Rough and Tender 15
เช้าวันต่อมา พลชนะยังหลบหน้าเขาอยู่ซึ่งขอบฟ้าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง คนรอบข้างก็ดูจะผิดสังเกตกับอาการของทั้งคู่เช่นกันแต่ไม่เอ่ยปาก นอกจากทำตัวตามปกติ กิน นอน เที่ยวเล่นกันตลอดระยะเวลาที่เหลือ จะมีก็แต่กรที่สวนทางเพราะดูท่าชายหนุ่มจะอารมณ์ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนเริ่มออกเดินทาง
จนกระทั่งถึงวันกลับ ทีแรกขอบฟ้าก็ค่อนข้างไม่สบายใจ นึกสภาพต้องอยู่ในรถแคบๆ กันแค่สามชีวิต หายใจเข้าก็ความเครียด หายใจออกก็คิดไม่ตก ร่ำๆ อยากจะชวนน้องสาวโบกรถกลับกรุงเทพฯ เองให้รู้แล้วรู้รอด เคราะห์ดีที่วศินกระโดดขึ้นรถพลชนะโดยไม่รอคำเชิญ เขาจึงค่อยสบายใจขึ้นนิดหน่อยที่อย่างน้อยก็มีคนคุยเก่งติดรถเพิ่มมาอีกคน
ช่วงที่แวะพักให้พวกผู้หญิงไปซื้อของฝากกัน พลชนะก็ดึงตัวเขาไว้ให้คุยกันในรถ
“พี่อยากคุยให้เราเข้าใจตรงกัน” เริ่มต้นเสียงเครียดเสียจนขอบฟ้านึกอยากตามลงไปซื้อของฝากกับปลายฝนมากกว่า “สิ่งที่เกิดขึ้น พี่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นความผิดของพี่เอง แต่อีกส่วนหนึ่ง พี่โกรธฟ้ามากๆ ตอนนี้ก็ยังโกรธอยู่ บอกตรงๆ ว่าบางครั้งพี่ก็ไม่เข้าใจฟ้าเอาเลย พี่เริ่มไม่แน่ใจว่าความจริงใจของพี่ส่งไปถึงฟ้าบ้างไหม หรือเอาแค่ว่าฟ้าคิดยังไงกับพี่กันแน่ นาทีหนึ่งฟ้าทำเหมือนรักพี่มาก แต่อีกนาทีต่อมาฟ้ากลับทำเหมือนไม่ได้คิดอะไรกับพี่เลยสักนิด”
ชายหนุ่มเสยผมด้วยความกลัดกลุ้ม สายตาที่เคยมองมาด้วยความอ่อนโยนยังคงเบือนหลบไม่ยอมสบตา พลชนะยังคงเอาแต่มองไปข้างนอก ทำเหมือนข้าวหลามหรือปลาเค็มหน้าร้านขายของฝากล้วนน่ามองกว่าหน้าเขาทั้งนั้น
“พี่เร่งรัดเราเกินไปงั้นเหรอ พี่คงใจร้อนมากไปใช่ไหม แล้วฟ้า...คิดจะทำยังไงกับพี่ต่อไป จะคบต่อหรือจะ...” เสียงของพลชนะเบาลงจนกลืนหายไปในลำคอ แต่ขอบฟ้าก็ยังคงพูดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างไร ถ้าเขาพูดออกไป ทุกอย่างจะดีขึ้นไหม หรือจะแย่ลงกว่าเดิม
“พี่ไม่อยากจะพูดแบบนี้เลย แต่...เราสองคนลองห่างกันสักพักดีไหม ถ้าเราห่างกันบ้าง พี่อาจจะใจเย็นลง มองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ชัดมากขึ้น และฟ้าจะได้มีเวลาทบทวนว่าสำหรับฟ้า...พี่มีความหมายมากแค่ไหน อยู่ในฐานะอะไรกันแน่” รอยยิ้มขื่นดูบิดเบ้บนใบหน้าคนพูด “มันแย่นะที่ต้องสารภาพว่าตลอดสองวันที่ผ่านมา พี่คิดถึงแต่เรื่องพวกนี้เสียจนคิดว่าอาจจะบ้าตายก็ได้ถ้าต้องทนอยู่แบบนี้ต่อไป แต่เห็นฟ้ายังปกติดี พี่ก็สบายใจ”
เสียงหัวเราะแหบแห้งที่ไม่มีความขันสอดแทรกแม้แต่นิดเดียวทำให้ดวงตาขอบฟ้าร้อนขึ้นมาทันควัน เขาควรจะบอกพลชนะทั้งหมด ในเมื่อไม่ว่ายังไงก็คงจบเหมือนกัน เขาควร...
