บทที่ 10 ถ้าไม่ท่องพาหุงก่อนออกจากบ้านจะซวยไปตลอดทั้งวัน
‘โยกเข้าไป คัมม่อน โยกเข้าไป คัมม่อน โยก โยก โยก โยกเข้าไปให้มันหลุดโลก’“เฮียะ หลุม!”
“ว้าก! เฮียะขะดีๆ”
“เฮียทำดีที่สุดแล้วโว้ย พวกเอ็งน่ะหุบปากไปเลย!”
“อ๊าก! โระบิน”
เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายพวกนี้จะเป็นของใครไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ของชาวคณะร้านเฮียอิ๊วตามสั่ง เสียงเพลงพร่าๆ จากวิทยุก็ช่างเข้ากับบรรยากาศตอนนี้เหลือเกิน
‘ยืนก็ยังไม่ตรง สมองมันชักงงๆ ใจมันยังไม่ลง ได้แต่เพ้อว่าเธออยู่ไหน’อย่าว่าแต่ยืนไม่ตรง แค่นั่งอยู่แบบนี้มือไม้ก็สั่นไปหมด ไอ้ตอนที่นายหัวโทรมาบอกว่าเมื่อคืนที่สวนฝนตกให้ขับเข้ามาดีๆ ผมก็ไม่ได้นึกอะไรมากไปกว่าถนนคงลื่นและสกปรก ที่ไหนได้...
“หลุม!”
ถนนดินลูกรังแดงๆ เต็มไปด้วยหลุมบ่อที่มีน้ำขัง
“เฮียะงู!”
สัตว์เลื้อยคลานนาๆ ชนิดก็พากันออกจากรังเหมือนเนื้อเพลงอรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน
“โระบิน!”
เหตุการณ์รถบินจึงเป็นเรื่องปกติที่อาจะเกิดขึ้นได้
ปกติที่ไหนล่ะโว้ย!
ถึงเฮียจะอยู่บนโลกนี้มาสามสิบหกปีถ้วนแล้ว แต่ก็ยังมีกระจิตกระใจอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกนาน บอกตามตรงว่ายังไม่มีแพลนจะตายตอนนี้หรือเร็วๆ นี้ด้วย พินัยกรรมก็ยังไม่ได้ทำ ลูกหลานก็ยังไม่มี ตายไปทีบ้านนี่ตกเป็นของหลวงเลยนะ
ผมพยายามที่สุดแล้วสาบานได้ แต่นี่คือเฮียอิ๊วผู้อยู่ติดบ้านไง หนึ่งเดือนขับรถกระบะสักครั้ง แถมก็ขับอยู่ในเมืองด้วย พาพวกเอ็งมาจนถึงทางเข้าสวนนี่ได้ก็บุญหัวแล้วโว้ย
สวนบ้าสวนบออะไร ไกลก็ไกล ทางก็ขับยาก ถนนสองเลนที่อุดมไปด้วยรถบรรทุกนี่ของแสลงของเฮียเลยนะเฮ้ย ตลอดทางที่ขับมาก็ใช้ความเร็วแค่สี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง กว่าจะถึงก็นั่งกันก้นแทบจมหายลงไปในเบาะ
อะไรเอ่ยออกจากบ้านตั้งแต่สิบโมง ป่านนี้สิบเอ็ดโมงแล้วยังเพิ่งถึงทางเข้าสวน ตอบ เฮียเอง สวัสดี
แต่จะมาว่าเฮียอ่อนหัดก็ไม่ถูกนะ ไอ้สวนบ้านี่มันเล่นห่างจากบ้านเฮียตั้งสี่สิบสามกิโลเมตรเลยนะเออ นี่ขับรถแบบเห็นใจรัฐบาลและเพื่อนร่วมโลกสุดๆ แล้ว เจตนาที่เฮียขับรถช้าไม่ใช่เพราะขับรถไม่คล่องหรืออะไรแต่อย่างใด แต่เพราะนี่คือเฮียอิ๊วผู้ใส่ใจทุกภาคส่วนของโลก ก็เลยต้องมีการทำตามนโยบายลดอุบัติเหตุของรัฐบาลสักหน่อย
...
อะ ยอม เฮียกากเอง
“โระบิน!”
โระบินสันแน่นอน ลูกน้องผมต้องอยากเที่ยวห้าง
“หลุม!”
หลมุรักล่ะซี่
“เฮียะ เราจอดแล้วลงเดินกันดีไหม”
พูดได้ตรงใจเฮียมากๆ แต่ถ้าจอดตามที่มันบอกเฮียจะเสียฟอร์มอย่างใหญ่หลวง เพราะฉะนั้น...
“ไม่”
“เฮียะ/เฮียะอ่า”
เสียงประสานของบีหนึ่งบีสองที่ดังขึ้นทำให้ผมอมยิ้มแล้วเร่งเพลงในวิทยุให้ดังขึ้นอีกหน่อยแล้วเริ่มร้องตาม
“โยกเข้าไป คัมม่อน โยกเข้าไป คัมม่อน”
“ไม่โยก โผะไม่โยก โผะจะกลับบ้าน”
บ่นไป เฮียไม่สน
“โยก โยก โยก โยกเข้าไปให้มันหลุดโลก”
“ตอนนี้ก็จะหลุดจากขอบถนนอยู่แล้วนะเฮียะ”
ไม่สน ไม่สนอะไรทั้งนั้น
...แต่เวรกรรมนั้นมีอยู่จริง...
จู่ๆ รถทั้งคันก็ชะงักเหมือนโดนอะไรบางอย่างฉุดรั้งเอาไว้ไม่ให้เธอไป
“โอ๊ะ”
เป็นบีหนึ่งที่อุทานขึ้นมาก่อน
“เหมือนรถติดหล่มนะเฮียะ”
และเป็นบีสองที่ช่วยสรุปสถานการณ์ปัจจุบันให้
โอ้โห โอ้โห ชีวิตเฮียนี่มันอะไรกันหนอ เหมือนชาติที่แล้วจะไปทำบาปทำกรรมด้วยการขวางที่ขวางทางพระบิณฑบาตแหงๆ
ไม่สิ ชีวิตเราต้องมีหวัง ไหนลองเร่งเครื่องสิ
-บรื้น!-
“มันไปไม่ได้อะเฮียะ”
ขอบคุณคุณบีหนึ่งสำหรับการรายงานสถานการณ์ แต่แม่บอกว่าอย่าท้อกับอะไรง่ายๆ ไหนลองอีกครั้งสิ
-บรื้น!-
เครื่องน่ะขึ้น แต่รถน่ะไม่ขึ้น
เครียด เฮียเครียด
“พวกโผะลงไปเข็นให้ไหมเฮีย”
ความคิดดีมากเลยบีสอง
“ฝากด้วยนะ”
เอาล่ะ ครั้งนี้มีคนเข็นแล้ว มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี...
-บรื้น!-
“อ๊าก! โคลนกระเด็น”
มันเกือบจะผ่านไปได้ด้วยดีอยู่แล้ว ถ้าจู่ๆ ไม่มีเสียงร้องโวยวายของบีหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกับแรงผลักรถที่หายไป ทำให้รถทั้งคันกลับไปติดหล่มตามเดิม เผลอๆ จะหนักกว่าเดิม
กูจะบ้า!
