11.00 น. | Safe House “ตะวันเตะก้นแล้วยังไม่ตื่นอีกเรอะ” ผมทักคนที่นอนซมอยู่บนโซฟา สภาพไม่เหมือนตำรวจที่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เหมือนยาจกมากกว่า
“มาแล้วเหรอ” พี่ทัพทักเสียงเครือในลำคอ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
“กูนอนเกือบตีห้า..” อีกฝ่ายพึมพำ ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ผมนั่งลงที่โซฟาอีกตัว พี่ทัพขยับตัวและเอื้อมมือออกมา ดันแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะตรงกลางโซฟามาทางผมอย่างลวก ๆ ก่อนกลับไปนอนต่อในท่าเดิม ผมหยิบเอกสารดังกล่าวขึ้น เดาว่าอีกฝ่ายคงอยากให้เปิดดู
“น้ำครับ” พี่ธานพูดบอก วางน้ำเปล่าเสิร์ฟให้ผมกับพี่ทัพคนละแก้ว
“หึ..” ผมยิ้ม วางศอกซ้ายเท้าลงบนพนักโซฟาพลางอ่านข้อมูล อีกฝ่ายชำเลืองมอง ลุกขึ้นนั่งแล้วยกน้ำเปล่าขึ้นดื่ม
“ไอ้พวกเหี้ยนี่อะนะ อ้า.. กูอยากจะบ้า กูกับพ่อเคยยกมือไหว้พวกมันด้วย” พี่ทัพหลับตาพึมพำคล้ายบ่นกับตัวเอง น้ำเสียงของอีกฝ่ายเหมือนอ่อนล้าเต็มทีแล้ว
“ตั้งโต๊ะเสร็จแล้วครับนาย” ไอ้เข้มเดินมาบอก กลิ่นอาหารที่พวกผมซื้อมาลอยเตะจมูก ต้นเลือดหมูเจ้านี้น้ำซุปหอมสุด ๆ
“อ่าว ซื้ออะไรมา” พี่ทัพหยุดพูดแล้วมองหน้าผมอย่างสงสัย
“ต้มเลือด” ผมตอบพร้อมปิดแฟ้มลง ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะอาหารในทันที
“คือกูต้องลุกตามมึงใช่ไหม” เจ้าของห้องบ่นแต่ก็ลุกเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ต้มเลือดหมู ไก่สับจานใหญ่พร้อมแยกข้าวมัน ของโปรดผมคือตับไก่กับเซี่ยงจี๊ลวกที่สั่งเพิ่มพิเศษ แยกมากับน้ำซุปที่ชามหนึ่ง
“ไอ้ไฟ นี่มึงขับไปซื้อมาเหรอ” พี่ทัพตาโต เห็นหน้าตาอาหารก็คงทราบแล้วว่าเป็นร้านประจำของพวกเรา
“อืม ซึ้งปะละ” ผมยักคิ้ว
“หึ ๆ ๆ” พี่ธานกับพี่ทัพหัวเราะ เราเลื่อนเก้าอี้นั่งลง ไอ้เข้มวางถ้วยข้าวมันให้ผม พี่ทัพที่นั่งอยู่ขวามือและพี่ธานที่นั่งอยู่ซ้ายมือคนละถ้วย
“หอมฉิบหาย ซูดดดด ~” พี่ทัพหลับตาดมด้วยสีหน้ามีความสุข
“เดี๋ยว มึงยังไม่ได้แปรงฟันเลย” ผมนึกขึ้นได้ว่าพวกเรามาปลุกมัน
“ใครเขาแปรงก่อนกินข้าว” พี่ทัพอมยิ้มมุมปาก
“หนึ่งในสาเหตุที่เมียคุณหนีครับ” พี่ธานพูดหน้านิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ” ผมหัวเราะขณะตักพริกป่นใส่ในชามต้มเลือดหมูของตัวเอง คนถูกแซวเพียงแต่อมยิ้มน้อย ๆ ไม่ปฏิเสธ
“อย่าเพิ่งกิน” ผมปรามเสียงเข้ม ใช้ตะเกียบตีช้อนของพี่ทัพที่ทำท่าจะตักน้ำซุปคำแรกเข้าปาก
“มึงนี่นะ ก็รู้ว่ากูไม่ชอบแทนที่จะสั่งไม่ใส่จิงจูฉ่ายให้กู แล้วมึงก็สั่งใส่พิเศษไปสิ” อีกฝ่ายบ่นด้วยสีหน้าจริงจังและหยุดมือ ยอมให้ผมตักจิงจูฉ่ายที่ตนไม่ได้ชอบกินไปจากชามตัวเอง
“ต้มเลือดมันต้องมีกลิ่นจิงจูฉ่ายสิวะ ไปเรื่องมากเดี๋ยวแม่ค้าก็สาดน้ำซุปใส่กูพอดี” ผมบ่นกลับ พี่ทัพหัวเราะ
