ตอนที่ 12
เจ้าของที่ดิน
แฟนธอมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นั่งมองคนที่อมยิ้มนอนเอนกายข้างเขาบนเตียงไม่ยอมกลับบ้านตัวเอง ส่วนตัวเขาจะออกปากไล่ก็ทำไม่ได้ เพราะดันเผลออนุญาตให้เจ้าตัวอยู่ต่อไปก่อนหน้านั้น เนื่องจากเจอรัลด์ออกอาการตัดพ้อน้อยใจ ในเรื่องที่เขาคิดจะไปอาละวาดใส่ก่อนหน้า ทั้งที่เจ้าตัวไม่ผิดเลยสักนิด
“เลิกยิ้มได้แล้วน่า! อยากนอนก็นอนไป แต่ห้ามรุ่มร่ามกับฉันด้วยล่ะ!”
“ครับ ๆ แค่ได้สูดกลิ่นคุณใกล้ ๆ แบบนี้ ผมก็ดีใจมากแล้ว”
แฟนธอมหน้าแดงวาบเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“โรคจิต!”
“นาทีนี้ให้เป็นอะไรก็ยอมทั้งนั้นละครับ”
เจอรัลด์ตอบอย่างไม่ขุ่นเคือง ทำให้แฟนธอมยิ่งเขินหนักขึ้น ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเจอรัลด์เอื้อมมือมาปลดหน้ากากเขา
“เวลาอยู่กับผมสองต่อสอง ไม่ต้องสวมหน้ากากก็ได้ครับ”
เจอรัลด์บอกกับแฟนธอมที่เหมือนจะเบี่ยงใบหน้าหลบเขาอย่างลังเล จนอีกฝ่ายต้องชะงัก แล้วจำยอมให้ชายหนุ่มถอดหน้ากากออกจนได้
“คุณแฟนธอมน่ารักจริง ๆ นี่อายอยู่สินะครับ”
ผีดิบหนุ่มเอ่ยแซว แล้วก็ต้องรีบขอโทษขอโพยตามมายกใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายออกอาการงอนให้เห็น
“ฮะ ๆ ขอโทษทีครับ ไม่พูดแหย่ให้คุณเขินแล้วล่ะ ...แต่ตอนนี้ผมยังง่วงอยู่เลย เมื่อเช้าก็ตกใจนึกว่าคุณเป็นอันตรายอะไรไปเสียอีก ...ที่ไหนได้ เฮ้อ!”
แฟนธอมสะดุ้งเล็กน้อยที่อีกฝ่ายวกกลับมาพูดเรื่องเดิมเมื่อเช้าอีกครั้ง ชายหนุ่มดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าคนพูด แล้วแกล้งทำเป็นบ่นตามมา
“ง่วงนักก็นอนไปสิ! แต่ถ้ายังจะคุยต่อ ก็ออกไปนั่งคุยนอกห้องแทนแล้วกัน!”
“อะ...งั้นเลิกบ่นก็ได้...เห็นแก่ที่คุณทำตัวน่ารักสุด ๆ ในวันนี้เลยนะครับเนี่ย โอ๊ย! ขอโทษครับ คุณแฟนธอม!”
เจอรัลด์ยกไม้ยกมือห้ามประท้วง เพราะแฟนธอมที่กำลังฉุนปนเขินลงมือทุบเขาเสียเต็มแรง จนเขาชักจะเริ่มเจ็บเข้าให้จริง ๆ เหมือนกัน
“อูย...พอเถอะนะครับ ผมยอมแล้ว ...จะไม่ปากเสียอีกแล้ว ยกโทษให้ผมนะครับ”
นักประดิษฐ์หนุ่มอ้อนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า แถมยังจับข้อมือทั้งสองที่กำลังทุบเขาไว้เสียอีก ทำให้แฟนธอมที่เผลอหันมาสบตาตอบต้องรีบเบือนหน้าไปอีกทางด้วยความอาย ทว่าสุดท้ายก็ยอมอยู่นิ่งเลิกอาละวาด ทำให้เจอรัลด์หลุดยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับรวบมือทั้งสองข้างของคนที่ตนหลงรักมาจูบแผ่วเบา
“นอนเป็นเพื่อนกันนะครับ สัญญาว่าจะแค่กอดอย่างเดียว ไม่ทำอะไรล่วงเกินแน่”
แฟนธอมชะงัก แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ทำให้เจอรัลด์ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความดีใจ ก่อนจะรั้งร่างตรงหน้าให้เอนกายนอนไปพร้อมเขาอย่างอ่อนโยน ทว่าพอผ่านไปได้ครู่ใหญ่ คนที่รับปากว่าจะขอแค่นอนกอด ก็เริ่มจะระงับใจตนเองเอาไว้ไม่ไหว จากกอดเฉย ๆ ก็เลยเริ่มขยับมือแตะนิดแตะหน่อยพอเนียนเป็นพัก ๆ จนคนยอมให้กอดต้องนิ่วหน้า และมาแน่ใจชัดเจนว่าไม่ใช่การบังเอิญ ก็ตอนที่เจอรัลด์นั้นล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อนอนของตน
“หยุดเลยนะเจ้าซอมบี้หื่นกาม! หนอย! ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ด้วย!”
แฟนธอมดันตัวออกห่างและเตรียมจะลุกหนี แต่เจอรัลด์ก็รีบตามมากอดไว้แน่น เสียงทุ้มพึมพำกระซิบใกล้หูทำให้คนฟังถึงกับขนลุกซู่ทั่วกาย
“คุณแฟนธอม...ขอโทษนะครับ แต่ผมทนไม่ไหวจริง ๆ ตอนนี้นอกจากจะกอดแล้ว... ผมยังอยากจูบคุณให้ทั่วทั้งตัวเลยล่ะครับ”
คำสารภาพจริงใจด้วยน้ำเสียงอ้อน ๆ นั่น ทำเอาแฟนธอมเกือบจะใจอ่อน หากแต่ความอายที่มีมากกว่าก็ยังทำให้เขาฝืนใจแข็งเอ่ยปฏิเสธออกไปในที่สุด
“ไม่มีทาง! ฉันยังไม่ได้ตอบรับคบกับนายเลยนะ จริง ๆ นายก็ไม่มีสิทธิจะทำถึงขั้นนี้เลยด้วยซ้ำ!”
เจอรัลด์ตีหน้าสลดแถมยังส่งสายตาเศร้า ๆ มองมา ทำเอาแฟนธอมใจอ่อนอีกรอบ จากที่เคยปฏิเสธเสียงแข็งก็เลยกลายเป็นเสียงแผ่วลงอย่างยอมอ่อนข้อให้บ้าง
“อุตสาห์อดทนรอมาได้ตั้งนาน...รอต่ออีกสักหน่อยจะไม่ได้เลยหรือ ฉันก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอะไรสักหน่อย”
เจอรัลด์ชะงักกับคำพูดนั้น แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย
“ก็ได้ครับ...คุณแฟนธอมอุตสาห์ยอมอ่อนข้อให้ผมขนาดนี้ ผมจะยังงอแงทำให้คุณเดือดร้อนได้ยังไงจริงไหมครับ”
แฟนธอมเบือนหน้าหลบมองทางอื่นด้วยความเขิน ทำให้เจอรัลด์ที่ได้เห็นต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเตรียมจะฉวยโอกาสนี้หอมแก้มอีกฝ่ายให้สมอยาก ทว่าเสียงเคาะประตูที่ดังขัดขึ้น ก็ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งโหยงเสียก่อน
“คุณแฟนธอมครับ อาหารเช้าเสร็จแล้วนะครับ จะทานเลย หรือจะให้ผมเก็บไว้ให้ก่อนดีครับ”
พอได้ยินเสียงกีรติมาตาม แฟนธอมก็รีบตะโกนตอบกลับไปทันที
“เดี๋ยวฉันตามไปเลยแล้วกัน รอแป๊บนึงนะ!”
พอบอกจบชายหนุ่มก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียง พลางหยิบหน้ากากที่ถูกถอดวางไว้แถวนั้นมาใส่อย่างรีบร้อน ส่วนเจอรัลด์เมื่อเห็นว่ายังไงแฟนธอมก็คงไม่กลับมาจู๋จี๋กับเขาต่อเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงยันกายขึ้นนั่ง และลุกตามออกไปด้วยอีกคนอย่างนึกเซ็งไม่น้อยเลยทีเดียว
“นายกลับไปหากินที่บ้านนายโน่น! กีรติเขาไม่ได้ทำเผื่อนายหรอก!”
