เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)  (อ่าน 132111 ครั้ง)

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 34

 

“ไอ้พี่ติ คนบ้า! ใจร้าย!”

หมอนหนุนในมือถูกปาออกไป จังหวะเดียวกับที่ประหูห้องนอนถูกเปิดออก พะพายเหลือบตามองใบหน้าบูดบึ้งของน้องชาย ก่อนก้มลงเก็บหมอนบนพื้นขึ้นมาวางเข้าที่ น้ำส้มคั้นสดหนึ่งแก้ววางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ

“เลิกโมโหได้แล้ว คนแบบนั้นไม่มีค่าพอให้ไปสนใจหรอก”

ไม่มีการตอบรับอะไร นอกจากร่างซีดผอมที่ล้มตัวลงนอนราบกับพื้นฟูก พร้อมดึงผ้าห่มคลุมโปงจนถึงศีรษะ รังให้เธอได้แต่ถอนใจยาวเหยียดอย่างนึกสงสาร

ไอ้สารเลวกีรติ บังอาจมากที่กล้ามาทำน้องชายสุดที่รักของเธอเสียใจ ทั้งที่พูดไว้ดิบดี ตอนนี้กลับทำตัวราวน้ำกลิ้งบนใบบอน กลับคำที่เคยบอกว่ารักพะภูนักหนาเข้าให้เสียแล้วหรือยังไง เจ้าตัวเล็กถึงเอาแต่ร้องไห้เป็นวักเป็นเวรมาร่วมสองวันเต็มแล้ว ไอ้ใบหน้าหวานๆอันแสนน่าเอ็นดู บัดนี้กลับหม่นหมอง รอบดวงตาแดงก่ำจากความเสียใจ ใต้ตาก็คล้ำเสียจนดูไม่ได้ ด้วยว่าไม่ได้กินไม่ได้นอนอย่างเต็มที

“ลุกขึ้นมาดื่มน้ำส้มสักหน่อย”

พะพายเอ่ยเสียงอ่อน พร้อมดึงผ้าห่มที่ขวางกั้นออกช้าๆ เห็นร่างคุดคู้กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงสะอื้นไห้ ก็ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ด้วยยากจะรับไหว ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณห้องได้สักพัก เธอจึงเป็นฝ่ายยอมปลีกตัวออกมา ทิ้งให้น้องชายคนดีได้แต่นอนร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่คนรักตนกระทำไว้

ความเหน็ดเหนื่อยผลักดันให้พะภูจมลงสู่ห้วงนิทรา จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ถึงรู้สึกตัวขึ้นมาจากเสียงเรียกของโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็ก ผ้าห่มผืนบางถูกถีบออกแทบจะทันที ก่อนรีบรุดไปกดรับสายโดยไม่ทันได้มองว่าใครโทรมาด้วยซ้ำ ในใจเอาแต่คาดหวังว่าจะได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูอีกครั้ง

“ฮะ..ฮัลโหล”

(พะภู ฉันนิวนะ)

ความผิดหวังก่อตัวรวมกันอยู่ภายใน จนร่างทั้งร่างทรุดกลับลงไปกองอยู่บนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน น้ำเสียงแหบพร่าไร้เรี่ยวแรงตอบกลับไปช้าๆ

“มีอะไรเหรอ..?”

(เป็นยังไงบ้าง น้ำเสียงฟังดูไม่ดีเลย)

“เปล่า ไม่เป็นไร”

พอถูกทักด้วยความเป็นห่วง จึงต้องรีบแสร้งปั้นเสียงสดใสขึ้นมาอีกนิดหน่อย เพราะไม่อยากให้เพื่อนต่างโรงเรียนคนนี้ต้องเป็นกังวลมากไป แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ช่วยอะไรเลย เมื่อนิวยังคงจับได้ถึงความผิดปกติจากอีกฝ่าย จึงพาเข้าประเด็นหลักทันทีแบบไร้การอ้อมค้อม

(พะภู กลับไปอยู่ข้างๆพี่ติเถอะนะ)

หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบเมื่อได้ยินชื่อคนที่เฝ้าคิดถึง หากแต่สุ้มเสียงด่าทอในวันนั้นยังคงดังก้อง คอยหลอกหลอนอยู่ในสมองจนเจ็บปวดขึ้นมา

“จะกลับไปได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่ต้องการ” ครั้งนี้กลับเปล่งเสียงเศร้าหมองออกไปอย่างไม่ปิดบัง น้ำตาเริ่มคลอขังพาลจะไหลลงมาทุกขณะ จนปลายสายต้องรีบแย้งขึ้นมาทันควัน

(ไม่จริงเลย! พี่ติรู้สึกผิดมาก อยากขอโทษจะตาย แต่เพราะเครียดเกินไปเลยล้มป่วยแล้วต่างหาก)

“หะ! พี่ติป่วยหรอ?”

(ใช่ พี่ติคิดว่าคงโดนนายเกลียดแล้ว แต่มันไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหมพะภู?)

“ฉัน...”

(ยกโทษให้ความงี่เง่าของพี่ติด้วยนะ!)

นิวส่งเสียงจริงจังผ่านสายโทรศัพท์มา ทำเอาพะภูถึงกับทำตัวไม่ถูก มันฟังดูเหมือนว่าหมอนี่กำลังขอร้องเขาจากใจจริง ราวกับว่าความรู้สึกจากนิวจะส่งผ่านมาถึงเขาได้ เพราะอยู่ๆ ก็ลืมความโกรธก่อนหน้านี้ไปเสียเฉยๆ ตอนนี้กลับมีเพียงความโล่งใจที่รู้ว่าติสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำ และขณะเดียวกันก็เป็นห่วงเหลือเกินว่าติจะเป็นอะไรมากอย่างว่าหรือเปล่า

“ฉะ..ฉัน จะไปหาพี่ติ!”

ก็ความรักของเรา ไม่สมควรถูกฉีกกระชากได้ด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้นี่น่า มันมากกว่านั้น! สิ่งที่ผ่านมาด้วยกัน สิ่งที่เชื่อมกันไว้ มันเหนียวแน่นกว่านั้น!!

 

“คุณภู!” แม่บ้านคนหนึ่งรีบรุดมาเปิดประตูรั้วให้ เมื่อชะโงกหน้ามาเห็นว่าเป็นใคร ที่เอาแต่ยืมดอมๆมองๆอยู่นาน

“พี่ติไม่สบายเหรอครับ?”

“ค่ะ แถมไม่ยอมทานอะไรเลย ดีใจจริงๆ ที่คุณกลับมา”

คุณป้าทำท่าจะเข้ามาช่วยถือถุงผลไม้ที่เตรียมมา พะภูจึงส่ายหัวน้อยๆ และรีบตรงเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย พอเหยียบย่างเข้าไปไม่เท่าไร เสียงหวีดร้องดีใจจากคุณหนูคนเล็กของตระกูลจะดังขึ้นกระทบโสตประสาทแทบจะทันที จนต้องชะงักฝีเท้าไว้ก่อนชั่วคราว และหันไปทักทายรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน ซึ่งกำลังตีหน้าตาตื่นวิ่งมากอดเขาด้วยความปลื้มปริ่ม

“พะภู พี่ขอโทษแทนพี่ติด้วยนะ เขาแค่หึงจนหน้ามืดไปเท่านั้นเอง”

“ครับ ผมเข้าใจ”

คนเด็กกว่ารีบตัดบทด้วยการพยักหน้าเป็นสัญญาณ ก่อนจะถูกดันหลังให้ขึ้นบันไดไปยังห้องส่วนตัวที่เขาเคยร่วมหลับนอนมาแล้วไม่รู้กี่คืน ทันทีที่ประตูไม้เปิดออก ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นร่างใหญ่กำลังนอนสงบอยู่บนเตียงคิงไซส์ ท่าทางอ่อนเพลียไม่สมกับเป็นกีรติเลยจริงๆ พอขยับเข้าไปใกล้ถึงได้ยินเสียงหอบหายใจคล้ายคนทรมานเต็มที นี่เป็นมากขนาดนี้เลยเหรอ!

“อ..อือ”

คนบนเตียงบิดตัวเล็กน้อย ก่อนจะปรือตาลืมขึ้น เสียงเปิดประตูเมื่อครู่คงปลุกให้เขาตื่น แต่ดูเหมือนยังไม่อาจเปิดตาได้เต็มที จนหันไปเห็นหน้าของผู้บุกรุกถึงได้เบิกตากว้างเป็นไข่ห่าน พร้อมเด้งตัวลุกขึ้นจนหน้ามืด ลำบากคนเป็นแขกต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงอย่างเสียไม่ได้

“พะ..ภู”

“พี่ติอย่าเพิ่งขยับสิครับ”

“นาย..มาได้ยังไง แล้ว...ไม่โกรธฉันแล้วเหรอ?”

มือใหญ่ตรงเข้ากุมข้อมือเล็กไว้แน่นเหมือนไม่อยากให้หลุดหายไปไหน ก่อนรัวคำถามใส่อย่างรวดเร็ว ใบหน้าแสดงออกถึงความตกใจไม่หาย แต่เลือดภายในตัวกลับเต้นเป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ

“โกรธสิ แต่จะยอมให้พี่ป่วยแบบนี้ได้ยังไง” พะภูตำหนิถึงความไม่เอาไหนของคนรักผ่านทางสายตา และช่วยประคองติให้นั่งพิงหัวเตียงดีๆ

“ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆนะ ฉันมันบ้า มันเลว” คนตัวใหญ่เริ่มใช้กำปั้นทุบตีตัวเองเหมือนเด็กๆ จนพะภูต้องรีบห้ามไว้ ติมองกลับมาด้วยสายตาสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง ทำเอาคนมาเยี่ยมถึงกับใจอ่อน ยอมกุมมือติไว้ให้อีกฝ่ายคลายใจ

“ช่างมันเถอะครับ แต่คราวหลังไม่เอาแล้วนะ”

“จะไม่มีอีกแล้ว สัญญาเลย!” มือหนากุมตอบแน่นอีกกว่าเดิม พร้อมเปล่งน้ำเสียงจริงจังออกมา ถ้าบอกว่าตอนเริ่มคบกัน กีรติเชื่องขึ้นแค่ไหน ตอนนี้ยิ่งเชื่องขึ้นกว่านั้นสักสิบเท่าเห็นจะได้

“พี่ติต้องเชื่อใจผมมากกว่านี้”

“อื้อ! ฉันจะเชื่อใจนาย อย่าไปจากฉันเลยนะ ฉันขอโทษ...” คำขอโทษครั้งที่ล้านหลุดออกมาจากปางสีซีดอย่างคนป่วย ยิ่งทำให้พะภูอ่อยระทวยไปทั้งตัวทั้งใจ ใช่สิ สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ติอยู่ดีนั่นแหละ เพราะรักแท้ๆเลย...

“ถ้าพี่ไม่ไล่ ผมก็ไม่ไปหรอกครับ”

“ไม่.. ไม่อีกแล้ว ฉันรักนาย”

กีรติพูดเสียงแผ่วลงทุกทีจนเขาอดใจหายไม่ได้ หลังจากยอมให้ติพรมจูบไปทั่วทั้งมือจนพอใจแล้ว จึงรีบสั่งให้คนยกอาหารขึ้นมาทันที ที่อ่อนแอลงได้ขนาดนี้เพราะไม่ยอมกินอะไรเลยน่ะสิ แบบนี้สงสัยต้องใจอ่อน ยอมป้อนสักหน่อยแล้วมั้ง

“กินข้าวหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมป้อน”

“อือ”

คนตัวสูงดูว่าง่ายผิดวิสัยปกติ ยอมกินข้าวกินยา ไม่มีบ่นสักแอะ ทำไปทำมาเขาชักติดใจกีรติตอนป่วยเข้าซะแล้วสิ นอกจากเลิกทำตัวดื้อแพ่งแล้วยังเซื่องเสียจนน่ารักเชียว แต่ถึงยังไงก็ขอให้กลับมาแข็งแรงไวๆดีกว่าแหละนะ

พะภูต่อสายโทรศัพท์หาพะพายเพื่อขอนอนค้างที่บ้านติ ด้วยถูกขอร้องจากทั้งเจ้าตัว ตาล และแม่บ้านทั้งกอง เรียกว่าถ้าขืนปฏิเสธออกไป คงได้มีใครแถวนี้นอนซมต่ออีกคืนเป็นแน่ ซึ่งหลังจากอธิบายเรื่องราวความเข้าใจผิดและการสำนึกของติแล้ว พะพายก็ยอมเข้าใจอย่างไม่เต็มร้อยนัก หากก็ปล่อยให้เขาอยู่ดูแลที่บ้านหลังนี้ได้อีกหน่อย

“พี่ติจะนอนพักไหมครับ?”

“ไม่เอา นอนมาเยอะแล้ว อยากมองหน้านายมากกว่า”

ทำเป็นพูดดี ก็ตัวเองไม่ใช่เหรอไงที่ออกปากไล่เขาไปวันนั้น แต่ก็ช่างเถอะ พอเข้าใจอยู่หรอกว่าผู้ชายคนนี้น่ะอารมณ์ร้อนแค่ไหน พะภูลอบถอนหายใจ ก่อนจะย้ายขึ้นไปนั่งข้างกันบนเตียง เรียกรอยยิ้มจากคนตัวใหญ่ได้มากโข

“รีบๆหายได้แล้วครับ”

“ครับ”

ติพูดจาดีหวังเอาใจ แถมขโมยหอมเขาอีกฟอดใหญ่ ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างคนรัก ลืมเลือนเรื่องราวหมาดบางทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตอนที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มันมีความสุขมาก มากเสียจนไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่นๆ ความสัมพันธ์แบบนี้ บางทีก็ดีเหมือนกันนะ...ถึงต่อให้ทะเลาะกันยังไง สุดท้ายก็ยังกลับมารักกันได้ดังเดิม เผลอๆจะเหนียวแน่นยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

ใช่แล้ว...ขอให้เป็นแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะต้องผิดใจกันกี่ครั้ง ก็ขอให้กลับมาคืนดีกันได้ทุกครั้ง

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ติตื่นมาพร้อมความสดชื่นในรอบสองสามวันที่ผ่านมา เพราะนอกจากไข้จะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ยังมีใบหน้าจิ้มลิ้มของคนรักมารอต้อนรับถึงเตียงนอนอีก มาคิดดูแล้ว เขานี่มันบ้าจริงๆ ถึงได้นึกสงสัยในตัวพะภูจนพรั้งปากทำร้ายจิตใจไป สาบานเลยว่าเหตุการณ์แบบนั้นมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว

เพราะว่าเมื่อคืนยังมีไข้อยู่ ก็เลยไม่ได้นอนกอดพะภูอย่างที่หวัง ความจริงอยากจะดึงตัวเข้ามาจูบตั้งแต่เห็นหน้าตอนแรกแล้วด้วยซ้ำ แต่วันนี้แหละ ยังไงก็ต้องขอฉวยโอกาส ทดแทนเวลาที่หายไปให้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีจังหวะเหมาะๆ ให้เขาละลาบละล้วงคนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อหมอนั่นเอาแต่เครียดตลอดวัน จนถึงช่วงหัวค่ำ แค่เพราะว่าวันนี้มหาวิทยาลัยที่เขาไปสัมภาษณ์มาจะประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาเท่านั้นเอง เครียดยิ่งกว่าคนเข้าเรียนเองซะสินะเนี่ย ยังไงก็ต้องผ่านอยู่แล้ว เขามั่นใจ

พอใกล้ถึงช่วงเวลาประกาลผลตามตาราง ติก็เปิดหน้าเว็บไซต์ของทางมหาวิทยาลัยรอไว้ ขณะเดียวกันก็ต่อ Skype หาศิลป์กับเกต์ เพื่อรอลุ้นไปพร้อมๆกัน

“เชี่ย พวกมึงแม่ง!” ได้ยินเสียงเกต์โวยวายทันทีที่เปิดโปรแกรมขึ้นมา และเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่กับพะภู ส่วนศิลป์ก็กำลังกอดนิวซะแน่น ทำอย่างกับจะอวดให้ใครแถวนี้อิจฉาเล่น แถมดูเหมือนว่าจะได้ผลเต็มๆอีกต่างหาก

“อะไรของมึง?”

“กูเป็นคนเดียวที่ไม่มีใคร ฮืออ!”

คนอยู่ลำพังได้แต่โอดครวญแบบติดตลก เรียกเสียงหัวเราะแกมเห็นใจจากอีกสี่คนที่เหลือ ความจริงเกต์ก็หน้าตาดีระดับต้นๆ ถ้าคิดจะหาแฟนสักคนก็ไม่นักหนาอะไรอยู่แล้ว ทำมาเป็นบ่น เพราะตัวเองไม่คิดจะรักใครเองน่ะสิ ถึงต้องอยู่คนเดียวแบบนี้

“ก็หาสิมึง”

ศิลป์ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียง โพลงความคิดของติออกไป แถมยังแกล้งเกต์ด้วยการก้มลงหอมแก้มนิวฟอดใหญ่ จนคนตัวเล็กเขินหน้าแดงก่ำ เห็นแล้วก็ชักอิจฉา เลยคว้าตัวพะภูที่นั่งแกะเปลือกส้มข้างกัน เข้ามาจุ๊บเบาๆ บนริมฝีปากนุ่มไปทีอย่างไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว แน่นอนว่าแลกมาด้วยการโดนฟาดแรงๆตรงไหล่

“เออ พวกมึงจำไว้ อย่าให้กูมีบ้างนะ”

“เขาประกาศผลแล้วมั้ง” ศิลป์เปลี่ยนประเด็นก่อนจะหายไปกดเข้าหน้าเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเพื่อตรวจสอบ ตามมาด้วยเกต์ และติ ตามลำดับ

ทั้งสามคนต่างเงียบใส่กัน จนแม้แต่พะภูที่ไม่เกี่ยวข้องก็ยังอดลุ้นจนตัวโก่งไม่ได้ หลังจากติเข้าระบบไปแล้ว หน้าจอประกาศผลก็ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตาทั้งคู่ พอเลื่อนลงมาเล็กน้อยจึงเห็นข้อความสีเขียวลอยเด่นอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยม

[ผ่านการสอบสัมภาษณ์]

“เฮ้ยย!”

พะภูร้องออกมาก่อนเจ้าตัว กระโจนเข้ากอดติด้วยความดีใจออกหน้าออกตา จนคนตัวใหญ่อดยิ้มในท่าทีของอีกฝ่ายไม่ได้ ติรีบคว้าโอกาสนี้รวบเอวบางเข้ามาใกล้ และฝังปลายจมูกลงกับแก้มเนียนเป็นครั้งที่ร้อยของวัน

ดูเหมือนทางศิลป์กับเกต์เองก็ผ่านอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน ทั้งสามคนคุยกันต่ออีกหน่อยถึงแผนปิดร้านอาหารเลี้ยงข้าวรุ่นน้องในกลุ่ม ก่อนจะแยกย้ายกลับไปทำธุระของใครของมัน

“ขอรางวัล”

“หา?” คนเด็กกว่ารีบเขยิบตัวหนี เมื่อติหันมาแบมือใส่ แถมตีสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบที่ไม่นึกอยากเห็น “มะ..ไม่ได้เตรียมไว้ เดี๋ยวไว้ค่อยให้นะครับ”

“จะเอาตอนนี้แหละ” สิ้นเสียงทุ้ม คนตัวใหญ่ก็ลุกขึ้นช้อนร่างพะภูขึ้นไปโยนไว้บนเตียงสปริง ทำเอาคนถูกแกล้งถึงกับผวา รีบยกแขนขึ้นยันอกกว้างซึ่งทำท่าจะโน้มเข้าหา

“ไม่เล่นนะพี่ติ”

“ก็ไม่ได้เล่น ขอจริงๆ”

“มะ..”

“นะ”

คำสั้นๆ แต่กลับทำให้หัวใจของคนเบื้องล่างเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ แก้มสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อจนถึงใบหู ดวงตากลมโตพยายามหลุบต่ำลง พลางส่งเสียงประท้วงออกไปไม่เต็มปากเต็มคำนัก

“ม..ไม่เอา”

แม้จะพูดแบบนั้น แต่ท่าทางร่างกายจะไม่ใช่ ถึงได้ยอมลดแขนที่กำบังไว้ลง ปล่อยให้ติโน้มเข้ามาตักตวงความหวานจากโพรงปากอุ่นอย่างง่ายดาย ลิ้นหนาตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างจู่โจม มือหนึ่งช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนตัวเล็กให้คลายออก พร้อมลากไล้ไปทั่วแผงอกบาง

“อื้ม..ม”

ติค่อยๆถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนกดริมฝีปากหนักๆลงกับซอกคอขาว จงใจฝากรอยแดงแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ชัดเจน เริ่มไล้ลิ้นชื้นลงมาตามแนวไหปลาร้า จนถึงยอดอกสีชมพู ซึ่งตั้งชูชันราวกับจะเชิญชวนให้เข้าไปลิ้มลอง

ไม่รอช้า รีบตวัดลิ้นสะกิดเบาๆ ก่อนดูดดึงเล่นด้วยความชำนิชำนาญ พาลให้คนด้านใต้เกร็งเสียจนตัวบิด ติส่งเสียงพอใจในลำคอออกมา เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำกับท่าทางระส่ำระส่ายของคนรัก จึงยิ่งแกล้งขบเม้มไปตามเนื้อตัว แทบทุกจุดที่ปากอุ่นลากผ่าน กางเกงนอนกับชั้นในถูกปลดออกไปไม่ยากนัก เผยให้เห็นแก่นกายขนาดพอดีตัว กำลังสั่นระริกจากอารมณ์อันพลุ่งพล่าน

คนตัวใหญ่แสยะยิ้มเมื่อเห็นของเหลวสีขุ่นเริ่มไหลออกมาชโลมส่วนสงวนของพะภูบ้างแล้ว ติกดจูบบางเบาบนส่วนยอด ก่อนจะครอบปากลงไปจนเกือบสุด พยายามใช้ลิ้นนำ และตามด้วยการขยับเข้าออกช้าๆ มือข้างหนึ่งอ้อมไปนวดคลึงบริเวณสะโพกมน ไล่ร่นลงมาถึงก้อนเนื้อนุ่มหยุ่น พร้อมสอดนิ้วเรียวแทรกผ่านเข้าไปยังช่องทางด้านหลังอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

“อ..อ๊ะ!”

พะภูพยายามยกตัวขึ้นมองการกระทำน่าอายที่กำลังดำเนินอยู่ พลางเอื้อมมือเข้าขยุ้มกลุ่มเส้นผมสีดำสนิทตรงหน้าเพื่อช่วยระบายอารมณ์ ความรู้สึกมากมายปนเปกันอยู่ในหัว ทั้งแปลก ทั้งอาย ทั้งกลัว ทั้งรู้สึกดี จนไม่รู้ว่าควรตอบรับแต่ละสัมผัสอย่างไร นอกจากปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นอิสระ ความจริงเขาเองก็นึกปรารถนาในเรื่องแบบนี้ไม่แพ้กัน เพียงแต่คอยปิดกั้นมันไว้ตลอดมา จนในที่สุด จุกที่เคยปิดซ่อนแรงราคะตามธรรมชาติของมนุษย์ก็เริ่มเปิดออกทีละเล็กทีละน้อย

ติเพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปมากขึ้นตามลำดับ ยิ่งเร่งเร้าทั้งความเจ็บและเสียวซ่ายในเวลาเดียวกัน ไม่นานนักร่างข้างใต้ก็กระตุกตัวเกร็ง พร้อมปลดปล่อยสายน้ำอุ่นๆ เข้ามาเต็มปากของคนตัวใหญ่ ก่อนจะคลายมือออกจากเส้นผมของติ และกลับไปนอนหอบน้อยๆ

“อึ๊!” ปากแดงฉ่ำร้องออกมาเบาๆ เมื่อติถอนนิ้วทั้งหมดออกจากร่างกาย ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้อง แทรกผ่านเข้ามายังช่องจีบที่เพิ่งถูกแหวกออกสำหรับการเตรียมพร้อม ทำเอาสั่นสะท้านไปทั่ว

คนตัวสูงลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกอย่างเร่งรีบ ก่อนขยับตัวเข้าหาร่างเล็กอีกครั้ง ริมฝีปากอุ่นพรมจูบไปทั่วใบหน้าและแผ่นอกหวังช่วยปลอบขวัญ พอเห็นว่าพะภูเริ่มสงบลงแล้ว จึงจัดการแยกขาเรียวออก และจับเอาความเป็นชายขนาดใหญ่โตของตัวเองเข้าจ่อยังปากทางสีหวาน มีน้ำรักหยดลงมาจากส่วนยอดของแก่นกายซึ่งเริ่มจะทนไม่ไหว ไม่รอให้อีกฝ่ายส่งเสียงทักถ้วง ก็ค่อยๆ แทรกตัวผ่านเข้าไปทีเดียวครึ่งทาง

“โอ้ยยย! เจ็บ! พี่ติเจ็บ!” เป็นอย่างที่คาด คนตัวเล็กดิ้นพล่าน ทำท่าจะถดตัวหนี จนเขาต้องรีบยึดขาเนียนทั้งสองข้างไว้แน่น พร้อมยัดเยียดส่วนอุ่นๆเข้าไปจนสุด เพราะยากที่จะทานทนกับแรงอารมณ์ซึ่งกำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง รีบโน้มตัวเข้าแลกลิ้นกับคนเด็กกว่าอย่างเร่าร้อน หวังช่วยคลายความเจ็บ

“อื้ออ...อืม”

“โอเคยัง?”

เอ่ยปากถามหลังจากที่แช่แก่นกายเอาไว้นานพอตัว จนไม่เห็นทีท่าว่าคนตัวเล็กจะร้องโอดครวญแบบเมื่อครู่แล้ว บอกตรงๆว่าถึงไม่โอเคตอนนี้เขาก็คงไม่รอแล้วล่ะ เมื่อไอ้ส่วนที่เต้นตุบๆอยู่ภายในตัวอีกฝ่ายทำท่าว่าใกล้ระเบิดเต็มที ยิ่งพะภูตอดรัดเขาขนาดนี้ ถ้าไม่รักจริงมีหวังได้จัดเต็มไปนานแล้ว แต่ที่พยายามควบคุมตัวเองอยู่ก็เพราะรักหรอก ไม่อยากให้ต้องเจ็บ ยิ่งเป็นครั้งแรกด้วย เขาอยากให้เด็กนี่จดจำเฉพาะความสุขที่ได้รับจากมัน

คนถูกถามหลุบตาต่ำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ ถึงอย่างนั้นก็ยอมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้ติยิ้มออก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขากำลังมีอะไรกับผู้ชาย แถมมันยังเจ็บสุดๆ แต่เขาก็อยากจะทนนะ เพราะเขารักติมากนี่น่า เขาอยากทำให้ติมีความสุขในวันที่ดีแบบนี้

“ถ้าเจ็บก็จิกแขนฉัน อย่าทำร้ายตัวเอง เข้าใจไหม?” ฝ่ายนำ ยกแขนพะภูขึ้นเกาะไหล่เป็นมัดของตัวเอง ก่อนจะขยับร่างกายส่วนล่างเข้าออกช้าๆ และเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นตามลำดับ ภายในห้องมีเพียงเสียงครางกระเส่าสลับกับเสียงหอบของคนสองคนดังระงมไปทั่ว ยิ่งกระตุ้นอารมณ์รักภายในตัวทั้งคู่ให้ยิ่งกระเจิดกระเจิง

“อ๊ะ...อ๊า!”

“อา...” ติครางต่ำ พร้อมกดต้นขาพะภูเข้าหาตัวเจ้าของ เพื่อที่จะแทรกความเป็นชายเข้าไปให้ลึกยิ่งขึ้น จนคนตัวเล็กได้แต่ส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษา หลังจากความเจ็บค่อยๆจางหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความสุขสมและรู้สึกดีเกินคาด

“โอ้ย..พ..พี่ติ”

“ภู..วิเศษ...นายวิเศษมาก”

“อึ๊ อ๊ะๆ...”

คนตัวใหญ่เร่งเครื่องเต็มที่ พลางโน้มตัวเข้าไปดูดริมฝีปากล่างของร่างบางอย่างหยอกเย้า พะภูที่กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ พยายามแลบลิ้นออกมาหวังจะได้สัมผัสกับลิ้นอุ่นของอีกฝ่าย แขนสองข้างเลื่อนขึ้นโอบรอบคอติไว้แน่น ทั่วทั้งใบหน้าและลำตัวร้อนผ่าวจากแรงรักและความเขินอาย น้ำตาหยดใสร่วงผ่านพวงแก้มเนียนยิ่งเสริมให้ภาพของเด็กตรงหน้าแลดูน่ารักน่ามองกว่าทุกที

“พี่ติ..ผม อ๊ะ..จะ” พะภูร้องบอก เมื่อเริ่มใกล้ถึงขีดจำกัดของความรู้สึก

“ฉันก็ใกล้จะถึงแล้ว งั้นพร้อมกันนะ”

“อ..อ๊าาาา!”

ติกัดฟันกระแทกตัวเข้าหาร่างข้างใต้อย่างสุดแรง พร้อมปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเข้าไปจนล้นออกมาเปรอะเปื้อนก้อนสะโพกทั้งสอง ยืดหยดลงมาถึงผ้าปูที่นอนสีขาว พอดีกับที่ร่างบางกระตุกรุนแรง พร้อมน้ำสีขาวขุ่นที่พวยพุ่งออกมาเต็มหน้าท้อง

ร่างสูงจำใจถอนแก่นกายออกอย่างเนิบช้า ก่อนจะพลิกตัวลงนอนขนาบข้างกับคนตัวเล็ก ซึ่งเอาแต่หอบเหนื่อยจนแผงอกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ แขนใหญ่รวบตัวคนรักเข้ามากอดไว้หลวมๆ พอให้ไม่อึดอัดจนเกินไป พลางกดจูบลงบนขมับ นิ้วเรียวยกขึ้นซับน้ำตาออกให้อย่างเบามือ

“ฉันรักนายนะ”

“ผมก็รักพี่ติครับ” ร่างบางยิ้มรับ และกอดตอบคนตัวใหญ่ไว้แน่นทั้งที่ยังเปลือยเปล่า ต่างฝ่ายต่างซึบซัมความสุขที่อบอวลไปทั่วด้วยหัวใจอันพองโต นี่สินะ...สิ่งพิเศษที่เรียกว่า ความรัก

“ฉันมีความสุขมากเลย”

ติกระซิบ พลางกดปลายจมูกลงกับกลุ่มผมชุ่มเหงื่อของคนตัวเล็ก มือที่โอบรั้งเอวอีกฝ่ายไว้เริ่มลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังอย่างรักใคร่ พะภูเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายด้วยแววตาลึกซึ้ง

“พี่ติอย่าทิ้งผมนะครับ”

“นายก็เหมือนกัน”

“อื้อ...อยู่ด้วยกันนะ”

ร่างสูงยิ้มกว้าง ค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าหา จนหน้าผากทั้งคู่แตะกัน พะภูอมยิ้มหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ รับฟังคำพูดจากคนรักด้วยความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าทุกครั้ง

“อยู่ด้วยกัน”

----------------------------------------------------

ทำยังไงถึงจะแต่งได้ไวๆ เนี่ยยย
 :ling1:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 35

 

“อืม..ม”

พะภูผละตัวออกจากร่างสูงด้วยท่าทีขัดเขิน ถึงแม้ว่าเขากับติจะไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แต่ไอ้การมีปฏิสัมพันธ์แบบจู่โจมอย่างเช่นการจูบบ้าง การหอมบ้าง หรือบางครั้งก็ลามปามไปถึงขั้นซุกไซร้เนี่ย ยังไงก็ไม่มีวันชิน! ดูเหมือนภายหลังจากคืนนั้น ติจะยิ่งหยอดความหวานใส่มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบทำตัวไม่ถูกแล้ว

อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็มาชวนไปกินข้าวดูหนัง แถมอ้อนเสียตลอดวัน ทำอย่างกับเป็นเด็กไปได้ พอมาส่งถึงหน้าบ้าน ก็ยังไม่ยอมกลับสักทีอีก ที่ห่วงน่ะ กลัวว่าพะพายจะออกมาเห็นแล้วแว้ดใส่เอาน่ะสิ

“เกือบลืมบอก พอดีฉันเพิ่งได้บัตรละครเวทีจากรุ่นพี่มา มะรืนนี้ไปดูด้วยกันนะ” ติแกว่งมือเขาไปมา หวังว่าจะได้ยินคำตอบรับที่น่าพอใจ แต่คงต้องผิดหวัง เพราะมะรืนนี้เขามีงานต้องทำ กำลังหาจังหวะบอกคนตัวใหญ่อยู่พอดีเลย

“มะรืนนี้จะมีทัวร์มาลงที่ร้านฮิคาริ พี่จินเลยวานให้ผมไปช่วยอ่า”

“อะไรอะ ไปแถวนั้น เดี๋ยวก็เจอไอ้ธรอีก”

“ไม่เจอหรอกน่า ผมอยากไปช่วยพี่จินด้วย ขอไปนะครับ” รีบเข้าไปคลอเคลียเป็นลูกแมว จนอีกฝ่ายเริ่มมีท่าทีโอนอ่อน ก่อนจะถอนหายใจออกมา พยักหน้าลงเล็กน้อย

“ก็ได้ งั้นฉันเอาบัตรให้ไอ้ศิลป์ละกัน”

“ดีครับ พี่ศิลป์จะได้ไปกับนิวไง”

“อืมๆ งั้นฉันกลับละ”

“ขับรถดีๆนะครับ”

ติยิ้มตอบ และเดินขึ้นรถไปอย่างอ้อยอิ่ง ความจริงเขาไม่อยากอยู่ห่างจากพะภูเลยแม้แต่นาทีเดียว เพราะรู้ดีว่า พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คงมีโอกาสได้เจอกันน้อยลง จึงอยากตักตวงช่วงเวลานี้ให้ได้มากที่สุด

 

“พะภู วานดูแลแขก VIP หน่อยนะ”

เสียงตะโกนของพี่จินดังขึ้นจากในครัว ก่อนที่พนักงานอีกคนจะรีบยื่นเมนูสองแผ่นมาให้ และดันหลังเขาให้ตรงไปยังห้องด้านในสุดของร้าน ขณะที่ด้านหน้ากำลังวุ่นวายและเสียงดัง ด้วยจำนวนของลูกค้าที่มากเป็นพิเศษ ทั้งที่เพิ่งมาถึงและเปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะประจำร้านได้แป๊บเดียว ก็ต้องเริ่มทำงานแล้ว ท่าทางว่าคงต้องอยู่ช่วยจนถึงดึกเลยล่ะมั้งเนี่ย

“ขอโทษที่ให้รอ..ครับ”

สุ้มเสียงขาดช่วงไปเล็กน้อย เมื่อเขาเลื่อนบานประตูเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของผู้ชายสองคน ซึ่งมั่นใจว่าเป็นสองคนบนโลกที่ติไม่นึกพิสวาสมากที่สุด!

“พี่ธร...ชุน!?”

ประตูถูกปิดลง พร้อมความงงงันที่ลอยตัวอยู่ทั่วบริเวณ ธรเองก็คงตกใจไม่น้อยที่มาเจอเขาทำงานอยู่ที่นี่อีก แถมพวกเขายังไม่ได้เจอกันอีกเลยหลังจากวันที่ไปกินไอศกรีมแล้วเกิดเรื่องเข้าใจผิดบ้าๆนั่น แต่ที่ดูจะน่าตกใจมากยิ่งกว่า เห็นจะเป็นนายชุน ลูกชายเสี่ยพิชัย เจ้าหนี้เก่าของลุงยศ ซึ่งเคยเผชิญหน้ากันมาก่อนตอนไปเที่ยวทะเล ทำไมคนคนนั้นถึงได้มาอยู่ที่นี่ และทำไมถึงอยู่กับธร?

“รู้จักกันเหรอ?” ธรถาม พลางมองหน้าพะภูกับชุนสลับไปมา ท่าทางดูงงไม่แพ้กัน

“เคยเจอกัน แล้วพวกนายก็รู้จักกันเหรอ?”

ธรไม่ตอบคำถาม แต่กลับกวักมือเรียกพะภูให้เข้าไปใกล้ บังคับให้อยู่ดูแลตัวเองกับชุนตลอดการรับประทานอาหาร ถึงแม้ว่าอยากจะออกปากต่อว่า แต่คิดอีกที พี่จินคงไม่ยอม เลยได้แต่ก้มหัวเออออไปตามนั้น

“ตั้งแต่เจอพะภูคราวนั้น ฉันก็ต้องไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศ เพิ่งกลับมา ทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรที่นี่เลย มีอะไรรึเปล่า?” ชุนหรี่ตาถามขึ้น หลังจากทานอาหารไปได้สักพัก บทสนทนาเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ที่ทั้งคู่เอาแต่คุยกันเรื่องธุรกิจกับผลประโชยน์ที่เขาฟังแล้วไม่เข้าใจ

“ทำไม?”

“ก็ไม่คิดว่านายกับพะภูจะสนิทกันได้ ในเมื่อหมอนี่เป็นเด็กของกีรติ”

ชื่อคนรักถูกเอ่ยถึง ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้ง หูสองข้างตั้งใจฟังว่าทั้งคู่กำลังจะพูดอะไรต่อไป เกือบลืมไปแล้วว่าทั้งธรและชุน ต่างก็ไม่ถูกกับติสักเท่าไร คงไม่ใช่ว่ากำลังวางแผนต่อต้านติหรอกนะ

“ไม่รู้สิ” ธรตอบแบบปล่อยให้คิดต่อเอาเอง ท่าทางคงไม่อยากพูดเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่คนที่ยิ่งซักไซ้เข้าหาเรื่องของกีรติกลับเป็นผู้ชายที่ดอดขึ้นมาจากทางใต้นี่สิ

“ความจริงนอกจากเรื่องธุรกิจแล้ว ฉันก็ตั้งใจมาคุยกับนายเรื่องกีรติกับพะภูเหมือนกัน”

“หือ?”

“เพิ่งมีโอกาสมาปรึกษา เพราะคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ น่าจะมาคุยกันต่อหน้า ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอเจ้าตัวเองแบบนี้” ชุนยังคงพูดต่อเหมือนไม่เกรงใจว่าคนในบทสนทนากำลังนั่งหัวโด่ ตีหน้าสงสัยอยู่ตรงนี้ ธรเหล่ตามองคนข้างๆเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยให้ชุนเปิดปากเรื่องที่ต้องการจะปรึกษา เพราะไม่แน่ว่าอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะพลิกเกมระหว่างเขากับติก็ได้ ในเมื่อทายาทของเจ้าพ่อข่าวสารในวงการธุรกิจเป็นคนเอ่ยปากเองแบบนี้

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

“เพราะฉันสงสัยว่าทำไมนายถึงคบกับติ ทั้งที่มีความแค้นต่อเสี่ยจิวมากแท้ๆ” คราวนี้ชุนหันไปจ่อพูดเอากับพะภูโดยตรง ยิ่งเร้าความสงสัยในใจคนฟังให้เพิ่มมากขึ้น

“หมายความว่ายังไง?” ธรกับพะภูถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทำเอาชุนถึงกับเบิกตากว้าง แอบตกใจที่แม้แต่ธรเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย แถมยังค่อนข้างเป็นข้อมูลท้องถิ่นก็ได้มั้ง

“นายไปมีความแค้นอะไรกับเสี่ยจิว ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง” ธรหันมาคาดคั้นพะภูต่อ ทำให้ชุนถึงกับร้องอ๋อในใจ ที่คุยกันไม่รู้เรื่องก็เพราะ ธรกับพะภู ต่างมีข้อมูลของเรื่องนี้กันเพียงคนละครึ่ง จึงรีบเอ่ยปากอธิบาย

“พะภูเคยถูกเสี่ยจิวจับไป แต่หนีออกมาได้ เพราะงั้นถึงสมควรเกลียดเสี่ยจิวเข้าไส้ ทำให้ฉันสงสัยว่า ทั้งที่เป็นแบบนั้น แล้วทำไมถึงได้อยู่กับอัครโภคิน แต่ตอนนี้คิดว่าเข้าใจแล้ว...”

พอเล่ามาถึงตรงนี้ ธรก็รีบหันควับเข้าจ้องหน้าคนตัวเล็กอย่างตกใจ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพะภูคือเด็กที่หนีออกมาจากเสี่ยจิว ความจริงเรื่องนี้เขาพอแว่วๆมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์นั้น และเด็กคนนั้น จะกลายมาเป็นหมากตัวสำคัญของเรื่องนี้เอาในตอนนี้!

“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้...”

พะภูมองหน้าชุนกับธรสลับกันไปมาอย่างหวาดระแวง ความกลัวบางอย่างเริ่มจู่โจมเข้าใส่จากภายใน หัวใจสูบฉีดเลือดด้วยจังหวะแปลกๆ ราวกับว่าไม่อยากจะรับรู้

“นายไม่รู้เหรอ ว่าเสี่ยจิว เป็นอาของกีรติ”

เหมือนกับมีใครมาหยุดเวลาเอาไว้ หลังจากสิ้นเสียงหนักแน่นของชุน พะภูก็ได้แต่นิ่งงัน จ้องหน้าคนพูดเขม็ง เหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เสี่ยจิว คนที่เขาเกลียดนักหนาจนถึงขั้นว่าอยากฆ่าให้ตาย กลับกลายมาเป็นอาของคนที่รักที่สุดได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก ถึงเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เสี่ยจิวไม่ใช่อัครโภคินสักหน่อย ไม่ใช่จริงๆนะ! เพราะงั้นติก็ต้องไม่เกี่ยวข้องสิ!

“แต่ก็ไม่แปลกหรอก น้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้ เพราะเสี่ยจิวเป็นพี่ชายของแม่ไอ้ติ แถมไม่ค่อยได้ออกงานร่วมกันด้วย”

พี่ชายของแม่...ก็แปลว่าต้องใช้คนละนามสกุลงั้นสิ ไม่...ไม่จริงอะ ไม่ใช่ใช่ไหม ทั้งที่คิดว่ามันควรจะจบแล้ว เรื่องนี้มันควรจะมีความสุขแล้ว แล้วทำไมถึงกลับตาลปัตรอีกจนได้!?

“พี่...ติ..”

ดวงตากลมโตกลอกซ้ายขวาอย่างคนกำลังเสียสติ ข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว ถูกประมวลผลอย่างหนักจนรู้สึกปวดตุบไปทั่วขมับ หัวคิ้วสองข้างย่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ ส่งให้ผู้ชายอีกสองคนอดเป็นห่วงไม่ได้ ธรเอื้อมมือขึ้นแตะหัวไหล่บางซึ่งเริ่มสั่นน้อยๆ แต่ก็ถูกสะบัดออกทันที ราวกับถูกไม่เชื่อใจ ใช่...เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรทั้งนั้น

ทุกอย่างที่ผ่านมาระหว่างเขากับติ มันมากมายเกินกว่าที่จะสลายลงไปง่ายๆแบบนี้ เพราะงั้นเขาถึงไม่อยากเชื่อ! ติไม่มีทางทรยศเขา เช่นกันกับที่เขาจะไม่ทรยศติอีก...ทั้งที่ฟันฝ่ามาจนได้รักกันแล้ว จนความเจ็บช้ำจางหายแล้ว ทำไมถึงต้องมารับรู้เรื่องชวนปวดใจแบบนี้ด้วย

หลอกสินะ...สองคนนี้กำลังหลอกให้เขาสงสัยติใช่ไหม เพราะสองคนนี้เกลียดตินี่น่า! คนตัวเล็กยึดมือทั้งสองข้างไว้กับชุดยูกาตะแน่น เริ่มพูดคุยกับตัวเองภายในความคิด พะภู...นายต้องใจเย็นๆนะ อย่าลืมสิว่านายกับติผ่านอะไรด้วยกันมาบ้างกว่าจะถึงวันนี้ อย่าลืมว่าความรักครั้งนี้มันสำคัญและยิ่งใหญ่มากขนาดไหน อย่าลืม ว่าเราจะอยู่ด้วยกัน...

“พี่ธร..หลอก...”

ปากบางเอ่ยเสียงสั่น สายตาถมึงทึงซึ่งเริ่มมีน้ำตาคลอขัง จับจ้องไปยังใบหน้าถอดสีของธรนิ่งๆ อีกฝ่ายได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทีของคนตัวเล็ก ไม่คิดว่าจะถูกต่อว่าด้วยกิริยาแบบนี้ เด็กนี่ไม่เชื่อใจเขาเลยจริงๆสินะ ทั้งที่เป็นห่วงจนแทบอยากจะดึงร่างตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่นๆ แล้วทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้าง

“ไม่ใช่นะ เสี่ยจิวเป็นอาของติจริงๆ ถามมันเองเลยก็ได้”

“นี่เรื่องจริงนะ แล้วพวกเราก็เป็นห่วงนายด้วย เพราะถ้ามันเป็นแบบนี้ อาจแปลว่านายกำลังโดนหลอกก็ได้!”

“ไม่!!”

พะภูตวัดสายตาดุร้ายใส่ชุนที่ทำท่าจะเข้ามาปลอบอีกคน จนคนถูกตวาดใส่ได้แต่กลับไปนั่งนิ่งๆ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวเข้าหา ทั้งที่ในใจก็ห่วงเหลือเกิน คนตรงหน้าดูเปราะบางเกินไป บางทีคงถูกทำให้ไหลไปตามเกมของไอ้เสี่ยจิวแล้วก็ได้ใครจะรู้ ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็อยากช่วย เพราะส่วนตัวก็ไม่ถูกกับทางเสี่ยจิวอยู่แล้วด้วย

“ถึงพี่ติจะเป็นหลานไอ้เสี่ยจิว แต่เขาต้องไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเลวๆที่มันทำอยู่แล้ว เขาต้องไม่รู้เรื่องแน่เลย...” ประโยคที่เปล่งออกไปค่อยๆแผ่วลงตามระดับความเชื่อมั่น แม้แต่ในใจเขาเองก็ยังหวั่นไหว ไม่กล้าปักใจตัดสินอะไรทั้งนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ยังอยากเชื่อใจติ แต่ติคนเดียวเท่านั้น

แค่ติไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เสี่ยจิวเคยทำร้ายเขาไว้ในอดีต เขาก็จะไม่เอาผิดอะไรเลย ต่อให้เป็นญาติพี่น้องกันเขาก็จะไม่ว่าอะไรเลย แค่ติเท่านั้น...ที่เขาขอเชื่อใจ ความจริงตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเสี่ยจิวจากติเลย ทั้งที่ใกล้ชิดกันขนาดนั้น แบบนี้ก็แปลว่าทั้งคู่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันน่ะสิ ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ติจะต้องไม่รู้เรื่องเลวๆของเสี่ยจิวแน่ เพราะอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ก็เขาตัดสินใจไปแล้วนี่น่า ว่าจะขอฝากตัวและใจไว้กับอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ โดยเลิกคิดเรื่องในอดีตทั้งหมด อยากอยู่ภายใต้ความอบอุ่นของคนคนนี้...คนที่ทำให้เขาลืมได้แม้กระทั่งความเจ็บปวดแสนสาหัส

ก็กีรติเป็นเหมือนคนที่มาเยียวยาเขาไว้ เพราะงั้นจะเป็นคนที่ทำร้ายเขาได้ยังไงกันล่ะ...ไม่ใช่หรอก...ไม่ใช่...

“ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่พอชุนเล่าเรื่องนี้ ฉันก็พอจะเชื่อมอะไรหลายๆอย่างเข้าด้วยกันได้บ้างแล้ว” ธรยังคงตั้งหน้าตั้งตาอธิบาย แม้รู้ดีว่าตอนนี้คนข้างกายกำลังพยายามปิดใจ ไม่รับฟังอีกแล้ว แต่ชุนกลับยิ่งเร่งเร้าให้เขาเล่าต่อด้วยความใคร่รู้

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเข้าหาติทำไม แต่ไม่ว่าจะตื้อขนาดไหน ติก็ไม่เคยใจอ่อนเลยใช่ไหม...จนกระทั่งวันที่หมอนั่นกลับมาหานายที่บ้าน แล้วต่อยหน้าฉันนั่นแหละ”

“...”

พะภูทำเป็นหลบสายตาคนทั้งคู่ พยายามท่องให้ขึ้นใจ ว่าเขากับติรักกันมากแค่ไหน ถึงอย่างนั้นก็ห้ามไม่ให้ได้ยินสิ่งที่ธรกำลังพยายามบอกไม่ได้

“มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไอ้ติเริ่มเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของเสี่ยจิว”

“จริงรึเปล่า? ถ้าแบบนั้นอาจเป็นอย่างที่ฉันกำลังกลัว...ว่าพวกนั้นกำลังวางแผนหลอกนายกลับไป” ชุนรีบเสริม ยิ่งทำให้จิตใจของคนไม่ตั้งใจฟังสั่นคลอนขึ้นมาอีกระลอกใหญ่ หากก็ยังพยายามระงับอารมณ์ความรู้สึก และเอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยอมมองหน้าใครทั้งนั้น

“เป็นไปได้ไหมว่า พอติมาช่วยงานเสี่ยจิว ก็รู้เรื่องพะภู ทำให้รู้ว่านี่คือเด็กที่หนีออกมา เลยเข้ามาตีสนิทเพื่อจะหลอกพาพะภูกลับไปให้เสี่ยจิวน่ะ...เอ แต่ คนอย่างกีรติจะยอมทำขนาดนั้นรึเปล่า” ชุนลองเสนอความน่าจะเป็น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก ทำให้ธรต้องรีบสรุป ด้วยเริ่มคิดว่าติอาจจะหลอกพะภูจริงๆ บอกตรงๆว่าตอนนี้เขาเริ่มเดือด อยากไปตั้นหน้าไอ้เวรนั่นจะแย่แล้ว

“ไม่หรอก ถ้าติมันร่วมกับเสี่ยจิวจริง มันก็คงต้องยอมทำตามคำสั่งของอา เพราะถึงตัวมันจะบุ่มบ่าม แต่เสี่ยจิวเป็นประเภทวางแผนจัด อาจจะสั่งให้มันเข้ามาตะล่อมพะภูทีละน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าจะจับได้อยู่หมัด ไม่ปล่อยให้หนีไปอีกไง”

“ยอมทำตามคำสั่ง โดยการคบหากับผู้ชายด้วยกันเลยน่ะเหรอ?” ชุนตั้งคำถาม เพราะเขาไม่รู้จักกีรติดีขนาดนั้น แต่จากที่ได้ยินมา ก็ดูไม่ใช่คนที่จะโยนศักดิ์ศรีความเป็นหัวหน้านักเลงทิ้งไปง่ายๆ ถึงแม้ว่าพะภูจะดูน่ารักในสายตาของผู้ชายด้วยกันมากขนาดไหนก็ตามเถอะ

“มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากอยู่แล้วหนิ เพราะสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่ายิ่งมันคบกับพะภู ก็ยิ่งมีคนติดตามมันมากขึ้นซะด้วยซ้ำ”

“อย่างงั้นเอง”

คนตัวเล็กเริ่มคดตัวเข้าหากัน มือสองข้างปิดหูไว้แน่น แต่ก็ยังไม่วายได้ยินทุกคำที่ทั้งสองคนช่วยกันตั้งข้อสังเกต ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้ว่า หัวใจดวงนี้ไม่ได้มีความมั่นใจมากมายนักเลย ทั้งที่อยากจะเชื่อในความรักของตัวเอง แต่อะไรบางอย่างกำลังเริ่มเกาะกินทีละเล็กทีละน้อย กระซิบเบาๆให้ได้ยินว่า ทุกอย่างที่ฟังมานั้นเป็นเรื่องจริง สมองแสนทรยศเริ่มขุดคุ้ยความทรงจำในอดีตขึ้นมาฉายให้เห็นอยู่ภายในหัวซึ่งกำลังปวดตุบตับ

 

‘ละ แล้วนี่ พี่ติไปไหนหรอครับ ตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว’

‘ไปช่วยงานคุณอาที่บริษัทมั้ง เห็นช่วงนี้แวบไปบ่อยๆ’

 

‘เมื่อเช้าไปไหนมา..’

‘ไปทำงาน’

‘ไม่บอกก่อน’

‘คุณอาเรียกตัวไปตั้งแต่เช้า เห็นเราหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก’

 

‘ตอนนี้ผมก็พยายามใกล้ชิดเขาให้มากที่สุด จะได้ตายใจ’

‘อาก็รู้ว่าผมเต็มใจจะช่วย’

‘ผมยอมแลกได้อยู่แล้ว ขอให้ไว้ใจผมเถอะ... ผมจะช่วยอาจับเขาให้ได้’

 

น้ำตาหยดแรกร่วงเผาะ โดยไร้เสียงสะอื้น หัวใจสูบฉีดเป็นจังหวะเนิบช้า คล้ายว่ากำลังเหน็ดเหนื่อยเต็มทน กับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา แม้ไม่อยากคิดแต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เมื่อหลายๆอย่างมันช่างลงล็อคกันอย่างพอดิบพอดีเสียจนน่าใจหาย ริมฝีปากบางค่อยๆเผยอออกทั้งที่สั่นระริก

“ผม..จะ..ไปถาม...พี่ติ”

“จะบ้าหรือไง! นายมั่นใจแค่ไหนกัน ถ้าเกิดไอ้ติมันร่วมมือกับเสี่ยจิวจริง แล้วนายเกิดหลุดปากเรื่องนี้ คิดว่ามันจะปล่อยให้นายกลับมาได้อีกไหม?”

เสียงตะคอกจากธรรังแต่จะทำให้จิตใจของคนตัวเล็กสั่นคลอน ยิ่งกับสายตาจริงจังของทั้งคู่ที่ส่งมา ก็ยิ่งกดดันให้เขาต้องตัดสินใจ ในหัวมันปวดไปหมดจนแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว...สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาอย่างไม่คิดปิดบัง ถึงอย่างนั้น ก็ยังเอาแต่พึมพำคำเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา จนคนมองรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ

“ไม่...พี่ติ..ไม่...”

ไม่จริงใช่ไหม กีรติ... ไม่จริงใช่ไหม...?

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 36

 

“อีกเดี๋ยวฉันต้องไปบ้านเพื่อน จะค้างนั่นสักสองอาทิตย์ ยังทำสรุปแผนงานของคณะกรรมการไม่เสร็จเลย”

พะพายยืนกอดร่างไร้เรี่ยวแรงของน้องชายสุดที่รักเอาไว้ ปากก็พูดกับธร ที่เพิ่งขับรถมาส่งพร้อมอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังจนเสร็จสรรพไปด้วย ความจริงเวลาแบบนี้เธอควรอยู่ข้างกายพะภูมากที่สุด แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อนัดกับพวกอดีตคณะกรรมการนักเรียนไปแล้ว ว่าจะไปช่วยกันปั่นสรุปแผนงานตลอดปีที่บ้านประธาน เพื่อส่งต่อให้กับคณะกรรมการนักเรียนรุ่นต่อไป แล้วยังต้องเสนอต่อผอ.ในไม่ช้านี้แล้วด้วย

แม้ว่าใจจริง เธออยากจะบุกไปคฤหาสน์อัครโภคิน แล้วถีบยอดหน้าไอ้เวรที่เคยสัญญาว่าจะดูแลพะภูอย่างดีซะเดี๋ยวนี้เลยก็เถอะ แต่ก็ทำได้แค่ใจเย็นและคอยให้กำลังใจเด็กในอ้อมกอดเท่านั้น ตอนแรกที่ได้ฟังเรื่องจากธร เธอก็ไม่อยากเชื่อหรอก แต่ดูท่าทีของพะภูที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดแล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่าคงจะเป็นเรื่องจริงอย่างว่า และเธอก็ไม่อยากต้องไปช่วยน้องคนนี้ออกมาจากเสี่ยจิวอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะงั้นเลยว่าจะอนุญาตให้นายธรรับอาสาคุ้มครองพะภูในช่วงที่เธอไม่ว่างนี้ไปก่อน

“ฉันให้พะภูไปอยู่บ้านฉันละกัน”

“ก็ได้ แต่อย่าคิดทำอะไรไม่เข้าท่าล่ะ” ไม่วายออกปากเตือน เพราะรู้ๆกันอยู่ ว่าคนอย่างธรนิสัยยังไง และคิดอะไรกับน้องเธอบ้าง

“จะทำอะไรล่ะ น้องเธอไม่เคยยอมอยู่แล้วหนิ”

พะพายเลิกเถียงต่อ ก่อนจะยกมือลูบหัวพะภูสองสามที แล้วส่งต่อให้ธรดูแล ส่วนตัวเองขึ้นไปเตรียมจัดของเก็บกระเป๋าให้น้องชายย้ายถิ่นฐาน เพื่อหลบจากกีรติ ไอ้จอมวางแผนแสนกลับกลอก! ไม่นานนักก็กลับลงมาพร้อมกระเป๋าใบโต คนตัวเล็กยังคงนั่งขดตัวอยู่บนโซฟาตัวประจำ พร้อมสะอื้นไห้ไม่หยุด นี่คงไม่ได้จะร้องไปตลอดทั้งคืนหรอกใช่ไหม ไม่งั้นสุขภาพหน้าตาก็พังกันพอดี

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด...

เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วของคนเจ้าน้ำตาดังขึ้นรบกวน ก่อนที่ทั้งหมดจะทันได้ออกไปขึ้นรถ พะพายเป็นคนถือวิสาสะเข้าไปหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง บนหน้าจอแสดงชื่อ ‘พี่ติ’ เด่นหรา และคนที่เหลือก็ดูท่าจะพอเดาออก เมื่อพะภูยิ่งปล่อยโฮออกมาอีกระลอกใหญ่ จนธรต้องส่งสัญญาณว่าให้ทิ้งมือถือไว้ที่นี่ และรีบลากตัวคนป่วยใจขึ้นรถตรงไปยังบ้านตัวเองทันที

เมื่อรถคันหรูจอดตัวลง เหล่าแม่บ้านก็รีบกรูกันออกมาต้อนรับ พร้อมหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี ซึ่งดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นลูกชายตัวเองกลับบ้านมาพร้อมเด็กผู้ชายอีกคน แถมยังอยู่ในสภาพน่าเป็นห่วงแบบนี้อีก

“ธร เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก นี่ใคร?”

“รุ่นน้องผมเองครับ พอดีมีปัญหานิดหน่อย จะให้เขามาพักบ้านเราสักระยะนะครับ”

“อะ...จ๊ะ” คุณแม่ที่ยังคงงงๆ ได้แต่พยักหน้า และสั่งให้พวกคนรับใช้เข้ามาช่วยกันประคองร่างเหนื่อยอ่อน ซึ่งใกล้จะหมดสติเต็มที

“คุณพ่อไปแล้วหรอครับ?” ธรหันมาถามแม่ ก่อนที่จะก้าวขาขึ้นบันได เห็นพ่อบอกอยู่ว่าต้องเดินทางไปดูงานถึงต่างประเทศ ทั้งที่ร่างกายก็ไม่ค่อยดีนักช่วงนี้ ซึ่งก็เป็นเหตุให้เขาต้องไปคุยธุรกิจกับทางชุนแทน

“ออกไปได้สักพักแล้วจ๊ะ ลูกดูแลน้องดีๆนะ มีอะไรก็เรียกพวกแจ๋วล่ะ”

“ครับ”

ร่างบางถูกประคองขึ้นมาจนถึงห้องนอนส่วนตัวของธร ขนาดกว้างใหญ่พอๆกับห้องของติ ที่ผนังตรงกลางมีเตียงคิงไซส์ท่าทางสบายตั้งตระหง่าน อีกมุมของห้องมีเครื่องดนตรีสากลตั้งอยู่สองสามชิ้น โต๊ะทำงานกับชั้นวางหนังสือก็เรียงเข้าที่เข้าทางดี สิ่งเดียวที่ผิดแปลกไปจากเครื่องตกแต่งทั้งหมด รวมถึงวิสัยของเจ้าของห้องก็เห็นจะเป็นตุ๊กตากระต่ายขนฟูตัวใหญ่ที่กำลังเอนหลังพิงเข้ากับด้านหนึ่งของเตียงนอน ถูกเย็บให้มีรอยยิ้มน่ารักผุดขึ้นมาตลอดเวลา ชวนให้คนสะอึกสะอื้นเมื่อครู่ใจเย็นลงได้บ้าง

“หยุดร้องไห้หรือยัง?”

คนตัวเล็กสูดน้ำมูกสุดแรง พยายามอย่างมากที่จะฝืนตัวเองไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาอีก ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับน้อยๆ ร่างสูงจึงรีบยิ้มรับ พลางลูบหัวพะภูอย่างปลอบประโลม

“อย่าเครียด อย่าคิดมาก เข้าใจไหม?”

“...”

“จะมัวแต่เศร้าอย่างเดียวไม่ได้นะ เราต้องสู้กับพวกมัน เพราะงั้นก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้”

“...”

พะภูได้แต่ก้มหน้าฟังโดยปราศจากคำพูดใดๆ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายนึกเป็นห่วงสภาพจิตใจของเขามากขึ้นไปใหญ่ ธรลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะรวบตัวพะภูเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เมื่อไม่รู้สึกถึงท่าทีขัดขืนจึงยิ่งกดหัวเล็กให้ซบลงกับอกกว้าง เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาอยู่ใกล้ใบหู

“แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

ความจริงเขาต้องขอบคุณกีรติที่ อาจจะเข้ามาหลอกพะภู ตามข้อสันนิฐานของเขากับชุน ส่งให้เขามีโอกาสได้ทำคะแนนในช่วงที่พะภูกำลังอ่อนแอแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะยังคอนเฟิร์ม 100 เปอร์เซ็นไม่ได้ ว่าติตั้งใจวางแผนจับพะภูกลับไปให้เสี่ยจิวจริงหรือเปล่า แต่ดูจากอะไรหลายๆอย่าง มันก็ทำท่าจะเป็นไปได้มากทีเดียว แถมพะภูเองก็ดูเหมือนจะรู้อะไรมาหรือจับสังเกตอะไรได้ ที่ทำให้ต้องเชื่ออย่างอยากจะเลี่ยงซะด้วยสิ

แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง เขาก็ไม่อยากสนใจ นอกจากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดพะภูให้มากที่สุด แม้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่ไหนก็ตาม...

 

“บ้าเอ๊ย!”

เสียงสบถดังขึ้นที่หน้าบ้านว่างเปล่าภายในซอยแคบๆแสนคุ้นเคย กีรติสลัดมือที่เพิ่งปล่อยหมัดเข้าใส่กำแพงแบบไม่ยั้งแรงอย่างหัวเสีย เมื่อเขาไม่สามารถติดต่อคนรักได้เลยตั้งแต่เมื่อคืน เพราะไม่แน่ใจว่าพะภูไปช่วยงานที่ร้านฮิคาริ จะเลิกกี่โมง เลยกะจะโทรถามเผื่อไปรับ แต่ดันไม่มีคนรับสายโทรศัพท์นานซะจนผิดปกติ พอขับรถมารอที่บ้านก็ไม่เจอใครเลย ปิดไฟเงียบอย่างกับบ้านร้าง แม้แต่ยัยพะพายก็ยังไม่อยู่ ไม่รู้ว่าสองพี่น้องคิดจะเล่นสนุกอะไรกัน แต่บอกตรงๆว่าเขาไม่สนุกด้วย ในใจมันร้อนเพราะความเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว นี่ก็อุตส่าห์บึ่งรถมาหาตั้งแต่ไก่โห่ ยังไม่มีวี่แววใครสักคนในบ้าน ครั้นจะถามคนแถวนี้ก็ไม่มั่นใจว่าจะรู้เรื่อง คงไม่ใช่ว่าถูกใครที่ไหนจับตัวไปอีกหรอกนะ

ตืด..ตืดด...

โทรศัพท์เครื่องบางสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ในกระเป๋ากางเกง พอคนหงุดหงิดหยิบขึ้นมาดูก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา รีบกดรับสายและกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน

“ว่าไงบ้าง?”

“พี่จินบอกว่า เมื่อคืนพะภูกลับไปพร้อมพี่ธรครับ” เสียงหวั่นๆของนิวรายงานขึ้นมารัวเร็ว

“ไอ้เวรนั่น!”

สบถออกมาคำโตเมื่อได้ยินชื่อคู่อริหมายเลขหนึ่ง เป็นอย่างที่กลัวไว้ไม่มีผิด ถึงได้ไม่อยากให้ไปทำงานที่ร้านนั้นอีกไง เพราะมีสิทธิ์ต้องเจอธรแน่ แล้วเป็นยังไง คราวนี้ไม่รู้โดนมันหลอกไปไหนอีกแล้ว บ้าชิบ!

พอรู้ที่ตั้งของเป้าหมาย จึงรีบออกรถตรงไปยังคฤหาสน์ของไอ้คุณชายธัญธรจอมเจ้าเล่ห์ทันที แต่พอเข้าไปใกล้ กลับต้องจอดเทียบหน้าบ้านฝั่งตรงข้ามไว้อย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำยืนตากแดดเปรี้ยงๆอยู่ทั่วบริเวณ ด้านในรั้วสีกรมท่าสูงกว่าสามเมตร เป็นส่วนยอดของตัวบ้านที่โผล่ออกมาให้เห็นได้อย่างถนัดตา ถัดจากระเบียงเล็กๆซึ่งยื่นออกมาจากประตูกระจก มีผ้าม่านสีเบจกั้นเป็นแนว คือห้องนอนของลูกชายคนโตในครอบครัว ฉายให้เห็นเบื้องหลังงองุ้มเหมือนคนเจ็บป่วย หากแต่เป็นแผ่นหลังที่เขารู้จักดี

“พะภู”

คนตัวใหญ่กัดฟันกรอด พลางจ้องเขม็งไปยังหน้าต่างห้องตรงหน้า หากทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่นพิงรถยนต์ของตัวเองอยู่อีกด้านหนึ่งของถนนเท่านั้น ถ้าเกิดพลีพลามบุกเข้าไปคงไม่ดี ในเมื่อเขายังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ไม่เห็นเข้าใจว่าทำไมธรต้องพาพะภูมาที่นี่ แถมยังเพิ่มจำนวนคนคุ้มกันเยอะขนาดนี้ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ บางทีเขาอาจจำเป็นต้องรอ...รอให้มีจังหวะได้เจอพะภู หรือไม่ก็รอจนกว่านิวกับศิลป์จะสืบสาวราวเรื่องทั้งหมดมาได้

ต้องรอ...ทั้งที่ในใจมันเดือดมันร้อนจนแทบปะทุออกมาอยู่รอมร่อแล้ว

ทางฝั่งของคนในตัวบ้าน กลับสงบจนแทบจะเรียกได้ว่าหม่นหมอง เมื่อคนหนึ่งเอาแต่เหม่อลอยตลอดเวลา และอีกคนก็ไม่กล้าแม้แต่จะปลอบด้วยคำใดๆ ตั้งแต่มาอยู่นี่ พะภูพูดจากับเขานับคำได้ ข้าวก็ไม่ค่อยกิน นอนก็ไม่ค่อยนอน พอปล่อยทิ้งไว้คนเดียวสักพักก็จะร้องไห้ยกใหญ่จนใต้ตาบวมแดงดูไม่ได้เลย

“กินผลไม้หน่อยนะ”

ธรเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง พร้อมถือถาดแอปเปิลไว้ในมือ แน่นอนว่าติที่อยู่ด้านนอก ยิ่งต้องร้อนรนเมื่อเห็นเงาของเป้าหมายกำลังเข้าไปใกล้คนรักตนขึ้นทุกที น่าหงุดหงิดชะมัด ทั้งที่ยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ พวกนั้นกลับไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จริงๆว่าทำอะไรกัน

พะภูปรายตามองธรเล็กน้อย ก่อนส่ายหัว ทำให้คนตัวสูงต้องขึ้นมานั่งข้างๆ พลางยื่นแอปเปิลชิ้นหนึ่งเข้าไปใกล้ คล้ายจะบังคับ หากแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกไปกลับอ่อนโยนเสียจนไม่กล้าปฏิเสธ

“นิดนึงนะ” ร่างบางเริ่มขยับตัว ตีสีหน้าลังเลได้แค่ครู่หนึ่ง ก็ยอมกัดแอปเปิลจากมืออีกฝ่ายแต่โดยดี ธรยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะใช้โอกาสนี้คะยั้นคะยอผลไม้ชิ้นต่อไปใส่ปากคนไม่ยอมทานข้าว มือข้างที่ว่างยกขึ้นลูบหัวเล็กช้าๆ

“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะมีงานบนเรือสำราญ ได้ข่าวว่าเสี่ยจิวจะไปร่วมด้วย... เราจะจัดการมันที่นั่น เพราะงั้นนายต้องรักษาตัวเองให้ดีนะ”

ทั้งความโกรธและความเจ็บแปล็บต่างแข่งกันแล่นไปทั่วร่างของคนที่แอบมองสถานการณ์อยู่ ติได้แต่กำมือแน่นทั้งที่หัวใจปวดหนึบขึ้นมา ไม่เห็นท่าทีขัดขืนของคนรักที่มีต่อคู่อริของตนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ ในหัวพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนาๆมารองรับ จำไม่ได้จริงๆว่าตัวเองเผลอทำอะไรให้ไม่ถูกใจตอนไหนอีกหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงจากไป ทำไมพะภู...ทำไมทำแบบนี้

 

งานแสดงอัญมณีถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่และแปลกตาบนเรือสำราญขนาดกว้าง ซึ่งจะแล่นออกไปจอดอยู่กลางทะเล ภายในงาน มีทั้งไฮโซ นักแสดง ศิลปิน และคนดังในแขนงต่างๆมากมาย คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามธรติดๆ รู้สึกเก้ๆกังๆในชุดสูทสีครามราคาแพงบนตัว กางเกงสแลคกับรองเท้าหนังซึ่งไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ทำให้ขาดความมั่นใจในการก้าวเดินเป็นที่สุด ผิดกับคนนำหน้าที่ดูช่ำชองกับการแต่งตัวและการเข้าสังคมแบบนี้นักแหละ แถมยังออกมาดูสง่าอย่างไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก

“มั่นใจหน่อยสิ วันนี้นายดูดีมากเลยนะ” ธรหยุดเดินและหันมากระซิบใส่

“ก็ผมไม่ชินนี่”

“ก็ชินซะสิ เผื่อต้องออกงานด้วยกันบ่อยๆ”

“พะ..พูดอะไร”

คนตัวสูงยิ้มกวน แล้วถือวิสาสะคว้ามือเล็กของเขาเข้าไปจูงเดินหน้าตาเฉย ดึงดูดให้คนในงานเริ่มจับจ้องมาทางพวกเขาอย่างใคร่รู้ บ้างก็หันไปหัวเราะคิกคัก กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน พะภูรู้สึกไม่ดีเลยที่โดนมองแบบนี้ ไม่ใช่เฉพาะกับตัวเอง แต่เพราะธรด้วย ธรเป็นคนมีหน้ามีหน้าในสังคม ต้องมาคอยดูแลผู้ชายอย่างเขา คงดูแปลกมาก อาจจะถูกเอาไปนินทาเสียหายเอาก็ได้

“พี่ธร ปล่อยเถอะครับ ผมเดินเองได้”

“ไม่อยาก” คำตอบสั้นๆดังขึ้น ทั้งที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ทำเอาหัวใจของคนตัวเล็กรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้ ธรเป็นคนดีจริงๆ เขาไม่ได้มองผิดไปจากวันแรกเลยแม้แต่น้อย

ธรพาพะภูเดินไปทางห้องพักบนตัวเรือซึ่งเตรียมเอาไว้ให้แขกพิเศษหลายราย หนึ่งในนั้นก็คือเสี่ยจิว ซึ่งกำลังยืนคุยอะไรบางอย่างกับบอดี้การ์ดท่าทางคร่ำเครียด เลือดในตัวมันสูบฉีดรัวแรง จนแสดงผ่านออกมาทางสีหน้าจนหมดเปลือก ความเคียดแค้นที่เคยจมหายไปแล้วครั้งหนึ่งกลับแล่นขึ้นมาจุกอกจนอยากจะวิ่งเข้าไปฆ่าคนคนนั้นให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ทั้งที่ทำร้ายใครต่อใครมามากมาย กลับยังยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน มันน่าเจ็บใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆเลยเชียว

“ใจเย็นๆ” มือที่จับอยู่ถูกกุมแน่นขึ้น ราวกับจะส่งผ่านกำลังใจมาให้ พะภูเลยต้องพยายามสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ หวังช่วยสงบใจตัวเอง พอเห็นคนตัวเล็กเริ่มหัวเย็นลงบ้าง ธรจึงก้มลงกระซิบตามแผน “นับสาบแล้วไปเลยนะ”

“ค..ครับ”

“หนึ่ง สอง.....สาม”

พะภูถูกผลักออกจากมุมอับ ทำให้สายตาดุดันของเขาสบเข้ากับสายตาของเสี่ยจิวที่กำลังหันหน้ามาทางนี้พอดี ดูเหมือนทางนั้นจะตกใจมาก แต่ก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งไล่ตามพะภูซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังดาดฟ้าเรือตามแผน ตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือ ธรก็ได้กระจายข่าวไปให้ถึงหูของพรคคพวกเสี่ยจิวว่าในงานนี้ จะได้พบกับเด็กที่เคยหลบหนีจากเขามาเมื่อปีก่อน ทำเอาทางฝ่ายนั้นร้อนใจใช่เล่นเลยทีเดียว พะภูยังคงก้าวขาเร็วๆโดยไม่คิดหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่งไล่หลังมาติดๆ ส่วนธรนั้นรีบวิ่งไปดักรอจากอีกทาง เพื่อเตรียมจัดการเสี่ยจิวให้อยู่มัด

ปัง!

เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นทันทีที่พะภูกับพวกเสี่ยจิววิ่งออกมายังดาดฟ้าเรือโล่งเปล่า บอดี้การ์ดคนเมื่อครู่ของเสี่ยจิวถูกยิงเข้ากลางอกพอดิบพอดี จนล้มไปกองบนพื้น ธรรีบรวบตัวพะภูเข้ามาหลบหลังตนเอง ก่อนจะจ่อปืนตรงไปที่เสี่ยจิว ซึ่งกำลังตีสีหน้าซีดเผือด

“นี่มันเรื่องอะไร ทำไมแกถึงได้อยู่กับไอ้เด็กธร!?” เสี่ยจิวตะคอกถามคนที่กำลังหลบหลังธรด้วยตัวที่สั่นเทา ทั้งโกรธทั้งกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูก ทำให้ธรต้องอาสาเป็นฝ่ายเจรจาเอง

“ตกใจล่ะสิ เด็กที่ตามหาไม่พบมาตลอดหนึ่งปี อยู่ดีๆก็มาปรากฏตัวใกล้กว่าที่คิด แต่คุณคงจับเขากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”

เสี่ยจิวเริ่มหน้าเสียกว่าเดิม มือข้างหนึ่งทำท่าเหมือนจะล้วงกระเป๋า ทำให้ธรต้องลั่นไกขู่ไปอีกนัด จนไม่มีใครกล้าขยับไปไหน ส่วนแขกเหรื่อด้านในโถงเรือคงไม่ได้ใส่ใจเหตุการณ์บนนี้นัก เนื่องจากดนตรีในงานค่อนข้างดัง รวมทั้งยังมีพวกของธรคอยกระจายรักษาความเรียบร้อยแทบทุกจุด

“สารภาพความผิดกับตำรวจซะเถอะ”

ธรพยายามใช้ไม้อ่อนที่สุดเพื่อกล่อม แม้รู้ดีว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น คนจากเสี่ยจิวต่อให้โดนจับโดนฟ้องสักกี่ครั้ง ก็รอดข้อหามาได้ทุกเมื่อ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ตามสืบสาวจนถึงต้นตอหลักฐานได้จริงๆ ด้วยความรอบคอบเป็นพิเศษ ทำให้ไม่ยากเลย ในการกลบเกลื่อนทุกอย่างมาได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คิดว่าคงมีแค่สองทางที่จะทำให้เอาผิดเสี่ยจิวได้จริงๆ ถ้าเจ้าตัวไม่สารภาพผิด ก็ต้องตามไปจับให้ได้คาหนังคาเขา ซึ่งจุดนี้แหละที่ตำรวจไทยยังทำไม่ได้สักที เพราะเสี่ยจิวระวังตัวมากเกินไปจนไม่มีใครสามารถแฝงตัวเข้าไปสปายได้อย่างแยบยลเลย ซ้ำร้ายจะถูกจับได้แล้วก็จัดการปิดปากซะเสร็จสรรพ เรียกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลไม่กี่คนซึ่งยากที่จะต่อกรด้วยที่สุด

สังเกตเห็นว่าเสี่ยจิวเริ่มเครียด เหงื่อผุดขึ้นมาบริเวณขมับทั้งสองข้าง สายตากลอกไปมาเหมือนกำลังคิดหาทางออก แล้วด้วยโชคดีอะไรของมัน ทำให้ประตูดาดฟ้าเรือเปิดออก พร้อมกับผู้ชายร่างสูงโปร่ง ในมือถือปืนจ่อกลับมาตรงหน้าธรพอดี ทั้งที่การกระทำดูเด็ดขาดขนาดนั้น หากแต่สีหน้ากลับดูสับสนเหลือเกิน

“ไอ้ธร...พะภู นี่มันเรื่องอะไร!?”

“ไอ้ติ!”

“ติ นี่หลานรู้จักพวกนี้ด้วยเหรอ?” เสี่ยจิวหันควับกลับไปถามหน่วยสนับสนุนที่ออกมาได้จังหวะพอดี ติพยักหน้าช้าๆ ทำเอาเสี่ยจิวแทบลมจับ ก่อนจะออกปากเสียงแข็ง “ไอ้นี่แหละ คือเด็กเวรที่หนีไปเมื่อปีก่อน!”

“ว่าไงนะครับ?”

โครมม!

ทั้งที่สถานการณ์ยังค้างคา แต่เรือสำราฐลำโตดันเกิดโคลงเคลงขึ้นมากะทันหัน ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลอดออกมาจากในโถง พร้อมเสียงกัปตันประกาศเหตุฉุกเฉินออกมาตามสาย จับใจความได้ว่า ท้องเรือถูกครูดไปกับโคนหินและปะการังใต้ทะเลเล็กน้อย ถึงจะบอกว่าไม่ให้กังวลเพราะสามารถควบคุมได้ แต่การที่เรือเกิดหักลำกระทันหัน ก็เล่นเอาคนที่อยู่บนดาดฟ้าอย่างพวกเขาถึงกับเซกันไปคนละทาง ยิ่งไม่มีอะไรให้ยึดเกาะ ก็ทำให้ยากต่อการทรงตัว ทั้งธรและติต่างลดปืนในมือลงชั่วคราว ไม่ให้ตัวเองเสียสมดุล

“เหว..ออ!” คนตัวเล็กร้องเสียงหลง เมื่อรองเท้าขัดมันลู่ไปตามแรงโน้มถ่วงบวกกับแรงโคลงของตัวเรือเมื่อครู่ พาลให้ร่างบางค่อยๆลื่นไหลไกลออกไปจากแผ่นหลังของธรเรื่อยๆ ตัวพะภูถูกดีดออกไปจนพ้นลำ ไร้ชิ้นส่วนใดๆให้ยึดเหนี่ยว ก่อนที่จะร่วงหายลงไปยังผืนทะเลที่กำลังซัดเป็นบ้าเป็นหลัง จากแรงดันน้ำของใบเรือด้านใต้

“พะภู!!”

ติกับธรร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้างเท่าไข่ห่าน จับจ้องไปยังสายน้ำเบื้องล่างด้วยใจที่เกือบหยุดเต้น ท่ามกลางความช็อคของคนบนดาดฟ้า ติซึ่งยังคงสับสนกับทุกอย่าง เลือกที่จะสลัดความไม่เข้าใจออกไปจากหัว รีบถอดรองเท้าหนังกับสูทหนักๆออกไปจากตัว แล้วกระโจนตามลงไปยังท้องทะเลลึกสุดหยั่งถึง

“บ้าเอ๊ย!”

ธรสบถอย่างเกรี้ยวกราด อยากจะเป็นฝ่ายโดดตามลงไปไม่แพ้กัน แต่ถ้าปล่อยเสี่ยจิวไปตอนนี้ คนที่จะเสียใจคงเป็นพะภูมากกว่า พอหันกลับมาก็เห็นแผ่นหลังของเสี่ยจิวกำลังวิ่งหนีหายกลับเข้าไปในโถงเรือ ธรชั่งใจได้ไม่ถึงวินาทีก็ตัดสินใจวิ่งตาม มือข้างหนึ่งยกขึ้นกดโทรศัพท์หาลูกน้อง ให้ระดมพลออกช่วยเหลือพะภูทันที

ท่ามกลางสายน้ำที่เชี่ยวกราก คนตัวสูงกำลังพยายามต้านแรงดันทุกอย่างรอบตัว และดำลงไปจนเจอร่างของคนรักซึ่งกำลังหมดสติ ติกลั้นใจว่ายตรงเข้าไปรวบร่างพะภูมาไว้ในอ้อมกอดแน่น ทั้งที่ถูกคลื่นซัดเข้าใส่จนรู้สึกร้าวไปทั่วทั้งตัว พอเรือแล่นออกไปไกลพอสมควร สายน้ำที่เคยโมโหร้ายก็ค่อยๆสงบลงตามลำดับ หากแต่ติเองก็เริ่มสูญเสียเรี่ยวแรงและสัมปชัญญะลงทีละเล็กทีละน้อย

เวลาผ่านไปสักพัก กว่าที่สติของเขาจะเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ จนดับวูบลงในที่สุด...

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 37

 

“อือ...”

ติค่อยๆปรือตาขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสลัว นาฬิกากันน้ำที่สวมอยู่บอกเวลา ตีสี่เกือบตีห้าของอีกวัน พอมองไปรอบตัวก็เห็นพื้นทรายหยาบๆ กับน้ำทะเลที่ซัดซาดอย่างนิ่งๆ มีร่างเล็กของพะภูนอนไม่ไหวติงอยู่ไม่ไกลนัก เสื้อสูทของทั้งคู่ถูกกระแสน้ำพัดหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้... ไม่น่าเชื่อว่าจากตอนเย็นของเมื่อวาน พวกเขาจะถูกซัดมาติดอยู่ที่นี่และหมดสติไปจนถึงตอนนี้ พอเริ่มหายมึนหัว ก็รีบลุกไปหาพะภู ได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะพอให้โล่งอก หากแต่ในหัวกลับเริ่มคิดหนักขึ้นมาอีกครั้ง เสี่ยจิวบอกว่าพะภูคือเด็กที่หนีไปเมื่อปีก่อน เป็นเรื่องที่เขาเคยได้ยินมาแต่ก็ไม่คิดสนใจมากนัก ใครจะไปรู้ว่าเด็กคนนั้นก็คือพะภูคนนี้ แล้วสิ่งที่พะภูต้องการคืออะไร ที่ไปเข้าร่วมกับธรก็เพราะจะแก้แค้นจิวอย่างนั้นหรอ...แล้วทำไมถึงได้มายุ่งกับเขา...

คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องบังคับตัวเองให้หยุด ด้วยว่าไม่กล้าแม้แต่จะเดาอะไร พูดให้ถูกก็คือ ไม่อยากรับรู้ความเป็นจริงในตอนนี้เลยมากกว่า ทุกอย่างดูสับสนและผิดแผนไปหมด ถึงยังไงก็คงต้องรู้เรื่องทุกอย่างจากปากของพะภูเองเท่านั้น แม้ว่ามันอาจจะเป็นความจริงที่ทำร้ายเขามากที่สุดก็ตาม

“แค่ก..ก”

ไม่นานนัก คนตัวเล็กก็เริ่มรู้สึกตัว ติรีบเข้าไปประคองร่างพะภูให้ลุกขึ้น แต่พออีกฝ่ายเห็นหน้าเขาเท่านั้น ก็รีบผลักออก แล้วฝืนลุกหนีทันที สายตาเคียดแค้นอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้รับถูกส่งมาให้ ทำเอาใจของติหล่นวูบ พยายามลุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับพะภูด้วยใจที่สั่นไหวเหลือเกิน

“อย่าเข้ามา!” คนตัวเล็กชี้นิ้วใส่หน้า ปากตะคอกเสียงแข็ง

“พะภู...”

“พี่ติรู้เรื่องผม ก็เลยจะจับผมกลับไปให้เสี่ยจิวล่ะสิ!”

“ไม่ใช่นะ ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายคือเด็กคนนั้น”

“โกหก!” พะภูตอกกลับแทบจะทันที ขายังคงก้าวถอยหลัง ไม่ยอมให้ติเข้าประชิดตัวง่ายๆ “ผมโง่เองแหละ คิดอะไรตื้นเกินไป แถมยังไม่หาข้อมูลให้ดีอีก”

“หมายความว่ายังไง?”

“ก็ผมโง่ที่ไม่รู้ว่าพี่ติเป็นพวกเดียวกับเสี่ยจิวไง ทั้งที่คิดจะให้พี่ติช่วยแก้แค้นให้ กลับถูกพวกพี่ซ้อนแผนจนเละเทะไปหมด..” น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา เสียงที่เปล่งออกไปเริ่มสั่นไหวจนคนฟังเองก็ชักใจไม่ดี หากแต่คำที่ได้ยินกลับทำให้ติรู้สึกเจ็บได้มากกว่านั้น จนเมื่อพะภูตวาดออกมาประโยคสุดท้าย...หัวใจของเขาก็แทบจะแหลกสลายลงในทันที

“ถ้ารู้ว่าพี่เป็นพวกมัน ผมคงไม่หาเข้าพี่แต่แรกหรอก!!”

คนตัวใหญ่หยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น ภายในหัวตื้อตันไปหมด ส่วนหนึ่งในสมองไม่อยากจะยอมรับคำที่ได้ฟัง หากแต่หัวใจกลับเจ็บปราดขึ้นมาจนคุมตัวเองไม่อยู่ พะภูเองก็เริ่มนิ่งไป เมื่อเห็นท่าทีกับสีหน้าปวดร้าวของติ หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ

“นั่นคือความจริงจากนายใช่ไหม?” ติถามกลับเสียงเรียบ หากแต่สัมผัสได้ถึงความสั่นคลอนในคำพูดนั้น

“ช...ใช่!”

“งั้นมาฟังความจริงจากฉันบ้างไหม...”

“ว่าไงนะ”

ร่างสูงกำมือแน่นเหมือนต้องการสะกดกลั้นอารมณ์ความเสียใจเอาไว้ ติพยายามทำตัวมั่นคงเข้าสู้ และเริ่มอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจ ยาวเหยียด

“ใจเย็นๆแล้วลองทบทวนเรื่องราวให้ดี...ฉันไม่รู้จริงๆว่านายคือเด็กคนนั้น ตอนอยู่บนเรือก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ อาจิวเพิ่งจะบอกฉันเองว่านายคือเด็กที่หนีไป หรือต่อให้รู้ ฉันก็ไม่คิดจะทำร้ายนายแบบนั้น เพราะความจริงก็คือ.....ฉันกำลังร่วมมือกับตำรวจ เข้าไปเป็นสปายในรังของอาจิว เพื่อจับตัวเขาให้อยู่หมัด”

“ละ..แล้ว โทรศัพท์ล่ะ! ผมได้ยินนะ พี่ติคุยโทรศัพท์กับอา บอกว่าจะทำให้ตายใจแล้วจั...”

“ตอนนั้นฉันคุยกับอาใหญ่ พ่อไอ้ศิลป์! ฉันบอกว่าจะทำให้อาจิวตายใจ แล้วจับเขาให้ได้ เข้าใจหรือยัง!?”

ความอดทนราวกับจะขาดผึ่งลง ติเริ่มขึ้นเสียงจนพะภูตกใจ รีบถอยตัวหนีด้วยความหวาดกลัวที่แล่นเข้ามาในอก ท่าทีของติตอนนี้ไม่ต่างกับวินาทีแรกที่เขาได้เจอกันเลยแม้แต่น้อย จะแตกต่างกันก็ตรงที่ ติในตอนนี้...นอกจากจะดูน่ากลัวแล้ว ยังดูน่าสงสารอีกด้วย... น้ำตาลูกผู้ชายอย่างกีรติค่อยๆไหลลงอาบแก้ม ยิ่งกระตุ้นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพะภูให้ตื่นขึ้น หัวใจดวงน้อยสูบฉีดเนิบช้า ในหัวเองก็ขาวโพลนไปหมด...

“ความจริงคือฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายทั้งนั้น! กลายเป็นคนโง่ พะภู!......คนโง่ที่ไปรักนาย!!”

ขายาวสองข้างไร้เรี่ยวแรง ก่อนทรุดตัวลงกับหาดทรายขาว หัวใจถูกกรีดแทงด้วยคำพูดของพะภูเมื่อครู่ ยังคงสะท้อนก้องกังวานอยู่ในภายโสตประสาตซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร้าวระบม เรื่องที่เข้าใจผิดจนไปเข้าพวกกับธรเขาไม่ว่าหรอก แต่ที่ทำให้เสียใจอยู่ตอนนี้ก็คือการที่ต้องมารับรู้ว่า พะภูไม่ได้เข้าหาเขาเพราะความรักเลยแม้แต่น้อย... ความแปลบปลาบแล่นเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายรวดเร็วไม่แพ้กัน หลังจากได้ฟังความจริงจากปาก รวมทั้งภาพชวนสะเทือนใจตรงหน้า มวลความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในพลัน ค่อยๆผนวกตัวเข้ากับกลุ่มก้อนความเสียใจและความโกรธเกลียดตัวเอง พะภูปล่อยร่างหนักอึ้งลงบนพื้นทราย ค่อยๆคลานเข้าหาคนก้มหน้าก้มตากลั้นเสียงสะอื้น มือเล็กอันสั่นเทาแตะลงเบาๆบนแขนหนา

"จ..จริง...จริงรึเปล่า?"

ไม่มีเสียงตอบกลับมา หรือแม้แต่การขยับตัวให้รับรู้ถึงชีวิต เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งดังขึ้นชัดเจนจนน่าเวียนหัว ราวกับจะตอกย้ำความผิดของตัวเขาเข้าลงกลางใจที่เริ่มบอบช้ำ ทุกอย่างมันดูจะผิดไปหมด ผิดตั้งแต่แรก ที่เขาคิดจะใช้ประโยชน์จากติ ผิดที่ดันหลงรักอย่างจริงจัง ผิดที่หลงไปกับคำพูดคนอื่นจนหมดสิ้น ผิด...ที่ไม่เชื่อใจ

กลายเป็นว่าเรื่องราวถูกพลิกกลับอีกครั้ง สรุปว่ามีแต่พะภูที่ทำร้ายติตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แม้ว่าพะภูจะรักติด้วยใจจริงในท้ายที่สุด แต่มันก็คงไม่พอจะลบล้างบาปที่เคยก่อไว้ จากการเคยคิดล้อเล่นและหลอกใช้คำว่ารัก ไม่มั่นใจว่าติจะยังเชื่อในตัวเขาอีกไหม ว่าเขาก็รักติมากจริงๆ ตั้งแต่ที่ติละลายความตั้งใจอันแสนสกปรกของตัวเอง จนถึงวินาทีนี้ เขาก็ยังรักติจริงๆ... เพียงแต่ถูกความกลัวและคำโอ้โลมของใครต่อใครเล่นงาน ทำให้พลาดพลั้งทำร้ายติเข้าอีกครั้ง

แม้ว่าติจะเป็นหลานของเสี่ยจิว เขาก็ไม่คิดจะสนใจ ถ้าติไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเลวร้ายที่จิวทำ หากแต่เขากลับไม่ยอมเชื่อใจ และหักหลังติไปอย่างไม่น่าให้อภัย...พอได้ยินความจริงเมื่อครู่ ก็เล่นเอาช็อคจนแทบอยากจะทุบอกตัวเองให้ตายไปซะเลย

“พี่ติฟังผมก่อนนะ...ผมขอโทษ ผมยอมรับว่าเข้าหาพี่ด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ แต่สุดท้ายผมก็ตกหลุมรักพี่เข้าจริงๆ รักพี่จริงๆนะ!”

“...”

“ส่วนที่ผมหนีไปอยู่กับพี่ธร เพราะผมเข้าใจผิดเท่านั้นเอง ยังไงตอนนี้ผมก็ยังรักพี่...ฮึ..ก...”

ทั้งที่ควรจะดีใจว่าเรื่องที่ติหลอกตัวเองกลับไปให้จิวเป็นแค่การมโนบ้าบอซึ่งไม่จริง แต่กลับต้องถูกจองจำด้วยความรู้สึกผิดอันน่าเสียใจยิ่งกว่า ทั้งที่เขาตัดใจเรื่องแก้แค้นไปนานแล้วตั้งแต่ที่มอบหัวใจให้กีรติ ทั้งที่คิดว่าจะรักกันต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องสนใจอดีต แต่มันก็ไล่ตามหลังเขามาทุกขณะ จนสุดท้ายก็เปิดเผยออกไปจากปากของตัวเอง ราวกับบทลงโทษสำหรับคนหลอกลวงก็ไม่ปาน

“ฉันจะจัดการอาจิวแน่...นายไม่ต้องขอร้อง ไม่ต้องหลอกใช้ ฉันก็จะทำให้อยู่แล้ว เพราะงั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง...ฉันจะจัดการกับเขาเอง ส่วนนายก็เลิกยุ่มย่ามกับฉันได้เลย” ติถ่ายทอดแต่ละคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก หลังจากที่เงียบมานาน แต่กลับไม่ใช่คำที่พะภูอยากได้ยินแม้แต่น้อย รังแต่จะยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ

“ผมผิดไปแล้วที่เข้าหาพี่แบบนั้น...แต่พอได้รู้จัก ได้ใกล้ชิด และได้ผูกพัน ผมก็รักพี่จริงๆนะ...รักจนเคยคิดว่าจะไม่แก้แค้นแล้วด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่มาเข้าใจผิดเรื่องบ้าๆครั้งนี้ ผมก็คงเลิกคิดเรื่องเสี่ยจิวไปตลอดชีวิตแล้ว ผมแค่อยากอยู่กับพี่ติ...จริงๆ”

คนตัวเล็กร่ายยาว มือสองข้างยังคงพยายามเกาะกุมแขนแกร่งอันสั่นเทิ้มตรงหน้าไว้ หากก็ถูกสะบัดออกทุกครั้ง สายตาเย็นชาที่ถูกส่งมาบอกให้รับรู้ว่า เขายังไม่ได้รับการให้อภัย...ความผิดครั้งนี้ คงไม่อาจสลายไป ง่ายขนาดนั้น

“เลิกพูดได้แล้ว...”

คราบน้ำตาบนหน้าของติยิ่งทำให้พะภูร้องไห้ออกมาหนักยิ่งขึ้น ติไม่คิดจะสนใจฟังเสียงอ้อนวอนและคำขอโทษใดๆ เขาเลือกที่จะหลบไปนั่งกอดเข่าเอาที่มุมหนึ่งให้ไกลจากเด็กที่เคยเอ่ยคำว่ารัก ก็แค่เสียใจที่หลงคิดว่าได้เจอกับคนที่รักตัวเองอย่างจริงใจเข้าแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี...ส่วนลึกในใจกำลังบอกเขาว่า ถ้าไม่มีเรื่องครั้งนี้เกิดขึ้น และปล่อยให้เขาไม่ต้องรับรู้ถึงจุดประสงค์แท้จริงของพะภูเลยก็คงดีไม่น้อย ให้พวกเขายังคงรักกัน ยังคงอยู่ด้วยกัน...โดยที่ไม่ต้องรับรู้อะไรที่มันน่าปวดใจแบบนี้เลย

เสียงสะอื้นไห้ของคนตัวเล็กยังคงดังแว่วมาให้ได้ยินชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ทำเอาหัวใจของเขายิ่งเจ็บแปล็บๆ นึกอยากจะตรงเข้าไปกอดเอาไว้ แล้วพูดปลอบด้วยคำหวานอย่างเช่นทุกที แต่เขาจะทำได้ยังไง ในเมื่อเขาเองก็กำลังเจ็บเหมือนกัน

“ผ..ม ขอโทษ...ฮือ..อ”

ตลอดวันนั้นเขากับพะภูไม่ได้กินหรือแม้แต่ดื่มอะไรลงคอนอกจากน้ำลายตัวเอง ซ้ำร้ายยังเสียน้ำตาออกไปหลายหยดจนร่างกายซูบซีดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางฝ่ายพะภู ที่ยังเอาแต่ร้องไห้เหมือนคนเสียสติ หัวไหล่บางกำลังงองุ้มและสั่นเทา หากแต่เขาก็ทำได้แค่หลับตาและฝืนทำเป็นไม่สนใจเท่านั้น ขอโทษจริงๆที่เขาคงยังไม่อาจกลับไปเชื่อคำพูดของพะภูได้ในตอนนี้ คำพูดซึ่งเคยหลอกลวงเขาอย่างแยบยลมาแล้วครั้งหนึ่ง

ติตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น มีกองผลไม้ป่าวางอยู่ใกล้ๆ พร้อมโน้ตขนาดสั้นบนพื้นทรายด้วยคำว่า ‘ผมขอโทษ’ พอมองไปทางที่พะภูอยู่ ก็เห็นว่ากำลังนอนขดตัวอยู่อย่างเงียบๆ ไม่มีเศษชิ้นส่วนของอาหารหลงเหลือให้เห็น แผ่นหลังบางยิ่งดูขี้โรคเมื่อมองจากตรงนี้ ทำให้เขาทนไม่ได้ ต้องรวบของกินบางส่วนกลับไปวางคืนไว้ให้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะนั่งเสวนาด้วยคำใดๆ แต่เขาก็ไม่ได้อยากเห็นใครต้องมาผอมตายไปต่อหน้าหรอก

จากการสังเกตการณ์มาตลอดวัน กว่าที่พะภูจะตื่นมาเห็นกองอาหารก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าๆ สงสัยว่าเมื่อวานคงร้องไห้มากไปจนเหนื่อยล่ะสิ แต่สิ่งแรกที่ทำกลับไม่ใช่การหยิบผลไม้พวกนั้นเข้าปาก แต่ดันเดินหอบของกินกลับมาทางเขาซะงั้น ดวงตากลมโตมีหยดน้ำใสเอ่อขึ้นมาอีก ทันทีที่เห็นสายตาเย็นชาจากคนตัวใหญ่ พยายามทำใจกล้าส่งเสียงทักทายออกไป พลางก้มลงวางพวกผลไม้ป่าที่ลงทุนเข้าไปเก็บมาให้ตั้งแต่เมื่อเช้ามืด

“พะ..พี่ติ กิน...”

“ฉันกินแล้ว นายเอากลับไปเถอะ” ยอมปริปากพูดคุยด้วยจนได้ ถ้าไม่อย่างงั้นคงได้เห็นคนตรงหน้าบ่อน้ำตาแตกอีกรอบแน่

“แต่...”

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอก”

“ฮ..ฮึก...พี่ติ พี่เลิกใส่ใจตัวผมในอดีตไม่ได้หรอ ผมไม่ใช่คนนั้นแล้ว ทำ..ไมไม่เชื่อ ฮืออ...ผมรักพี่”

จนแล้วจนรอด เขาก็ทำให้พะภูร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอีกอยู่ดี ปากบางสั่นเครือ เอาแต่พร่ำบอกว่ารักและขอโทษ ตอนนี้ในหัวเขามันเริ่มตีกันจนสับสนไปหมด ส่วนหนึ่งในใจร่ำร้องบอกให้เชื่อ บอกว่าให้อภัย แต่อีกส่วนหนึ่งก็กลัว กลัวต้องเสียใจอีก... แล้วแบบนี้เขาควรทำยังไง แต่แค่เห็นพะภูมานั่งสะอึกสะอื้นต่อหน้า เขาก็แทบทรุดแล้ว

เขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนัก แต่สิ่งที่เป็นปัญหาในตอนนี้ก็คือ เขาชักไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝืนอดทนกับอะไรอยู่กันแน่ อดทนที่จะไม่เกลียด หรือว่า อดทนที่จะไม่รัก

“......กลับไปเถอะ” หลังจากลังเลได้พักใหญ่ ก็หลุดปากบอกไล่อีกตามเคย ไม่ไหวหรอก ถ้ายังเห็นพะภูนั่งร้องไห้ตาบวมอยู่แค่เอื้อมมือแบบนี้ เขาจะยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก แค่นี้ก็ปวดหัวจนไม่รู้จะปวดยังไงแล้ว

“ฮืออ...”

คนตัวเล็กได้ยินก็ปล่อยโฮออกมาดังลั่นจนติสะดุ้งเล็กน้อย มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะถูกชักกลับแทบจะทันที พะภูยังคงพร่ำบอกขอโทษ ขณะพยายามพาร่างหนักอึ้งของตัวเองลุกขึ้นช้าๆ ขาเล็กดูอ่อนแรงจนเกือบจะล้มอยู่หลายที พอยืนขึ้นได้เต็มตัว ก็ค่อยๆหันหลังกลับโดยไม่คิดจะนำผลไม้ติดตัวไปด้วย คนตัวใหญ่อดมองด้วยสายตาเป็นห่วงไม่ได้ เห็นก้าวไปแค่ไม่เท่าไร จู่ๆร่างทั้งร่างก็ทรุดลงกับพื้นทรายเสียงดังตุบ สัญชาตญาณในตัวบอกให้ติรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพะภูขึ้นมาพักบนตัก มือข้างหนึ่งยกขึ้นตบหน้าซูบเซียวเบาๆ แต่ก็ไร้การโต้ตอบ ใบหน้าซีดเผือดกับเปลือกตาที่ปิดสนิททำเขาใจไม่ดีเอาซะเลย

“พะภู...พะภู!”

รีบอุ้มคนหมดสติเข้าไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่หวังหลบแดดยามบ่าย หยิบคว้าเศษใบไม้แถวนั้นได้ก็เอามาใช้ต่างพัด พอให้คนบนตักได้คลายอุณภูมิที่ร้อนขึ้นผิดกับตอนกลางคืนที่หนาวจัด เพราะอากาศไม่คงที่ แถมยังไม่มีอาหารตกใส่ท้อง ก็เลยล้มพับจับไข้แบบนี้น่ะสิ งี่เง่าชะมัด…

พอยื่นหลังมือเข้าแตะหน้าผากซึ่งเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา ถึงได้รู้ว่ามันร้อนเป็นไฟ ริมฝีปากซีดเพราะขาดน้ำ เนื้อตัวที่ผอมบางเป็นปกติอยู่แล้ว กลับยิ่งดูโรยแรงมากขึ้นไปอีก ขนาดไม่รู้สึกตัวอยู่แบบนี้ แต่น้ำตามันก็ยังไหลออกมาให้เห็น ราวกับจะบีบหัวใจคนมองให้ต้องยอมสยบซะอย่างนั้น

ทำยังไงดี พะภู...ในเมื่อฉันโกรธ ฉันเกลียดนาย......ไม่ได้จริงๆ

 

“อืออ”

ผ่านไปสักพักใหญ่ คนตัวเล็กถึงเริ่มได้สติกลับมา ติรีบประคองศีรษะเอาไว้ไม่ให้กระแทกพื้นทราย ก่อนจะก้มลงสังเกตอาการของคนเพิ่งตื่น ทันทีที่ลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าเป็นใบหน้าใคร น้ำตาที่เก็บไว้มันก็พรั่งพรูออกมาอีก พะภูสะอึกสองสามทีจนตัวกระตุก แล้วค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง มองไม่ชัดเจนนักว่าติกำลังทำสีหน้าแบบไหน เพราะม่านน้ำตามันบดบังทัศนียภาพรอบๆไปหมด

“เป็นยังไงบ้าง?”

“ฮ..ฮืออ..” แทนที่คำตอบ กลับเป็นเสียงโฮฮือราวกับเด็กๆ พะภูถลาตัวเข้าสวมกอดคนตัวใหญ่ไว้แน่น โดยไม่สนใจว่าติจะยังโกรธตัวเองอยู่ไหม เพียงแต่ตอนนี้เขาแค่รู้สึกอ่อนแอมากเกินกว่าจะยอมเดินกลับไป

“...”

“พี่..ติ ผ..ผม ฮึก ขอโทษ”

คนกำลังสับสนชั่งใจได้แค่ครู่หนึ่ง ก็ยอมยกแขนขึ้นกอดตอบ มือข้างหนึ่งตบหลังอีกฝ่ายเบาๆเป็นเชิงปลอบ ทั้งที่ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา จะมีก็แต่เสียงสะอื้นไห้อย่างกับเขื่อนแตกกับคำพูดเดิมๆที่เริ่มฟังไม่ได้ศัพท์จากปากของพะภูเท่านั้น

เขาอยากเชื่อ...อยากเชื่อในตัวเด็กคนนี้ อีกสักครั้ง แล้วก็อยากฟัง...ความจริงจากใจทั้งหมด

“ฮือ...ผม ผมรัก..พี่”

“หยุดร้องได้แล้ว” ติพยายามผละตัวออกอย่างยากลำบาก เมื่อพะภูเอาแต่กอดคอเขาแน่นยิ่งกว่าติดกาว มือสองข้างช่วยกันปาดน้ำตาให้พ้นใบหน้าซีด แต่เหมือนยิ่งทำอย่างนั้น ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า จนคนอยากปลอบถึงกับเกือบถอดใจ

“ฮึ..ฮือ...”

“ฉันไม่โกรธแล้ว เพราะงั้นก็หยุดร้องเถอะ”

พะภูส่ายหน้าเบาๆ และยังปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาแบบไม่รู้จักหมดสิ้น สาบานได้ว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อย มีหวังร่างกายขาดน้ำ ตายขึ้นมาจริงๆแน่

“รัก...พี่ติ”

“รู้แล้ว ฉันเชื่อนาย โอเคยัง?”

พอได้ยินคำว่า เชื่อ น้ำตาที่ควรจะหยุดกลับทะลักออกมาเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดเสียใจ ครั้งนี้มันเป็นเพราะความดีใจจนยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด นึกว่าจะต้องเสียติไปแล้วซะอีก ไม่รู้ต้องขอบคุณอะไรดี ที่ทำให้คนตรงหน้ายอมใจอ่อนให้

“ฮืออ...จ-จริงนะ?”

“จริงๆ”

พะภูฉีกยิ้มทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก หลังมือทั้งสองข้างยกขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆพอให้เห็นท่าทีอ่อนโยนของติที่คิดว่าจะไม่ได้เห็นซะแล้ว คนตัวเล็กขยับเข้าไปนั่งบนตักของอีกฝ่าย แล้วโผเข้ากอดติอีกครั้ง สองมือขยุ้มเสื้อเชิ้ตเอาไว้ราวกับกลัวว่าคนคนนี้จะหลุดลอยหายไป เสียงสะอื้นยังคงดังออกมาให้ได้ยิน แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้แค่ไหนก็ตาม

“หยุดร้องได้แล้ว” มือใหญ่บรรจงลูบศีรษะของคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา ทำอย่างนั้นอยู่นานพอตัว กว่าที่เสียงร้องไห้จะเริ่มหยุดลงได้สักที

ทั้งคู่ผละออกกันเชื่องช้า โดยที่ติยังปล่อยให้พะภูทับอยู่บนตักตัวเองอย่างนั้น พลางเอื้อมไปหยิบพวงผลไม้บนหาดมาป้อนใส่ปากคนขี้แยจนแทบจะกลายเป็นขี้โรค พะภูยอมหาอะไรลงท้อง และค่อยๆซบตัวลงกับแผงอกกว้าง จมดิ่งสู่ห้วงนิทราไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ท่าทางจะเหนื่อยมากจากการเสียน้ำตาเป็นบ่อๆ ติเกลี่ยเส้นผมบนใบหน้าของเด็กในอ้อมกอดออก ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากมนไปที ไม่รู้ว่าอยากจะปลอบประโลม หรือเพราะตัวเองก็นึกห่วงหาอยู่ในใจกันแน่

พอตกเย็น พะภูก็ตื่น ท่าทางสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้ ยังพอมีผลไม้ที่เหลืออยู่และไม่เน่าให้ประทังชีวิตไปอีกมื้อ ทั้งสองคนช่วยกันเก็บเศษไม้เศษใบมากองรวมกันเพื่อจุดไฟ ทั้งให้ความอบอุ่น และเผื่อเป็นสัญญาณส่งไปถึงความช่วยเหลือด้วย ระหว่างกำลังก่อประกายไฟ ติก็เอ่ยปากขอให้พะภูเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง โดยสัญญาหนักแน่นว่าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร เมื่อคนตัวเล็กตกลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าอันแสนยาวเหยียด

“ผมไม่ใช่น้องแท้ๆของพี่พายหรอก...ผมเกิดและอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ แถวภาคอีสาน ฐานะไม่ค่อยดีแต่ก็พอใช้ชีวิตไปได้ ญาติฝ่ายแม่ก็เสียหมดแล้ว ส่วนทางพ่อ ท่านไม่เคยเล่าให้ฟังเลย อ้อ แล้วก็... จริงๆผมชื่อ วี...ชื่อ ระวีร์”

“ห้ะ!?”

ติดูจะตกใจไม่น้อยจนท่อนไม้ในมือร่วงเผาะลงไปกลิ้งบนพื้นทราย ท่าทางว่าความจริงของพะภูมันจะมีอะไรมากกว่าที่คิดซะอีก แล้วทำไมคนฐานะล่างถึงตั้งชื่อลูกซะหรูเชียว ไปได้ยินศัพท์แบบนั้นมาจากไหนหรือไง

“มีช่วงนึงที่แม่ล้มป่วย แถมต้องจ่ายค่าเทอมให้ผมด้วย บ้านไม่มีเงินเลยต้องไปกู้เขา แล้วรู้ไหมเจ้าหนี้ของเราคือใคร?” ตั้งคำถามใส่คนที่กำลังนั่งฟังด้วยใจลุ้น แอบเห็นความหม่นหมองภายในดวงตากลมโตคู่ตรงหน้า ทำให้ติเดาคำตอบข้อนี้ได้ไม่ยากเลย

“....อาจิว?”

“ใช่ แล้วพอเราไม่มีเงินไปใช้หนี้ ก็ถูกเสี่ยจิวส่งคนมาทำร้าย แม่ก็ยังป่วยออดๆแอดๆ ส่วนพ่อก็ทำงานหนักจนร่างกายทรุดโทรมลงทุกที แค่เงินจะกินข้าวยังแทบไม่มีเลย ตอนนั้นจำได้ว่าลำบากมาก พอพลัดจ่ายเงินไปได้สักพัก เสี่ยจิวก็คงทนไม่ไหว พาคนมาอีก...”

เล่ามาถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เริ่มขาดช่วงไป พะภูนั่งกอดเข่าตัวเองแน่น พลางจับจ้องไปยังเศษใบไม้ซึ่งเริ่มติดไฟ หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็เริ่มเล่าต่ออีกครั้ง ทั้งที่น้ำเสียงนั้นช่างฟังดูทรมานเหลือเกิน

“พ่อกับแม่พยายามอ้อนวอน จนทำให้คนพวกนั้นรำคาญ เลยถูกยิง...ทั้งคู่เสียชีวิตทันที ส่วนตัวผมก็ถูกจับขึ้นรถไป ทั้งมือทั้งขาโดนล่ามโซ่อย่างกับทาส พาไปเก็บตัวอยู่ที่บ้านพักทางใต้ ชีวิตแสนโสมมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของเขานั่นแหละ ที่นั่นมีเด็กถูกจับมาอีกเกือบสิบคน แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ต้องโดนแกล้งและทำร้ายสารพัด พวกดื้อแพ่งก็จะถูกเฆี่ยนจนตัวเปื้อนเลือดไปหมด พวกเด็กผู้หญิงก็ถูกข่มขืนกันต่อหน้า บางคนก็ถูกบังคับให้กินดินกินหญ้า ทำกับเราเหมือนเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้”

ทั้งดวงตาดุดันและริมฝีปากสั่นเทิ้มด้วยความคับแค้น พะภูยังคงจ้องมองเข้าไปในกองไฟตรงหน้า สองมือกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปรากฏขึ้นมาชัดเจน หยดน้ำใสค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มทั้งที่ไร้เสียงสะอื้น ดูเจ็บปวดยิ่งกว่าเวลาปล่อยโฮออกมาดังๆเสียอีก ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไป ในเมื่อคำว่า เป็นหลานเสี่ยจิว มันยังค้ำคออยู่แบบนี้

“ต้องทนอยู่อย่างนั้นเกือบปี แต่ละเดือนก็จะถูกย้ายสถานที่กักขังไปเรื่อยตามประสาคนรอบคอบอย่างเสี่ยจิวนั่นแหละ จนถึงวันที่ผมถูกจับขึ้นเรือ เตรียมเอาไปขายให้ต่างประเทศ เห็นว่ามีพวกรสนิยมแปลกๆที่ชอบมีอะไรกับเด็กผู้ชายอยู่ด้วย....” วงแขนเล็กรวบเข่าตัวเองเอาไว้แน่นขึ้น จิกเล็บลงกับต้นแขนจนเกิดรอยลึก น้ำตายังคงร่วงเผาะด้วยความรู้สึกโกรธเกลียดที่กำลังเผาไหม้อยู่ภายในใจ

“โชคดีที่ลุงยศกับพี่พายอยู่แถวท่าเรือตอนนั้นด้วย ทั้งสองคนเป็นคนดีมาก เข้ามาช่วยเหลือผมไว้ทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไร เป็นอีกสองคนบนโลกที่ผมไม่มีวันลืมบุญคุณได้เลย...หลังจากนั้นผมก็ขึ้นมากรุงเทพกับพี่พาย สอบเทียบจนติดทุนที่ธารวิทยา ทุกวันผมเอาแต่คิดว่าจะแก้แค้นเสี่ยจิว แต่ในเมื่อตำรวจยังจัดการไม่ได้ ก็เลยคิดว่าต้องใช้คนที่มีอำนาจพอๆกัน เป็นความคิดตื้นๆโง่ๆของเด็กคนนึง...พี่พายเป็นคนพูดชื่อพี่ติขึ้นมาในตอนนั้น ทำให้ผมเลือกพี่ ทั้งที่ไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง”

คนเล่าหยุดพักชั่วคราว หันมองหน้าติที่เริ่มส่อเค้าเสียใจ แต่แล้วก็ค่อยๆฝืนยิ้ม ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกว่าไม่เป็นไรพะภูชั่งใจครู่หนึ่ง จึงขยับตัวเข้าไปใกล้ติ คนตัวสูงเห็นแบบนั้นก็จัดการอุ้มร่างเล็กมานั่งบนตักตัวเองซะเลย วงแขนแกร่งโอบรัดเอวบางเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจ ว่าเขาจะไม่โกรธ จะไม่ทำให้ต้องร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังแบบนั้นอีกแล้ว พะภูเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มน้อยๆให้ แล้วกอดแขนติไว้แน่นไม่แพ้กัน

“ผมคิดเอาเองว่าคนจากตระกูลใหญ่อย่างพี่ติ คงช่วยจัดการเสี่ยจิวได้ เลยพยายามเข้าหาพี่ทุกทาง แต่ยิ่งถล้ำลึกเข้าไปเท่าไร ผมกลับเป็นฝ่ายที่ตกหลุมรักพี่ซะเอง แล้วตอนที่เราไปเที่ยวตราดกัน ผมก็คิดได้ว่าจะลืมอดีตทุกอย่าง จะไม่แก้แค้นแล้ว และขออยู่กับพี่ติไปตลอด จนมาเข้าใจผิดเรื่องนี้นี่แหละ ทำให้ผมเสียใจมาก เลยกะจะกลับไปเอาคืนเสี่ยจิวอีกครั้ง ทั้งๆที่ผมรักพี่จะตาย ตอนที่คิดว่าโดนพี่ติหลอก ผมเองก็เจ็บปวดมากเลยนะ เพราะผมรักพี่...รักพี่ติ...”

อธิบายไปน้ำตาก็ไหลไป ทั้งที่พยายามอดทนไม่ร้องแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อรู้สึกผิดจนเจ็บไปหมด คนตัวเล็กเอี้ยวตัวพาดแขนไปกับบ่ากว้างของคนด้านหลัง ดึงตัวติเข้ามากอดทั้งที่ยังสะอื้นไห้ ฝ่ายถูกจู่โจมเผยยิ้มบาง แล้วยกมือลูบหัวพะภูอย่างอ่อนโยน รู้ตัวดีว่ารักเด็กตรงหน้ามากเกินกว่าจะตัดใจ ถ้าแค่ได้ยินคำอธิบายทั้งหมดแบบนี้ เขาก็ไม่คิดจะเอาความอะไรกับเรื่องในอดีตอีกแล้ว เพียงแค่สัญญาว่าจะรักกันต่อไป เขาก็ไม่อยากสนใจอะไรแล้ว...

“ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เป็นไร...ไม่ต้องร้อง”

“ฮ...ฮึก”

พะภูฝังจมูกลงกับไหล่หนา พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ทุกหยด มือสองข้างยังคงโอบรอบคอของติไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ความสุขบางอย่างรื้นขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยอมเข้าใจและไม่โกรธเกลียดตัวเอง เขาไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คิดถูกหรือผิดกันแน่ มันอาจจะผิดที่อยากแก้แค้น และผิดที่เห็นคนอื่นเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะถูก...ถูกกำหนดมาว่าให้เขากับติต้องเจอกัน ต้องเข้ามาหากัน และได้รักกัน

ทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยกันจนถึงตอนนี้ มันมากมายเกินกว่าจะขาดสะบั้นไปง่ายดายจริงๆ ต่อให้สองมือนี้จะต้องไกลห่างกันแค่ไหน เขาก็อยากจะเชื่อว่า มันจะต้องกลับมาจับกันแน่นขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้ง...

ความอบอุ่นก่อตัวขึ้น ไม่ใช่จากแก่กองไฟขนาดหย่อม หากแต่แผ่ขยายออกมาจากหัวใจสองดวง ซึ่งกลับมาเต้นเป็นจังหวะเดียวกันอีกครั้ง คืนนั้น...อากาศที่ว่าหนาว ไม่สามารถทำอะไรคนทั้งคู่ได้เลย ทุกความผิดพลั้ง และความเสียใจในอดีต ถูกปลดเปลื้องออกไปจนหมดสิ้น หลงเหลือไว้แค่ความเชื่อใจ ที่หลังจากนี้จะไม่มีวันปล่อยให้แตกสลายไปอีกเป็นอันขาด

เพราะความรู้สึกรักของพวกเขา มันไม่ได้เปราะบางขนาดนั้นนี่น่า.....

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 38

 

“ไม่ใช่แค่เพราะเสี่ยจิวรอบคอบมากหรอกนะ แต่เพราะไม่เคยมีตำรวจหน่วยไหนเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงๆจังๆด้วย” เสียงอาใหญ่ พ่อของศิลป์ นายตำรวจยศสูงกำลังอธิบายแผนการจับกุมตัวเสี่ยจิวให้ฟัง ภายในห้องด้านในสุดของอาคารสำนักงานหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ลับสำหรับคุยงานตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาของเขากับเหล่าเพื่อนร่วมทีม

หลังจากพะภูกับติลอยไปติดเกาะร้างถึงสามคืนเต็มๆ ก็มีเรือของครอบครัวธรแล่นมาเจอเข้าจนได้ กว่าจะเล่าทุกอย่างให้ธรฟังจนเข้าใจก็ปาไปไม่รู้กี่ชั่วโมง เกือบมีเรื่องกัน เพราะติหาว่าธรเป่าหูพะภูด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมก้มหน้ารับความจริง ที่ว่าเขาเอาชนะความผูกพันของทั้งสองคนไม่ได้ และตกลงที่จะช่วยเหลือในการจับกุมเสี่ยจิวด้วยอีกคน

“แต่ฉันจะไม่ยอมลอยแพเรื่องนี้เหมือนคนอื่น ต้องจัดการเสี่ยจิวให้อยู่หมัดให้ได้”

“ก็ดีครับ”

คนที่ตอบกลับอาใหญ่คือธร ซึ่งนั่งฟังแบบไม่ยี่หระอะไรนัก ส่วนอาใหญ่พอเห็นท่าทีแบบนั้นก็ต้องชักสีหน้ากลับ อยากจะสื่อให้รู้ว่า ครอบครัวของธรเองก็ใช่ว่าจะขาวสะอาดไปซะหมด เพียงแต่ยอมให้เข้ามาร่วมในแผนการเพราะคิดว่าคงช่วยให้อะไรมันง่ายขึ้นเท่านั้น ก็รู้ดีอยู่ว่าธุรกิจของเสี่ยจิวไม่ว่าจะเบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็คอยแต่จะขัดผลประโยชน์ตระกูลของเด็กนี่

“ผมคิดว่านายชุนคงยอมมาช่วยด้วยอีกแรง” พอรู้ตัวว่าแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ทำให้บรรยากาศของการอธิบายแผนกลับมาอีกครั้ง

“ตอนนี้ติก็แทรกซึมเข้าไปทำงานให้เสี่ยจิวจนได้รับความไว้วางใจพอตัวแล้ว ต่อไปเราจะแสร้งให้ติจับตัวพะภูกลับไปส่งให้เสี่ยจิว ทีนี้แหละ เราจะได้ตามไปถึงรังที่ซ่อนของมันได้สักที ด้วยเครื่องรับสัญญาณที่จะขอให้ทั้งคู่พกติดตัวไว้”

อาใหญ่ว่าต่อไป แล้วหยิบเครื่องรับสัญญาณแบบคลิปขนาดเล็กขึ้นมาให้ดู แผนนี้ถ้าเป็นไปได้ด้วยดี มันก็จะง่ายมากในการจับกุมเสี่ยจิวได้อย่างคาหนังคาเขา ไม่มีสิทธิ์ให้เลื้อยหนีไปไหนอีก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังมาก เพราะหากพลาดไป ก็คงยากจะมีโอกาสแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ถือว่าโชคดี สำหรับการหยิบยื่นความช่วยเหลือจากธรและชุน เพราะตอนแรกทางตำรวจที่ยอมเข้าร่วมแผนที่กับอาใหญ่ก็มีจำนวนน้อยนิด แต่ละคนต่างกลัวอำนาจมืด จนไม่กล้ากระดิกตัวกันหมด และนั่นคงเป็นอีกเหตุผลหลักที่ทำให้ยังจับเสี่ยจิวไม่ได้นั่นแหละ มั่นใจว่าถ้าเอาจริงเอาจังและกล้ามากกว่านั้น การรวบตัวผู้มีอิทธิพลรายใหญ่คนเดียว ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย

“ผมติดต่ออาจิวไว้แล้ว คืนนี้เริ่มดำเนินการได้เลย”

ติพูดขึ้นเสริมความมั่นใจให้ทุกคน ตั้งแต่กลับมาจากเกาะร้างนั่น เขาก็รีบติดต่อไปหาเสี่ยจิว อ้างว่าได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจน้ำ ส่วนเรื่องพะภู ก็บอกไปว่าเป็นแค่รุ่นน้องที่รู้จักกัน และจะจับตัวกลับไปให้ ทำให้ทางนั้นค่อนข้างพอใจในตัวเขามากขึ้นอีก ทีนี้คงพอมีลุ้นจะได้ติดตามไปยังที่กบดานของเสี่ยจิวสักที คงต้องบอกว่า นอกจากเขาที่เป็นหลานแล้ว คงยากจะหาใครมาทำให้งานนี้สำเร็จไปได้ เพราะถ้าเป็นคนอื่น มีหวังถูกตั้งข้อสงสัยทุกประเด็น และไม่มีทางได้เข้าใกล้ตัวมากขนาดนี้หรอก เขาเองก็คิดอยู่หลายครั้ง ว่าเสี่ยจิวคงหวังจะให้เขามาช่วยสานต่อธุรกิจมืดตัวเอง เพราะแกก็อายุมากขึ้นทุกวัน แถมหันซ้ายขวาก็ไม่เห็นญาติคนไหนท่าทางดูเลวเท่าเขาแล้วมั้ง...แบบนั้นก็ดี เขาจะได้จัดการอะไรๆง่ายขึ้น ถึงจะเป็นญาติกัน แต่ถ้าทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้เขาก็รับไม่ได้หรอก ยังไงก็คงต้องขอให้ชดใช้กรรมล่ะนะ

“ฝากด้วยนะ”

อาใหญ่ส่งเครื่องรับสัญญาณให้ติกับพะภู ก่อนจะพาทุกคนออกจากตึกด้วยความระแวดระวัง ทางธรเองก็ขอตัวกลับไปเจรจากับชุนเพื่อส่งหน่วยสนับสนุนไปให้กับตำรวจ ส่วนตัวแสดงหลักสองคน ก็ได้แต่นั่งเงียบไปตลอดทางกลับบ้าน คนตัวเล็กเอาแต่พิมพ์ข้อความในมือถือส่งให้พี่สาวซึ่งเพิ่งจะรับทราบเรื่องทั้งหมด จนแทบลมจับไปอีกไม่รู้กี่รอบ จำได้ว่าหลังจากประมวลผลและพยายามเข้าใจทุกอย่างแล้ว พะพายก็ยื่นคำขาดที่ดูท่าทางจริงจังกว่าทุกครั้ง บอกว่าให้นี่เป็นการพาน้องชายของเธอไปเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้าย แน่นอนว่าถ้าพะภูเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แม้แต่ชีวิตของติ ก็ยอมชดใช้ให้

คนตัวสูงเอื้อมมือข้างหนึ่งเข้าขยี้หัวเด็กบนเบาะข้างๆ พยายามบอกให้ไม่ต้องคิดมาก ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าจอดในตัวบ้าน ซึ่งมีตาล กับชายหญิงคู่หนึ่งยืนรอรับอยู่ที่หน้าประตู ท่าทางเป็นกังวลมาก ทันทีที่คุณชายของบ้านเดินลงจากรถ เสียงทักทายไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น ทำให้พะภูต้องรีบหันตามไปมอง ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดผ้าแพรราคาแพงตรงเข้าสวมกอดติไว้ พลางร้องเสียงหลง

“ติ! ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”

“ใจเย็นสิคุณ” ผู้ชายอีกคนซึ่งเดินขนาบข้างกันมารีบตำหนิ และดึงตัวเธอออก ก่อนจะจ้องหน้าติอยู่นานเหมือนกำลังสื่อสารกันทางจิตอย่างนั้น สุดท้ายก็เปล่งเสียงทุ้มฟังดูภูมิใจออกมา

“ทำได้ดี”

“เอ่อ...” พะภูรวบรวมความกล้าแทรกออกไปกลางปล้อง ทำเอาทุกสายตาหันมามองเป็นจุดเดียว ติรีบคว้ามือพะภูมากุมไว้ ตั้งท่าจะอธิบาย หากแต่ถูกตาลชิงตัดหน้าขึ้นมาก่อน

“นี่ไงคะ พะภู แฟนพี่ติ”

“ห..หะ”

คนถูกแนะนำแบบนั้นอ้าปากเหมือนปลาพะงาบน้ำ ท่าทางไม่ยี่หระของตาลทำเอาคนทั้งคู่แปลกใจ และยิ่งน่าฉงนเข้าไปใหญ่เมื่อชายหญิงคู่ตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างให้เขาอย่างไม่นึกรังเกียจหรือกีดกันเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงที่กอดติเมื่อครู่ เริ่มแนะนำตัวเสียงใส พร้อมกับผายมือไปทางผู้ชายด้านข้าง

“สวัสดีจ่ะพะภู ฉันเป็นคุณแม่ของติกับตาลนะ ส่วนทางนี้ก็คุณพ่อ”

“ส..สวัสดีครับ!”

คนตัวเล็กรีบชักมือออกจากการเกาะกุม แล้วก้มหัวไหว้จนหน้าเกือบคว่ำ ทำเอาคนมองถึงกับลอบอมยิ้มในท่าทีน่าเอ็นดู อยู่ดีๆก็มาเจอพ่อกับแม่ติแบบไม่ตั้งตัว แถมยังดูใจดีกว่าที่คิดอีก ใครมาเป็นเขาตอนนี้ก็ต้องทำตัวไม่ถูกทั้งนั้นแหละ

“เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ” คนเป็นพ่อตบบ่าไล่หลังทุกคน จนทั้งหมดมานั่งล้อมลงกันอยู่บนโซฟากลางโถงบ้าน ความอึดอัดที่มาจากความงุนงงตรงเข้าจู่โจมแขกของครอบครัวทันที จนแม่ของติต้องเริ่มอธิบายเสียงนุ่ม พอให้คนกังวลคลายความตกใจลงบ้าง

“ยัยตาลคอยรายงานเรื่องพะภูให้แม่กับพ่อฟังตลอด เราทั้งสองคนไม่ได้รังเกียจหนูเลยนะจ๊ะ”

ว่ามาถึงจุดนี้ ตาลก็ยืดอกอวดท่าทางภูมิใจ โดยมีติส่งยิ้มกว้างให้ ในหัวคิดตบรางวัลน้องสาวคนเก่งเอาไว้แล้ว แต่คนที่ชื้นใจที่สุดก็เห็นจะเป็นพะภูนี่แหละ ไม่นึกเลยว่าปราการด่านนี้จะผ่านไปได้ง่ายๆ แถมทั้งคู่ก็ดูใจดีผิดกับในจินตนาการลิบลับเลย

“เราเข้าใจเรื่องรสนิยมของคน และไม่คิดกีดกัน แค่เป็นคนที่ติรัก และจัดการเขาได้อยู่หมัด พ่อกับแม่ก็วางใจแล้ว”

“ความจริง พ่อไม่คิดว่าจะมีใครเอาติอยู่ซะแล้วนะ ต้องขอบคุณพะภูมากกว่าที่ช่วยทำให้มันเป็นคนเต็มคนขึ้น ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทะเลาะต่อยตีหนีเรียนไปวันๆ” ประโยคหลังหันไปกัดพฤติกรรมเด็กเกเรของลูกชายเข้าหนึ่งดอก ก่อนจะกลับมายิ้มอบอุ่นเหมือนเดิม ดูเหมือนพะภูเริ่มผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว จึงค่อยๆก้มหัวลงเล็กน้อยด้วยท่าทีขัดเขิน

“ครับ..คุณอา”

ความเงียบจู่โจมทั่วบริเวณอย่างฉับพลัน ทำเอาผู้ชายตัวเล็กชะงักไปหน่อยๆ เริ่มวิตกว่าเมื่อกี้ได้ทำอะไรไม่เหมาะสมไปรึเปล่า พ่อกับแม่หุบยิ้มลงครู่หนึ่งพร้อมตีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ตาลกับติเอาแต่อมยิ้มอย่างแปลความไม่ออก สักพักติจึงกระแอมไอเรียกความสนใจจากคนคิดหนัก เรียวแก้มขาวแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย

“เรียกพ่อเลย”

พยักพเยิดบอกคนรักที่เอาแต่นั่งนิ่งเหงื่อเริ่มไหล พอเห็นท่าทีตกใจพร้อมพวงแก้มซึ่งแดงเถือกขึ้นมา ก็อดขำตามกับความน่ารักใสซื่อไม่ได้ พะภูชั่งใจได้แค่แวบเดียว ก็กลั่นสุ่มเสียงออกมาทั้งที่ริมฝีปากแดงๆนั่นเอาแต่สั่นระริกด้วยความกระดากอาย

“คร..ครับ คุณ..พ่อ”

ได้ยินแบบนี้แล้ว ทั้งสี่คนที่เหลือก็อมยิ้มตาม คนเป็นแม่ดี๊ด๊าดีใจ รีบเขย่าแขน ‘ลูกสะใภ้’ ให้เรียกตัวเองบ้าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักจากคนอื่นๆ คงต้องขอบคุณครอบครัวที่อบอุ่นนี้ ทำให้พะภูลืมเรื่องแผนจัดการเสี่ยจิวไปได้ชั่วขณะ ทั้งที่จะต้องเผชิญหน้ากับความกลัวตลอดมาในไม่ช้าแล้ว แต่วินาทีนี้กลับยิ้มออกมาจากหัวใจได้ สงสัยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะกีรติ ไม่ใช่เพราะอัครโภคิน จะทำให้เขาอุ่นใจแบบนี้ได้ไหม ทั้งหมดนั่งคุยกันต่ออย่างออกรส ทั้งเรื่องของตัวเขา ความสัมพันธ์กับติ และเรื่องเสียจิวด้วย

พ่อกับแม่ของติดีกับเขามาก แน่นอนว่ารวมถึงตาลกับคนงานในบ้านทุกคนด้วย ความจริงนี่เป็นสถานที่ที่ดีมาก ผิดกับภายนอกที่คนมักมองว่า อัครโภคินต้องหยิ่งยโสตามฐานะ แต่มันไม่ใช่เลย ทุกคนใจดี และให้กับยอมรับในตัวเขามากเสียยิ่งกว่าที่เขาเคยมอบให้กับตัวเองด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้พะภูอยากจะขอบคุณการตัดสินใจของตัวเอง แม้จะไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีนัก แต่มันก็ได้นำพาเขาให้มาพบกับเส้นทางและจุดจบที่สวยงามมากจริงๆ หลังจากนี้ ก็คงมีแต่ต้องจัดการเรื่องเสี่ยจิวเท่านั้น

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว แขกคนเดียวของบ้านก็รีบปลีกตัวไปโทรศัพท์หาพี่สาว ซึ่งกำลังเดินไปมาทั่วบ้านด้วยความกังวลใจ ทั้งคู่พูดคุยกันยาวจนเกือบดึก ราวกับไม่ได้คุยกันมานานเหลือเกิน พะพายเอาแต่พูดซ้ำๆว่าให้ระวังตัวและเป็นห่วงมาก ซึ่งก็ทำให้คนฟังยิ้มรับทุกครั้งไป เขารู้ดีว่าพะพายต้องคิดหนักแค่ไหนกว่าจะยอมให้เขาเข้าร่วมในแผนการณ์สุดอันตรายแบบนี้ เธอที่ช่วยเขาออกมาจากเงื้อมมือมารครั้งหนึ่ง ไม่มีทางอยากให้เขาต้องกลับไปเสี่ยงกับเหตุการณ์เดิมๆอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะทำมัน จะได้สะสางเศษเสี้ยวความโกรธแค้นที่ยังซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจให้หมดไป และเพื่อช่วยเหลืองานของติด้วย เขาอยากทำให้มันจบจริงๆสักที

“พี่พายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะระวังตัวให้มากที่สุด”

(ดูแลตัวเองนะ พี่จะรออยู่)

“ครับ ฝันดีนะครับ”

(จ่ะ)

พะภูกดตัดสายทิ้ง ก่อนจะพบว่าท้องฟ้าด้านนอกมันเปลี่ยนเป็นสีดำไปตั้งนานแล้ว พอหันหลังกลับจะเดินขึ้นห้องก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นติกำลังยืนอ้าปากหาวหวอดรออยู่ก่อนแล้ว ให้ตาย มาเงียบๆแบบนี้ก็แอบน่ากลัวเหมือนกันนะ

“พี่ติ รอผมหรอครับ ขอโทษนะ”

“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”

“ครับ” รับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินเข้าไปควงแขนคนตัวใหญ่ขึ้นห้องอย่างออดอ้อนเอาใจ ติเอื้อมมือมาหยิกแก้มเขาเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว แล้วพากันมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มพื้นหนา เตรียมพักผ่อนสำหรับงานใหญ่ในวันรุ่งขึ้น

“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะปกป้องนายเอง” ติสอดแขนเข้ามากอดเขาไว้หลวมๆ พลางยกมือขึ้นลูบหัวอย่างแผ่วเบา สายตาอบอุ่นถูกส่งผ่านออกมาจนอดยิ้มตามไม่ได้

“ผมไม่กลัว...”

คนตัวเล็กอมยิ้มเหมือนมีแผน ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยสงสัย จนเมื่อพะภูพลิกตัวขึ้นมานอนทับบนตัวเขา พร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้นั่นแหละถึงเข้าใจ...เด็กนี่มันยั่วชัดๆ

“มีพี่ติอยู่ ผมไม่กลัวหรอก”

“อืม...”

คนถูกอ่อยกระตุกยิ้มพอใจ และดึงหน้าหวานๆเข้ามาประกบปากอย่างรู้งาน ค่อยๆเพิ่มลีลาจากความนุ่มนวลไปเป็นความเร่าร้อนตามลำดับ ติค่อยๆยกตัวลุกขึ้นทั้งที่ยังคงแลกจูบดูดดื่มกับอีกฝ่ายอยู่ มือใหญ่พาลถลกเสื้อนอนลายสก็อตของคนรักออกตามแรงอารมณ์ในร่างกาย

พอถอนริมฝีปากออก ก็ตามมากดลงไปบนซอกคอขาวแทบจะทันที ติ่งไตสีชมพูซึ่งโผล่พ้นออกมาถูกนิ้วเรียวเขี่ยเล่นอย่างหยอกเย้า จนพะภูถึงกับแอ่นตัว ปากร้องครางไม่เป็นภาษา นึกรู้สึกผิดที่เมื่อครู่ทำเป็นกล้าไปยั่วติเข้า

“พ..พี่ติ พอเถอะครับ” พะภูพยายามร้องเรียกสติคนตัวสูงให้กลับมา จนติเริ่มชะงัก ค่อยๆถอนปากออกจากอกขาวอย่างอ้อยอิ่ง พลางตีสีหน้าสำนึกผิด ระคนเสียดาย

“ขอโทษ ก็นายน่ารักนี่...ฉันเลยทนไม่ได้”

คนโดนชมหน้าแดงฉานไปถึงใบหู รีบพลิกตัวกลับมานอนบนหมอนตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันทีเพื่อเก็บซ่อนความเขิน ติได้แต่เกาหัวแก้เก้อ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างกันในที่สุด รู้สึกว่าจะแพ้เด็กนี่ทุกทางจริงๆแฮะ ทั้งที่เป็นฝ่ายบอกให้นอนพักผ่อน แต่เขากลับห้ามใจไม่ไหว หวังจะไม่ให้พักซะเอง มันน่าด่าตัวเองที่ไม่มีความอดทนมากพอ หรือน่าตีคนข้างๆที่เอาแต่ทำตัวน่า.....รักขนาดนี้ดี

แต่ถ้าแผนการครั้งนี้ดำเนินไปได้ด้วยดี ทุกอย่างคลี่คลายหมดแล้ว เขาและพะภูก็คงได้โล่งอกกันสักที ทีนี้จะขอเอาคืนเด็กแสบที่ริมาป่วนชีวิตเขาให้สมใจเลยคอยดู ส่วนตอนนี้ขอเก็บแรงไว้ลุยพรุ่งนี้เช้าก่อน หวังว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหาอะไร หวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี หวังว่าจะปลอดภัย... จะเทพเทวดาหรืออะไรก็ได้ อย่าลืมลงมาปกป้องพะภูด้วยนะ...

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 39



รถตู้สีดำปิดม่านบังหน้าต่างทุกด้านเคลื่อนตัวออกจากรั้วอัครโภคินตั้งแต่เช้ามืด พะภูนั่งก้มหน้ามองข้อมือสองข้างของตัวเองที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกุญแจมือสีเงิน ก่อนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายด้านข้าง สายตาจับผิดถูกส่งไปให้ กว่าติจะเข้าใจก็รีบยกมือขึ้นโบกไปมาพัลวันพร้อมตีหน้าตายที่สุด

“ของไอ้ศิลป์นะ”

“ของพี่ศิลป์?” ถามย้ำอีกครั้งพลางเอียงคอยกมือสองข้างขึ้น รู้สึกถึงภาพในหัวที่ไม่ค่อยดีนักระหว่างศิลป์กับนิว

“หมายถึงของอาใหญ่ พ่อศิลป์ไง”

“อ๋อ...”

บอกเลยว่าลงทุน เล่นใหญ่มาก รถตู้นี่เอามาจากไหนยังไม่รู้เลย ให้ฟีลมาเฟียสุดๆ แถมยังจับล็อคข้อมือแบบจริงจังจนน่าตกใจอีก ส่วนจุดหมายปลายทางในวันนี้ก็คือ บริษัทผลิตยางรถยนต์ในเขตปริมณฑล ซึ่งเป็นธุรกิจบังหน้าของเสี่ยจิว ความได้เปรียบในตอนนี้ของฝ่ายเราก็คือการที่ฝั่งนู้นดูจะไม่เอะใจเท่าไร และยังวางใจติแบบไม่มีข้อกังขาอีกต่างหาก

ก่อนจะถึงเวลาสว่างเต็มฟ้า รถตู้ที่นั่งมาก็ขับเข้าไปจอดอยู่ด้านในโกดังขนาดใหญ่ ติดึงสก็อตเทปแผ่นใหญ่ออกมาปิดปากผมไว้ทีก่อนพากันลงจากรถ บอดี้การ์ดตัวบึกหลายคนยืนล้อมแทบทุกบริเวณของพื้นที่ มีเสี่ยจิวยืนอ้วนรออยู่แล้ว ท่าทางภูมิใจแสดงออกมาทันทีที่เห็นหลานชายตัวเองเดินกระชากเด็กผู้ชายร่างเล็ก โจกย์ข้ามปีของเขาลงจากรถ สีหน้าโกรธเกลียดของพะภูฉายออกมาอย่างไม่ปิดบัง ขณะที่ติยังคงต้องแอ๊บโหดอยู่อย่างนั้น

“ถ้าผมรู้ว่าหมอนี่คือเด็กคนนั้น คงพามาให้เร็วกว่านี้” ติกดไหล่พะภูให้นั่งชันเข่าอยู่กับพื้น มีลูกน้องบางคนก้าวเข้ามาประชิด เผื่อกรณีฉุกเฉิน จิวเพียงแค่ส่ายหน้าและหันมาตบบ่าติเบาๆ เป็นเชิงเชยชม

“ไม่หรอก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว อาล่ะนึกว่ามันไปตายที่ไหนแล้วซะอีก ตามกลับมาได้ก็ดี จะได้เอาคืนให้สาสม” คำสุดท้ายหันมากดเสียงต่ำลงต่อหน้าเด็กบนพื้น ยิ่งทำให้พะภูกัดฟันกรอด ติได้แต่สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ในใจที่อาจปะทุออกมาเมื่อไรไม่รู้ ก่อนรีบส่งคำถามเข้าเรื่องออกไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“แล้วนี่ จะทำยังไงต่อครับ?”

“เดี๋ยวพาขึ้นรถตู้ไปที่ท่าเรือ จากนั้นค่อยต่อไปที่ซ่อน ติไม่เคยไปนี่ บรรยากาศอาจจะแย่หน่อยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมช่วยคุมเด็กนี่ไว้ด้วยดีกว่า”

“ดีๆ แต่เราจะเดินทางกันตอนค่ำหน่อย ช่วงนี้พามันไปขังไว้ในห้องด้านในก่อนไป”

เสี่ยจิวชี้นิ้วสั่งลูกน้องคนหนึ่งให้เดินเข้ามา แล้วรับเอากุญแจห้องหนึ่งดอกมาไว้ในมือ ลูกน้องคนนั้นเดินนำติที่กำลังลากแขนเล็กของพะภูไปตามทางเดินที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เพราะปราศจากหน้าต่างรับแสง แถมยังเปิดไฟไว้ไม่กี่ดวง ท่าทางสลัวจนแทบจะดับเต็มทีแล้ว

ทั้งสามคนหยุดฝีเท้าลงที่ห้องเกือบจะด้านในสุด ประตูสีเทาดูแน่นหนาและน่ากลัวไม่น้อย พาลให้จิตใจของคนตัวเล็กแกว่งไหวขึ้นมาด้วยความกลัว ภาพในอดีตเริ่มตีกลับเข้ามาในหัว ก่อนจะรีบสะบัดไล่มันออกไปก่อนจะแย่มากกว่านี้ ติแสร้งผลักพะภูจนเซเข้าไปในห้อง ลูกน้องที่มาด้วยตรงเข้ามัดเอวพะภูไว้ติดกับเสาต้นหนึ่ง ทั้งห้องแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากลังปริศนา ขยะ กับกระป๋องเบียร์

ติชั่งใจครู่หนึ่ง มองหน้าพะภูด้วยสายตาเป็นห่วง โดยระวังไม่ให้อีกคนในนี้เห็น ที่สุดแล้วก็ต้องยอมเดินกลับไป แล้วทิ้งคนรักเอาไว้กับลูกน้องหน้าโหด แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้อาจจะตกเป็นที่สงสัยได้ แม้จะยังตีหน้าเคร่งขรึม แต่ข้างในก็กำลังร้อนรนเพราะกลัวว่าพะภูจะได้รับอันตราย ทันทีที่ออกมาเจอจิวอีกครั้ง เขาจึงรีบเอ่ยปากแนะนำเสียงจริงจัง

“อาครับ บอกลูกน้องให้ดูแลเด็กนั่นให้ดี จะดีกว่าไหมครับ”

“หือ?” เสี่ยจิวเลิกคิ้วอย่างสงสัยจนติต้องรีบอธิบายต่อ

“ถ้าเกิดมีแผลหรือเป็นอะไรไป ราคาขายก็คงตกลงไปอีก นานๆ ทีจะได้เด็กหน้าตาน่ารักๆ มา จะเสียดายเอานะครับ”

“อืม...ก็จริงนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกน้องอารู้อยู่แล้ว ว่าควรจะดูแลสินค้ายังไง”

“อ่า...ครับ”

พอตกเย็นพะภูก็ถูกจับขึ้นรถตู้ติกฟิล์มดำจนแทบไม่เห็นอะไร แน่นอนว่ามีตำรวจหลายนายที่แอบเป็นพวกให้อยู่ลับหลัง เลยผ่านฉลุยไปขึ้นเรือลำกลางที่ท่าได้อย่างสบาย คนโดนจับยังคงถูกมัดขังเอาไว้ในห้องห้องหนึ่ง พร้อมกับลูกน้องคนเดิมที่คอยเฝ้าอยู่

จิวกวักมือให้ติเดินไปนั่งคุยงานกันต่ออีกพักใหญ่ๆ สาบานว่าแต่ละคำพูดของคนเป็นอาแทบไม่เข้าหัวเขาเลย เมื่อเอาแต่คิดถึงพะภูที่ต้องอยู่กับลูกน้องตัวหนาสองต่อสองในห้องเล็กๆ เหม็นอับนั่น ถึงจิวจะย้ำว่าสั่งสอนลูกน้องมาเป็นอย่างดี แต่พะภูน่ารักขนาดนั้น ใครอยู่ใกล้ก็ต้องมีเคลิ้มบ้างแหละ ถึงทำให้เขาไม่มั่นใจเลยว่าคนรักตัวเองจะปลอดภัยจริงๆ

 

“ผู้ชายจริงเหรอวะ ทำไมตัวเล็ก ดูบอบบางอย่างกับผู้หญิง” ไอ้ลูกน้องหัวโล้นจ้องพะภูที่ถูกมัดติดเสาตาเป็นมัน คนตัวเล็กกลอกตาหนีทำทีเป็นไม่สนใจ จนอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แล้วใช้มือสากบีบคางของเขาให้หันมาเผชิญหน้ากัน สายตาหื่นกระหายแปลกๆ ถูกส่งมาให้พอให้ใจหายวาบ

“อืออ!!” พยายามส่งเสียงท้วงผ่านสก็อตเทป และเริ่มดิ้นหนีแต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน

“ขอชิมสักนิดคงไม่เป็นไรมั้ง”

“ไอเอี้ย! อื้ออ!!”

ริมฝีปากแห้งแตกกดลงกับพวงแก้มใส ทำเอาคนโดนมัดเสียวปราดขึ้นมาด้วยว่าขยะแขยงเต็มทน ไอ้โล้นค่อยๆ ริมปากผ่านไปถึงลำคอขาว ทำเอาน้ำตาของพะภูรื้นขึ้นมาเพราะความกลัว ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้เพื่อขอความช่วยเหลือที่อาจมาไม่ถึง

พี่ติ! พี่ติอยู่ไหน!!

ปึงง!

เสียงประตูเปิดออกทันที พร้อมกับร่างสูงของกีรติที่กำลังถือก้อนขนมปังเข้ามา คงกะจะเอามาให้พะภูรองท้องซะก่อนจะไปเผชิญแผนการณ์ใหญ่ แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ขนมปังก้อนนั้นก็ถูกเขวี้ยงลงพื้น ตามมาด้วยแรงกระชากคอเสื้อ ทำให้ไอ้โล้นต้องลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หมัดหนักๆ จากติถูกส่งเข้าไปปะทะใบหน้าสีมืดของมันจนร่างทั้งร่างเซจนเกือบล้ม ติไม่หยุดแค่นั้น ตามเข้าไปอัดมันต่ออีกไม่รู้กี่ครั้ง จนเสียงดังไปถึงด้านนอก เรียกให้เสี่ยจิวกับลูกน้องคนอื่นต้องตามเข้ามาดูเหตุการณ์

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” นายใหญ่รีบถาม รีบสั่งลูกน้องให้จับแยกติออกมาก่อน สภาพไอ้โล้นตอนนี้แทบไม่ต่างจากซอมบี้ที่ได้แค่กระดิกนิ้วเท่านั้น

“ไอ้เหี้ยนี่มันลวนลามพะภู!” ติขึ้นเสียงอย่างลืมตัว เมื่อเห็นสายตาจับผิดกลายๆ จึงต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดหวังสงบอารมณ์ ก่อนอธิบายต่อไปเสียงเรียบ

“ไหนอาบอกว่าลูกน้องอารู้เรื่องดี แล้วนี่อะไรครับ ทำสินค้าเสียหายหมด”

“ใจเย็นน่า”

“เย็นอะไรครับ ถ้าเมื่อกี้ผมไม่เข้ามาก่อน ไม่รู้มันจะทำอะไรบ้าง ถ้าเกิดขายไม่ได้ราคาขึ้นมา พวกเราก็เป็นฝ่ายเสียหายนะครับ”

“เอาล่ะๆ ไอ้นี่มันผิดจริง ติจะทำยังไงกับมันก็แล้วแต่เลย อาอนุญาต”

“โยนมันลงทะเลไปเลย”

“เฮ้ย.. จะดีหรอ ไอ้นี่มันทำงานให้อามานานอยู่นา”

จิวพยายามตบบ่าติให้ใจเย็น เขาเองไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้ด้วย ทางด้านติที่ดูจะหงุดหงิดไม่น้อย พยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นมาอารมณ์ เมื่อรู้สึกว่าเริ่มทำตัวน่าสงสัย จึงค่อยๆ ฝืนเอ่ยปากเสียงอ่อนลง

“ล้อเล่นน่ะครับ จับมัดไว้ที่ไหนสักที่แล้วกัน อย่าให้มายุ่มย่ามกับสินค้าอีก กว่าผมจะจับมาให้อามันก็ลำบากอยู่” รีบยกเรื่องความดีความชอบของตัวเองขึ้นมาอ้าง เพื่อไม่ให้จิวจับผิดได้ และจิวก็ดูจะเชื่อสนิทใจในส่วนนี้ เลยพยักหน้าให้ลูกน้องอีกสองคนลากตัวไอ้โล้นที่สลบเหมือดไปขังไว้ในห้องเล็กๆ ท้ายเรือ

ติไล่ทุกคนไม่แม้กระทั่งจิวให้ออกไปทำธุระของตัวเอง แล้วเขาจะเป็นคนเฝ้าพะภูเอง ถึงตอนแรกจิวจะไม่ยอมเพราะไม่อยากให้ติต้องลำบาก แต่ติก็งัดคำพูดมาโน้มน้าวใจได้อีกตามเคย

“ยังไงผมก็เป็นรุ่นพี่มัน น่าจะคุยกันง่ายกว่า ให้คนอื่นมาเฝ้าเกิดมันอาละวาดขึ้นมาอีกจะแย่ ผมไม่ไว้ใจลูกน้องของอาแล้วด้วย”

“อ่าๆ เอางั้นก็ได้ แต่ถ้าต้องการอะไรก็เรียกไอ้พวกนี้ได้เลยนะ” จิวชี้ไปทางลูกน้องคนอื่นๆ ซึ่งดูจะสงบเสงี่ยมลงมาก หลังจากเห็นสภาพเพื่อนรวมงานโดนติซ้อมจนน็อคคาที่เมื่อครู่

“ครับ อาไปพักก่อนก็ได้”

“อืมๆ”

เมื่อทุกคนออกไปพ้นบริเวณหมดแล้ว ติจึงปิดประตูห้องลง ดีที่ประตูของเรือมันเป็นวัสดุที่หนาพอไม่ให้ใครด้านนอกได้ยิน และยิ่งดีขึ้นเมื่อพวกลูกน้องสองคนที่ถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าเข้ามารบกวนใกล้ขนาดนั้น จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงของเขาพูดคุยกับ ประกอบกับว่าห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดแน่นอนตามที่จิวบอกไว้ และเขาก็สำรวจดูเองแล้วด้วย รู้สึกคุ้มค่าที่สละเวลามากมายมาคอยช่วยงานเสี่ยจิวจนรับความไว้วางใจในฐานะหลานรักเพียงคนเดียวแบบนี้

“เป็นไงบ้าง ขอโทษนะ” ติรีบปราดเข้าหาคนรัก ดึงเอาสก็อตเทปที่ปิดปากออก แล้วใช้มือสองข้างประคองใบหน้าหวานขึ้นอย่างทะนุถนอม

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย”

คนตัวสูงไม่พูดอะไร กดจูบลงกับหน้าผากมนแล้วลากปลายจมูกไล่ลงมา จนริมฝีปากทั้งคู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซน พะภูลอบยิ้ม ก่อนเชิดหน้าขึ้นรับสัมผัสอบอุ่นจากปากนุ่มหยุ่นของอีกฝ่าย เมื่อพอใจแล้วจึงผละตัวออก ตินั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าพะภู สีหน้าห่วงใยมองผ่านไปยังเชือกที่มัดรอบตัวกับกุญแจข้อมือที่ยังถูกสวมใส่

“อึดอัดไหม”

“นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ”

“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวมันก็จบแล้ว” ฝ่ามือหนาลูบแก้มเนียนซึ่งเริ่มชื้นเหงื่อ พะภูพยักหน้ารับแล้วปล่อยน้ำหนักศีรษะลงกับมือข้างนั้น ค่อยๆ หลับตาพริ้มเพื่อซึมซับทุกกำลังใจ

ใช่...เดี๋ยวมันก็จะจบแล้ว

 

พะภูเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอตื่นมาอีกทีก็ไม่เห็นติแล้ว รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยใต้ท้องเรือ ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง พอให้เดาได้ว่าพวกเขามาถึงจุดหมายปลายทางเป็นอันเรียบร้อย ไม่นานนัก ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมลูกน้องของเสี่ยจิวสองคนที่ตรงเข้ามาแก้มัดเขาออกจากเสาแล้วหิ้วปีกสองข้างไว้ไม่ให้หนี ขณะที่ติกำลังยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของอาตัวเอง ท่าทางสะใจของเสี่ยจิวทำให้พะภูนึกชิงชังแต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกไปได้

ดูเหมือนจะมีพรรคพวกของเสี่ยจิวคอยรอต้อนรับอยู่บนท่าเรือแล้ว แต่ไม่ว่าจะมองซ้ายหรือขวาก็เห็นเป็นแค่เกาะร้างแห่งหนึ่งซึ่งเดาไม่ออกเลยว่าคือส่วนไหนของประเทศไทย ติเดินตามประกบพะภูอยู่ในระยะห่างที่พอดี ก่อนจะถูกย้ายขึ้นรถกระเป๊าะท่าท่างคร่ำครึ ฝ่าทางขรุขระเข้าไปในตัวป่า (?) ไม่กี่นาทีต่อมา ก็จอดลงตรงหน้ากระท่อมไม้หลังหนึ่ง ซึ่งถูกล็อคกลอนแน่นหนาจากด้านนอก

คนเฝ้ากระท่อมโค้งหัวให้จิว แล้วจัดการเปิดประตูอย่างยากลำบาก คิดดูว่ากว่าจะเปิดประตูไม้โง่ๆ นี่ได้ก็กินเวลาไปหลายนาทีแล้ว อะไรจะความปลอดภัยดีขนาดนั้น

ทันทีที่ประตูถูกแง้มออก กลิ่นอับจากภายในก็ลอยฟุ้งออกมาจนผู้มาใหม่ถึงกับต้องปิดจมูกหนีด้วยความไม่ชิน เสียงโวยวายกับเสียงโซ่ที่กระทบกันไปมาดังขึ้นแทบจะทันทีที่แสงสว่างลอดผ่านเข้าไปภายใน น้ำใสเริ่มรื้นขึ้นมายังขอบตาทั้งสองข้างของคนตัวเล็ก ภาพเด็กหญิงชายอายุไม่เกิน 15 ปี ถูกจับล่ามไว้กับเสาบ้านกำลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อหาอากาศบริสุทธด้านนอก

เหมือนภาพซอมบี้ หรือขอทานที่หมดหนทางแล้วจริงๆ น่าสงสารมาก... มากพอให้เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ภาพตรงหน้าราวกับฟิล์มที่ฉายซ้ำอดีตของตัวเอง มันเจ็บปวดจนเข่าอ่อน ทรุดตัวลงท่ามกลางความตกใจของติและลูกน้องที่กำลังพยุงอยู่

“พะภู!/เฮ้ย!”

ติแทบจะเก็บอาการไม่อยู่ตอนที่คนตัวเล็กอาเจียนออกมา จนสก็อตเทปแผ่นบางหลุดตามออกมากองบนพื้น น้ำหูน้ำตาไหลจนแม้แต่เด็กๆ ที่ถูกจับขังไว้ยังนิ่ง มองมาด้วยสายตาสงสัยระคนสงสาร คงจะเดาออกว่านี่คือสมาชิกใหม่ของกระท่อมฝันร้ายแห่งนี้

“เป็นอะไร!?”

คนเป็นห่วงรีบย่อตัวลงไปดูสีหน้าไม่สู้ดีของพะภูใกล้ๆ เขาต้องแสร้งกระชากเสียงโหดให้เหมือนกับว่ากำลังรำคาญและไม่พอใจ ทั้งที่ข้างในน่ะปั่นป่วนจะแย่ อยากช่วยลูบแผ่นหลังสั่นเทานั้น อยากเข้าไปกอด อยากบอกว่าไม่ต้องกลัว...

“แค่กๆ...”

พะภูส่ายหน้าแล้วยกสองมือขึ้นเช็ดปาก พยายามยันตัวเองลุกขึ้นโดยมีติคองประคองอยู่อย่างเนียนๆ เขาแค่คิดถึงภาพเก่าๆ วันที่เคยโดนจับมาทรมานจนเหมือนตายทั้งเป็น เช่นเดียวกับเด็กตรงหน้าพวกนี้

“ถ้าไม่เป็นไรแล้ว ก็จับมันมัดไว้ แล้วเราก็กลับกันเถอะ” จิวออกปากสั่งท่าทางรำคาญ ก่อนจะปลีกตัวกลับออกไปนั่งรอบนรถ ท่ามกลางการอารักขาแน่นหนา

มีแค่ติที่ยังคอยเฝ้ามองพะภูอยู่ให้แน่ใจ คนตัวบางถูกจับล่ามด้วยโซ่ไว้ใกล้กับเด็กคนอื่น ความยาวของมันพอแค่ให้เดินต่อได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ลูกน้องทั้งสองคนถอนตัวออกมาเมื่อจัดการงานเรียบร้อยแล้ว ติพยักพเยิดหน้าไล่ทั้งคู่ออกไปรอด้านนอก แล้วทำทีเป็นเข้ามาเช็คความเรียบร้อยของสิ่งพันธนาการ

แผ่นหลังกว้างพยายามบดบังคนตรงหน้าให้พ้นสายตาลูกสมุนแถวประตู ก่อนยื่นมืออุ่นออกมาแตะแก้มปลอบพะภูเบาๆ คนตัวเล็กยิ้มรับ พยายามส่งสายตาบอกว่าไม่เป็นไร

“ทำความสะอาดด้วยล่ะ” หลานชายนายใหญ่หันกลับมาออกคำสั่ง พร้อมปรายตามองกองอ้วกเมื่อครู่

ไม่นานนักกลุ่มของจิวก็หายออกไปจากป่า ทิ้งไว้เพียงความเงียบกับแสงจันทร์สลัวๆ ในคืนนี้เท่านั้น...


รอก่อนเถอะ เจ้าโชคชะตา...

เขาจะต้องเอาคืนแกให้ได้เลย

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 40



“น..นาย ชื่ออะไร?” เด็กชายท่าทางผอมแห้งจนหนังแทบติดกระดูก ถามพะภูขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ มีเด็กคนอื่นพยายามกลบอยู่ด้านหลัง จ้องมาด้วยท่าทีไม่วางใจนัก เขาจึงต้องรีบระบายยิ้มแล้วตอบกลับเสียงอ่อนโยน

“ฉันชื่อ พะภู แล้วพวกนายล่ะ?”

“เราชื่อจั่น นี่แหวน พี่แก้ม แล้วก็โอ๊ค” เด็กจั่นหันไปแนะนำคนที่หลบหลังตัวเองอยู่ พร้อมกับดึงให้เจ้าพวกนั้นออกมาสบตากับเขาตรงๆ ผู้หญิงที่ดูโตหน่อยชื่อแก้ม เธอยิ้มให้ทั้งที่ใบหน้าดูอิดโรย แล้วกวักมือเรียกเด็กคนอื่นๆ ที่เอาแต่นั่งกอดเข่าให้เข้ามาใกล้มากขึ้น

“ไล่จากซ้ายไปขวาคือ จินนี่ สรุต ยอร์ช แป๋ม แล้วก็ซิน”

“ทำไมพะภูถึงถูกจับมาได้ล่ะ”

จั่นเอ่ยปากถาม สายตาไล่สำรวจตัวเขาตั้งแต่หัวจรดนิ้วเท้า แน่นอนว่ามันดูแปลก เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ถูกจับมาต้องมีปัญหาสักอย่าง อาจติดหนี้ โดนทิ้ง หลงทาง หรืออะไรก็ว่าไป แต่สภาพเขาตอนนี้มันดูดีเกินกว่าจะถูกพาตัวมาง่ายๆ แบบนั้น

“ฉัน...ฉันติดหนี้เสี่ยจิวไว้”

“พ่อแม่เราก็เป็นหนี้มันเหมือนกัน” เสียงจั่นดูแผ่วลง ถึงแสงจันทร์จะเป็นแสงเดียวในคืนนี้ แต่เขาก็พอจะมองเห็นสีหน้าของเด็กทุกคนได้อยู่ มองออกอยู่ ว่ามันย่ำแย่แค่ไหน

“แต่กำลังจะมาจ่ายคืนแล้วล่ะ”

พะภูพูดทิ้งท้าย แล้วหันหน้าออกไปทางหน้าต่างบานเล็กที่ถูกปิดสนิทจนฝุ่นเกาะ ปล่อยให้คนที่เหลือได้แต่นึกสงสัยในคำพูดแปลกๆ นั้น

เขากำลังจะชดใช้ไอ้เสี่ยจิว ด้วยการแก้แค้นอันสาสมไง พอกันทีกับวงจรธุรกิจอุบาทว์ๆ มันจะจบที่นี่ ที่เขา....กระท่อมฝันร้าย จะต้องไม่มีอยู่อีกแล้ว และเด็กพวกนี้ก็ต้องรอด เขาสัญญา

 

“ฮ..แฮ่ก..แฮ่...ก”

เสียงหอบหนักๆ ปนกับเสียงหายใจติดขัดของใครบางคนดังขึ้นกลางดึก ทำให้พะภูต้องปรือตาขึ้นมาสำรวจทั่วพื้นที่ แก้มที่ดูโทรมลงไปอีกตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ กำลังนอนกุมหน้าอกตัวเองพลางตีสีหน้าเหยเกเหมือนกำลังเจ็บปวด

“แก้ม เป็นอะไร” คนตื่นรีบคลานเข้าไปดูเธอใกล้ๆ พยายามกระซิบให้เบาไว้กลัวรบกวนการนอนของเด็กคนอื่น ซึ่งดูท่าทางจะเพลียเต็มที่กันหมด

“เรา...ไม่ค่อย แค่กๆ..สบาย”

“ไม่สบายเป็นอะไร แล้วเป็นมานานยัง”

พะภูอดที่จะส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมไม่ได้เมื่อสภาพของแก้มเริ่มแย่ลงแต่เขากลับทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดเด็กคนอื่นก็สะลึมสะลือตื่นตมขึ้นมากันหมด ทุกคนดูตกใจกับท่าทีของแก้มจนจินนี่คลานเข้ามากอดแก้มไว้หลวมๆ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วยว่าเห็นใจพี่สาว

“อีกแล้วหรอพี่แก้ม”

คำพูดของจินนี่ทำให้พะภูสะกิดใจ อีกแล้ว? แปลว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้น่ะสิ อะไรกัน ทำไมมีเด็กป่วยแล้วไอ้เสี่ยเวรตะไลนั่นยังไม่คิดจะดูดำดูดีบ้าง รู้หรอกว่าคนอย่างมันคงไม่ห่วงชีวิตคนอื่น แต่อย่างน้อยแก้มก็เป็นสินค้าของมันไม่ใช่หรือไงวะ!

“เป็นมานานแล้วเหรอจินนี่?”

“จ่ะ พี่แก้มป่วยออดๆ แอดๆ ตั้งแต่เดือนที่แล้ว จนช่วงนี้มาทรุดหนัก ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน”

“แล้วไม่บอกไอ้จิวล่ะ”

“มันไม่สนใจหรอก ถ้าใครใช้งานไม่ได้มันก็ปล่อยให้ตายเหมือนหมูเหมือนหมา” จั่นพูดน้ำเสียงโกรธแค้น แต่กลับโดนเพื่อนคนอื่นเอ็ดเป็นเสียงเดียวกัน

“จั่น!”

จินนี่ส่งสายตาดุๆ ให้จั่นที่หน้าเจื่อนไป ก่อนก้มลงดูอาการของแก้มต่อ จั่นรีบขยับตัวอ้อมมาอยู่ข้างหน้าแก้มแล้วก้มหัวขอโทษ และนั่นก็พอให้แก้มฝืนยิ้มออกมาได้บ้าง หลังจากทำท่าคลื่นไส้มานานกว่าสิบนาที

 “พี่แก้มไม่เป็นอะไรหรอก อดทนไว้นะ”

น้องที่เหลือพากับรุมกอดแก้มเอาไว้เหมือนต้องการมอบพลังบางอย่างให้ ภาพตรงหน้าช่างดูอบอุ่นจนพะภูเผลอน้ำตาคลอตามอย่างช่วยไม่ได้ มันไม่ได้เว่อร์หรอก ถ้าเกิดว่าคุณเคยมีชะตากรรมแบบเดียวกับเขา แล้วมาอยู่ในจุดๆ นี้ เห็นภาพที่ดูน่าเวทนาแบบนี้ เป็นใครก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

แก้มพยายามยิ้มรับอ้อมกอน้อยๆ มือข้างหนึ่งยังคงกำแน่นไปที่อะไรบางอย่างตรงหน้าอก เขาแอบเห็นสายสร้อยที่คล้องคอของเธอกำลังล่อแสงจันทร์เป็นประกายจึงถือวิสาสะตั้งคำถาม

“นั่น...อะไรเหรอ?”

คนป่วยพยายามดันร่างตัวเองไว้ไม่ให้ฟุบลงกับพื้นเสียก่อน เด็กคนอื่นคลายอ้อมกอดออกไปกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่รอบๆ แก้มควักจี้ทรงรีประดับด้วยหินสีออกมาให้ดู เธอก้มมองมันด้วยสายตาคิดถึงระคนเจ็บปวด ก่อนอธิบายเสียงสั่น

“นี่เป็นของเพื่อนเรา ที่โดนจับมาด้วยกัน เธอให้เราไว้ก่อนที่จะถูกพาตัวไปขาย”

คนเล่าเริ่มหอบอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ เอนตัวลงนอนแล้วส่ายหน้าบอกให้คนอื่นไม่ต้องห่วง เด็กๆ เฝ้าดูแก้มอีกสักพักจึงแยกย้ายกันไปนอน ความเงียบคืนนั้นยิ่งทรมานมากกว่าคืนไหน... พะภูแทบไม่ได้นอนเลยจนถึงเช้า ด้วยทั้งเป็นห่วงคนป่วยท่าทางร่อแร่ ด้วยทั้งตื่นเต้นกับแผนการวันรุ่งขึ้น

มันจะจบแล้ว จะจบแล้วจริงๆ !

(หมายถึงนิยายเรื่องนี้อ่ะค่ะ จะจบแล้ว 555555)

 

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสอดส่องเข้ามาภายในกระท่อมอับชื้น เด็กหลายคนเริ่มตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจบ้าง ขยี้ตาไปมาบ้าง ทุกการเคลื่อนไหวมักตามมาด้วยเสียงกระทบกันของโซ่เส้นหนา ที่พันกันจนมั่วอยู่แถวเสาบ้านต้นใหญ่ เอาจริงๆ คือเดินได้คนละไม่เกินสิบก้าวก็เรียกว่าที่สุดแล้ว และแน่นอนว่าเป็นสิบก้าวที่ไปไม่ถึงลูกบิดประตูหรือหน้าต่างด้วยซ้ำ

ใบหน้าของแก้มซูบซีดจนน่ากลัว แป๋มกับแหวนช่วยกันพยุงร่างของแก้มขึ้นนั่งพิงเสาเอาไว้ สรุตที่ดูนิ่งเงียบมาตลอด ถึงกับยอมถอดเสื้อตัวเองออกมาพัดให้ความเย็น มีจั่นคอยช่วยด้วยอีกแรง แก้มพยายามฝืนยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก รู้สึกได้เลยว่าร่างกายไม่แข็งแรงอีกต่อไปแล้ว มันปวดตุบตุบอยู่ข้างในโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมยังดูสิ้นหวังเหลือเกิน เธอมาอยู่ที่นี่นานเกินไป...

นานจนลืมความสใสข้างนอกนั่น

นานจนไม่คาดหวังที่จะกลับไป อีกแล้ว.....

“แก้ม!/พี่แก้ม!” ทุกคนร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวเมื่อจู่ๆ แก้มก็ทรุดตัวลงจนเด็กสาวอีกสองคนรับน้ำหนักแทบไม่ไหว เธอหอบหายใจแรงขึ้นจนคนอื่นชักหวั่น ใบหน้าเปื้อนไปด้วยหยดเหงื่อ

พะภูขยับเข้าไปช่วยช้อนร่างของแก้มขึ้นอีกครั้ง มือเล็กๆ ที่กำลังสั่นเทาพยายามยกขึ้นจับจี้ตรงหน้าอก เธอถอดสร้อยออกอย่างยากลำบาก ก่อนจะส่งมันเข้ามาในมือของพะภูซึ่งยังงงอยู่ แก้มเหมือนไม่มีเสียงจะพูด แต่สุดท้ายก็ดึงดันส่งเสียงออกมาจนได้ แม้ว่ามันจะแผ่วเบาแค่ไหน แต่ทุกคนก็รับรู้ทุกคำพูดอย่างชัดเจน

“ชะ ช่วย...ท..ทุกคน...ด้วย..นะ...”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่พวกเขาได้ยินจากเด็กผู้หญิงชื่อแก้ม น้ำตาและเสียงโฮถูกปลดปล่อยออกมาจนดังระงมไปทั่วกระท่อมหลังเล็ก แก้มไม่สามารถขยับร่างกายได้อีกแล้ว...หรือแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจ ก็ไม่มี...

เธอจากไปแล้ว...

ร่างแน่นิ่งของแก้มในอ้อมแขนของพะภูยิ่งทำให้เขารู้สึกชิงชังทุกอย่างที่เสี่ยจิวกระทำไว้ ยิ่งเสียงกรีดร้องของเด็กที่เหลือ ก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปถึงข้างในจิตใจ น้ำตาคลอเบ้าทั้งสองข้าง ก่อนที่จะไหลออกมาเฉกเช่นเดียวกับทุกคน พะภูกำหมัดแน่น สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก

สร้อยคอที่ถูกมอบมาถูกสวมเข้ากับคอขาวๆ สายตาขึงขังกวาดมองหน้าสมาชิกทุกคนในที่นี่ เขาจะทำให้ได้ แก้ม ไม่ต้องห่วงนะ..เขาจะช่วยทุกคนเอง

แกร๊ก แกร๊ก

ประตูบ้านถูกปลดล็อคออกจากด้านนอก ก่อนที่ลูกน้องตัวใหญ่ในชุดสีดำสนิทจะกระทืบเท้าเข้ามาดูสถานการณ์ แอบได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา ฟ้าด้านนอกเริ่มสว่างขึ้นตามลำดับ

พะภูวางมือข้างหนึ่งไว้ตรงกระเป๋ากางเกง ยังคงมีเครื่องส่งสัญญาณตัวเล็กอยู่ด้านใน สายตาเกลียดชังตวัดเข้าใส่ร่างท้วมของเสี่ยจิวทันทีที่โผล่เข้ามา ท่าทางสะอิดสะเอียนกับสภาพรังหนู เสียงแข็งกร้าวตวาดออกไปพร้อมจ้องเขม็งไปยังไอ้เลวตรงหน้า

“มึง!” เด็กชายตวาดลั่น พร้อมกับถลาเข้าไปหวังจะแตะให้ถึงตัวของเสี่ยจิวซึ่งยังคงมีท่าทีนิ่งๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แน่นอนว่าพะภูไม่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้

“ไอ้เด็กนั่นมันตายซะแล้วเหรอ” เสี่ยจิวพูด ปรายตามองร่างของแก้มบนพื้น มีเด็กนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ

ติที่เพิ่งตามเข้ามายืนด้านหลังเสี่ยจิว ดูจะช็อกมากกับภาพตรงหน้า แอบเห็นว่าเขากำลังกำหมัดแน่นไม่แพ้กัน และคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลอยู่ภายใน เขาแทบไม่อยากนับญาติกับไอ้คนจิตใจอำมหิตขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

“เอาตัวมันไปได้แล้ว”

เสี่ยจิวพูดสั่งลูกน้อง ก่อนที่พะภูจะถูกแก้โซ่ที่ขาออก หากแต่ก็ยังอยู่ในความควบคุมของผู้ชายตัวใหญ่ถึงสองคน แรงน้อยนิดของเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย มันยิ่งรู้สึกปวดใจเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนจากเด็กในบ้าน ที่บอกว่าไม่ให้เอาเขาไป

ปวดใจจริงๆ.....

ปังง!!

“เฮ้ย! อะไรวะ!?” จิวตะโกนหน้าตาตื่น ลูกน้องหลายคนรีบกรูกันเข้ามาล้อมวงรอบพวกเขาเอาไว้ ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นจากจุดไหนไม่แน่นอน อาวุธในมือเตรียมพร้อมแม้จะยังงุนงงกับสถานการณ์อยู่

ไม่กี่วินาทีผ่านไป กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดเกราะของตำรวจ พร้อมปืนคนละกระบอกก็โผล่ตัวออกมาจากที่ซ่อนตามแนวป่าและพุ่มไม้ พวกจิวดูจะตกใจกันมาก แต่ก็ยกปืนขึ้นสู้ไว้ก่อน ใหญ่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ด้านหน้าสุดอย่างไร้ความเกรงกลัวพร้อมประกาศเสียงดัง

“มอบตัวซะ แกถูกล้อมไว้หมดแล้ว”

“ไอ้สัด!!” จิวคำรามจนพุงกระเพื่อม ราวกับเป็นสัญญาณบอกให้ลูกน้องทุกคนพร้อมรบ แน่นอนว่าคนอย่างเขาไม่มีวันยอมมอบตัวง่ายๆ อยู่แล้ว

ปัง!

ปัง!

เสียงปืนจากทั้งสองฝ่ายรัวเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว จิวที่กำลังรีบหนีไปขึ้นรถท่ามกลางความดูแลของลูกน้องสี่ห้าคน ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าตอนนี้หลานชายคนโปรดกำลังจ่อปืนพกที่ซ่อนเอาไว้ไปทางฝั่งไหน

“ปล่อยมือซะ” ติขู่ลูกน้องที่กำลังหิ้วปีกพะภูอยู่ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทั้งที่ก็ต้องคอยหลบหลีกกระสุนที่ถูกยิงออกมาไม่รู้ทิศรู้ทาง ราวกับกำลังยืนคุยกันอยู่ในสังเวียนรบจริงๆ ก็ไม่ปาน

พะภูใช้จังหวะที่พวกของจิวกำลังเอ๋อรับประทาน ดิ้นจนหลุดออกจากการเกาะกุม พอลูกน้องทั้งสองตั้งท่าจะคว้าร่างบางกลับไป ติก็ไม่ลังเลที่จะยิงปืนเข้าใส่พวกมันทั้งคู่ ก่อนรวบตัวพะภูมาไว้ในอ้อมกอด พยายามใช้ตัวเองบังคนรักเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ศีรษะเล็กถูกกดลงให้หมอบราบไปกับพื้น ได้ยินเสียงร้องไห้และกรีดร้องหวาดกลัวดังออกมาจากกระท่อมซึ่งถูกปิดล็อกเอาไว้

ปัง! ปัง!!

“คุณติ พาคุณภูไปหลบก่อนครับ”

หนึ่งในตำรวจที่ลอบบุกเข้ามา พยายามฝ่าดงผู้คนที่กำลังตะลุมกันจนมั่ว เพื่อมาบอกให้ติกับพะภูหลบออกจากที่นี่ก่อน เพราะตำรวจทุกคนมีเครื่องป้องกันตัวแน่นหนาดีอยู่แล้ว ยกเว้นแค่ติกับพะภูซึ่งไม่ได้สวมใส่อะไรไว้เลย

ตำรวจอีกสามนายเข้ามาช่วยล้อมทั้งสองคนเอาไว้ ในขณะที่กำลังคลานออกห่างจากจุดที่ปะทะกัน หางตาของติหันไปเห็นว่าจิวกำลังเริ่มสตาร์ทรถและจงใจจะหนี พะภูที่เห็นแบบนั้นรีบเพิ่มความเร็วเท้าแบบไม่กลัวตาย หลายครั้งที่กระสุนเฉียดร่างพวกเขาไปเพียงไม่เท่าไร ตำรวจบางนายพยายามยิงสกัดไม่ให้จิวออกรถได้ หรืออย่างน้อยก็เพื่อยืดเวลาจนกว่าจะจัดการลูกน้องที่ยั้วเยี้ยอยู่ให้หมด

นับว่าใหญ่เก่งมากที่กล้าขนลูกน้องมามากมาย โดยไม่กลัวว่าจะถูกจับได้ และน่าชื่นชมยิ่งกว่าเมื่อฝีมือยิงปืนของเขานั้นไม่มีการพลาดเลยแม้แต่นัดเดียว และทุกครั้งที่ใหญ่ลั่นไก นั่นคือการทำให้ลูกน้องของเสี่ยจิวลงไปทรุดตัวอยู่กับพื้นเพราะขยับขาไม่ได้ ไม่ใช่การยิงเพื่อเอาให้ตาย

“พะภู!” ติร้องเมื่อเขาทั้งคู่ถูกกันตัวออกมาหลบหลังต้นไม้ใหญ่ได้สำเร็จ แต่เด็กที่ยังคงแค้นฝังใจไม่ยอมให้จิวหนีไปง่ายๆ รีบดึงปืนจากมือติมาแล้ววิ่งไปจ่อยิงคนบนรถกระเป๊าะคันเก่า

ปัง!

ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่กระจกมองหลังแตกดังเพล้ง ก่อนที่กระสุนอีกนัดจะถูกส่งออกมาจากลูกน้องที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับ พะภูรีบย่อตัว แต่ก็ถูกยิงเฉี่ยวไปหน่อยหนึ่งบริเวณข้างแก้ม

“ทำบ้าอะไร!?”

ติกับตำรวจสองนายรีบเข้ามารั้งตัวพะภูไว้ไม่ให้สติแตกไปมากกว่านี้ สายตาดุๆ ระคนห่วงใยของติทำเอาพะภูคอหดอย่างรู้สึกผิด แต่ในแววตาก็ยังคงเต็มไปด้วยความคั่งแค้นชิงชัง ตำรวจหนึ่งนายพยายามไล่ทั้งคู่กลับไปหลบในที่ปลอดภัยพลางเสี่ยงลุกขึ้นยิงกระสุนนัดหนึ่งออกไป จังหวะเดียวกับที่คนขับรถกำลังจะยิงมา

ปืนในมือของไอ้คนขับรถกระเด็นออกไปไกล แถมด้วยรอยเลือดที่มือด้านขวา เสมอกัน...ตำรวจคนที่ว่าถูกยิงเข้าที่ไหล่ซ้ายจนต้องทรุดตัวลง ใช้มือกดปิดแผลไว้แน่น พะภูตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของติ รู้สึกอยากขอโทษที่โกรธจนหน้ามืด และเป็นต้นเหตุให้มีคนบาดเจ็บเพราะเขา ติที่พอดูอาการคนรักออกยิ่งกอดพะภูไว้แน่นแล้วพากลับไปหลบหลังต้นไม้ เสียงทุ้มดังอยู่ข้างใบหูที่กำลังแดงด้วยความเดือดดาลในจิตใจ

“ใจเย็นๆ ไม่เป็นอะไร”

“พี่ติ...มัน...มันจะหนี ไปแล้ว”

“พะภูใจเย็น เห็นไหม อาใหญ่จัดการลูกน้องมันจะหมดแล้ว” ติกระชับอ้อมกอดอีกครั้งเมื่อพะภูเริ่มทำท่าจะดิ้นหนี ท่าทางว่าคนตัวเล็กจะทั้งสับสน โกรธ และกลัวมากจนสติสตังไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกต่อไป

เขาพยายามชี้นิ้วไปด้านหลังต้นไม้ ซึ่งขณะนี้แทบไม่เหลือพวกเสี่ยจิวยืนอยู่แล้ว ตำรวจหลายนายเริ่มเข้ามาจับกุมลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้นเป็นรายคน เสียงปืนบางลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมีรอยแผลเกิดขึ้น แต่ตำรวจทุกนายยังคงทำหน้าที่สุดความสามารถ ราวกับรู้ดีว่า นี่คือโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้าย ที่จะได้จับเสี่ยจิวให้อยู่หมัด

รถกระเป๊าะที่เตรียมออกตัวตั้งแต่เมื่อหลายนาทีก่อนยังไม่สามารถหลุดจากฝูงกระสุนที่พุ่งเข้าใส่ ทั้งกระโปรงหน้า ล้อรถ รวมทั้งกระจก ใบหน้าเสี่ยจิวซีดเผือด เอาแต่หดหัวลงไปด้านหลังคอนโซล สองมือกอดร่างท้วมของตัวเองไว้ท่าทางกลัวจัด ใบหน้าเปื้อนเหงื่อไม่ต่างอะไรกับหมูที่กำลังจะโดนขึ้นเขียงเฉือด

ปัง!

“เอื๊อกก”

คนขับรถโดนยิงจนเลือดสีสดพุ่งทะลักออกมา ก่อนจะนอนแน่นิ่งไปเลย ยิ่งทำให้เสี่ยจิวรู้ถึงอนาคตอันมืดบอดของตัวเองมากขึ้น คนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พยายามเบียดร่างตัวเองลงมาจากตัวรถบุโรทั่ง หวังจะวิ่งหนีไปให้ไกล แต่เพียงไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงและยกมือยอมแพ้ขึ้นกลางอากาศ เมื่อตำรวจสามสี่นายพุ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้

ไม่นานนัก เสียงสวบเท้าก็ดังขึ้นใกล้ๆ ร่างของนายตำรวจยศสูงชื่อใหญ่ ก้าวออกมาประจันหน้ากับผู้ร้ายชั้นหนึ่งที่กำลังจะถูกปราบเซียน

“ไอ้เวรรร!!!” เสี่ยจิวร้องลั่นด้วยความโกรธ พุ่งตัวเข้าใส่ใหญ่ซึ่งยังยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ไม่ทันถึงตัวก็ถูกตำรวจลูกน้องเข้ามาล็อคแขนสองข้างเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งใส่กุญแจล็อคข้อมือเสร็จสรรพ

“แกน่ะสิ”

ใหญ่พูดทิ้งท้ายแค่นั้นแล้วชี้นิ้วเป็นสัญญาณให้ลูกน้องลากตัวเสี่ยจิวซึ่งกำลังดิ้นพล่านไปทางรถตำรวจ ที่เพิ่งขับตามมาสมทบเมื่อครู่ ก่อนจะหันไปโบกมือให้ส่วนหนึ่งไปดูแลติกับพะภู และอีกส่วนหนึ่งเข้าไปจัดการกับเด็กๆ ภายในบ้าน โดยให้ช่วยเหลือออกมาให้หมด พร้อมติดตามหาครอบครัวหรือองกรค์อุปถัมป์

“คุณติ คุณภู ไปขึ้นรถเถอะครับ เราจัดการทางนี้หมดแล้ว” ตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้นแล้วผายมือไปทางรถสีดำพาดขาวหลายคันใหญ่ๆ รวมทั้งรถเก๋งอีกเป็นขบวนซึ่งถูกขนมาพร้อมกันด้วยเรือลำใหญ่ ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากนายพลเรือ เพื่อนสนิทของใหญ่

“จับ...จับมัน ไปแล้วเหรอ..ครับ?”

“ครับ”

พะภูเผยรอยยิ้มออกมาในรอบวัน ก่อนโผตัวเข้ากอดกับติแนบแน่น น้ำตาแห่งความสุขเอ่อล้น หลังจากปลดเปลื้องความทุกข์ในใจตลอดหลายปีออกไปได้ แววตากลมโตเหลือบมองร่างท้วมของเสี่ยจิวกำลังถูกตำรวจนอกเครื่องแบบพาตัวขึ้นรถ ก่อนที่รถขันนั้นจะแล่นออกไปก่อนใครเพื่อน

“ไม่ร้องนะ จบแล้วเห็นไหม คนดี” ติกระชับอ้อมกอดพลางยกมือขึ้นลูบหัวปลอบ น้ำเสียงอ่อนโยนผิดจากทุกทีทำให้พะภูรู้สึกสงบใจลงได้มาก

ไม่นานนัก ใหญ่ก็เข้ามาตบหลังเด็กทั้งสองคนซึ่งยอมลงมาช่วยงานนี้ ทั้งที่เสี่ยงอันตรายมากเหลือเกิน คนโตสุดยิ้มบางให้ติกับพะภูแล้วชี้มือไปทางฝูงเด็กๆ กำลังเดินตามตำรวจออกมาจากตัวกระท่อมไม้

“เราจะดูแลเด็กพวกนั้นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ฝากด้วยนะครับ” พะภูย้ำเสียงสั่น เขาสงสารเด็กพวกนั้น...

“แน่นอน เชื่อใจเถอะ”

“อาใหญ่ ขอบคุณมากนะครับ”

ติคลายอ้อมกอดออกจากร่างพะภูแล้วยกมือไหว้คนเป็นอา ใหญ่ส่ายหน้าแล้วรับไหว้เล็กน้อย ก่อนขอตัวลาไปขึ้นรถตำรวจคันหนึ่งขับออกไป ใช้เวลาพักใหญ่กว่าตำรวจคนอื่นจะเคลียร์ลูกน้องเสี่ยจิวออกไปพ้นบริเวณ เหลือแค่รถกระบะคันสุดท้าย รถเก๋งอีกสอง ตำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง ติ แล้วก็ พะภู เท่านั้น

“ไปเถอะ กลับไปพักผ่อนกัน” ติสะกิดร่างบางแล้วค่อยๆ พยุงร่างเหนื่อยอ่อนของพะภูขึ้น ซ้ายขวามีตำรจคอยอารักขาไม่ห่าง

ปัง!

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 41



“เฮ้ยยย!!”

เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นทั้งที่ทุกอย่างสงบแล้ว ตำรวจที่ยืนรออยู่ข้างรถ รีบพุ่งเข้าไปรวบตัวลูกน้องหัวโล้นของเสี่ยจิวเอาไว้ ปืนในมือถูกแย่งมาก่อนจะรีบใส่กุญแจและล็อคคอไม่ให้หนี

“พะภู!! พะภู!!!”

ติร้องลั่นพลางเขย่าร่างพะภูที่เพิ่งล้มลงกับพื้น บริเวณอกขวามีรอยเลือดซึมผ่านเนื้อผ้าออกมา ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด คนตัวใหญ่รีบรวบตัวพะภูมาไว้ในอ้อมกอด พร่ำสบถไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แววตาที่เคยคมเข้มกลับวูบไหวด้วยความตกใจกลัว

“คุณติ รีบพาคุณภูขึ้นรถเร็วครับ!”

ตำรวจนายหนึ่งรีบเข้ามาเตือนสติ ก่อนประคองทั้งสองคนไปทางรถเก๋งซึ่งจอดรออยู่ ระหว่างเดินผ่านลูกน้องเสี่ยจิว ติก็รี่เข้าไปอัดหมัดหนักๆ ใส่หน้าบูดเบี้ยวนั้น จนตำรวจหลายคนต้องเข้ามาห้ามไว้ แล้วดันร่างติเข้าไปในรถ ตรงกลับไปยังท่าเรือ รีบส่งต่อโรงพยาบาลทันที

ใหญ่รีบตามมาที่โรงพยาบาล คอยนั่งปลอบเพื่อนลูกชายซึ่งมีท่าทีย่ำแย่จนน่ากลัวว่าจะล้มไปอีกคน เวลาภายในตึกเก่าๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า หลายชั่วโมงถัดมา คุณหมอก็เดินซับเหงื่อออกจากห้องฉุกเฉิน แค่คำว่า ‘คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ’ ก็ทำให้ติกลับมายิ้มกว้างได้อีกครั้ง รีบขออนุญาตเข้าไปเยี่ยมคนรักทันที

ภายในห้องของโรงพยาบาลแถวต่างจังหวัด มีคนตัวเล็กนอนสงบเงียบ ยังคงต่อเครื่องช่วยหายใจไว้อยู่แม้ว่าอาการจะทรงตัวดีแล้วก็ตาม หมอบอกว่าโชคดีที่พามาเร็ว และพะภูไม่ได้ถูกยิงในจุดที่สำคัญจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนไอ้ลูกน้องเสี่ยจิวคนนั้นก็ถูกจับกุมเรียบร้อย มันคือไอ้โล้นที่ลวนลามพะภูบนเรือ แล้วถูกเขาจับมัดไว้นั่นเอง สงสัยว่าจะหลุดออกมาได้แล้วตามมาแก้แค้นแน่ๆ

“ไอ้ขี้เซา ตื่นเร็วๆ สิ”

นิ้วเรียวยื่นเข้าไปเกลี่ยหน้าม้าของร่างบนเตียงอย่างเบามือ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่ทว่าแฝงไปด้วยความเศร้าเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก เพราะเขาหรือเปล่าที่ไม่ได้ปกป้องพะภูให้ดีกว่านี้ ถึงถูกทำร้ายได้ง่ายดายนัก...

ถ้าเขาทำได้ดีกว่านี้ เด็กนี่จะไม่ต้องเจ็บปวดเลยหรือเปล่า...

พะภูถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลเอกชนชั้นหนึ่งของกรุงเทพในเวลาต่อมา โดยมีความช่วยเหลือจากทั้ง อัครโภคิน และตำรวจยศใหญ่ ติต้องชั่งใจนานพอตัวกว่าจะกล้าโทรไปแจ้งเรื่องทั้งหมดให้พะพายฟัง แน่นอนว่าเขาโดนสวดกลับมาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง แถมยังเผลอทำผู้หญิงร้องไห้อีกต่างหาก แต่ให้ทำไงล่ะ...เขาเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้สักหน่อย

ไม่ได้อยากให้พะภูต้องเจ็บตัวสักนิด...

 

“ถ้าเจ็บหน้าจะบีบคอให้ตายเลย”

พะพายบ่นเสียงเข้มมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเมื่อเช้า หลังจากกีรติ คนรักของน้องชายสุดหวงยอมโทรมาอธิบายเหตุการณ์การจับกุมเสี่ยจิวให้ฟัง เธอว่าจะโกรธตั้งแต่ได้ยินเรื่องไอ้ลูกน้องบ้ามาลวนลามพะภูแล้วนะ แต่นั่นยังไม่เท่ากับที่บอกว่า พะภูโดนยิง!!

สาบานเลยว่าเธอเกือบเป็นลมตอนได้ยิน ถึงติจะย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ต้องห่วง เพราะปลอดภัยดีแล้ว แต่เธอก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี จะบ้าเหรอ คนโดนยิงนะไม่ใช่มดกัด พะภูต้องเจ็บมากแน่ ไม่อยากคิดเลย

“เสื้อผ้าแล้ว...ขนมไปด้วยดีกว่า...” พี่สาวคนสวยยืนเช็คของที่กำลังเตรียมเอาไปให้พะภูที่โรงพยาบาล บางทีเธอน่าจะพกตุ๊กตาตัวโปรดของหมอนั่นไปด้วย

“อ้ะ จริงสิ”

เกือบลืมของสำคัญ!

รีบวิ่งกลับขึ้นไปห้องนอนของน้องชาย ควานหาของสิ่งนั้นไปทั่วโต๊ะเขียนหนังสือ ต่อด้วยตู้ใบเล็กใบน้อยทุกอัน ในที่สุดก็เจอ...พวงกุญแจแก้วทรงกลม มีเม็ดสีแต้มอยู่ภายในสามจุด ของสุดหวงที่ติดตัวพะภูมาตั้งแต่เกิด ปกติหมอนั่นไม่ทิ้งไว้แบบนี้หรอก แต่เพราะว่าไปเสี่ยงอันตรายมาก ช่วงหลังมนี้เลยเลือกเก็บไว้ให้ปลอดภัยดีกว่า ตอนนี้เรื่องวุ่นวายจบแล้ว คงได้เวลาที่เจ้าพวงกุญแจอันน้อยจะคืนสู่เจ้าของสักทีนะ

“เรียบร้อย!” กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถุกรูดซิปปิด ก่อนพะพายจะห้อยพวงกุญแจเอาไว้กับนิ้วชี้และนิ้วกลาง หลังจากล็อคประตูบ้านด้านในเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาปิดรั้ว

ทุกอย่างคงเป็นไปอย่างปกติสุข ถ้าไม่ใช่ว่ามีรถเก๋งคันหรู แล่นมาจอดยู่ตรงหน้าเธอ พร้อมกับใบหน้าของผู้ชายวัยกลางคนซึ่งบัดนี้กลับดูอิดโรยจนน่าตกใจ ดวงตาสองข้างแดงก่ำจนเธออดสงสัยไม่ได้...ถึงอย่างนั้น เธอก็เลือกที่จะทำเป็นเมินผู้มาเยือนไปซะ เพราะไม่ได้ต้องการแสวนาหรือติดต่อด้วยสักเท่าไรนัก

“พะพาย กำลังจะไปไหนน่ะ?” ชายปริศนาเอ่ยปากถาม และเข้ามาบังตัวเธอไว้ ทำให้ต้องยอมอ้าปากคุยด้วยอย่างช่วยไม่ได้

“เรื่องของฉัน คุณไม่ต้องมาสนใจ”

“จะไม่ให้สนใจได้ยังไง ในเมื่อฉันเป็นพ่อของหนู”

“อึก...”

พะพายกระแทกเป้ในมือลงกับพื้นอย่างหัวเสีย สายตาถมึงทึงจ้องผู้ชายตรงหน้าด้วยความไม่ยอมรับ ชายคนนั้นค่อยๆ ปรับน้ำเสียงให้อ่อนทุ้มลง ก่อนเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย

“คุณนิชนันท์เสียแล้ว”

“ว่าไงนะ?”

พะพายอ้าปากค้าง นิชนันท์ที่ว่าคือภรรยาหลวงของผู้ชายคนนี้...หรือแท้จริงแล้วคือพ่อแท้ๆ ของเธอเอง ส่วนเธอน่ะเหรอ เป็นแค่ลูกที่เกิดจากความผิดพลาดเท่านั้น แม่เธอเป็นคนรับใช้อยู่ที่คฤหาสน์ นฤบดินทร์ เศรษฐีรายใหญ่ของเมืองไทย แต่คุณนิชนันท์ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ ไล่ตะเพิดแม่กับเธอออกจากบ้าน จนต้องกลับไปอาศัยอยู่กับพี่ชายแม่ ซึ่งก็คือลุงยศ เธอสาบานว่าจะตัดขาดกับครอบครัวนฤบดินทร์และไม่ต้องการแม้แต่จะเรียกร้องอะไร

“เธอประสบอุบัติเหตุ เสียได้สักพักแล้ว”

แน่นอนว่าเธอไม่ค่อยตามข่าววงการเศรษฐี หรือแม้แต่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ เธอยังไม่มีเวลาเฉียดสายตาไปส่องด้วยซ้ำ เนื่องจากเธอไม่ใช่คนอ่านข่าวอยู่แล้ว และพักหลังยังยุ่งมาก ทั้งงานโรงเรียนเรื่องพะภู หรือการสอบเข้ามหาลัย

“ละ...แล้วยังไง”

“พ่อจะให้ลูกกลับไปอยู่ที่บ้าน”

“ไม่จำเป็นค่ะ ทุกวันนี้ฉันสบายดีอยู่แล้ว”

“พะพาย...พ่อเสียทุกคนไปหมดแล้ว ทั้งคุณนิด ทั้งแม่ของหนู” นักธุรกิจรายใหญ่ว่าเสียงสั่น จนอดให้เธอนึกหวั่นไม่ได้

เธอทำเป็นไม่ใส่ใจเลยไม่ได้ ในเมื่อคนตรงหน้าคือพ่อของเธอ แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็รู้แก่ใจดีถึงความเป็นจริงข้อนี้ และถึงจะโกรธเคืองในหลายเรื่อง แต่ความผิดทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่ที่เขาเพียงคนเดียว

“ฉัน...ขอคิดดูก่อนละกันค่ะ”

รอยยิ้มฉายขึ้นมาบนใบหน้าซูบผอมนั้น แต่ก่อนที่ลูกสาวจะเดินหนีไป ก็รีบคว้าข้อมือบางไว้ก่อนพลางเอ่ยปากถาม สายตาก้มมองกระเป๋าใบใหญ่บนพื้น

“แล้วสรุปว่าจะไปไหน เดี๋ยวพ่อไปส่ง”

“ไปโรงพยาบาล”

“ใครเป็นอะไรเหรอ?” คนเป็นพ่อถามอย่างตกใจ ก่อนดันหลังพะพายให้ขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังของรถคันหรู

“พะภู...เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ”

“พะภู เด็กที่หนูช่วยไว้น่ะเหรอ แล้วเป็นอะไรมากไหม ให้พ่อช่วยอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีคนต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ”

พะพายพูดทั้งที่ยังหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ในหัวในแต่คิดว่าจะทำยังไงกับไอ้บ้ากีรติดี ระหว่างผลักตกบันได หรือเอามีดแทงให้ตายไปเลย มีอย่างที่ไหน เอาน้องเธอไปเสี่ยงอันตรายแล้วยังดูแลไม่ดี ถึงเจ็บตัวกลับมาแบบเนี้ย คิดแล้วก็โกรธไม่หาย ถึงจะเข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องนี้ก็เถอะ

“พะพาย...นั่นอะไร?” คนด้านข้างสะกิดแขนเธอเบาๆ ทำให้ต้องหันกลับไปเผชิญหน้า สายตาประหลาดใจหลุบลงต่ำ พอมองตามไปก็เจอพวงกุญแจของหวงของพะภูที่คล้องอยู่บนนิ้วเธอ

พวงกุญแจแก้วรูปแบบแปลกตา ถูกยกชูขึ้นกลางอากาศ พอเห็นชัดๆ ก็ยิ่งทำให้ผู้ชายตรงหน้าเบิกตากว้างยิ่งกว่าเจอผี พะพายเลิกคิ้วอย่างตั้งคำถามกับสีหน้าแบบนั้น

“ทำไมหนูถึงมีพวงกุญแจอันนี้ได้?”

“เอ่อ...อันนี้เป็นของพะภูน่ะค่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

วิทวัส สมบูรณ์โชคชัย เศรษฐีวัยกลางคนแทบนั่งไม่ติดเบาะรถอีกต่อไป ดวงตาของเขายังคงทอประกายความรู้สึกมากมาย ทั้งตกใจและตื่นเต้น (?) อย่างไรชอบกล มือใหญ่ยื่นเข้าไปช้อนพวงกุญแจในมืออีกคนมาจ้องเขม็งอีกครั้ง เมื่อคิดว่าแน่ใจอะไรบางอย่างแล้วจึงรีบล้วงเอามือถือเครื่องบางออกมากดโทรหาใครสักคนทันที ไม่แม้แต่จะตอบคำถามลูกสาวตัวเองที่ยังนั่งงงกับเหตุการณ์อยู่

“คุณหญิงเดือนฉาย สวัสดีครับ”

“...”

“ผมคิดว่าผมเจอแล้วล่ะครับ...”

“...”

“...หลายชายของคุณหญิง”

ว่าไงนะ??

 

“หมายความว่ายังไง หนูไม่เข้าใจ” พะพายถามเสียงเครียดขณะที่เธอกับพ่อกำลังเดินตรงไปยังห้องพักในโรงพยาบาล

“พ่อคิดว่าพะภูอาจเป็นหลายชายของคุณหญิงเดือนฉาย”

“ได้ยังไงคะ”

“เพราะพวงกุญแจแก้ว แต้มสีสามจุด เป็นของประจำตระกูลวรวิโรจน์เท่านั้น”

“แต่ว่า...”

“คุณหญิงเดือนฉายตัดขาด คุณรวิชญ์ ลูกชายคนเล็กเป็นสิบกว่าปีมาแล้ว หลังจากที่เขาตกลงจะคบกับอาจารย์สาว ฐานะยากจน ทั้งสองคนต้องระเห็จออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง โดยไม่มีการช่วยเหลือหรือติดต่อจากตระกูลอีกเลย ข่าวคราวของสองคนนั้นหายไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ตามไม่พบอีก”

วิทวัสหยุดเดินแล้วเริ่มร่ายยาว อธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่คิดว่าพะพายต้องรู้ และมาช่วยกันตัดสินใจว่า เด็กพะภูคนนั้นจะบังเอิญมาเป็นคุณชาย ระวี หลานชายคนสุดท้ายของคุณหญิงหรือเปล่า

“เมื่อไม่นานมานี้ คุณหญิงท่านล้มป่วย ลูกชายคนโตก็ยุ่งอยู่แต่กับธุรกิจ จึงคิดอยากจะให้คุณชายรวิชญ์กลับมา แต่ออกตามหาเท่าไรก็ไม่พบเบาะแส ยกเว้นสิ่งนี้”

ปลายนิ้วชี้หยุดลงที่พวงกุญแจบนมือพะพายอีกครั้ง เธอพยายามประมลผลทั้งหมดอย่างมีเหตุผลให้ได้มากที่สุด แม้จะยังตกใจและสับสนอยู่ไม่น้อย

“ละ..แล้ว คุณหญิงรู้ได้ไงคะว่าคุณรวิชญ์มีลูกชาย”

“เพราะนั่นคือข่าวคราวสุดท้ายที่ท่านได้รับรู้ ก่อนที่ครอบครัวนั้นจะขาดการติดต่อไปอย่างจริงจัง พ่อคิดว่าเขาอาจย้ายไปต่างจังหวัดหรืออะไรเทือกนั้น”

“ระ...วี...”

พะพายเผลออุทานชื่อที่ไม่คุ้นหูเลยออกมา ความจริงพะภูชื่ออะไร เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะวันที่เธอช่วยเด็กนั่นออกมา จำได้ว่าสั่นไปทั้งตัว ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นเธอห่วงเหลือเกินว่าสติยังสมประกอบดีไหม

พะภูน่ะ แม้จะเอาแต่แค้นฝังใจกับเรื่องในอดีต แต่อีกใจเขาก็ต้องการที่จะลบเลือนสิ่งเหล่านั้นให้หมด ‘ชีวิตใหม่’ นั่นคือสิ่งที่เขาเรียกมัน หลังจากถูกเธอกับลุงยศช่วยเอาไว้ แถมพวกเขายังไม่ค่อยได้คุยเรื่องอดีตของกันและกันมากเท่าไรนัก เหมือนจะรู้หัวอกกันดีว่า ไม่อยากรับรู้ และไม่อยากคิดถึง เมื่อเป็นอย่างนั้น เธอจึงไม่เคยซักไซ้อะไร และช่วยตั้งชื่อใหม่ให้เขาเช่นกัน ชื่อนั้นก็คือ พะภู...

เรียกแบบนั้นมาเกือบสองปีแล้ว โดยที่ไม่เคยถามเลยว่าความจริง...เด็กคนนั้นชื่อว่าอะไร?

“ใช่ ระวี เป็นชื่อที่คุณรวิชญ์พูดถึงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าคนคนนั้นมีลูกชายก็ต้องตั้งชื่อว่าระวีแน่นอน”

“ไม่อยากจะเชื่อ...” เธอพูดได้แค่นั้น ก่อนจะสาวเท้าต่อไปยังห้องพักผู้ป่วย ซึ่งมีน้องชายตัวเองนอนรออยู่แล้ว

ภายในห้องเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ไอ้ตัวดี กีรติ พ่วงด้วยเพื่อนในแก๊ง ทั้งเกต์ ศิลป์ นิว เกม กัส และผา ไอ้บ้าพวกนี้ ขนกันมาทำไมเยอะแยะ ถึงห้องมันจะใหญ่ก็เถอะ แต่พอรวมเธอกับพ่อเข้าไปอีกนี่ยิ่งแคบลงถนัดตา ไม่นับรวมพวกบอดี้การ์ดหน้าประตูอีกนะ

“มาทำไรกันเยอะแยะ”

พะพายบ่นทันที แต่คนอื่นดูจะไม่ได้สนใจเธอนัก เพราะทันทีที่เห็นชายแปลกหน้าด้านหลัง ก็รีบยกมือไหว้กันระนาว อ้อ...นะ ก็ลืมไปว่าพ่อเธอเป็นถึงเศรษฐีใหญ่ คงมีตามีหน้าให้ลูกไฮโซพวกนี้จำได้กันบ้างแหละ

“ทำไมคุณวิทวัสถึงมานี่ได้ครับ แล้ว...มาพร้อมยัยนี่เหรอ” ติรีบถามท่าทางงุนงง พะภูเองก็คงงงนิดๆ เหมือนกัน แต่คงน้อยกว่าคนอื่นแหละ เพราะเขาก็รู้เรื่องที่เธอเป็นลูกนอกสมรสของวิทวัสอยู่แล้ว

“เอ่อ เรื่องมันซับซ้อนน่ะ ไม่คิดว่าพวกเธอจะรู้จักพะพายด้วย”

“พวกเรารู้จักพะภูครับ เลยจำเป็นต้องรู้จักพะพาย” นายเกต์เริ่มกวนตีน จนผู้หญิงหนึ่งเดียวในห้องต้องหันไปแหวใส่ ก่อนถลาเข้าหาน้องชายบนเตียง มีผ้าพันแผลรอบหน้าอกภายใต้ชุดผู้ป่วยสีคราม

“พะภู เป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วงมากเลยรู้ไหม”

“ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ครับ”

“จริงนะ?”

“คร้าบ แล้วนี่...” คนบนเตียงเอียงคออย่างตั้งคำถาม สายตามองเลยไปทางวิทวัสซึ่งส่งยิ้มใจดีมาให้

“พอดีเขามาหาเมื่อเช้า แล้วอาสามาส่ง”

“แล้วสรุปว่า คุณวิทวัสรู้จักกับพะพายด้วยเหรอครับ?” ติยังคงจี้ถาม ท่ามกลางสายตาสงสัยของสมาชิกคนอื่นในห้อง ซึ่งส่งมากดดันกันจนไม่อาจปิดปากเงียบได้ พะพายเม้มปากแน่นก่อนตัดสินใจเป็นฝ่ายเฉลยเองทุกอย่าง

“อือ ฉันเป็นลูกสาวของเขา”

“อ่อ....ห๊ะ!!?”

“ไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้หรอกนะ แต่ฉันมีภรรยานอกสมรสอยู่ แล้วพะพายก็คือลูกที่เกิดกับเธอคนนั้น” คราวนี้วิทวัสยอมเปิดปากเองแบบลูกผู้ชาย ไม่มีอาย และไม่มีการรักษาชื่อเสียงตัวเองแต่อย่างใด ในเมื่อตอนนี้เขาไม่เหลือคนที่รักอีกแล้วนอกจากลูกสาวคนนี้ เขาก็อยากชดใช้คืนให้เธอในทุกๆ อย่าง

“บ้าไปแล้ว” ผายกมือขึ้นกุมหัวอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นเองก็อ้าปากค้างไปตามๆ กัน มีแค่พะภูกับพะพายที่ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ

“เอ่อ...คิดไม่ถึงเลยครับ”

เกต์พยายามทำลายบรรยากาศชวนอึ้งระคนอึดอัดออกไป แล้วส่งยิ้มให้ทั้งสองพ่อลูก ใช้เวลาพูดคุยกันต่ออีกสักใหญ่ กว่าพวกลูกหลานเศรษฐีแถวนี้จะทำความเข้าใจกับเรื่องเมื่อครู่ได้จริงๆ วิทวัสสะกิดพะพายขณะกำลังปอกแอปเปิ้ลให้คนเจ็บ ซึ่งกำลังนอนอ้อล้ออยู่กับกีรติข้างเตียง เธอสูดหายใจเข้าฮึดหนึ่ง ก่อนจะวางมีดลงแล้วเดินไปหยิบพวงกุญแจตัวปัญหาออกมา

“พะภู นี่ของเรา”

“กำลังจะถามหาพอดีเลยครับ” เด็กน้อยพรวดพราดลุกขึ้นมารับไปเชยชม พร้อมกับส่งยิ้มกว้างที่ละลายหัวใจคนตรงนี้ได้หลายชีวิตทีเดียว

“อืม...เราพกไว้ตลอดเลย พี่ก็ไม่เคยถามด้วย...แบบว่า มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ”

พะพายพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถาม ทั้งที่ไม่อาจสบตากับพะภูตรงๆ ได้ เธอจึงแสร้งเดินไปหยิบจับของขวัญกับกระเช้าเยี่ยมไข้ที่กองรวมกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่กำลังแบกกล่องขนมติดป้ายชื่อ ธัญธร ไว้หรา

“สำคัญมากเลยครับ เป็นของพี่คุณพ่อผมให้ไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”

“ง..งั้นหรอ”

“พี่พายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

เอ่ยปากถามเมื่อเห็นพี่สาวตีสีหน้าลำบากใจ แถมยังดูเหมือนโดนหลบตายังไงไม่รู้ แต่ยิ่งโดนพูดแบบนั้น พะพายก็ยิ่งไม่กล้าซักไซ้อะไรต่อ ก็จะบ้าเหรอ อยู่ดีๆ ก็มาเล่าเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนั้น จะให้เธอยอมรับได้ทันที มันก็ออกจะ...ยากอยู่นะ

“ปะ เปล่า”

บางที...มันอาจเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดก็ได้ พะภูน่ะเหรอจะเป็น.....

“ระวี”

เฮ้ย! สงสัยว่าเธอเอาแต่พิรี้พิไรอยู่ได้ วิทวัสเลยลุกขึ้นมาขานชื่อไม่คุ้นหูนั้นซะเองเลย แถมยังจ้องพะภูนิ่งเหมือนต้องการหาความจริงบางอย่าง และความจริงนั้นก็เผยตัวออกมาง่ายดายจนยากจะคาดเดาเสียด้วย

“ครับ”

“...”

พะพายตวัดสายตาหาคนบนเตียงซึ่งขานตอบกลับพ่อของเธอหน้าตาเฉย ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้ยินประโยคต่อมา

“คุณวิทวัสรู้จักชื่อผมได้ยังไงครับ?”

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 42



“รวิชญ์ วรวิโรจน์ คือพ่อของเธอใช่ไหม?” วิทวัสจี้ถามหน้าตาตื่น เด็กคนอื่นในห้องยิ่งตกใจเมื่อได้ยินนามสกุลยิ่งใหญ่นั้น หากแต่พะภูยังคงดูสับสน

“เอ่อ พ่อผมชื่อรวิชญ์ครับ แต่ไม่ได้นามสกุลวรวิโรจน์นะ”

“กรองเงิน?”

“อ้ะ ครับ ผมใช้นามสกุลกรองเงิน”

“นั่นนามสกุลของแม่เธอ พิมพ์ผกา กรองเงิน”

“ท...ทำไมคุณวิทวัสถึงรู้ละเอียดจัง” พะภูเอ่ยปากถามเสียงติดขัด เขาเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีแปลกๆ จากเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ซะแล้ว

“ฟังให้ดีนะ...”

“...”

“คุณรวิชญ์ พ่อของเธอ เป็นลูกชายคนเล็กของคุณหญิงเดือนฉาย วรวิโรจน์ เศรษฐินีอันดับต้นของประเทศเชียวนะ!”

“มะ...ไม่น่า...”

“เป็นไปได้ยังไงครับ?”

กีรติเป็นฝ่ายโพลงออกมากลางปล้อง สายตาว้าวุ่นส่อออกมาให้เห็นอย่างปิดไม่มิด เขาดูร้อนใจและตกใจมากในเวลาเดียวกัน พะภูที่เห็นอย่างนั้นยิ่งรู้สึกไม่ดี คุณวิทวัสพูดเรื่องแปลกๆ ซึ่งเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง

แต่ถ้ามันจริงล่ะ...จะเกิดอะไรขึ้น

คุณหญิงเดือนฉาย ใช่คนที่บังเอิญเจอตอนอยู่โรงแรมหรือเปล่า? คนที่กีรติดูเกรงอกเกรงใจนักหนา...

“พวงกุญแจอันนี้ เป็นของประจำตระกูลวรวิโรจน์ มีแค่ทายาทเท่านั้นที่มี” วิทวัสชี้ไปยังพวงกุญแจแก้วในมือของพะภู ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งเอ่ยปากออกมาแหมบๆ ว่าเป็นของพ่อ แล้วดูเหมือนทุกอย่างจะค่อยๆ เวียนมาบรรจบกันได้อย่างพอดิบพอดีจนน่าใจหายซะด้วย

ท่ามกลางความเงียบงันและสับสนของทุกคน วิทวัสยังคงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่ รวิชญ์พบกับแม่ของพะภู ตั้งแต่ถูกเนรเทศออกจากตระกูล จวบจนวันที่คุณหญิงเดือนฉายต้องการตามตัวกลับมาอีกครั้ง

“ท่านพร้อมจะให้อภัยและยอมรับทุกอย่าง ขอแค่กลับไปดูแลท่านในช่วงสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น”

คำพูดของวิทวัสยังไม่อาจทำให้ทุกคน โดยเฉพาะพะภูเชื่อได้อย่างสนิทใจในทันที หากก็ทำให้เขาซึมเศร้าลงไปกว่าเก่าได้มาก ก็ถ้ามันคือเรื่องจริงขึ้นมา...คุณหญิงเดือนฉายหรือคุณย่าแท้ๆ ของเขาจะรับได้อย่างไร เมื่อต้องรู้ว่าลูกชายคนสุดท้ายกับลูกสะใภ้น่ะจากไปแล้ว อย่างไม่มีวันกลับมา

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...เขาก็คงไม่พร้อมให้ผู้หญิงคนนั้นรับรู้เรื่องนี้

“ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยครับ...”

“แต่เธอต้องเชื่อนะ ขอร้องล่ะ จะลองตรวจ DNA ดูเลยก็ได้”

“เรื่องนั้น ยังไงก็ต้องทำอยู่แล้ว แต่คุณคงยังไม่ทราบเรื่องทั้งหมดของพะภู ก่อนที่หนูจะช่วยเขาไว้” พะพายเปิดปากออกอีกครั้ง หวังจะช่วยแบ่งเบาความกดดันหนักอึ้งบนบ่าน้องชายตัวเอง ซึ่งท่าทางหน้าซีดกว่าตอนโดนยิงเสียอีก

“ทำไมเหรอ พ่อนึกว่าพะภูเป็นเด็กที่คุณยศรับมาเป็นหลานบุญธรรมซะอีก”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ...ความจริง มันซับซ้อนกว่านั้นมากเลย”

พะพายพูดเสียงเบาลงทุกขณะ เธอไม่ได้อยากตอกย้ำอดีตอันขมขื่นของพะภูอีก แต่ก็ช่วยไม่ได้ เธอคิดว่ามันถึงเวลาต้องเคลียร์ทุกประเด็นในวันนี้ ไม่งั้นความจริงที่ถูกปิดบังจะยิ่งทำให้เรื่องราวพันกันยุ่งจนคลายไม่ออก

“ครอบครัวของพะภู ที่ไม่มีวรวิโรจน์ห้อยท้าย ต้องอยู่อย่างลำบากมาก...สุดท้ายก็มีปัญหาเรื่องหนี้สิน...”

พะพายหยุดชะงัก ไม่กล้าพูดต่อ จนทั้งห้องเงียบสนิท...วิทวัสพอจะเดาออกว่าเหตุการณ์คงเลวร้ายจึงไม่ได้เร่งรัดอะไร หากแต่ข้างในกลับใจหาย สุดท้าย คนบนเตียงก็เป็นฝ่ายเปิดปากเล่าทุกอย่างเอง แม้สีหน้าจะดูลำบากมากก็ตาม

“พ่อกับแม่เสียแล้วครับ...”

วิทวัสไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงอะไรออกมา สองคิ้วขมวดมุ่นอย่างนึกเห็นใจเด็กตรงหน้า รวมทั้งผู้ใหญ่คนสนิทอย่างคุณหญิงเดือนฉาย ฝ่ามือหยาบกร้านยกขึ้นกุมหน้าอกของตัวเอง ขณะฟังเรื่องเล่าที่ไม่ชวนพิสมัยเอาซะเลย

“ฝีมือเจ้าหนี้น่ะ...ผมเองก็ถูกจับตัวไปตอนนั้น แต่พี่พายมาช่วยให้หนีออกมาได้ หลังจากนั้นผมก็กลายมาเป็นพะภู น้องชายของพี่พายครับ”

“....ส...เสียใจด้วย...เสียใจด้วยจริงๆ” วิทวัสส่ายหน้าช้าๆ เขาดูไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องโหดร้ายพรรค์นี้ ใจหนึ่งยังนึกสงสาร ใจหนึ่งก็นึกชื่นชมในความเข้มแข็ง

แต่ปัญหาตอนนี้คงเป็นว่า...คุณหญิงเดือนฉาย จะยอมรับเรื่องนี้ได้ยังไง?

“ครับ...”

“ต..แต่อย่างน้อย ก็ยังเหลือเธอนะ กลับไปอยู่ข้างๆ คุณย่าเถอะ”

“เอ่อ...” พะภูตีสีหน้าลำบากใจยิ่งกว่าทุกครั้ง เขาค่อยๆ หันมองพะพายที่พูดไม่ออก ก่อนจะเบนหน้าไปทางจิซึ่งเอาแต่ทำท่าขรึม ไม่พูดไม่จามาสักพัก คนที่ช็อคกว่าเขาก็เห็นจะเป็นผู้ชายคนนี้แหละ

แน่นอนว่ากีรติต้องกลัว และความกลัวหนึ่งเดียวของเขาก็คือ สูญเสียเด็กที่ชื่อพะภูไป...พะภูเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขาตั้งแต่แรก เพราะต้องการพละกำลังในการจัดการเสี่ยจิวใช่ไหม แล้วถ้าตอนนี้พะภูกลายมาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเขาไปเสียแล้วล่ะ

คุณชายระวี หลานคนสุดท้องของคุณหญิงเดือนฉาย วรวิโรจน์ ตระกูลที่คอยให้ความช่วยเหลือและค้ำจุนอัครโภคินตลอดมา...เด็กคนนั้นจะก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่า จะไม่ต้องการเขาแล้วหรือเปล่า?

ถึงแม้พะภูจะคอยบอกว่า รักเขาจากใจจริงๆ แต่นั่นก็คือในฐานะของพะภูใช่ไหม...แล้วถ้าในฐานะของ ระวี ล่ะ? คำตอบจะเป็นยังไง จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง คุณชายระวีที่มีทุกอย่างแล้ว

อาจดีกว่าถ้าไม่มีเขาก็ได้.....

ยิ่งไปกว่านั้น คุณย่าคนใหม่ของหมอนั่น...จะยอมรับเขาได้ยังไงกัน...

“ฉันติดต่อทางคุณหญิงไปแล้ว พรุ่งนี้เรามาตรวจ DNA ให้รู้กันไปเถอะ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายของวิทวัส ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับไป ทิ้งให้เหล่าเด็กๆ ได้แต่ตีหน้าไม่ถูกใส่กัน ไม่มีใครชวนคุยประเด็นขึ้นมาอีกตลอดจนจบวัน แต่มั่นใจได้เลยว่าในใจของทุกคน ต้องกำลังคิดมากสุดๆ กับผลที่จะตามมาหลังจากความจริงนี้เปิดเผย

‘กลัวการเปลี่ยนแปลง’

นั่นแหละคือปัญหา...

 

“เอ่อ...” คนเพิ่งหายเจ็บยืนอ้ำๆ อึ้งๆ มีพะพายคอยให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งจากโรงพยาบาล ซึ่งระบุชัดเจนว่าเขาเป็นสายเลือดของวรวิโรจน์จริง

“ขอโทษนะที่ปล่อยให้ลำบาก”

หญิงชราในชุดผ้าไหมราคาแพงเอื้อมมือมาลูบหัวพะภูอย่างอ่อนโยน เดือนฉายดูเป็นคนใจดีกว่าที่คาด แต่ขณะเดียวกันก็ดูน่าหวั่นเกรง ถึงขนาดว่าพวกทายาทเศรษฐีทั้งหลายยังไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ กีรติเองก็เช่นกัน...ตั้งแต่เช้า ก็เอาแต่ยืนห่างออกไป ด้วยสายตาที่เขาไม่ค่อยเข้าใจเลย

มันดูเหม่อลอย และส่อแววคิดมาก...มากเกินไป...

“ไม่เป็นไรครับ อดีตมันผ่านไปแล้ว”

“แล้ว...พ่อของเธอล่ะ? รวิชญ์อยู่ที่ไหน?”

“...”

ความเงียบชวนสลดใจตรงเข้าโจมตีทันที วิทวัสที่ยืนอยู่ข้างคุณหญิงได้แต่หลุบตาไม่กล้าพูดอะไร พะภูเองยิ่งแล้วใหญ่ เปิดปากไม่ออกด้วยซ้ำ เดือนฉายถามย้ำอีกไม่รู้กี่ครั้งพลางหันหน้าไปมาเหมือนจะเค้นเอาคำตอบจากใครสักคนให้ได้ เธอดูวิตกกังวลและเหมือนจะเริ่มเดาได้บ้างแล้ว...

น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูชมเอาซะเลย ต่อให้นี่ไม่ใช่ย่าของพะภู เขาก็ไม่คิดว่าจะทนมองได้ น้ำเสียงสั่นเครือทำเอาทุกคนบริเวณนั้นแทบจะร้องไห้ตามไปด้วย

“รวิชญ์อยู่ไหนเหรอ? บอกฉันมาเถอะนะ...”

“คือ...แบบ...”

“ว่ายังไงฮึ?”

ยิ่งถูกคะยั้นคะยอให้พูด ก็ยิ่งลำบากใจ คนตัวเล็กพยายามเงยหน้าขอความช่วยเหลือจากวิทวัส จนในที่สุดคนมีวุฒิภาวะกว่าจึงยอมยื่นมือเข้าหา เขาค่อยๆ ตรงเข้าประคองร่างผอมบางของเดือนฉายเอาไว้ แล้วกลั้นใจกระซิบเสียงแผ่ว

“คุณหญิงครับ...คุณรวิชญ์กับคุณพิมพ์...”

“...”

“เสียแล้วครับ...”

คำพูดที่ไม่อยากเชื่อ ราวกับเป็นยมทูตที่ตรงเข้าดึงวิญญาณออกจากร่าง แม้อยากจะปฏิเสธอย่างไร แต่ส่วนหนึ่งในใจกลับต้องยอมรับ เดือนฉายแทบทรุดทั้งยืน ขณะสติสัมปชัญะเริ่มเลือนรางลงทุกขณะ

“คุณหญิง!/คุณย่า!”

ร่างบางของหญิงชราทรุดลงในอ้อมแขนของวิทวัส ก่อนที่พะภูจะตามเข้ามาช่วยประคองด้วยอีกแรง พะพายรีบตะโกนเรียกพยาบาลแถวนั้นให้เข้ามาดูแลโดยด่วน จบลงด้วยการพาเข้าห้องพัก โดยมีเหล่าเด็กๆ ยืนหน้าซีดอยู่ข้างนอก

“ตลกดีเนอะ อยู่ดีๆ พะภูก็กลายมาเป็นหลานของคุณหญิงเดือนฉาย” เกมพยายามพูดติดตลกทั้งที่ในใจกลับโหวงๆ ชอบกล และยังรู้ดีอีกว่าต้องมีใครสักคนคิดไม่ตกเรื่องนี้อยู่แน่

เขาไม่รู้หรอกว่าพะภูรักติมากขนาดไหน และจะยังจับมือกันต่อไปแม้ตัวเองได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วไหม แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจมาตลอด และกำลังกลัวก็คือ ธรรมชาติของผู้หญิงชื่อ เดือนฉาย วรวิโรจน์ต่างหาก

ถึงภายนอกจะดูเป็นเศรษฐินีท่าทางใจดีและขี้โรค แต่ความจริงน่ะไม่ใช่เลย ใครๆ ก็รู้ว่าคุณหญิงเคี่ยวมาก ถ้าไม่ถือเรื่องมารยาทล่ะก็ต้องบอกว่าเป็นคน เอาแต่ใจ ทีเดียวเชียวล่ะ แถมเงินทองกับอำนาจที่มีอยู่ ก็ไม่สามารถทำให้ใครกล้าขัดคำสั่งเธอได้ซะด้วยสิ ยิ่งกับครอบครัวของพวกเขารวมทั้งติยิ่งแล้วใหญ่ เรียกว่าอยู่ใต้บารมีของตระกูลนี้ก็น่าจะไม่ผิดนัก แล้วแบบนั้น...การที่รู้ว่าหลานชายของตัวเอง มีคนรักเป็นผู้ชายชื่อกีรติ เธอจะยอมรับได้เหรอไง อยากจะรู้จริงๆ

ไม่สิ...บางทีมันอาจจะแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อผู้หญิงแบบนั้น ที่กล้าตัดเยื่อใยกับลูกชายแท้ๆ มาครั้งหนึ่งแล้ว คงไม่มีวันปล่อยให้คำว่า วรวิโรจน์ ต้องด่างพร้อยลงไปอีก ด้วยการยอมให้ทายาทตัวเองถูกตราหน้าว่าเป็นพวกผิดเพศ

แบบนั้นความรักของกีรติคงแย่แล้ว...

 

“คุณย่าเดินดีๆ นะครับ”

“ขอบใจนะ”

พะภูประคองร่างอ่อนแรงของเดือนฉายเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่จนน่ากลัว ท่ามกลางการอารักขาของคนรับใช้มากหน้าหลายตา แล้วยังไม่นับรวมพวกบอดี้การ์ดชุดดำอีกสิบกว่าคนนะ คือรวยแบบบ้าไปแล้วอะ

“หลังจากนี้ก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เลย”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผม...”

“ไม่เป็นไรไม่ได้ เธอเป็นหลานฉัน เป็นวรวิโรจน์ ก็ต้องอยู่ที่นี่”

น้ำเสียงเด็ดขาดทำเอาพะภูไม่กล้าเถียงต่อ สายตาอึดอัดทอดไปยังพะพายซึ่งเดินตามเข้ามาทีหลังพร้อมกับพ่อของเธอ พะพายเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเรื่องของเธอเองก็ยังเอาไม่รอด เมื่อวิทวัสยังเอาแต่ขอให้เธอกลับไปอยู่บ้านใหญ่เช่นเดียวกัน กลายเป็นว่าพี่น้องจำเป็นจะต้องถึงคราวแยกย้ายคืนถิ่นอย่างประจวบเหมาะซะงั้น

หลังจากที่เดือนฉายรู้เรื่อง รวิชญ์กับพิมพ์ผกา เธอก็สลบไปเลย ต้องใช้เวลาอยู่พอตัวกว่าจะทำใจได้ หลังจากนั้นก็ผ่านมาราวอาทิตย์หนึ่งแล้ว พะภูต้องเทียวดูแลคุณย่าที่พลัดพรากมานาน จนแทบไม่มีเวลาได้คุยกับติสักคำ

“ไว้ฉันจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับระวีนะ วิทวัส เธอก็มาช่วยหน่อยละกัน”

“ยินดีครับ ผมเองก็ว่าจะถือโอกาสเปิดตัวยัยพะพายเหมือนกัน”

“ดีแล้วล่ะ”

ผู้ใหญ่สองคนเริ่มปรึกษาหารือกันแบบไม่สนใจเด็กที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ดูเหมือนจะมีงานเลี้ยงต้อนรับการคืนถิ่นของลูกนกจากวรวิโรจน์กับนฤบดินทร์ ซึ่งให้เดาก็คงเป็นงานหรูหรา ที่เต็มไปด้วยเศรษฐีไฮโซกับพวกดาราล่ะมั้ง แค่คิดก็ชวนอึดอัดจะแย่แล้ว

“ไม่ต้องจัดก็ได้มั้งครับ”

“ได้ยังไงล่ะ ต้องจัดสิถึงจะถูก ให้คนเขารู้ว่าเธอคือวรวิโรจน์ ถือว่าให้ฉันได้ตอบแทนช่วงเวลาที่ไม่ได้ดูแลเธอเถอะนะ”

มาตกม้าตายเอาประโยคสุดท้ายนี่แหละ...ลองมานั่งฟังผู้หญิงสูงวัยท่าทางไม่แข็งแรง เอ่ยปากแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เป็นใครจะยอมขัดได้

“อ...ครับ ก็ได้ครับ แต่ไม่ต้องยิ่งใหญ่มากก็ได้นะครับ”

“ต้องชวนพวกเพื่อนๆ เธอด้วยสินะ”

“ครับ?”

“ก็นายภูผา ศรศิลป์ กรฤต อะไรพวกนั้นไง”

ไล่ชื่อมาแบบเป๊ะๆ ท่าทางพวกนั้นคงโด่งดังในหมู่คนมีเงินพอตัว อืม...ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วอะเนอะ ทั้งทายาทนักธุรกิจรายใหญ่ ตำรวจยศสูง นักการเมือง เจ้าของร้านทอง แล้วก็อะไรต่อมิอะไรที่ดูสูงค่าทั้งหลายแหล่

“จริงสิ ระวีรู้จักกับลูกชายตระกูล นิธิภูวดล ด้วยใช่ไหม พอดีอาเห็นเขาส่งของเยี่ยมไข้มาให้”

“นิธิภูวดล?” คนถูกถามตีหน้างุนงง แล้วทวนนามสกุลไม่คุ้นหู ทำให้พะพายต้องรีบช่วยตอบแทนเพราะรู้ว่าน้องคนนี้น่ะไม่เคยรู้เรื่องอะไรกับชาวบ้านเขาเลย

“ธรไง ธัญธร นิธิภูวดล”

“อ้าวเหรอ ครับ รู้จักครับ” พะภูยกมือขึ้นเกาหัว ไม่ยักจะรู้มาก่อนว่าธรนามสกุลนี้ แถมยังฟังดูโอ่อ่าชอบกล

“ตายจริง รู้จักคนเยอะเหมือนกันนี่เรา ดีแล้ว อนาคตต้องมาช่วยคุณลุงเขาทำงาน จะได้คล่องตัวหน่อย”

เดือนฉายดูจะจัดแจงวางแผนชีวิตให้หลานชายเสร็จสรรพ ลามไปถึงอนาคตอีกตั้งไกล ซึ่งไม่แคล้วต้องมาช่วยธุรกิจแสนล้านของคุณย่า กับคุณลุง นั่นคงหมายถึงคุณชายระฟ้า พี่ชายของพ่อรวิชญ์

“อ้อ จริงสิ...เกือบลืมเพื่อนสนิทของเราอีกคน”

“ค..ครับ?” สายตาจับผิดบางอย่างเพ่งมองมาทางเขา ทำเอาคนตัวเล็กแอบขนลุกเบาๆ ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเบื้องหลังแววตานั้น คือความคิดแบบไหนในหัวของผู้หญิงทรงอำนาจอย่างคุณหญิงแห่งวรวิโรจน์

“กีรติ อัครโภคิน”

“อ่า...”

ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ ตอนเดือนฉายพูดถึงติกันนะ

 

“งานใหญ่ดีนะ” ผาเอ่ยทักเจ้าของงานเลี้ยงสุดหรูหรา ภายในโรงแรมระดับท็อปคลาสใจกลางเมืองหลวง พะภูในชุดสูทสีครามดูแปลกตาแต่ก็ยังมองดูน่ารักเหมือนเคย

“อึดอัดจะแย่แล้วครับ”

“ฮ่าๆ ก็นะ ฉันยังอึดอัดเลย”

พูดไม่ทันขาดคำ ลูกชายเจ้าของร้านทองขนาดใหญ่ก็ถูกชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน เข้ามาสะกิดให้หันไปคุยด้วย แต่ละคนดูยุ่งๆ กับการพบปะพูดคุยกันในหมู่ไฮโซ ทางด้านโน้นก็เห็นสองพี่น้อง กัสกับเกม กำลังถูกฉุดกระชากให้ไปเต้นรำเป็นเพื่อนลูกสาวทนายชื่อดัง ศิลป์เองก็พยายามยืนคุมนิวไม่ห่าง ขณะทักทายดาราแถวหน้า เกต์คงเป็นคนเดียวในหมู่พวกเขาที่ไม่ได้รังเกียจงานประเภทนี้มากมายนัก เพราะเอาแต่โปรยยิ้มมาได้ตั้งนาน ไม่รู้ชอบจริงหรือกำลังใส่หน้ากากบ้าๆ อยู่กันแน่

ขนาดผอ.โรงเรียนพวกเขาก็มาเหมือนกัน พร้อมกับลูกชายอย่าง ชา ม.5 รวมไปถึงประธานนักเรียนธารวิทยาที่ควงคู่มากับ ติว ม.5 ลูกชายคนเล็กเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่เว้นแม้กระทั่ง วิน กรรมการนักเรียนจากวิไลวิทย์ หนึ่งในเพื่อนของธร รวมๆ แล้ววันนี้ท่าจะเป็นงานรวมตัวของพวกลูกผู้ดีทั้งหลาย มากกว่าจะเป็นงานเลี้ยงต้อนรับตัวเขาซะอีก

อ้อ...ส่วนสองคนสำคัญอย่างธรกับติ บอกเลยว่ายังไม่เห็นหัวตั้งแต่เริ่มงานจนบัดนี้ ได้ข่าวว่ามาทั้งคู่ แต่ไหงไม่ออกมาปรากฏตัวเลยก็ไม่รู้ โดยเฉพาะกีรติ...ทำไมช่วงนี้ดูหลบหน้าหลบตายังไงไม่รู้ เป็นแบบนี้เขารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย

ทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากจะคุยด้วย แล้วทำไมถึง...

“คุณระวี”

“...”

“คุณระวีครับ”

“อะ...ครับๆ” คนตัวเล็กหันกลับไปตามเสียงเรียกของบอดี้การ์ดคุณย่า พยายามสะบัดหัวไล่ความคิดอื่นออกไปก่อน

“เชิญด้านหน้าหน่อยครับ คุณหญิงถามหา”

พะภูพยักหน้าแล้วค่อยๆ แทรกตัวผ่านผู้คนละลานตาในงานไปจนถึงเวทียกด้านหน้า มีเดือนฉาย วิทวัส กับพะพายยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ระวี มานี่” คนเป็นย่ากวักมือเรียก อีกมือรับไมโครโฟนจากพนักงานโรงแรมมาถือไว้

ระวี กลับมาเป็นชื่อที่หลายต่อหลายคนใช้เรียกเขา แม้จะอยู่กับชื่อนั้นมามากกว่าสิบปี แต่แค่ช่วงสองปีนี้กับชื่อใหม่ ก็ทำให้เขารู้สึกยึดติดไปกับคำว่า พะภู เรียบร้อยแล้ว อยู่ดีๆ ให้กลับมาใช้ชื่อเก่าแบบปุบปับ มันเลยยังไม่ค่อยชินอยู่นิดหน่อยแฮะ

ยืนฟังเดือนฉายร่ายยาวถึงเหตุการณ์การกลับคืนของเขา รวมทั้งขอบคุณแขกเหรื่อในงานอยู่นาน ในที่สุดก็มาถึงช่วงสำคัญ หญิงชราสูดหายใจเข้าสุดปอด ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่

“ในโอกาสที่เราได้สองทายาทตระกูลใหญ่กลับคืนมาพร้อมกัน...”

พะภูกับพะพายถูกเรียกให้ขึ้นไปยืนขนาบข้างคนพูด สีหน้างุนงงส่อออกมาให้เห็นไม่แพ้กันทั้งคู่ แต่ขึ้นมายืนบนนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะอึดอัดเพราะโดนจับจ้อง แต่จากมุมนี้ทำให้เขาเห็นแขกเป็นวงกว้าง จึงเจอตัวไอ้คนที่ตามหาอยู่สักที

กีรติที่สองนาฬิกา ใกล้กับประตูทางออกพอดี

“ฉันกับวิทวัสได้ตกลงกันแล้วว่า จะให้ระวีกับพะพาย...”

“...”

“หมั้นกัน”

“ห๊ะ/อะไรนะคะ!” เด็กทั้งสองหันขวับกลับมาทางผู้ใหญ่ตรงกลาง กริยาที่คงดูไม่สมควรทำให้ถูกปรามด้วยสายตาตำหนิ

เดือนฉายปิดไมค์แล้วปล่อยให้แขกสนใจงานเลี้ยงต่อ รีบลากอีกสามชีวิตลงมาคุยกันข้างเวทีเงียบๆ พะพายดูร้อนใจมาก รีบโวยวายใส่คนเป็นพ่อซึ่งเธอเองก็ยังไม่ได้ยอมรับ 100%

“ทำไมถึงประกาศแบบนั้น พวกหนูไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”

“ก็รู้แล้วนี่ไง”

“ไม่ตลกนะคะ หนูกับพะภูเป็นเหมือนพี่น้องกัน เราจะไม่หมั้นกันค่ะ”

ขอโทษที่พะพายไม่ใช่กุลสตรีซึ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูที่ไหน เธอไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะเป็นคุณหญิงเดือนฉายหรือใคร ถ้าเธอจะเถียง ก็จะเถียง และครั้งนี้ดูท่าว่าวิทวัสจะทำให้เธอโกรธเข้าจริงๆ แน่นอนว่าพะภูต้องไม่กล้าพูด เห็นเอาแต่ยืนตีหน้าซีดเป็นไก่ต้มตั้งแต่บนเวที สายตาดูล่อกแล่กจนชักเป็นห่วง

“เธอไม่เข้าใจ ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน การที่ฉันอยากเป็นหลานตัวเองเป็นฝั่งเป็นฝา มันผิดด้วยเหรอ?” เดือนฉายพยายามงัดมุกคนแก่น่าสงสารขึ้นมาเรียกคะแนนอีกครั้ง และถึงจะพูดกับพะพาย สายตาเธอกลับจ้องไปคาดคั้นเอากับหลานชายที่ว่า

พะภูดูลำบากใจมากขึ้นอีกสิบเท่า และไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำไหนออกมา เขาไม่เห็นด้วยกับการหมั้นบ้าๆ บอๆ นี้ แต่คำพูดของเดือนฉายก็ทำให้เขาไม่กล้าเถียง...อย่างน้อยถ้าเขาไม่ใช่คนใจอ่อนแบบนี้ก็คงจะดี...

“เดี๋ยวผมกลับมาคุยด้วยนะครับ” คนตัวเล็กรีบก้มหัวแล้วแยกตัวออกไปทางประตูบานใหญ่ สักครู่นี้เขาเห็นกีรติเดินออกจากงานไปหลังจากเดือนฉายประกาศจบ นี่แหละ เหตุผลที่ทำเอาอยู่ไม่นิ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“พี่ติ!”

เท้าเล็กๆ รีบก้าวลงบันไดหลายขั้น แล้วมาหยุดลงตรงหน้าผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้ม ผมสีดำที่เคยปรกหน้าถูกเซตเสยขึ้นไปด้านหลังยิ่งทำให้กีรติดูหล่อเหลามากขึ้นอีกเท่าตัว เลียบถนนหน้าโรงแรมมีรถสีขาวคันหรูแล่นเข้ามาจอดรอรับคุณชายบ้านอัครโภคิน

“ทำไมช่วงนี้หลบหน้าผม?” พะภูดึงแขนติไว้ พร้อมถามเสียงแข็ง คนตัวใหญ่หลบตาเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กตรงหน้าไปที

มากกว่าความอบอุ่นที่รู้สึกได้ นั่นคือความคิดถึงและโหยหา...

ถ้าทำได้ เขาอยากคว้าตัวพะภูเข้ามากอดเสียเดี๋ยวนี้เลย

“เปล่านี่ เห็นนายยุ่งๆ”

“แต่ผมโทรหาก็ไม่รับ...” คนเด็กกว่าว่าเสียงอ่อย พร้อมทำปากยื่นอย่างกระเง้ากระงอด ติเห็นแบบนั้นไอ้ความอดทนที่พยายามเก๊กไว้ก็แทบแตกสลายไปเลย รีบดึงมืออีกฝ่ายไปกุมไว้แน่นแล้วย่อตัวลง จนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน

“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวไว้จะโทรหานะ โอเคเปล่า”

“งื้ออ”

พะภูเงยหน้าขึ้นสบตากับติเนิ่นนาน ทั้งคู่ดูเหมือนมีอะไรมากมายอัดอั้นอยู่ในใจ แต่ทว่ากลับไม่มีฝ่ายไหนกล้าพูดมันออกมาสักคำ...ทั้งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งที่กุมมืออยู่อย่างนี้ แต่ทำไมนะ กลับรู้สึกห่างไกลเหลือเกิน...ช่องว่างที่กำลังขยายตัวออกอย่างช้าๆ นี้มันคืออะไร

“พี่ติ เรื่องที่คุณย่าพูดเมื่อกี้ ผมไม่รู้เรื่องเลยนะครับ” รีบออกตัวไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายน่ะคิดมากหรือโกรธหรือเปล่า แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นแค่อาการส่ายหน้า

“อืม แต่ก็ดีนะ”

“??”

ดี...อะไร? ดียังไง?

“ตอนนี้นายเป็นคุณชายระวีแล้ว มีเงินทองมีอำนาจ มีครอบครัวของตัวเองจริงๆ...”

“...”

“บางที ถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเด็กผู้ชายธรรมดาได้ ก็ดีเหมือนกันไม่ใช่หรอ”

“พี่ติพูดแบบนี้หมายความว่าไงครับ?” จงใจกระชากเสียงให้ติรู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ได้ยิน และไม่คิดว่าจะได้ยินด้วย

กีรติพูดเหมือนกำลังผลักไสไล่ส่งเขายังไงยังงั้น แล้วมือที่เคยกอบกุมไว้ ทำไมตอนนี้ถูกดึงกลับไปซะแล้วล่ะ? กีรติ...ทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่ จะทิ้งเขาแล้ว...หรือไง?

“ก็แค่...นายสามารถมีความสุขได้ โดยไม่ต้องมีฉันนะ”

“พี่ติ! อย่าพูดแบบนี้นะ ที่ผมมีความสุขเพราะมีพี่ต่างหาก”

กำปั้นเล็กๆ ตรงเข้าทุบอกกว้างอย่างไม่เกรงกลัว แล้วดูท่าว่าติก็พร้อมรับทุกการกระทำอยู่แล้ว เขาไม่ได้ต่อว่าหรือหลีกหนี กลับยิ่งแสดงสีหน้าเจ็บปวดเหมือนคนรู้สึกผิดเต็มที ไม่สมเป็นกีรติเลย เรื่องนี้มันกลายเป็นบ้าอะไรไปอีกแล้ว ทั้งที่แววตาของติเต็มไปด้วยคำว่า ขอโทษ แต่คำพูดที่หลุดลอดออกมากลับทำร้ายเขาได้อย่างรวดร้าว

ไม่ตลกเลยนะ

“ระวี! กลับเข้างานได้แล้ว” เสียงเด็ดขาดของเดือนฉายดังขึ้นจากด้านหลัง

ตามมาด้วยฝีเท้าของเหล่าบอดี้การ์ดสองสามคน ซึ่งรุดเข้ามาขนาบข้างพะภูเอาไว้ ท่ามกลางความงุนงงตกใจ จึงเปิดโอกาสให้ติอ้อมไปขึ้นรถสีขาวและขับออกไปจนพ้นสายตา ไม่ทันให้เขาได้รั้งอะไรสักคำ

ทำไมล่ะ? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเป็นแบบนี้...

 

พี่ติ...

ผมก็นึกว่าเรื่องของเราจะจบลงอย่างมีความสุขแล้วซะอีก.....

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
บทที่ 43 (บทจบ)




หยาดน้ำค้างในยามเช้า กับลมหนาวจับใจ
สายลมโชยอ่อน พัดพาความรักฉันไป ส่งถึงใจเธอที

เธอ..เธอยังคิดถึงฉันไหม
เมื่อสองเรานั้นยังต้องห่างไกล เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน
รู้..บ้างไหม คนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา

 

เพลงเธอ ของ Cocktail ยังคงเล่นผ่านโทรศัพท์มือถือเครื่องบางในกระเป๋าเสื้อคลุม ลูกชายเศรษฐีตระกูลอัครโภคินมายืนทำอะไรแถวท่าน้ำ จังหวัดตราดในช่วงฤดูหนาวแบบนี้กัน...

แรงสะกิดน้อยๆ จากด้านหลัง ทำให้คนตัวสูงต้องหันกลับไปมองพร้อมถอดสายหูฟังออก เด็กผู้ชายผิวคล้ำดูผอมแห้งกำลังเงยหน้าจ้องเขาด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง ในมือมีถาดพลาสติกซึ่งเต็มไปด้วยสร้อยข้อมือหินหลากหลายรูปแบบ

“อันละร้อยครับ”

เอิ่ม.....

เอาไงล่ะ เขาไม่ใช้พวกชอบใส่สร้อยข้อมืออยู่แล้ว แถมยังสีสันไม่ใช่แนวสุดๆ แต่ดูสายตาเด็กตรงหน้าแล้วรู้สึกปล่อยไปไม่ได้อีกเหมือนกัน หรือจะให้เงินไปเลยดี ดูถูกไปเปล่าหว่า

“อืม...” ระหว่างกำลังใช้ความคิด ก็ลองทำเป็นค้นสร้อยในถาดดูๆ มีหินสีโอรสลายขาวแซมด้วยของตกแต่งรูปทรงมงกุฏสีเงินสะดุดตายิ่งกว่าอันอื่น

สวยดี...

ถ้าหมอนั่นใส่ คงเหมาะดี...

“งั้นเอาอันนี้อันนึง” ติควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมายื่นแบงค์สีเทาให้ เด็กตัวน้อยตาโตรีบก้มลงมองกระปุกใบจิ๋วของตัวเอง ไม่คิดว่าจะมีเงินทอนพอให้พี่ชายคนนี้

“ไม่ต้องทอนนะ”

มือใหญ่ลูบหัวเจ้าของใบหน้าตื่นๆ ก่อนจะเสียบหูฟังกลับที่เดิมและหันหลังให้ทันที เด็กที่ไม่รู้ว่าควรทำไงเลยได้แต่ยืนยกมือไหว้ ก้มหัวจนแทบติดพื้น ก่อนวิ่งโร่กลับไปหาคนเป็นพ่อซึ่งยืนรออยู่ไม่ไกล

เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับความเย็นจากหินสีสวยในมือ วันนี้เขากลับมาที่นี่โดยปราศจากคนเคียงข้างอย่างวันนั้น...คิดแล้วก็เศร้า แต่แบบนี้อาจจะดีกว่า....หรือเปล่านะ

ตั้งแต่วันที่รู้ว่าพะภู คือคุณชายระวี ทายาทคนสุดท้องของตระกูลยิ่งใหญ่อย่างวรวิโรจน์ เขายอมรับว่าช็อกและเครียดมาก เขาทั้งกลัวว่าพะภูจะเปลี่ยนไปกับฐานะที่เปลี่ยนแปลง แต่นั่นไม่เท่ากับความกลัวต่อผู้หญิงชื่อ เดือนฉาย ย่าของหมอนั่น

ครอบครัวอัครโภคินยิ่งใหญ่ขนาดไหน วรวิโรจน์นั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก คอยค้ำจุนและให้ความช่วยเหลือพ่อกับแม่ รวมทั้งธุรกิจทางบ้านเขามาตลอด ไอ้เรื่องจะไปขัดใจท่านน่ะอย่าแม้แต่จะคิดเลย แล้วนี่จะเอาหน้าที่ไหนไปขอลูกชายเขากันล่ะ แล้วความกลัวของเขาก็กลับกลายเป็นเรื่องจริง รวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทันซะด้วย.....

 

เมื่อสองอาทิตย์ก่อนเขาถูกคุณหญิงเดือนฉายเรียกพบ ในฐานะตัวแทนของพ่อกับแม่ซึ่งอยู่ต่างประเทศ คิดว่าคงคุยเรื่องงานทั่วไปเหมือนทุกที แต่ไม่ใช่...

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะ” คนแก่กว่ารับไหว้ พร้อมผายมือให้ตินั่งลงบนเก้าอี้เยื้องกัน บ้านขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยคนรับใช้ ไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไรเลย

“พ่อกับแม่สบายดีนะ?”

“ครับ ท่านก็ติดต่อมาบ่อยๆ”

“แล้วติล่ะ เป็นไงบ้าง ตอนเจอกันที่โรงพยาบาลก็ไม่ทันได้คุย” คงได้คุยกันหรอก เล่นยุ่งๆ วุ่นวายกับเรื่องหลานชายที่หายไป เอาจริง วินาทีนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปทักแกด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันดูสับสนจนไม่ทันได้พูดเรื่องอื่นเลย

“ก็เรื่อยๆ ครับ”

“เห็นว่าได้มหาลัยแล้ว ยินดีด้วยนะ ต่อไปก็ตั้งใจเรียนล่ะ”

“ครับ”

ตอบรับหน้าเจื่อนกับคำอวยพรที่เหมือนจะสั่งสอนหน่อยๆ คงเพราะแกรู้ว่าเขาเองไม่ใช่คนตั้งใจเรียนขนาดนั้น แถมยังชอบหาเรื่องต่อยตีชาวบ้านอีก ชื่อเสียเนี่ยเยอะกว่าด้านดีอยู่แล้ว แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยครอบครัวกับเพื่อนเขาก็เข้าใจว่าตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นยังไง นั่นมันมากพอแล้ว

“ระวีไม่อยู่หรอก”

“ค..ครับ?”

“ออกไปซื้อของกับพะพายน่ะ”

กีรติยิ้มแห้งตอบกลับ ทั้งที่เขาไม่ได้ปริปากถามอะไรสักคำ คุณหญิงกลับเป็นฝ่ายพูดแบบนั้นออกมาเอง คงเดาสายตาวอกแวกของเขาได้ละมั้ง น่ากลัวแฮะผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนจะรู้ไส้รู้พุงกันไปซะหมด ไอ้สายตาที่ไม่ได้พร่ามัวไปตามอายุขัยเลยเนี่ย ดูออกหมดทุกอย่างเลยหรือเปล่า

แล้วความรู้สึกของเขาที่มีต่อหลานชายของเธอน่ะ ดูออกด้วยหรือเปล่า?

“ความจริงที่เรียกติมาวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ เห็นว่าไม่ได้คุยกันนานแล้ว”

“ครับ”

“เรื่องเครื่องน้ำมันที่พ่อเรากำลังหาคนซื้อน่ะ ฉันก็ดูๆ ให้อยู่ เหมือนทางเทศบาลเขาก็สนใจเหมือนกัน อาจจะขอให้พาไปดูระบบหน่อยนะ”

“อ๋อ ได้ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับ”

เครื่องผลิตน้ำมันจากเกาหลีใต้ พ่อเขาพลาดซื้อมาในราคาสิบล้านโดยคิดว่าจะทำกำไรได้ แต่สุดท้ายกลับแป้วเพราะดันมีปัญหาเรื่องมาตรฐานผลผลิตจนอะไรๆ มันก็วุ่นวาย เลยนึกจะขายต่อซะเลย แต่จะครบปีแล้วยังหาลูกค้าไม่ได้ แต่แค่ใช้บารมีคุณหญิงเดือนฉาย แค่เดือนเดียวก็มีคนสนใจแล้ว

“แล้วที่ว่ารถขนของไม่พอ ฉันก็ติดต่อบริษัทโลจิสติกของคุณเกรียงไกรไว้ให้แล้ว แกเป็นกันเอง คุยง่าย”

“ขอบคุณมากครับ” ไม่รู้ต้องพูดคำนี้อีกกี่รอบ แล้วนี่เขาก้มหัวจนหมดคราบนักเลงวิไลวิทย์ไปไม่รู้กี่ครั้ง ผู้หญิงคนนี้มีบุญคุณท่วมหัวจนน่ากลัวเกินไป...

“เห็นว่าลูกสาวแกสนใจติอยู่เหมือนกันนะ สนใจไหมล่ะ” เดือนฉายแกล้งแซวทีเล่นทีจริง ทำเอาคนถูกถามรีบปฏิเสธทั้งที่ตีหน้าไม่ถูก

“มะ...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”

เดือนฉายหัวเราะขำอยู่สักพักก่อนจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม นิ่งจนเขาต้องเบือนสายตาหนีอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกเลยว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ อึดอัดชะมัด อยากออกไปจากตรงนี้แล้ว

“ติ...เป็นอะไรกับระวีเหรอ?”

แววตาหนักใจแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ กีรติค่อยๆ หันกลับมาเผชิญหน้ากับเดือนฉายอีกครั้งพร้อมหัวใจที่เต้นรัว ด้วยความกลัวบางอย่าง...สายตาของผู้หญิงตรงหน้าไม่หลงเหลือความใจดีอยู่เลย เธอกำลังข่มขู่เขา

“หมายความว่าไงครับ?”

“เธอกับระวีคบกันเหรอ?”

น้ำเสียงกึ่งโมโหแทรกตัวอยู่ภายในคำถามต่อมา และเมื่อเขาไม่ตอบอะไรกลับไป เธอก็ยิ่งดูเกรี้ยวกราด เพราะแน่ใจแล้วว่าข้อมูลที่ไปสืบมาได้คงเป็นเรื่องจริง ที่ว่าหลานชายของเธอกำลังคบหาอยู่กับกีรติ อัครโภคิน...ในฐานะคนรัก!

“พวกเธอบ้าไปแล้วเหรอ ทั้งเธอและระวีเป็นผู้ชายนะ แล้วยังมีชื่อเสียงกับหน้าตาของวงศ์ตระกูลที่ต้องแบกรับ เธอทำแบบนี้ได้ยังไง”

“...”

“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ระวีควรมีชีวิตที่ดี เขาเจ็บปวดมามากแล้ว ฉันอยากให้เขาได้กลับมาใช้ชีวิตแบบเด็กผู้ชายปกติธรรมดา อย่างที่เขาสมควรจะเป็น”

อย่างที่พะภูสมควรจะเป็นงั้นเหรอ...

นั่นสิ

ลองย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวบ้าๆ นี่...ถ้าพะภูไม่อับจนสิ้นคิดเพราะความเคียดแค้นในใจ ก็คงไม่ต้องบากหน้ามายุ่งวุ่นวายกับเขา ไม่ต้องมาพัวพัน...และผูกพัน

ไม่ต้องมารักกัน...

เขาเองก็ด้วย เราต่างฝ่ายต่างสมควรดำเนินชีวิตเฉกเช่นคนปกติธรรมดา เป็นแค่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ถ้าการกลายมาเป็นคุณชายระวี หมายถึงการกำเนิดใหม่ของเด็กนั่นอีกครั้ง เขาก็อยากทำให้เรื่องราวมันกลับไปถูกต้องเหมือนกัน...อยากให้พะภูได้มีชีวิตใหม่

“ระวี วรวิโรจน์ ควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ผูกติดอยู่กับผู้ชายด้วยกันนะ”

“...”

“ติ...ถือว่าฉันขอร้องเถอะ เลิกยุ่งกับระวีได้ไหม”

“...ผ...ผม...”

“หรือจะให้ฉันบังคับ”

เดือนฉายลุกขึ้นยืนช้าๆ สายตาน่ากลัวมองลงมายังเขาอย่างกดขี่ ให้ตายเถอะ สาบานว่ามีไม่กี่คนบนโลกที่กล้าทำกริยาแบบนี้ แล้วยังมีผลมากด้วยอีกต่างหาก!

“กีรติ เลิกยุ่งกับระวีซะ”

 

เรื่องราวจบลงตรงที่เขาต้องฝืนหนีหน้าจากพะภู ไม่คุย ไม่เจอ จนสุดท้ายทนไม่ไหว ย้ายตัวเองมาต่างจังหวัดซะเลย อย่างน้อยก็จะได้สงบอารมณ์บ้าง ส่วนธุรกิจทางบ้านเขาน่ะเป็นไปได้ดีเกินคาด เครื่องน้ำมันก็ขายออกไปไวเหมือนโกหก ทุกอย่างดี๊ดีจนเขาไม่กล้าหืออืออะไรเลย

เดือนฉาย วรวิโรจน์ ทำไมโหดร้ายอำมหิตขนาดนี้!

“เฮ้อ...”

จึก จึก

แรงสะกิดจากด้านหลังทำให้ติต้องถอดสายหูฟังออกอีกครั้ง กะว่าจะควักกระเป๋าตังค์ออกมาเลยเพราะคงเป็นเด็กเร่ขายของแถวนี้ แต่เมื่อหันหน้าไป เขากลับต้องชะงัก หัวใจที่เต้นเอื่อยเชื่อยตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน ณ ตอนนี้กลับเต้นแรงจนแทบเด้งกระดอนออกมา

พะภูในชุดนักเรียนของโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยา มายืนทำอะไรอยู่ต่อหน้าเขา ในจังหวัดห่างไกลเมืองหลวงแบบนี้กัน!

“พี่ติ...” เสียงใสที่คุ้นเคยทำให้เขาแทบเป็นบ้า พะภูยื่นช็อกโกแลตบาร์ยี่ห้อโปรดของเขาออกมาแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง

“ช่วยคบกับผมด้วยครับ”

“...”

เขาคงต้องเป็นบ้า เพราะเด็กตรงหน้าจริงๆ....

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ กีรติรีบตรงเข้าสวมกอดพะภูทันทีด้วยความคิดถึง อะไรที่พยายามฝืนมาตลอด ถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเพียงวินาทีเดียวที่เห็นหน้า ฉากนั้น คำพูดนั้น มันคือวันแรกที่เขากับพะภูได้เจอกัน ก่อนจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“พี่ติ กอดแน่นไปแล้วนะ” พะภูว่าเสียงอ่อยแต่ก็ไม่ได้ผลักเขาออกไปไหน

ติไม่สนใจว่าจุดที่พวกเขายืน จะเป็นปลายท่าน้ำที่มีชาวบ้านสี่ห้ารายเดินเพ่นพ่านอยู่ เขาค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกเพียงเล็กน้อย แล้วตรงเข้าจูบเด็กตรงหน้าซึ่งตั้งท่าจะพูดอะไรออกมาอีก

คำพูดทุกคำถูกกลืนลงคอ พร้อมกับความร้อนที่พุ่งขึ้นมาบแก้มทั้งสองด้าน พะภูพยายามดันไหล่ติออกด้วยความเขินอาย แต่อีกใจกลับตื่นเต้นและมีความสุข นี่มันนานขนาดไหนแล้วที่พวกเขาไม่ได้จูบกันแบบนี้

คิดถึงจัง...

“อืมม...พ..พอก่อนครับ” ทันทีที่ริมฝีปากเคลื่อนตัวออกจากกัน พะภูต้องรีบยกมือขึ้นบังไม่ให้ติจู่โจมอีกเป็นครั้งที่สอง ก็เพราะไม่ใช่แค่ชาวบ้านแถวนี้สิที่เห็น

ย่าเขาก็ยืนอยู่ข้างหลังโน่นด้วยไง!!

“คุณหญิง...”

กีรติที่เพิ่งได้ฤกษ์เงยหน้ามองทัศนวิสัยรอบๆ อาณาบริเวณ หน้าซีดลงจนอดหัวเราะไม่ได้ เดือนฉายกับบอดี้การ์ดยืนสงบนิ่งอยู่ข้างรถเก๋งขันหรู ซึ่งจอดห่างออกไปจากท่าน้ำ แต่ยังคงอยู่ในระยะสายตาที่เห็นกันค่อนข้างชัดเจน สาบานได้ว่าถ้าเธอมีปืนตอนนี้ ต้องยิงเขาไส้ทะลักไปแล้วแน่

“นี่มันยังไงเนี่ย มาได้ไง แล้ว...”

“พี่ติ ใจเย็นก่อนครับ” พะภูพยายามกลั้นขำกับท่าทีลนลานของคนข้างตัว ก่อนจะดึงแขนติให้ก้มลงมามองหน้ากัน

“ผมรู้เรื่องหมดแล้ว”

มือเล็กเลื่อนลงกอบกุมมือหนาเอาไว้แน่น หวังส่งผ่านความรู้สึกมากมายไปให้ ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน กีรติหายไปจากชีวิตเขาเลย หลังจากจบงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายระวีของคุณย่า เขาไม่สามารถติดต่อติได้อีก โทรหาเพื่อนคนอื่นก็ไม่มีใครรู้ พอจะออกจากบ้าน ก็โดนเดือนฉายรั้งไว้ด้วยเหตุผลมากมายจนชักน่าสงสัย ในที่สุดก็ลองถามออกไปตรงๆ ถึงรู้ว่าเดือนฉายเป็นคนบอกให้ติเลิกยุ่งกับเขา

ยอมรับว่าใช้เวลาอยู่นานมากกว่าจะทำให้คุณย่าจอมเจ้ากี้เจ้าการคนนี้เข้าใจ แม้ว่าครอบครัวที่ได้คืนมาจะสำคัญมาก แต่ติก็คือส่วนสำคัญสำหรับเขาไม่แพ้กัน เขาจะไม่ยอมเสียใครไป ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

“ผมบอกคุณย่าว่า ผมไม่ใช่ระวี...ผมจึงทำตามที่คุณย่าต้องการไม่ได้”

“...”

“ผมคือพะภูนะ ยังเป็นพะภู...คนที่รักพี่ติสุดหัวใจเลย”

ค่อยๆ ละจากมือที่กุมไว้แล้วเปลี่ยนเป็นกอดร่างใหญ่ด้วยความโหยหา หัวเล็กๆ ซุกลงกับแผงอกกว้างอย่างที่เคย ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มกอดตอบแนบแน่น กีรติกดริมฝีปากลงกับกลุ่มผมนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีหยดน้ำเอ่อคลอขึ้นมาจากดวงตาสองข้าง ทั้งที่ไม่สมกับเป็นเขาเลย แต่มันช่วยไม่ได้...

ความรัก ความอบอุ่นจากเด็กในอ้อมกอดนี้ ทำให้เขาซาบซึ้งจนควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ ราวกับว่าเรื่องที่กังวลทั้งหมดมลายหายไปเสียเฉยๆ เหมือนว่าการที่เขาเอาแต่กลัวนั้นเป็นแค่เรื่องไร้สาระและน่าโมโห ทั้งที่ควรจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงพะภูก็คือพะภู

เรื่องราวตลอดปีที่ผ่านมายังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอ ว่าต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น

รักของเราก็จะยังอยู่ตรงนี้...

“ขอโทษ...” ติพูดเสียงแผ่วพลางกระชับอ้อมแขนขึ้นอีก

“อื้อ แต่อย่าหายไปอีกนะครับ ไหนว่าจะอยู่ด้วยกันไง”

“ไม่ไปแล้ว อยู่ด้วยกันนะ”

ติเลื่อนหน้าลงมาประทับรอยจูบอ่อนโยนบนหน้าผากมน แล้วกลับไปสวมกอดกันเหมือนเดิม ราวกับไม่ต้องการแยกจากไปไหนอีก เขามันบ้าเอง บ้าที่คิดมากไปเอง

หลังจากนี้รู้แล้วว่า ต่อให้อะไรจะเกิด ต่อให้มีปัญหาแบบไหนผ่านเข้ามา เขาทั้งสองคนก็จะจับมือให้แน่น แล้วผ่านมันไปด้วยกัน

“แล้วสรุปพี่ติจะคบกับผมเปล่า?” พะภูถามติดตลก ก็เมื่อครู่เขาเพิ่งพูดว่า ‘พี่ติ ช่วยคบกับผมด้วยครับ’ ไปนี่

คนตัวใหญ่อมยิ้มเหมือนมีความคิดพิเรนท์ในหัว กีรติไม่ตอบอะไร แต่กลับจูงมือพะภูไปหาคุณหญิงเดือนฉายซึ่งยืนรออยู่อย่างไม่สบอารมณ์นัก ในเมื่อพะภูยังไม่กลัว...เขาก็จะไม่กลัวอะไรอีกแล้วเหมือนกัน

“คุณหญิง...”

“ว่ายังไง?”

พะภูช่วยบีบมือให้กำลังใจคนข้างๆ สายตาเหลือบมองคุณย่าที่ใบหน้ายังดูบูดบึ้ง แต่ก็เชื่อใจนะ เพราะเขาเคลียร์กับท่านเรียบร้อยแล้ว (แม้จะยากลำบากไปหน่อยก็ตาม) แล้วถ้ายังกีดกัดขนาดนั้น ก็คงไม่ยอมพาเขามาถึงที่นี่หรอก

“อนุญาตให้ผมคบกับหลานชายคุณหญิงด้วยครับ”

น้ำเสียงจริงจังเปล่งออกมาเสียงดังฟังชัด เดือนฉายดูจะตกใจไม่น้อยที่กีรติกล้าพูดแบบนี้กับเธอตรงๆ ส่วนพะภูก็ได้แต่ยืนกลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตก หลังจากความเงียบพัดผ่านมาได้ครู่หนึ่งจนคนตัวใหญ่เริ่มใจเสียเล็กน้อย เดือนฉายจึงยอมเปิดปากออกก่อนจะหนีเข้าไปนั่งในรถ

“ฮึ...ตามใจ แต่อย่าทำหลานฉันร้องไห้ก็ละกัน”

รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นมาบนใบหน้าของกีรติและพะภูแทบจะพร้อมกัน ทั้งคู่หันมากอดกันกลม โดยไม่ได้สนใจสายตาคมกริบจากบนรถ หรือสายตาตกใจของคนละแวกนั้นแม้แต่นิดเดียว รู้แค่ว่าตอนนี้มีความสุข รู้แค่ว่าจะไม่ปล่อยมือจากกันไปไหนอีก

ก็รู้แค่นั้นแหละ :)

 

ถ้าพะพายคือนางฟ้า ที่ดึงเขาขึ้นมาจากนรก

แล้วกีรติคืออะไร?

นั่นเคยเป็นคำถามตลอดมา...

แต่ตอนนี้รู้แล้ว...

รู้ว่าเป็น ‘โลกทั้งใบของเขา’

โลกที่จะหายไปไม่ได้…

 

- THE END -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ superjune

  • ǝunɾɹǝdns❀
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • ทวิตเตอร์ : ǝunɾɹǝdns❀
จะบอกว่า...เราเห็นเรื่องนี้วันนี้ตอนบ่าย
เริ่มอ่านเรื่องนี้ทั้งๆที่ตอนแรกๆของเรื่องยังทำให้งงๆอยู่บ้าง
ตอนแรกที่อ่านคือไม่ได้มองเลยว่าเรื่องเริ่มลงตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ปีอะไร
พออ่านมาได้ซักพักแล้วaonairบอกว่าหายไปห้าเดือน(ป้ะ?) ถึงเพิ่งได้สังเกตวันที่ลง
ตอนอ่านจนมาถึงตอน30+คือเริ่มกลัวแล้วว่าเรื่องจะหยุดอัพก่อนรึเปล่า อ่านไปแล้วจะค้างมั้ย
เอาตรงๆคือติดแล้วไง เริ่มกลัวความค้าง 5555

เนื้อเรื่องดำเนินได้ดีถึงแม้ว่าคนแต่งจะบอกอยู่บ่อยๆว่าเรื่องไม่ซับซ้อน เนื้อเรื่องพื้นๆ
แต่มันแสดงออกให้เห็นถึงความรักที่เริ่มขึ้นจากศูนย์ของทั้งคู่จริงๆ
ฝ่ายนึงไม่ชอบ อีกฝ่ายก็ออกแนวรังเกียจแต่ต้องการผลประโยนช์
ตอนที่น้องบอกจุดประสงค์ที่เข้าหาติบนเกาะนี่น้ำตาไหลเลย สงสารติของเค้า .///.
เนื้อเรื่องที่ว่าพื้นๆมันแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของทั้งคู่ได้จนเราเชื่อจริงๆ เค้าผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะนาจา
สนุกมากๆค่ะ หลังๆมานี่เห็นบ่นว่าคนอ่านหายเราก็สังเกตนะว่าเออมันก็จริง อาจจะเพราะเรื่องหยุดไปนานด้วยล่ะมั้ง
แต่เราดีใจนะได้เจอเรื่องนี้อ่ะ มันสนุก สนุกมากจริงๆ เป็นเรื่องที่มีปมเยอะมากๆ5555
พออ่านมาถึงตอนจบแล้วรู้สึกดีมากอ่า ขอบคุณสำหรับเนื้อเรื่องดีๆนะค้า : )

ร่ายเม้นยาวมากๆ เพราะยอมรับว่าอ่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เม้นเดียวจริงๆ
จะติดตามผลงานต่อไปนะเคิ้บ สัญญา

#ถึงใครจะเกลียดพี่ติยังไงแต่เราหลงรักเค้าตั้งแต่แชปแรกเลยนาจา เขิน >/////<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2015 00:48:55 โดย superjune »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :pig4: :pig4:

เพิ่งเห็นว่ามาลงต่อแล้ว   เห็นหัวเรื่องค้างอยู่ที่ตอน 34 

พอดีแว๊บบบบ เข้ามาส่องนิยายเก่าที่ไม่ได้มาต่อนาน ๆ   เลยเห็นว่าย้ายไปห้องจบ แล้ว   :pig4: :3123: :3123:

ออฟไลน์ yokibear

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เราชอบเรื่องนี้นะ อ่านสนุกมากจนต้องมาเม้นท์
เราพลาดเรื่องนี้ได้ไง ชอบทุกตัวละคร ดราม่าไม่เยอะเราโอเคมากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เราหลงรักคู่ภูกับติจริงๆ

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง 555 แอบอยากให้จบตอนที่ตกลงเป็นแฟนกัน ก่อนที่พี่ธรกับชุนจะมาบอกเรื่องเสี่ยจวง จะได้เป็นนิยายรักใสๆ ฟรุ้งฟริ้ง  :L2:  แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ ได้ช่วยน้องๆออกมาเนอะ

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
จะบอกว่า...เราเห็นเรื่องนี้วันนี้ตอนบ่าย
เริ่มอ่านเรื่องนี้ทั้งๆที่ตอนแรกๆของเรื่องยังทำให้งงๆอยู่บ้าง
ตอนแรกที่อ่านคือไม่ได้มองเลยว่าเรื่องเริ่มลงตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ปีอะไร
พออ่านมาได้ซักพักแล้วaonairบอกว่าหายไปห้าเดือน(ป้ะ?) ถึงเพิ่งได้สังเกตวันที่ลง
ตอนอ่านจนมาถึงตอน30+คือเริ่มกลัวแล้วว่าเรื่องจะหยุดอัพก่อนรึเปล่า อ่านไปแล้วจะค้างมั้ย
เอาตรงๆคือติดแล้วไง เริ่มกลัวความค้าง 5555

เนื้อเรื่องดำเนินได้ดีถึงแม้ว่าคนแต่งจะบอกอยู่บ่อยๆว่าเรื่องไม่ซับซ้อน เนื้อเรื่องพื้นๆ
แต่มันแสดงออกให้เห็นถึงความรักที่เริ่มขึ้นจากศูนย์ของทั้งคู่จริงๆ
ฝ่ายนึงไม่ชอบ อีกฝ่ายก็ออกแนวรังเกียจแต่ต้องการผลประโยนช์
ตอนที่น้องบอกจุดประสงค์ที่เข้าหาติบนเกาะนี่น้ำตาไหลเลย สงสารติของเค้า .///.
เนื้อเรื่องที่ว่าพื้นๆมันแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของทั้งคู่ได้จนเราเชื่อจริงๆ เค้าผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะนาจา
สนุกมากๆค่ะ หลังๆมานี่เห็นบ่นว่าคนอ่านหายเราก็สังเกตนะว่าเออมันก็จริง อาจจะเพราะเรื่องหยุดไปนานด้วยล่ะมั้ง
แต่เราดีใจนะได้เจอเรื่องนี้อ่ะ มันสนุก สนุกมากจริงๆ เป็นเรื่องที่มีปมเยอะมากๆ5555
พออ่านมาถึงตอนจบแล้วรู้สึกดีมากอ่า ขอบคุณสำหรับเนื้อเรื่องดีๆนะค้า : )

ร่ายเม้นยาวมากๆ เพราะยอมรับว่าอ่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เม้นเดียวจริงๆ
จะติดตามผลงานต่อไปนะเคิ้บ สัญญา

#ถึงใครจะเกลียดพี่ติยังไงแต่เราหลงรักเค้าตั้งแต่แชปแรกเลยนาจา เขิน >/////<

ขอบคุณมากกกกกกก เลยค่ะ ฮรืออ
แอร์ก็มาต่อจนจบไว้ แล้วหายไปเลย 5555555
ไม่ได้กลับเข้ามาอีก นึกว่าคงไม่มีคนอ่านแล้ว แค่มาต่อให้จบๆ ไป ฮรึก
ดีใจมากที่ได้อ่านคอมเม้นยาวๆ แบบนี้
เอาจริงๆ ไม่ได้เว่อร์นะ อ่านคอมเม้นตะเองแล้วแอร์น้ำตาคลอเลย 5555
ปกติไม่ค่อยได้รับคอมเม้นแบบจริงจังขนาดนี้มากนัก ดีใจมากเลยค่ะ
ดีใจมากที่ชอบ ดีใจมากที่บอกว่าสนุก TTT
ขอบคุณมากๆ เลย แอร์จะพยายามให้มากขึ้นในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
 :hao5:

:pig4: :pig4:

เพิ่งเห็นว่ามาลงต่อแล้ว   เห็นหัวเรื่องค้างอยู่ที่ตอน 34 

พอดีแว๊บบบบ เข้ามาส่องนิยายเก่าที่ไม่ได้มาต่อนาน ๆ   เลยเห็นว่าย้ายไปห้องจบ แล้ว   :pig4: :3123: :3123:

แอร์แก้ชื่อกระทู้ไม่ได้อ่ะค่ะ ไม่รู้ทำไม 55555
เลยไม่ได้แก้ว่ามาต่อจนจบแล้ว ;w;
คือหายไปนานจริงๆ ไปซุ่มแต่งมาจนจบจนได้
ดีใจที่ยังกลับเข้ามาส่องกันอีกครั้งนะคะ
 :monkeysad:

เราชอบเรื่องนี้นะ อ่านสนุกมากจนต้องมาเม้นท์
เราพลาดเรื่องนี้ได้ไง ชอบทุกตัวละคร ดราม่าไม่เยอะเราโอเคมากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เราหลงรักคู่ภูกับติจริงๆ

ฮรืออ ขอบคุณมากนะคะ ดีใจที่ชอบค่ะ
แอร์ก็ชอบทุกตัวละครในเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะอยู่กับมันนานมาก (เพราะดอง 5555)
ถ้ามีโอกาสในอนาคต ก็ยังแอบจับตัวละครเรื่องนี้ไปแต่งอีกเลยค่ะ
รักมาก แล้วเราชอบชื่อตัวละคร 55555555555555
 :hao7:

เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง 555 แอบอยากให้จบตอนที่ตกลงเป็นแฟนกัน ก่อนที่พี่ธรกับชุนจะมาบอกเรื่องเสี่ยจวง จะได้เป็นนิยายรักใสๆ ฟรุ้งฟริ้ง  :L2:  แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ ได้ช่วยน้องๆออกมาเนอะ

ต้องคลายปมให้หมดค่ะ 5555
จริงๆ แล้วเป็นโรคจิต แต่งฟรุ้งฟริ้ง 100% ไม่ได้
 :laugh:
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่ติดตามอ่านจนจบ <3

ออฟไลน์ matame

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 706
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-1
ตอนแรกกลัวภูมาหลอกพี่ติ ตอนนี้เรื่องนี้น่ารักมาก

ออฟไลน์ iaum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
โอ้เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านเบยยย :z3: :z3: พลาดมากกก :o12: :o12:

ออฟไลน์ palette_burgundy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมาก คลายเครียดดีเลย ชอบครับคุณคนเขียน

ออฟไลน์ nijikii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตามอ่านจนจบแล้ววววว
เรื่องนี้สนุกดีค่ะ
แต่สำหรับเรายังไม่สุดอะ 555
อาจจะเป็นเพราะเราเป็นพวกมาโซหรือเปล่า 55555
แบบอยากให้ขยี้อารมณ์เวลาน้องภูกับพี่ติทะเลาะกันมาก
ยิ่งตอนรู้ว่าน้องภูหลอกใช้นะ
โอ้โห ติมันต้องเจ็บแค่ไหนคะ
หรืออาจจะเป็นเพราะเราอ่านแบบตีความว่าน้องภูเข้าหาติแบบไม่ซื่อช่วงแรก
นี่เป็นแม่ยกพี่ตินะ 55555
คือนี่สงสารน้องภูเวลาโดนติทำร้ายจริง แต่เพราะรู้ว่าคนที่รักก่อนคือพี่ติอะ น้องภูนี่หลอกใช้กันชัดๆ เข้าใจหัวอกพี่ติค่ะ
แถมน้องยังปล่อยให้พี่ธร พี่สนิทคิดไม่ซื่อมายุ่มย่ามอีก
นี่เป็นพี่ติจะไม่ด่าอย่างเดียวแล้วไล่ออกจากบ้านหรอก ต้องตบจูบก่อน 55555
แต่ก็ดีงามตามท้องเรื่องค่ะ แก้ปมได้เร็ว ไม่ต้องทรมานใจเวลาอ่าน
เป็นกำลังใจให้งานเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ขอบคุณครับ ^ ^ เมนท์ไม่ออกเลย ตอนแรกที่เข้ามาไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ เพราะมันดีมากๆ ขอบคุณคนเขียนสำหรับผลงานที่ดีขนาดนี้ _/\_

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AllStaRK

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
ตอนแรกกลัวภูมาหลอกพี่ติ ตอนนี้เรื่องนี้น่ารักมาก

ก็หลอกจริงๆนะคะ 5555 แต่ก็จบแบบเข้าใจกันได้ในที่สุด >w<


โอ้เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านเบยยย :z3: :z3: พลาดมากกก :o12: :o12:

หูยยย อ่านแล้วชื่นใจเลยค่ะ TT หวังว่าจะชอบน้า


สนุกมาก คลายเครียดดีเลย ชอบครับคุณคนเขียน

ขอบคุณมากเลยค่า จะพยายามแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆน้า


ตามอ่านจนจบแล้ววววว
เรื่องนี้สนุกดีค่ะ
แต่สำหรับเรายังไม่สุดอะ 555
อาจจะเป็นเพราะเราเป็นพวกมาโซหรือเปล่า 55555
แบบอยากให้ขยี้อารมณ์เวลาน้องภูกับพี่ติทะเลาะกันมาก
ยิ่งตอนรู้ว่าน้องภูหลอกใช้นะ
โอ้โห ติมันต้องเจ็บแค่ไหนคะ
หรืออาจจะเป็นเพราะเราอ่านแบบตีความว่าน้องภูเข้าหาติแบบไม่ซื่อช่วงแรก
นี่เป็นแม่ยกพี่ตินะ 55555
คือนี่สงสารน้องภูเวลาโดนติทำร้ายจริง แต่เพราะรู้ว่าคนที่รักก่อนคือพี่ติอะ น้องภูนี่หลอกใช้กันชัดๆ เข้าใจหัวอกพี่ติค่ะ
แถมน้องยังปล่อยให้พี่ธร พี่สนิทคิดไม่ซื่อมายุ่มย่ามอีก
นี่เป็นพี่ติจะไม่ด่าอย่างเดียวแล้วไล่ออกจากบ้านหรอก ต้องตบจูบก่อน 55555
แต่ก็ดีงามตามท้องเรื่องค่ะ แก้ปมได้เร็ว ไม่ต้องทรมานใจเวลาอ่าน
เป็นกำลังใจให้งานเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ

แม่ยกพี่ติ ต้องมาเจอแม่ยกพะภูค่ะ 5555555
จริงๆ ตอนแรกก็อยากให้โหดกว่านี้ แต่นี่ทีมน้องภู ถถถ
สงสารรร เลยแบบ อะอะ ยอมง่ายเลย 55555
ยังไงต้องขอบคุณมากๆเลยนะคะ ที่ตามอ่านจนจบ TT
อาจจะยังไม่ดีเท่าไร จะพยายามให้มากขึ้นในเรื่องต่อๆ ไปน้า
 :กอด1:

ขอบคุณครับ ^ ^ เมนท์ไม่ออกเลย ตอนแรกที่เข้ามาไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ เพราะมันดีมากๆ ขอบคุณคนเขียนสำหรับผลงานที่ดีขนาดนี้ _/\_

ฮืออ ขอบคุณมากเลยค่ะ เห็นแบบนี้แล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
ตอนนี้ฮึดแล้ว!  :katai4:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษเพิ่มเติมในรวมเล่มด้วยนะคะ
หวังว่าจะมีคนรอกันน้า ^^ อย่างช้าน่าจะได้ออกปีหน้าเลยอ่ะค่ะ
เพราะสนพ.ยุ่งมาก และเรายังแต่งไม่เสร็จ ถถถถถ
แต่ก็อยากให้ติดตามกันนะ เพราะจะได้เห็นพี่ติกับพะภูในอีกมุมมองนึงเลยค่ะ ><



ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
เราว่าเรื่องมันหนักเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องของเด็ก ม.ปลาย น่ะ แล้วอีกนะ น้องของแม่เรียกว่า "น้า" ไม่ใช่ "อา"

 :m7: :m7: :m7:

ออฟไลน์ pearl9845

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
เราว่าเรื่องมันหนักเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องของเด็ก ม.ปลาย น่ะ แล้วอีกนะ น้องของแม่เรียกว่า "น้า" ไม่ใช่ "อา"

 :m7: :m7: :m7:

โอ้ ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่สะกิดเรื่องคำเรียก พอดีที่บ้านคนจีนเลยไม่รู้จริงๆ ผิดเองที่ไม่ได้ศึกษาให้ดีก่อน เราได้แก้ต้นฉบับใหม่แล้ว ให้ตัวละครจิว เป็นพี่ชายของแม่นะคะ และเรียกว่าลุง น่าจะถูกแล้วเนาะ ส่วนเรื่องเนื้อหาที่หนักเกินกว่าช่วงอายุของตัวละคร เราจะพยายามนำไปปรับปรุงในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ ขอบคุณค่า >/\<

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ zysygy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด