บทที่ 7 : คนที่ทำให้สบายใจกับคนเห็นแก่ตัว
ทีตบไฟเลี้ยวรถเข้าซอยที่คุ้นเคย ก่อนจะจอดรถที่หน้าบ้านเดี่ยวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากในโครงการหมู่บ้าน เขาไขกุญแจแล้วเดินเข้ามาในตัวบ้านได้สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาววัยกลางคนกับน้องชายตัวดีดังมาจากในครัว
เชื่อเลยว่าเจ้าซีไปป่วนแม่ตอนทำกับข้าวอีกแล้วแน่ๆ
“อ้าว ที กลับมาแล้วรึ” พ่อเขาที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่หันมาเมื่อได้ยินเสียงเขาเดินมาในห้องนั่งเล่น ทียกมือไหว้ก่อนจะทักทายแล้วเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาชุดในห้องนั่งเล่น
“สวัสดีครับพ่อ”
“เอ้อ วันนี้ไปหาหมอมาใช่มั้ย หมอว่าไงบ้าง”
“ครับ ไปเช็คอัพปกติ หมอเปลี่ยนยากดภูมิให้เพราะทีเหมือนจะแพ้ตัวก่อนน่ะพ่อ ส่วนร่างกายก็ปกติดีฮะ”
“ดีแล้ว ดูแลตัวเอง พักผ่อนเยอะๆ ด้วยลูก”
“ครับ”
ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน ทีมักจะได้ยินประโยคใกล้เคียงกับสิ่งที่พ่อพูดเสมอ ไม่ว่าจะทั้งจากพ่อเอง จากแม่ หรือแม้กระทั่งพี่ฝ้าย พี่แม่บ้านที่มาช่วยดูแลงานบ้านเป็นประจำ มันทำให้ทีรู้สึกอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงเกินความจำเป็น
ทีรู้ดีว่าอาการป่วยของเขาถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากถ้าเทียบกับคนในวัยเดียวกัน และการที่พ่อแม่เขาไม่มาตามประกบเขาทุกฝีก้าว ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง นั่นคงเป็นเพราะพวกท่านก็ไม่อยากทำให้เขารู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นไปมากกว่านี้
ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ
“พี่ทีกลับมาแล้ววว” เสียงไอ้ตัวดีที่ตะโกนออกมาก่อนจะเห็นตัวทำให้ทั้งเขาและพ่อสบตากันก่อนจะยิ้มออกมา
แน่นอนว่าในบ้านหลังนี้ เจ้าของความสดใสและรอยยิ้มคือซี ถึงเขาจะทำตัวกวนประสาทและไร้สาระกับเพื่อนไปวันๆ แต่เมื่ออยู่กับที่บ้าน ทีมักรู้สึกว่าตัวเองควรทำหน้าที่เป็นพี่ชายคนโตที่ดี ส่วนนึงเพราะอยากให้ซีรู้สึกว่าพี่อย่างเขาพึ่งพาได้ (ซึ่งอีกฝ่ายก็ดันพึ่งพาปรึกษาเขาบ่อยซะจนทำให้นอนไม่พอไปหลายคืน) อีกส่วนหนึ่งคืออยากให้พ่อกับแม่เห็นว่าเขาเองก็โตเป็นผู้ใหญ่พอให้เป็นห่วงเรื่องต่างๆ น้อยลง
“ไอ้ตัวยุ่ง วันนี้จะอ้อนไม้ไหนอีก”
“อ้อนที่ไหน มีแม่อยู่ทำไมซีจะต้องอ้อนพี่ทีด้วย จริงมั้ยฮะแม่”
“จ้าๆ อุ๊ย ซีอย่าเพิ่งกอด ขอแม่วางจานข้าวแป๊บหนึ่งลูก”
“สวัสดีครับแม่” ทีลุกขึ้นเดินไปหอมแก้มคุณแม่คนสวยของเขา ก่อนช่วยลำเลียงกับข้าวจากในครัวมาวางบนโต๊ะทานอาหาร
“วันนี้ของโปรดทีกับซีเพียบเลยน้า แม่กับพี่ฝ้ายลงมือเต็มที่เลย” แม่หันมาพูดกับเขาก่อนจะหอมแก้มทีตอบ
“เอ้า แล้วของโปรดพ่อล่ะ”
