CHAPTER 12: Remember to Never Forget ‘Philosophy bakes no bread.
โปรดบรรยายข้อความดังกล่าว โดยประกอบด้วย ความหมายของข้อความ ความคิดเห็นของนักศึกษาต่อข้อความ และเหตุผลที่สนับสนุนและคัดค้านความคิดเห็นของนักศึกษา’ (10 คะแนน)
‘นักศึกษาโปรดลำดับเวลาการศึกษาปรัชญา ตามที่ได้เรียนมาหนึ่งภาคการศึกษา
โดยประกอบด้วย กำเนิดการศึกษาปรัชญา นักปรัชญาแต่ละยุคสมัยพร้อมแนวคิด และเปรียบเทียบวิวัฒนาการ แนวคิดทางปรัชญาของแต่ละท่านตามเงื่อนไขเวลา ตามด้วยความคิดความรู้สึกของนักศึกษาต่อทั้งวิชาปรัชญาและการศึกษาปรัชญา’ (10 คะแนน)
‘วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงวิชาปรัชญาสำหรับนักศึกษาคืออะไร โปรดอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง’
(10 คะแนน)
‘นักศึกษาคิดว่าปัจจัยใดทำให้หลงลืมการมีอยู่ของปรัชญา และในขณะเดียวกัน ปัจจัยใดทำให้ตระหนัก ถึงการมีอยู่ของปรัชญา โปรดอธิบายอย่างชัดเจนในแบบของนักศึกษา พร้อมสรุปด้วยว่า ปรัชญาคืออะไร’
(10 คะแนน)
‘หากนักศึกษามีชีวิตอยู่ในยุคกรีกโบราณ นักศึกษาต้องการฝากตัวเป็นศิษย์นักปรัชญาท่านใด เพราะเหตุใด’ (10 คะแนน) พชรเลิกคิ้วใส่ข้อสอบ.. ข้อสอบที่ประกอบด้วยโจทย์สั้นบ้างยาวบ้างและสมุดคำตอบหนึ่งเล่มที่ซ้อนหลังอยู่
เจ้าของใบหน้าคม เชื้อสายเกษตรกรถอนหายใจเหยียดยาว เอนแผ่นหลังกำยำพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาหลับลง
เมื่อคืนเขานอนน้อยเหลือเกิน เพราะกว่าเจ้าของแว่นแดงจะหลับสนิทแล้วลุกขึ้นไปถอดแว่นให้เจ้าตัวได้ก็ปาเข้าไปดึกสงัด
พชรพยายามเรียกสติและดึงสมาธิกลับมาอยู่กับข้อสอบทั้งเปลือกตาปิดสนิท..
“ทำอะไร พชร?”
อาจารย์วัยใกล้เกษียนเดินผ่านมาเงียบเชียบ เอ่ยถามเบาๆด้วยน้ำเสียงชวนขนหัวลุก
“ทำสมาธิครับ” พชรพึมพำตอบ และคนถามก็ยักไหล่ก่อนเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงคำย้ำเตือน
“อย่าทำจนหลับไปล่ะ มีตื่นมาไม่ทันทุกปี”
ตื่นมาไม่ทัน..พชรได้ยินดังนั้นจึงลืมตาขึ้น ลงมือทำข้อสอบทันทีเพราะคิดว่าได้ทำสมาธิเพียงพอแล้ว สมองคิดให้วุ่นว่าจะทำอย่างไรกับโจทย์ทั้งห้าข้อและสมุดคำตอบว่างๆข้างตัว
เอาล่ะ..
“อาจารย์ครับ” พชรยกมือ
“ว่าไง พชร?”
เสียงเข้มถามเสียงดังฟังชัด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน
“ผมขีดหรือเขียนอะไรลงในกระดาษข้อสอบได้ใช่ไหมครับ”
“เอาแค่อย่าลามไปเขียนโต๊ะ”
“ขอบคุณครับอาจารย์”
โอเค..
