#14 โลกของแบบ
บ่ายวันนี้ปรนัยทำการยึดห้องภาคด้วยหนังสือสามกอง และชีตเรียนอีกปึกใหญ่ ช่วงเวลาครึ่งเทอมหลังทำให้รายงานมากมายถาโถมดั่งพายุ มือใหญ่หยิบโพสต์อิตที่เขียนสรุปงานขึ้นมา สองนิ้วนวดระหว่างคิ้วแบบเนือยๆ พลางจ้องมองลิสต์ลำดับต่อไปที่ขีดเส้นใต้ด้วยสีแดง
‘รายงานกรีก’
เขาคุ้ยหนังสือที่เกี่ยวข้องมาวางใกล้ๆ ก่อนจะเปิดดูเนื้อหาเพื่อเติมเต็มสมองอันกลวงเปล่า หากอ่านไปได้สองหน้า เสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยก็ดังแทรกเข้ามาเสียก่อน
"อ้าวเฮียไม่เข้าเรียนปรัชญาดนตรีเรอะ"
ร่างสูงหันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะพบว่าเป็นไอ้ท่านขุนมนุษย์เด็กปี 2 ที่ไม่เคยญาติดีกันสักครั้งในชีวิต
"กูไม่ได้ลงตัวนี้" เขาตอบเนือยๆ ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย
"หืออออ" ไอ้ห่าขุนลากเสียงยาว "ผมเห็นเฮียเรียนทุกคาบอะ"
"แค่ไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนพี--” ปลายเสียงชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่กูไปเป็นเฮียมึงตั้งแต่เมื่อไร??"
"ผมเพิ่งพิจารณาเลื่อนขั้นให้เฮีย" อีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม "มาคิดดูแล้วให้เฮียเป็นเฮียมันก็จะง่ายขึ้น"
"อะไรง่ายขึ้น?" คนถามพยายามฝ่าฟันบทสนทนาอันงุนงงนั้น
"ก็พีพี--" หนุ่มรุ่นน้องอธิบายได้แค่สองคำก็โดนเสียงเข้มพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ภูมิ”
ขุนเบ้ปาก “เออๆๆ ก็พี่ภูมิเป็นเหมือนน้องชายเฮีย ถ้าผมให้เฮียเป็นเฮีย เฮียก็จะได้เชียร์ผมบ้างไง"
"เมื่อปีหนึ่งมึงได้ลงเรียนตรรกวิทยามั้ย"
ไอ้ขุนตอบกลับด้วยสีหน้าแบบ 'ถามอะไรโง่ๆ' แต่ยังดีที่มันตอบว่า "เด็กปรัชญาก็ต้องเรียนทุกคนดิวะเฮีย"
"แล้วมึงไปเอาตรรกวิบัติๆ แบบนี้มาจากไหน!?"
"โธ่เฮี้ยยยย”
คนฟังสะดุ้ง “เสียงลงต่ำหน่อยก็ได้มั้ง”
เด็กปีสองในเสื้อสูทที่ดูเหมือนอาจารย์มากกว่านักศึกษายิ้มแหย
“นั่นแหละ เฮีย... เฮียว่าพี่ภูมิจะชอบสไตล์ผมมะ” ถามพลางขยับเสื้อคลุมสีเข้ม
“สไตล์มึง?”
“ใช่ดิ ลุคแบบผู้ใหญ่ สไตล์อัจฉริยะ”
คนฟังเลิกคิ้ว “อัจฉริยะหรือคนบ้า กูว่ามึงลองทบทวนดูก่อน”
“เฮี้ยยยยยย!!!”
“โอ๊ยยย!! รำคาญโว้ยยย กูจะทำรายงาน ไป๊ๆๆ”
“จำไว้เลย เฮียแม่ง!” ไอ้ท่านขุนกระแทกเสียงก่อนเดินปึงปังออกไป
ปรนัยถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังความสงบมาเยือน ใบหน้าคมก้มลงอ่านหนังสือต่อ พลางขบคิดว่าเขาจะเอาตัวรอดจากรายงานฉบับนี้ยังไงดี
‘มึงว่าปรัชญากรีกกูควรทำรายงานเรื่องอะไรดีวะ’
สองอาทิตย์ก่อนเขาถามภาคภูมิเกี่ยวกับวิชาที่ฝ่ายนั้นเรียนไปแล้ว ส่วนเขาต้องมาเก็บตกในเทอมนี้ เพราะตอนที่เพื่อนๆ เรียนกัน ตารางดันชนกับภาษาอังกฤษที่เขาต้องเรียนซ้ำ
‘มึงเข้าใจคอนเซปต์ของนักปรัชญาคนไหนก็เลือกคนนั้นดิ’ ผู้มีประสบการณ์แนะนำ ‘อ.กรรณิการ์ชอบให้เขียนจากความเข้าใจ ลอกหนังสือไปแกให้ศูนย์หมด’
‘เหยดเข้!’ คนตกที่นั่งลำบากร้องลั่น ‘แล้วถ้ากูไม่เข้าใจเลยอะ’
คนฟังหันขวับ ‘ไปลงเรียนใหม่เลยมึง’
‘อย่าใจร้ายยยย’
ภาคภูมิส่ายหน้าด้วยความระอา ‘ส่งหลังมิดเทอมไม่ใช่เหรอ รีบๆ ทำได้แล้ว’
‘ช่วยกูคิดหน่อย นะ นะ นะ’
‘ไม่’ เสียงเรียบเอ่ยก่อนจะกลับไปสนใจการ์ตูนในมือเหมือนเดิม
ถึงจะโดนเมินใส่ แต่สุดท้ายปรนัยก็ได้รับหนังสือเล่มนี้จากเพื่อนสนิท พร้อมโน้ตย่อทุกบทที่เจ้าตัวทำไว้ตอนเรียน ถ้ามีตำแหน่ง Best friend of the year เขาก็คงยกให้ไอ้ภูมิอย่างไม่ต้องสงสัย ...แต่แล้วเขาก็ดันทำท่าจะล้ำเส้นเฟรนด์โซนกับคนที่ดีต่อตนเองขนาดนี้เลยนะ!
“ควายยยย”
คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ต้องสะดุ้งกับเสียงตะโกนแหวกความเงียบ ซึ่งตัวละครใหม่ที่โผล่เข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้ชิง ไอ้ห่าชิง คนนี้นี่เองงงง
“สัส!” ปรนัยตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่มีเรียนหรือไง มากวนตีนกูกันจัง”
ผู้มาใหม่ยักไหล่ โยนกระเป๋าลงกลางโต๊ะประชุมฝั่งที่ว่างอยู่
เห็นท่าทางกวนอารมณ์แล้วคนมาก่อนก็ได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ
“ทำไรวะ” ชิงชิงลากเก้าอี้ทำงานที่ไม่มีที่พักแขนมาต่อกันสามตัว แบบสมมติว่าเป็นเตียงนอน
“รายงานกรีก”
คนที่กำลังทิ้งตัวลงนอนร้อง “อ้อ” แล้วก็ไม่ได้สนใจไถ่ถามอะไรอีก
เมื่อปอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีประเด็นพูดคุยอะไร จึงหันกลับมาสนใจรายงานของตัวเองต่อ มือหนาพลิกหนังสือไปเรื่อยๆ จนเจอกับหัวข้อหนึ่งที่รู้สึกคุ้นชื่อที่สุด
‘เพลโต’
ตัวอักษรบนกระดาษโน้ตเขียนไว้ว่า ‘โลกของแบบ’ ปรนัยพยักหน้าหงึกๆ กับตัวเอง
จริงๆ แล้วปรัชญากรีกเป็นวิชาที่ไม่ยาก เน้นศึกษาความคิดของนักปรัชญาโบราณที่เป็นรากฐานของปรัชญาตะวันตก โดยมากนักปรัชญาในยุคนี้ จะสนใจศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติและโลกภายนอก โดยเฉพาะคำถามที่ว่า สิ่งที่ก่อกำเนิดโลกคืออะไร
“ถ้าพูดถึง ‘โลกของแบบ’ มึงนึกถึงอะไร” ปรนัยโยนคำถามไปให้สิ่งมีชีวิตอีกคนที่เรียนวิชานี้ไปแล้ว
ชิงชิงลืมตาขึ้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปด้วยความมั่นใจ
“เพลโต”
คนรอคำตอบแทบจะสำลักน้ำลาย “โอ๊ยยยย ฉลาดจังโว้ยยย”
“โห่! ผ่านมาปีนึงแล้วปะ” ชิงโวยวาย “ถามอะไรที่มันปัจจุบันๆ หน่อยดิวะ”
“เช่น?”
“เช่น ใครไปนั่งเรียนปรัชญาดนตรีเป็นเพื่อนไอ้ภูมิไรเงี้ย”
“.............” ปรนัยเงียบ
“แล้วเลือกไปถูกวันด้วยนะ วันนี้เค้าสอนเรื่องเพลงรัก” คนที่นอนเหยียดบนเก้าอี้ยังว่าต่อ “กูล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าคณะเภสัชนี่เค้าให้เด็กลงเรียนเทอมละกี่ตัว ทำไมมันดูว้างว่าง”
มือหนาวางปากกาขณะหันไปสบตากับเพื่อนสนิท “แล้วมึงอะเรียนเทอมละกี่ตัว ทำไมมันดูว้างว่าง”
“สึสสสสส!!!” สบถใส่ไอ้คนกวนอารมณ์ แล้วชิงก็กลับมาเอาจริงเอาจังกับการนอนเช่นเคย
แม้จะแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ แต่ในสมองกลับไม่มีเนื้อหาของรายงานอยู่ในนั้นสักนิด เพราะเรื่องที่รบกวนปรนัยกลับกลายเป็นเรื่องเจ้าของหนังสือมากกว่า
...ไม่รู้ว่าแม่งเป็นคนฮอตตั้งแต่เมื่อไร ไหนจะคนบ้าที่มาประกาศตัวว่าจะจีบ ไหนจะคนเพี้ยนที่อุตส่าห์ไปนั่งเรียนด้วย อ่อ แล้วก็ยังมี... เพื่อนเหี้ยๆ ที่ทำท่าจะคิดไม่ซื่ออีกคน
น่ารำคาญจริงๆ ...โดยเฉพาะไอ้คนสุดท้ายเนี่ย!
คิดอย่างหงุดหงิด ขณะพยายามโฟกัสที่หนังสือซึ่งมีไฮไลต์สีเหลืองขีดเน้นข้อความไว้เป็นระยะ
‘ความสนใจของเพลโตนั้นมุ่งสู่ “สิ่งที่เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง” ทั้งในธรรมชาติ ศีลธรรมและสังคม เพลโตเชื่อว่า ทุกอย่างที่จับต้องได้ในธรรมชาตินั้นเลื่อนไหล จึงไม่มีสสารใดที่ไม่เสื่อมสลาย ทุกอย่างที่อยู่ในโลกของวัตถุเกิดจากวัตถุที่จะเสื่อมไปตามกาลเวลา แต่ทุกอย่างนั้นล้วนถูกจำลองมาจาก “มโนคติ” (Ideas) หรือ “แบบ” (Form) ที่อยู่เหนือกาลเวลาเป็นสิ่งเที่ยงแท้และไม่เปลี่ยนแปลง’ คนอ่านทวนข้อความด้านบนเป็นรอบที่สามก่อนจะถอนหายใจหนักๆ สมองไม่ปลอดโปร่งพอจะอ่านอะไรซับซ้อนแบบนี้เลย
“งงฉิบหายยย” สบถกับตัวเองอย่างท้อแท้ เมื่ออ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ตารีมองเลยไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง “ชิง! สัสชิง!”
คนถูกปลุกร้องอืออาขยับตัว แต่ตายังไม่ลืมขึ้น “ไรอีกกก”
“ตื่น! มาอธิบายโลกของแบบให้กูฟังก่อน”
“โว้ยยย” ชิงร้อง “ถามไอ้ภูมินู่นไป๊”
พูดจบคนง่วงก็คว้าหูฟังมาสวม แล้วจัดการเปิดเพลงจากมือถือตนเอง ประกาศตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างถาวร
-----------------------------------------------------
‘คุงคูคับ’
‘คุงคูคับ’
‘ผมมีเรื่องอยากจะถามคุงคูคับ’
อยู่ๆ หน้าจอมือถือของภาคภูมิก็สว่างวาบด้วยข้อความที่ส่งมารัวๆ ดีที่อาจารย์หันไปเขียนไวต์บอร์ด เขาเลยได้จังหวะกดปลดล็อกหน้าจอแล้วอ่านมันเต็มๆ
นิ้วเรียวพิมพ์อะไรอยู่สองสามคำพลางรีบกดส่ง หากแล้วคนในบทสนทนาก็ตอบกลับมาอีกแบบไม่ยอมจบ แม้คิ้วคนอ่านจะขมวดมุ่น แต่เรียวปากกลับยกยิ้มจนคนที่นั่งเรียนอยู่ข้างๆ ต้องทัก
“อารมณ์ดีขึ้นทันตาเลยน้า ใครไลน์มาอะ” วินกระซิบกับคนที่กำลังกัดปากกลั้นรอยยิ้ม ก็เมื่อต้นชั่วโมงภาคภูมิยังทำหน้ายุ่งจนเขาแทบไม่กล้าคุยด้วย
คนถูกทักกดปิดหน้าจอแล้วหันไปสนใจบทเรียนต่อ
แม้เจ้าของมือถือจะไม่ตอบ แต่วินก็ตาเร็วพอจะเห็นชื่อคนอีกฝั่งของบทสนทนา ...ปรนัย
ทันทีที่อาจารย์ปล่อยคลาส ภาคภูมิก็มุ่งตรงกลับภาคที่มีไอ้เด็กโข่งรออยู่ จริงๆ ข้อความจากปรนัยไม่มีอะไรมาก แค่ขอให้เขาอธิบายเรื่องที่มันต้องทำรายงานเฉยๆ แต่ด้วยความกวนอารมณ์ของมัน กว่าจะเข้าเรื่องได้ก็เกือบจบคาบนั่นแหละ ทำให้เขาต้องแอบเล่นมือถือในคาบเรียนแบบไม่เคยทำมาก่อน
“ตอนแรกว่าจะชวนไปหาอะไรกิน แต่ดูแล้วภูมิคงไม่ว่าง” เด็กเภสัชที่ก้าวเดินอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น ภาคภูมิหันไปมองคนพูด ใบหน้าเล็กๆ มีสีหน้าประหลาดใจ หากก็กลับมายิ้มบางๆ เช่นเดิม
“อ่า...โทษทีนะ เราต้องไปช่วยเพื่อนทำรายงาน แล้วเย็นนี้มีนัดเลี้ยงสายรหัสด้วย”
“อ่าวเหรอ งั้นถ้าทำรายงานเสร็จแล้ว เราไปส่งมั้ย” คนพูดเอ่ยเสียงกระตือรือร้น
“ไม่ต้องหรอก เราไปกับพี่รหัสน่ะ”
“งั้นไปรับก็ได้นะ พี่เค้าจะได้ไม่ต้องวนมาส่ง”
“เราไม่รู้จะเสร็จกี่โมง กลับเองคงสะดวกกว่า”
“อ่อ...โอเค” นึกว่ารับคำไปแล้วจะจบ แต่วินก็ชวนคนที่กำลังรีบเดินคุยต่ออีก “นี่...นอกจากแก๊งปอแล้ว ภูมิมีเพื่อนกลุ่มอื่นอีกมั้ย”
“ถ้าเป็นกลุ่มแบบแก๊งนี้เลยก็ไม่มีแล้วนะ อ่อ...มีเพื่อนมัธยมอีกกลุ่มนึง แต่พอแยกกันมาเรียนก็เลยห่างๆ กันไปแล้ว” อธิบายอย่างจริงจัง ก่อนจะถามกลับอีกฝ่ายบ้าง
“แล้ววินล่ะ เห็นมาที่ภาคเราบ่อยๆ”
“เอาจริงๆ นะ” เสียงทุ้มฟังดูจริงจังขึ้นมา “เราไม่มีเพื่อนที่สนิทจริงๆ เลย”
“หืม...”
“ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราสนิทกับแฝดเรามาก เป็นทั้งน้องทั้งเพื่อน รู้ใจเราที่สุด เราเลยไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นๆ เลย” แววตาเหม่อลอยเหมือนคนพูดไม่ได้เอ่ยกับคนที่อยู่ตรงนี้ “พอแยกกันเรียนคนละมหา’ลัย เราเลยเหมือนตัวคนเดียว”
“เฮ้ย...อย่าไปคิดงั้นสิ วินก็มีเด็กปรัชญาเป็นเพื่อนไง”
ใบหน้าหล่อหันกลับมามองคนพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง “เรารู้สึกโชคดีมากเลยที่วันนั้นเดินเข้ามาคุยกับอาจารย์ธารเรื่องพระพิฆเนศ ถ้าไม่กล้าคุยกับอาจารย์ เราก็คงไม่ได้รู้จักเด็กปรัชญาอย่างทุกวันนี้” เด็กเภสัชพรูลมหายใจยาวๆ
มือเรียวตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ถ้าอยู่กับใครแล้วสบายใจก็อยู่ไปเถอะ ไม่ต้องคิดมาก”
“จริงๆ นอกจากแฝดเรา ก็มีอีกคนนะที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ…”
ถ้อยคำลึกซึ้งถูกส่งผ่านจากเสียงทุ้มมายังคนที่เดินเคียงกันข้างๆ ภาคภูมิเงยหน้าสบกับดวงตากลมที่จ้องมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความหมาย
“อ่า... วินก็รีบสะสมเพื่อนใหม่ๆ ได้แล้ว จะได้มีคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเยอะๆ” ภาคภูมิหัวเราะแบบไม่เต็มเสียงนัก “ยังไงเรารีบไปหาปอก่อนนะ มันรอนานแล้ว เดี๋ยวงอแง”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างโปร่งก็รีบสาวเท้าเดินไปยังห้องพักของภาควิชาทันที ในใจสับสนกระอักกระอ่วน เมื่อรู้แน่ชัดว่าสายตาจากเพื่อนต่างคณะมีอะไรแฝงมากกว่าความเป็นเพื่อน แต่เขาก็ไม่อาจตอบรับความรู้สึกนั้นได้ ต่อให้อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน เขาก็คงไม่สามารถคิดอะไรไปเกินกว่านี้
เพราะนอกจาก ‘คนที่ไม่ได้รักเรา’ แล้ว
‘คนที่เราไม่ได้รัก’ ก็เป็นอีกอย่างที่ไม่อาจเลือกเช่นกัน
---------------------------------------------
“เอาแบบง่ายๆ ก่อนนะ รายละเอียดอื่นๆ ค่อยว่ากัน” ภาคภูมินั่งอยู่บนขอบโต๊ะประชุม ข้างกายคือปรนัยที่กำลังเท้าคางทำท่าคล้ายตั้งใจฟังอย่างยิ่ง แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวกำลังพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มตรงมุมปาก ที่มันคอยจะผุดขึ้นมาอยู่บ่อยๆ
ปึ้ง!
มือเรียวปิดหนังสือที่กางเต็มโต๊ะ หยิบไปวางเรียงบนกองเอกสารซ้ายมือ ขณะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ที่ไอ้ชิงนอนทับนั่นอะไร”
คนกำลังซ่อนรอยยิ้มถึงกับงุนงง แต่ก็ยอมชะโงกหน้าไปมองฝั่งตรงข้ามแล้วตอบคำถามนั้น “เก้าอี้”
“อาฮะ” ภูมิหันกลับมา “แล้วที่มึงนั่งอยู่ล่ะ”
“ก็เก้าอี้”
“แล้วอันนั้นล่ะ” ปลายนิ้วชี้ไปที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่พนักพิงหัก ซึ่งถูกเนรเทศไปอยู่มุมห้อง
“เก้าอี้”
“มึงรู้ได้ไงว่าเป็นเก้าอี้”
“อ้าว...” คนถูกถามร้องอย่างงุนงง “ก็มันเป็นเก้าอี้อะ มีที่นั่ง มีขา นั่งได้”
“แต่ตัวนั้นนั่งไม่ได้นะ” เก้าอี้มุมห้องถูกชี้อีกครั้ง
คนถูกย้อนถึงกับเงียบ
“ตกลงมันเป็นเก้าอี้มั้ย”
“....เป็น” อีกฝ่ายตอบในที่สุด “เก้าอี้ที่พัง ก็ยังเป็นเก้าอี้อะ”
ภาคภูมิยิ้ม “ถูกต้องนะคร้าบ”
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองใจพังยิ่งกว่าเก้าอี้...
“แนวคิดเรื่อง ‘โลกของแบบ’ ก็คือเรื่องเก้าอี้นี่แหละ” คนสอนอธิบาย “คือเพลโตเชื่อว่ามีโลกอยู่สองโลก อันแรกคือโลกที่เราอยู่ อีกอันคือ ‘โลกของแบบ’ แล้วทุกอย่างที่อยู่ในโลกของเรา ก็ถูกจำลองมาจากโลกของแบบ แน่นอนว่าของเลียนแบบมันจะไปเหมือนของจริงเป๊ะๆ ได้ยังไง สิ่งต่างๆ ในโลกนี้เลยบูดๆ เบี้ยวๆ หน้าตาพิกลพิการไปบ้าง แต่ในขณะที่ ‘ต้นแบบ’ ในโลกของแบบจะ....”
“สมบูรณ์?” เสียงทุ้มเติมคำในช่องว่าง
“ใช่...สมบูรณ์ สวยงาม ดีงาม เป็นจริง” คนอธิบายตอบรับขณะเลือกหนังสือเล่มอื่นจากกอง “โลกของแบบก็เหมือนแม่พิมพ์...แม่พิมพ์ปั๊มคุกกี้ออกมาเป็นล้านๆ ชิ้น ถามว่ามีชิ้นไหนสวยงามสมบูรณ์ที่สุดมั้ย? ...ไม่ มันอาจจะมีคุกกี้ชิ้นที่กลมสวยเหมือนแม่พิมพ์เป๊ะๆ แต่มันก็ยังไม่ใช่ต้นแบบที่แท้จริง เพลโตเลยคิดว่า เราต้องเข้าถึง ‘แบบ’ ที่เที่ยงแท้และไม่เปลี่ยนแปลง แบบที่เป็นที่สุดของทุกอย่าง เป็น ‘ของจริง’ ไม่ใช่ของจำลอง”
“คือกูเข้าใจที่เพลโตบอกนะ แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่า เราจะต้องไปไขว่คว้าหาไอ้ ‘แบบ’ ที่ว่านั่นทำไม ในเมื่อเก้าอี้ในโลกนี้ก็นั่งได้ คุกกี้บิดๆ เบี้ยวๆ มันก็อร่อยดี”
“มึงนี่มันมนุษย์ถ้ำจริงๆ”
ปรนัยคิดว่านั่นไม่ใช่คำชม จนกระทั่งภาคภูมิอธิบายจบ เขาก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่คำชมจริงๆ
“เพลโตเล่านิทานเรื่องนึง เกี่ยวกับมนุษย์ที่ถูกจับมานั่งหันหน้าให้ผนังถ้ำ ทุกๆ วันจะมีคนคอยเอาสิ่งต่างๆ มาชูที่ปากถ้ำ แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านสิ่งของพวกนั้นทำให้เกิดเป็นเงาบนผนัง มนุษย์ถ้ำทุกคนเลยได้ดูแต่เงาจนคิดว่ามันเป็นของจริง แล้ววันหนึ่งก็มีมนุษย์ถ้ำแหกคอกออกมาได้ และพบว่าดอกไม้ของจริง ต้นไม้ของจริงนั้นชัดเจนและสวยงามกว่าเงาลวงๆ บนผนังถ้ำตั้งเยอะ มนุษย์คนนั้นเลยกลับเข้าไปในถ้ำแล้วเล่าให้เพื่อนฟัง ...มึงว่าเพื่อนคนอื่นจะว่าไง”
“หาว่าคนนั้นโกหก?”
“ถูก นอกจากไม่เชื่อแล้ว พวกมนุษย์ถ้ำที่เหลือยังฆ่าคนคนนั้นทิ้งไปด้วย”
“โหดสัส!!”
“ในเมื่อมันมี ‘แบบของคุกกี้’ ‘แบบของเก้าอี้’ ที่สวยงามและชัดเจนกว่าบรรดาเงาที่มึงสัมผัสอยู่ในโลกนี้ มึงยังอยากจะหยุดความพอใจแค่ของก็อปปี้หรือเปล่าล่ะ”
“อืม...คงไม่”
“นั่นแหละ เหตุผลที่เพลโตตามหาโลกของแบบ”
“เฉียบ!” คนฟังยกนิ้วโป้งให้
“นี่คือคอนเซปต์หลักๆ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ มึงก็อ่านเรื่องอื่นๆ ของเพลโตได้เองแล้วล่ะ” อาจารย์จำเป็นกระโดดลงจากโต๊ะ กางแขนบิดตัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับอีกคน “มึงรีบทำรายงานได้แล้ว กูไปล่ะ”
“อ้าว ไปไหน”
แทนคำตอบ ภาคภูมิหยิบกล่องของขวัญขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา
“วันเกิดหลานรหัสกู”
“ที่?”
“ชาบูดิป”
“กูไปส่งมะ”
“ทำงานไปเถอะ เดี๋ยวพี่ปีสี่มารับ” ขาเรียวเตรียมก้าวออกจากห้อง หากเสียงเรียกของเพื่อนสนิทก็ทำให้เขาชะงัก
“พีพี”
คนถูกเรียกหันกลับไปมอง จึงได้เห็นแววตาระยับที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว “หืม...?”
“เสร็จแล้วโทรมานะ เดี๋ยวไปรับกลับหอ”
“...อื้ม ประมาณสามทุ่มนะ”
ปรนัยทำท่าตะเบ๊ะรับทราบ ภาคภูมิจึงหันหลังเดินออกมาพลางพยายามซ่อนรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาของตัวเอง
-------------------------------
(ต่อด้านล่างค่ะ)