PART II บทที่ 27
ยอมแพ้
Party's Part
“เรารักตี้นะ”ผมยอมรับว่าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าคนที่ซบหน้าลงมาตรงซอกคอผมจะพูดคำนี้ออกมา จริงๆ ผมไม่น่าปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดมาขนาดนี้ด้วยซ้ำ ที่ผมมาที่นี่ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาทำแบบนี้กับเค้าเลย ผมแค่อยากมาให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ผมจะเลือกทางไหนเพื่อเดินต่อ ทั้งที่เคยตัดสินใจและตั้งใจแล้วว่าผมเลือกอรรถ แต่มันก็เหมือนโชคชะตามาเล่นตลก
และผมก็อ่อนแอเกินไปที่จะตัดสินใจลงไป ส่วนคุณแว่นบอกตามตรงว่าผมไม่เคยมีความคิดที่จะกลับมามีความสัมพันธ์กับเค้าอีกไม่ว่าจะทางใจหรือทางกาย ผมอาจจะโกหกไม่ได้ว่ายังมีความรู้สึกดีๆ กับเค้าอยู่มาก แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันละในเมื่อเค้าเองก็คงยังมีความฝันเช่นเดิม ความฝันที่เค้าอยากจะแต่งงานมีครอบครัว ยิ่งผมได้เห็นแววตาเค้าที่มองไอ้เหมากับแพทที่งานแต่ง หรือวันนี้ที่เห็นพ่อแม่ของเค้าเอ็นดูน้องแมท ผมว่ามันยิ่งตอกย้ำว่ามันไม่มีที่สำหรับผมในชีวิตของเค้า นอกจากแค่คำว่าเพื่อน หรือถ้าจะมากกว่านั้นมันก็คงแค่ “เพื่อนนอน”
แต่ถามว่าทำไมผมถึงมา มันก็คงหัวใจของผมเองนี่แหละครับที่มันยังดื้อด้าน ผมบังคับมันมานานแล้ว เพราะไม่อยากเจ็บ ผมควรรักคนที่รักผมซึ่งมันก็มาถึงจุดที่ผมหลอกตัวเองแบบนั้นไม่ได้อีก ในวันที่อรรถเองก็กำลังมีอีกคนกลับเข้ามา ผมคงไม่โทษเค้าเพราะผมเองแม้จะพยายามให้เค้าเต็มร้อยตอนที่คบกัน แต่ผมก็ยังรู้ดีว่ามันไม่เต็มหรอก พอตอนนี้ผมก็แค่อยากทำอะไรโง่ๆ โดยการพาตัวเองมาเจ็บที่นี่ก่อนจะตัดสินใจโสดอีกครั้ง
แล้วพอมาได้ยินแบบนี้มันเหมือนสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด เค้าพูดออกมาเพียงเพราะอยากให้ผมรู้สึกดี และยอมเค้าหรือเค้ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมยังไม่อยากคิดอะไรในตอนนี้ ผมแค่อยากเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ ในเมื่อหัวใจผมมันยังต้องการเค้า ผมก็ควรปล่อยให้มันได้ตักตวงความสุขนี้ ผมขยับชิดเข้าหาอ้อมกอดของเค้าและหลับตาลง
ผมตื่นขึ้นในตอนเช้า อีกคนยังคงหลับสนิทผมค่อยๆ ขยับตัวลุกออกจากเค้า นี่สินะคนที่ผมยังคงโหยหาถ้าผมจะลองเสี่ยงดูกับเค้าอีกสักรอบมันจะเป็นไรไหมนะ ผมใช้นิ้วเกลี่ยไปตามใบหน้าของเค้า เค้าขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจที่ถูกรบกวนการนอน ถ้าผมกับเค้าได้ตื่นขึ้นมาด้วยกันแบบนี้ทุกวันมันก็คงจะดีเหมือนกัน ผมปล่อยให้เค้านอนต่อเพราะไม่อยากรบกวน ส่วนผมว่าจะไปสูดอากาศยามเช้าเสียหน่อย
“อ้าวตี้ ตื่นเช้าจังนะ”แพทที่เดินมากับน้องแมททักผม ตอนนี้ผมล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนใส่ชุดสบายๆ กะว่าจะไปเดินเล่นชายหาดเสียหน่อย พอดีกับที่มาเจอ 2 คนแม่ลูกเข้า น้องแมทดูสนุกกับทุกอย่าง วิ่งนำหน้าเราสองคนที่เดินเรื่อยๆ ตามหลัง
“เคลียร์กันหรือยัง”ผมหันมองแพทเพราะไม่เข้าใจกับคำถามที่แพทกำลังพูด
“เมื่อคืนเราบังเอิญเห็นตอนชาร์ปเข้าไปในห้องตี้นะ เราไม่ได้ละลาบละล้วงอะไรนะ ไม่สะดวกเล่าก็ไม่ต้องเล่า แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจอยากระบายก็ได้เต็มที่”ที่จริงผมก็เคยสงสัยว่าแพทจะคิดยังไงกับเรื่องของผมกับคุณแว่น เพราะแพทเองก็เคยรู้ว่าผมไปต่างจังหวัดกับคุณแว่นแบบไม่ได้มีเหตุจำเป็นอะไร ซึ่งผมเองเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะแพทไม่เคยพูดถึงอีก และไอ้เหมาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมเลย ซึ่งผิดวิสัยของไอ้เหมามาก ยิ่งตั้งแต่ผมคบกับอรรถ ไอ้เหมาก็ไม่ค่อยพูดอะไรเกี่ยวกับคุณแว่นอีกเลย ขนาดเรื่องการถอนหมั้นของคุณแว่นกับน้องปลา มันยังไม่พูดถึงรายละเอียดอะไรเลย
“ก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย”ผมตอบแพทออกไปพร้อมหันหน้ามองไปที่น้องแมท ก็ใครจะไปกล้าหันมองแพทละครับ การที่ผมพูดออกไปแบบนี้แพทก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าคุณแว่นที่เข้าห้องผมไปทั้งคืน แต่เรายังไม่ได้คุยอะไรกัน แล้วเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น แพทเองคงไม่ต้องเดาอะไร
“คิดยังไง รู้สึกยังไง ก็พูดมันออกไปเลย เราว่าการพูดอะไรที่มันตรงกับใจอะไรๆ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ”ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าแพทรู้อะไรมา หรือว่าแพทคิดยังไง แต่ที่รู้แน่ๆ คือผมคิดผิดมาตลอดว่าแพทกับไอ้เหมาไม่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ในอดีตของผมกับคุณแว่น จากที่ฟังนี่ผมว่าคงรับรู้มานานแล้ว
“นี่ไอ้เหมามันก็...”ผมหยั่งเชิงเพื่อความมั่นใจ
“ถ้าเรื่องเมื่อคืนเหมาไม่รู้หรอก แต่เรื่องก่อนหน้านี้มันก็มีบ้าง”ไม่ต้องรอให้ผมอธิบายอะไรมาก แพทก็ช่วยยืนยันในสิ่งที่ผมต้องการ แสดงว่าทุกคนคงพอรู้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณแว่นไม่มากก็น้อยแล้วสินะ แล้วใครกันที่ทำให้เหมากับแพทปักใจเชื่อในเรื่องนี้ คุณแว่นงั้นเหรอที่เป็นคนเล่าเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้แพทกับไอ้เหมาฟัง
“ไม่เห็นเหมามันคุยเรื่องนี้กับเราเลย”ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ไอ้เหมากับแพทนี่ก็เก่งมากนะครับที่หลอกผม ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้ตั้งนาน
“เรื่องบางเรื่องมันก็ยากที่จะพูดออกไปจริงไหม”มันก็จริงนะครับ อีกอย่างในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่นมันก็คงไม่เหมาะจะเอามาพูดสักเท่าไหร่นั่นแหละครับ
“แพทรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรากับชาร์ปนานหรือยังเนี่ย”ผมตัดสินใจถามออกไปตรงๆ เพราะตอนนี้ไม่น่ามีอะไรจะต้องปิดบังกันอีกแล้ว แต่นี่ผมยังนึกไม่ออกกับการคุยเรื่องนี้ต่อหน้าไอ้เหมา ผมคงทำตัวไม่ถูก การที่กลายเป็นแพทที่มาพูดกับผมก่อนแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ
“เอาจริงๆ เราเองกับเหมาก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างนานแล้วแหละ แต่ตอนนั้นทั้งตี้เองก็มีคุณอรรถ ชาร์ปเองก็มีน้องปลา ไอ้เราสองคนผัวเมียก็คุยกันว่าหรือเราจะคิดมากกันไปเอง จนตอนชาร์ปถอนหมั้นกับน้องปลานั่นแหละ”กับไอ้เหมาเรื่องการสังเกตุนี่ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้วละครับ เพราะตอนนั้นผมก็ใจหายใจคว่ำกับมันไปหลายทีแล้ว แต่เรื่องน้องปลาถอนหมั้นนี่มันเข้ามามีส่วนกับเรื่องราวของผมด้วยอย่างนั้นเหรอ
“เกี่ยวอะไรกับเรื่องการถอนหมั้นครั้งนั้น”ผมถามออกไปอย่างที่สงสัย
“เอาเป็นว่าปลาเองเค้ารับในสิ่งที่ชาร์ปเป็นไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ”แสดงว่านี่คุณแว่นพูดเรื่องที่เคยมีอะไรกับผู้ชายให้น้องปลาฟังอย่างงั้นเหรอ แล้วเค้าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
“แล้วอยู่ๆ ชาร์ปก็มาเล่าให้เหมากับแพทฟังเหรอ”ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมแพทดูรู้รายละเอียดค่อนข้างมากทีเดียว ซึ่งก็แปลว่าไอ้เหมาเองก็คงรู้เท่าๆ กัน แต่ทั้งที่ผมกับไอ้เหมาก็เจอกันตลอด แต่มันไม่มีหลุดอะไรมาให้ผมได้รับรู้บ้างเลย
“ไม่ใช่อย่างนั้น เหมาต่างหากที่นิสัยเสียไปถามแกมบังคับให้ชาร์ปเล่า”การที่คุณแว่นยอมเปิดใจเล่าเรื่องระหว่างผมกับเค้าให้เหมากับแพทฟัง เพราะเค้าคิดอย่างที่พูดกับผมเมื่อคืนอย่างนั้นเหรอ แต่คนที่อยากแต่งงานสร้างครอบครัวอย่างเค้าจะยอมทิ้งความฝันนั้นได้จริงๆ เหรอ ผมเองไม่คิดว่าตัวผมเองจะมีความสำคัญมากพอให้เค้าตัดสินใจเลือกแบบนั้น
“เราไม่รู้นะว่าตอนนี้ตี้อะไรอยู่ แต่อะไรที่ทำแล้วตี้มีความสุขก็ทำไปเถอะ ในฐานะเพื่อนคนนึงเราก็แค่อยากเห็นเพื่อนมีความสุข เท่านั้นแหละ”ผมรู้ครับ รู้ว่าทั้งแพทรวมถึงไอ้เหมาด้วย หวังดีกับผมเสมอ แต่ถ้าผมทำตามใจตัวเอง ผมจะมีความสุขจริงๆ ใช่ไหม
เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก แพทหันไปเล่นกับน้องแมท ส่วนผมก็เดินคิดอะไรไปเงียบๆ คนเดียว เราใช้เวลาที่ชายหาดสักพักก็เดินกลับ น้องแมทดูสนุกไม่น้อยเลย เป็นเด็กนี่ก็ดีเหมือนกันนะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องมาคิดมากกับเรื่องราวในชีวิตแบบนี้
“โหใครโทรมาแต่เช้าขนาดนี้”แพทหันมาพูดแบบไม่ได้จริงจังนักเมื่อมือถือผมส่งเสียงขึ้นมา ผมหยิบขึ้นมาดูก่อนจะส่ายหน้าหน่ายๆ เพราะชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอ
“หัวหน้าสุดที่รัก คิดถึงเราทุกครั้งที่เราไม่ไปทำงาน”ผมบอกขำๆ ก่อนแยกกับแพทให้แพทเข้าบ้านไปก่อนเลย
“ครับพี่”ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูไม่รำคาญจนเกินไป ถึงผมจะเบื่อหัวหน้าไปบ้างแต่ผมก็ยังเคารพแกอยู่นะครับ
“ตี้ พี่รบกวนหน่อยพอดีพี่หารายงานการประชุมครั้งล่าสุดไม่เจอ นายจะเรียกคุยเช้านี้ด้วย”นั่นไง คิดแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร หัวหน้าผมก็แบบนี้แหละครับกลัวทำอะไรไม่ถูกใจนาย
“เดี๋ยวผม forward e-mail ให้อีกทีครับ”ผมพูดคุยกับแกอีกนิดหน่อยพร้อมบอกว่าถ้ามีอะไรด่วนก็โทรหาผมได้ตลอด นี่บางครั้งก็คิดนะครับ ตกลงใครเป็นหัวหน้า ใครเป็นลูกน้องเนี่ย
หลังจากวางสายผมก็เดินเข้าบ้าน เสียงพูดคุยดังแว่วออกมา มันทำให้ผมหยุดเดิน เพราะบทสนทนาที่คนทั้งคู่กำลังพูดคุยดูจะเรียกความสนใจของผมไม่น้อยเลยทีเดียว
“แม่ก็รอเนี่ยไม่รู้ เมื่อไหร่จะได้อุ้มหลานสักที”เสียงแม่ของคุณแว่นที่กำลังคุยกับแพท จริงสินะตั้งแต่มาถึงที่นี่คุณแม่ก็เอ็นดูน้องแมทเป็นพิเศษ แถมพูดย้ำอีกตั้งหลายครั้งว่ารออุ้มหลานจากคุณแว่น ผมหัวเราะหึ ในลำคอ นึกขำตัวเองตอนที่เดินอยู่ที่ชายหาดกับแพท ผมเผลอนึกไปว่าผมอาจจะได้เป็นมากกว่าเพื่อนกับคุณแว่น
“แล้วนี่ชาร์ปเค้ามีเกริ่นเรื่องแฟน หรือคนที่คบอยู่ให้คุณแม่ฟังบ้างไหมคะ”ผมยังคงยืนนิ่งหลบฉากไม่ได้แสดงตัวว่าเข้ามารับฟังบทสนทนาระหว่างคุ๊แม่กับแพท
“แม่ก็ไม่อยากกดดันเค้าหรอก แต่ก็ตามประสาพ่อแม่เนอะ อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา มีคนที่อยู่ด้วยกันดูแลกันไป สร้างครอบครัวด้วยกัน มีหลานมาให้แม่ช่วยเลี้ยง ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่มันก็มีเท่านี้แหละ แม่ว่าแพทก็เข้าใจแหละจริงไหม อย่างตอนนี้แพทเลี้ยงน้องแมทมาก็คงอยากเห็นเค้าเติบโต ไปเจอสิ่งที่ดีๆ จริงไหม”ผมคิดว่าผมเข้าใจสิ่งที่คุณแม่พูดนะครับ และคุณแว่นเองก็คงไม่ได้คิดจะทำให้แม่ของเค้าต้องผิดหวัง ส่วนผม ผมก็คงต้องอยู่ในที่ที่ผมควรอยู่
“นี่แม่ก็ยื่นคำขาดไปแล้วว่าถ้าชาร์ปไม่พาแฟนมาแสดงตัวสักที แม่จะเลือกให้แล้วเนี่ย”เสียงหัวเราะของหญิงสูงวัยมันเจือไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้พูดถึงลูกชายคนเดียวอย่างคุณแว่น แล้วผมจะเก็บเอาคำพูดที่คุณแว่นพูดออกมาหลังมีอะไรกันแบบนั้น มาเป็นตัวที่อาจจะสร้างความเสียใจให้กับผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง คำพูดของคุณแว่นเมื่อคืนมันอาจแค่ออกมาเพาะอารมณ์อ่อนไหว หรือเผลอไปกับสิ่งที่เรามอบให้กัน ชั่วครั้งชั่วคราวแค่นั้นก็เป็นได้
“อ้าวตี้ หัวหน้าโทรมาทำอารมณ์บูดอีกแล้วเหรอ หน้าเครียดเชียว”แพทหันมาพูดกับผมที่เพิ่งเดินเข้ามาให้เห็น
“ต้องบินกลับกรุงเทพฯ ด่วนนะ”ผมบอกหน้าเครียด มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ต่อ ยิ่งผมตัดใจได้เร็วเท่าไหร่มันก็น่าจะยิ่งดีกับผมเอง ที่จริงผมก็ฝืนหัวใจตัวเองมาได้ตั้งเป็นปี ผมก็ยังอยู่ได้ แค่ผมจะทำมันอีกครั้งทำไมผมจะทำมันไม่ได้ แต่ครั้งนี้ผมคงไม่ดึงใครเข้ามาข้องเกี่ยวอีกแล้ว เพราะการฝืนใจไม่รักใครก็คงมีแค่ตัวเราเองที่เจ็บ แต่การฝืนใจตัวเองให้รักคนอื่นมันคงมีผลกระทบตามมาอีกมากมาย
ผมเป็นคนเริ่มเรื่องราวทั้งหมด ผมก็คงต้องเป็นคนยุติมันเสียที ถ้าในวันนั้นผมไม่เผลอตัวไปตามอารมณ์จนมีอะไรกับคุณแว่นในวันนั้น หรือไม่พยายามฝืนหัวใจตัวเองเพื่อจะรักอรรถ เรื่องราวทุกอย่างมันก็คงไม่เลยมาไกลขนาดนี้ โดยเฉพาะอรรถ ผมเองก็รู้สึกดีกับเค้ามากนะครับ และผมก็เคยคิดว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับเค้าไปได้ตลอด
“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอลูก เพิ่งมาถึงยังไม่ทันเที่ยวเลย งานอะไรจะด่วนขนาดนั้น”คุณแม่หันมาหาผมอย่างเสียดาย ผมยิ้มแห้งๆ ให้ทั้งคุณแม่แล้วก็แพท
“เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าก่อนนะครับ เดี๋ยวไม่ทันไฟลท์เช้านี้”ผมบอกพร้อมแยกตัว ตรงไปยังห้องพัก ผมเปิดประตูอย่างเบามือ เค้ายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอน ผมเดินเข้าไปมองเค้าใกล้ๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันไหลออกมาซะงั้น ผมค่อยๆปาดน้ำตาที่ไหลออกมา พยายามกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้มันออกมามากกว่านี้ ผมเอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าของเค้าอย่างเบามือที่สุด ไม่อยากจะให้เค้ารู้สึกตัว
“เรารักชาร์ปนะ”ผมบอกออกไปแผ่วเบา ก่อนจะดึงมือกลับ ผมมองใบหน้าที่ยังหลับตาพริ้มนั้นอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋า โชคดีที่ผมยังไม่ได้หยิบอะไรออกมาจากกระเป๋ามากนัก เลยใช้เวลาในการจัดการเพียงไม่นาน ผมทำทุกอย่างให้เงียบที่สุดเพราะไม่อยากให้อีกคนตื่นขึ้นมาเจอ
“มันด่วนขนาดนั้นเลยเหรอตี้”แพทถามย้ำกับผมอีกครั้งอย่างไม่ค่อยจะเชื่อผมสักเท่าไหร่ ผมพยักหน้ารับพร้อมตอบอย่างเลี่ยงๆ เพราะผมเองก็รู้ดีว่ากำลังโกหกอยู่
“งั้นเดี๋ยวแม่เรียกเด็กให้ไปส่งที่สนามบินนะ แต่น่าเสียดายชาร์ปยังไม่ได้พาเที่ยวเลย”คุณแม่เข้ามาบอกกับผม
“ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ คงได้มาอีก”แม้ผมไม่คิดว่าจะมาที่นี่อีกแต่การโกหกให้ผู้ใหญ่สบายใจมันก็ดีกว่า จริงไหมครับ คุณแม่เดินไปหยิบโทรศัพท์โทรเรียกให้คนมาพาผมไปสนามบิน เหลือเพียงผมกับแพท แพทเดินเข้ามาหาผมด้วยสายตาจับผิดอย่างเห็นได้ชัด จนผมเองต้องหลบสายตา
“กลับไปเพราะเรื่องงานจริงๆ ใช่ไหม”คำถามที่ออกจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดสักเท่าไหร่ ผมก็ได้แต่ยืนยันกลับไปว่าเพราะเรื่องงานจริงๆ อีกอย่างแพทก็เห็นว่าหัวหน้าผมโทรมาจริงๆ ซึ่งผมใช้จุดนี้มาช่วยยืนยันได้ แม้จะพอรู้ว่าถ้าไอ้เหมาตื่นขึ้นมา มันต้องโทรหาหัวหน้าผมเพื่อเช็คเรื่องนี้แน่นอน เพราะงั้นก่อนขึ้นเครื่องผมก็คงต้องโทรไปให้พี่เค้าช่วยอะไรผมสักหน่อยแล้วละ
“เคยได้ยินที่เค้าพูดกันไหมตี้ มีอยู่คำๆ นึงที่เค้าว่ากันว่าถ้าเราไม่ยอมลงสนามแข่งเราก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่ถ้าเราลงแข่งแม้โอกาสจะมีแค่ 1% มันก็ยังมีโอกาสจริงไหม”บางทีแพทก็ดูจะคาดเดาอะไรได้ดีจนเกินไป
“เราแค่ต้องกลับไปทำงานนะแพท ไม่มีเรื่องอื่น”ผมย้ำอีกครั้งด้วยการโกหก
“ถ้าเพราะงานจริงๆ ก็เดินทางปลอดภัยนะ ถึงแล้วก็ส่งโทรมาบอกคนทางนี้ด้วย เสียดายนะเนี่ย นึกว่าจะได้เที่ยวด้วยกัน”ผมบอกลาทั้งแพท น้องแมทและแม่ของคุณแว่น ก่อนจะขึ้นรถและไกลจากตรงนั้นออกมาเรื่อยๆ ผมตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม นี่คือคำถามที่ผมกำลังหาคำตอบให้กับตัวเอง อย่างที่แพทบอกผมคงยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มสินะ
TBC
จะจบอยู่แล้วก็ยังไม่มีใครลงเอยกันเสียทีเนอะ
อย่าเพิ่งถอนหายใจกันนะครับ 5555 อีก 3 ตอนก็จบแล้ว อดทนอ่านกันอีกนิด