“พี่...”
ก๊อกๆ... เสียงเคาะกระจกเรียกด้านข้างที่ขัดจังหวะกลางคันทำให้พลชนะแง้มกระจกลง
“ไอ้พล เอากาแฟไหม กูกินแล้วร้านนี้พอกินได้ว่ะ” วศินซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ชักชวนด้วยความกระตือรือร้น ครั้นพอมองเลยมาเห็นหน้าเสียๆ ของเขาค่อยชะงัก “เอ่อ กูมารบกวนเหรอ โทษที...”
“ไม่เป็นไรหรอก คุยจบแล้วน่ะ” พลชนะตอบเสียงเรียบแล้วเปิดประตูลงไปยืนด้านนอก “ถ้าจะลงจากรถก็ล็อกรถให้ด้วยนะ”
เขาไม่ได้ลงจากรถ ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวเลยด้วยซ้ำนอกจากนั่งกำมือบนตักจนแน่น กระทั่งปลายฝนหอบถุงสองสามใบกลับมา “พี่ฟ้านั่งอยู่ในรถไม่ร้อนเหรอ ฝนซื้อปลาแห้งมาฝากม้าด้วย ทีแรกเห็นปลาหมึกแห้งตัวโต๊โต คิดว่าจะซื้อไปฝากม้าสักหน่อย แต่ไม่ไหว แพงชะมัด”
บ่นต่อเรื่องราคาอีกสักพัก ปลายฝนจึงค่อยสังเกตความเงียบผิดปกติ “พี่ฟ้าเป็นอะไร ดูหน้าซีดๆ”
“หืม” เมื่อยกมือลูบหน้าก็สัมผัสกับเหงื่อเย็นๆ ขอบฟ้ารีบยิ้มตอบกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรหรอก แค่เพลียนิดหน่อย ไหน เมื่อกี๊บอกว่าซื้อปลาแห้งฝากม้าเหรอ เขาผูกถุงแน่นหรือเปล่า เดี๋ยวมันจะเหม็นรถพี่เขาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ฝนบอกให้คนขายเขาแพ็คใส่ถุงให้อย่างดี รับรองว่าไม่เหม็นแน่” ปลายฝนตอบแล้วแต่ก็ยังอดกังวลตามไม่ได้ “ฝนจับยัดในกระเป๋าเราแล้วกอดไว้บนตักดีกว่า ฟังพี่ฟ้าพูด ฝนก็ชักกลัว”
สุดท้าย เขาก็ต้องแบ่งมาบางส่วน ทีแรกว่าจะเอาไปยัดท้ายรถแต่จำได้ว่ามีกระเป๋ายัดอยู่เต็มท้ายรถแคบๆ แล้ว แถมดีไม่ดีจะไปทำให้กระเป๋าคนอื่นติดกลิ่นอีก ความเกรงใจแบบสุดๆ คือลักษณะนิสัยส่วนตัวของพวกเขาพี่น้องเลยทีเดียว
ระหว่างทางที่เหลืออีกไม่มากก่อนถึงบ้าน ตัวปรับบรรยากาศแบบวศินก็หลับไปแล้ว เช่นเดียวกับปลายฝนที่นั่งกอดกระเป๋าใส่ปลาแห้งหลับอยู่คู่กัน
เขาใช้ความเงียบให้เป็นประโยชน์ พยายามเรียบเรียงคำพูดในใจ เพื่อที่ว่าพอถึงบ้านเมื่อไหร่ จะได้ขอเวลาพลชนะสักครู่ รวบรวมความกล้าบอกไปให้หมด ต่อให้ผลลัพธ์จะออกมายังไง ถึงพลชนะจะโกรธจัดหรือไม่ยกโทษให้ หรือต่อให้กรจะเอาเรื่องเขาไปโพนทะนาตามที่เคยขู่ไว้ ข่าวลือครั้งนี้จะทำให้เขาโดนพักการเรียนอีกไหม แล้วคนที่บ้านจะเชื่อเขามากกว่าข่าวลือหรือเปล่า ขอบฟ้าไม่รู้คำตอบสักอย่างแต่อย่างน้อยก็พอจะกล่าวได้ว่าเขาได้พยายามแล้ว
นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาพยายามไขว่คว้าความสุขไว้เอง ถ้าเขาจะเรียกร้องบ้างคงไม่มีใครว่าอะไรใช่ไหม ก็พลชนะบอกว่าเขามีสิทธิ์ทำได้นี่ พลชนะบอกให้เขาเหนี่ยวรั้ง บอกให้เขาไขว่คว้าด้วยมือตัวเองดูบ้าง อย่าเอาแต่นั่งมองดู ปล่อยให้สิ่งที่ต้องการลอยผ่านหน้าไปเฉยๆ เขาเองก็มีสิทธิ์เรียกร้องได้เหมือนๆ คนอื่น
พลชนะแวะไปส่งวศินก่อนแล้วค่อยวนไปส่งเขากับน้องสาว ซึ่งกว่าจะแหวกการจราจรมาถึงได้ ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว เมื่อขนกระเป๋าลงมาจนหมด เขายังยืนรีรอยึกยักผิดสังเกตจนปลายฝนต้องรีบทิ้งให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง
คำพูดที่ตระเตรียมไว้ติดแน่นอยู่ในลำคอ เขานึกอยากยกมือตะกุยให้มันหลุดออกมาได้เอง ร่างสูงที่อดทนยืนมองท่าทีอึกอักของเขาอยู่นานจึงเอ่ยว่า
“ขอโทษนะ อุตส่าห์พาไปเที่ยวทั้งที ทำให้หมดสนุกกันเลย” มองท่าทีบีบมือแน่นเหมือนอึดอัดใจเต็มประดาของขอบฟ้าแล้วพลชนะก็ถอนหายใจ “พี่ไปล่ะ”
“เดี๋ยว!” มือเย็นๆ ติดจะสั่นๆ ยื่นออกไปดึงแขนชายหนุ่มไว้ก่อนความคิด ขอบฟ้าอยากให้ตัวเองกล้ามากกว่านี้อีกนิด ขี้ขลาดน้อยกว่านี้อีกหน่อย เขาต้องบอกเรื่องกร ต้องเล่าความจริงให้ฟังทั้งหมด ต้องบอกตั้งแต่ตอนได้พบกรโดยบังเอิญ ต้องบอกว่าเขาโดนฝ่ายนั้นข่มขู่ไว้ขนาดไหน ต้องบอกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันเพราะโดนแบล็คเมล์ สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่บอกพลชนะออกไปให้หมดเท่านั้นเอง
“ผม...” ความมุ่งมั่นของเขาโดนสั่นคลอนยามสบตากับดวงตาที่จ้องตอบ แน่ใจแล้วเหรอว่าพลชนะจะยอมเข้าใจ ความมั่นใจมีมากแค่ไหน ไม่มีเลยสักนิด “ผม...”
หากมือของเขาที่ยึดแขนอีกฝ่ายไว้กลับโดนปลดออกอย่างเชื่องช้า พลชนะมองใบหน้าที่ซีดเผือดไร้สีเลือดและเอ่ยช้าๆ
“พอเถอะ ฟ้า พี่เหนื่อยแล้ว”
ประโยคสั้นๆ นั้นส่งผลให้หัวใจคนฟังราวกับจะเยือกแข็งในชั่วพริบตา มือเขาหยุดสั่นและขอบฟ้าก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะพูดไม่ได้ ทำได้แค่ยืนมองร่างสูงขึ้นรถและขับออกไปเงียบๆ
ความว่างเปล่าแผ่ขยายในจิตใจ รู้สึกเหมือนจะไร้ตัวตนยิ่งกว่าที่เคย ไร้ค่ายิ่งกว่าที่คิด เขาคงสำคัญตัวผิดมากไป หวังมากไป อันที่จริงเขาเคยเจียมตัวมาตลอด เรียนรู้ที่จะผิดหวังมาชั่วชีวิต จำกัดที่ทางตนเองไว้เสมอๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องคาดหวังให้ผิดหวังมากนัก หากการได้พบเจอพลชนะ คงทำให้เขาหลงลืมไปชั่วครู่ หลงคิดไปว่ามีความสำคัญ หลงคิดว่าอาจจะมีคนต้องการเขาจริงๆ
เขาเดินเข้าบ้านและพบว่าปลายฝนกำลังเอาของฝากให้มารดาดู
“ความจริงแกไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากม้าก็ได้ น่าจะเก็บเงินไว้เที่ยวให้สนุกมากกว่า” ถึงปากจะว่า หากมารดาก็มีท่าทางดีใจ จนกระทั่งเงยหน้าเห็นเขา “เอ้า ดูสิ ไปเที่ยวเล่นกลับมาทั้งที ยังทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายอีก รู้ไหมว่าตอนแกไม่อยู่ ม้าเหนื่อยแทบตาย หมอกเขายังต้องพาม้าไปหาหมอเองด้วย”
“ม้าเป็นอะไร” ปลายฝนถามด้วยความตกใจ ปราดเข้าไปเกาะแขนเหี่ยวย่นด้วยความเป็นห่วง
“ม้าไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ปวดหลังปวดข้อ คนแก่ก็งี้ล่ะ” เห็นอาการยืนทื่อของลูกคนกลางแล้วมารดาก็เอ่ยไล่ “จะไปไหนก็ไปไป๊ เห็นหน้าแกแล้วอารมณ์เสีย”
คำพูดที่แต่ก่อนเขาคงเฉยๆ กับมัน แต่สำหรับนาทีนี้ รู้สึกไม่ผิดอะไรกับเกลือที่ทาลงบนแผลสด ขอบฟ้ากลับขึ้นห้อง นั่งมองข้าวของรอบกายพักหนึ่งก่อนลงมือรื้อเสื้อผ้าใช้แล้วออกจากกระเป๋าและจัดเสื้อผ้าชุดใหม่ลงไปแทนแบบส่งๆ คว้าตัวไหนได้ก็ยัดใส่กระเป๋าชั่วครู่ก็เสร็จ
นั่งมองกระเป๋าแล้วจึงค่อยผละมาเขียนโน๊ตสั้นๆ ว่าจะไปค้างบ้านเพื่อนสักพัก เท่านี้เขาก็พร้อมหนีออกจากบ้านแล้ว
ยังเหลือเวลา เพราะคงต้องรอให้มารดาเข้านอนก่อน ซึ่งในระหว่างที่รอ ใจเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะต้องหนีออกจากบ้านจริงๆ ส่วนเหตุผลที่เกิดความคิดนี้ ขอบฟ้าก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่มีอย่างหนึ่งที่เขาแอบคิด คือถ้าเขาหายหรือตายไป จะมีใครห่วงเขาบ้างไหม
“หึ...” แต่ก็ต้องหลุดเสียงหัวเราะออกมา นี่เขาเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปอีกแล้ว สุดท้ายเลยพยายามเลิกคิด เลิกหาเหตุผล คิดแค่ว่าถ้าได้เป็นอิสระบ้างก็คงไม่เลว
เมื่อเวลาผ่านไปและคิดว่าคนในบ้านคงหลับกันหมดแล้ว เขาจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาด้วยอุ้งมือชื้นเหงื่อ จรดปลายเท้าแทบไม่กล้าหายใจจนกระทั่งออกมายืนนอกบ้าน ถึงค่อยสูดหายใจเข้าลึก
คิดไว้แล้วว่าเขาอาจจะหาซื้อตั๋วรถไฟสักใบ ไปที่ไหนสักแห่ง หางานพาร์ทไทม์ เช่าห้องถูกๆ อยู่สักอาทิตย์ ถึงตอนนั้นถ้าเขาหายเป็นปกติแล้วค่อยกลับบ้าน
เมื่อตัดสินใจแล้ว มีแต่ต้องเดินต่อเท่านั้น เขากำสายกระเป๋าแน่นขึ้นแล้วรีบเดินจ้ำ หากเพิ่งหนีออกจากบ้านได้ไม่ถึงสิบก้าวดี ก็ได้ยินเสียงเรียกที่เล่นเอาสะดุ้งโหยงทั้งตัว
“เฮ้ย!”
เขาหันขวับไปเห็นเจ้าของเสียงกำลังตั้งท่าจะเดินมาหาเขาจากอีกฟาก เห็นแค่นั้นก็เสียวสันหลังวาบ ขอบฟ้าออกวิ่งทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด
ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามหลังมาติดๆ ท่าวิ่งยิ่งกระเจิดกระเจิง ไม่มีเสียงเรียกให้หยุดนอกจากเสียงวิ่งไล่หลังจี้ติดเข้ามาทุกขณะ หัวใจเขาเต้นรัวหนักจนแทบกระดอนออกมานอกอกด้วยความเหนื่อยและความกลัว
อิสระหมดลงในวินาทีที่อุ้งมือใหญ่คว้าชายเสื้อเขาไว้ได้แล้วกระชากทีเดียว ขอบฟ้าก็ลงไปกองอยู่กับพื้น
จากแสงไฟข้างทางดวงที่ใกล้ที่สุด ส่องให้เห็นใบหน้าเกรี้ยวกราดของร่างสูงที่ยังยืนหอบกระชั้น สายตาแรงกล้าซึ่งราวกับจะพ่นไฟออกมาได้กวาดตามองสภาพของคนที่กองอยู่บนถนนและพอเห็นกระเป๋าที่หล่นอยู่แทบเท้า สายตาคู่นั้นก็คล้ายจะเผาเขาให้กลายเป็นกองเถ้าถ่าน
กรกระชากแขนคนที่ยังลุกไม่ขึ้นพร้อมคว้ากระเป๋าไว้ด้วยมืออีกข้าง ลากให้ออกเดินโดยไม่สนใจอาการหกล้มหกลุกของอีกฝ่ายและไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
กระทั่งเดินย้อนมาถึงรถที่จอดไว้ไม่ไกลจากหน้าบ้านเขานัก ขอบฟ้าก็โดนจับยัดเข้ารถอย่างรุนแรงคล้ายต้องการให้เจ็บตัวก่อนที่คนขับจะตามขึ้นมาสตาร์ทเครื่องยนต์และออกรถกระชากเสียจนล้อบดถนนเสียงลั่น
ระหว่างทาง ถนนที่ค่อนข้างโล่งทำให้ขอบฟ้าซึ่งเพิ่งเริ่มคิดจะหาทางเอาชีวิตรอด เสียงเหี้ยมก็เอ่ยว่า “ถ้ามึงรอดจากการกระโดดลงไปบนถนน กูจะตามลงไปฆ่ามึงเอง”
ขอบฟ้าหดมือลงจากที่เปิดประตูมากอดกระเป๋าไว้แน่น หากไม่กี่นาทีต่อมาเมื่อมาถึงคอนโดที่เขาเคยมาก็โดนกระชากถูลู่ถูกังไปตลอดทางจนถึงห้อง กรเขวี้ยงเขาลงไปกองบนโซฟาแล้วกอดอกยืนจังก้า
“มึงคิดจะไปหาไอ้พลใช่ไหม” เสียงต่ำๆ เอ่ยจากลำคอจนฟังดูคล้ายเสียงคำรามเสียมากกว่า “มิน่าล่ะ กูโทรหากี่ทีๆ ก็ไม่เปิดเครื่อง ที่แท้ก็คิดจะหอบผ้าหอบผ่อนไปประเคนให้มันถึงที่สิท่า”
“...เปล่า” พูดสั้นๆ ออกไปได้แค่คำเดียว เขาก็ต้องร้องอุทานด้วยความเจ็บเมื่อมือใหญ่คว้าคางเขาบีบไว้แน่นเพียงเพื่อให้เงยหน้าขึ้น
“เปล่า! แล้วที่มึงหอบกระเป๋าย่องออกนอกบ้าน แถมยังกล้าวิ่งหนีกูนี่มันคืออะไรวะ!” กรตวาดพร้อมเพิ่มแรงบีบในมือ “ถ้าไม่ได้คิดจะไปหาไอ้พลหรือมึงจะบอกว่ามึงหนีออกจากบ้าน หา!”
ขอบฟ้ายกมือขึ้นปัดแขนอีกฝ่ายจนเป็นอิสระแล้วรีบกระถดตัวถอยหนีไปซุกอยู่ตรงมุมโซฟา “ถ้าใช่แล้วไง ถะ...ถ้าผมจะหนีออกจากบ้านมันแปลกนักหรือไง”
มองท่ากลัวหัวหดแต่ยังกล้าอ้าปากเถียงปากคอสั่นแล้วกรก็เอียงคอ ความโกรธเกรี้ยวลดลงจนเหลือแค่ระดับสงสัย ดวงตาคมหรี่ลงขณะเอ่ยถาม “มึงพูดจริงเหรอ”
ขอบฟ้าเม้มปาก ไม่ตอบคำถาม ทำไมล่ะ น้ำหน้าอย่างเขานี่มันจะไม่กล้าแม้แต่หนีออกจากบ้านหรือไง “โกหกมั้ง”
“กูถามดีๆ อย่ากวนตีน” ขู่เสียงเข้มแล้วกรค่อยพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นกิริยาตอบรับรวดเร็ว
“ก็จริงน่ะสิ”
“บอกตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” โยนความผิดให้เขาเสร็จ กรก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเดียวกัน เหยียดขายาวๆ กินที่เกือบหมด ยันคนนั่งก่อนหน้าไปจนสุดขอบ ค่อยๆ ควักบุหรี่ออกมาจุดก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งหลังเงียบไปพักใหญ่ “ไปเที่ยวหนนี้ มันทำให้กูเข้าใจและไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างว่ะ”
ขอบฟ้าที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่สุดปลายโซฟากอดกระเป๋าแน่นเข้า ไม่แน่ใจว่ากรจะมาไม้ไหนอีก
“มึงจะไม่ถามกูหน่อยเหรอว่ามันมีอะไรบ้างน่ะ”
อยากเล่าก็เล่าสิ ทำไมต้องให้เขามานั่งป้อนคำถามนำด้วยก็ไม่รู้ แต่มองสีหน้าร้ายๆ กับปลายบุหรี่แดงวาบๆ ในมือของอีกฝ่าย เขาก็กลัวว่ากรอาจสับสนระหว่างหน้าเขากับที่เขี่ยบุหรี่ จึงจำต้องถามแบบเสียไม่ได้ “อืม แล้วมันมีอะไรบ้างล่ะครับ”
“กูเข้าใจแล้วว่าไอ้พลมันก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนจากที่ไหน ...กูเข้าใจว่ายังไงๆ พวกมึงสองคนก็คงไปกันไม่รอด คนนิสัยหน้าอย่างหลังอย่างแบบมันกับไอ้คนไม่เคยคิดอะไรแบบมึง ต่อให้ไม่เลิกกันวันนี้ วันหน้าก็เลิก ชัวร์” ว่าแล้วก็เอานิ้วโป้งจิ้มอกตัวเอง “แต่กูนี่ ปากตรงกับใจ คิดยังไง พูดอย่างงั้นกับคนพูดอะไรไม่ค่อยคิดแบบมึง เคมีมันเข้ากันได้มากกว่าเยอะ”
ถึงจะไม่เข้าใจเหตุผลหรือตรรกะสักข้อในประโยคดังกล่าว แต่ขอบฟ้าก็ไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการโต้แย้งหรือตั้งคำถาม นอกจากปรายตามองคนพูดอย่างระแวดระวัง กรจะมาไม้ไหนกันแน่
“ส่วนเรื่องที่กูยังไม่เข้าใจ...” พอเปลี่ยนหัวข้อ อารมณ์ชายหนุ่มก็เปลี่ยนตาม จากสีหน้าสบายๆ กลายเป็นเคร่งเครียด “กูไม่เข้าใจว่าทำไมมึงถึงโง่ขนาดนั้น รู้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่แข็งแล้วทำไมถึงยังต้องไปช่วยคนอื่น มึงบอกเหตุผลมาสิ ต่อให้คนที่จมน้ำคือน้องสาวมึงก็เหอะ”
“ก็ยัยฝนเป็นน้องผม” อันนี้ล่ะที่เขาไม่เข้าใจกรจริงๆ บ้างแล้ว การช่วยชีวิตคนอื่นมันแปลกตรงไหน “หรือต่อให้ไม่ใช่ฝน ผมก็ต้องช่วย ใครๆ เขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นล่ะ พี่กรก็ลงไปช่วยเพื่อน ช่วยผมไม่ใช่เหรอ”
“แต่ถ้ากูรู้ว่าไม่ไหว กูก็ไม่ตะกายลงไปหาหอกหรอก!” ชายหนุ่มย้อนด้วยความหงุดหงิด ความโกรธอันคล้ายคลึงกับตอนที่กรด่าเขาหลังรอดตายจากการจมน้ำไม่มีผิด
ใช่ เขารู้ว่าทำให้ใครต่อใครเดือดร้อน แต่กรก็มีทางเลือกที่จะไม่ช่วยเขานี่นา
“แล้วพี่จะโกรธผมทำไม” ใช่ พลชนะยังไม่โกรธเขาเลย แถมไม่ด่าสักคำ
“ยังมีหน้ามาถามอีก มึงไม่รู้เหรอว่าทำให้คนอื่นเขากลัวแค่ไหนตอนป่านบอกว่ามึงจมทะเลหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“แล้วทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ ผมต่างหากที่ควรจะกลัว” เขายังจำความรู้สึกตอนโดนคลื่นดูดลงทะเลไปได้ไม่ลืม ตอนเท้าเหยียบไม่ถึงพื้นแล้วน้ำเค็มก็ไหลทะลักเข้าปาก เข้าจมูกนั่นล่ะที่เขากลัว
ความเงียบผิดปกติทำให้ขอบฟ้าเพิ่งนึกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเถียงแล้วไม่โดนด่าหรือโดนตะคอกกลับ จึงเหลือบมองคนทำหน้าอึ้งๆ อยู่อีกฟากของโซฟา แต่พอสบตากันปุ๊บ กรกลับถลึงตาใส่ ร้อนถึงเขาต้องขยับห่างออกมาอีกนิด หามุมปลอดภัยโดยอัตโนมัติ ถึงจะหายากเต็มทีก็เถอะ
มองนาฬิกาแล้วพบว่าเป็นเวลาเกือบล่วงเข้าวันใหม่ เขาจึงเริ่มขยับตัวกระสับกระส่าย เพราะใช่ว่าอยากไปเดินย่ำต๊อกริมถนนเอาตอนเที่ยงคืน แต่จะให้เอ่ยปากขอค้างสักคืนก็นึกกระดาก แถมยังกลัวว่าจะโดนทำอะไรอีกด้วย ถ้าเขาขอนอนสักคืนในห้องน้ำจะโดนด่าหรือเปล่าก็ไม่รู้
“เอ่อ พี่กร...”
“ถ้าเป็นกูที่จมน้ำ มึงจะลงไปช่วยกูไหม” คำถามเรียบๆ ทำขอบฟ้าชะงัก คิดนิดหนึ่งก่อนตอบเสียงอ่อย
“พี่กรว่ายน้ำแข็งกว่าผมตั้งเยอะ”
“ทำไมต้องเถียงด้วยวะ แค่ตอบน่ะเป็นไหม”
“ถ้าจมน้ำเหรอ ขนาดพี่กรยังจม...” อย่างเขาคงลงไปนอนเล่นอยู่ก้นทะเลแล้วล่ะตอนนั้น หากพอเห็นสายตาคาดหวังของคนรอคำตอบ ขอบฟ้าจึงตัดสินใจว่าอย่างน้อยก็ตอบให้ตัวเขารอดตายตอนนี้ดีกว่า “ช่วยสิ ผมต้องช่วยพี่อยู่แล้ว”
ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายถือเป็นจริงเป็นจังแค่ไหน แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ดูใกล้เคียงกับคำว่าอ่อนโยนของกรแล้ว ก็ต้องตกใจจนหัวใจเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
หากวินาทีต่อมา สีหน้าของชายหนุ่มกลับดูเศร้าลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งทำให้หัวใจเขาตกวูบตามไปด้วย
“ถึงจะเป็นแค่เรื่องสมมติ ถึงจะเป็นแค่การตอบแบบเอาตัวรอด ...แต่ก็ขอบใจมาก” ร่างสูงขยับตัวเอนลง ตั้งท่าจะนอนบนตักเขา แต่ติดตรงที่เขายังกอดกระเป๋าแน่น “จะกอดไว้อีกนานไหมวะ ถุงสมบัติเหรอไง กูไม่ขโมยของมึงหรอกน่า”
ว่าแล้วก็คว้าโยนลงไปด้านหลังและทิ้งศีรษะลงนอนบนตักเขาโดยไม่คิดจะขออนุญาต อย่าบอกนะว่าจะนอนมันตรงนี้น่ะ
“ทำไมไม่ไปนอนในห้อง” ขอบฟ้าขมวดคิ้ว โตๆ กันแล้วยังมานอนหนุนตักเป็นเด็กไปได้ “นอนตรงนี้เดี๋ยวยุงกัด”
คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเห็นมุมปากได้รูปยกยิ้มคล้ายจะอิ่มใจ แต่คงตาฝาด เพราะคำพูดที่พ่นออกมามันเป็นคนละเรื่อง “ห้องกูตั้งกี่ล้าน จะมียุงกระจอกๆ ได้ยังไง”
ถึงจะไม่รู้ว่าโลกนี้มันมียุงกระจอกกับยุงไฮโซหรือเปล่า แต่ก็คงจริง เพราะสูงขนาดนี้ ยุงคงบินขึ้นมาไม่ถึงหรอกมั้ง
“พี่กร” ได้ยินเสียงครางรับหนักๆ ในคอแล้วค่อยพูดต่อ “ผม...ขอค้างที่นี่คืนนึงนะ”
“...ก็เอาสิ” คนตอบขยับศีรษะเล็กน้อยเหมือนหามุมสบาย มันจะสบายได้ยังไง ตักคนนะ ไม่ใช่หมอนขนเป็ด ขณะเตรียมจะบอกข้อเท็จจริงดังกล่าว กรก็พูดต่อ “จะอยู่กี่วันก็ได้ จะอยู่ตลอดไปก็ได้”
เขาไม่มีความคิดจะหนีออกจากบ้านตลอดชีวิตเสียด้วย จึงจำต้องปฏิเสธความหวังดีดังกล่าว “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมคงหาทางไปได้”
“ทำไม กลัวกูปล้ำนักหรือไง” นั่นไง พอไม่ได้ดั่งใจ กรก็เริ่มชักสีหน้า “เร้าอารมณ์มากเลยนะมึงน่ะ รับรองได้ว่ากูไม่ปล้ำมึงคืนนี้แน่”
ขอบฟ้าได้แต่รับคำไปตามเรื่องเพราะเริ่มเพลีย อยากนอนเต็มที่ แต่พอเห็นว่ากรไม่มีทีท่าจะลุกไปไหน เขาเลยขยับตัวเอนหลังเตรียมตัวพักผ่อน และผล็อยหลับไปในเวลารวดเร็ว มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนที่นอนนุ่มๆ เพราะยังง่วงงุนอยู่ไม่หาย เขาจึงนอนซุกต่ออีกพักใหญ่จนคิดว่าควรจะลุกขึ้นได้แล้ว จึงค่อยเหยียดร่างกายให้คลายเมื่อยขบ หากต้องชะงักกึก
เคร้ง... เสียงโลหะกระทบกันทำให้ต้องขมวดคิ้ว พอค่อยๆ ขยับตัวอีกที ...เคร้ง
พอแน่ใจว่าต้นเสียงมาจากมือเขาที่เหยียดไปด้านบน ขอบฟ้าจึงไล่สายตาตามไปแล้วต้องตกใจจนผงะเมื่อพบว่ามีกุญแจมืออยู่บนข้อมือตัวเอง โดยที่อีกด้านหนึ่งล็อคอยู่กับเสาหัวเตียง
“เฮ้ย!” ทั้งเขย่า ทั้งกระชากก็ไม่หลุด เขาหน้าเหวอ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งดึงข้อมือกึงๆ จนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิดออก
“ตื่นแล้วเหรอ” ร่างสูงที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบเอวอยู่แบบหมิ่นๆ เดินออกมาทั้งผมเปียกลู่ น้ำเกาะพราว เจ้าตัวผิวปากขณะยืนเลือกเสื้อผ้าอย่างใจเย็น
“พะ...พี่กร” ขอบฟ้าเรียกเสียงหลง เขย่าข้อมือประกอบ “นี่มันอะไร”
ชายหนุ่มเพียงเอี้ยวตัวมามองก่อนตอบ “กุญแจมือไง”
“ผมรู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่ทำไมต้องใส่กุญแจมือผมด้วย” เขาจำไม่ได้ว่าเคยโกรธใครมากๆ มาก่อนในชีวิต แต่อารมณ์ตอนนี้ก็คงใกล้เคียงอยู่ “กุญแจอยู่ที่ไหน อยู่ที่พี่ใช่ไหม เอามา...”
กุญแจดอกเล็กๆ ถูกยกโชว์ ขอบฟ้ารีบยื่นมือแบรับแต่คนมองก็เอาแต่ยิ้ม
“อยากได้เหรอ” มองอาการพยักหน้ารับแรงๆ แล้วกรก็เดินมาใกล้อีกนิด “งั้นจะยอมอยู่ที่นี่กับกูไหม”
เกือบเผลอพยักหน้ารับไปแล้ว ดีที่ยังยั้งไว้ทัน ขอบฟ้าหดมือกลับมา “ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
สีหน้ากรบึ้งตึงทันตาเห็นขณะกระชากเสียง “ไม่อยากได้กุญแจใช่ไหม”
“อยากได้กุญแจ แต่ไม่อยากอยู่ที่นี่” อธิบายแยกแยะให้ละเอียดแล้วขอบฟ้าจึงแบมืออีกรอบ
“งั้นก็อยู่ตรงนั้นไปแล้วกัน” กรตอบไม่ไยดีและแต่งตัวจนเสร็จโดยไม่สนใจเสียงเรียก นอกจากหันมาบอกง่ายๆ “เดี๋ยวกูจะออกไปข้างนอก สองสามชั่วโมงคงกลับ เป็นเด็กดีเฝ้าบ้านนะ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ ซึ่งขอบฟ้าคิดว่ากรจะเข้ามาไขกุญแจให้ ทว่ากรกลับก้มลงหอมแก้มดังฟอดแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่ลืมหยิบลูกกุญแจดอกเล็กหย่อนลงกระเป๋าเสื้อแบบให้เห็นต่อหน้าต่อตา
ทิ้งให้ขอบฟ้านั่งอึ้ง จะโดนล็อคติดตายแหงแก๋กับเตียงก็ดี จะโดนกรหอมแก้มเป็นครั้งแรกก็ช่าง แต่ตอนนี้เขาเริ่มอยากเข้าห้องน้ำแล้ว
“พี่กร!!”
++++++++++