พชรอ่านโจทย์ซ้ำอีกครั้ง และใช้ดินสอขีดลงไปในสิ่งโจทย์ต้องการเพื่อจะตอบให้ครบถ้วน และจัดการเขียนใหม่สั้นๆ
๑. ‘Philosophy bakes no bread.’ ความหมาย ความคิดเห็น เหตุผลที่สนับสนุน,คัดค้าน
๒. ลำดับเวลาการศึกษาปรัชญา: จุดกำเนิด, นักปรัชญาแต่ละยุค, แนวคิด, เปรียบเทียบวิวัฒนาการตามเงื่อนไขเวลา, ความคิด+ความรู้สึกต่อวิชาปรัชญาและการศึกษาปรัชญา
๓. วิธีที่ดีที่สุด อธิบาย+ตัวอย่าง
๔. ปัจจัยที่หลงลืม,ปัจจัยที่ตระหนัก อธิบาย+ตัวอย่าง (สรุป ปรัชญาคือ?)
๕. ต้องการเป็นศิษย์ท่านใด ทำไม “อาจารย์ครับ” พชรยกมืออีกครั้ง
“ว่าไง พชร?”
“ไม่ต้องทำตามลำดับข้อก็ได้ใช่ไหมครับ”
“เอาแค่ทำมาให้ครบทุกข้อ”
“ขอบคุณครับอาจารย์”
“อ้อ..” อาจารย์เสริมเมื่อนึกขึ้นได้
“แต่ขอร้อง ช่วยระบุเลขข้อมาให้ชัดเจนด้วยนะ เพราะบ่อยครั้ง.. อาจารย์ไม่ทราบเลยว่านักศึกษากำลังตอบข้อไหนอยู่”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“เกรียน เกรียน แบบเกรียนมาก!”หนึ่งในนักศึกษาปรัชญาพ่นลมหายใจ ขณะกระซวกเส้นใหญ่เย็นตาโฟอย่างเมามัน
“ถามมาได้ว่าถ้ากูอยู่ในยุคโบราณ กูจะไปฝากตัวเป็นศิษย์นักปรัชญาคนไหน โอ้ว กูจะให้เหตุผลยังไงดี”
“กูทำข้อนั้นก่อนเลย กูว่าทำได้สุดแล้ว” อีกคนผสมโรง “กูเป็นศิษย์อริสโตเติล!”
“กูเป็นศิษย์เพลโต” อีกคนตอบบ้าง “ปล่อยกูอยู่ในโลกของแบบของกูไปแล้วกัน อย่ามายุ่งกับกูเลย”
ฮ่ะๆ! ทั้งโต๊ะฮาครืน
“แล้วมึงเป็นศิษย์ใคร พชร?” คนเดียวที่นั่งทานข้าวเงียบๆถูกดึงเข้าสู่วงสนทนาจนได้
พชรนึกขำผองเพื่อน ทว่าก็เพียงยักไหล่น้อยๆ ตอบสั้นๆ
“ธาเลส”
“ทำไมวะ?”
ทำไมหรือ..
“เพราะกูเชื่อว่าน้ำคือชีวิต”
เกษตรกรยังไงก็เป็นเกษตรกรล่ะน่า.. ร่างสูงเดินแยกจากคณะพรรค ปฏิเสธการไปเที่ยวฉลองสอบเสร็จ โดยให้เหตุผลตามตรงว่าจะรีบกลับบ้านไปทำงานต่อ ขายาวก้าวไปทางหอสามชาย
ผ่านภาคเรียนแรกของชั้นปีที่หนึ่งไปแล้วสินะ.. ใบหน้าที่ตามปกติเฉยชาอดจะมีรอยยิ้มน้อยๆไม่ได้ ขณะรู้สึกถึงกระดาษร่างคำตอบวิชาปรัชญาที่ม้วนอยู่ในมือ
ภายในห้อง 338 ว่างเปล่าเมื่อเขาย่างเท้าเข้าไป รูมเมททั้งสองคงยังสอบอยู่ที่คณะ
พชรถอนหายใจน้อยๆ เอาดินสอปากกาและกระดาษร่างในมือไว้ในลิ้นชัก หยิบหมวกกันน็อคลงมาจากหลังตู้
สายตาอดไม่ได้ที่จะทอดมองเตียงล่างที่อยู่มุมห้องด้านติดระเบียง เตียงที่เป็นต้องลุกขึ้นไปทุกคืนเพื่อถอดแว่นให้เจ้าของซึ่งหลับปุ๋ยทั้งแว่นแดงคาตา
คนอะไร ..เหลือเกินจริง
ศีรษะส่ายน้อยๆ หยิบกุญแจรถจากบนโต๊ะขึ้นมา ตั้งท่าจะหันหลังออกจากห้อง ทว่า ก็ต้องหันกลับมาอีกครั้ง
สายตาทอดมองภาพการ์ตูนที่แปะอยู่บนผนัง พร้อมด้วยข้อความเล็กๆในภาพทั้งสองภาพ
‘กูคือม่อนแจ่มแห่งวิศวฯเครื่องกล’
‘กูไม่ชอบมึง’
‘มึงจะต่อยกับกูไหม!?’