“คุณอยู่บ้านทุกวันอยู่แล้ว ตามใจลูกๆ บ้างสิคะ” คำที่ฟังดูเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กทำให้พ่องอนไม่กล้าเถียงอะไร เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนบนโต๊ะอาหารได้อีกระลอก
ถึงจะบอกว่าเป็นของโปรด แต่มื้ออาหารที่มักทำทานกับที่บ้านเขาส่วนใหญ่เป็นมื้ออาหารง่ายๆ เพราะใจความหลักใหญ่ของการกลับมากินข้าวที่บ้านไม่ใช่รสชาติอาหาร แต่เป็นการที่ทุกคนได้มาอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อพูดคุย เขามักจะขับรถกลับมาบ้านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่ได้มีธุระไปไหน
บรรยากาศของครอบครัวทำให้ทียิ้มกว้างออกมา
“จริงสิ พี่ที ตกลงได้คืนเอกสารให้คุณคนนั้นไปยัง” ซีถามเขาหลังตักแกงเขียวหวานเข้าปากคำโต
“คืนแล้วน่า พี่นัดเจอเขาที่บีทีเอสเมื่อวานตอนเช้า”
“เฮ้ย ไรอะ ทำไมมีนัดจงนัดเจอ ไหนว่าชื่อเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ เนี่ย! แม่ดูสิครับ พี่ทีของเราร้ายขนาดไหน”
“ร้ายอะไร พี่แค่บังเอิญเจอเขาที่มหาลัย เลยติดต่อกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ทางนั้นจะได้ไม่ลำบาก” เขาทำเป็นไม่สนใจเสียงฟ้องของซี ตอบเรียบๆ พร้อมกับตักข้าวเข้าปาก
“เขาก็เป็นนิสิตเหมือนพี่ทีเหรอ”
“เปล่าหรอก เหมือนจะแค่แวะมาทำธุระเฉยๆ” ทีตอบแล้วเอื้อมมือไปตัดทอดมันมาใส่จาน
“โหย แบบนี้เปล่าที่เขาเรียกชะตาต้องกัน”
“ไปกันใหญ่แล้วน่า แทนที่จะคุยเรื่องพี่ ไหนเล่าเรื่องของเรามั่งสิ ทะเลาะกับเก็ทนี่ดีกันรึยัง”
ได้ผล ทีที่ตั้งใจเบี่ยงหัวข้อสนทนาไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้าคำถามอีกต่อไปร้องเยสในใจเบาๆ เมื่อเห็นซีออกอาการหน้าแดงขึ้นมานิดหน่อย จากนั้นอีกฝ่ายก็เล่าเรื่องยาวเหยียดว่าเถียงกันเรื่องข้อสอบบ้างล่ะ ไม่ยอมไปอ่านหนังสือด้วยกันบ้างล่ะ ลามไปจนถึงโวยวายว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจตัวเองบ้าง ทีสารภาพกับตัวเองว่าแทนที่จะเห็นใจน้องชาย เขาดันเห็นใจเจ้าเก็ทมากกว่าที่ต้องมารองรับความงอแงทั้งหมดนี่ของซี
“น่าลูก แต่สุดท้ายเก็ทก็ยอมตามใจเหมือนทุกทีไม่ใช่รึไง” แม่ถามขึ้นอย่างคนรู้นิสัยของลูกชายตัวเองดี
“...ก็ใช่ครับ แต่ว่าเก็ทชอบดุซีนี่”
“เขาดุเพราะเขาเป็นห่วงซีไง” ทีตอบ
“มีแฟนเหมือนได้พี่ชายอีกคนเลยอะ” ซีเอาส้อมจิ้มลูกชิ้นปลากรายเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ พ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ เอื้อมมือมาโยกหัวซี ก่อนบอกเป็นทำนองว่าลูกชายพ่อซนขนาดนี้ มีคนมาช่วยดูแลก็ไม่เลว ทำให้ซีเหมือนจะงอนไปอีกรอบ คราวนี้พ่อถึงกับต้องจำใจยกแกงเขียวหวานทั้งถ้วยให้ซีเพื่อง้อเลยทีเดียว