แฟนธอมตะโกนไล่คนที่เดินตามเขามาเพื่อแก้เขิน และกลัวกีรติเข้าใจผิดว่าเขาเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เจอรัลด์มานอนร่วมห้องด้วยเช่นนี้
“อ๋อ! ไม่เป็นไรครับ เพราะผมทำเผื่อคุณเจอรัลด์ไว้ด้วย พอดีผมเห็นรองเท้าถอดวางไว้ด้านหน้า ก็เลยคิดว่าคุณเจอรัลด์น่าจะอยู่กับคุณแฟนธอม ก็เลยตัดสินใจทำเผื่อไว้ก่อนน่ะครับ”
แฟนธอมชะงักเมื่อได้ยิน ส่วนเจอรัลด์ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ เขาหันไปขอบคุณกีรติ และเริ่มหายหงุดหงิดเรื่องที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่นี้
“ผมเห็นว่าคุณแฟนธอมเพิ่งฟื้นไข้ ก็เลยทำอาหารอ่อน ๆ แทน ...แต่ถ้าไม่ถูกปากพวกคุณ จะไม่ทานก็ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจผมก็ได้”
กีรติรีบออกปากดักไว้ก่อนด้วยความกังวล ทำให้คนฟังทั้งสองอมยิ้ม สักพักชายหนุ่มจึงยกหม้อข้าวต้มหมูสับที่ทำไว้ มาตักแบ่งเป็นสามถ้วย แถมยังมีเครื่องเคียงเป็นเต้าหู้ผัดถั่วงอกให้อีก 1 จานด้วย
“ว้าว! น่ากินชะมัด นี่คุณทำเองจริง ๆ หรือเนี่ย คุณกีรติ”
เจอรัลด์มองอาหารตรงหน้าอย่างประหลาดใจเล็กน้อย และยิ่งพอได้ลองชิมเจ้าตัวก็ยิ่งทึ่งในความสามารถของคนตัวเล็กเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
“ผมว่าคุณลาออกจากยาม มาเปิดร้านแข่งกับคุณดาหลาดีกว่านะครับ”
เจอรัลด์พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง จนกีรติต้องยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนแฟนธอมนั้นก็รู้สึกไม่แตกต่างจากนักประดิษฐ์หนุ่มเท่าใดนัก และเพียงไม่นานทั้งข้าวต้มและผัดเต้าหู้ก็ถูกกินจนหมดเกลี้ยง สร้างความยินดีให้กับผู้ที่ทำอาหารเป็นยิ่งนัก
“ค่อยยังชั่ว อย่างนี้ผมค่อยมั่นใจสำหรับมื้อกลางวันหน่อย เกิดคุณริวทานแล้วไม่ถูกปากขึ้นมาคงแย่”
คำพูดคล้ายเปรยกับตัวเองทำให้เจอรัลด์และแฟนธอมชะงัก จากนั้นจึงปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นที่มุมปากของนักประดิษฐ์หนุ่มอย่างถูกใจ จนแฟนธอมที่หันไปเห็นนึกหมั่นไส้ยิ่งนัก เนื่องจากพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวเข้างานก่อนนะครับ คุณแฟนธอมก็พักผ่อนให้มาก ๆ นะครับ”
กีรติที่เหลือบมองเวลาหันมาบอกกับรุ่นพี่ร่วมงานของเขา อย่างไม่ได้ทันรู้สึกตัวเลยว่ากำลังถูกใครบางคนคิดจับคู่เขาให้กับผู้ชายด้วยกันเรียบร้อย
“อือ...นายเองก็อย่าหักโหมนักล่ะ”
แฟนธอมบอกกับรุ่นน้องพร้อมรอยยิ้ม และเมื่อกีรติหายเข้าไปในห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาก็เตรียมเดินกลับห้องของตนบ้าง ทว่าก็ต้องหยุดฝีเท้าเอาไว้ก่อนจะก้าวเข้าไปในนั้น
“อ้าว! ไม่เข้าห้องหรือครับคุณแฟนธอม หรือลืมอะไรไว้ข้างนอก”
เจอรัลด์เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ทำเป็นสงสัย หากแต่คนสวมหน้ากากนั้นพอจะมองออกดีว่าเจ้าตัวเสแสร้งแกล้งทำไปเช่นนั้นเองต่างหาก
“กลับบ้านนายไปได้แล้ว นี่มันเช้าแล้วนะ!”
แฟนธอมโพล่งบอกด้วยความอาย เพราะเมื่อครู่นี้หากกีรติไม่มาขัดจังหวะ เขาก็คงใจอ่อนยอมให้เจอรัลด์เอาเปรียบไปแล้ว
“เอ๋! แต่ก่อนหน้านั้น คุณอนุญาตให้ผมนอนที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือครับ”
เจอรัลด์รีบประท้วงแล้วส่งสายตาอ้อนมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้แฟนธอมไม่ยอมใจอ่อนเหมือนเดิม
“อยากนอนต่อก็ได้ แต่หลังจากตื่นขึ้นมา ก็เตรียมรับฟังคำปฏิเสธจากฉันเรื่องขอคบกันไว้ได้เลย!”
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอเมื่อถูกยื่นคำขาด และเมื่อเห็นว่ายังไงแฟนธอมก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ เขาจึงยอมล่าถอยแล้วเดินคอตกกลับออกไป ทำให้คนที่มองอยู่นึกสงสาร จึงแสร้งทำเป็นเปรยอ้อมแอ้มให้ได้ยิน
“คืนนี้ตอนฉันเข้าเวร ถ้านายยังอยากจะมาคุยด้วยอีก... ก็แวะมาแล้วกัน”
เจอรัลด์สะดุ้งโหยงแล้วรีบหันขวับกลับมามองคนพูด ทว่าก็ทันได้เห็นเพียงแผ่นหลังของเจ้าตัวที่รีบเข้าห้องนอนพร้อมกับปิดประตูดังลั่นตามมา ชายหนุ่มอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกำมือแน่นด้วยความยินดี เพราะลองแฟนธอมพูดแบบนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายยังไม่คิดตัดเยื่อใย แถมถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปนัก แฟนธอมก็เหมือนจะมีใจให้เขาไปแล้วกว่าครึ่งด้วยซ้ำ
“อยากให้ถึงกลางคืนไว ๆ จังเลยแฮะ”
เจอรัลด์พึมพำพร้อมฮัมเพลงเดินออกจากสำนักงานหมู่บ้านไปอย่างอารมณ์ดีผิดกับตอนขาเข้ามาลิบลับ ส่วนแฟนธอมที่อยู่ในห้องก็กำลังบ่นตัวเองที่ดันเผลอใจอ่อนจนพูดในสิ่งที่เขามั่นใจว่าจะทำให้เจอรัลด์นั้นได้ใจยิ่งกว่าเดิมแน่นอน
“เฮ้อ...ทำไงได้ ...ถือว่าเป็นการตอบแทนที่นายมองแต่ฉันคนเดียวมาตลอดแล้วกัน”
แฟนธอมถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก เพราะต่อให้เขาจะพูดหรือไม่พูดในสถานการณ์เช่นนั้น เขาก็ยังเชื่อว่าเจอรัลด์คงจะไม่เปลี่ยนใจไปจากเขาง่าย ๆ และเพราะชายหนุ่มเป็นคนเช่นนั้น แฟนธอมจึงคิดว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาคงจะยอมใจอ่อนเอ่ยปากตอบรับรักอย่างที่เจอรัลด์ต้องการในเร็ววันนี้เป็นแน่
ในเวลาต่อมา หลังจากที่กีรติเข้าเวรกะเช้าได้สักพัก ชายหนุ่มก็ได้เห็นรถสปอร์ตสีเงินคันหรูเลี้ยวเข้ามาในเขตหมู่บ้าน คนขับนั้นลดบานกระจกลงให้กีรติเห็นใบหน้า ซึ่งพอเห็นว่าเป็นใคร กีรติก็รีบทักทายสวัสดีพร้อมยกไม้กั้นรถขึ้น แล้วปล่อยให้รถสปอร์ตคันนั้นขับเข้าไปด้านใน และเมื่อรถจอดสนิทในโรงรถข้างสำนักงานหมู่บ้านเรียบร้อย คนที่ลงจากรถก็หันมามองที่ป้อมยามชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทำงานด้านในตามปกติ
“เพิ่งเคยเห็นคุณกรกฎขับรถมาวันนี้นี่ล่ะครับ ทุกทีผมเห็นเขาเดินเข้ามาในหมู่บ้านเอง ก็นึกว่าบ้านอยู่ละแวกนี้เสียอีก”
กีรติเปรยกับอเล็กซ์ด้วยความแปลกใจ และถ้าเขาจำไม่ผิด รถรุ่นที่กรกฎใช้อยู่ ราคามันเฉียด 30 ล้านบาทเลยด้วยซ้ำ
“บ้านพักของคุณกรกฎน่ะหรือครับ ก็ไม่ไกลจากแถวนี้นักหรอกครับ ห่างออกไปราวสิบกิโลเมตรได้ เท่าที่ผมทราบปกติเขาจะให้คนที่บ้านขับรถมาส่งหน้าปากทางเข้าแล้วเดินออกกำลังกายมาเรื่อย ๆ เอง แต่วันนี้อาจจะตื่นสาย หรือมีธุระต้องใช้รถในตอนเย็นต่อ เลยนำรถมาด้วยก็ได้ล่ะมั้งครับ”
อเล็กซ์อธิบายตามปกติโดยไม่นึกสนใจราคารถสปอร์ตคันหรูของกรกฎเลยสักนิด ซึ่งก็ทำให้กีรติคิดว่าบางทีกรกฎเองก็อาจจะไม่ใช่เลขานุการธรรมดาอย่างที่เห็นเบื้องหน้าก็เป็นได้
“อย่างนั้นหรือครับ...จริง ๆ เดินทางไกลมีรถขับไปไหนมาไหนเอง ก็สะดวกดีนั่นล่ะครับ”
กีรติตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรมากเช่นเดียวกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ยืนอยู่ยามต่อตามปกติ จนทำให้คนที่เดินออกมาจากสำนักงานหมู่บ้าน และแอบมองอยู่ห่าง ๆ ต้องอมยิ้ม เพราะทีแรกกรกฎนึกว่าเขาจะถูกตามซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรื่องรถที่เขาใช้ เหมือนดังเช่นยามกะเช้าคนอื่น ๆ ก่อนหน้านั้นเสียอีก
“อืม...ปฏิกิริยาตอบรับค่อนข้างแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอยู่มากเลยแฮะ... แถมประวัติส่วนตัวที่คลุมเครือนั่นก็น่าสนใจใช่เล่นอีกด้วย”
กรกฎพึมพำกับตัวเอง พลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ที่มุมปาก เพราะเมื่อเขาได้ตรวจสอบประวัติของกีรติโดยละเอียด ก็ทำให้พอจะรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นปลอมแปลงเอกสารราชการ รวมถึงประวัติส่วนตัวก่อนหน้าอายุ 15 ปี ทั้งหมด ในจุดนี้เขายังไม่ได้บอกเวธน์ เพราะเท่าที่สังเกต กีรตินั้นเป็นคนดีจริง ๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด และไม่น่าสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้แน่
‘เอาเถอะ...เรื่องของคุณกีรติคงต้องเอาไว้ทีหลัง ปัญหาก็คือเย็นนี้ต่างหาก หวังว่าคุณเวธน์จะอู้งานตามปกตินะ ไม่อย่างนั้นเราคงแก้ตัวเรื่องขอกลับไวลำบากแน่ เฮ้อ!’
กรกฏคิดในใจอย่างเอือมระอา เพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมา ลูกพี่ลูกน้องของเขาซึ่งอาศัยอยู่ต่างประเทศ ได้โทรให้เขาไปรอรับที่สนามบินในตอนบ่ายของวันนี้ โดยกำชับให้ปิดเป็นความลับกับเวธน์ เพราะต้องการทำเซอร์ไพรส์ที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่กรกฎนั้นรู้ดีว่าที่จริงแล้วอีกฝ่ายกลัวเวธน์จะหนีไปเสียก่อน หากได้รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเจอกับเจ้าตัวนั่นเอง
พอใกล้เวลาสองโมงเช้า กรกฎก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาจ้องมองคนที่เดินยิ้มร่าเริงตรงเข้ามาในสำนักงานด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นขนาดเขาพยายามขอร้องให้อีกฝ่ายมาทำงาน เวธน์ก็ยังคอยแต่จะหาข้ออ้างปฏิเสธ แต่ในวันนี้เขาไม่อยากให้เจ้าตัวมาแท้ ๆ เวธน์ก็ดันมาทำงานเสียอย่างนั้น
“ไง! กรกฎ วันนี้นึกอะไรขึ้นมา ถึงได้เอารถคันโปรดออกมาใช้แบบนี้น่ะ ปกติถ้าไม่ให้คนขับรถมาส่ง นายก็ใช้แค่รถยนต์ธรรมดาคันละไม่กี่ล้านมาทำงานไม่ใช่เหรอ เอ...หรือว่าจงใจขับมาอวดใคร...แล้วเป็นไง เขาสนใจหรือเปล่าล่ะ”
กรกฎเลิกคิ้วนิด ๆ เพราะเวธน์เดาเจตนาของเขาได้ถูกครึ่งหนึ่ง เรื่องที่เขาจงใจใช้รถสปอร์ตคันหรู เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของกีรติ ทว่าอีกครึ่งหนึ่งนั้น กรกฎยังคงมั่นใจว่า เวธน์จะยังไม่รู้ตัวแน่
“ก็แค่มองเฉย ๆ แล้วก็ทำงานต่อนั่นล่ะครับ”
เลขาหนุ่มตอบกลับไปตามตรง ซึ่งเวธน์ก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างถูกใจ
“ว่าแล้วเชียว อืม...หรือบางทีเขาอาจจะไม่รู้ราคาของมันก็ได้นะ ว่ามันแพงมากขนาดไหน”
“ผมก็คิดเผื่อไว้ว่าอาจจะเป็นแบบนั้น ...หรือไม่เขาก็อาจจะไม่ใส่ใจเลยก็ได้”
เวธน์พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงทำเป็นเดินไปมา ก่อนจะชะโงกหน้าไปดูหน้าประตูห้องนอนส่วนตัวของยามกะดึกอีกคน จนกรกฎต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“มีธุระอะไรกับคุณแฟนธอมหรือครับคุณเวธน์”
เวธน์สะดุ้งเล็กน้อย แล้วหันมายิ้มแปลก ๆ ให้อีกฝ่าย
“หึ ๆ นายไม่รู้เรื่องนี้สินะ...”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเลขาหนุ่ม เวธน์ก็หัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยต่อ
“ฉันได้รับรายงานข่าวเด็ดข่าวดัง มาจากคนในหมู่บ้านเมื่อเช้า เรื่องที่เจอรัลด์สารภาพรักกับคุณแฟนธอมไปเรียบร้อยแล้วไงล่ะ วันนี้ก็เลยอยากมาดูด้วยตาตัวเอง หรือจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ อยากจะมาแซวคุณแฟนธอมเขาสักหน่อยน่ะ!”
เมื่อได้ฟังเจตนารมณ์ของชายหนุ่ม ก็ทำให้กรกฎต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นิสัยชอบแหย่ชอบแกล้งคนที่ถูกใจของเวธน์ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนไปสักที
ทางด้านเวธน์นั้นหัวเราะเบา ๆ หลังจากเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างเป็นการเป็นงานกว่าเดิม
“นี่ กรกฎ ฉันว่าจะขยายพื้นที่หมู่บ้านออกไปทางด้านหลังเพิ่มอีกสักหน่อย นายคิดว่ายังไงล่ะ”
กรกฎขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วย้อนถามกลับไป
“จะมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกหรือครับ”
เวธน์ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะตอบกลับไปตามตรง
“ยังไม่มีหรอก...แต่ฉันเริ่มคิดเรื่องนี้ หลังจากกีรติมาทำงานที่หมู่บ้าน... ฉันคิดว่ามนุษย์ที่พร้อมจะยอมรับปีศาจอย่างง่ายดายก็น่าจะมีอยู่อีกมาก และถ้าพวกเขาเหล่านั้นได้มาอยู่อาศัยร่วมกันที่หมู่บ้านมีสุขแห่งนี้เพิ่มขึ้น ก็คงจะเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยล่ะนะ”
กรกฎมองคนตรงหน้านิ่งสักพัก แล้วจึงมีรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้
“คุณอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ ก็คุณเป็นเจ้าของที่ดินรุ่นที่ 3 ไม่ใช่หรือครับ”
เวธน์จ้องมองตอบแล้วมีรอยยิ้มให้อีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
“ฉันมันเป็นได้แค่ตัวแทน ตัวจริงมันควรจะเป็นนายต่างหาก เมื่อไหร่ถึงจะยอมรับตำแหน่งนี้แทนฉันเสียทีล่ะ กรกฎ”
กรกฎหัวเราะในลำคอเบา ๆ จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้นึกรังเกียจทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ความเป็นผู้นำ การแก้ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะหน้า รวมไปถึงความมีมนุษยสัมพันธ์อันดีเลิศ เวธน์นั้นเหนือกว่าเขาทุกอย่างและเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งได้รับมาเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็นหลานชายแท้ ๆ ของเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองก็ตาม
เมื่อหวนนึกถึงอาของตน ก็ทำให้กรกฎต้องย้อนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งอดีต เกี่ยวกับ ‘กอบพล’ น้องชายคนเล็กของบิดาเขา ซึ่งเป็นลูกหลงของปู่กับย่าที่เกิดตอนพวกท่านอายุค่อนข้างมากแล้ว กอบพลอายุมากกว่าเขาเกือบสิบปี และเป็นรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกับเวธน์ กรกฎจึงได้รู้จักเวธน์ผ่านการแนะนำของผู้เป็นอา พวกเขาสนิทคุ้นเคยไปมาหาสู่กันดี และเริ่มเหินห่างไปเมื่อเขาตัดสินใจไปเรียนต่อที่เมืองนอก