คนอะไร ..ยิ่งกว่าเหลือเกินเสียอีก
‘พรุ่งนี้ กูสอบเสร็จบ่ายสาม กลับมาหอแล้ว ..จะได้เจอหรือไม่ได้เจอพชรเหรอ’เสียงที่ได้ยินเมื่อคืนลอยเข้ามาในห้วงคำนึง
พชรสะบัดศีรษะนิดหนึ่ง นึกสงสัยว่านี่มันกี่โมงแล้ว
ไม่มีนาฬิกาตั้งโต๊ะหรือติดผนังในห้อง พชรเองก็ไม่ชอบใส่นาฬิกาข้อมือ อันที่จริง.. เขาไม่ชอบใส่อะไรบนข้อมือทั้งนั้น มันเกะกะเกินไปสำหรับคนที่มักจะมือเลอะเทอะเศษดินเศษหญ้าและต้องใส่ๆถอดๆถุงมือยาง
มือแกร่งจึงล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กขึ้นมาแทน
11.25
ใช่สินะ.. มันไม่มีทางเป็นบ่ายสามโมงไปได้หรอก
พชรใส่โทรศัพท์มือถือกลับลงในกระเป๋ากางเกง ห้ามสายตาจากการหันกลับไปมองเตียงล่างปูผ้าลายหมีพูห์ แล้วรีบก้าวยาวๆออกจากห้อง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
15. ไม้จัดเป็นวัสดุประเภทใด“พอลิเมอร์” ปากเรียวขมุบขมิบพลางฝนคำตอบ
22. เหล็กกล้าไร้สนิมเกรด 18-8 หมายถึง เหล็กกล้าที่ผสมโลหะชนิดใดเป็นปริมาณสูงสุดสองชนิดแรกดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองตัวเลือก.. ก่อนจะฝนคำตอบ ‘ค. โครเมียม-นิเกิล’
34. ข้อใดเป็นสิ่งที่สามารถทราบได้จากแผนภาพเฟส (Phase diagram)
อุณหภูมิที่โลหะผสมเริ่มแข็งตัวเป็นของแข็ง
สภาพการละลายได้ของธาตุหนึ่งในอีกธาตุหนึ่ง ณ สภาวะสมดุล
เฟสต่างๆ ที่มีอยู่ในเนื้อวัสดุมันก็รู้ได้หมดเลยนี่หว่า.. ถูกทุกข้อเถอะครับพี่น้อง..
45. ข้อใดคือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในแผนภาพเฟสของ Fe-Fe3C ที่กำหนดให้ห๊ะ? คราวนี้คิ้วเรียวขมวดมุ่น จ้องมองแผนภาพเฟส
“สติ ม่อน สติ!” พึมพำเตือนตัวเองเบาๆ ตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากใจ โฟกัสเพียงแผนภาพเบื้องหน้า
แล้วจึงฝนคำตอบอย่างลังเล ‘ก. Peritectic, Eutectic, Eutectoid’
50. เซรามิกสามารถรับแรงชนิดใดได้ดีที่สุดโอเค.. กลับมามั่นใจอีกครั้ง ฝนคำตอบ ‘ง.แรงอัด (Compression)’
มือขาววางดินสอ สูดลมหายใจ ใช้ไม้บรรทัดเล็ก(ลายลาน้อยอียอร์ทำหน้างุนงงใส่พูห์)ทาบกระดาษคำตอบทีละข้ออีกครั้งว่าได้ตอบครบแล้ว จึงยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้กรรมการคุมสอบมาเก็บกระดาษคำตอบไปได้
“อ้าว ไอ้ม่อน มาพอดี”เสียงทักดังมาเมื่อม่อนแจ่มเดินผ่านโต๊ะม้าหินอ่อนที่ก๊วนสิ่งแวดล้อมของไอดิลมักจะนั่งอยู่
“ไอดิลมันยังทำข้อสอบไม่เสร็จเลย แม่งคงกะเอาท็อป มึงรอนี่ก่อน”
“หรือไม่ แม่งอาจจะคิดคำตอบยังไม่ออก”
ม่อนแจ่มให้ความเห็น ทำเอาพีระศิลป์เพื่อนสิ่งแวดล้อมของคู่ซี๊หัวเราะลงลูกคอ
“อ้าว แล้วนั่นมึงจะรีบไปไหน?”
