แผ่นที่ 6“คุณครับ
ตอนนี้รู้สึกคิดถึงหมูกระทะขึ้นมานิดหน่อย
เจอแต่อาหารจากผัก ถึงรสชาติจะไม่เลว
แต่คิดถึงสุดก็คงจะเป็นอาหารที่ทานกับคุณ”.
.
.
ความเห็นของพี่มลคนดี แฟนคลับคุณโปสการ์ดดังขึ้นหลังจากยื่นมือมาขอโปสการ์ดในมือเขา
“หืม อาหารที่ทานกับคุณด้วย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว และเหลือบสายตาขึ้นมอง
“ครับ?”
“นี่ไง คุณโปสการ์ดเค้าบอกว่าคิดถึง”
หลังจากที่เอื้อมมือไปรับแผ่นกระดาษกลับมา
แล้วก้มมองภาพถ่ายในอีกด้าน พลิกไปดูลายมือหวัดๆ นั้นอีกหน
ก็ตอบกลับความเห็นของพี่มลไป
“คิดถึงอาหารครับพี่มล ไม่ได้คิดถึงผม”
“อัชเอ๊ย เอาจริง นี่เข้าใจงั้นจริงดิ”
“ข้อความแค่ไหน ก็เข้าใจแค่นั้นแหละครับ”
“น้องอัชคะ น้องอัช คุณเป็นนักเขียนนะคะ เราทำงานกับตัวหนังสือ ตีความได้ซื่อบื้อเกินไปแล้ว ไม่เคยได้ยินหรือคะคุณน้องอัช ระหว่างบรรทัดมันมีความนัยซ่อนอยู่”
อัชฌาหยิบโปสการ์ดแผ่นเดิมชูขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย แล้วทำท่าเพ่งมอง
“ระหว่างบรรทัด ก็เห็นมีแต่รอยเปื้อนน้ำหมึกนะครับ”
“โอ๊ย พี่ไม่คุยกับอัชละ เบื่อ”
อัชฌาหัวเราะให้กับความเห็นของพี่มล จนอีกฝ่ายเบ้ปากแล้วถอยกลับไปก้มหน้าหาต้นฉบับของตัวเอง
แต่ก็ไม่วายสบตาแล้ว ส่งเสียงจิ๊ปากให้เขาอีกครั้ง
ระหว่างบรรทัดงั้นหรือ
ถ้าจะมี ระหว่างพวกเขา
รอยน้ำหมึกยังมากไปเลยล่ะ
ที่น่าจะมีก็คงแค่...ความว่างเปล่า.
.
.
“ต้องเดินทางไปโน่นนี่ไม่หยุด เคยเบื่อบ้างไหม”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาจากเลนส์กล้องหลากหลายขนาดที่กำลังดูแล
“คุณอ่านหนังสือกองใหญ่ๆ เยอะๆ นั่นเคยเบื่อบ้างไหมครับ”
“นี่คุณ ผมถามคุณก่อน ไม่ใช่ให้คุณมาถามกลับ”
“ไม่ได้ถามกลับครับ ผมตอบต่างหาก”
“ยังไงอีกคุณนักปรัชญา”
อัชฌาเหมือนเห็นอีกฝ่ายอมยิ้ม คล้ายจะขบขันในท่าทีที่มีต่อคำตอบของเขา
แต่ก็ได้ยินเสียงคำตอบที่คาดหวังตามมา
“ผมคิดว่า การเดินทางของผมมันน่าจะเหมือนกันกับการอ่านหนังสือของคุณนั่นแหละครับ”
“เหมือนตรงไหน”
“มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและตัวตนไปแล้วน่ะครับ”
“...”
“จะให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็คงยาก”
.
.
.
นิสัยคนจะให้เปลี่ยนก็คงยากจริงๆ นั่นล่ะ
แล้วใจของคนล่ะ
เปลี่ยนยากไหม.
.
.
“อัช ทางนี้ๆ”
หญิงสาวในชุดเดรสสั้นสีดำ สะท้อนบุคลิกมั่นใจเต็มเปี่ยม ส่งเสียงเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือให้กับอัชฌาที่เดินเข้ามาในร้านอาหารฟิวชั่นชื่อดังที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคารสำนักงานกลางย่านธุรกิจ
“สวัสดีครับคุณเก๋”
“เรียกพี่เก๋เถอะ เราจะมาร่วมงานกันแล้ว เรียกสบายๆ กันเองนี่แหละ”
“ครับ พี่เก๋”
“แล้วเราจะมาเริ่มงานกับพี่เมื่อไร”
อัชฌาถึงกับส่งสีหน้าแปลกใจกลับไปให้คู่สนทนาเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย
“พี่เก๋ไม่สัมภาษณ์ หรือดูพอร์ตงานที่ผมเตรียมมาเพิ่มก่อนหรือครับ วันนี้ผมเตรียมมาเพิ่มจากที่เคยส่งไปให้ดูด้วยครับ”
อัชฌาพูดพลางก็หยิบแฟ้มงานที่หอบมาด้วยวางที่โต๊ะก่อนเลื่อนไปให้อีกฝ่าย
หญิงสาวคู่สนทนาของเขาเอื้อมมือมารับแฟ้ม พร้อมยิ้มกว้าง
“อัชคิดว่าพี่รับอัชเข้าทำงานเพราะอะไร”
“ก็ป้าไก่แนะนำผมมา บอกว่าทางพี่เก๋อยากขยายทีมกองของนิตยสาร พี่เก๋รับผมเพราะว่าจะให้มาช่วยรับงานเขียนในคอลัมน์ที่เพิ่มขึ้นครับ”
“ใช่ นั่นละ แล้วอัชคิดว่า ก่อนที่พี่จะเรียกเรามาวันนี้พี่ไม่ได้เห็นงานอัชหรือ หรือคิดว่าพี่รับเพราะเกรงใจป้าไก่”
“นั่นสินะครับ ผมก็เกร็งไปหน่อย ผมเชื่อครับว่าพี่เก๋ไม่ใช่คนรับคนทำงานเพราะเกรงใจใคร”
“งั้นแหละ ป้าไก่น่าจะเล่าเรื่องพี่ให้อัชฟังบ้างแล้วละมั้ง”
“ครับ ก็เล่า”
“งั้นพี่ก็ไม่ต้องแนะนำตัวให้มาก เอาเป็นว่าเรามาเอ็นจอยการทำงานให้นิตยสารเรายอดขายทะลุกันไปเลยดีกว่านะจ๊ะ”
อัชฌายิ้มขำกับท่ายกมือสูงประกอบการสนทนาของอีกฝ่าย ก่อนที่จะหันหน้าไปยังชายหนุ่มใส่ผ้ากันเปื้อนคาดเอวคนหนึ่งที่เดินมาที่โต๊ะของพวกเขา
น่าจะพนักงานของทางร้าน หรือเพราะโต๊ะเขาเสียงดังเกินไป
“คุณลูกค้าครับ ลดเสียงสักหน่อยได้ไหมครับ มันเป็นการรบกวนลูกค้าท่านอื่น”
นั่นประไร คิดไม่ผิดจริงๆ ด้วย ท่าเสียงของพี่เก๋จะดังเกินไปจริงๆ
“ขอโทษด้วยครับ” อัชฌารีบเอ่ยขอโทษ
ในขณะที่ฝ่ายที่ถูกเขากังวลกลับพูดขึ้นด้วยเสียงดังกว่าเดิม
“ทำไมยะ คุยเสียงแค่นี้ ดังตรงไหน”
“ตรงนี้แหละครับ” พนักงานหนุ่มคนเดิมตอบกลับ
อัชฌาหน้าเสียกว่าเดิม เพราะฟังจากป้าไก่มาว่าพี่เก๋เป็นคนเก่ง และเป็นที่กล่าวขวัญเรื่องความมั่นใจในตัวเอง ก็เข้าใจล่ะว่าคงเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะมั่นใจมากขนาดนี้
“ขอโทษจริงๆ ครับ เดี๋ยวพวกผมจะระวังการใช้เสียงให้มากขึ้น”
“อัช ไปขอโทษทำไมเนี่ย”
อัชฌาทำหน้าเหวอ แต่ก็ไม่รู้จะตอบกลับเจ้านายคนใหม่สดๆ ร้อนๆ คนนี้อย่างไร จะบอกว่า ‘พี่เก๋ครับ พี่เสียงดังจริงๆ ครับ’ ก็กลัวเป็นการหักหน้า หรือทำให้อับอายหรือเปล่า
“กร หยุดเลยนะ ทำไม พี่จะคุยงานในร้านแค่นี้ มันจะมีปัญหาอะไร”
“ไม่มีหรอกครับ แต่พี่เก๋เบาเสียงลงหน่อย ลดแอคติ้งลงนิด คนอื่นในร้านตกใจหมดแล้ว
“ไม่ย่ะ นี่ร้านชั้น ชั้นจะคุยกับใคร ออกแอคติ้งยังไงก็ได้”
อัชฌาที่นั่งฟังบทสนทนาของเจ้านายคนใหม่กับพนักงานหนุ่มถึงกับแสดงอาการงุนงง จนอีกสองคนที่กำลังตอบโต้กันรู้สึกตัว
จนเจ้านายคนใหม่หันกลับมาให้คำอธิบายแก่เขา
“อัช นี่กร น้องชายพี่ นี่อัชฌา นักเขียนคนใหม่ของพี่”
“สวัสดีครับคุณกร”
อัชฌาที่กำลังจะยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท แต่โดนเสียงอีกฝ่ายทักไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งไหว้ครับคุณอัช ผมไม่ได้แก่ขนาดนั้น ให้พี่เก๋เค้าแก่คนเดียวพอแล้ว”
“ตลกละกร เดี๋ยวจะโดน มาพูดคำว่าก่ง คำว่าแก่กับพี่”
กรหัวเราะเสียงดังขึ้น พร้อมยกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้แก่บก. สาว
“ไม่แก่ครับไม่แก่ คุณเก๋แห่งเดอะแมกกาซีน เจ้าแม่นิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่งของเมืองไทยจะแก่ได้ยังไง”
“ถ้าแกพูดคำว่าแก่ขึ้นมาอีกครั้ง ชั้นไล่แกออกจากร้านแน่ๆ”
“โถ คุณพี่สาวครับ ถ้าไล่ผมออกแล้วผมจะเอาอะไรกินละคร้าบ”
อัชฌาที่ยังนั่งนิ่งมองทั้งสองโต้ตอบกันไปมา เอ่ยถามขึ้นกลางบทสนทนา
“นี่ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันหรือครับ”
“งั้นแหละครับ ผมเป็นลูกจ้างพี่เก๋ พี่สาวคนสวยคนนี้แหละครับ”
“ยังไม่เลิกเล่นนะกร”
หญิงสาวหันไปปรามน้องชาย แล้วหันหน้ากลับมาหาอัชฌาอีกครั้ง
“กรเป็นเจ้าของร้านนี้จ๊ะอัช เป็นเชฟด้วย ดูแลร้านด้วย คอนเซปร้านอะไรต่ออะไร ก็กรนี่แหละที่คิด”
“นอกจากทำอาหาร ก็มีทำความสะอาด ล้างจาน ขัดห้องน้ำ เช็ดกระจก เสิร์ฟก็ทำนะครับ”
ชายหนุ่มพูดเสริมขึ้นมา พร้อมขยิบตาซ้ายให้เขาเมื่อบทสนทนาจบ
อัชฌาอึ้งไปเล็กน้อยกับกิริยาที่อีกฝ่ายส่งมา
พอมองดีๆ แล้วก็ไม่เหมือนเด็กเสิร์ฟธรรมดาจริงๆ นั่นล่ะ
สูง สมส่วน มีกล้ามเนื้อแบบคนดูแลตัวเอง ทรงผมตัดเซ็ตเป็นอย่างดี
เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ เป็นเสื้อเชิ๊ตแต่มีแบรนด์ รองเท้าก็ใช่ นาฬิกาที่ข้อมืออีก
นี่เข้าขั้นออกรายการ หรือเอามาเขียนคอลัมน์เป็นพ่อค้าแซ่บ คิ้วกุ๊ก หรือพ่อครัวเจ้าเสน่ห์ได้เลยนะเนี่ย
แย่ละ เสียมารยาทไปแล้วสิ ประเมินอะไรกัน
สายตาคอลัมนิสต์นี่นะ ออกจะนิสัยเสียไปหน่อย
เมื่อรู้สึกตัว อัชฌาจึงหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น
“อัช”
“สงสัยคุณอัชเมาเสียงพี่เก๋ไปแน่ๆ แล้ว”
มือของคุณกรโบกมาที่ใบหน้าเขา ทำท่าคล้ายจะช่วยเรียกสติ
“ครับ”
“ตะลึงความหล่อของผมหรือเปล่าครับ”
“แหวะ กร เชิญไปก้นครัวเถอะ พี่จะได้คุยงานกับอัชต่อ”
“ฮะๆ เชิญตามสบายนะครับคุณอัช ผมไปละ”
“เรียกผมว่า อัช เฉยๆ ก็ได้ครับคุณกร”
“งั้นอัชก็เรียกผมว่า กร เฉยๆ เถอะครับ เรารู้จักกันแล้วเนาะ”
อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง ที่มองดีๆ จะเห็นรอยบุ๋มที่แก้มข้างขวาให้เขาก่อนเดินจากไป
“โทษทีอัช กรมันก็ชอบแกล้ง ชอบแซวไปเรื่อย เรามาคุยกันเรื่องงานของเราต่อดีกว่า”
“ครับ”
แล้วบทสนทนาเกี่ยวกับบุคคลที่สามได้จบลงและถูกแทนที่ด้วยขอบเขตงานใหม่ที่เขาต้องรับผิดชอบในเร็วๆ นี้อย่างรวดเร็ว
.
.
.
“ตายละ นี่กี่โมงละเนี่ย อัชหิวหรือยัง”
อัชฌาเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารที่กำลังเป็นประเด็นสนทนาระหว่างเขากับเจ้านาย
“นิดหน่อยครับ วันนี้ผมยังไม่ได้ทานข้าวเช้ามาด้วย”
“ไป ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
อีกฝ่ายพูดพลางปิดแลปทอปตรงหน้าลง พร้อมเอ่ยชวน
“ไปอัช ลงไปที่ร้านกัน”
ทั้งสองออกจากที่ออฟฟิตเดอะแมกกาซีน กดลิฟต์ลงมาที่ชั้นล่างสุดของตึกเดียวกัน และเดินตรงเข้าไปยังร้านอาหารปลายทางที่เป็นที่รู้กันดีว่าคือร้านเดอะฟิวชั่นของคุณกร น้องชายสุดหล่อของพี่เก๋
บก. สาวเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ส่งสายตาพลางกวักมือเรียกน้องชายที่กำลังยืนจัดข้าวของอยู่ตรงเคาร์เตอร์บาร์ของร้าน
“กร มานี่สิ”
ฝ่ายที่สังเกตเห็นคนที่มาใหม่ ยิ้มกว้าง ก่อนเอ่ยทักพร้อมๆ กับที่เดินตรงเข้ามาหา
“คร้าบ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับคุณเก๋”
“พี่หิวละ วันนี้วันอะไร”
“วันพฤหัสบดีครับ”
“พฤหัสหรือ งั้นก็อาหารอินเดีย กินอะไรดีน้า”
.
.
ถ้าเป็นแขกที่มาเยือนร้านแห่งนี้เป็นครั้งแรก อัชฌาเชื่อว่า จะต้องแปลกใจกับรูปแบบการบริการของร้านเช่นเขาในครั้งแรกที่มาเจอรูปประโยคคำถามเกี่ยวกับเมนูอาหารเช่นนี้แน่นอน
ในครั้งแรกที่ได้เจอคอนเซปร้าน และวิธีการบริการอาหารของที่นี่
เขารู้สึกทั้งแปลกใจ และชอบใจในความคิดสร้างสรรค์ของอีกฝ่าย
“ร้านของผมน่ะ จะขายอาหารเป็นธีมตามวันเท่านั้นครับ อย่างวันนี้วันพฤหัสใช่ไหม ทางร้านเราก็จะบริการเป็นอาหารอินเดียครับ แต่เราก็มีหลายเมนูให้เลือกนะครับ”
ในตอนนั้น อัชฌาจำได้ว่า เขาคงแสดงท่าทางประหลาดใจกับคำตอบจนเห็นได้ชัดทางสีหน้า จนเจ้าของร้านหนุ่มเอ่ยปากอธิบาย
“ถ้าอัชอยากทราบว่าทางร้านเรามีอาหารอะไรบ้าง ก็ต้องแวะมาทุกวันสิครับ จะได้เข้าใจถึงแนวคิดของเดอะฟิวชั่น”
เขาหัวเราะกับคำตอบและตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“สงสัยผมต้องลองมาทุกวันอย่างที่กรว่าแล้วล่ะครับ น่าสนใจจริงๆ”
“น่าสนใจก็เชิญมาศึกษาได้เลยครับ ทั้งร้าน ทั้งผม”
อีกฝ่ายตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
.
.
.
“วันนี้สรุปว่าจะทานอะไรครับคุณลูกค้าทั้งสอง”
“พี่เอาชุดแกงปลา กับข้าวอัญชัญ ละกัน อัชล่ะ”
“ผมขอตามพี่เก๋แล้วกันนะครับ ฟังดูน่าสนใจ”
“ได้ครับ รับทราบ รอสักครู่นะครับ”
กรรับฟังความต้องการของแขกทั้งสองก่อนเดินไปสั่งอาหาร
ปล่อยให้เจ้านายลูกน้องสองคนอยู่ในบทสนทนาเรื่องงานนิตยสารกันตามลำพังอีกครั้ง
.
.
มานั่งคิดๆ ดู อัชฌาจำได้ว่า เขาเคยถามกรว่า แรงบันดาลใจในการคิดคอนเซปร้าน โดยที่เปลี่ยนธีมอาหารไปตามแต่ละวันคืออะไร
“ทำไมต้องเปลี่ยนเมนูไปตามแต่ละวันครับ”
“ก็ไม่เชิงเมนูนะครับ เรียกว่า ธีมตามวันน่าจะถูกกว่า”
“ทำไมหรือครับ”
“เป็นแก่นของนิยามคำว่า ฟิวชั่น หรือ ผสมผสานไงครับ”
“ผสมผสานแปลว่าเสิร์ฟอาหารหลายๆ ธีมในวันเดียวก็ได้นี่ครับ”
อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ก่อนที่จะตอบเขา
“ผมคิดว่า จะได้ไม่จำเจไงครับ เวลามาทาน นอกจากจะได้ความหลากหลายแล้ว เรายังได้รับประสบการณ์จากอาหารหลายๆ ชนิด หลายๆ ชาติด้วย”
“ไม่จำเจงั้นหรือครับ”
“ใช่ครับ ไม่จำเจ ทำไมเราต้องกินอะไรซ้ำ ทำอะไรซ้ำๆ ด้วยล่ะ ใช่ไหมครับ เบื่อแย่เลย”
อีกฝ่ายตอบพร้อมขยิบตาให้เขาอีกแล้ว
อัชฌาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
มีเสน่ห์ดึงดูด และเป็นคนในแบบที่เขาเองไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์นัก
มั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ดูหลงตัวเองจนน่าเกลียดไป
ก็มีเสน่ห์ให้ใจสั่นนิดๆ
.
.
.
ประสบการณ์จากความไม่จำเจงั้นหรือ
ออกจะแตกต่างจากชีวิตของเขาไปสักหน่อย
หรือรับความไม่จำเจที่เข้ามาบ้าง
ก็อาจจะน่าสนใจดีนะ---------------------------------------------------
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
twitter
https://twitter.com/PlusOneNovel#คุณโปสการ์ด