ทว่าในปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเรียนจบ กอบพลก็มาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน เขาบินกลับมาเมืองไทยเพื่อร่วมงานศพของผู้เป็นอา และเวธน์ก็ได้มอบโฉนดที่ดินผืนใหญ่ รวมถึงเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านมีสุขให้เขาฟัง พร้อมบอกกับเขาว่าเขาเหมาะสมที่จะสืบทอดต่อจากกอบพลมากที่สุด ทว่าในตอนนั้นเขายังคงสับสนกับสิ่งที่ได้รับรู้ จึงได้ฝากให้เวธน์ช่วยดูแลแทนเขาไปก่อน ซึ่งก็เหมือนเวธน์จะเข้าใจว่าเขายังคงทำใจไม่ได้ ชายหนุ่มจึงยอมรับฝากทั้งที่ดินและตำแหน่งเจ้าของที่ดินจนกว่าเขาจะพร้อมกลับมารับช่วงแทน
“กรกฎ เฮ้! เป็นอะไรของนายน่ะ จู่ ๆ ก็เงียบไปเสียอย่างนั้น”
เวธน์เอ่ยทัก เพราะคนที่หัวเราะยิ้มรับคำเขา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบตกอยู่ในภวังค์ตัวเองเสียนานอย่างน่าแปลก
“อะ...ขอโทษด้วยครับคุณเวธน์ ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
“เฮ้อ! ฉันรู้นะ ว่าฉันอาจจะพูดจาเอาแต่ใจเกินไป ...แต่นายก็เห็นไม่ใช่หรือกรกฎ ว่าคนไร้ความรับผิดชอบและรักอิสระอย่างฉัน มันดูแลที่นี่ให้ดีไม่ได้ อย่างนายต่างหากถึงจะเหมาะสมกับที่นี่มากกว่า...เพราะว่านายน่ะเป็นหลานของผู้ชายซึ่งรักที่นี่จากใจจริงยิ่งกว่าใคร ยังไงล่ะ”
กรกฎจ้องมองคนที่มีสีหน้าเศร้าซึมลงสักพัก แล้วจึงหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา
“...ผมซึ่งเคยหันหลังให้ที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้นหรอกครับ”
“ตอนนั้นนายก็ยังแค่ทำใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง!”
เวธน์รีบแย้ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ดูคล้ายกับกอบพลไม่มีผิด
“ผมเชื่อนะครับคุณเวธน์ ว่าถ้าอายังมีชีวิตอยู่ คนที่เขาจะขอร้องให้รับช่วงสืบทอดต่อ ก็คือคุณ...ไม่ใช่ผม”
เวธน์เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะสะดุ้งนิด ๆ เมื่อเสียงเปิดประตูจากบางห้องดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นว่าแฟนธอมกำลังเดินออกมาจากห้องของอีกฝ่าย แถมยังไม่มีท่าทางจะสนใจพวกเขาเสียอีก ชายหนุ่มตรงไปชงกาแฟสำหรับตัวเอง และเดินถือแก้วกลับไปเงียบ ๆ ทว่าก่อนที่จะก้าวเข้าห้อง แฟนธอมก็หยุดฝีเท้าลง แล้วเปรยขึ้นค่อนข้างดัง
“ก่อนหน้าคุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองจะเสียชีวิตราวเดือนกว่า เขาเคยมาปรึกษากับผมว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเกิดทำหน้าที่นี้ต่อไม่ได้ ผมจะรับได้ไหม...ถ้าคุณเจ้าของที่ดินคนใหม่จะเป็นผู้ชายที่ชอบกวนโมโห คอยหาเรื่องแหย่แกล้งชาวบ้าน โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจน่ะ”
เวธน์ชะงักกึก พลางจ้องมองแฟนธอมอย่างตกตะลึง เพราะเขาไม่คิดว่ากอบพลจะอยากให้เขารับช่วงสืบทอดต่อ แต่เขาก็มั่นใจว่าแฟนธอมไม่น่าจะพูดโกหก เพราะเท่าที่เขาเห็นมา กอบพลเองก็สนิทสนมและให้ความไว้วางใจกับแฟนธอมมากกว่าใคร ๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้
“ผมเองก็ไม่คิดว่าเรื่องที่คุณกอบพลกังวล มันจะเกิดขึ้นไวขนาดนั้น ...แต่ผมและทุกคนที่หมู่บ้านมีสุข ดีใจนะ ที่คุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สามของพวกเราคือคุณน่ะ...คุณเวธน์”
แฟนธอมเอ่ยปิดท้ายพลางหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับเวธน์ แล้วเดินกลับเข้าห้อง ทางด้านกรกฎเองก็มีรอยยิ้มเช่นเดียวกัน เมื่อได้เห็นสีหน้าในยามนี้ของคนใกล้ตัว
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม คุณเวธน์ ว่าคนที่อาเลือกน่ะไม่ใช่ผม...”
เวธน์ชะงักพลางหันมามองอีกฝ่าย แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไม่แพ้ก่อนหน้านั้น เมื่อได้รับฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยต่อมา
“ที่ผมยอมทิ้งฐานะหน้าตาในสังคมมารับงานเลขาให้คุณ ไม่ใช่เพราะผมต้องการปรับตัว หรืออยากจะรับช่วงต่ออะไรนั่นหรอก...ผมก็แค่อยากทำงานกับผู้ชายที่อาของผม และทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ยอมรับ ก็เท่านั้นเอง”
เวธน์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหันไปทางอื่นเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น ซึ่งก็ดูเหมือนกรกฎจะรู้ดี เลขาหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ และเดินไปชงกาแฟสำหรับเขาและเวธน์ตามปกติแทน
อีกด้านหนึ่ง แฟนธอมซึ่งเลี่ยงเข้าห้องมาก่อนหน้านั้นต้องถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงด้านนอกเงียบไป ในตอนที่เวธน์เพิ่งมาถึงสำนักงาน ตอนนั้นเขาไม่ได้หลับ และได้ยินชัดเจนดีว่าเวธน์มาด้วยจุดประสงค์อะไร ชายหนุ่มจึงตั้งใจว่ายังไงก็จะไม่ออกไปนอกห้องเด็ดขาด หากแต่พอเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างเวธน์กับกรกฎ แฟนธอมจึงตัดสินใจว่า ตนคงต้องออกไปบอกถ้อยคำที่ได้รับฝากฝังมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้สักที
“ปกติก็ชอบทำตัวยิ้มแย้มร่าเริงตลอด... แล้วใครจะรู้เล่าว่าคุณกังวลเรื่องอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงบอกออกไปนานแล้วล่ะนะ”
แฟนธอมพึมพำพร้อมกับสั่นศีรษะด้วยความระอา แต่ถึงกระนั้นริมฝีปากได้รูปก็ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับ ยามหวนคิดถึงเมื่อครั้งอดีตสมัยที่กอบพลยังมีชีวิตอยู่ ในตอนนั้นสำหรับเขาและทุกคนที่นี่ ต่างรู้สึกตรงกันว่า ผู้ชายซึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนวุ่นวายในหมู่บ้านพร้อมกับกอบพล ดูน่าคบหาและสามารถเป็นที่พึ่งพาให้พวกเขาได้ดี ไม่แพ้กับคนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในรุ่นนั้นเลยทีเดียว
… TBC …
ช่วงนี้ก็เฉลี่ยบทกันไปค่ะ แล้วจะค่อย ๆ ทยอยเข้าสู่บทของคู่พระเอก นายเอก คู่หลัก หลังจากนี้ค่ะ ^^ ตอนนี้ก็อยากจะเขียนอีกหลายคู่มากมาย แต่อาจจะออกมาในลักษณะของตอนพิเศษหลังจบแทนค่ะ ซึ่งสำหรับตอนพิเศษของตัวละคนเด่น ๆ นอกจากคู่หลัก ก็จะนำมาลงบอร์ดให้อ่านเช่นกันค่ะ