ถามเพราะเห็นเพื่อนร่วมคณะรีบจ้ำอ้าวจากไปแล้ว ไม่นั่งที่โต๊ะด้วยกันอย่างทุกวัน
“บอกไอ้ดิ้ลด้วยว่ากูกลับหอก่อน”
“กูว่าจะชวนมึงไปชมรมอาร์ทติส วาดรูปกัน”
“ไว้วันหลัง!” ม่อนแจ่มตะโกนตอบ แล้วรีบวิ่งสุดฝีเท้ากลับหอสามชาย
เข้าประตูหน้าได้ก็รีบแจ้นขึ้นบันไดจนหอบแฮ่กๆ กระนั้นก็มาหยุดเอาเมื่อถึงหน้าประตูห้อง 338
มือสั่นๆ เร่งเสียบกุญแจแล้วเปิดผางเข้าไป..
.
.
ไม่มีใครอยู่ในห้อง ..เช่นที่ไม่น่าจะมี
โธ่..
ม่อนแจ่มถอนหายใจยาว จำต้องทรุดนั่งลงบนพื้นเพราะเหนื่อยจนหมดแรงจากการวิ่งไม่หยุด ทั้งที่ขาก็ไม่ใช่ว่าจะยาวอะไรนัก
เฮ้อ..
แม้จะคาดเอาไว้ว่าคงไม่เจอ แต่เขาก็ยังอยากรีบกลับมา และแม้จะไม่เจอจริงๆ เขาก็ยัง..
นั่งทั้งทีก็ขอนั่งใกล้ๆหน่อยแล้วกันวะ ร่างเล็กขยับเข้าใกล้เตียงเดี่ยว เตียงที่นอนมองนอนจ้องทุกคืนจนหลับปุ๋ย พลางถอนหายใจอีกครั้งอย่างอ่อนล้า นั่งตะแคงข้างพิงเตียงเดี่ยวของรูมเมทปรัชญา ศีรษะเล็กซบลงบนผ้าปูที่นอนสีเข้ม
หลังจากที่นอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก เพราะยิ่งใกล้ปิดเทอม น้ำหนักในช่องท้องยิ่งโหวงเหวงอย่างน่าประหลาด หลังจากวันอันยาวนานที่สอบติดๆกัน และหลังจากรีบวิ่งออกจากห้องสอบวัสดุวิศวกรรมกลับมาที่หอทันที ทำให้ร่างกายตระหนักได้ในตอนนี้ว่า..เขาหมดพลังแล้ว
งืม..
ม่อนแจ่มนั่งนิ่งๆจนลมหายใจค่อยๆเป็นปกติ ปกติจนแทบจะกลายเป็นสม่ำเสมอ
ไม่ไหวแล้ว.. ม่อนแจ่มง่วง ง ง ง..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ให้ตายเถอะ.. นี่มันเกินไปแล้วพชรอุตส่าห์ไม่ถามตัวเองแล้วว่าขี่รถออกไปนอกมอแล้วจะวนกลับเข้ามาหอพักอีกทำไม
แล้วทำไมก่อนหน้าจะไปถึงได้รออยู่เป็นค่อนวัน แล้วนี่เขากลับเข้ามาเพื่อจะพบว่า..
ร่างสูงถอนหายใจยาว มือแกร่งกุมขมับ มองร่างเล็กที่หลับปุ๋ย ศีรษะเอนซบกับเตียงตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก
เฮ้อ..
นอนอยู่ได้ยังไงแบบนี้ ประตูห้องก็ไม่เปิด จะหายใจหายคอออกได้อย่างไร
คิดได้ดังนั้น ขายาวจึงก้าวไปที่ประตูระเบียง หมุนลูกบิดเปิดรับอากาศจากภายนอก ไม่ให้คนภายในห้องอึดอัด แล้วจึงเดินมากดเปิดพัดลมหมุนโบกให้อากาศจะได้ถ่ายเท
จะปลุกไปนอนบนเตียงดีไหม ..พชรลังเล
ปลุกแล้วก็ต้องตื่น ..ตื่นแล้วก็คงถาม ..ยิ่งถามมากๆอยู่
ยิ่งถามก็ยิ่งหวั่นไหว เดี๋ยวเป็นได้ทำอะไรไม่สมควรอีก แย่จริง..
