ลุกซ์ตอบโต้กลับทันทีด้วยการซัดอสูรออกไกลจนมันไถลไปกับพื้นและเผลอขมวดคิ้วเมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของอสูร
เอลล์มองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ แต่สติที่มียังคงแจ่มชัดไม่กระเจิดกระเจิงไปเพราะการฝึกฝนมาตลอดยามที่มองไม่เห็นอะไร ต่อให้เรื่องคอขาดบาดตายยังไงสิ่งที่พึงมีก็คือสตินั่นเป็นคำสอนที่เอลล์ถูกพร่ำสอนมาตลอด เอลล์ท่องเวทรักษาเยียวยาลุกซ์ทันทีโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น “ ลุกซ์ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ ” เอลล์ไม่แม้แต่จะกำจัดศัตรูก่อนด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าลุกซ์จะตาย
ลุกซ์เอามือกุมท้องยิ้มแห้งๆ ให้เอลล์ “ คิดว่านะ ” แล้วหันหาตัวการทันที
ฮื่อออ
อสูรที่เดิมทีนอนกองอยู่บนพื้นกลับมายืนอย่างมั่นคงอีกครั้งเกล็ดไหม้ๆ ของมันเปลี่ยนเป็นสีดำมันวาวเขาบนหัวงอกยาวกว่าเดิมรวมถึงกรงเล็บที่ใช้ทะลวงท้องของลุกซ์
เลือดหยดลงบนพื้นเป็นวงกว้าง
ดูทั้งสวยและน่าสยดสยองในเวลาเดียวกัน
“ ทำไมมันถึงได้ฟื้นขึ้นมาอีกล่ะ !! ” กษัตริย์เมืองมนุษย์โวยวายชี้ดาบสั่นๆ ไปที่อสูรรอบตัวที่เริ่มล้อมกรอบเดินกันเข้ามาอีกครั้ง
เกททินเหลือบมองด้วยสายตาเหยียดหยาม “ ใครจะไปรู้ล่ะ ไอ้งั่ง ! ” และหยิบยาพิษออกมาเตรียมไว้ในมือเพื่อที่จะโจมตีเมื่อมีโอกาส ที่เกททินไม่โยนยาพิษใส่อสูรทันทีเลยก็มีเหตุผลไร้สาระอยู่คือ เจ้าตัวงกยา ส่วนเหตุผลที่มีสาระคือต้องการดูเชิงอสูรก่อน
มารัสปักดาบบนพื้นดึงตัวเองขึ้นมายืนอีกครั้ง “ เฮ้อ ข้าว่าจะจิบเหล้าของโรซานซะหน่อย ยังจะมีก็อกสองอีก ”
ส่วนชาวภูตและคนอื่นๆ ที่เพิ่งถูกรักษาไปหยกๆ ก็มานั่งรวมกลุ่มกันตรงกลางอีกครั้งจนหนาแน่น ปล่อยให้ผู้มาเยือนทั้งหลายออกแนวตั้งรับแทน
มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวอย่างที่ใครคิด
เพราะการพ่ายแพ้ในครั้งแรกมันได้ฝังใจชาวภูตไปแล้ว
ยิ่งภาพที่มังกรไฟที่ช่วยกำจัดอสูรให้ถูกอสูรทำร้ายเข้าอีกครั้ง
มันกระตุ้นให้ชาวภูตรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
ทั้งๆ ที่คิดว่ามันกำลังจะดีขึ้นกลับแย่ลง
ชาวภูตก้มตัวลงกอดเข่าด้วยความรู้สึกผิดและกำมือแน่นเมื่อได้ยินเสียงคำรามอื้ออึงในลำคอของอสูร
ลุกซ์ลูบท้องที่เลือดยังไม่หยุดไหลของตัวเองเซ็งๆ
จะให้ข้าเลียมันก็ยังไงอยู่นะ
เวทรักษาของเอลล์ช่วยให้ไม่รู้สึกเจ็บแผลแต่แผลที่หน้าท้องของลุกซ์กลับไม่มีทีท่าจะสมานกันแต่อย่างใดยังคงเป็นเนื้อเหวะและเลือดที่ไหลออกมา
เอลล์หน้าซีดลงอย่างน่าเป็นห่วง “ ลุกซ์ทำไมมันถึงไม่หายละ ” มือสั่นๆ พยายามวาดวงเวทรักษาบนหน้าท้องให้ลุกซ์อีกครั้ง
ลุกซ์จับมือเอลล์ไว้และลูบมันเบาๆ “ ช่างมันไปก่อนน่า ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเอลล์ แผลแค่นี้จิ้บๆ สบายมาก ”
โฮก !
เหล่าอสูรคำรามออกมาเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมๆ เมื่อมีตัวเริ่มคำรามตัวอื่นก็เริ่มคำรามตามจนเกิดเป็นเสียงระคายยหูที่ฟังแล้วขนลุก
ลุกซ์ปล่อยมือจากเอลล์หันไปเผชิญหน้ากับอสูรที่เพิ่งทำร้ายตนไปหมาดๆ
และต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงพื้นที่สั่นสะเทือนจากการย่ำเท้าและลงฝีเท้าหนัก
ตึง... ตึง.. ตึง..
มันเป็นเสียงของตัวอะไรกันแน่.. ?
ลุกซ์ครางฮื่อในลำคออย่างตึงเครียดเมื่อเสียงฝีเท้าหนักหยุดย่ำลงทำให้พื้นที่ในบริเวณเงียบสนิทไม่มีเสียงอะไรแม้แต่อย่างเดียว
“ มันคืออะไร.. ” เด็กชาวภูตที่ยื่นหน้าออกมาดูต้นเสียงด้วยความอยากรู้และต้องเบิกตากว้างน้ำเสียงสั่นเพราะความกลัวที่จับขั้วหัวใจ
โฮกกกกกกก
เสียงคำรามดังลั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือนใบไม้บนต้นไม้พริ้วไหวอากาศแปรปรวน
เอลล์ที่เดิมเพียงตั้งหน้าตั้งตารักษาลุกซ์รับหันหลังไปมองทันทีเพราะเสียงที่ว่ามันอยู่ข้างหลังเอลล์
นัยน์ตาสีแดงก่ำขนาดยักษ์กำลังเผชิญหน้ากับเอลล์
เอลล์เผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว
เพราะเพียงแค่ขนาดนัยน์ตานั้นก็มากกว่าเอลล์เป็นที่เท่าตัวแล้ว
ลุกซ์ที่เหลือบหันมามองบ้างถึงกับสะดุ้ง “ เฮ้ย เดี๋ยวๆ นี่เจ้าจะตัวใหญ่เกินไปแล้วนะ ”
แทนคำตอบของชาวภูตอสูรคำรามออกมาเสียงดังลั่นแขนทรงพลังปล่อยหมัดใส่เอลล์ทันที
เอลล์กระโดดหลบทันทีที่เห็นมืออสูรขยับ ในมือถือคทาเวทถักทอจากไม้เลื้อยชี้ไปที่อสูรด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว เอลล์สูดหายใจลึกกลืนความรู้สึกทั้งหมดลงไปหรือเพียงเพียงสมาธิจดจ่อกับการต่อสู้
เพราะในที่แห่งนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับอสูรนี้ได้
แสงสว่างทอประกายวาบจากคทาของเอลล์พร้อมกับการปรากฎตัวของงูสีขาวอมเหลืองขนาดยักษ์มันชูคอขึ้นขู่ฟ่อใส่อสูรและฉกไปที่ดวงตาของอสูรทันที
ร่างอสูรยักษ์คว้าหมับเข้าที่ตัวงูได้ทันควันแต่งูที่ถูกจับก็ไม่ได้สิ้นฤทธิ์แต่อย่างใดงับเข้าที่เกล็ดแข็งๆ อสูรพยายามอย่างยิ่งในการแทงเขี้ยวลงในเกล็ดให้จมลึกเพื่อปล่อยพิษร้าย นัยน์ตาของอสูรเปลี่ยนสีเป็นสีดำใช้กรงเล็บอีกของมืออีกข้างแทงเข้าที่หัวงู
ในขณะเดียวกันนั้นเอลล์ก็ได้เปลี่ยนคทาเวทให้กลายเป็นดาบผสานเวทความหนักอึ้งของดาบบอกถึงความทรงพลังของดาบถ้าหากถูกแทงเข้าไปพลังของดาบก็จะประทุออกและสลายร่างของอสูรทันที เอลล์กระชับมือที่ถือดาบทั้งๆ ที่เริ่มเหงื่อผุดตามไรผม
มารัสที่เดิมทีกำลังไล่ฟันอสูรที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเห็นดาบของเอลล์ก็โยนดาบในมือของตัวเองทิ้งทันที “ มาข้าเอง !! ” มารัสตะโกนเสียงดังลั่นพุ่งตัวไปหาเอลล์พร้อมกับยื่นมาออกไปรับดาบ
เอลล์เลิกคิ้วงงๆ ยื่นดาบที่ถือให้มารัสไปอย่างเผลอไผลเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาแย่งดาบในมือ
มารัสแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ดาบที่ทรงพลังมาถือ แววตาของมารัสทอประกายความตื่นเต้นพุ่งตัวเข้าไปหาอสูรยักษ์ตามสัญชาตญาณทันที
อสูรหันมาทองมารัสทันทีและยื่นมือมาหมายจะคว้าตัวมารัสเอาไว้
เกททินเห็นภาพตรงหน้าถึงกับสะดุ้งจนตัวลอย “ โว้ยยยย ไอ้บ้ามารัส ตามีไว้ทำไมวะ ไม่เห็นไงว่ามันอันตราย ! ” ล้วงเอายาพิษในเสื้อท่องเวทเสริมความแม่นยำในการโยนและปาใส่ดวงตาของอสูรยักษ์ ซึ่งเมื่อปาเสร็จก็หลบกรงเล็บของอสูรที่สู้ด้วยอยู่ได้อย่างเฉียดฉิว
อสูรยักษ์ขว้างงูที่สิ้นฤทธิ์ในมือทิ้งไปและกุมดวงตาของตัวเองคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด เลือดค่อยๆ หยดไหลผ่านมือของอสูรจนทั้งมือของอสูรเต็มไปด้วยเลือด
“ เพราะว่าข้ารู้ไงว่าจะช่วยข้า ” มารัสยิ้มอย่างอารมณ์ดีกระชับดาบในมืออีกครั้งเตรียมจะฟันเข้าที่ตัวอสูรซ้ำอีกครั้ง
เอลล์เบิกตากว้างพุ่งตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของมารัสและพาร่างของมารัสห่างออกมาจากอสูรทันที
“ โอ้ยย ปล่อยข้า เมื่อกี้ข้าจะฟันตามันได้แล้วนะเฟ้ย ” มารัสโวยวายตัวดิ้นขลุกขลักพยายามให้ขาที่เหยียบอยู่บนอากาศได้เหยียบพื้นอีกครั้ง
ลุกซ์จัดการใช้เวทไฟกับกรงเล็บที่งอกยาวออกมาจากนิ้วแทงเข้าที่ท้ายทอยของอสูรใกล้ตัวที่สุดและถอยห่างออกมายืนใกล้ๆ เอลล์ “ เจ้าเห็นอะไรกันเอลล์ ” โดยที่ไม่รู้ตัวเลือดของลุกซ์ค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นสีดำ
ในตอนนี้พื้นที่โดยรอบนั้นเหลืออสูรไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ยังคงส่งเสียงคำรามในลำคอเพราะในบางส่วนได้ถูกทั้งลุกซ์ เกททิน มารัส กษัตริย์เมืองมนุษย์ช่วยกันกำจัดกันไปเกือบหมดแล้ว โดยส่วนใหญ่ที่กำจัดก็คือลุกซ์
เอลล์พูดสั้นๆ “ มันกำลังคลุ้มคลั่ง ”
มารัสอ้าปากค้างชี้มือสั่นๆ ไปที่อสูรยักษ์ “ อย่าบอกนะถ้าข้าโดนไอ้หมอกดำๆ นั่นข้าจะเละ ”
เอลล์พยักหน้ารับ
“ ข้าต้องทำอะไรเอลล์ ” ลุกซ์ถามออกมาเพราะรู้ดีว่าเอลล์กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ ใบหน้าสุขุมหายใจเข้าออกช้าเป็นสัญญาณบอกลุกซ์อยู่กลายๆ ลุกซ์อยู่กับเอลล์มานานจนสามารถอ่านความรู้สึกบนใบหน้าหรือเดาความคิดบางอย่างของเอลล์ออก แต่ก็แค่บางครั้งเท่านั้น
“ พวกเจ้ากำจัดที่เหลือไปแล้วกัน ข้าจะรับมือมันเอง ” เอลล์แย่งดาบในมือมารัสคืนและปล่อยตัวมารัสลงอย่างอ่อนโยน
ลุกซ์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ เอลล์ เจ้าเพิ่งบอกกับข้าไปหยกๆ ว่ามันอันตราย แล้วนี่เจ้ายังจะรับมือกับมันคนเดียวอีกงั้นเหรอ ”
เอลล์หลุบตาลงมองไปที่ท้องของลุกซ์และยิ้มจาง “ อย่าลืมสิว่าข้าเคยเป็นอะไรมาก่อน ”
เลือดสีดำสนิทของลุกซ์ทำให้ใจของเอลล์ปวดหนึบ
เพราะฉะนั้นข้าจะไม่มีทางให้ลุกซ์ต้องบาดเจ็บไปมากกว่านี้
ลุกซ์ขมวดคิ้วงงๆ เหลือบมองหน้าท้องของตัวเองบ้าง “ เฮ้ย ! ทำไมเลือดข้าดำล่ะ ” ลุกซ์อุทานออกมาและเงยหน้าขึ้นมาหมายจะถามเอลล์ถึงสาเหตุ
แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
เพราะเอลล์ได้พุ่งเข้าไปหาอสูรยักษ์แล้ว !
ลุกซ์กัดฟันกรอดสบถกับตัวเอง
ข้ากลัวจริงๆ ว่าเอลล์จะพลาดทำร้ายตัวเอง
แต่ลำพังข้าตอนนี้คงมีแต่จะเป็นตัวถ่วง
ข้าเกลียดความอ่อนแอนี่ชะมัด
ทันทีที่เข้าใกล้ตัวอสูรได้เอลล์ก็เปลี่ยนจากดาบกลายเป็นหอกขว้างใส่อสูร อสูรยักษ์แสยะยิ้มทั้งๆ ที่ดวงตาข้างนึงถูกทำลายไปแล้ว มันใช้มือยักษ์ปัดป้องหอกของเอลล์
เอลล์ยิ้มเมื่อเป็นไปตามที่คิด หอกที่ถูกปัดออกแปรเปลี่ยนเสือตัวย่อมเมื่อเท้าของมันแตะพื้นก็กระโจนเข้าไปหาอสูรยักษ์ทันที หมอกสีดำสนิทรอบตัวอสูรยักษ์ค่อยเคลื่อนตัวของมันอย่างช้าๆ และหมุนริ้วพุ่งเข้าไปหาเสือเช่นกัน สัตว์ตระกูลแมวขนาดยักษ์คำรามออกมาดังลั่นเมื่อกระแทกตัวของกับหมอกของอสูร เอลล์ผุดยิ้มเมื่อเสือของตัวเองสลัดหมอกดำออกจากตัวได้อย่างสบายๆ อีกทั้งยังกัดเข้าที่หลังคอของอสูรได้แม่นยำ
อสูรยักษ์ใช้มือปัดป่ายไปทั่วอากาศรอบตัวเริ่มร้อนขึ้นทุกที
เอลล์ตะโกน “ ลุกซ์ ข้าฝากเจ้าดูแลด้วย อสูรมันกำลังเรียกเวทไฟออกมา ”
ลุกซ์ยิ้มรับคำขอสั่งดีดนิ้วเบาๆ เรียกให้เพลิงของตัวเองล้อมกรอบเป็นวงกลมปกป้องทุกสิ่งที่อยู่ภายในและมอดไหม้ศัตรูหรืออะไรที่ไม่เกี่ยวข้องที่กล้ำกลายเข้ามา
อสูรที่เหลือจำนวนไม่มากที่ถูกไฟอันร้อนแรงของลุกซ์กรีดร้องออกมาและวิ่งพล่านอย่างลนลานพยายามสลัดเพลิงที่ติดตามตัวออกอย่างบ้าคลั่ง
“ งั้นข้าขอออกไปตบพวกมันก่อนนะ จะได้หมดๆ สักที ” มารัสหันมาบอกลุกซ์ในมือถือดาบคู่ใจของตัวเองที่เพิ่งถูกโยนทิ้งอย่างน่าอนาถใจ “ อย่าเผาข้าล่ะ ” มารัสไม่ลืมบอกสิ่งสำคัญ
“ เออน่า ” ลุกซ์พยักหน้าส่งๆ
มารัสเมื่อได้รับคำอนุญาติของเจ้าของกำแพงเพลิงก็ฝ่าออกไปทันทีอย่างไม่เกรงกลัว และไล่ตามเก็บอสูรที่เหลืออย่างสนุกสนานราวกับว่ากำลังเล่นอยู่
เมื่อสิ่งที่ทำให้ห่วงหมดไปแล้ว เอลล์ก็ถอนหายใจออกมาเพื่อโยนความเมตตาของตัวเองทิ้ง “ ถึงเวลาที่จะกำจัดเจ้าแล้ว หัวหน้ากบฎ ! ” เอลล์สะบัดมือครั้งนึงเรียกให้ดาบของตัวเองปรากฎเพิ่มขึ้นมา
ฉับพลันพื้นที่โดยรอบก็ถูกลูกเพลิงยักษ์จากท้องฟ้าพุ่งเข้าชนทันที
ตูม !
เอลล์เบิกตากว้างเอามือป้องตาของตัวเองไว้ไม่ให้ตาพร่า เวทย์ป้องกันตัวปรากฎขึ้นป้องกันตัวเองโดยอัตโนมัติ เอลล์สะดุ้งเมื่อพื้นที่โดยรอบถูกเพลิงโลมเลียอย่างตะกละต้นไม้กลายเป็นสีดำทันควันพื้นดินแห้งกรอบแตกระแหง เอลล์ขบเคี้ยวฟันด้วยความโมโห วาดอักขระเยียวยาแผ่นดินออกมาพร้อมกัดนิ้วของตัวเองสลัดใส่อากาศ คล้ายกับเป็นการตอบรับของอักขระเวท มันส่งเสียงดังไพเราะออกมาครั้งนึงและประทับลงบนแผ่นดิน พื้นที่โดยรอบกลับมาเขียวขจีอีกครั้งและดุเหมือนจะอุดมสมบูรณ์มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เอลล์ไม่หยุดเพียงเท่านี้ร่ายเวทเรียกให้ฝนตกพรำไปทั่วบริเวณเพื่อดับไฟที่ยังหลงเหลือ
อสูรยักษ์กู่ร้องคำรามออกมาเมื่อเสือของเอลล์ไม่ได้ถูกไฟคลอกตายไปด้วยมันยังสามารถกัดเข้าที่ท้ายทอยจนจมเขี้ยว มันกระวนกระวายจนสามารถคว้าหมับเข้าที่เสือของเอลล์ได้แต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรเพราะเสือของเอลล์ได้เปลี่ยนรูปอีกครั้งพุ่งเข้ามาที่ดาบของเอลล์
ดาบของเอลล์กำลังประทุพลังออกมาจนมีเสียงแปลบปลาบในอากาศ
แววตาของเอลล์ฉายแววความเด็ดเดี่ยวก่อนที่จะฟันเข้าที่หัวของอสูรจนขาดอย่างง่ายดายแม้ว่ามันจะมีขนาดเป็นสองเท่าของเอลล์ก็ตาม
ตุบ..
หัวของอสูรตกลงตรงหน้าของลุกซ์พอดี
“ น่าเกลียดชะมัด ” ลุกซ์มุ่ยหน้าเตะหัวอสูรออกไปจนกลิ้งไถลเข้าไปหากษัตริย์เมืองมนุษย์
“ เฮ้ยยย จะเตะมาที่ข้าทำไมเล่า ข้าไม่เอา ! ” กษัตริย์ชาวมนุษย์ลนลานวิ่งหนีไปอีกทางทันที
“ ใจเสาะ ” ลุกซ์ถอนหายใจเบื่อๆ และมองหาราชาภูตของตัวเอง แต่ยังไม่เรียกก็รู้สึกแรงกอดเข้าที่ข้างหลังพอดี หัวอุ่นๆ กำลังถูไถลุกซ์คล้ายกับกำลังอ้อนแต่ถ้าไม่ติดความรู้สึกเปียกๆ บนหลัง
“ ลุกซ์... ทำไมเลือดของเจ้ากลายเป็นสีดำล่ะ ” เอลล์ที่เด็ดเดี่ยวหายไปแล้วเหลือเพียงความอ่อนแออยู่เจือจาง
ลุกซ์ยิ้มดึงมือของเอลล์ออกเบาๆ “ หันมาคุยกันดีๆ เอลล์ ”
เอลล์ยอมปล่อยออกมาอย่างง่ายดาย
ลุกซ์ดีดนิ้วเพื่อคลายเวทกำแพงเพลิงของตัวเองออก “ เอาล่ะ เอลล์ เจ้าใจเย็นๆ ก่อนที่มันรักษาไม่ได้เพราะใจของเจ้ายังไม่สงบพอไงล่ะ ”
เอลล์พยักหน้าหงึกหงัก
“ เอาล่ะ สูดหายใจเข้าลึกๆ เอลล์ ” ลุกซ์ลูบหัวเอลล์พูดอย่างอ่อนโยน
เอลล์ทำตามที่ลุกซ์ว่าจนสงบลง
“ ร่ายเวทเลยเอลล์ ”
เอลล์ค่อยๆ ร่ายเวท แสงสีทองทักถอบนหน้าท้องของลุกซ์อย่างเชื่องช้าเลือดสีดำค่อยๆ ระเหยออกไปในอากาศ รอยยิ้มปรากฎบนหน้าเอลล์เมื่อหน้าท้องของลุกซ์กลับมาราบเรียบอีกครั้ง
“ เห็นไหม แค่ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปด้วยดีนั่นแหละ เอลล์ ”
เอลล์ไม่ตอบรับอะไรเพียงแค่ยิ้ม
“ เดี๋ยวก่อนพวกท่าน ” มารัสเอ่ยขัดสีหน้าส่อแววความหงุดหงิด “ ทำไมเสื้อผ้าของข้าตอนนี้มันไหม้ล่ะ !! ”
“ ก็เจ้าโดนเพลิงลูกนั่นของอสูรนี่ ไม่ตายก็ดีแล้ว ” เอลล์เป็นคนตอบ
มารัสหน้ามุ่ยชูอะไรบางอย่างในมือให้เอลล์เห็น “ มันปลิวมาโดนหัวข้าพอดีตอนเจ้าตัดหัวอสูร ”
เอลล์สะดุ้งลนลานเข้าไปหามารัส “ ขอข้าดูหน่อย ”
มารัสยื่นมันให้เอลล์ง่ายๆ
เอลล์รับมาดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดรอยยิ้มบนใบหน้าหายไปอีกครั้ง
สิ่งที่อยู่ในมือเป็นตุ๊กตาไม้มีดวงตาและปากเป็นรอยกรีดลึกตรงกลางตัวมีสิ่งที่คล้ายเขาอสูรทะลุอยู่ “ ลุกซ์... ” เอลล์เรียกลุกซ์ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ สิ่งที่ข้าเพิ่งฆ่าไปเมื่อกี้เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ”
ซึ่งนั่นก็หมายความสิ่งที่ข้าคิดนั่นผิดไป
อสูรยักษ์ที่ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นหัวหน้ากบฎนั้นเป็นเพียงหุ่นฟาง
แปลว่าหัวหน้ากบฎนั้นยังมีชีวิตอยู่
ลุกซ์ถอนหายใจเซ็งๆ หยิบตุ๊กตาไม้จากมือเอลล์ไปพิจารณา “ งี่เง่าชะมัด ”
มารัสกระโดดโหยงเหยงโบกไม้โบกมือเรียกความสนใจมาที่ตน “ เห็นไหมๆ ข้าบอกแล้ว ว่าชาวภูตนั่นแหละ เป็นหัวหน้ากบฎชัวร์ ”
“ ข้าจะรับฟังไว้แล้วกัน ” เอลล์ถอนหายใจบ้างเหลือบมองชาวภูตที่รวมกลุ่มกันเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ “ งั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่ปราสาทส่วนในแล้วกัน ในนั้นน่าจะปลอดภัยกว่าที่นี้ ”
ชาวภูตที่นั่งกอดเข่าเผลออุทานกันออกมาอย่างตกใจเพราะในพื้นที่ปราสาทส่วนในนั้นมีเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้นได้ แต่ก็ไม่ได้มีใครก็ถามออกมาเพราะกลัวจะถูกเปลี่ยนใจ
เอลล์หลับตาลงใช้เวลาครุ่นคิดสั้นๆ แล้วเสกนกพิราบสีขาวออกมาในปากของมันคาบซองจดหมายที่ถูกเขียนด้วยอักขระเวท “ มารัส เจ้าจะไปปราสาทส่วนในด้วยไหม ”
มารัสพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “ ไปสิ ไป ” เพราะนั้นคือเป้าหมายหลักของมารัสและเกททิน เกททินเหลือบมองมารัสและถอนหายใจเซ็งๆ เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับภูต
“ งั้นเจ้าเอานกพิราบนี้ไปด้วยแล้วกัน ” เอลล์ลูบหัวมันเบาๆ และปล่อยให้มันบินพึ่บพี่บไปเกาะที่ไหล่ของมารัส “ เดี๋ยวเจ้านกพิราบนี้จะเป็นใบเบิกทางให้พวกเจ้าเอง ”
“ งั้นก็ลาล่ะ ถ้ามีโอกาสไว้มาจิบเหล้าด้วยกันล่ะ เอลล์ ลุกซ์ ” มารัสหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
เอลล์ยิ้มรับวาดเวทเดินทางใต้เท้าของตัวเองด้วยอักขระขนาดใหญ่ก่อนที่จะกระทืบเท้าบนมันเบาๆ จนกลายเป็นวงเวทขนาดยักษ์เคลื่อนไปตรงกลางที่ชาวภูตยืนออกันอยู่
“ ลาล่ะ ” ลุกซ์บอกสั้นๆ
ส่วนชาวภูตคนอื่นๆ ที่อยู่ในวงเวทต่างยิ้มกว้างกันอยู่ดีใจบางคนถึงกับร้องไห้ออกมาเมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้ไปอยู่ที่ปลอดภัยที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์เข้าได้ แม้จะรู้สึกข้องใจในตัวของผู้ช่วยเหลือแต่ความดีใจก็กลบคำถามที่มีอยู่ในใจจนมิดแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มให้เอลล์
เอลล์ยิ้มบางโบกมือลาและเวทที่อยู่บนพื้นก็ทำงาน
แสงเหลืองนวลโฉบไล้ไปทั่วก่อนที่ทุกคนที่อยู่ในวงเวทหายไป
โดยที่ไม่มีใครสังเกตว่ามีชาวภูตผู้นึงสวมชุดคลุมปกปิดใบหน้าแสยะยิ้มอย่างพอใจ
-------------------
TBC.
ตอนนี้กินพลังชีวิตมาก 55555 ฉากสู้ก็เยอะเขียนย้ากยาก ปมที่มีอยู่ก็พันกันมากกว่าเดิมอีก
ไม่ได้เขียนฉากต่อสู้จริงๆจังๆ นานแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะสนุกไหม
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ
* ตอบเม้น
คุณ บลูเชอร์รี่ : ลุกซ์มีหมอส่วนตัวไม่ต้องหาใครหรอกค่ะ
คุณ •♀NoM!_KunG♀• : เอ ตอบยังไงดี 5555 งั้นโง้ววววกลับแล้วค่ะ
คุณ lizzii : สถานการณ์ขึ้นๆ ลงๆ เป็นเรื่องปกติของเรื่องนี้เลยค่ะ 5555
# ไร้สาระ เป็ดเด็กช่างแล้วกรี้ด