“กูว่ากูมาถูกทางแล้วนะ” พี่เขาชมตัวเอง ผมรับฟังเงียบ ๆ ขณะคนทุกอย่างให้เข้ากันก่อนจะคีบจิงจูฉ่ายขึ้นกิน
“แต่ที่กูสงสัยมากที่สุดก็คือ...” พี่ทัพทิ้งเสียงลง มือข้างหนึ่งเกาหัว อีกข้างจับตะเกียบค้างไว้
“ทำไม ไอ้กริดมันต้องฆ่าคนที่มารับส่วยจากมันด้วย ทั้ง ๆ ที่เงินนั่นเป็นเงินของไอ้กาย” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ผมเงียบ คีบเนื้อไก่จิ้มน้ำจิ้มก่อนนำเข้าปากอีกคำ พี่ทัพบ่นอิดออดเรื่องเดิมก่อนจะตักเนื้อหมูซึ่งเป็นของโปรดของเจ้าตัวเข้าปาก
“แล้วย่าเป็นไงบ้าง” พี่ทัพเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ดี” ผมตอบส่ง ๆ
“โทษทีนะ ย่าเลยมาซวยไปด้วย” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“หึ..” ผมอมยิ้ม
“มึงว่า การแข่งมวยรอบนี้มันไม่ชอบมาพากลไปหน่อยเหรอวะ ไอ้กายมันคุมให้ธุรกิจมันเงียบขนาดนี้เพราะอะไร” พี่ทัพขมวดคิ้ว
“.........” ผมไม่ตอบ เพราะกำลังตักน้ำซุปเข้าปาก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นอีกฝ่ายจ้องมาเหมือนต้องการคำตอบ
“มันอาจจะอยากเป็นคนดีรึเปล่า” ผมบอก
“กูจริงจัง” พี่ทัพปัดเอือม ๆ
“หึ ๆ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะเมื่อถูกรู้ทันว่าตั้งใจกวนพี่แก
“กีฬากับพนันมันเป็นของคู่กัน จะประเทศไหน ๆ ก็เหมือนกัน”
“........” พี่ทัพนิ่งไปก่อนพ่นถอนหายใจออกมา
“ต่อให้ถูกกฎหมายก็พนันอยู่ดี มันก็แค่.. หนึ่งในวิธีหาเงินของผม” ผมขยายความยิ้ม ๆ
“มึงจะพูดถึงธุรกิจบิดเบี้ยวของมึงก็นึกถึงใจกูบ้าง” อีกฝ่ายสบถอย่างรับไม่ได้ ผมหัวเราะในลำคอ บทสนทนาเงียบลงครู่หนึ่ง เสียงแตงในปากที่เพิ่งคีบกินพร้อม ๆ กับเนื้อไก่ดังสะท้อนอยู่ในหู
“แล้วนี่มึงไม่คิดจะถามหน่อยเหรอว่ากูจะทำยังไงกับของที่มีอยู่” พี่ทัพยียวน หมายถึงหลักฐานที่สามารถเอาผิดคดีใหญ่ระดับประเทศที่เจ้าของที่พักมีอยู่ได้
“........” ผมไม่ตอบ เท้าศอกลงบนโต๊ะ มืออีกข้างคีบเนื้อไก่จิ้มน้ำจิ้มแล้ววางลงบนถ้วยข้าวมันของพี่ธานก่อนจะหยุดมือ ความเงียบถูกทิ้งไว้นานพอให้แน่ใจว่าคนถามก็ไม่ได้มีใจอยากบอกเช่นกัน
พี่ธานใช้ช้อนตักข้าวมันพร้อมกับไก่ที่ผมคีบให้ขึ้นกินเงียบ ๆ ก่อนพูดออกมา “ไก่ ต้มไม่เป็นมันจะคาวนะครับ”
“หึ” ผมแสยะยิ้ม
“ซื้อกินถึงได้สะดวกกว่าไงครับ” พี่เขาขยายความทำให้พี่ทัพช้อนตาขึ้นมอง อีกฝ่ายถูกผมกับพี่ธานจ้องอย่างนี้ขณะที่เราทั้งสามเงียบอยู่หลายวินาที
"แนะนำกูแต่อย่าง กูเป็นตำรวจนะไอ้ไฟ" พี่ทัพขมวดคิ้วบ่นอย่างหนักใจ
“พวกพี่มันเป็นยังไงรู้ไหม เป็นพวกที่บอกว่าตัวเองอยู่ในระบบทั้ง ๆ ที่ทำตัวนอกระบบ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ชอบกินของคาวแต่ปากบอกไม่ชอบ” ผมพูด
“ผม.. แค่แปลสิ่งที่อยู่ในหัวพี่ธานให้ฟังน่ะ” ผมยิ้มขยายความ พี่ธานลดระดับสายตาลง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนิดหน่อยอย่างพอใจ
“ไอ้สัส..” พี่ทัพพึมพำ
“หึ อยากกินของคาวก็ต้องใช้คนคาว ๆ”