พชรส่ายศีรษะน้อยๆ ถึงอย่างไรก็ปล่อยให้นอนเมื่อยต้นคออยู่เช่นนี้ไม่ได้หรอก ยังไงก็ไม่ได้..
ร่างกำยำทรุดนั่งลงข้างๆเตียง ดวงตาสีเข้มพิจมองใบหน้าอีกฝ่าย ห้ามตัวเองไม่ไหวที่จะยื่นมือไปค่อยๆสัมผัสเรือนผมนุ่มนั้น
“เครื่องกล..”
“อือ..” เสียงน้อยๆในลำคอครางตอบ
พชรจำต้องหยุดตัวเองจากการโน้มหน้าเข้าไปในระยะอันตราย โดยการเรียกเสียงหนักขึ้น
“เครื่องกล ไปนอนที่เตียงเถอะ”
“อือ..” จำน้ำเสียงได้ คนหลับจึงพึมพำเรียกแผ่วๆ “พชร”
รู้สึกถึงสัมผัสบนเรือนผม แขนเล็กจึงยกขึ้นจับสัมผัสนั้นเอาไว้ สัมผัสจากฝ่ามือ ..มือพชร..
เอ๊ะ.. ดวงตาที่ปิดสนิทก่อนหน้าค่อยๆลืมขึ้น ยังงงๆอยู่กับสัมผัส รู้สึกคล้ายเป็นความฝัน แต่..
“พชร!?” ม่อนแจ่มกระพริบตาปริบๆ พชรจริงๆด้วยนี่นา
..
“อืม”
ก็ไม่รู้จะว่ายังไง จะบอกว่า 'กูไม่ใช่พชร' ก็คงไม่ได้ เจ้าของชื่อจึงเพียงครางตอบรับเบาๆ แล้วละมือออกมา ค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้น
“กูนึกว่ามึงกลับบ้านแล้วเสียอีก” ม่อนแจ่มค่อยๆลุกตาม ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
จริงสินะ เขารีบวิ่งจนลืมสังเกตว่า Kawasaki D-tracker ดำ-เขียวยังจอดอยู่หน้าหอหรือเปล่า
“อืม”
ได้เพียงครางรับในลำคออีกครั้ง แล้วพชรจึงหยิบหมวกกันน็อคที่วางไว้บนเตียงก่อนหน้าขึ้นมาถือไว้ เตรียมออกจากห้องอย่างที่ทำซ้ำๆมาตลอดค่อนวัน
“เฮ้ยๆ เดี๋ยว!” ม่อนแจ่มรีบรั้งไว้อย่างงงๆ “จะกลับแล้วเหรอ?”
“อืม..”
เสียงตอบที่คาดได้..
“อะ” ม่อนแจ่มอึกอัก
อะไรวะ ตื่นก็เพิ่งตื่น อุตส่าห์ตื่นมาเจอ พชรจะไปแล้ว แล้วอีกตั้งหลายวันกว่าจะเปิดเทอม..
ฟันเฟืองในหัวหนุ่มเครื่องกลหมุนกันให้วุ่น ในที่สุด ม่อนแจ่มก็คิดว่า..
“สองนาที”
ห๊ะ?
พชรเลิกคิ้วกับถ้อยคำนั้น
“ขอสองนาที!” ม่อนแจ่มย้ำ หมุนตัวกลับหลัง เพ่งมองบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ที่สุด ..โต๊ะของพชร ..โต๊ะที่มีเอกสาร Introduction to Philosophy วางอยู่ ข้างกันมีสมุดบันทึกฉีกได้แบบไร้เส้นและดินสอด้วย พอดีเลย..
“ขอใบนึงได้ไหม?” หน้าเรียวหันกลับมาถาม
ห๊ะ?
พชรยังงงๆ..
“กระดาษ” ม่อนแจ่มย้ำอีก “ขอกระดาษใบนึงนะ”
ขอกระดาษใบนึง..
“อืม”
“ยืมแป๊ปด้วยนะ” มือเรียวชูดินสอไม้ขึ้นมา
“อืม”
“ขอเวลาสองนาทีนะ”
..
“อืม..”
ม่อนแจ่มยิ้มกว้างอีกครั้ง ดึงกระดาษออกจากสมุดบันทึก ตวัดดินสอจรดลงบนแผ่นกระดาษสีหม่นรวดเร็ว
มือขาวนั้นลากเส้นไปมาอย่างคล่องแคล่วในแบบที่มือแกร่งสีแทนไม่มีทางทำได้
ไม่มีคำพูด ไม่มีอะไร มีแต่เสียงลมหายใจ เสียงลมพัดผ่าน เสียงขูดขีดของดินสอในมือม่อนแจ่ม
พชรมองเพลิน.. มองค้างอยู่อย่างนั้น..
ไม่รู้เลยว่ามันผ่านไปสองนาที หรือสิบนาที หรือกี่ชั่วโมง เมื่อคนที่นั่งเก้าอี้เขา ใช้กระดาษเขาและดินสอเขา (โดยขออนุญาตแล้ว) ลุกขึ้นยืนและหันกลับมายื่นแผ่นกระดาษให้..
.
.
มือแกร่งค่อยๆยกขึ้น ..รับแผ่นกระดาษที่ถูกยื่นมาตรงหน้า
ภาพการ์ตูนอีกแล้ว..
ภาพนักศึกษาชายคนหนึ่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์โมตาร์ด สองมือจับแฮนด์ ศีรษะสวมหมวกกันน็อค
ลายเส้นแสดงให้เห็นว่ารถกำลังวิ่งอยู่บนถนน.. และป้ายข้างทางก็บ่งไว้ว่าเขากำลังไปไหน..
‘ลำพูน 35’
ข้างใต้มีข้อความเพิ่มนิดหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเห็นบนป้ายบอกทางไม่ว่าครั้งใดที่ขี่รถกลับบ้าน..
'Ride Carefully'
มุมล่างขวาของภาพมีลายเซ็นภาษาอังกฤษตัวเขียนติดกันเป็นพรืดกำกับเอาไว้ อ่านได้ว่า..
‘Mon Cham of Mechanical Engineering’
..ชะงักนิ่งไปหลายอึดใจ
ก่อนที่คนถูกวาดจะเงยขึ้นมามองคนวาดให้เต็มๆตาอีกครั้ง..
“ปิดเทอมตั้งค่อนเดือน” ม่อนแจ่มอธิบาย ยิ้มตอบสายตาที่มองมา
..
“มึงจะได้ไม่ลืมกู..”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
กลับบ้านประดิษฐาพงศ์อีกครั้ง.. ม่อนแจ่มใส่เกียร์หมาและแมวพุ่งลงจาก Mercedes Benz เข้าไปสวมกอดป้าเพ็ญร่างอวบทันที
“โอ๊ยยย คุณม่อน!” แม่บ้านตีท่อนแขนเรียวเบาๆอย่างเอ็นดู “ทำอะไรเป็นเด็กๆไปได้คะ?”
“แล้วใครบอกป้าเพ็ญว่าม่อนโตครับ” ม่อนแจ่มย้อนถามพลางหัวเราะ กระชับอ้อมแขนที่โอบไม่รอบให้แน่นขึ้นอีก
“คุณม่อนละก็!”
“แหม” ม่อนแจ่มละอ้อมแขนออกมา “ก็ม่อนไม่ได้เจอป้าเพ็ญตั้งนานแล้วนี่ครับ มีเรื่องมาเล่าให้ฟังตั้งเยอะแยะ”
เป็นต้นว่า.. ม่อนได้นั่งมอเตอร์ไซค์ครั้งแรก ซ้อนท้ายรูมเมทปรัชญาที่ไม่ชอบขี้หน้าม่อน
ม่อนเผชิญหน้ากับ ‘สิ่งที่ป้าเพ็ญรู้ดีว่าอะไร’ ในห้องน้ำและห้องนอน ซึ่งครั้งหลังนั้น เมทปรัชญาคนเดิมก็อุ้มม่อนด้วย
รุ่นพี่เล่าเรื่อง ‘สิ่งที่ป้าเพ็ญก็รู้อีกว่าอะไร’ ให้ม่อนฟัง จนม่อนขี้ขึ้นหมอง ไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำ แต่ที่สุด ม่อนก็ทำได้ ด้วยความช่วยเหลือของรูมเมทปรัชญาคนเดียวกันนั้น
ม่อนเจอสถานการณ์ไฟดับครั้งที่สองและรูมเมทปรัชญาคนที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่ยอมให้ม่อนไปแจกของ
ก็อย่างว่าแหละ เขาไม่รู้หรอกครับ ว่าม่อนน่ะมีคุกกี้ซุกไว้ใต้โต๊ะกี่ถุง!
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาอวยพรม่อนในการสอบเคมี ด้วยถ้อยคำที่ม่อนไม่มีวันลืม..
“รอบนี้ยิ้มร่าเชียวนะคะคุณม่อน” ป้าเพ็ญหรี่ตา “ชีวิตหอในสดใสแล้วสิคะ”
ม่อนแจ่มพยักลำคอรัวๆ ใบหน้าขึ้นสีจัด ริมฝีปากร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ขณะนึกถึงความสดใสที่ว่า
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ ป้ามีบัวลอยไข่หวาน ของชอบของคุณม่อนด้วย”
บัวลอย บัวลอยไข่หวาน!
“เสื้อผ้ามิพักต้องเปลี่ยนดอกครับ!”
ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก ร่างเล็กรีบวิ่งเอาของไปเก็บ ก่อนกลับมาจัดการกับเจ้าบัวลอยอย่างสาสม พร้อมทั้งเม้าธ์มอยกับป้าเพ็ญอย่างสนุกสนาน
สาวใหญ่ร่างอวบหัวเราะน้อยๆ ขณะรับฟังเรื่องราวของคนคนนี้อีกครั้ง เรื่องราวของ ‘รูมเมทปรัชญาที่ไม่ชอบขี้หน้าคุณม่อน’
ยามค่ำ ณ บ้านประดิษฐาพงศ์ สามสมาชิกหลักทานมื้อค่ำร่วมโต๊ะกันอย่างที่เคย
ไม่มีคำพูดมากนักระหว่างมื้ออาหารดังที่เป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ม่อนแจ่มก็ยังพอใจกับคำถามแบบเดิมของบิดา แม้ว่า วันนี้ มารดาจะดูเครียดๆอยู่สักหน่อย ท่านคงจะเป็นกังวลเรื่องงานกระมัง
“สอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะม่อน?”
คำถาม ..คำถามที่ม่อนแจ่มคาดเดาได้ เขากำลังรออยู่เลยเชียว
บิดาถามคำถามทำนองนี้ตามสถานการณ์เสมอ
ไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกไหมล่ะม่อน
เรียนเป็นอย่างไรบ้างล่ะม่อน
อยู่หอเป็นอย่างไรบ้างล่ะม่อน
เพราะฉะนั้น
สอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะม่อน ต้องมาแน่!
“ดีครับ” ม่อนแจ่มเขมือบทอดมันกุ้งแล้วเอ่ยตอบ “ม่อนว่าพอทำได้ครับคุณพ่อ”
นายพจน์พยักหน้าบางๆ ส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอ
แล้วก็แค่นั้น..
ม่อนแจ่มเกือบจะหลุดขำ บิดาเขาเป็นคนพูดน้อย ท่านถนัดแต่ทำงาน กลับบ้านก็อ่านหนังสือ เข้านอนแต่หัวค่ำ
ท่านพูดน้อยมากจริงๆ เพราะฉะนั้น ที่อุตส่าห์ถามนี่ เขาก็ต้องขอบคุณแล้ว!
ม่อนแจ่มเผลอมองใบหน้าคมนิ่งของบิดา สีหน้าเรียบเฉยนั้นไม่แสดงความรู้สึกใด ชั่งขัดกับดวงตาที่เปี่ยมความปราณีคู่นั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์..
ม่อนแจ่มก้มหน้าลง ซ่อนรอยยิ้มน้อยๆเอาไว้
นี่ถ้าอยู่ที่หอ เขาก็ไม่สงสัยเลยว่าลักษณะท่าทางแบบนี้จะเป็นของใคร..
นั่นสินะ.. รู้แล้วว่าทำไมถึงคุ้น..
‘เราเคยเจอกันมาก่อนไหม’
‘ไม่’
‘จริงเหรอ’
‘กูไม่เคยโกหก’ม่อนแจ่มไม่อยากเชื่อว่าในโลกนี้จะมีใครไม่เคยโกหก
เหตุผล สถานการณ์ ปัจจัยให้ต้องโกหกในแต่ละวันมีเยอะแยะไปหมด จะเป็นไปได้หรือที่ใครสักคนจะไม่เคยโกหกเลย
แต่ก็คงเหมือนความกล้าหาญ ในเมื่อคนบางคนมีความกล้าหาญมากพอที่จะไม่กลัวอะไรเลยได้ ก็คงมีความซื่อสัตย์มากพอที่จะไม่โกหกเลยได้เช่นกัน
อย่างน้อย ในเรื่องที่ไม่เคยเจอกัน เจ้าของเสียงเข้มนั้นก็ไม่ได้โกหก เพราะเราไม่เคยเจอกันจริงๆนั่นแหละ
“ม่อน..”
“ม่อน?”
“ม่อน!”เย้ย!
“คะ..ครับ คุณพ่อ” คนถูกเรียกสะดุ้งโหยง หลุดจากห้วงความคิด
“เป็นอะไรไป?” นายพจน์เลิกคิ้วให้บุตรชายที่มองเขาค้างอยู่หลายนาที
“ปละ.. เปล่าครับ” ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก เพิ่งรู้สึกตัวว่ามองไปทางบิดานานเกินไปแล้ว
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“แหะๆ ไม่มี ..ไม่มีครับคุณพ่อ”
ม่อนแจ่มหลบสายตา
บ้าจริง..
ไม่ถึงวันก็คิดถึงขนาดนี้เสียแล้ว. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“เพิ่งสอบเสร็จ ไม่พักผ่อนก่อนหรือพชร?” เพชรลดาเอ่ยกับลูกชายอย่างห่วงใย พชรยิ้มตอบนิดหนึ่ง “ไม่เป็นไรครับ ผมกลับช้า”
ร่างกำยำจอดมอเตอร์ไซค์ใต้ถุนบ้าน กำกุญแจไว้หลวมๆ ก้าวยาวๆขึ้นมาบนบ้าน นั่งลงที่โต๊ะประจำเพื่อตรวจสอบบัญชีของเดือนนี้
“บิลของวันนี้ครับคุณพชร พอดีเพิ่งมาส่งตอนสี่โมง ผมเลยยังไม่ได้ใส่ไว้ในสมุด”
ชายร่างเล็กวางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะ พลางยิ้มให้เจ้านายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ” พชรเงยหน้าขึ้น มองคนงานคนสนิทที่คุ้นเคย “..ลุงแสง”
หน้าเรียวทว่ากร้านแดดพยักรับ ใบหน้าที่แม้เหน็ดเหนื่อยกับงานมีรอยยิ้มเป็นนิจ ดวงตาภายในกรอบแว่นดำเป็นประกายอยู่ในทีเหมือนที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก..
ดวงตาแบบนี้.. รอยยิ้มเช่นนี้..“คุณพชร..”
“คุณพชรครับ?”“ครับ ครับ!” คนถูกเรียกสะดุ้งน้อยๆ ขณะตอบรับ “ครับลุงแสง”
“คุณพชรเป็นอะไรหรือเปล่า” หนุ่มใหญ่เลิกคิ้ว “มีตรงไหนมีปัญหาหรือครับ”
“ไม่มีครับ” หน้าคมส่ายน้อยๆ ลอบถอนหายใจเครียดๆ ก้มลงพิจตัวเลขต่อไปจนแล้วเสร็จ..
เวิ้งฟ้าสวนเพชรหละปูนดารดาษด้วยดวงดาวเช่นที่เป็นมาเสมอในคืนเดือนแรม
ร่างสูงนอนบนท่อนแขนตัวเองภายในเต็นท์ใหญ่ที่กางไว้บนระเบียงกว้าง แสงดาวลอดผ่านม่านตาข่ายโปร่ง
แขนอีกข้างยกขึ้น แผ่นกระดาษสีหม่นอยู่ในมือ สายตามองลายเส้นในภาพนั้น..
ภาพชายหนุ่มกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ไปลำพูน ..ระยะทางอีก 35 กิโลเมตร ..ป้ายยังบอกให้ขี่ด้วยความระมัดระวังอีกด้วย
ภาพกำกับชื่อคนวาด ‘Mon Cham of Mechanical Engineering’
‘มึงจะได้ไม่ลืมกู..’ถ้อยคำนั้นทวนซ้ำอยู่ในความคำนึง
ลืมอย่างนั้นหรือ? พชรถอนหายใจยาว
เอาแค่เลิกคิดถึงตลอดเวลาให้ได้เสียก่อนเถอะ. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เรื่อยๆ มาเรียงๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยครับ