KING ที่ 67 รัก...ก็บอกว่ารักตัวของผมแข็งทื่อด้วยขาที่ก้าวค้างไว้ ผมตาโตมองคนสองคนที่คนหนึ่งยืนกอดอกอยู่ที่มุมห้อง อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้คอม ซึ่งคนที่สองนี่ดวงตาแดงก่ำเหมือนกับผ่านการร้องไห้มาอย่างยาวนาน
ผมหน้าเจื่อนลงทันที ผมที่ใช้ชีวิตคนเดียวจนเคยตัว ทำให้ผมลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป พ่อกับแม่ของผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ไม่เคยรู้อะไรทั้งนั้น
"สะ.สะ.สะ..สะหวัดดีครับ" ผมพูดติดอ่าง แค่มองหน้ามี๊ก็รู้เลยว่ารู้ทุกอย่างแล้ว
"ไม่มี ไม่มีเลยสักครั้งที่จะใส่ใจว่าป๋ากับมี๊ทำอะไรกลับมาหรือยัง!"
"มี๊ ฟาขอโทษ ฟายุ่ง..."
"ยุ่งเรื่องแต่งหญิงนั่นน่ะเหรอ ฟาทำแบบนี้ได้ยังไง!" ผมสะอึกและไม่กล้าพูดอะไรต่อ
"คุณ ใจเย็นๆ ลูกจะเข้าใจผิด"
"ไม่เย็นหรอกค่ะ ฟาทำตัวไม่เคยเห็นหัวเราเลย ไม่เคยบอกอะไรเลย และที่สำคัญที่สุด มีแฟนเป็นผู้ชาย นี่มันเรื่องอะไรกัน อธิบายมาให้มี๊ฟังเดี๋ยวนี้เลย!"
"ฟา ไม่ต้องคิดมาก มี๊แค่น้อยใจลูก เดี๋ยวก็หาย" ผมเริ่มหน้าเสียและขุ่นเคืองอยู่ในใจ ก็ใครล่ะที่เลี้ยงผมมาแบบนี้ ทั้งสองคนแทบไม่เคยอยู่บ้านจะรู้อะไร
"มี๊เคยอยากรู้จริงๆ เหรอว่าฟาใช้ชีวิตยังไง" ผมพยายามพูดด้วยเสียงราบเรียบ ไม่โวยวาย ผมรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งทั้งสองคนต้องรู้ และผมต้องถูกด่าแน่นอน
"บ้านนี้แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ฟาที่อยู่คนเดียว ก็แล้วทำไมฟาถึงจะออกไปบ้างไม่ได้ ทำอะไรที่อยากทำบ้างไม่ได้" ผมพูดและป๋าก็เดินเข้ามาจับไหล่ผม
"ฟาลูก มี๊เขาแค่น้อยใจ ไม่มีอะไรหรอก" ป๋าพูดอย่างใจดีเหมือนเก่า มีแต่ป๋าที่ไม่เคยดุผมเลย
"ฟาชอบแต่งหญิง ใช่ ฟาก็แค่ชอบเหมือนที่ป๋ากับมี๊ชอบเล่นดนตรี ฟาภูมิใจที่ฟาใส่แล้วสวยกว่าผู้หญิงจริงๆ" ผมพูดและเชิดหน้างอนๆ ไม่ได้อยากให้ใครมาเข้าใจหรอก แค่อยากบอกเฉยๆ
"ที่มี๊เขาโกรธก็เพราะฟาไม่บอกนั่นแหละ เขาไม่ได้โกรธที่ฟาเป็นแบบไหนหรอกลูก"
"ฟาจะบอกเรื่องที่ดูโรคจิตแบบนี้ได้ยังไง ป๋ารับได้เหรอ" ผมถามป๋าที่อมยิ้มเล็กๆ
"ก็คงจะตกใจนิดนึง" ป๋าทำมือนิดนึงจริงๆ แต่หน้าไม่นิดเลยให้ตาย
"ไปขอโทษมี๊แล้วคุยกันดีๆ เถอะลูก" ผมถอนหายใจฮึ แต่ก็เดินไปจับมือมี๊ที่นั่งตาแดงก่ำ
"ฟาขอโทษ ก็ฟาไม่กล้าบอกอ่ะ เพราะรู้ว่ามี๊จะด่าฟา"
"ก็ต้องด่าสิ มีลูกชายแต่อยากสวยเหมือนผู้หญิง สวยกว่ามี๊ได้ไง!" ผมทำแก้มป่อง
"ไม่ได้อยากสวยเหมือนผู้หญิงนะ แต่ฟาแค่สวยจริงๆ ไม่ได้อยากสวยเลย" ผมพูดบอกมี๊ที่ขมวดคิ้วมองผมแบบงอนๆ
"แล้วชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่แรกเลยเหรอ" มี๊ถามผมด้วยความสงสัย
"ไม่อ่ะ ฟาชอบผู้หญิง" ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ทำเอาป๋ากับมี๊หน้ามึนไปเลย
"แต่ที่มีแฟนเป็นผู้ชาย ก็เพราะมันชอบฟา แล้วฟาก็ชอบมัน มันที่เป็นผู้ชาย" พูดอีกก็งงอีก ทั้งป๋าและมี๊เอียงคอขมวดคิ้วแบบงงๆ เอ่อ ผมก็งง อะไรของมันวะ
"เอาเป็นว่า ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ก็ไม่ชอบอ่ะ" ป๋ากับมี๊เริ่มพยักหน้าเข้าใจเอาเป็นว่า ช่างมันเถอะ
"งั้นรู้แล้วจะแก้ปัญหายังไง" ผมมองมี๊ที่ทำหน้ามีเลศนัยมองป๋า
"ไปฆ่าไอ้หนุ่มนั่นกันเถอะคุณ" ห๊ะ เดี๋ยวๆๆๆ
"ไม่ได้คุณ มันผิดกฎหมาย" ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีมากป๋า ผมอยากไม่อยากมีแม่เป็นฆาตกร
"อยากเห็นจริงๆ เป็นใครหน้าไหนกล้ามาหลอกลูกชายฉันให้ไขว้เขว๋ได้" มี๊พูดงึมงำเหมือนพูดกับตัวเองพลางทำหน้าไม่พอใจ
ตึ๊งตือดือดึ๊ง~~
ขณะที่บรรยากาศรอบๆ ตัวผมกำลังมาคุได้ที่ อยู่ๆ ก็มีเสียงอะไรสักอย่างทำลายบรรยากาศนั้น เป็นเสียงที่เหมือนจะดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นเสียงเพลงที่ราวกับบรรเลงมาจากสรวงสวรรค์
และทันทีที่เป็นแบบนั้น ป๋ากับมี๊มองหน้ากันด้วยสีหน้าสงสัย และค่อยๆ ลุกขึ้นเดินตามเสียงดนตรีนั้นไป ผมเดินตามคนทั้งสองที่คุยกันและเดินต่อไปยังชั้นบน ไปยังห้องที่ได้ยินเสียงเพลงที่บรรเลงออกมา
ใครกันนะที่จะสามารถเล่นเพลงยากๆ ได้พริ้วไหวขนาดนี้ หรือแม่บ้านจะลืมเปิดแผ่นเสียงไว้ หรือว่า...ผีหลอก!
พวกเราขึ้นมาถึงชั้นบน มายืนอยู่ตรงหน้าห้องดนตรีของบ้าน ป๋าและมี๊มองหน้ากันด้วยความอยากรู้ และเปิดประตูดันเข้าไปให้เปิดกว้างออก
เสียงดนตรีหยุดลงฉับพลัน ผมเดินตามป๋าและมี๊เข้าไป เอาหัวแทรกกึ่งกลางระหว่างคนทั้งสอง สายตาเพ่งมองไปยังคนที่สวมชุดนักศึกษา คนที่...
ไอ้ธีร์!!!
"ไหนมึงบอกมีงานที่คณะ!" ผมโพล่งขึ้นมาทันทีพลางเดินไปหามัน ไอ้ธีร์จ้องมองผมพลางเหลือบมองคนแปลกหน้าอย่างเกรงๆ
"ใช่ ใช่ไหม" ไอ้ธีร์พูดและทำสายตาถาม อ่อ ลืมไป มันไม่เคยเจอพ่อแม่ผมนี่นา
ผมสบตามันและพยักหน้าน้อยๆ หันกลับไปมองป๋ามี๊ที่จ้องมองมาเช่นกัน
"เอ่อ คือ..." ผมอึกอักไม่รู้จะแนะนำยังไง มี๊จะปี๊ดแตกอีกไหม
"พ่อหนุ่มเรียนมาจากไหน" มี๊ไม่รอให้ผมได้พูดอะไรแต่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจนไอ้ธีร์แทบจะถอยหลังหนี
"หมายถึง เปียโนนี่เหรอครับ" ไอ้ธีร์ถามกลับด้วยความฉงน
"ใช่"
"ดูโน๊ตแล้วลองเล่นดูครับ เคยซื้อหนังสือมาอ่านและฝึกเล่นเอา ที่บ้านก็มีเปียโนหลังใหญ่แบบนี้" ไอ้ธีร์พูดตอบอย่างคล่องแคล่ว
"แล้วเล่นเพลงอื่นได้อีกไหม"
"ก็ได้หลายเพลงอยู่ครับ"
"แล้วเครื่องดนตรีอื่นล่ะ"
"ก็เล่นเป็นเกือบทั้งหมดในห้องนี้ครับ" ผมมองกวาดตาดูเครื่องดนตรีทั้งหมดในห้อง ไม่ใช่น้อยๆ ผมไม่เคยถามมันเลย นี่มึงจะเก่งไปไหนวะ
"เกือบทั้งหมดเลยเหรอ" มี๊ถามทวนอีกครั้ง ผมกลืนน้ำลายมองไอ้ธีร์ที่เริ่มเหงื่อซึม
"ครับ"
"ขอฟังไวโอลินหน่อยได้ไหม"
"ได้ครับ" ผมมองมี๊ที่ทำสีหน้าอึ้งๆ และป๋าก็เดินมาสะกิดที่ไหล่ผมเบาๆ
"คนนี้น่ะเหรอ" ป๋ามองผมด้วยสายตาประหลาดใจ
"ครับป๋า" ผมตอบรับแบบอายๆ มองไอ้ธีร์ที่เริ่มสีไวโอลินเป็นเพลงออเคสตร้าเพราะๆ
"เป็นดาราด้วยหรือเปล่า" ป๋าถามอีกอย่างอยากรู้
"ไม่ใช่ครับ แต่มันหล่อมากเลยใช่ป่ะ"
"หล่อกว่าลูกแบบไม่เห็นฝุ่นเลย"
"โธ่ป๋าอ๊า" ผมทำหน้างอ ไม่พูดกับป๋าแล้ว งอนอ่ะ
มี๊ยังคงยืนมองไอ้ธีร์เล่นเครื่องดนตรีต่อไป ไม่ว่าจะเครื่องไหนมันก็เล่นโครตดี อย่างกับมืออาชีพ
"สนใจเดินสายประกวดไหม เรามีพรสวรรค์มากเลยนะ" ในที่สุดมี๊ก็เอ่ยปากถามอย่างจริงจัง ซึ่งไอ้ธีร์ก็ยกมือไหว้อย่างเกรงใจ
"คงจะไม่มีเวลาขนาดนั้นครับ" ไอ้ธีร์ตอบอย่างสุภาพและมองมาทางผมอย่างขอความช่วยเหลือ
"มันเรียนหมออ่ะมี๊ แค่ที่เรียนก็หนักแย่แล้ว" ผมพูดพลางมายืนข้างๆ มันเพื่อช่วยเหลือ
"เรียนหมอ แล้วที่บ้านทำงานอะไร" มี๊ถามต่อด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป ไหนเมื่อกี้เจ๊บอกจะฆ่าใครนะ หนอย
"คุณพ่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง..."
"พอแล้วล่ะ" ไอ้ธีร์ยังไม่ทันจะพูดจบ มี๊ก็ขัดขึ้นมาพลางเดินมาล็อคคอผม ลากผมออกห่างจากไอ้ธีร์ พามายังมุมห้อง
"ทั้งหล่อ ทั้งรวย แถมอัจฉริยะขนาดนี้ไปหามาจากไหน" ห๊าาา ผมตวัดตามองมี๊ที่ทำตาเป็นประกาย
"ลูกชายมี๊ มีดีกว่าที่คิด" ผมพูดและยิ้มอย่างอวดดี หึ แฟนผมครับ มันหลงรักผมก่อนด้วยนะ วะฮ่าๆๆ แม่งพูดกี่ทีก็เบ่งได้
"เอ่อ ยังไงก็สวัสดีคุณแม่กับคุณพ่อด้วยนะครับ เมื่อกี้ยังไม่ได้ทักทายดีๆ เลย ต้องขออภัยด้วยครับ" ไอ้ธีร์เดินตามมาและกล่าวทักทายพ่อแม่ผมอย่างเป็นทางการ ทำหน้าตาน่าเอ็นดู ถุยย มึงนี่มันตัวหว่านเสน่ห์ไปเรื่อยไม่เว้นพ่อแม่กูเลยนะ
"ผมไม่รู้ว่าคุณแม่ทราบหรือยัง แต่ผมกับฟาคบกันอย่างจริงใจ ไม่อยากให้คุณแม่กับคุณพ่อต้องคิดกังวล" ผมฟังมันพูดและหน้าแทบจะขึ้นสีทันที
"เอ่อ ป๋ากับมี๊กินข้าวกันยัง เราไปหาไรกินเถอะ" โอ้ยยย อ๊ายอาย มึงพูดอย่างกับจะมาสู่ขอกูแบบนั้น กูจะทำหน้ายังง๊ายย
ผมลากแขนพ่อแม่ออกจากไอ้ตัวช่างพูดนั่น ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มที่มาจากความโล่งใจ อุปสรรคสุดท้ายของเราผ่านไปแล้ว ผมไม่มีอะไรต้องปิดบังใคร ครอบครัวของเรารับรู้ทั้งสองฝ่ายแล้ว ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเราเหมือนกับเป็นคนรักกันอย่างแท้จริง
หลังจากทานอาหารมื้อใหญ่ที่แม่ครัวบ้านผมจัดให้ ผมอิ่มจนพุงกาง พลางรอโอกาสที่มี๊เผลอ พาไอ้ธีร์ออกมานั่งเล่นที่ริมสระว่ายน้ำหลังบ้าน มี๊นั้นดูท่าจะถูกใจไอ้ธีร์มาก คอยแต่ถามนั่นถามนี่ไม่ให้มันได้หยุดพัก ผมละสงสารมันจริงๆ
"กูขอโทษนะที่แม่กูช่างสงสัยขนาดนั้น"
"ไม่หรอก แบบนี้แหละดี ตอนแรกกลัวว่าจะถูกไล่ออกจากบ้านซะแล้ว" ไอ้ธีร์พูดพลางส่งยิ้มอารมณ์ดี
"ก็เกือบแล้วล่ะ แต่มึงก็ทำได้ดีมาก" ผมส่งยิ้มให้มัน ช่างโชคดีเหลือเกินที่มันนึกคึกอะไรก็ไม่รู้ไปนั่งเล่นเปียโน แต่ว่ามันก็เคยขึ้นไปแล้วตอนงานวันเกิดผม นี่ก็คงไม่แปลกอะไรที่มันจะขึ้นไปอีก
"ดีแค่ไหน ขอรางวัลได้ไหม" ไอ้ธีร์พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ซึ่งแน่นอนว่าผมดันหน้ามันออกไป
"แต่จริงๆ กูเพิ่งรู้นะว่ามึงเล่นดนตรีได้เยอะขนาดนั้น" ผมหาเรื่องคุยต่อแก้เขิล ซึ่งนั่นยิ่งทำให้มันยิ้มไปใหญ่
"แล้วเป็นไง ภูมิใจไหม เอาไปอวดก็ได้นะ" หนอย ได้ทีเอาใหญ่นะมึง
"ไม่อวดหรอก ไม่เห็นมีอะไรน่าอวดเลย" ผมแกล้งพูดและทำเป็นเชิดใส่มัน
"เหรอ แต่นี่น่ะ อวดเสมอเลยนะ ว่าแฟนน่ารักมาก" โอ้ยยๆๆ ผมหันหน้าหนีมันไม่ให้เห็นว่าผมแอบยิ้มมากแค่ไหน เขิลแล้วเขิลอีก มึงขยันทำกูเขิลจริงๆ
"ไอ้ขี้โม้" ผมพูดอุบอิบ
"ลองไปถามที่คณะดูก็ได้"
"ไม่สนหรอก ไปกินหนมดีกว่า" ผมแก้เขิลด้วยการลุกขึ้นเดินหนีแม่ง ไม่รู้จะจีบกูทำไมนักหนา เบาหวานจะขึ้นตาแล้วเนี่ย
"ฟา" ผมหยุดเดินทันทีที่ถูกเรียกด้วยเสียงหวานๆ อะไรอี๊กก จะหยอดอะไรกูอี๊ก
"วันครบรอบนี้ ไปโรงเรียนกันไหม" ผมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ มองมันที่ส่งยิ้มมาให้ ไอ้วันครบรอบอะไรนั่นผมไม่เคยนับเท่าไหร่ แต่ว่าโรงเรียนงั้นเหรอ ก็น่าจะดีนะ ผมคิดถึงที่นั่น คิดถึงวันเก่าๆ ของเราสองคน
ในวันธรรมดาที่ท้องฟ้าแจ่มใส ผมกับไอ้ธีร์กลับมาเยี่ยมชมโรงเรียนเก่า โรงเรียนที่พวกเราได้พบกัน ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตึกเรียนที่เคยดูทรุดโทรมก็ถูกต่อเติมตกแต่งใหม่ให้ดูสวยงามยิ่งกว่าเก่า เรียกได้ว่าตั้งแต่ที่พวกผมจบไปก็มีแต่เจริญขึ้นนั่นแหละ
"เฮ้ย นั่นพี่ธีร์ไม่ใช่เหรอ ประธานนักเรียนเก่าไง"
"หล่ออ่าาา"
"แล้วนั่นก็พี่ฟาไม่ใช่เหรอ คนที่ดังๆ อ่ะ"
"เฮ้ยใช่ด้วยว่ะ"
"ก็เขาเป็นแฟนกัน"
ผมขนาดใส่แว่นดำแล้วก็ยังไม่พ้นสายตาของรุ่นน้องที่จ้องมองมาตาเป็นมัน ซึ่งสาวๆ ที่จำผมได้ก็เพราะเห็นในทีวีนั่นแหละ แต่สำหรับไอ้ธีร์ คงไม่มีสาวคนไหนลืมมันได้ เมื่อได้เคยเดินสวนกับมันในโรงเรียน
ผมรีบจูงมือไอ้ธีร์ให้หลบออกมาจากกลุ่มนักเรียนที่ต่างชี้ชวนให้มองพวกเรา อุตส่าห์บอกยามหน้าโรงเรียนไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้วุ่นวาย แค่มาเดินเล่นเฉยๆ สงสัยจะยากแฮะ
"ไปตึกฝั่งโน้นเถอะ" ไอ้ธีร์บอกผมพลางจูงมือให้เดินข้ามถนนเล็กๆ ไปอีกฝั่งของโรงเรียน ซึ่งต้องบอกว่าที่นี่มีตึกเรียนมากมายและพื้นที่ใหญ่มากๆ เป็นโรงเรียนที่แทบจะใหญ่ที่สุดในแถบนี้ ที่ซ่อนตัวตอนโดดเรียนเลยเยอะไปด้วย ผมรู้ทุกซอกทุกมุมเพราะโดดบ่อย แต่ที่รู้ดีที่สุดก็คือไอ้ประธานนักเรียนเก่านี่ล่ะ ที่มันคอยตามสอดส่องคนโดดเรียน ไม่ว่าจะแอบซอกไหนมันก็ตามเจอ
ผมเดินตามมันเข้ามาแถวตึกที่ผมคุ้นตา สมัยก่อนผมชอบมานั่งแถวนี้กับไอ้เนมไอ้นน พอคิดอีกทีก็น่าจะชวนมันมาด้วย แต่ไอ้ธีร์นี่สิ ห้ามผมไม่ให้ชวนเพื่อนมา อะไรของมัน
"ร้อนไหม" ผมส่ายหน้าไปมา และมองน้องๆ เดินกันขวักไขว่ มีหลายคนจ้องไอ้ธีร์จนสะดุดหน้าแทบทิ่ม เฮ้อ บรรยากาศแบบนี้ก็เหมือนเมื่อก่อนเลยนะ คิดถึงจัง
ผมกับไอ้ธีร์ยังคงเดินไปเรื่อยๆ มองต้นไม้ในลานกว้างที่ปลูกจนแทบจะบังแสงอาทิตย์จนมิด มีม้านั่งมากมายอยู่ใต้ต้นไม้นั้น มีเด็กๆ หลายคนกำลังอ่านหนังสือกันอย่างขยันขันแข็ง มีร้านน้ำหวานตรงหัวมุมตรงนั้น ร้านถ่ายเอกสาร และ...
ผมเดินมาเรื่อยๆ ตามไอ้ธีร์ จนไม่ได้สังเกตเลยว่าผมกำลังเดินเข้ามาที่ไหน นี่มัน แถวนี้นี่มัน อ้ากกกกก
ผมที่เพิ่งรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ไอ้ธีร์ดึงแขนผมให้เข้าไปในห้องน้ำเก่าหลังตึกเรียน ดันผมเข้าไปในห้องที่อยู่ริมสุด ปิดประตูลงกลอน และส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ผมอย่างไม่น่าไว้ใจ
"จำที่นี่ได้ไหม" ผมทำหน้าไขสือทันที ช่วงเวลาเหล่านั้นเหมือนคืนย้อนกลับมา วันนั้น ไอ้ธีร์ก็ลากผมเข้ามาที่นี่ ผมกลัวจนลนลานคิดว่ามันพาผมมาข่มขืน แถมมันยังขอดูโทรศัพท์ผม ปีนห้องน้ำดูห้องข้างๆ ที่กำลังสอยกันอีกด้วย
"เอ่ออ..." ผมอ้ำอึ้งทำเนียนไม่รู้น่าจะดีกว่า
"ตอนนั้นฟาทำหน้าตลกมาก คิดแต่เรื่องลามกอยู่ในหัว" ไม่พูดเปล่า ไอ้ธีร์ยื่นมือมาดีดหน้าผากผมเบาๆ
"มึงนั่นแหละลามก ที่นี่มีชื่อเสียงยังไงมึงก็รู้ เสือกลากกูเข้ามา" ผมพูดและหลบสายตาหมาป่าของมัน
"แต่ถ้าให้พูดตามตรง ตอนนั้นจริงๆ ก็คิดนะ" หืออ ผมตวัดสายตามาหามันทันที นั่นไงกูว่าแล้ว มึงต้องคิดไม่ซื่อกับกู หนอยย
ผมหน้าบึ้งพลางกอดตัวเอง กันคนหื่นกามจับขึงในห้องน้ำ
"ฮ่ะๆ ล้อเล่นน่ะ"
"มึงอ่ะพูดจริง กูรู้" ผมพูดพลางถอยไปยืนชิดผนังอีกด้านไกลๆ มัน แต่ว่าไอ้ธีร์ก็ยังคงเป็นไอ้ธีร์ มันขยับตัวเดินเข้าหาผมช้าๆ แบบข่มขวัญ อ้ากกก
"เข้ามากูถีบนะ" ผมพูดและตั้งท่าจะสู้ แต่นั่นก็แค่ขู่เท่านั้นแหละ
"ขู่เก่งเหมือนเดิม"
"ไอ้ธีร์ อย่า กูไม่เล่นนะ" ผมพูดและดันตัวมันที่เดินมาชิดผมอย่างไม่เกรงกลัว นี่มึงจะเอาจริงเหร๊อ
"อะไร ก็แค่อยากกอด" ไอ้ธีร์ดึงผมเข้าไปกอดจริงๆ ผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังหัวเราะชอบใจ มันน่ากลัวตรงนี้ ตรงที่สนุกเวลาแกล้งผม ทำให้ผมขัดขืนไม่ได้
"มีความสุขจัง ตอนนั้นก็น่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก" ไอ้ธีร์กอดผมแน่นขึ้นและพูดพึมพำเบาๆ
"ถ้าตอนนั้นมึงทำแบบนี้มึงก็โดนต่อยอ่ะ" ผมพูดและยืนนิ่งๆ ปล่อยให้มันกอด
"ก็คุ้มละมั้ง" ไอ้ธีร์พูดพลางจับแก้มให้ผมเงยหน้าขึ้นมองมัน ใบหน้าพวกเราอยู่ใกล้กันมาก มากจนได้ยินเสียงลมหายใจ...
"นั่นไง พวกพี่ก็มาเอากันเหมือนกันนั่นแหละ" ผมกับไอ้ธีร์ชะงักค้าง พลางเงยหน้ามองดูคนคนนึงที่ปีนป่ายเกาะผนังมองดูพวกเราจากห้องข้างๆ และผมจำมันได้ทันที มันคือรุ่นน้องที่มากินตับกับแฟนมันตอนนั้น แล้วไอ้ธีร์เสือกปีนดูแล้วไปห้ามมัน กรรมตามสนองมึงแล้วไอ้ธี๊ร์
หลังจากพวกเราออกมาจากห้องน้ำหลังตึกนั้น ในตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าควรจะกลับได้แล้ว เพราะโรงเรียนก็ใกล้จะเลิกพอดี พวกเด็กๆ ที่จำผมกับไอ้ธีร์ได้ จะได้ไม่ลุมทึ้งเอา พวกเราเดินลัดเลอะออกมาจากตึกฝั่งนั้น ย้ายกลับมาฝั่งเดิมเพื่อจะไปที่โรงรถ เมื่อเดินมาแถวนี้ผมก็ยิ่งคิดถึง ผมมองตึกเรียน ห้องเรียนเก่าของผม ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่ความสนุกมักผ่านไปไวเสมอ แต่ว่าตอนนี้ผมก็มีความสุขนะ เป็นความสุขที่คนละแบบกับเวลาอยู่กับเพื่อน
พวกเราเดินผ่านลานโต๊ะไม้หินอ่อนเก่าแก่ ที่มีดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งแผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาบังแสงแดด ที่นี่เป็นที่ที่เหล่าคู่รักชอบมานั่งพลอดรักกัน และเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมมานั่งกับไอ้ธีร์ มันก็มักจะมีแต่เรื่องเสมอ
แต่ว่า...ไม่ใช่วันนี้หรอกนะ
ผมยิ้มและวิ่งฉิวเข้าไปที่ลานนั้น นั่งลงที่ตรงโต๊ะเดิม แหงนมองดอกไม้สีชมพูที่เป็นร่มเงา และร่วงหล่นลงมาให้เชยชม
คนตรงหน้าผมเมื่อเห็นก็เดิมตามมาและนั่งลงตรงข้าม ส่งยิ้มให้ผมที่กำลังจ้องมองดอกไม้ เมื่อก่อนผมไม่เคยชอบที่ตรงนี้เลย เพราะว่าผมไม่เคยมีใครอยากพามานั่งเล่น แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ผมมีไอ้ธีร์ อยู่ข้างๆ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ผมก็อยากจะจับมือกันไว้ อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไร
ผมวางดอกไม้สีชมพูลงและจ้องมองคนตรงหน้า ไอ้ธีร์นั้นก็ทำแบบเดียวกับผม พวกเราจ้องมองกันและกันอยู่หลายนาที ผมทำแบบนี้ได้ไม่เบื่อเลย เพราะพวกเรา มีความรู้สึก มีหัวใจเดียวกัน
"ธีร์" ผมเรียกคนรักด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขจริงๆ
"ครับ" คนตรงหน้าตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วหวาน ถ้อยคำที่พวกเรากำลังพูดนั้น ก็เป็นเหมือนดั่งวันวาน แต่ว่าสิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือ คราวนี้ ผมจะพูดความในใจออกไป และเป็นครั้งที่แน่ใจที่สุด...
"กูรักมึงนะ" เป็นคำสั้นๆ ที่มีความหมายเหลือเกิน แต่เมื่อก่อนพวกเรากลับเก็บงำซ่อนมันเอาไว้ จนพวกเราต้องพรากจากกันไป แต่ว่าต่อไปนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็จะพูดมันออกมา พวกเราได้เรียนรู้แล้ว ว่าพวกเราควรจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ทำตามที่หัวใจต้องการ ขอบคุณ และขอบคุณจริงๆ ที่กลับมาอีกครั้ง และอยู่เคียงข้างกันเสมอมา
"รักมากกว่า" ผมยิ้มให้กับคำหวานนั้น และผมเชื่อว่าทุกเวลาต่อจากนี้ ความรักของเราสอง จะไม่มีวันลดน้อยลง และจะคงอยู่ในหัวใจของพวกเราตลอดไป
THE END