ยวจะโดน” หลังเลิกงาน นักจิตบำบัดเขาก็รีบโทรหาผม พร้อมกับพูดจาหาเรื่อง เพื่อปกป้องเจ้าเขี้ยวกุดสุดพลัง
“ขำนะมึง ขำเข้าไป” พี่เนย์รีบพูดสวนขึ้นมาทันที ที่ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆในลำคอของผม พร้อมกับทำน้ำเสียงดุๆ แต่มันก็ไม่เคยน่ากลัวสำหรับผมเลยสักนิด

“เสาร์นี้มาหากูด้วย”
“แม่อนุญาตแล้วเหรอครับ?” ผมรีบถามขึ้นด้วยความตกใจ เพราะผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แต่พี่เนย์กลับเจรจาจนสำเร็จ

“อืม”
“ทำไมพี่ถึงขอแม่ได้เร็วจังครับ?” ผมยังคงซักถามต่อไป

“ความลับ แค่นี้นะ กูจะไปเดินตลาด” พี่เนย์ตอบเพียงแค่นั้นแล้วก็วางสายไป ผมจึงได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆดับสนิทด้วยความคาใจ ครั้นจะโทรไปถามแม่ ผมก็คิดว่าแม่ต้องไม่ยอมบอกแน่ๆ ในเมื่อพี่เนย์เล่นบอกแต่ความลับๆ ป่านนี้แม่คงจะโดนพี่เขาซื้อใจจนคล้อยตามไปหมดแล้วมั้ง ผมจึงยักไหล่พร้อมกับโคลงหัวไปมาอย่างปล่อยวาง
โดยเลือกคิดซะว่า ถ้าอันไหนที่พี่เขาอยากให้รู้ ก็คงจะบอกด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ถ้าอันไหนที่พี่เขาไม่อยากให้รู้ ก็ต้องกลายเป็นความลับแบบนี้ต่อไปนั่นแหละ
 
หลังจากละเลียดความสบายใจจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องมานั่งคร่ำเคร่งทบทวนภาษามือทั้งกฎหมายและการแพทย์ พร้อมกับช่วยกันทำการบ้านไปด้วย จะได้ไม่ต้องไฟลนก้นเอาภายหลัง
ขณะที่วิชาอื่นๆ ก็ไม่ค่อยจะมีรายงานหรืออะไรสักเท่าไหร่ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ

“ครับ” ผมออกมารับสายพี่เนย์ข้างนอกระเบียง ขณะกำลังถกกับเพื่อนเรื่องภาษามือยังไม่จบ
“มึงกินขนมปลากริมไข่เต่าเป็นป่ะ วันนี้มีป้ารถเข็นแกมาขายที่โรงพยาบาล กูเลยซื้อมาลองกินดู อร่อยดี ไว้มึงมาหาจะได้ซื้อเก็บไว้ให้” พี่เขาร่ายยาวเข้าประเด็นอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ก็กินได้ครับ” ผมตอบพลางขมวดคิ้ว เพราะไม่รู้จักขนมชนิดนี้ แต่เคยได้ยินอยู่บ้าง
“อืม แล้วนี่ทำอะไรอยู่?”

“กำลังทบทวนภาษามือ แล้วก็เคลียร์การบ้านน่ะครับ”
“งั้นมึงไปทำงานเถอะ เสร็จเมื่อไหร่ก็ค่อยโทรมา” อีกฝ่ายรีบออกปากไล่ทันที ไม่มีอิดออด

“พี่จะไม่หลับก่อนเหรอครับ ไม่เหนื่อยเหรอ?” ผมถามพลางอมยิ้มนิดๆ
“เหนื่อย แต่ฟังเสียงมึงแล้วมันหาย” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย คล้ายกับว่าเจ้าตัวใกล้จะหลับเต็มที

“ครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรหาอีกทีนะ” ผมรับปาก แม้ว่าจะเดาออกเลยว่าอีกฝ่ายน่าจะหลับสนิทก่อนที่งานของผมจะลงตัวซะที เพราะตั้งแต่พี่เขาทำงาน เราก็ยังไม่เคยได้คุยกันนานๆเลย กระทั่งผมเคลียร์ความเข้าใจในเรื่องการบ้านเท่าที่พอจะเคลียร์ได้เสร็จ ผมก็ลองโทรหาอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีคนรับ ผมเลยถือโอกาสอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน
โดยไม่คิดจะโทรกลับไปรบกวนอีกฝ่ายซ้ำๆอีก แต่กลับเลือกที่จะส่งข้อความสั้นๆ ที่ไม่น่าจะรบกวนการนอนของพี่เขาแทน ซึ่งเป็นคำอวยพรให้หลับฝันดีแบบมีนัยยะไม่โจ่งแจ้งมากนัก ด้วยประโยคที่ว่า..

‘Don’t let the bedbugs bite’


----------------------------------------------------
สำหรับตอนนี้ เราขอใส่รายละเอียดเกี่ยวกับการเรียนภาษามือที่เพิ่มระดับขึ้นมาหน่อยเนอะ จะได้เห็นภาพรวมว่ามันเป็นยังไง อันนี้เราให้ผู้ให้ข้อมูลลองตรวจเช็คอีกรอบแล้วค่ะ เป็นสาขาที่ยาก แต่ก็มีประโยชน์มากๆจริงๆ เราจะเจาะแค่วิชาภาษามือนะคะ วิชาอื่นไม่ขอเอ่ยถึงดีกว่า เดี๋ยวมันจะเยอะเกิน และตอนนี้ปิดท้ายด้วยประโยคคูลๆในภาษาอังกฤษ ที่มันแปลตรงตัวว่า 'อย่าให้แมลงที่เตียงกัดนะ'  เป็นคำอวยพรที่น่ารักและดูมีความหมายแอบแฝง เหมาะกับคนชอบตีความอย่างพี่เนย์ที่สุดค่ะ ไว้ให้เฉลยในเนื้อเรื่องอีกทีนะ 555
ปล. คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)

ชาเอิร์ลเกรย์ เป็นชาที่รสชาติเบา มีสีทองอ่อน และมีกลิ่นบางๆ จัดอยู่ในประเภทชาผสม (หรือเรียกว่า เบนที) โดยการนำใบชาดำ มาผสมกับน้ำมันหอมระเหยของพืชตระกูลส้ม เพื่อแต่งกลิ่นให้หอมละมุน คล้ายกลิ่นมะกรูด มะนาว ซึ่งน้ำมันหอมระเหยนี้ดีต่อระบบย่อยอาหาร เพราะจะไปกระตุ้นการหลั่งเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยทำงาน ได้ดีขึ้น
ที่มา : http://www.question.in.th/answer_view.php?id_ques=963

จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน ( Mexican Axolotl ) เมื่อโตเต็มที่สามารถมีความยาวถึง 30 เซ็นติเมตร แต่ทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 15 เซ็นติเมตร และมีสีดำ และจุดสีน้ำตาล แต่ก็มีพวกสีเผือก และเมื่ออยู่ตามธรรมชาติมีอายุประมาณ 15 ปี พวกมันกิน พวกหอย หนอน ตัวอ่อนแมลง ลูกปลาซึ่งในสมัยก่อนจิ้งจกน้ำเม็กซิกัน ถือว่าเป็นผู้ล่าอันดับต้นๆของห่วงโซ่อาหารในแหล่งน้ำ แต่ปัจจุบันพวกมันถูกลุกลานจากปลาใหญ่ที่คนนำมาปล่อย หรือเพาะเลี้ยง และนกนักล่าจำพวกนกกระสา
ที่มา : http://wowboom.blogspot.com/2009/02/mexican-axolotl.html