อีกอย่างหนึ่งที่เขารู้สึกขอบคุณจนไม่รู้จะพูดยังไงคือที่บ้านเขาไม่เคยกีดกันเรื่องความรัก ไม่ว่าจะเป็นใครหรือเพศไหน แม่เขาก็จะแค่สอนว่าเรารักใครไปแล้วก็ต้องดูแลกันและกันให้ดี ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทีคิดว่าพ่อกับแม่เองก็ปล่อยให้ลูกชายทั้งสองคนมีอิสระที่จะได้ลองสัมผัสกับมันด้วยตัวเอง
แต่ทีไม่เหมือนกับซี เขาไม่เคยเจอใครที่ทำให้รู้สึกอยากผูกพันด้วย
อาจเป็นเพราะอาการป่วยที่ทำให้ทีไม่อยากให้มีใครอีกคนต้องมาคอยพะวงเป็นห่วงเขาตลอดเวลา ที่ผ่านมาเขาถึงเลือกรักษาระยะห่างกับคนรอบข้างตลอด แต่ก็ไม่ใช่ว่าทีไม่เคยหวั่นไหวกับใครเลย แน่นอนว่าความรู้สึกดีๆ มันห้ามกันยาก แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่เลือกหยุดไม่ให้ตัวเองรู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น
คิดไปคิดมาฟังดูมืดหม่นชะมัด
ติ๊งเสียงข้อความเข้าทำให้ทีเหลือบไปมองมือถือที่วางไว้ข้างๆ ชื่อคนที่ส่งไลน์เข้ามาทำให้เขายิ้มออกมาบางๆ
โชคดีที่ซีมัวแต่นั่งคุยกับพ่อเรื่องวิชาเรียนอยู่ เลยไม่ทันได้เห็นเขา ไม่งั้นคงต้องโดนแซวไปอีกพักใหญ่แน่ๆ
…………
หลังจบมื้ออาหาร เขาก็ช่วยแม่ยกจานมาล้างที่ห้องครัว วันนี้พี่ฝ้ายขอตัวกลับก่อนเพราะต้องไปทำธุระ เขาเลยตั้งใจว่าจะช่วยแม่ทำความสะอาดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนขึ้นห้องไปอาบน้ำ
“ทีขึ้นไปพักเถอะ เดี๋ยวแม่เก็บเอง” แม่ห้ามเขาที่กำลังจะลงมือหยิบแปรงมาทำความสะอาดหม้อ
“ไม่เป็นไรครับแม่ ทีช่วย”
“งั้นแค่ขัดหม้อก็พอนะจ๊ะ เดี๋ยวคนในแชทรอนานน้า” เสียงแม่ที่แซวขึ้นเบาๆ ทำให้ทีเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดว่าแม่จะเห็นตอนที่เขาแอบอ่านข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
“อะ เห็นด้วยเหรอครับแม่” โดนจับได้แบบนี้เขาก็เขินเหมือนกันนะ ให้ตาย
“ใครกันนะที่กำลังจะได้หัวใจของลูกชายแม่ไป”
“โถ่ แม่ครับ หัวใจของทีก็อยู่กับแม่แล้วไง”
“จ้า อันนั้นแม่รู้อยู่แล้วล่ะ แต่แหม แม่เห็นเรานั่งยิ้มอยู่ตั้งนาน”
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ เขาก็เป็นคนที่คุยสนุกคนหนึ่ง”
“ทีรู้มั้ย คนที่คุยด้วยแล้วสนุก กับคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจน่ะไม่เหมือนกันนะ” อยู่ๆ แม่เขาก็พูดขึ้นมา ถึงจะเหมือนพูดขึ้นมาเฉยๆ แบบที่ไม่เกี่ยวอะไร ทีก็ยังยืนล้างหม้อแล้วตั้งใจรอฟัง กับเรื่องแบบนี้ แม่มักมีคำสอนดีๆ ให้เขาเสมอ
“แล้วเราจะแยกยังไงล่ะครับ ว่าคนไหนเป็นแบบไหน”
“นั่นสินะ ที่จริงทั้งสองแบบก็เป็นคนที่เราตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้คุยด้วยทั้งคู่…”
“แต่กับคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ สำหรับแม่นะ เวลาได้คุย เรามักอยากส่งสัญญาณอะไรกลับไปให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจด้วยเหมือนกัน มันเป็นเพราะลึกๆ เราเองก็รู้สึกขอบคุณจนอยากตอบอะไรบางอย่างไปให้ทางนั้นรู้สึกดี”
”...”