“แบบมึงเรอะ ?!” อีกฝ่ายประชดกลับ มองผมตาขวาง
“ก็คาวใช้ได้อยู่นะ” ผมเบิกตากว้าง พยักหน้ายอมรับปนหัวเราะ
“........” พี่ทัพวางตะเกียบลง เอนหลังพิงพนักพิงแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง
“ถ้าอยากจบเรื่องนี้ชาตินี้ ก็ให้พวกมันล้มกันเอง” ผมพูดเรียบ ๆ อย่างไม่แยแส คำตัดบทจากผมทำให้อีกฝ่ายเหลือบหางตามองมา
“นายครับ” ไอ้เข้มเดินเข้ามาแทรกกลางวง ในมือถือโทรศัพท์มือถือของตนอยู่ อีกฝ่ายสบตาผมครู่หนึ่งคล้ายขออนุญาตว่าสิ่งที่กำลังจะบอกนี้อาจเป็นความลับที่ไม่ควรให้พี่ทัพทราบ
“ไม่เป็นไร” ผมอนุญาต
“กริดไม่ได้ถือหุ้นโต๊ะพนันร่วมกับกายครับ มันร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในฮ่องกง...”“........” ผมหันไปมองหน้าไอ้เข้มในทันที
“เห็นสายบอกว่า
เป็นเฮียชาครับ” อีกฝ่ายขยายความพร้อมหลบสายตาผมลง
“เห็นว่าพวกมันมีปากเสียงกันก่อนที่จะถอนหุ้นของกริดออกครับ”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่หมากซะละมั้ง” ผมถอนหายใจ ตัดบทบทสนทนาของทุกคน
- - - - - - - - - -
10.30 น. | เพชรบูรณ์“อากาศดีอะไรเช่นนี้ ~” เสียงของเพื่อนสนิทพอใจกับบรรยากาศของที่พักบนเนินเขาท่ามกลางธรรมชาติของรีสอร์ตสไตล์โมเดิร์นแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตั้งอยู่ห่างจากสถานที่เก็บตัวของนักมวยค่ายผมเกือบสิบห้ากิโล ไม่มีใครในที่นั้นทราบว่าผมอยู่ที่นี่เพราะถูกสั่งไว้ไม่ให้บอกว่าผมจะตามมาดู
“มึงพักนะ กูจะไปที่ค่ายหน่อย” ผมพูด ลุกขึ้นพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง
“อืม กลับเข้ามาก็ซื้ออะไรมากินเลยนะ” ไอ้โปรดตอบพร้อมทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา
“คุณโปรดจะไม่ออกไปไหนหน่อยเหรอครับ” ไอ้เด่นผู้ชอบเที่ยวถึงกับเสียงหลง
“ก็ออกมาถึงเขาค้อแล้วมึงยังจะต้องให้กูออกไปไหนอีก ?! กูอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ไก่ไม่โห่ แล้วนี่แวะปั๊มมากี่รอบแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างเรอะ” ไอ้โปรดสบถบ่น
“หึ ๆ ๆ” ผมหัวเราะ ขำตรงไก่ไม่โห่ของมัน
“มึงอยู่นี่” ผมสั่งไอ้เด่น
“ผมขับให้ครับนาย” ไอ้เด่นยิ้มแฉ่ง
“กูไปกับพี่ธาน มึงอยู่กับโปรดนี่แหละ” ผมปัด อีกฝ่ายหน้าหงอยลงทันที
“อยู่เป็นเพื่อนเล่นหนูนี่แหละ ~” ไอ้โปรดได้ทีแกล้ง ทำเสียงออดอ้อนกวนใจไอ้เด่น
“พร้อมแล้วครับคุณไฟ” พี่ธานเดินมาบอก
“ไปนะ” ผมบอกไอ้โปรด อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะเดินออกมาพร้อมกับเสียงโอดครวญของไอ้เด่นที่อยากตามมาด้วย
บรรยากาศช่วงสายที่แดดยังไม่ถือว่าจัดมากนักทำให้ผมเลือกที่จะกดเปิดกระจกและปิดเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาใด เวลาการเดินทางก็สั้นนิดเดียว พี่ธานจอดรถยนต์ห่างออกจากสถานที่ฝึกไกลพอสมควร เราเดินเท้ากันต่อเพื่อไปยังจุดลับตาคนเพราะไม่ต้องการให้คนในทีมรู้ว่าผมมาที่นี่...
“จะไม่เข้าไปคุยกับครูมวยหน่อยเหรอครับ” พี่ธานถามหลังจากที่เรายืนมองการฝึกซ้อมได้พักหนึ่ง
“ไม่ครับ” ผมตอบ มืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนเอนตัวพิงผนังกำแพงมองเข้าไปยังด้านในขณะที่นักมวยกำลังซ้อมกันอย่างขยันขันแข็ง ร่างกายของสมุทรผอมลงนิดหน่อย ดูเหมือนไขมันบางส่วนได้กลายเป็นกล้ามเนื้อที่กระชับขึ้น
“น้ำหนักหมอนั่นลงไหม” ผมถาม
“ลงสองโลครับ” พี่ธานตอบ
“.......” ผมเงียบ จู่ ๆ ก็แปลกตาที่เห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนที่กำลังพูดถึง อีกฝ่ายคุยอยู่กับนักมวยคนอื่น เป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนผมจะไม่ได้เห็นมาพักใหญ่แล้ว
“น่าจะพอทำใจได้แล้วนะครับ เรื่องยาย” พี่ธานพูด คงเห็นเหมือนกัน ผมไม่ตอบอะไร จดจ้องการชกที่แน่วแน่และมีความมั่นใจขึ้นต่างจากการซ้อมที่ประจวบฯ ก่อนหน้า
“กลับเถอะ” ผมบอก
“ครับ”
...
“คุณยุทคะ ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะ ไม่ทราบว่ามีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับคลิปหลุดของลูกชายคุณคะ”
“แหล่งข่าวบอกว่าลูกชายของคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล.. คุณยุทคะ เดี๋ยวค่ะ รบกวนตอบคำถามด้วยค่ะ”
“จากคดีคลิปหลุดว่ามีการค้าบริการของลูกชายคุณยุธ ยุธทกร xxx ว่ามีการเชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทาทำให้หุ้นของบริษัท yuttakit ดิ่งลงในเช้าวันนี้”ผมกลับถึงที่พัก หยุดยืนมองหน้าจอโทรทัศน์ที่ไอ้โปรดเปิดทิ้งไว้ ข่าวครึกโครมหลายวันมานี้เป็นข่าวของคนใหญ่คนโต ทั้งนักการเมืองและคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวงการกลางคืน ซึ่งหากมองให้ดี ทั้งหมดนั้นมีส่วนเชื่อมโยงกัน...
“กลับมาแล้วเรอะ กลับเร็วจังวะ” ไอ้โปรดที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยทัก สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่สบาย ๆ เหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมตรงไปนั่งลงที่โซฟาและกดรีโมทเปลี่ยนช่องเพื่อหาข่าวช่องอื่น แต่ 80% ก็ยังคงเป็นข่าวที่คล้าย ๆ กัน
“ไอ้เด่นไปไหน” ผมถาม
“ไปซื้อกาแฟให้กู” ไอ้โปรดตอบ
“หุ้นตกระเนระนาดเลย ดีนะพ่อกูชิงขายก่อน อย่างกับมีตาทิพย์” ไอ้โปรดบ่น
“รึว่ามีวะ ?” มันยืนเท้าเอว ขมวดคิ้วพึมพำสงสัยถึงพ่อตัวเอง ผมอมยิ้ม บางทีก็อดสงสัยตามที่ไอ้โปรดพูดไม่ได้เหมือนกัน
“ใครเป็นคนปล่อยข่าววะ แล้วเพื่ออะไร หลายเดือนมานี้มีแต่ข่าวแนวนี้โผล่ขึ้นมาจากน้ำแบบแปลก ๆ เหมือนมีใครตั้งใจทำให้โผล่” มันบ่นกับตัวเองคล้ายไม่ต้องการคำตอบ ดูไม่ติดใจกับข่าวครึกโครมนี้นัก แน่นอนว่าผมเองก็ไม่ได้ตอบถึงเหตุผลของการกระทำเหล่านั้นเช่นกัน
“เออ อาทิตย์หน้าใช่ไหมที่นักมวยมึงจะขึ้นชกอีก” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง
“มึงนี่สมาธิสั้นนะ” ผมทัก
“หึ ๆ ๆ” ไอ้โปรดหัวเราะเก้อเขิน
“สมาธิกูยาวอยู่เรื่องเดียวแหละ” อีกฝ่ายทำหน้าขึงขังเป็นงานเป็นการ
“หึ ๆ ๆ” ผมก้มหน้าเพราะอดขำไม่ได้ รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“กูลงข้างสมุทรห้าล้านแล้วกัน ฝากบอกเจ้ามือล่องหนของมึงด้วย” ไอ้โปรดยักคิ้วด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์
“.........” ผมจ้องมันกลับโดยไม่พูดอะไรอยู่หลายวินาที
“หาเงินใช้ ช่วงนี้ไม่ค่อยบิน” มันบอก ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาด้วยการเมินสายตาจากผม
“กาแฟมาแล้วคร๊าบ” ไอ้เด่นกลับมาได้จังหวะพอดี
“นายกลับมาแล้วเหรอครับ ผมซื้อกาแฟมาเผื่อพอดีเลยครับ” มันยิ้มแป้น กุลีกุจอเข้ามาเสิร์ฟอเมริกาโนเย็นที่ซื้อมาให้ผมกับพี่ธานคนละแก้ว พร้อมกับวางลาเต้เย็นซึ่งเป็นของไอ้โปรดด้วย
ติ๊ง ~“โอนไปแล้วนะ” ไอ้โปรดที่นอนกระดิกเท้าอยู่พูดบอก ผมไม่ตอบ หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นดูก็พบว่าได้รับเงินโอนเข้าเป็นจำนวน 5 ล้านบาทจริง ๆ
“เอาอะไรมามั่นใจ” ผมพูดถึงสมุทร
“ไม่แน่ว่าคงพนันอีกข้างกับใครไว้สิบล้านมั้งครับ” พี่ธานพูดแทรกขึ้นมา
“ฮึ้ยยย ~ บ้าบอ เอาเงินจากไหนมาเยอะแยะ” ไอ้โปรดแสยะยิ้มตอบปัดทีเล่นทีจริง ดูเหมือนจะชอบใจที่ถูกพี่ธานรู้ทัน
“........” ผมเงียบ ยังคงนั่งมองเพื่อนสนิทไม่วางตา
“มึงเองก็คงไม่พนันข้างคนอื่นหรอกใช่ไหมล่ะ ถึงบางครั้งมึงจะระยำไปบ้าง แต่มึงมันเป็นพวกรักศักดิ์ศรีอะไรทำนองนี้” อีกฝ่ายทำทีวิเคราะห์
“ได้” ผมยอมรับปากเรื่องลงพนัน
“ขอบคุณครับ” ไอ้โปรดผงกหัวยิ้มรับ
“คุณไฟครับ เย็นนี้คุณไฟอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” พี่ธานถามพร้อมหยิบสมุดเมนูของห้องอาหารโรงแรมมาเปิดดู
“ไม่หรอกครับ แล้วแต่ไอ้โปรดเถอะ” ผมตอบ
“ครับ แล้วกลางวันล่ะครับ” อีกฝ่ายถามต่ออีก
“ผมไม่หิวครับ” ผมปัดก่อนลุกเดินออกมาพร้อมกับแก้วกาแฟที่ไอ้เด่นซื้อมาให้ ได้ยินเสียงไอ้โปรดพูดกับพี่ธานว่า “ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย ขับไปซื้อมาให้กินหน่อยสิ” แว่ว ๆ พร้อมกับพี่ธานที่ตอบกลับด้วยการถอนหายใจใส่ ทำเอาหลุดยิ้มได้นิดหน่อย
วันนี้ทั้งวันผมก็นั่ง ๆ นอน ๆ ถือเป็นการมาพักผ่อนไปในตัว ส่วนไอ้โปรดพากันออกไปข้างนอกกับไอ้เด่น เห็นว่าจะออกไปหามื้อกลางวันกินกัน ผมก็อนุญาตให้ไปเพราะดูออกว่าคนของตัวเองระริกระรี้อยากออกไปข้างนอกจะแย่แล้ว
ตกเย็นวันนั้น พี่ธานเตรียมอาหารเย็นด้วยการสั่งจากห้องอาหารของโรงแรมมากินที่ห้องพัก บรรยากาศยามเย็นของที่พักบนภูเขาถือว่าไม่แย่นัก จะว่าเย็นมากก็ไม่เชิง เรียกว่าอากาศกำลังดีมากกว่า เราตั้งโต๊ะและนั่งกินดื่มอย่างเรียบง่ายก่อนแยกย้ายกันไปเมื่อตกดึก ที่ยอมแยกย้ายกันโดยง่ายเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องออกเดินทางแต่เช้า เนื่องจากไอ้โปรดมีความตั้งใจว่าอยากจะไปไหว้พระธาตุ อาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อที่คนอย่างมันมีความประสงค์จะเข้าวัด แต่ผมก็ไม่ขัดศรัทธาน่ะนะ
- - - - - - - - - -
เวลาตี 4.30 น. ผมตื่นขึ้นก่อนใคร อาบน้ำแต่งตัว หยิบกุญแจรถยนต์ของไอ้โปรดที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นก่อนเดินทางออกมาคนเดียว
บรรยากาศช่วงฟ้าสางในต่างจังหวัดเป็นเวลาที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกกว่าตอนที่อยู่ในเมืองเสมอ ระหว่างที่ขับรถไปตามเส้นทางมีรถยนต์ขับสวนไปแทบนับคันได้ เป็นเวลาที่พระออกเดินบิณฑบาตพร้อมกับเด็กวัดที่เดินตามหลังลัดเลาะไปตามถนนใหญ่เพื่อเข้าไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ รถยนต์เคลื่อนตรงไปยังถนนเส้นหนึ่งที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเป็นเส้นเดียวที่คนในค่ายจะต้องวิ่งผ่านสำหรับการฝึกเช้านี้
ผมจอดรถยนต์อยู่ที่ข้างอู๋ซ่อมรถแห่งหนึ่งที่ยังไม่เปิดทำการ ออกมาหยุดยืนอยู่ข้างตัวรถ ห่างออกจากถนนใหญ่หลายร้อยเมตร พุ่มไม้ใบหญ้าโดยรอบรกร้างไม่ได้รับการดูแลทำให้ผมไม่เป็นที่สังเกต ลมพัดผ่านทำให้ได้กลิ่นหญ้า อากาศบริสุทธิ์ตอนเช้ามักมีกลิ่นพิเศษทำให้แตกต่างจากช่วงเวลาอื่น ผมเอนหลังพิงท้ายรถไว้ นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 05.00 น. ขณะก้มลงมองมือตัวเองที่ถือกล่องบุหรี่สีดำของเจ้าของรถ นำติดมือออกมาด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ฝาบุหรี่ถูกดันออกด้วยนิ้วโป้งก่อนจะปิดลง เสียงของการเปิดปิดนั้นเบาบางท่ามกลางเสียงต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกลมพัดผ่านไป
แกรก.. แกรก... แกรก....ครั้งสุดท้าย ฝาถูกเปิดทิ้งไว้อย่างนั้นครู่ใหญ่...
“........” ผมนิ่งมองบุหรี่ที่อัดแน่นอยู่ข้างใน มีเพียงช่องว่างหนึ่งช่อง มันถูกใช้งานไปแล้วหนึ่งมวน ความลังเลยังคงอยู่ แต่ปากดันคาบสิ่งที่ทำให้ลังเลนั้นขึ้นมา ไฟแช็กทำหน้าที่ในทันที ไม่นานนักก็ได้กลิ่นกลิ่นเดียวกับเพื่อนสนิท
เสียงของพี่เลี้ยงนักมวยเร่งคนของตัวเองแว่วมาแต่ไกล ขณะนั้นเองก็เห็นนักมวยและคนในค่ายค่อย ๆ ทยอยวิ่งออกมาเรียงแถวอยู่บนถนนใหญ่ ทั้งนักมวยรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ทั้งไทยและต่างชาติ ทั้งที่เป็นนักชกอาชีพและพวกที่ยังถือว่าเป็นเพียงมือสมัครเล่น แต่ละคนค่อย ๆ วิ่งผ่านหน้าไปพร้อมกับสุนัขของครูมวยในค่ายอีกหนึ่งตัวโดยไม่ทันสังเกตเห็นผม
ทั้งที่เต็มไปด้วยคนที่มีรูปร่างสมบูรณ์แข็งแรงในแบบโครงสร้างของแต่ละคน แต่หมอนั่นกลับสะดุดตาผมกว่าใคร ไม่ใช่เพราะหน้าตา แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทำไมถึงดูดีในสายตาผม โทรศัพท์มือถือที่อยู่กระเป๋าหลังกางเกงถูกหยิบออกมาโดยอัตโนมัติ นิ้วที่กำลังกดไปยังกล้องถ่ายรูปละล้าละลังเล็กน้อย ทันทีที่ควันบุหรี่ค่อย ๆ ถูกปล่อยออกมา จู่ ๆ ก็เปลี่ยนใจ สุดท้ายจึงหยุดมือไว้แค่นั้น..
ผมเงยหน้าขึ้นมองสมุทรอีกครั้งหนึ่ง คิ้วขมวดกับการกระทำของตัวเองอย่างอดไม่ได้ โทรศัพท์มือถือถูกกดปิดลงและสอดเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไว้เช่นเดิมโดยไม่ถูกทำหน้าที่แต่อย่างใด ผมก้มหน้าลง มองรองเท้าหนังสีน้ำตาลคู่โปรดที่ใส่มาแล้วไม่รู้ต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนหนังเกิดรอยเต็มไปหมด นิ้วมือคีบบุหรี่ออกพลางใช้มือเดียวกันนั้นลูบหัวตัวเองอย่าง
--ไม่เข้าใจ ชอบอะไรนะ ? ขี้อาย.. รอยยิ้มที่ดูใสซื่อมักจะปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในบุคลิกที่เอาจริงเอาจังและนิ่งขรึม แววตาใสซื่อนั่นก็ด้วย ซื่อ แต่บางครั้งกลับแสดงความซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง เหมือนต้องการแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่มีว่าจะทำร้ายเขาไม่ได้ถ้าหากเจ้าตัวเอาจริง ความขัดแย้งนั้นเข้ากันได้ดีจนน่าแปลก เป็นรอยยิ้มและแววตาที่ถูกใจจนไม่อยากที่จะละสายตาไปไหน ความหมายของแววตาที่มักตรงไปตรงมาจนไม่กล้าทักออกไปว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้น เวลาที่ถูกหลอกให้เชื่อ สายตาของเขามักจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ตนเองถูกหลอกและก็เท่านั้น มันว่างเปล่าคล้ายกับว่าไม่มีความแคลงใจใด ๆ อยู่ในนั้นเลย ถูกหลอกเหรอ ไม่จริงหรอกมั้ง อะไรทำนองนั้น เสร็จแล้วก็มักจะยิ้มอย่างเก้อเขินโดยไม่มีนัยแฝงใด ๆ
ชอบความไม่ซับซ้อนบนใบหน้านั้นแต่ลึก ๆ กลับมีบางอย่างซ่อนไว้ภายใต้ความใจดี ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งที่คนอื่นทำกับตัวเอง แต่กลับปิดไม่มิดว่ากังวลการกระทำของตัวเองต่อคนอื่น เหมือนจะดี แต่เป็นนิสัยแบบที่น่าหงุดหงิด...
ก็จริงของหมอนั่น ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ผมไล่ต้อนหมอนั่นหรือผมกำลังไล่ตามตัวเอง ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เล่นกับความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยการหยิบเอาความเป็นคนเอาจริงเอาจังของเขามาใช้ประโยชน์ก็คือผม เพราะชอบและมันก็สนุกดี และก็รู้ด้วยว่าถ้าอีกฝ่ายตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมา ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็จะส่งผลต่อผมทั้งนั้น แต่กลับหยุดไม่ได้ หยุดทำให้อีกฝ่ายร้อนรนไม่ได้ อยากทำให้ลุกลี้ลุกลนจนคิดเรื่องอื่นไม่ออกทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีจุดหมายอะไรให้ ต่อให้ไปนอนกับใครก็อยากทำให้ประสาทเสีย อยากทำให้เกิดแต่ความสงสัยในทุกการกระทำของผม
อยู่ดี ๆ ก็เกิดคำถามขึ้นมา ว่าถ้าทำให้เป็นของตัวเองได้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป...
“หึ รักดีไหมนะ” ผมพึมพำพลางแสยะยิ้มให้กับคำถามไร้สาระ แล้วถ้าอย่างนั้น
มีวิธีที่ทำให้เจ็บปวดจนไปไหนไม่รอดไหม“ยิ้มชั่วจนน่าขนลุก” “........” ผมหันขวับไปมองแขกไม่ได้รับเชิญ ไอ้บูรณ์หยุดยืนตรงหน้าด้วยชุดที่พร้อมสำหรับวิ่งยามเช้า เห็นเหงื่อมันซึมตามตัว คงวิ่งมาสักระยะแล้ว
“ไง” ผมยิ้มทัก
“กูพยายามคิดว่ามึงก็เป็นคนโอเคนะ แต่หลายครั้งกูปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าตามึงนี่มันเกิดมาเพื่อกวนตีนคนอื่นจริง ๆ” มันบ่นคล้ายหนักใจ
“ชั่วจนสงสารคนถูกมอง” ไอ้บูรณ์พึมพำและกวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่กำลังวิ่งอยู่ คิ้วขมวดคล้ายสงสัยว่าผมมองใครในนั้น แต่มันก็ไม่ถามออกมา
“หึ ๆ พรสวรรค์มั้ง” ผมหัวเราะปัดไปงั้น
“ไม่เห็นรู้ว่ามา” อีกฝ่ายพูด
“งั้นก็ช่วยทำเหมือนผมไม่มาได้ไหมละครับ” ผมตอบ
“ก็ได้อยู่” มันตอบรับอย่างยินดี ผมหัวเราะในลำคอ ชอบที่อีกฝ่ายหัวไว
“ไม่ชอบให้คนอื่นสูบ แต่ตัวเองสูบเองเนี่ยนะ” ไอ้บูรณ์แสยะปากประชด คงฝังใจเรื่องคราวก่อน
“จะทักทำไมเล่า ไม่กลัวกูอายบ้างรึไง” ผมบ่นกลับ
“อาย ? หึ..” อีกฝ่ายเบ้หน้าอย่างรับไม่ได้ ผมยิ้ม ยื่นบุหรี่ไปตรงหน้ามัน
“เลิกแล้ว” ไอ้บูรณ์ปฏิเสธหนักแน่น คำพูดนี้ทำเอาผมยิ้มกว้าง
“ก็ว่า ดูสุขภาพดี” ผมแซว สำรวจมองหัวจรดเท้า เห็นว่าสีหน้าก็ดีขึ้นด้วย
“ก็มีบางคนมันไม่ให้กูตาย” อีกฝ่ายประชดกลับ
“ฮิ ๆ ๆ” ผมยิงฟันหัวเราะชอบใจ สิ้นเสียงหัวเราะจากผมบรรยากาศรอบตัวก็สงบลง นักมวยวิ่งหายไปหมดแล้ว ถนนใหญ่ว่างเปล่าอีกครั้ง
“มาก็ดีแล้ว กูก็ว่าจะโทรไปคุยอยู่เลย ชกรอบถัดไป นักมวยคู่ชกของสมุทรมันโหดเอาเรื่องอยู่นะ ถึงสมุทรจะฝีมือดีแต่เวทีใหญ่แบบนี้กูกลัวว่า...”
“ฝากด้วยแล้วกัน” ผมตัดบทก่อนที่จะอนุญาตให้ไอ้บูรณ์ได้พูดจบประโยค มันชะงัก มองผมไม่กะพริบตา
“เพราะมึงเคยชนะทางนั้นกูถึงได้พามา” ผมพูด หยิบกุญแจรถที่วางอยู่ท้ายรถมาถือเตรียมไว้
“หน้าที่กลัวเป็นหน้าที่ของสมุทร ไม่ใช่หน้าที่มึง”
“อืม งั้นก็ได้” ไอ้บูรณ์พยักหน้ารับทราบด้วยสีหน้าหนักแน่นในทันที ราวกับว่ามันตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่าหลังจากนี้จะต้องทำอย่างไรต่อไป
“เต็มที่เลย มีอะไรก็โทรมา” ผมตัดบทบอกก่อนจะก้าวเดิน
“ไฟ...” อีกฝ่ายเรียกไว้ ผมหันกลับไปมอง
“กูอยากบวช” มันพูด ผมชะงัก ไม่คิดว่าจะถูกบอกโต้ง ๆ เช่นนี้ด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้น
“บอกไว้ก่อน เผื่อมึงให้ตารางวันหยุดยาวกูได้เมื่อไหร่ ช่วยบอกกูด้วย”
“จะแต่งเมียเรอะ ?” ผมขมวดคิ้ว
“ใครบอกมึง” ไอ้บูรณ์ขมวดคิ้วงงงวยด้วยเช่นกัน
“โบราณ” ผมตอบ
“เฮ้อ กูละเหนื่อยใจ” อีกฝ่ายบ่น
“หึ ๆ เออ จบการแข่งเวทีนี้กูจะให้วันหยุดแล้วกัน” ผมบอก ไอ้บูรณ์พยักหน้ารับทราบแล้วจู่ ๆ มันก็หยุดนิ่ง เอาแต่จ้องผมอยู่ครู่หนึ่งคล้ายลังเลที่จะพูดบางอย่างออกมา
“ขอบคุณ” อีกฝ่ายบอกพลางเบือนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“หึ กูว่ากูอยู่ประเทศไทยนะ ที่บ้านมึงไม่ได้สอนเหรอว่าเวลาขอบคุณเจ้านายให้ยกมือไหว้ด้วย” ผมแกล้งบ่นไปอย่างนั้นเอง
“เฮอะ !” ไอ้บูรณ์พ่นเสียงประชดประมาณว่า ชาตินี้กูก็จะไม่ทำกับมึง
“งั้นกูต้องไม่รีบตายสิ เดี๋ยวไม่ได้เป็นเจ้าภาพ” ผมอมยิ้มพึมพำบอก ได้ยินคนที่ยืนอยู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ประตูรถถูกเปิดออกและหยุดนิ่งไว้ ผมหันไปมองไอ้บูรณ์อีกครั้ง เราสบตากัน อีกฝ่ายพยักหน้าลาน้อย ๆ และสุดท้ายก็ไม่มีใครพูดอะไรจนผมเดินทางกลับออกมา
...............(ไฟ)..............
ผู้เขียน: ตอนนี้เป็นการบรรยายความรู้สึกของไฟที่มีต่อสมุทรจริง ๆ ซึ่งความจริงแล้วไฟไม่เคยได้ทบทวนมันเลย จนวันที่เกิดปากเสียงกันที่บ้านของสมุทรก็เหมือนเป็นจุดที่ทำให้ไฟได้ทบทวนตัวเองค่ะ
ติดตามการอัปเดตนิยาย The Real Me อย่าท้าให้บ้ารักได้ที่ -
https://twitter.com/lightanoceanขอบคุณค่ะ | เบบี้