ผมฟุบหน้าตัวเองลงกับพวงมาลัยรถอย่างเหนื่อยอ่อน
ชีวิตเฮียนี่หนอ ทำไมมันซวยอย่างนี้ หรือเพราะเมื่อเช้าไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระก่อนออกจากบ้าน ต้องใช่แน่ๆ เฮียสัมผัสได้
ชีวิตหนอชีวิต
ผมลดหน้าต่างรถลงแล้วกวักมือเรียกให้สองคนนั้นกลับขึ้นมาบนรถ ส่วนตัวผมก็ต้องงัดเอาไม้ตายสุดท้ายมาใช้
ไม้ตายที่ถ้าไม่ใกล้ตายจริงๆ ก็ไม่อยากใช้สักเท่าไหร่
ผมหลับตานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในใจแล้วจึงหยิบอุปกรณ์สื่อสารเครื่องจิ๋วมากดเบอร์โทรออกล่าสุด
-ตู๊ด ตู๊ด-
เสียงสัญญาณที่ดังขึ้นทำเอาผมอยากกดวางสายมันซะเดี๋ยวนี้เลย แต่ภาระหน้าที่การงานมันก็ค้ำคออยู่จนทำตามใจอยากไม่ได้ หวังเพียงแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยบันดาลให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
[สวัสดีครับ]
แค่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายก็ทำเอาผมอยากกดวางสายเสียเดี๋ยวนี้เลย
ทำได้ที่ไหนล่ะ ปัดโธ่
“สวัสดีครับนายหัว ผมซีอิ๊วเองนะครับ”
ปลายสายนิ่งไปจนผมใจหายวาบ
[พูดมาสิครับ รอฟังอยู่]
เอ้า ก็ไม่บอก หลอกเฮียให้ใจหายเก้อเลย
“คือตอนนี้รถผมติดหล่มอยู่ตรงทางเข้าสวนน่ะครับ ไม่ทราบว่านายหัวพอจะหาคนที่จะพาพวกผมไป...”
[ขอสั้นๆ]
ใจร้าย คนใจหยาบ
แต่เฮียไม่บ่นออกเสียงหรอกนะ
“นายหัวพอจะส่งคนมาเอาข้าวจากผมได้ไหมครับ”
เขานิ่งไปเล็กน้อย
[อยู่ตรงไหน]
โอ้โห คำถามยาก ขอใช้สิทธิ์ผ่านได้ไหม
เอาน่า คนเราต้องยอมรับความจริงเนอะ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ฮ่าๆ”
หัวเราะตบท้ายไปนิดนึงพอให้ประโยคสนทนาดูไม่เครียดจนเกินไป
[ไม่ตลก]
อะ กูเครียดละเนี่ย
ก็เฮียไม่รู้ จะให้เฮียทำยังไงเล่า
“ไม่ได้ตลกครับนายหัว ผมไม่รู้จริงๆ”
ผมพยายามใช้เสียงที่ฟังเหมือนตาลุงหลงทางให้มากที่สุด เผื่อจะเรียกคะแนนความน่าเห็นใจคืนมาได้บ้าง
เหมือนจะได้ผล
อีกฝ่ายเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่มลงกว่าเดิมนิดหน่อย
นิดเดียวจริงๆ
[อยู่ตรงสวนยางหรือสวนปาล์ม]
ผมหันไปมองข้างทาง
“สวนยางครับ”
[เข้ามาทางไหน]
ทางถนน แต่ถ้าตอบไปรับรองว่าจบไม่สวยแน่นอน
“ทางที่ติดกับวัดน่ะครับ”
เขานิ่งไปเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
[แถวนั้นมีหนำ
(บ้านหลังเล็กๆ) อยู่ในสวนไหม]
โอ้โห คำถามยาก ขอเวลาเพิ่ม
ผมหันไปพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้บีหนึ่งช่วยเฝ้ารถ ก่อนจะเปิดประตูลงไปเดินสำรวจบริเวณรอบตัว
หนำ หนำ หนำอยู่ไหนหนอหนำ
โอ๊ะ! นั่นมัน...
“หนำที่ว่านี่มุงสังกะสีใช่ไหมครับ”
[อืม]
บอกแล้วว่าเฮียตาดี สมแล้วที่พ่อบอกให้กินผักบุ้งมาแต่เล็กแต่น้อย
“มีอยู่หลังนึงครับ อยู่ในสวนลึกเข้าไปเลย”
[โอเค ผมรู้แล้วว่าเฮียอยู่ไหน รออยู่นั่นล่ะ]
พอพูดจบก็ตัดสายไปเลย
เอ้อเนอะคนเรา พูดเอง เออเอง ตอบเองก็ได้ด้วยเว้ย
ไม่เอาสิอิ๊ว ไม่บ่นๆ เขาจะมาช่วยเรานะเฮ้ย
ผมเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วหันไปมองรอบๆ ตัว
สวนที่นี่มีอาณาเขตกว้างขวางมากถึงมากที่สุด ตั้งแต่ปากทางที่ติดกับถนนชุมชนเข้ามาก็สักพักได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงตัวบ้านของเขาสักที กะด้วยสายตาคร่าวๆ คงมีมากถึงสองร้อยไร่เห็นจะได้ ทั้งปาล์ม ทั้งยาง ทั้งลานเทปาล์มในรัศมีห้ากิโลเมตรรอบสวนนี้ล้วนเป็นของนายหัวกาจกล้าทั้งหมด
ผู้หญิงที่ได้แต่งงานกับเขานี่อย่าเรียกว่าตกถังข้าวสาร ถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่าตกลงไปในถุงข้าวสาลีและบู้ม! กลายเป็น...
“เฮียะ เอาไงต่ออะ”
เสียงตะโกนขัดจังหวะจากบีหนึ่งที่โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ไอ้เด็กพวกนี้นี่รออยู่นิ่งๆ ได้ไม่เกินห้านาทีจริงๆ
“เดี๋ยวนายหัวเขาส่งคนมาเอาข้าว แล้วเดี๋ยวเราค่อยขอให้เขาช่วยเข็นรถให้แล้วกัน”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักแล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์ ‘โอเค’ ก่อนจะผลุบหัวหายกลับเข้าไปในรถตามเดิม
ผมอดหัวเราะให้กับท่าทางนั้นไม่ได้ แค่ลองคิดเล่นๆ ดูว่าผมไม่มีเด็กพวกนี้อยู่ข้างๆ แล้วต้องมาเผชิญกับสถานการณ์นี้คนเดียว
คงเป็นอะไรที่แย่น่าดู
ดีจริงๆ ที่มีเจ้าพวกลูกลิงนี่อยู่ด้วย
หลังจากยืนรอ นั่งรอ ตีลังการอไปได้ประมาณสิบนาที เสียงเครื่องยนต์คุ้นหูก็ดังมาจากทางด้านซ้าย พอเห็นไปดูจึงพบว่ามีรถกระบะสีขาวคันหนึ่งกำลังขับตรงมาอย่างช้าๆ ฟิล์มสีดำสนิทที่หน้าต่างรถทำให้ผมมองไม่เห็นว่าข้างในเป็นใคร ไม่รู้ว่าเป็นคนที่นายหัวส่งมาหรือแค่คนผ่านทาง แต่ด้วยลักษณะรถที่ดูสะอาดจนเกินควรทำให้ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้
รถใช้ในสวนทำไมมันสะอาดกว่ารถผมอีก หรือจริงๆ แล้วเฮียเป็นคนสกปรก
อะ ปล่อยผ่าน อะไรที่คิดแล้วเข้าตัวก็อย่าไปคิดมันเลย
ไม่ช้าไม่นานรถคันนั้นก็มาจอดอยู่ตรงหน้าแต่จนแล้วจนรอดคนขับก็ยังไม่ยอมลงมาสักที ผมจึงเลือกที่จะหันหลังให้เขาเป็นสัญลักษณ์ว่า ‘รีบลงมาได้แล้ว กูรีบ’ แล้วกวักมือเรียกบีหนึ่งบีสองเป็นสัญญาณให้ลงมา ถ้ามันพิรี้พิไรมากนัก ผมก็จะช่วงเร่งให้เอง
“ให้เด็กขนของไปไว้ท้ายกระบะเลยแล้วกัน”
น้ำเสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมต้องรีบหันไปมองแล้วพบว่า...
“นายหัว!”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วยุ่ง
“ตะโกนทำไม”
กูตกใจไงโว้ย นี่นายหัวเลยนะ นายหัวกาจกล้าเลยนะเว้ย ขับรถมารับเฮียทั้งๆ ที่ปกติมีคนขับให้ตลอด อะเมซซิ่งมากๆ รู้สึกตัวเองสำคัญมากๆ บอกเลย
ผมส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้อีกฝ่ายหนึ่งที
“ก็...ไม่คิดว่านายหัวจะมาเองน่ะครับ รู้สึกเกรงใจมากๆ เลย”
เขามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วไม่พูดอะไรกับผม แต่เลือกจะหันไปสั่งบีหนึ่งบีสองแทน
“เอาข้าวไปไว้ท้ายกระบะเลย”
สองคนนั้นพยักหน้าหงึกหงักอย่างคนว่าง่ายแล้ววิ่งกุลีกุจอทำงานกันอย่างขะมักเขม้นทันที
แหม แหม ทีเวลาเฮียสั่งนี่นะ อิดออด สารพัดสารพันจะหาเหตุผลมาอ้าง เฮียล่ะเบื่อ
ผมเบนสายตากลับมามองคนข้างๆ ที่ยืนกอดอกนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาอะไร
ใบหน้าของเขายังคงมีเสน่ห์เหมือนก่อน ไม่สิ มากกว่าก่อนด้วยซ้ำ มันเป็นใบหน้าที่จะบอกว่าหล่อก็ไม่ได้ สวยก็...ไม่เชิง ต้องเรียกว่ามีเสน่ห์น่ามองน่าจะเหมาะกว่า เขาเป็นคนสูงกว่าผมเล็กน้อย แต่รูปร่างโปร่งกว่า ผิวขาวเหลืองตามสภาพคนไทยเชื้อสายจีนรับกับเสื้อยืดคอปกสีฟ้าอ่อนยี่ห้อหรู
คนมีเงินก็เงี้ยะ
ไหนจะกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนกับรองเท้าหนังมันวับนั่นอีก บอกเฮียสิว่าทั้งตัวนี้กี่พัน
“มองอะไร”
เสียงเย็นๆ ที่เอ่ยทักทำให้ผมเลิ่กลั่กไปมาอย่างคนตั้งตัวไม่ได้ แต่บอกเลยว่าเฮียไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ หรอกนะ
“อ๋อ มองรองเท้านายหัวน่ะครับ สวยดีนะครับเนี่ย ซื้อที่ไหนเหรอครับ”
เขาก้มมองรองเท้าตัวเองแวบหนึ่งก่อนจะเงยหน้ากลับมามองผม
“สั่งตัด”
อะ จบ พอ เลิก กูไม่ถามราคาต่อละ
ไอ้ตอนแรกผมก็กะจะแก้เก้อด้วยการไปช่วยเด็กๆ ขนข้าว ถ้าไม่ติดว่าอีกคนพูดต่อขึ้นมาเสียก่อน
“อยากได้ไหมล่ะ”
คำถามของเขาทำให้ผมต้องหันไปทำหน้าจนใส่
“อยากสิครับ แต่ผมไม่มีเงินหรอก”
ผมเห็นริมฝีปากนั้นกระตุกยิ้มเล็กน้อย
“ก็พอรู้อยู่”
ไอ้เด็กเวร มีคนเคยบอกไหมว่าอย่าเหยียดคนจนน่ะฮะ!
แต่เฮียไม่พูดหรอกนะ เฮียขี้ขลาด
ในขณะที่ผมยังไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี เจ้าบีหนึ่งก็เข้ามาช่วยชีวิตผมไว้ได้ทันเวลาพอดีเป๊ะ
“โขะเสร็จแล้วครับ”
ถึงจะพูดผิด แต่ก็ขอยกความดีความชอบให้ไปในฐานะที่เข้ามาได้ถูกที่ถูกเวลามากๆ
ผมเห็นนายหัวพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินกลับไปที่รถ
ต้องไปเอาเงินให้เฮียแน่ๆ เฮียสัมผัสได้
“แล้วจะยืนกันอยู่ทำไม ขึ้นรถสิ”
หืม? อะไรนะ
“งงอะไร ขึ้นรถสิ”
“นายหัวไม่ใช่ว่ามาเอาข้าว เอาเงินให้ผมแล้วก็ต่างคนต่างไปเหรอครับ”
ผมเห็นสายตาเหนื่อยหน่ายใจที่ส่งมาให้
เฮียผิดอะไรอี๊ก
“รถมันติดหล่ม วันนี้คนงานผมก็วุ่นกับงานอยู่ ไม่มีใครมาช่วยได้หรอก รถลากก็เอาไปใช้อยู่ วันนี้ก็พักที่สวนผมไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้เขาจะเอารถลากกลับมาจากอ่าวลึก
(ชื่ออำเภอหนึ่งในจ.กระบี่) ผมค่อยให้คนลากรถขึ้นมาให้”
เออ ความคิดดี
ไม่ได้สิโว้ย!
“งั้นเอาเป็นผมทิ้งรถเอาไว้ที่นี่แล้วขอติดรถใครสักคนกลับบ้านก็ได้ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยมาเอารถ”
เขากอดอกแล้วส่งสายตาเรียบๆ มาให้
“ก็แล้วแต่นะ แต่ผมไม่ไปส่งแน่ๆ งานผมเยอะ ส่วนใครจะไปส่งคุณก็ให้เขามาลางานกับผมโดนตรงด้วย”
พอพูดจบก็กระโดดขึ้นรถไปเลย แถมยังทำท่าจะขับรถหนีผมไปอีก โอ๊ย ใจเย๊น พ่อเจ้าพระคุณรุนช่องเอ๊ย ใจร้อนแท้หนอ
ผมรีบหันซ้ายหันขวาไปมองหน้าเอ๋อๆ ของเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านหลัง นอกจากจะไม่ช่วยเสนอความคิดดีๆ แล้วยังช่วงส่งยิ้มแห้งๆ เป็นสัญญาณว่า ‘ช่วยด้วย’ มาให้อีก
โอ้ย ชีวิตเฮีย
เอาไงดีนะ แถวนี้ก็ไม่ค่อยมีคนผ่านมาด้วย ตลอดเวลาที่รถติดหล่มก็ยังไม่ยักจะมีใครผ่านมาเลยสักคน สำคัญที่สุดเลยก็คือ...
เงินเฮียอยู่ไหน
แล้วเฮียเลือกอะไรได้ไหม เลือกที่จะไม่ไปได้รึเปล่า
“โอเคครับนายหัว ค้างก็ค้าง”
ผมรีบตะโกนออกไปหวังให้อีกคนได้ยิน แต่เหมือนระบบรถของอีกฝ่ายก็ดีเหมือนจะเหลือเกิน รถกระบะคันโตยังคงถอยหลังห่างออกไปเรื่อยๆ จนผมต้องหอบสังขารวิ่งตามไปเคาะกระจก
หน้าต่างรถถูกลดลงครึ่งหนึ่งพอให้เห็นใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มสะอกสะใจ
อย่าให้ถึงทีเฮียบ้างแล้วกัน
สำคัญคือไม่น่าจะมีวันนั้นด้วย
“ตกลงเอายังไง”
เขาเลิกคิ้วถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว นัยน์ตากลมโตฉายประกายแห่งความสะใจอยู่ในนั้นเสียจนล้นปรี่
เฮียล่ะอยากจิ้มให้ตาแตก
“ไปด้วยครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงค่อยๆ เหมือนตาลุงน่าสงสาร
“อะไรนะ ไม่ได้ยิน”
แหม ไม่ได้ยินเล๊ย รอยยิ้มบนหน้าเอ็งเนี่ยบานกว่ากระทะเฮียอีก
บ่นไปงั้นแหละ ยังไงก็ไม่มีทางเลือก
“ไปด้วยครับ”
แว็บหนึ่ง ผมเห็นแววตาบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนัยน์ตาของเขาก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงแววตาสะใจตามเดิม
หรือเฮียจะตาฝาด
ช่างมันเถ๊อะ
“งั้นก็ขึ้นมา ส่วนเด็กสองคนนั่นก็ให้ไปนั่งท้ายกระบะ”
ฮะ?
“ให้สองคนนั้นนั่งในแคปไม่ได้เหรอครับ”
“รถผมไม่มีแคป”
อะ เจริญ
“งั้นผมไปนั่งข้างหลังก็ได้นะครับ”
“อย่าเรื่องมาก”
“บีหนึ่งบีสองกระโดดขึ้นหลังกระบะเลยลูก”
จบเรื่องนี้ไปได้เมื่อไหร่ เฮียคงต้องไปทำบุญอย่างจริงจังแล้วล่ะ
**************************************************************************
เพลงยุคเก่านิดนึง ใครร้องตามได้เราคือเพื่อนกัน 5555555555
รอบหน้าเอาของวง UHT มาดีไหมน้า
ปล.อ่าวลึกคือชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัดกระบี่น้า