”ส่วนถ้าเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุก มันก็ไม่ได้ผิดอะไร เราแค่ไม่ได้รู้สึกติดใจว่าต้องตอบแทนเขา อะไรประมาณนี้ละมั้งจ๊ะ”
แม่ยกจานขึ้นวางบนตะแกรงก่อนจะหันมายิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่เหมือนเห็นลูกชายตัวเองทะลุปรุโปร่ง และใช่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนกับที่แม่รู้ทันทีเสมอ
“ก็… คงใช่ครับ เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับที่ผมแคร์คนในครอบครัว แบบว่าอยากดูแล ไม่อยากให้เขาทำหน้าเศร้าๆ อะไรประมาณนั้น แต่ยังไม่จริงจังหรอกนะครับแม่ แค่เกิดรู้สึกขึ้นมาเป็นบางครั้งเท่านั้น” เขาเกาจมูกแก้เขิน
“ของแบบนี้ เราตอบไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ หรอกจ้ะ ต้องรอดูกันไปยาวๆ”
แม่ปิดบทสนทนาค่ำคืนนี้ ก่อนไล่ให้เขาขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน (และตอบแชทคุณเพิ่ม) ซะที ทีที่เห็นว่าเหลืองานในครัวต้องจัดการอีกไม่เยอะแล้วถึงได้ยอมปล่อยมือ แต่ยังไม่วายเดินไปห้องนั่งเล่นลากเจ้าซีมาช่วยแม่เก็บโต๊ะให้เรียบร้อย เมื่อเห็นว่าซียอมมาช่วยแต่โดยดีแล้วเขาถึงได้เดินขึ้นไปห้องนอนของตัวเอง
เขาใช้เวลาอาบน้ำสระผมไม่ถึง 15 นาที จากนั้นถึงได้ล้มตัวลงนอนบนเตียง มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้าจอไลน์เพื่อตอบข้อความที่ส่งมาตั้งแต่ตอนเขายังกินข้าวอยู่
θ: อ๋อ ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ครับ
ทีพิมพ์ตอบไปแบบนั้น เมื่อตอนบ่ายคุณเพิ่มถามเกี่ยวกับเรื่องที่ไปหาหมอมา แต่ทีก็ไม่ได้ตอบอะไรไปนอกจากทุกอย่างปกติดี หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หายไปนานเหมือนกับยุ่งเรื่องงานอยู่ กลับมาอีกทีก็มายิงคำถามใส่เขาว่าเรียนคณะอะไรอยู่
p: ตอนแรกนึกว่าอยู่บัญชีซะอีก
θ: เปล่าครับ แต่ทุกวันนี้ก็เหมือนเรียนบัญชี มีตัวที่ต้องเรียนกับเด็กคณะนั้นเต็มไปหมด
p: พลัมก็เคยบ่นแบบนี้
ชื่อที่อีกฝ่ายพิมพ์มาทำให้ทีชะงัก เขาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป จ้องอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายพิมพ์ข้อความส่งมาเพิ่ม
p: ที่วันนั้นถามว่าฉันมีน้องสาวมั้ย
p: จริงๆ นายรู้จักพลัมอยู่แล้วรึเปล่า?
ในเมื่อไม่รู้จะโกหกไปทำไม ทีถึงได้ตอบกลับไปตามตรง
θ: ครับ รู้จักกันตอนรับน้องคณะ หลังจากนั้นก็มีทักทายกันบ้างถ้าเจอหน้า
p: อืม
ไม่มีข้อความต่อจากนั้นมาจากคุณเพิ่ม เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงในสถานการณ์นี้ แต่ที่แน่ๆ คือทีไม่อยากให้บทสนทนาจบลงแบบค้างคาอย่างนี้
θ: คุณเพิ่ม
p: หืม
θ: อยู่บ้านรึเปล่าครับ
p: อื้อ กลับมาสักพักแล้ว
θ: ผมคอลนะ
p: เห้ย เดี๋ยว---
ไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธ ทีกดตรงสัญลักษณ์รูปโทรศัพท์ขวาบนทันที ถือหูรอไม่นานทางนั้นก็กดรับ
‘จะโทรมาทำไมเนี่ย’
“เหงา”
‘เรื่องของนายสิ’
“ผมหมายถึง ไม่อยากให้คุณเหงา”
‘ไม่ได้เหงาซะหน่อย’
“แล้วนี่อยู่บ้านกับใครครับ”
‘อยู่คนเดียว’ เสียงปลายสายเหมือนเบาลงนิดหน่อย แต่ทีทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส
“เห็นมั้ย มีผมคุยด้วยดีกว่าเป็นไหนๆ”
‘ทำไมถึงชอบคิดเองเออเอง’
“ถ้าไม่ดีกว่า คุณคงไม่กดรับโทรศัพท์ผมหรอก ใช่มั้ยล่ะครับ”
‘จริงๆ ก็แค่ว่างอยู่ต่างหาก’ เขาได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจคล้ายยอมแพ้ นั่นทำให้ทีโล่งใจว่าอย่างน้อยคุณเพิ่มก็ไม่ได้คิดจะตัดสายเขาตั้งแต่ตอนแรกที่โทรมา
‘แล้วมีอะไรรึเปล่า’
“ที่จริงผมแค่จะโทรมาขอโทษที่ตอนนั้นโพล่งถามเรื่องพลัมไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่า…”
‘อืม ไม่เป็นไรหรอก’ ปลายสายตัดบท ทีเงียบไป เพราะสัมผัสได้ว่าทางนั้นไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
เขารู้ว่าตัวเองกำลังกระวนกระวาย เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้ว่าคนปลายสายกำลังไม่สบายใจ นั่นทำให้ทีนึกถึงคำพูดของแม่ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากทำให้อีกฝ่ายหายอึดอัด และหาทางออกจากบทสนทนาที่ดูยังไงก็ไม่ใช่เรื่องน่ามีความสุขนี่ซะที
“จริงสิครับ ที่คุณเคยถามผมเรื่องอาการป่วย”
‘หืม’ เขาที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องคงทำให้ปลายสายเกิดงงขึ้นมา
“ผมไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังหรอกนะ แต่จริงๆ แล้วผมเคยป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ครึ่งปีแน่ะ” ที่เขาตัดสินใจเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้คุณเพิ่มฟังนี่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ทีแค่คิดว่าการจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจ ทางนั้นต้องรู้สึกไว้วางใจจนอยากเปิดเผยความทุกข์ของตัวเองให้อีกคนได้รับฟัง
แล้วการที่จะได้รับความไว้วางใจแบบนั้น เราก็ต้องเอาความเชื่อใจไปแลกมาก่อนไม่ใช่รึไง
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องพลัม แต่ผมไม่ได้เล่าเพราะอยากแก้ตัวหรอกนะครับ ผมอยากเล่าเพราะมันถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งในชีวิตผมเลย” ทียิ้มกับตัวเองเมื่อได้ยินเสียงคนปลายสายขยับตัวแล้วครางตอบรับแบบพร้อมตั้งใจฟัง
“ตอนผมเข้ามัธยมปลายใหม่ๆ ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง อาการก็ทรงๆ เรื่อยๆ แต่ว่ามาทรุดลงหนักตอนผมอยู่ปีสองพอดี ตอนนั้นผมเลยต้องดรอปเรียน ทีนี้ก็เข้าโรงพยาบาลเป็นเรื่องเป็นราวเลยแหละ”
‘แบบนี้ก็เรียนไม่ทันคนอื่นน่ะสิ’ ทางนั้นถามกลับมา
“ครับ ตอนนี้ผมก็ช้ากว่าเพื่อนไปครึ่งปี น่าจะเป็นพาร์ทที่เศร้าที่สุดของชีวิตนายทีตาตอนนี้แล้วล่ะ”
‘ออกจะดี แบบนี้ยืมเลคเชอร์เพื่อนที่เรียนไปแล้วได้สบาย’
“ฮ่าๆๆ ผมทำแบบนั้นเลยแหละ นี่มั้งข้อดี ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตอนเรียนคุณก็นิสัยแบบเดียวกัน”
‘ฉันแค่ยกตัวอย่าง แต่ไม่ได้ทำซะหน่อย นี่หลอกด่ากันรึเปล่าเนี่ย’
“ให้เรียกว่าเรียนแบบมีการวางแผนล่วงหน้า”
‘เชื่อแหละ’ เสียงกวนๆ อีกฝ่ายทำให้ทีสัมผัสได้ว่าบทสนทนาเริ่มไปในทิศทางที่ผ่อนคลายขึ้น
“แน่นอนครับ เอาเป็นว่าหลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัดแล้วหายดี แต่ยังต้องกินยาอยู่เรื่อยๆ บางทียาก็มีผลข้างเคียงรุนแรง แบบที่ผมเป็นตอนอยู่บนบีทีเอสนั่นแหละ”
‘เท่าที่ฟังมา ยังไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีเท่าไหร่เลยนี่นา’ เพิ่มพูดขัดขึ้นมา
“ก็ใช่ครับ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า การผ่าตัดของผม... คือการปลูกถ่ายอวัยวะน่ะ”
‘...’
“คุณเพิ่ม?” เขาเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรกลับมา
‘โทษที ตกใจเลยแฮะ ฉันเพิ่งเคยคุยกับคนที่เปลี่ยนอวัยวะตัวเป็นๆ แบบนี้ครั้งแรกนี่แหละ’
“โถ่คุณ พูดเหมือนผมเป็นตัวประหลาด”
‘ก็คนประหลาดจริงๆ’
เสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่ายทำเขาใจกระตุก
“ประหลาดตรงไหนครับ เคสผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะก็มีเป็นร้อยเป็นพัน”
‘เปล่าหรอก แค่เคยได้ยินมาว่าอัตราความสำเร็จมันค่อนข้าง… น้อย เลยแปลกใจนิดหน่อย’ เหมือนอีกฝ่ายจะเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังเพราะคิดว่ากำลังทำร้ายจิตใจเขา แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เขาแบกรับมันมาก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดแล้วด้วยซ้ำ ตอนนี้ถึงไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่
“นั่นแหละครับ เพราะรอดมาได้ ผมถึงได้บอกว่าถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเลย”
ทียิ้ม หลับตาแล้วนึกถึงความรู้สึกของตัวเองตอนลืมตาขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี
“ถึงผมจะไม่เคยรู้ว่าเจ้าของอวัยวะเป็นใคร แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณเขามากจริงๆ ทุกครั้งที่นึกถึงช่วงเวลานั้น ผมก็รู้สึกว่าชีวิตที่ได้รับสานต่อมานี้… ผมอยากใช้มันให้ดี”
เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอจากปลายสายทำให้ทีนึกว่าคุณเพิ่มหลับไปแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงพูดออกมา
‘ขอบคุณ’
“ขอบคุณทำไมครับ?” เขาสงสัย
‘ที่เล่าให้ฟัง’
“ผมก็ดีใจที่คุณยอมฟัง” ทีอมยิ้ม ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดต่อ
‘ฉันว่านะ’
“ครับ?”
‘คนคนนั้นที่มอบอวัยวะให้ที เขาต้องดีใจมากแน่ๆ ขนาดฉันที่เป็นคนฟังยังรู้สึกได้เลยว่า...
ดีแล้วที่เป็นนาย ’
หลังได้ยินประโยคนั้น ใจทีกระตุกแบบผิดจังหวะไปหลายสเต็ป มันไม่ได้เต้นรัวแบบตอนที่เจอหน้ากันก็จริง แต่หัวใจเจ้ากรรมดันส่งสัญญาณแปลกๆ เพราะคำพูดของคุณเพิ่ม
และทีรู้ดีว่ามันไม่ใช่อาการของโรค
“ผมก็อยากให้เขาคิดแบบนั้นครับ”
หลังจากนั้น คุณเพิ่มกับเขาก็คุยกันเรื่อยเปื่อย ทั้งที่ไม่มีสาระสลักสำคัญอะไร แต่ทีกลับรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีจนไม่อยากให้จบลง แต่สักพักอีกฝ่ายก็ขอตัววางสายไปเพราะง่วง เขาเองก็วางโทรศัพท์ที่หัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอน หัวใจที่เต้นแบบแปลกๆ ถึงได้ค่อยๆ สงบลง
ทีหลับตา
ที่เคยคิดว่าไม่อยากผูกพันกับใคร
ถ้าคราวนี้เขาอยากลองเป็นคนเห็นแก่ตัวดูบ้าง… จะเป็นอะไรมั้ยล่ะเนี่ย
tbc.
มาเป็นกำลังใจให้พ่อคนเห็นแก่ตัวที่ยิ้มเก่งที่สุดในโลกคนนี้กันค่ะ ♡