ปล 2. รูปประกอบสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=54

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 24
“ไข้เลือดออก อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคไข้เลือดออก 7 วิธี !!”. (เว็บไซต์เมดไทย). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : https://medthai.com. [15 ก.ค. 2559].
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2017 21:53:13 โดย Chomin »

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
เขี้ยวกุดนี่แตไม่ได้เลยน้าาาา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 25

ช่วงอาทิตย์ก่อนที่ผมจะเริ่มมีการสอบนอกตารางของวิชาภาษามือ จนกระทั่งฤดูกาลสอบมิดเทอมมาถึง ผมกับพี่เนย์ทำเพียงแค่ส่งข้อความผ่านทางแชทไลน์หากันสั้นๆ เพราะว่าการสอบนอกตารางในวิชาภาษามือของชั้นปีที่สาม มันเป็นอะไรที่เครียดมาก เนื่องจากในวันนั้น ไม่ว่าเราจะบรรยายภาษามือ ได้เข้าใจมากน้อยเท่าไหร่ ตกหล่นมากแค่ไหน ก็ได้คะแนนไปแค่ไหน และสุดท้ายอาจารย์ก็จะให้คำแนะนำเหมือนกับคาบเรียนปกติ เพียงแต่คะแนนนี่แหละที่ไม่ปกติ
ดังนั้นก่อนที่การสอบนอกตารางจะเกิดขึ้น ผมต้องเตรียมตัวทบทวนข้อมูลเป็นอย่างดี ทั้งทางด้านการแพทย์และด้านกฎหมาย พี่เนย์ก็เลยให้เวลาผมได้จมจ่อมอยู่กับเนื้อหาเหล่านั้นให้เต็มที่ อีกทั้งตอนนั้นเจ้าตัวก็เริ่มทำงานที่คลินิกของคุณหมอจิตเวชที่ร่วมงานกันแล้ว จึงส่งผลให้เวลาพักผ่อนของพี่เขาเริ่มจะน้อยลง
ลำพังแค่ส่งข้อความหาผม ก็ถือว่าพี่เขาเก่งมากแล้ว ส่วนผมก็ทำได้แค่อวยพรด้วยข้อความเดิมๆ ในเวลาเดิมของทุกๆวัน

“ทำไมเงียบจัง ตอนนี้พี่เนย์ไม่ได้เข้าคลินิกไม่ใช่เหรอ?” ผมบ่นงึมงำกับตัวเองด้วยความสงสัย เมื่อสแกนบัตรเข้าคอนโดของพี่เนย์แล้ว พบว่าห้องทั้งห้องมันมืดสนิทจนน่าแปลกใจ เพราะเท่าที่จำได้ คลินิกที่พี่เขาทำงาน วันเสาร์กับอาทิตย์มันเปิดแค่ครึ่งวันเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้เวลาหกโมงตรง พี่เนย์จะต้องกลับมาถึงคอนโดแล้วสิ อีกอย่างตอนคุยโทรศัพท์ก็ไม่เห็นพี่เขาจะบอกเลยว่าไม่ได้อยู่ที่คอนโด
“ก็อยู่นี่ แล้วทำไมไม่เปิดไฟ หรือว่าสลบเหมือดไปแล้ว” ผมถอดรองเท้าใส่ในตู้บิวท์อินพลางอดบ่นเจ้าของห้องไม่ได้ เมื่อพบคีย์การ์ดวางเสียบอยู่ตรงช่องเสียบ จากนั้นรอบๆตัวก็เริ่มรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆของเครื่องปรับอากาศที่เปิดเอาไว้เพียงเบาๆ ก่อนจะหลุดขำออกมา เมื่อเข้าใจได้แล้วว่า อีกฝ่ายเขาคงจะหมดสภาพนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้อง ถึงได้ปิดไฟจนมืดสนิทขนาดนี้ ผมก็เลยเลือกจะเดินคลำทางเอาเอง เพราะไม่อยากจะรบกวนคนที่มีเวลาพักผ่อนอันน้อยนิด

“มึงหลงทางอีกแล้วเหรอวะ?” พี่เนย์พูดขึ้นอย่างงัวเงีย เมื่อผมเผลอไปเตะข้อเท้าของอีกฝ่ายที่นอนราบอยู่ตรงพื้นหน้าโซฟาในโซนรับแขกเข้าให้
“เปล่าครับ พอดีภาษามือด้านกฎหมายเปลี่ยนมาสอบช่วงหลังมิดเทอม ก็เลยออกจากมหาลัยช้าหน่อย พี่กลายเป็นคนขี้ลืมไปแล้วเหรอครับ?” ผมอธิบายพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าของพี่เนย์ ผู้ซึ่งฝังใจในการเดินทางมายังกรุงเทพด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกของผมมากๆ เพราะวันนั้นผมดันหลงทางจนวุ่นวายไปหมด ขนาดว่าก่อนจะมานี่ ผมได้ลองปรึกษากับไอ้คินและแอ้มมาบ้างแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง หนทางของกรุงเทพมันซับซ้อนกว่านั้น แถมผมดันงก ไม่อยากนั่งแท็กซี่ เสล่อไปต่อรถเมล์ แล้วเป็นไงล่ะ ได้ทัวร์กรุงเทพซะสนุกเลย
สุดท้ายวันนั้นก็เล่นเอาพี่เนย์แทบจะพ่นไฟใส่ผมจนวอดวาย แต่กว่าจะจับจุดได้ ก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีอย่างการแชร์โลเกชั่นทางไลน์ให้พี่เขาทราบ ซึ่งอีกฝ่ายก็ลั่นวาจาว่าจะมารับผมด้วยตัวเอง ส่วนผมให้อยู่นิ่งๆเป็นที่เป็นทางก็พอ เพราะเดี๋ยวมันจะหลงทางกันไปใหญ่ ซึ่งผมก็ได้แต่นั่งหงอยตรงหน้าป้ายรถเมล์ เพราะกลัวว่าพี่เขาจะดุและทำโทษเหมือนกับตอนถูกโจรปล้นอีก
แต่สุดท้าย เมื่อเรากลับถึงห้อง อีกฝ่ายกลับเข้ามากอดผมไว้ อย่างหวงแหน
ที่สำคัญ วันนั้นผมก็ไม่ถูกทำโทษหรือว่าถูกดุอะไรเพิ่มอีกเลย งงเหมือนกัน แต่ก็ดีแล้ว

“กวนตีนได้ตลอดนะมึงน่ะ” พี่เนย์ว่าพลางเอื้อมมือมาผลักหัวผมจนเซ ซึ่งผมที่ยังไม่ชินกับความมืดก็ต้องเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ
“แต่สาเหตุที่ทำให้มาช้าจริงๆ ก็เพราะผมไปแวะเดินตลาดวังหลังนี่แหละครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสดใส พลางวางข้าวของที่ตัวเองหอบหิ้วมา ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปิดไฟให้ความสว่างจนทั่วห้อง

“อ่อ สรุปว่าเดินทางไม่หลง แต่เสือกหลงในตลาดแทน ดีจริงๆ แล้วนั่นขนมบ้าบิ่นตรงข้ามโรงพยาบาลใช่มั้ย?” ผมหัวเราะเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ พร้อมกับพยักหน้าหลังจากที่พี่เขาถามถึงขนมที่ตัวเองซื้อมา
“มึงตาถึงนะเนี่ย” ผมหัวเราะ เมื่อพี่เขาออกปากชม พลางเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มยุ้ย

“เออ เห็นมึงซื้อทับทิมกรอบมา กูก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ เมื่อวานนี้กูไม่เจอลุงแกเข็นขนมปลากริมไข่เต่ามาขายเลยว่ะ เพราะฉะนั้นมึงอดนะครับ” พี่เนย์ว่าพลางเอามือข้างที่หยิบขนมบ้าบิ่นมายีหัวผมจนยุ่ง แบบนี้ผมก็ต้องสระผมใหม่น่ะสิ ไอ้พี่นี่เว้ย
“พี่เนย์! ผมเพิ่งจะสระผมมาเองนะ” ผมปัดมืออีกฝ่าย พลางทำหน้ายุ่งไม่หยุด ส่วนพี่เขากลับหน้าระรื่น จนคล้ายกับคนไม่ได้เพิ่งตื่นนอน

“เหรอวะ?” พี่เขาย้อนถาม ก่อนจะลุกขึ้นยืน และเดินตรงไปยังห้องครัว เพื่อล้างหน้าล้างตา แต่ท่าทางของนักจิตบำบัด ตอนที่เขาย้อนมาถามผมนี่ มันเหมือนกับนักกวนประสาทที่น่าต่อยสักหมัดจริงๆ
“กวนตีน” ผมแกล้งพูดแบบไม่มีเสียง เมื่ออีกฝ่ายเขาเดินกลับมานั่งรื้อของที่โต๊ะตรงโซนรับแขก

“มึงนั่นแหละกวนตีน กูยังจำที่มึงว่าไอ้เขี้ยวกุดได้นะเว้ย” พี่เนย์สะบัดหยดน้ำที่ยังเกาะฝ่ามือของตัวเองใส่หน้าผม พร้อมกับชี้หน้าคาดโทษซะด้วย ผมก็ได้แต่ยิ้ม โดยไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงอะไร
“ทำไมมึงซื้อแบบตายอดตายยากชิบหายเลยวะ” พี่เนย์บ่นอุบ ส่วนผมก็แค่ยักไหล่ เพราะผมซื้อเฉพาะที่ผมอยากกิน หรือได้ยินว่ามันเป็นของขึ้นชื่อของตลาดนี้ ก็เลยมีแต่ ทับทิมกรอบ ซ่าหริ่ม ขนมบ้าบิ่น ทาโกะยากิ ลูกชิ้นปลาทอดกรอบ กระเพาะปลา หอยครกทอดกรอบ แล้วก็ยังมีผลไม้อีกนิดหน่อย ส่วนซูชิตอนแรกก็ว่าจะซื้ออยู่หรอก แต่เพราะเคยกินบ่อยแล้ว เลยกะเอาไว้กินวันหลังดีกว่า ผมจะได้สั่งสารพัดเมนูแซลม่อนได้เยอะๆด้วย 

“พรุ่งนี้พี่พาผมไปกินก๋วยจั๊บญวนหน่อยสิครับ เห็นว่าแถวนี้มีร้านดังขึ้นชื่อ”
“อืม แต่หลังกูเลิกงานนะ” ผมพยักหน้า เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ในเมื่อขากลับ พี่เนย์มักจะเป็นคนไปส่งผมที่มหาลัย ฉะนั้นจะกินตอนไหนก็ได้ ขอแค่ให้ได้กินก็พอ

“ครับ เดี๋ยวผมไปเอาชามมาใส่กระเพาะปลาก่อน” ผมว่าพลางลุกเดินเข้าไปในครัว เพื่อหยิบชามและช้อนซ้อมมาใส่กระเพาะปลาที่ผมตัดสินใจซื้อมาเป็นมื้อเย็นในวันนี้ เพราะคาดว่าพี่เนย์น่าจะยังไม่ได้กินอะไรแน่ๆ ซึ่งผมก็คิดถูก แต่จริงๆ ที่ตลาดนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะกิน แต่ว่ามื้อหนัก เรากินแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว
“วันนี้เหนื่อยอีกแล้วเหรอครับ พี่ถึงมานอนหมดสภาพที่พื้นแบบนี้?” ผมถามพลางตักกระเพาะปลาเข้าปาก

“ไม่เท่าไหร่ กูนอนเล่นไง ตื่นแล้วแต่ไม่ยอมลุก จนเผลอหลับไปอีกรอบ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มึงมาถึงห้องแล้ว” พี่เนย์ตอบพลางตักกระเพาะปลาและหน่อไม้เข้าปาก ผมจึงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเราต่างก็นั่งกินทุกอย่างที่ซื้อมาจนหมด ผมถึงค่อยแยกตัวเข้าไปอาบน้ำ ส่วนพี่เนย์ก็ทำหน้าที่ล้างจาน พร้อมกับเก็บโต๊ะทำความสะอาดให้เรียบร้อย จากนั้นอีกฝ่ายก็มาเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดถึงค่อยมาอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวดูหนังตามโปรแกรมที่เจ้าตัววางไว้
กระทั่งเราสองคนอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย พี่เนย์ก็บอกให้ผมขนหมอนกับผ้าห่มออกไปข้างนอก เพราะในห้องนอนไม่มีโทรทัศน์ เราจึงต้องไปเกลือกกลิ้งกันที่พื้นตรงโซนรับแขก

“พี่จะดูเรื่องอะไรเหรอครับ?” ผมนอนตะแคงจองที่ด้านหน้าติดขอบทีวี พร้อมกับห่มผ้าและหนุนหมอนใบใหญ่อย่างเตรียมพร้อม จะเหลือก็เพียงแค่ผมยังไม่รู้เลย ว่าพี่เขาจะเลือกหนังเรื่องอะไรและแนวไหนมาดูในวันนี้
“Side effects เห็นว่าเป็นหนังเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช” พี่เนย์ตอบพลางง่วนอยู่ตรงหน้าโทรทัศน์ ก่อนจะโยนกล่องใส่ดีวีดีมาให้ผมอ่าน เรื่องย่อก็จะประมาณว่า เอมิลีตัวเอกของเรื่อง ต้องต่อสู้กับความโดดเดี่ยว หลังจากที่มาร์ติน สามีของเธอต้องติดคุกเพราะคดีความทางการเงิน ขณะที่เอมิลีก็ต้องเข้ารับการบำบัดและกินยา เพื่อรักษาอาการของโรคซึมเศร้าโดยจิตแพทย์โจนาธาน แบงส์ กระทั่งมาร์ตินพ้นโทษ ชีวิตคู่ก็แลจะไปได้สวย แต่แล้ววันหนึ่งเอมิลีก็ตื่นขึ้นมา และพบว่ามาร์ตินถูกฆาตกรรมภายในห้องพักของตัวเอง
ผมอ่านคำโปรยหลังปกยังไม่ทันจบ ไฟก็ดับสนิทจนเหลือเพียงแค่แสงสว่างจากหน้าจอสี่เหลี่ยมของโทรทัศน์ พร้อมกับเจ้าของห้องที่เดินกลับมาซุกตัวลงนอนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“เธอจะฆ่าตัวตายแน่ๆ” ผมพูดขึ้น เมื่อเห็นเอมิลีตัวเอกของเรื่อง เอาแต่จ้องมองไปที่คำว่า ‘Exit’ อย่างแน่วแน่ และยังไม่ทันจะสิ้นคำถาม รถคันดังกล่าวก็ขับพุ่งเข้าชนกำแพงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“อืม สาเหตุที่เธอตัดสินใจทำแบบนั้น คงเพราะเธอต้องการจะหลุดพ้นจากความเป็นตัวเองที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีดำปนเทาจากความหม่นหมอง อีกอย่างเราจะเห็นได้ว่า ตอนต้นเรื่อง สามีของเธอก็อยู่ในคุกแล้ว แสดงว่าทุกอย่างรอบกายของเธอต้องเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขนาดที่ว่าถึงสามีของเธอจะกลับมา แต่การเปลี่ยนแปลงในอดีตมันยังคงเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ จึงส่งผลให้เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า” พี่เขาวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมต่างๆของหนัง เพราะในความเป็นจริงแล้ว นักจิตวิทยาอย่างพี่เนย์ จะทราบข้อมูลเหล่านี้ผ่านทางแบบทดสอบในด้านต่างๆ เช่น แบบทดสอบด้านเชาว์ปัญญา แบบทดสอบด้านบุคลิกภาพ และอีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นแบบทดสอบที่ได้มาตราฐานในทางจิตวิทยา ซึ่งจะเลือกใช้ตามที่จิตแพทย์ต้องการจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเอามาประกอบการวินิจฉัยโรค และหากว่าจิตแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ป่วยจะต้องได้รับการเยียวยาทางจิตใจ นักจิตวิทยาก็จะรับช่วงต่อในการพูดคุยให้คำปรึกษา รวมไปถึงการทำจิตบำบัดในรูปแบบเดี่ยวหรือกลุ่ม  โดยการให้คำปรึกษา ทั้งทางด้านสุขภาพทั่วไป สุขภาพจิต ทักษะการใช้ชีวิต รวมไปถึงปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน ที่จะเน้นให้ผู้ป่วยแก้ไขปัญหาได้ด้วยหนทางที่ตัวเองต้องการ และพึงพอใจให้มากที่สุด เพื่อให้มีการเจริญเติบโตทางด้านจิตใจที่มากขึ้นด้วยวิถีทางของตัวเอง หรือพูดง่ายๆก็คือ นักจิตวิทยาจะไม่ใช่ผู้หาทางออกให้กับผู้ป่วย แต่จะช่วยให้ผู้ป่วยค้นหาทางออกของตัวเองให้ได้ดังนั้นนักจิตวิทยาจึงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนผู้ป่วย หรือบอกว่าสิ่งที่ผู้ป่วยกำลังทำนั้นมันผิดหรือถูก เนื่องจากนักจิตวิทยาจะต้องเคารพในสิทธิและความคิดของผู้ป่วย โดยการรับฟังและประคับประคองสภาพจิตใจของผู้ป่วยให้เป็นในทิศทางที่ดีขึ้นตามทฤษฏีต่างๆที่ได้เรียนมา
ซึ่งผมก็เพิ่งจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยาก็ตอนที่พี่เนย์เขาบอกว่า ถ้าแค่พูดคุย นักจิตอย่างเราไม่สามารถอ่านใจของผู้ป่วยได้เป็นประโยคเหมือนกับในหนัง แต่จะสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ป่วยได้จากการที่เขา walkin เข้ามาพบ รวมไปถึงการสัมภาษณ์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงการทำแบบทดสอบในเชิงจิตวิทยาที่จะสามารถทำให้นักจิตวิทยาเข้าใจถึงภาพรวมของสภาพจิตใจ และมองเห็นบุคลิกภาพ พฤติกรรมของคนๆนั้นได้ชัดเจนขึ้น

“ผลข้างเคียงของยานี่มันส่งผลให้เธอฆ่าสามีของตัวเองโดยไม่รู้ตัวได้เลยเหรอ?” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจอีกครั้ง เมื่อฉากที่ตัวเอกของเรื่องปลอดภัยจากการคิดทำร้ายตัวเองมาถึงสองครั้ง กระทั่งหมอแบงส์ได้เปลี่ยนยารักษาตัวใหม่ ตามคำแนะนำของแพทย์เจ้าของไข้เดิม แต่มันกลับมีผลข้างเคียงที่ทำให้เอมิลีนอนไม่หลับและเดินละเมอ จนลุกขึ้นมาทำอะไรโดยไม่รู้ตัว เช่นว่าจัดปาร์ตี้ในตอนกลางคืน กระทั่งวันหนึ่งผลข้างเคียงของมัน กลับส่งผลให้เธอกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าสามีของตัวเอง จึงยิ่งตอกย้ำให้ผมเข้าใจว่า บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่มันดีจนครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ หรือแม้กระทั่งยารักษา ก็ยังสามารถพบกับผลข้างเคียงของมันได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกับการที่เหรียญยังมีสองด้าน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองในด้านดีหรือว่าด้านไม่ดี แต่ถ้าหากเป็นไปได้ ผมว่าการเลือกมองทั้งสองด้าน แล้วมาชั่งน้ำหนักเอาทีหลัง มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“โรคที่มันเกี่ยวข้องกับจิตใจ อะไรก็เกิดได้ทั้งนั้น ไม่ว่ามูลเหตุของมันจะมาจากอะไรก็เถอะ” ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และก็เริ่มอินไปกับเนื้อเรื่องในด้านของเอมิลีที่ตกเป็นเหยื่อของการรักษา ขณะที่จิตแพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้เองก็น่าเห็นใจ เพราะในทางกฎหมายเขาเองก็เสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี และอาจถึงขั้นหมดอนาคตในด้านวงการแพทย์

“กูว่าหนังเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่หนังในเชิงจิตวิทยาซะแล้วว่ะ” พี่เนย์พูดขึ้นในขณะที่หน้าจอโทรทัศน์ กำลังปรากฏภาพของคุณหมอจิตเวชที่มองจ้องไปยังโฆษณาของระบบความปลอดภัยอย่างแอร์แบ็คและเข็มขัดนิรภัย
“ยังไงครับ?” ผมหันไปถามอีกฝ่ายที่กำลังนอนท้าวศีรษะอยู่ด้านหลังด้วยความสงสัย เพราะผมยังจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย

“มึงลองดูต่อไปดิ เดี๋ยวปมมันก็เผยออกมาเรื่อยๆ จากตัวหมอนั่นแหละ” พี่เขาพูด พลางเอื้อมมือข้างที่ว่างมาผลักหัวผมอีก ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เพราะตั้งแต่ดูมา ผมดันมุ่งประเด็นไปที่การเชื่อถือในตัวเอก และมองแบบตั้งข้อสงสัยต่อคนรอบข้างของเธอ แต่พี่เนย์กลับเลือกตั้งข้อสงสัยในตัวเอกของเรื่อง โดยที่ผมยังมองไม่เห็นถึงข้อสงสัยนั้น

“นี่มันหนังเสียดสีวงการแพทย์ชัดๆ”  ผมพูดออกมาอย่างอึ้งทึ่ง เมื่อตัวหนังพูดถึงการปั่นหุ้นในช่วงที่เกิดคดีฆาตกรรมของตัวเอก อันเป็นสาเหตุมาจากยารักษา ซึ่งผมก็เริ่มเอะใจแล้วว่าแพทย์เดิมที่แนะนำยาตัวนี้กับคุณหมอคนปัจจุบัน จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาตัวนี้ด้วยหรือเปล่า เพราะอะไรหลายๆอย่างมันดูประจวบเหมาะกันเกินไป
“ก็นะ กลิ่นเงินมันก็มักจะหอมหวานเสมอ” ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะถึงยังไง เงินก็คือปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง และอาจจะสำคัญมาก เมื่อสิ่งที่เราต้องการมันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็น อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่ หรือแม้กระทั่งเครื่องนุ่งห่ม ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมี ‘เงิน’ เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่กลิ่นของมันมักจะหอมหวานยั่วยวนใจใครต่อใครได้ง่ายๆ

“พีคมั้ยล่ะมึง” พี่เนย์พูดขึ้น ทันทีที่หนังเริ่มเฉลยปมเรื่องที่มันเริ่มพลิกโผ ผมจึงได้แต่อึ้ง เพราะคิดไม่ถึงว่าหนังแนวจิตวิทยามันจะกลายมาเป็นแนวอื่นไปได้ อีกทั้งปมต่างๆที่เกี่ยวกับตัวเอก ก็ยังตลบกลับไปกลับมาจนน่าเหลือเชื่อ
ช่างเป็นหนังที่ควรจะรู้เนื้อเรื่องให้น้อยที่สุดจริงๆ
จะได้มาเจอกับความพีคเหมือนผมนี่

“นอนนี่เลยแล้วกัน กูขี้เกียจย้ายที่ละ” พี่เนย์พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เมื่อโทรทัศน์และเครื่องเล่นดีวีดีถูกปิดลง พร้อมกับเจ้าตัวที่คลานกลับมาซุกตัวภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ก่อนจะรวบตัวผมมากอดไว้หลวมๆ

“รัน” ผมขยับตัวหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ตามเสียงเรียก ส่งผลให้ลมหายใจของพี่เขาเป่าลดใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ปลายนิ้วโป้งของชายหนุ่มตรงหน้า ก็เอาแต่ลูบไล้ข้างแก้มซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ผมก็ได้แต่นอนนิ่งๆ ให้พี่เขาแตะต้องได้ตามใจนึก ตั้งแต่ดวงตา เรื่อยมาจนถึงปลายจมูก และปิดท้ายที่ริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง กระทั่งสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืด
ผมถึงได้รู้ตัวว่า อีกฝ่ายกำลังคิดจะใช้ส่วนอื่น เข้ามาทดแทนการสัมผัสจากปลายนิ้วข้างนั้น

“คิดถึง” สิ้นคำกระซิบชิดริมฝีปาก พร้อมด้วยโฟกัสทางสายตาที่มันพร่าเลือน หัวใจของผมก็เริ่มเต้นระส่ำเหมือนกับครั้งแรกที่รู้สึกตัวว่ากำลังตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ ที่กำลังมอบรสจูบอันแสนอบอุ่น เหมือนกับกระไอแดดในยามเช้า ส่งผลให้อารมณ์ที่มันซุกซ่อนอยู่ภายใน เริ่มค่อยๆหลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเผลอไผลตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างอีกฝ่ายด้วยความหลงใหล
บทจูบครั้งแล้วครั้งเล่าจึงเกิดขึ้น โดยที่เราต่างก็ผลัดกันรุกไล่อย่างรู้ใจ

“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เมื่อฝ่ามืออุ่นร้อนค่อยๆเข้ามาซุกตัวอยู่ภายใต้กางเกงบอลผิวเรียบลื่น พร้อมกับลูบไล้ไปทั่วผิวเนื้อกลึมกลึงที่มีเพียงผืนผ้าบางๆ อันเป็นปราการชิ้นสุดท้ายขวางกั้นอยู่ ส่งผลให้ขนอ่อนของผมชูชันไปทั่วร่าง ขณะที่เลือดในกายมันก็พลันเดือดพล่านอย่างลิงโลด อีกทั้งริมฝีปากก็คอยแต่จะโหยหาสัมผัสหวามไหวเหมือนเมื่อครู่ แต่อีกฝ่ายเขากลับไม่ยินยอม ผมจึงได้แต่ลากไล้เล็มเลียซอกคออันหอมกรุ่นของนักจิตวิทยาหนุ่มอย่างหลงใหล สลับกับฝากฝังร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
“คิดถึงพี่ใช่มั้ย” อีกฝ่ายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงติดจะเอ็นดูจนผิดเวล่ำเวลา ซ้ำยังจุมพิตลงบนเรือนผมอันชื้นเหงื่อของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างของพี่เขา ก็ยังคงรุกรานเบื้องล่างอย่างหนักหน่วง จนส่งผลให้ความอึดอัดร้อนรุ่มเริ่มจะตีตื้นขึ้นมาจนน่ารำคาญ

“หืม?” พี่อาคเนย์เริ่มย้ำถามในลำคออีกครั้ง เมื่อผมไม่ยอมตอบ
“ค..คิดถึง” ผมตอบเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนคู่นั้นเริ่มรุกไล่เข้ามายังปราการชิ้นสุดท้าย เพื่อเป็นการคาดคั้นเอาคำตอบ ก่อนจะค่อยๆลากผ่านผิวเนื้อนุ่มลื่นบริเวณบั้นท้ายมายังข้างสะโพก จวบจนกระทั่งแน่นิ่งลงที่ส่วนไวสัมผัส ผิวกายของผมก็เริ่มมีปฏิกิริยา โดยไม่อาจทราบว่าสาเหตุของมัน เกิดจากการออสโมซิสความร้อนจากผิวกายของอีกฝ่าย หรือว่ามันเป็นเพราะความต้องการที่ใกล้จะระเบิดออกมาจนเต็มทนกันแน่

“งั้นเรามาทำอะไรให้หายคิดถึงกันดีไหม?” พี่เนย์พลิกตัวผมขึ้นมาคล่อมทับบนตัวเอง พร้อมกับยกยิ้มอย่างอ่อนโยน หากแต่คำถามกลับส่อเคล้าจาบจ้วงอยู่ในที
“ย..ยังไงครับ” ผมถามแบบแกล้งโง่ แม้ในความเป็นจริง ผมจะเข้าใจสถานการณ์ต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่เพราะผมกำลังตื่นเต้น ที่จู่ๆ ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเรา มันกลับเข้ามาทักทายอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่ผมอาจต้องเป็นคนเริ่มต้น

“…” พี่เนย์ไม่ตอบ แต่กลับย้ายฝ่ามือมาทำหน้าที่ปลดรั้งกระดุมออกจากรังดุมทีละเม็ดอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเผยให้เห็นผิวกายภายใต้อดีตเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายอย่างไม่โจ่งแจ้งมากนัก จากนั้นอีกฝ่ายก็ลูบไล้ปัดป่ายไปทั่วผิวเนื้อของผม ราวกับนักสำรวจฝีมือดี ก่อนจะสะกิดลงบนพื้นที่ที่เจ้าตัวครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้วว่า ณ จุดนั้น มันสมควรจะต้องได้รับการใส่ใจมากเป็นพิเศษ
แต่แล้วนักสำรวจเขาก็เริ่มจะรุกล้ำพื้นที่มายังเบื้องล่าง พร้อมกับขยับสะโพกของผมให้คลอเคลียไปกับช่วงล่างที่กำลังซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ร่มผ้า ผมจึงได้แต่เม้มปากแน่น พร้อมกับเสมองไปทางอื่น พลางรู้สึกว่าตัวเองไม่น่ารีบคุ้นชินกับความมืดได้เร็วนักเลย ไม่อย่างนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องมาหลบหน้าพี่เนย์ให้วุ่นวายแบบนี้หรอก

“หึหึหึ”  แต่แล้วพี่เขาก็หัวเราะในลำคอติดกันจนตัวสั่น พร้อมกับรั้งศีรษะผมให้เอนลงมาแนบชิดกัน

“พี่แกล้งผมเหรอครับ?” ผมถามเสียงเข้ม ขณะที่ใบหน้าก็แดงซ่าน อีกทั้งยังร้อนระอุอย่างบอกไม่ถูก เพราะสถานการณ์เมื่อครู่มันน่าอายชะมัด ในเมื่อเหตุการณ์นี้มันเหมือนกับกิจกรรมรักของเรากำลังจะโลดโผนขึ้นมาอีกนิด
“หึหึหึหึ” พี่เนย์ยังคงไม่ตอบ แต่กลับล็อคศีรษะของผมไว้แน่น ผมจึงทำได้เพียงซุกใบหน้าลงกับหมอนตรงบริเวณซอกคอของอีกฝ่าย ขณะที่โสตประสาทก็ต้องทนฟังเสียงหัวเราะอันน่าโมโหนั่นด้วย

“กูไม่ได้แกล้ง แต่กูคิดจริง แล้วก็อยากให้มึงทำจริงๆด้วย” พี่เขาพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบด้วยน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ชวนให้คล้อยตามอย่างบอกไม่ถูก
“แต่กูให้เวลามึงทำใจก่อนก็ได้” พี่เขาพูดอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ พร้อมกับพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว จากนั้นริมฝีปากหนาก็ตรงเข้าบดคลึงกลีบปากทั้งบนและล่างของผมด้วยความเสน่หา ก่อนจะส่งปลายลิ้นเข้ามาสำรวจภายในด้วยความสงสัยใคร่รู้ กระทั่งอารมณ์แห่งความปรารถนาเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เรียวลิ้นของเราต่างก็สัมผัสรัดรึงกันอย่างโหยหา ก่อนจะผลัดเปลี่ยนมารุกไล่กันอย่างเอาใจ จนส่งผลให้เสียงสัมผัสดังก้องไปทั่วห้องพักอันเงียบสงัด ขณะที่แสงจันทร์ก็สาดส่องเข้ามายังบริเวณประตูกระจกที่เชื่อมต่อกับส่วนของระเบียงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณโซนรับแขกมากนัก
เวลานี้ ผมจึงสามารถมองเห็นสภาพของพี่เนย์ ที่ก็เริ่มจะไม่เรียบร้อยเหมือนคราแรกได้อย่างชัดเจน

“เพื่อความเท่าเทียมนะรัน” พี่เขากล่าวพลางทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ในตำแหน่งเดียวกับที่ผมเผลอฝากฝังเอาไว้ที่อีกฝ่าย จนผมได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดใบหน้า พร้อมกับหัวเราะด้วยความเก้อเขิน เมื่อพี่เขาหยอกล้อกับการกระทำที่มันเป็นไปโดยธรรมชาติของจิตใต้สำนึก ที่มันแอบซ่อนเอาไว้ว่า ‘ตัวผมน่ะหวงแหนพี่เนย์มากแค่ไหน’   
“มึงรู้มั้ยว่าทุกครั้งที่เราทำแบบนี้ กูรู้สึกได้ว่าเราต่างก็สามารถเติมเต็มกันและกัน ในด้านของความรู้สึกที่ไม่ใช่แค่เรื่องฉาบฉวย แต่มันกลับผสมไปด้วยทุกความรู้สึก มากเท่าที่มนุษย์คนนึงจะสัมผัสมันได้ในด้านบวก” พี่เขาพูดพลางเล็มไล้ผิวเนื้อตั้งแต่ช่วงคอ ลงไปยังลาดไหล่ ก่อนจะไล่ลงมายังบริเวณท้องน้อย และลากผ่านบริเวณกึ่งกลางของแผ่นอก และจบลงที่การเล็มไล้ปลายลิ้นไปตามแนวซี่โครงแต่ละข้างจนผมหวามไหว และรู้สึกดีที่ความสัมพันธ์ของเรามันคือเรื่องที่สวยงามมากกว่าแค่เรื่องฉาบฉวย

“ครับ” สกิลการประมวลผลข้อความที่อีกฝ่ายบอกกล่าวของผมในตอนนี้ มันแทบจะติดลบซะให้ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากถามว่าผมจับใจความได้ไหม ก็ถือว่าได้ เพียงแต่ประสาทสัมผัสมันกลับทำงานได้ดี จนผมรู้สึกว่าร่างกายมันเริ่มจะไม่ใช่ของผมอีกต่อไป เพราะมันกลับกลายเป็นของพี่เนย์ ผู้ที่สามารถควบคุมมันได้ดีกว่าตัวผม ผู้ซึ่งทำได้แค่เพียงเผยอปากเพื่อผ่อนคลายความเสียวกระสันที่วิ่งวนอยู่ภายในกายอย่างร้อนรน ส่งผลให้ช่วงล่างชื้นแฉะด้วยแรงอารมณ์จนน่าอับอาย
“รันคิดถึงพี่มากจริงๆด้วย” พี่เนย์กล่าวอย่างหยอกล้อ พลางยกยิ้มจนเต็มแก้มอย่างน่าหมั่นไส้ เมื่อฝ่ามืออุ่นของอีกฝ่ายกำลังแตะแต้มลงบนส่วนอ่อนไหวผ่านทางเนื้อผ้า ผมจึงได้แต่หันหน้าหนี และเสมองไปทางอื่น เนื่องจากว่าเรื่องแบบนี้ผมแทบจะไม่ได้คิดเลย เพราะวันๆผมเอาแต่ยุ่งอยู่กับภาษามือที่เจอแต่ความหินของมันครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมรับว่าเครียดจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นนั่นแหละ
ซึ่งพอถูกปลุกเร้าเข้าหน่อย มันก็ย่อมจะอ่อนแอเอาได้ง่ายๆ

“อ..อือ..พี่เนย์” กระทั่งปราการชิ้นสุดท้ายก็ไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้อีก ผมก็ได้แต่หลับตาครางเครือเสียงแผ่ว เมื่อช่วงล่างกำลังถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความอุ่นชื้นจากริมฝีปากคู่นั้นที่ผมคุ้นเคยกับมันดี กระทั่งสัมผัสเริ่มหนักแน่นขึ้น ผมก็เผลอลืมตามองความเป็นไปรอบๆตัว พร้อมกับแอ่นกายรับสัมผัสนั้นอย่างย่ามใจ ก่อนจะเม้มปากแน่นเป็นระยะ เมื่อภาพเงาสะท้อนตรงหน้ากลับเป็นภาพของเราสองคนในท่วงท่าที่ล่อแหลม

“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ พี่เนย์ก็ดึงรั้งผมให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรุนหลังให้โน้มตัวลงบนโต๊ะกระจกอันเรียบเย็น ขณะที่ในใจของผมมันก็เริ่มเต้นระส่ำขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสมองกำลังประมวลผลว่าพี่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่แล้วก็ต้องหลับตาปี๋ เมื่อสภาพกายของตัวเองมันช่างน่าอาย เพราะในตอนนี้มันแทบจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่บนร่างอีกแล้ว ยิ่งมาอยู่ในท่วงท่าแบบนี้อีก
แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสัมผัสอุ่นชื้นค่อยๆเล็มไล้บริเวณด้านหลังอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้ความรู้สึกมันเริ่มตีรวนขึ้นมาอีกหน กระทั่งความรู้สึกใดๆ ก็ไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้อีก ผมจึงได้แต่ครางแผ่วอย่างรัญจวนใจ พร้อมกับขยับไหวผิวกายเสียดสีไปกับความเรียบเย็นของแผ่นกระจก ส่งผลให้เสียงหอบหายใจ ดังสลับกับเสียงครวญครางอย่างกลั้นไม่อยู่

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2017 14:50:47 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“เราไปต่อที่ห้องนอนกันเถอะ” จู่ๆ พี่เขาก็ฉุดรั้งห้วงแห่งอารมณ์ของผมให้หล่นวูบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการชักชวนให้ไปต่อในห้องนอน ทั้งๆที่ก่อนหน้าเจ้าตัวยังบ่นขี้เกียจอยู่เลย ให้ตายสิ ทีเวลาอย่างนี้กลับมาขยัน เพราะต้องการจะแกล้งผมชัดๆ
“ไม่อยากไป ระวังเจ็บตัวนะมึง ตัวช่วยอยู่ในนั้น เข้าใจ๋?” อีกฝ่ายยิ้มร่าอย่างหยอกล้อ แต่ผมนี่สิเหมือนถูกตบหน้าจนชาไปหมดแล้ว

“มึงตัวหนักว่ะ” พี่เนย์ปรามาสทันทีที่ตัดสินใจอุ้มผมแล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องนอน โดยไม่คิดแม้แต่จะปิดประตูสักนิด
“แล้วพี่จะอุ้มผมทำไมครับ?” ผมย้อนถาม

“มึงช้า กูใจร้อน” สิ้นคำตอบ พี่เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างแรง จนร่างของเราจมลงสู่ฟูกที่นอนไปด้วยกัน เพียงแต่โพซิชั่นมันเริ่มจะกลับมาแปลกๆอีกแล้ว
นี่เวลาในการเตรียมใจของผม มันใกล้จะหมดลงแล้วจริงๆเหรอวะ?
จะขอต่อเวลาอีกสักสิบนาที ไม่สิ ขอแค่ห้านาทีก็ไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย?

“เดี๋ยวกูหลับตา มึงเชื่อใจกูได้” พี่เขาโน้มตัวผมเข้าหาจนปลายจมูกของเราแนบชิดกัน ขณะที่ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบกับการยื่นข้อเสนอของอีกฝ่าย
“อื้อ” ผมหลับตา พลางสูดลมหายใจจนเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วในลำคอเพื่อเป็นการตอบตกลง เพราะไม่ช้าก็เร็ว ยังไงผมก็ต้องได้รับโอกาสนี้จากพี่เขาอยู่ดี

ขั้นแรกผมเริ่มจากการเปลื้องอาภรณ์ช่วงบนด้วยการปลดกระดุมชุดนอนของอีกฝ่ายทีละเม็ดด้วยฝ่ามืออันสั่นเทา ขณะที่สายตาก็คอยแต่จะเหลือบมองไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย เพื่อตรวจเช็คว่าพี่เขาแอบขี้โกงหรือไม่ กระทั่งเห็นว่านักจิตวิทยาเขาไม่ได้ลืมตาแอบมองตามที่สัญญาไว้ ผมก็ค่อยแตะแต้มริมฝีปากของตัวเองลงบนผิวกายแน่นๆ ที่ตอนนี้เริ่มจะแอบมีเนื้อหนังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากอาหารการกินในบริเวณนี้ มันอร่อยจนผมยังติดอกติดใจ
แล้วพี่เขาล่ะ อยู่แถวๆนี้ทุกวัน จะไม่ให้อุดมสมบูรณ์ขึ้นก็คงยาก

ผมอาศัยลักจำเอาจากพี่เนย์ เท่าที่สติของผมจะเก็บรายละเอียดได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเก้ๆกังๆอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มต่ำครางเครืออย่างพึงพอใจ ใบหน้าของผมก็เริ่มแดงซ่าน อีกทั้งยังช่วยปลุกอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองที่มันขาดห้วงให้มันพุ่งสูงขึ้นได้ง่ายๆ

“มึงเก่งมากรัน” ผมชะงักเมื่อได้ยินคำชมจากพี่เนย์ ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆปรากฏขึ้น เพราะคำชมจากอีกฝ่าย มันเหมือนกับน้ำหล่อเลี้ยงในจิตใจจากผมได้ทุกเรื่อง และมันยังเป็นคำที่สามารถเพิ่มความกล้าที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าให้กับผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เวลานี้ผมจึงสามารถเป็นฝ่ายควบคุมพี่อาคเนย์ให้อยู่ภายใต้ความต้องการของผมได้
“อ่า รันดี อึก มาก” พี่เขายังคงออกปากชม เหมือนกับรู้จุดอ่อนในข้อนี้ของผมดี จนทำให้การปรนเปรอด้วยริมฝีปากมันค่อยๆเป็นไปอย่างราบรื่น กระทั่งถึงจุดๆหนึ่ง พี่เนย์ก็รีบรั้งกายของผมให้เข้ามารับรสจูบแห่งความชื่นชม ก่อนที่อีกฝ่ายจะบอกที่ซ่อนของตัวช่วยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ผมจึงเอื้อมมือเปิดลิ้นชักตรงข้างเตียง พร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีออกมา

“มึงทำเองเลย มึงจะได้มั่นใจว่ามันมากพอที่จะไม่ทำให้มึงเจ็บ” พี่เขาว่าอย่างจริงจังไม่ได้มีแววล้อเล่น แต่ผมกลับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่ง ผมจะต้องมาพึ่งพาตัวช่วยด้วยน้ำมือของผมเอง ซึ่งมันออกจะน่ากระดากอายมากกว่าเดิมเสียอีก
“เดี๋ยวกูจะหันไปมองทางอื่น” พี่เขาลุกขึ้นนั่งในท่วงท่าที่ถนัดขึ้น ก่อนจะหันหน้ามองไปทางอื่น พร้อมกับคว้าหัวผมไปวางแปะอยู่ตรงลาดไหล่อันเปลือยเปล่า ผมจึงได้แต่เหลือบมองสารหล่อลื่นที่วางอยู่ใกล้ๆมืออย่างแน่นิ่ง
ก่อนจะตัดสินใจใช้มัน

“อึก พ..พี่เนย์” ผมคุกเข่าพลางโน้มตัวลงฝังใบหน้าเข้ากับกลุ่มผมอันหอมกรุ่นของอีกฝ่าย พร้อมกับทำตามการลักจำของตัวเองอีกครั้ง กระทั่งปลายนิ้วเริ่มจากหนึ่งเป็นสองตามลำดับ ก่อนจะขยับไหวอย่างกล้าๆกลัวๆ
“อ๊ะ..อือ..พี่” ผมเงยหน้าขึ้น พร้อมกับยืดตัวตรงอย่างประหม่า เมื่อฝ่ามือของตัวเองมันเริ่มขยับตามการชักนำของผู้มีประสบการณ์ ที่ยังคงทำตามสัญญาว่าจะไม่หันมามอง ส่งผลให้จิตใจของผมเริ่มล่องลอยไปในอากาศอีกครั้ง เมื่อความหวามไหวกำลังเข้ามาทักทาย กระทั่งภายในเริ่มเต้นตุบๆ ความเสียวกระสันก็เริ่มตามมาอย่างไม่รีรอ และสุดท้ายผมก็สามารถทำใจ สวมใส่เครื่องป้องกันให้พี่เขาจนได้ ก่อนจะขึ้นมาคล่อมทับบนเรือนร่างกำยำของอีกฝ่ายตามการชักนำ ขณะที่ความอุ่นร้อนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน กลับทวีความคับแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนพี่เขาต้องเริ่มนำทางให้ผมขยับไหวไปตามการแนะนำของผู้ช่ำชอง

เวลานี้ตัวผมจึงคล้ายกับดอกแดนดิไลออนอันแสนแผ่วเบา ที่สามารถโบยบินไปตามการชักนำของสายลม เป็นระยะทางอันยาวไกลอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง เพราะน้ำหนักของมันก็ไม่ต่างกับความไร้ซึ่งประสบการณ์ในเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ สายลมอย่างพี่เนย์จึงต้องคอยเป็นไกด์นำทางแบบตัวต่อตัว จนผมค่อยๆล่องลอยไปตามจังหวะเนิบช้าบ้าง ร้อนแรงบ้าง จนร่างทั้งร่างมันสั่นคลอนอย่างไร้การควบคุม แต่แล้วสายลมก็หายเงียบไป จึงส่งผลให้ดอกแดนดิไลออนอย่างผม ต้องค่อยๆงัดความกล้าทั้งหมดมาประกอบกันเป็นหน้ากาก เพื่ออำพรางตัวตนอันเก้อเขินของผมไว้ จากนั้นจังหวะรักก็เริ่มถูกชักนำไปตามความต้องการของตัวผมเอง
“เก่งมาก อืม อ่า ดีมากรัน” ผมอมยิ้มตรงมุมปากอย่างพึงพอใจเล็กๆ ที่พี่เขาออกปากชมแม้กระทั่งเรื่องแบบนี้ ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่าย พร้อมกับมอบจูบอันลึกซึ้ง และขยับไหวไปตามแรงอารมณ์ที่เริ่มพุ่งสูง
กระทั่งฝั่งฝันมันอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม

จากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง จนพี่เขาต้องเป็นฝ่ายถอดถอนกายออกจากตัวผม ก่อนจะขอตัวออกไปหยิบหมอนและผ้าห่มกลับมาให้ เพราะกลัวว่าผมจะหนาว
“Don’t let the bedbugs bite” หลังจากเจ้าของห้องเขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเดียวกัน พร้อมกับคลี่ผ้าห่มให้คลุมกายของเราทั้งสอง พี่เขาก็ขยับตัวหันหน้าเข้าหา ผมเลยยอมขยับกายที่มันร้าวระบมไม่ต่างกับครั้งแรกของเรา จากนั้นคนตัวโตก็ขโมยประโยคบอกฝันดีของผมไปใช้ พร้อมกับจุมพิตลงบนหน้าผากอย่างอบอุ่น ขณะที่ผมก็ได้แต่หัวเราะ พร้อมกับเล่นปอยผมของพี่เนย์อย่างเพลิดเพลิน

“เดี๋ยวนี้ความเป็นกูมันออสโมซิสเข้าหามึงไปแล้วเหรอ?” พี่เขาถามพลางยิ้มบางๆ
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่ามันเหมาะกับพี่เนย์ดี ก็เลยลองใช้ดู แล้วเป็นไงครับ พี่ตีความออกตอนไหน?” ผมถามด้วยความอยากรู้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ

“แรกๆ กูก็งงว่ามึงเป็นบ้าอะไร อยู่ๆมาบอกกูว่าอย่าให้แมลงที่เตียงกัดนะ มึงรู้ป่ะ วันนั้นกูรื้อที่นอนซะกระจุยกระจายไปหมด คิดว่ามึงเคยเจอแมลงบนเตียงกู แล้วเพิ่งนึกออก ก็เลยส่งข้อความมาบอก”
“ฮ่าๆ” ผมขำจนเสียงดังลั่น เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายเขาจะตีความตรงๆตั้งแต่ทีแรก

“ก็ใครมันจะไปคิดว่ามึงอยากจะสื่อความหมายเหมือนกูนี่หว่า มึงไม่ใช่คนแบบนั้น กูก็ต้องคิดในแบบที่เป็นมึงดิ แต่ว่ากูชอบนะ มันเป็นคำอวยพรที่น่ารักดี แถมยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นใจอีกต่างหาก อีกอย่างประโยคแบบนี้กูก็เพิ่งจะเคยได้ฟังจากมึงเป็นคนแรกนี่แหละ มันรู้สึกดีชะมัด ที่มึงเหมือนกับเข้าถึงตัวตนทางความคิดของกูได้” พี่เนย์พูดด้วยแววตาเป็นประกาย จนผมอดจะยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้ พร้อมกับหัวใจที่มันค่อยๆพองโตกลับคำบอกกล่าวของพี่เขาอย่างช้าๆ
“Don’t let the bedbugs bite” ผมพูดประโยคดังกล่าว ก่อนจะหลับตาและแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากของพี่เนย์ที่มันลอยล่องอยู่ตรงหน้า แล้วผละออกมา แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้น เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะง่วงนอนเข้าให้แล้ว เนื่องจากกิจกรรมเมื่อครู่มันทำให้ผมเสียพลังงานมากกว่าทุกครั้ง
ผมจึงได้แต่หวัง..
ว่าเราสองคนจะหลับฝันดี และไม่มีอะไรมารบกวน ตามคำอวยพรที่เราต่างก็ได้รับจากกันและกัน


-----------------------------------------
[edit 26/12/2017 คำผิด กระเพราะปลา > กระเพาะปลา / 28/12/2017 คุมกาย > คลุมกาย
28/12/2017 แก้คำตกหล่น]
สำหรับตอนนี้เราใช้เวลาเขียนนานมาก เพราะมันมีเรื่องของวิชาการกับเลิฟซีนนี่แหละค่ะ เราเลยต้องนั่งหาคลิป หาบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาคลินิกอ่านจนหัวหมุน เพราะต้องการจะเขียนถึงความแตกต่างระหว่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยา รวมไปถึงการทำงานของนักจิต คือฟังคลิปแล้วจับใจความจนมึนไปหมด แล้วดูเขียนออกมากระจึ๋งนึง 5555 ส่วนเลิฟซีนนี่ปราบเรามากจริงๆ ไม่ค่อยชอบเขียนเท่าไหร่ มันคิดคำให้ดูไม่ล่อแหลม และมองเห็นภาพแบบลางๆได้ยากมาก พยายามจะให้ภาษามันสวยๆ แต่เขียนทีเหนื่อยมาก เพราะเราไม่รู้จะขุดเอาคำอะไรมาเขียนฉากนี้ คือเขียนๆนอนๆ จนเริ่มรู้สึกว่า ทำไมไม่จบสักทีวะ 5555
ปล 1. สองตอนหน้าคงจะจบจริงๆแล้วแหละ คิดว่านะ เพราะเราไม่มีรายละเอียดอะไรมากแล้ว เท่ากับตอนพิเศษเท่ากับตอนหลักเลยค่ะ แปลกๆ 55555
ปล 2. เราอยากแนะนำให้ดูเรื่อง Side effects จริงๆค่ะ สนุกดี ในเรื่องก็เขียนสปอยไปซะเยอะเลย แฮร่

ดอก Tampopo หรือแดนดิไลออน เป็นดอกไม้แห่งความสุข ความร่าเริงและความหวัง ในการ์ตูนแอนิเมชันหลายเรื่องรวมถึงโดราเอมอนได้แสดงให้เห็นว่าเมล็ดของ Tampopo กำลังปลิดปลิวไปทั่ว เพื่อสื่อความหมายของความสุขสดชื่นในวันที่อากาศดี และสำหรับประเทศที่มีการงอกงามของต้นแดนดิไลออน ผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าการอธิษฐานและเป่าเพียงครั้งเดียวเพื่อให้เมล็ดของแดนดิไลออนทั้งหมดหลุดออกจากฐานรองดอกจะทำให้สมหวังในคำอธิษฐาน
ที่มา : http://anngle.org/th/j-lifestyle/tampopo-dandelion.html


อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 25
“side effects (2013) สัมผัสอันตราย”. (เพจHidef12UP). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  www.movieshunsa.com. [23 พ.ย. 2560].
“นักจิตวิทยาคือใคร แตกต่างกับจิตแพทย์อย่างไร?”. (เพจTU Psychiatry). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.facebook.com.[16 มิ.ย. 2557].
“3บทบาทนักจิตวิทยาคลินิก”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[13 มี.ค 2554].
“4บทบาทการประเมินทางจิตวิทยา”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[14 มี.ค 2554].
“บทบาทด้านจิตบำบัด”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[19 มี.ค 2554].
“8 จิตบำบัดคืออะไร”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[8 เม.ย 2556].
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2017 22:05:38 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :man1: หมั่นเขี้ยวอะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด