nightsza: 5555 นั่นสิ เสี่ยวหมี หลิวเการีบฝึกวิชาเข้านะ จะได้ไปตายแทนคุณชายสาม
พิศตะวัน:
Grey Twilight: เซียนเซี่ยยุคนี้ของทางจีนก็เป็นแบบนี้เยอะเลยครับ เพราะในแง่หนึ่งมันก็คือไลท์โนเวล ก็จะบรรยายน้อยและเดินเรื่องเร็วกัน ถ้าคุณชอบอ่านแนวนี้ โดยเฉพาะเรื่องตลก อยากแนะนำให้อ่าน Cultivation Chat Group ครับ ตลกกว่าที่ผมเขียนเจ็ดเท่า
พล็อตสลับนี่ผมนึกออก แนวโกวเล้งยุคหลัง ๆ เลย ผมชอบอ่านนะ แต่มันต้องใช้พลังมากในการตามเรื่องให้แตก แต่ว่ามันต้องได้อ่านรวดเดียวยาว ๆ ให้เห็นภาพรวม ถ้าตามอ่านเป็นตอน ๆ ผมก็งงเหมือนกัน 555
เมฆผยองก็ราว ๆ 19-21 ครับ เขาเป็นอัจฉริยะของสำนัก ก็เลยสำเร็จฝีมือขั้นสูงตั้งแต่อายุน้อย อายุห่างกันกับตาลุงคุณชายสามมากทำให้ตะขิดตะขวงก็ต้องขออภัยด้วยฮะ แหะแหะ
ไป่หลินหลิงนางก็เป็นคนร้าย ๆ ตอนล่าสุดก็คงจะเห็น ผมเขียนไปผมก็คิดว่า ถ้าเจอในชีวิตจริงคงต้องแบบ..อีนี่ต้องตบ
ตัดเป็นช่วงนี่คือแต่งได้เท่านั้นแล้วก็ลงเลยครับ กำลังเห่อนิยาย ไม่ได้กั๊กตอนไว้เลย 5555+
♥►MAGNOLIA◄♥ : ไม่อยากจะบอกเลยว่า เอาชีวิตจริงคนเขียนมาเป็นชีวิตหยู ฮือๆๆๆ
april: ดีใจที่ยังจำกันได้และติดตามกันครับ ยินดีต้อนรับสู่เรื่องใหม่
++++++
“ฮ่า ๆๆๆ” อีกฝ่ายหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงใจเมื่อฟังจนจบ “น้องชายซีคงมีวิธีหาประสบการณ์พิสดารที่พิสดารไม่ใช่เล่น หากข้าเป็นผู้อาวุโสสำนักเจ้า คงจับเจ้าใส่ตะกร้อให้ช้างเตะลงเขา”
“ไอ๊หยา! แล้วข้าควรจะหาประสบการณ์พิสดารยังไง”
“โฮ่ โดยทั่วไปคนเขาก็จะไปเข้าร่วมด่านทดสอบในมิติลี้ลับตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาของวิเศษ ตัวยาล้ำค่า หรือยอดวิชาที่หายาก”
ทั้งคู่เดินคุยกันห่างจากถ้ำเซียนของไป่หลินหลิง พวกเขาลัดเลาะหลบไปหลังภูเขาที่รกร้างไร้ผู้คน ข้างหลังภูเขามีป่าไผ่มรกต ลำต้นไผ่เป็นสีเขียวแวววาวเหมือนแก้วผลึก และใบมันก็เหมือนเปล่งประกายแสงเรื่อเรือง
“พี่ชายหวาง ข้าไม่มีพลังพรตแม้แต่น้อย แล้วผู้น้องจะไปแข่งกับคนอื่นได้อย่างไร ข้าอยากได้ทางลัด อย่างเช่น ถ้าได้ยอดวิชาเต๋าแห่งการนอน เต๋าแห่งความขี้เกียจ เต๋าแห่งการผัดวันประกันพรุ่ง เก้าลอเก้า ข้าต้องสำเร็จเต๋าเหล่านั้นอย่างรวดเร็วแน่ ๆ” คุณชายสามนับนิ้วพลางคิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง
หวางเซียนเหลยขมวดคิ้วจนแทบจะพันเป็นเลขแปด แต่แล้วก็หัวเราะฮี่ ๆ
“ทางลัดน่ะมี แต่น้องชายซีคงจะกล้าหรือไม่”
“ผู้น้องล้างหูรอรับฟัง”
หวางเซียนเหลยมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีคนแอบฟัง แล้วโน้มตัวไปพูดใกล้ ๆ หู “เจ้ารู้มั้ยว่า แม่นางไป่มีศัตรูอยู่หนึ่งคน ศัตรูคนนั้นก็คือ ผู้อาวุโสเส้า...เส้าหยูเสวียน”
ซีคงหยูทำตาโตเมื่อได้รับฟังเรื่องการเมืองภายใน
“ศัตรูของนางในดวงใจข้าก็เหมือนศัตรูของข้า เอาอย่างงี้มั้ยล่ะ ข้าบังเอิญมียอดวิชาที่เหมาะกับเจ้า เหมาะเจาะอย่างไม่มีที่ติ ถ้าเจ้าได้ไป วรยุทธต้องรุดหน้าเหมือนเอาคัมภีร์เทใส่น้ำร้อนปิดฝาไว้สามนาที เก่ง”
“โอ้โหหหห”
หวางเซียนเหลยคลี่พัดจีบอย่างมีมาดแล้วเดินไปที่หน้าผาริมป่าไผ่
คุณชายสามรีบเดินตามแล้วถูมือไปมา “พี่ชายหวาง แล้วข้าต้องทำยังไงถึงจะได้ยอดวิชานั้นมา”
“ฮี่ ๆ อย่างที่ข้าบอก เจ้ากล้าพอหรือเปล่า เจ้าจะต้องสั่งสอนนางจิ้งจอกแซ่เส้า ว่าอย่ามาแหยมกับแม่นางไป่”
“ไอ๊หยา พี่ชายหวาง นั่นน่ะผู้อาวุโสสำนักเลยนะ ท่านจับมวยผิดรุ่นแล้ว”
หวางเซียนเหลยฟังแล้วก็เบือนหน้ากลับมามองด้วยหางตา
“เจ้าเคยได้ยินคำเปรียบเปรยเรื่องช้างกับมดมั้ย มดหลายตัวก็รุมกัดช้างตายได้”
“โอ้ งั้นข้าก็คือมดสินะ”
“โน เจ้าคือสิ่งชีวิตต่ำชั้นกว่านั้น อย่างเห็ดราเป็นต้นฯ แต่..” อย่างไม่รอให้ซีคงหยูประท้วง หวางเซียนเหลยรีบกล่าวต่อ “ถ้าเจ้ารวบรวมฝูงมดได้มากพอ ก็จะสามารถกัดช้างให้เจ็บ ๆ คัน ๆ ได้”
“พี่ชายหวางกำลังจะบอกว่า..”
“ฮ่า ๆๆ ริจะประกอบอาชญากรรม ก็ต้องมีการจัดตั้งองค์กร แผนระยะแรกของพวกเราคือการรวบรวมกำลังคนและอิทธิพลในสำนักวารีพิสุทธิ์ เราจะตั้งพรรครีดไถเรียกค่าไถ่ และมุ่งก่อกวนพวกศิษย์ของเส้าหยูเสวียนเป็นพิเศษ” หวางเซียนเหลยหันมากอดคออีกฝ่ายแล้วพาเดินกลับจากหน้าผาไปที่ป่าไผ่
“พี่ชาย..แต่ข้ามันคนโนเนม”
หวางเซียนเหลยรวบพัดในมือแล้วเอาเคาะหัว “เจ้านี่มันเงื่อนไขเยอะซะจริง เอ้านี่” เขาล้วงของจากอกเสื้อแล้วโยนให้จนซีคงหยูรับแทบไม่ทัน “นี่คือป้ายหยกแทนตัวของข้า ข้าพอมีเส้นสายในสำนักอยู่บ้าง ถ้าเจ้าแสดงป้ายนี้ให้แก่ศิษย์ในสำนัก พวกนางจะปฏิบัติตามที่เจ้าบอก เฮ้ อย่าแทะป้ายสิ”
หวางเซียนเหลยแทบน้ำตาตกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาป้ายหยกคุนเผิงน้ำเงินไปแทะพิสูจน์
“ข้ากลัวเป็นของเก๊อ่ะ”
“....”
+++++++++
คุณชายสามขี่หมีดำกลับเรือนพักศิษย์ใหม่อย่างองอาจ เมื่อถึงสนามหญ้าที่หลิวเกากำลังฝึกร่างกายอยู่ เขาก็ประกาศว่า
“ข้าได้กลับมาจากการพิชิตทวีปดิน1 เจอประสบการณ์พิสดารที่โพ้นทะเล พบพานยอดเซียนผู้มากไปด้วยฤทธิ์ และกลับมาพร้อมกับสมบัติเต็มลำเรือ”
“ยินดีด้วยนายน้อย ยินดีด้วยนายน้อย” หลิวเการีบลุกไปพินอบพิเทาตามบท แต่แล้วก็เหล่มองดวงอาทิตย์ “แต่นี่ยังไม่ถึงชั่วยามเลย นายน้อยแน่ใจนะว่าได้ออกไปผจญภัยแล้วจริง ๆ ไม่ใช่แวะไปฉี่ข้างทาง”
“ฮี่ ๆ ยินดีด้วย ศิษย์น้องลุงซีคง”
เสียงดังมาจากข้างหลัง ซีคงหยูหันขวับบนหมี จากนั้นประสานมือคารวะ
“ศิษย์พี่หญิงหวู”
“ข้าแวะเอาตารางการประลองคัดเลือกมาให้ และก็อยากไต่ถามศิษย์น้องว่า ธีสิสถึงไหนแล้ว ฝึกวิชาถึงไหนแล้ว”
“ฮ่า ๆๆ เรื่องนี้...” คุณชายสามหัวเราะค้างแล้วก็กระแอมไอ ทำไมคนเดี๋ยวนี้ชอบจี้ใจดำกันนักนะ ช่างไร้หัวจิตหัวใจกันเสียจริง
“แต่ได้ยินว่าศิษย์น้องพบเจอประสบการณ์พิสดาร สงสัยคงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะมั้ง” หวูชิงหรูพูดสายตาวาววับ คนฉลาดอย่างนางเห็นก็รู้ว่าซีคงหยูยังฝึกวิชาไม่ถึงไหน
“เฮ่อ พูดแล้วก็น่าอาย ประสบการณ์พิสดารของข้าไม่ใช่ยอดวิชาโดยตรง แต่ข้าได้รับการมอบหมายจากยอดคน ให้ทำงานอันสูงส่ง คุ้มครองยุทธภพ ผดุงธรรมแทนสวรรค์”
“อื้อหืออ” หวูชิงหรูร้องอย่างสนใจ นางไม่ค่อยเชื่อนักหรอก แต่ก็อยากฟังว่าศิษย์น้องลุงคนนี้จะโม้ว่าอะไร
“ศิษย์พี่หญิงหวู ได้พบพานกันนับเป็นวาสนา ในเมื่อเราสองมีวาสนาผูกพัน ศิษย์พี่หญิงมาเป็นสมาชิกพรรคคนแรกของข้าดีมั้ย”
หวูชิงหรูขมวดคิ้ว แต่ไม่ทันจะเอ่ยปากปฏิเสธ ซีคงหยูก็ควักป้ายหยกออกจากอกเสื้อ
“นี่คือป้ายประกาศิตแทนตนของยอดคนผู้ลึกลับ ท่านบอกว่าเมื่อยกป้ายขึ้นพลทหารนับแสนจะคุกเข่ารับบัญชา เอ๊ะ จริงมั้ยวะ”
“ป้ายนี้มัน...” หวูชิงหรูอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นเมื่อขบคิดต้นสายปลายเหตุในสมอง บวกกับการรู้ว่านิสัยแต่ผู้อาวุโสแต่ละคนเป็นอย่างไร นางก็เริ่มหัวเราะ
หวูชิงหรูหัวเราะจนตัวงอ ขณะที่คุณชายสามเกาหลังคอด้วยความอาย
“ทำให้ศิษย์พี่หญิงต้องหัวร่อเยาะเสียแล้ว ที่แท้ป้ายหยกนี้ก็ของปลอม ข้าก็ว่าอยู่แล้วว่าทำไมข้าจะโชคดีขนาดนั้น เลยลองทดสอบกับศิษย์พี่หญิงด้วยการเล่นใหญ่รัชดาลัย เฮ้อ โยนทิ้งดีกว่า”
“ฮ่า ๆๆๆ อย่าโยน นั่นป้ายของจริง ข้าหัวเราะเพราะหมีของเจ้าน่ารักดี ฮ่าๆๆๆ”
นางปัดหลังมือเช็ดน้ำตาที่เล็ดจากการหัวเราะ แล้วเงยหน้าถาม
“ยอดคนที่ศิษย์น้องว่า ต้องเป็นคุณชายรูปงาม สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ถือพัดไม้กฤษณาและกระบี่ใช่หรือไม่”
“โอ้ ศิษย์พี่หญิงประสบการณ์กว้างขวาง ท่านรู้ได้อย่างไรล่ะเนี่ย”
“ฮี่ ๆ ยอดคนผู้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน ในเมื่อศิษย์น้องอยากให้ข้าเข้าพรรค ก็เป็นอันว่าตกลง”
“ง่าย ๆ อย่างงี้เลยน่ะหรอ งั้นแปะมือเป็นสัญญา”
คุณชายสามปีนลงจากหลังเสี่ยวหมีแล้วไปแปะมือกับหวูชิงหรู นางยิ้มเป็นนัย ประกายตามีแววระยิบระยับเหมือนกำลังทำเรื่องสนุก
“เดี๋ยวศิษย์พี่จะช่วยหาดาวไลน์ให้ ศิษย์น้องลองติดต่อรวบรวมคนอื่นอีกดู แต่อย่าไปยุ่งกะไป่หลานหลาน นางเป็นคนเคร่งเครียด คงไม่มาเล่นด้วยกับพวกเรา”
“โอ้ ข้าก็ว่าอย่างงั้น”
ซีคงหยูรู้สึกสนิทกับศิษย์พี่หญิงคนนี้เข้าไปอีก เมื่อทั้งสองคนแบ่งปันคำนินทานางมารร้ายแซ่ไป่
+++++
และในมุมต่าง ๆ ของสำนักวารีพิสุทธิ์ในวันนั้น
“ศิษย์น้องหญิงจาง ข้ามีข้อเสนอที่เจ้าไม่อาจปฏิเสธได้”
“ศิษย์น้องหญิงเหยียน เจ้าอยากเป็นสาวน้อยเวทม.. เพ้ย..สมาชิกพรรคหรือไม่”
“ศิษย์พี่หญิงสวี อย่าถามว่าพรรคจะทำอะไรให้ท่าน แต่จงถามว่าท่านจะทำอะไรให้กับพรรค”
+++++
เส้าหยูเสวียนตบโต๊ะเขียนหนังสือจนแท่นฝนหมึกลอยขึ้นมาบนอากาศ แล้วตวาดว่า
“เจ้าคนชั่วร้ายแซ่ไป่ เจ้ากล้าดีอย่างไร”
ไป่หลินหลิง พรมนิ้วร่ายมนตรา แท่นฝนหมึกและเครื่องเขียนที่ลอยขึ้นมาก็ลอยค้างต่อในอากาศ จากนั้นจึงเลิกคิ้วมองผู้อาวุโสแห่งเก้าอี้ต้าเผิง
“ผู้แซ่เส้า เจ้านี่มันไร้มารยาทเสียจริง เข้ามาเอะอะโวยวายในห้องเขียนหนังสือของข้า เด็ก ๆ ลากตัวมันออกไปประหาร”
เส้าหยูเสวียนหัวเราะอย่างดุร้ายกับการเล่นสวมบทบาทของอีกฝ่าย พวกศิษย์รับใช้ของไป่หลินหลิงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ เพราะตามที่เขาว่ากันว่า เทพยดาตบตีกัน หญ้าแพรกก็แหลกราญ “ผู้แซ่ไป่ อย่าทำเฉไฉ เจ้าให้ศิษย์ชายตั้งพรรคแบบนี้ หมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่าข้าอยากตั้งพรรคล่าหัวเจ้ายังไงล่ะ และข้าก็ทำอย่างเปิดเผยสุด ๆ ด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“เพ้ย เจ้าคนคดโกง การตั้งพรรคมันคือส่วนหนึ่งของโจทย์การประลองศิษย์ครั้งนี้ เจ้าจะโกงก็อย่าเอาข้ามาอ้าง ข้าจะไปฟ้องเจ้าสำนัก!”
เมื่อเห็นว่าโดนจับไต๋ได้ ผู้อาวุโสไป่จึงเปลี่ยนท่าที
“เฮ้ ศิษย์น้องหญิงเส้า เอาอย่างงี้ดีมั้ยเล่า ทำไมเราไม่แลกกันเป็นข้ออ้างเพื่อเตรียมศิษย์ของตนเองล่วงหน้า เราสองคนไม่พูด คนอื่นก็ไม่รู้ ศิษย์ของพวกเราจะได้เอาชนะศิษย์ของศิษย์พี่หญิงชวงและหมิงได้ยังไงล่ะ”
เมื่อเห็นไป่หลินหลิงมีท่าทีอ่อนลง เส้าหยูเสวียนจึงกอดหน้าอกหน้าใจที่ล้นเหลือของนางแล้วแค่นเสียง หึ
“ศิษย์น้องหญิงเส้าลองคิดดูดี ๆ ต่อให้ไปเปิดโปงข้าต่อเจ้าสำนัก แต่ถ้าข้ายืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็น คิดว่าเจ้าสำนักจะทำอะไรข้าได้อย่างงั้นหรือ อย่างดีข้าก็แค่ต้องเข้าห้องคุกเข่าสำนึกผิด แต่พรรคข้าจะอยู่ต่อไป แทนที่เราจะมานั่งทำลายกัน เรามาแบ่งปันกันรวยไม่ดีกว่ารึ”
“หึ”
“ไม่เอาน่า ข้าต้องโน้มน้าวเจ้าอีกรึ ที่เจ้าไม่ไปหาเจ้าสำนักก่อนมาหาข้า ก็เพราะตั้งใจจะมาดีลอยู่แล้วไม่ใช่รึ ในสำนักนี้มีคนที่รู้ทันข้าจริง ๆ ก็คือศิษย์น้องหญิงเส้า ดังที่เขาว่าคนที่รู้ใจที่สุดไม่ใช่คนรัก แต่เป็นศัตรู เจ้าว่าจริงหรือไม่”
“อือฮึ ถือเสียว่ายกประโยชน์ให้เจ้าสักครั้ง ผู้อาวุโสไป่..ข้าไปล่ะท่านไม่ต้องส่ง”
เส้าหยูเสวียนถอยออกไปจากห้องหนังสือของไป่หลินหลิงโดยไม่พูดอะไรอีก และในเย็นวันนั้นก็มีข่าวลือว่ามีพรรคตั้งใหม่เพิ่มอีกพรรค ชื่อพรรคนักล่าจิ้งจอกขาว
(ไป่ แปลว่าสีขาว)
+++++++++++
หญิงสาวในเสื้อคลุมคุนเผิงสีเขียวมีโหงวเฮ้วที่ดูอารมณ์ร้อน แต่ด้วยวัยและฐานะของนางทำให้นางต้องคอยจิบชาเย็นให้อารมณ์เย็นอยู่เสมอ
ตรงข้ามกับนางคือสตรีวัยใกล้กลางคนในเสื้อคลุมคุนเผิงสีคราม หมิงอวี้กว๋อแห่งเก้าอี้ฉีเซี่ย เบื้องหน้านางคือชาร้อน เพราะผู้คนว่านางอารมณ์เยือกเย็นเกินไป จึงต้องรับธาตุร้อนเข้าร่างกายให้สมดุล
“เจ้ามีธุระอะไรหรือลี่เอ๋อร์” ร่างในเสื้อสีครามถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่มีสติปัญญาล้ำลึก เรื่องที่ลี่เอ๋อร์มาหา ศิษย์พี่หญิงใหญ่คงเดาได้แต่แรก”
หมิงอวี้กว๋อไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มละไม
“เฮ้อ พวกนางสองคนปกติเป็นศัตรูกัน ไม่นึกว่าจะจับมือกันเสียได้” เจ้าของเสื้อคลุมสีเขียวกล่าวพลางทอดถอนใจ
“เจ้าของเก้าอี้คุนเผิงสี่แปลงไม่มีชนชั้นธรรมดา” หมิงอวี้กว๋อปริปาก “เส้าหยูเสวียนดูเหมือนกับชอบทำอะไรมุทะลุไม่รู้จักคิด แต่จริง ๆ แล้วนางก็คมในฝัก โบราณว่าประเมินความสามารถของคนให้ประเมินจากศัตรูที่เขามี เส้าหยูเสวียนและไป่หลินหลิงรบรากันมาหลายปี ความนี้ก็น่าขบคิดอยู่”
“แต่ครั้งนี้พวกนางทำเกินไปแล้ว เอาโจทย์ของสำนักออกไปบอกก่อนเวลาทดสอบได้อย่างไร”
“เฮ่อ ๆ ลี่เอ๋อร์ เจ้าก็อย่าสนใจการแข่งขันของเด็ก ๆ เลย”
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านก็รู้ว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันของเด็ก ๆ ท่านก็รู้ข่าวลือว่าเจ้าสำนักกำลังจะวางมือ ตอนนี้ทุกคนต่างพยายามทำตัวให้โดดเด่นเพื่อจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป”
เมื่อฟังดังนั้น หมิงอวี้กว๋อก็ปรายตามองศิษย์น้องหญิงของตนผ่านขอบถ้วยชา
“ลี่เอ๋อร์ หรือว่าเจ้าก็สนใจตำแหน่งเจ้าสำนักอยู่เหมือนกัน”
ชวงลี่เอ๋อร์เม้มปาก “ลี่เอ๋อร์มิกล้า ลี่เอ๋อร์เพียงแต่เกรงว่า ถ้าสำนักเราอยู่ภายใต้การนำของเด็กสองคนนั้น คงต้องมีปัญหาแน่ ๆ ลี่เอ๋อร์คิดว่า คนที่สมควรเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปที่สุดคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ เพราะศิษย์พี่หญิงใหญ่เปี่ยมทั้งคุณธรรมและปัญญา สำนักวารีพิสุทธิ์ภายใต้การนำของศิษย์พี่หญิงใหญ่จะต้องเจริญรุ่งเรืองและโดดเด่นที่สุดในทวีป”
หมิงอวี้กว๋อฟังคำสรรเสริญแล้วก็ไม่เหลิงลอย มุมปากประดับรอยยิ้มละไมอย่างไรก็ประดับอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ชวงลี่เอ๋อร์กำชายเสื้อสีเขียวของตนเองเพื่อซับเหงื่อเย็นเยียบในฝ่ามือ ด้วยไม่รู้ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่จะมองหยั่งเห็นใจจริงของตนหรือไม่
“ถ้าเจ้าเดือดร้อนกับเรื่องนี้ วิธีแก้ก็ง่ายนิดเดียว พวกเราทุกคนก็ร่วมกันเปิดเผยโจทย์ก่อนเวลาให้กับศิษย์พร้อม ๆ กัน เจ้าสำนักกำลังจะวางมือ นางคงไม่อยากจะมาวุ่นวายเอาเรื่องกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ แต่..” นางวางถ้วยชาในมือลง “..ประเด็นสำคัญไม่ใช่การแก้ปัญหาที่พวกนางสร้างไปทีละเปลาะ แต่ปัญหาใหญ่คือการสร้างพันธมิตรระหว่างเส้าหยูเสวียนและไป่หลินหลิง ถ้าพวกนางยังสุมหัวอยู่ด้วยกัน เจ้าก็จะต้องเผชิญกับปัญหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
“ลี่เอ๋อร์ขอบคุณที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ชี้แนะ”
“เรื่องเล็กน้อย อย่าใส่ใจ ข้าไม่ได้แนะนำวิธีแก้ด้วยซ้ำ เพราะข้าไม่ได้สนใจการเมืองพวกนี้ ไม่ว่าพวกเจ้าหนึ่งในสามคนใครจะได้เป็นเจ้าสำนัก ขอให้เว้นที่ว่างสักนิดให้ข้ายืน ข้าก็พอใจแล้ว”
“ผู้ใดจะไม่รู้ดีรู้ชั่วขนาดคิดกำจัดศิษย์พี่หญิงใหญ่” ชวงลี่เอ๋อร์พูดอย่างตกใจและเป็นเดือดเป็นร้อน
หมิงอวี้กว๋อยิ้มน้อย ๆ และโบกมือเป็นสัญญาณส่งแขก
+++++