บทที่ 33
เช้าวันใหม่ ข้าแต่งกายด้วยชุดบุรุษสีม่วงปักไหมเงินลวดลายจันทราบริเวณแขนเสื้อและชายชุด ตั้งใจเลือกสรรเป็นพิเศษ แม้กระทั่งสาวใช้ยังทำหน้าสงสัย เมื่อนางให้ข้าเลือกป้ายหยกและพู่ห้อยขอบเข็มขัด ข้าคว้าพู่สีเหลืองอ่อนเข้ากับพัดพรายเพลิงโดยไม่ต้องคิดมาก
“ปกติคุณชายหยวนไม่เคยพิถีพิถันเรื่องการแต่งกายเช่นนี้ ข้าพเจ้าจัดหาชุดใดมาส่ง ประมุขท่านก็พอใจทุกครั้งไป ไม่ทราบว่าเช้านี้ข้าพเจ้าทำสิ่งใดไม่ต้องใจหรือเจ้าคะ” สาวน้อยยืนทำหน้าสำนึกผิด
“เปล่า ๆ ข้ามิได้ไม่พอใจในการปรนนิบัติของเจ้า แต่เช้านี้ข้ามีเรื่องต้องออกไปทำธุระในฉางอัน คุณชายของเจ้าจะแต่งตัวส่งเดชไม่คิดไตร่ตรองได้อย่างไร หากผู้คนพบเห็นแล้วจักกล่าวโทษได้ว่านายใหญ่แห่งอวี้หงหยวนไร้สามงามปรนนิบัติดูแลเสื้อผ้าอาภรณ์หรืออย่างไรจึงใส่แต่ชุดสีขาวเดิม ๆ ซ้ำซาก”
หญิงรับใช้พอใจในคำกล่าวของประมุขหยวนก็จากไปด้วยรอยยิ้ม
บริเวณด้านหน้าหออวี้หงหยวนในยามเช้า นอกจากยอดฝีมือซึ่งปลอมเป็นเสี่ยวเอ้อร์และสาวใช้แล้ว ยังปรากฏมีกลุ่มชาวยุทธ์พวกหนึ่งจับกลุ่มอยู่บริเวณประตูทางเข้า พอพวกเขาเห็นข้าก็ลุกขึ้นทำกิริยาคารวะโดยพร้อมเพรียง เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคเสี้ยวจันทรา
“คารวะนายท่าน” ทุกคนหันกลับไปทำงานของตนต่อ
บรรยากาศยามเช้าแห่งหออวี้หงหยวนยังไม่คึกคักเท่าหลังตะวันตกดิน เหล่าบรรดาแขกขาประจำย่อมปรากฏตัวเมื่อแสงโคมแดงหน้าหอถูกจุดสว่างไสว เช่นนั้นตอนนี้จึงมีแต่เพียงแขกขาจรที่เข้ามารับน้ำชา พักแรงกายจากการเดินทางเท่านั้น
“ไยประมุขท่านจึงแต่งกายแปลกตาเช่นนี้” หลี่ปิงหวนเข้ามาคำนับแล้วซักถามโดยไว
“ไฉนข้าจึงแต่งชุดสีม่วงมิได้”
หลี่ปิงหวนทำหน้าไม่เชื่อเหมือนข้าซุกซ่อนความลับไว้ “ก็คุณชายรองตระกูลหยางแต่งชุดสีม่วงเช่นกัน”
“พูดเป็นเล่นไปได้” ข้าหูฝาดหรืออย่างไร “หยางเย่ถิงน่ะหรือจะแต่งชุดสีอื่นนอกจากสีประจำพรรค”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ หากประมุขท่านมิเชื่อคำข้าก็จงพิจารณาด้วยตาตนเองเถิด”
ชายหนุ่มผู้ถูกพาดพิงเดินผ่านประตูหน้าแห่งหออวี้หงหยวนเข้ามา สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีม่วงอ่อนราวกับซื้อม้วนผ้ามาจากร้านเดียวกัน ต่างก็ตรงที่เจ้านั่นเลือกที่จะปักลวดลายดอกเบญจมาศ ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลเท่านั้น
“เสื้อคู่หรือขอรับ” พอหลี่ปิงหวนเห็นแววตาข้าก็หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วกล่าวสืบต่อไปว่า “ท่านทั้งสองคืนดีกันเช่นนี้ ข้าหลี่ปิงหวนย่อมคลายใจ ลำดับต้นคาดการณ์ไว้ว่าทั้งสองพรรคจะต้องเป็นอริบาดหมางต่อกันสืบไป ครั้นประมุขท่านยินยอมให้พรรคคมเบญจมาศเข้ามาอวี้หงหยวน พวกเราทั้งปวงย่อมสบายอกสบายใจ หนำซ้ำยังดึงพรรคร่วมฝ่ายธรรมะเข้ามาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ได้โดยไม่ต้องส่งเทียบเชิญเจรจา”
ข้าควรทำหน้าแบบไหน จึงได้แต่ดึงหน้าเฉยไว้ไม่โต้ตอบ
หยางเย่ถิงดูเหมือนประหลาดใจเช่นกันที่ข้าแต่งชุดสีเดียวกับเขา แต่ทว่ามิได้กล่าวมากคำเช่นหลี่ปิงหวน
“คารวะ คุณชายรอง” หลี่ปิงหวนคำนับหยางเย่ถิง อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“เหลียงจินอยู่ที่ใด” ข้าไม่อยากจ้องหน้าหยางเยวี่ยนนานเกินไปก็ถามหาจิ้งจอกน้อย หลี่ปิงหวนกลับออกไปทางด้านหลังแล้วอุ้มเหลียงจินเข้า ปิศาจจิ้งจอกตัวน้อยอ้าปากหาวเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม
“เจ้าจะพาเขาไปด้วยหรือ” หยางเย่ถิงซักกลับ
“ข้าย่อมไม่ไปกับเจ้าเพียงสองต่อสองแน่” ข้าคว้าตัวเหลียงจินได้ก็ลูบขนนุ่มฟูปลุกเขา
“ข้าน้อยขอตัวลา” หลี่ปิงหวนต้องกลับไปผลัดเวรเฝ้าถ้ำสำนึกตนสลับกับหวังเป่าเหอ จึงไม่อาจติดตามข้ากับหยางเย่ถิงได้ “ระวังตัวด้วย”
สหายสนิทออกปากรับคำหนักแน่นแล้วจากไปทำการ
ข้าหลบสายตาทุกผู้คนในสำนักอวี้หงหยวน อุ้มเหลียงจินในสภาพกึ่งหลับกึ่งนอนออกสู่ด้านนอก ผ่านสวนและประตูใหญ่ เข้าตรอกซอกซอยมากมายแห่งมหานครฉางอัน หยางเย่ถิงกำกระบี่เดินเคียงกันตลอดทาง
“เจ้าบอกให้ข้าปลอมตัว” หยางเย่ถิงกล่าวเหมือนขอโทษ
“เอาละ ๆ ข้าย่อมไม่สนใจคำครหาใด ๆ เสื้อคู่หรือ ช่างคิดกันไปได้ บังเอิญชัด ๆ” ข้าย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว ในสายตาคนนอกจะมองอย่างไรก็ช่างเถิด
“คุณชายรูปงามทั้งสองท่าน เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” เสียงแม่ค้าร้านขายบะหมี่ร้องเรียก ข้าหันซ้ายแลขวา เมื่อพบว่าคงไม่อาจมีใครรูปงามเกินกว่าข้าและหยางเย่ถิงไปได้ก็รีบรับคำทันที
“เชิญนั่ง ๆ เจ้าค่ะ ข้าพเจ้าเห็นคุณชายทั้งสองออกเดินทางแต่เช้าตรู่เช่นนี้ จึงคาดเดาเอาเองตามสติปัญญาตัวว่าคงยังมิได้ทานอาหารมื้อเช้า ข้าพเจ้าจะปรุงบะหมี่เนื้อตุ๋นมาให้ รวมทั้งแถมเนื้อติดกระดูกชิ้นโตให้จิ้งจอกน้อยตัวนี้ด้วย”
พอเหลียงจินได้ยินว่าจะได้ลิ้มรสเนื้อติดกระดูกก็ผงกหัวขึ้น ตื่นเต็มตา พร้อมทั้งแลบลิ้นห้อยโหยหา ช่างเป็นจิ้งจอกน่าเอ็นดูนัก อันที่จริงปิศาจจิ้งจอกอายุห้าร้อยปีอย่างเหลียงจินไม่จำเป็นต้องกินอาหารก็อิ่มท้องได้ อาศัยพลังบำเพ็ญเพียรก็อยู่ได้ยาว ๆ หลายปี เหตุที่ข้าและหยางเย่ถิงแต่งตัวผิดรูปลักษณ์เดิมเช่นนี้ก็เพื่อตามสืบความจริงเรื่องพี่สาวของเหลียงจินที่ถูกโจรลักพาตัว เรื่องราวต่อจากนั้นเป็นเช่นคราวข้าเคยเล่าให้เจ้าเหลียวตงฟัง นางถูกขายให้แก่หอนางโลมแห่งหนึ่ง หลังจากช่วยเมียโจรกำจัดสามีโจรผู้ไร้ความยุติธรรมแล้ว หอคณิกาแห่งนั้นมีชื่อว่า เหริ่นหลินกวาง
“เจ้ารู้จักคนสกุลหลินดีใช่หรือไม่” ข้าซักถามหยางเย่ถิงระหว่างนั่งรอชามบะหมี่
“อืม”
“พวกเขาเคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อนหรือเปล่า”
“ไม่เคย” หยางเย่ถิงตอบสั้น ๆ
“มารดาเจ้าออกจากสกุลหลินไปโดยไม่ได้รับความยินยอมสินะ”
ดูเหมือนข้าจะพลั้งปากพูดสิ่งไม่ควรพูด หยางเย่ถิงลดสายตามองลงต่ำ เมื่อปราศจากผ้าคาดศีรษะลวดลายดอกเบญจมาศจึงทำให้ใบหน้าของหยางเย่ถิงไร้สิ่งบดบัง เขามีรูปหน้างดงามดั่งสวรรค์ประทานพร
“เช่นนั้นข้าจะทำทีสั่งสุราเลือกชมสาวงาม ส่วนเจ้านั่งดูอยู่เฉย ๆ”
หยางเย่ถิงแม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็มิได้กล่าวคำใด ได้แต่ให้หยวนหลงซานเป็นผู้ชี้นำ
ข้าจำเป็นต้องล่วงรู้ให้ได้ว่าสมาชิกครอบครัวของเหลียงจินยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ ก็เพราะว่าภายในถ้ำสำนึกตนนอกจากร่องรอยผงราคะไฟแล้วยังปรากฏเขี้ยวเล็บของสัตว์ปิศาจ ลักษณะรอยตามผนังถ้ำบ่งบอกว่าเป็นปิศาจจิ้งจอกอีกตนหนึ่ง ข้าไม่อาจสรุปรวบรัดได้ว่าประมุขพรรคมารคือปิศาจจิ้งจอก แต่ก็ไม่อาจยับยั้งความสงสัยที่ว่า พี่สาวเหลียงจินยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยมาเยือนเหริ่นหลินกวางแล้ว ทว่าไร้ความคืบหน้า จึงใจเร็วสรุปว่านางได้เสียชีวิตไปแล้ว
“หากพี่สาวของเหลียงจินยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะทำประการใด” หยางเย่ถิงถามถึงเจตนาข้า
“เกลี่ยกล่อมให้มุ่งบำเพ็ญเพียร ละทิ้งทางโลก”
“หากนางเป็นประมุขพรรคมารจริง เจ้าจะยังคงยึดมั่นเจตนาเดิมหรือไม่” หยางเย่ถิงถามจี้จุดสำคัญในใจข้า ขณะเจ้าของร้านนำซี่โครงตุ๋นมาให้เหลียงจินพร้อมบะหมี่กลิ่นหอมทั้งสองชาม จิ้งจอกน้อยใช้ปากและเขี้ยวแทะอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ข้าได้แต่อมยิ้มในการกระทำของสหายปิศาจ
“หากนางไม่ยินยอมละทิ้งทางโลกมุ่งบำเพ็ญตบะ ข้าคงจะไม่มีทางเลือกอื่น” ข้าตอบตามตรง ไม่ใช่ฐานะประมุขพรรคเสี้ยวจันทรา แต่เป็นเพราะความผูกพันระหว่างข้าและเหลียงจินเป็นสำคัญ จิ้งจอกน้อยละจากอาหารตรงเพื่อสบสายตากับข้า เขาพยักหัวเป็นกิริยาเห็นด้วยแล้วกลับไปสนใจกระดูกซี่โครงตุ๋นต่อ
“ทานก่อน” หยางเย่ถิงพูดเบา ๆ
“...” ข้าจับตะเกียบแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก รสชาตินับว่าดีสมราคาคุย
หลังจากจ่ายค่าอาหารแล้ว ข้าคิดว่าควรมีของติดไม้ติดมือไปเผื่อใช้เป็นสินน้ำใจมอบให้นางคณิกาแลกกับความลับของเรื่องราวพี่สาวเหลียงจิน เดินผ่านมาสักระยะตรงหัวมุมตลาดฝังตะวันออก มีร้านค้าเครื่องประดับลือชื่ออยู่แห่งหนึ่ง บรรดาสตรีต้าถังมักจะแวะเวียนมาจับจ่ายเครื่องประทินโฉมและเครื่องประดับไม่ขาดสาย เถ้าแก่เนี้ยเป็นหญิงวัยกลางคน สามีตาย ไร้บุตรสืบสกุล มีอุปนิสัยช่างเจรจา มักชี้แนะแขกว่าควรแต่งโฉมหรือเพิ่มเติมเครื่องประดับใดบนผมจนเหล่าลูกค้าติดใจแวะกลับมาซื้อซ้ำ ทว่าเบื้องหลังใบหน้ายิ้มแย้มของอาชีพค้าขาย นางหูตาไวราวกับภูตผีปิศาจ เรื่องราวในฉางอันไม่เคยรอดพ้นสายตาเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ไปได้ เฉพาะยิ่งเรื่องราวในยุทธภพ ข้าเคยอาศัยเงินซื้อข่าวสารจากความรอบรู้ของนางมาหลายครั้งหลายหนแล้ว
พอนางเห็นว่าเป็นข้าก็เร่งออกมาต้อนรับทันที
“คารวะ คุณชายหยวน”
“เถ้าแก่เนี้ย” ข้าผสานมือคำนับ นางกิมง้อยิ้มรับสลับมองหน้าข้ากับหยางเย่ถิง
“คุณชายท่านนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน หรือว่าเป็น ‘สหาย’ ใหม่ ของคุณชายหยวนหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ๆ สหายใหม่” ข้าไม่อาจหันกลับไปมองหน้าหยางเย่ถิงได้ก็เร่งสอบความทันที “กิมฮูหยิน หลายปีมานี้สำนักเหริ่นหลินกวางเคยปรากฏมีนางโลมเลอโฉมแซ่เหลียงบ้างหรือไม่”
ดูเหมือนสายตานางกิมง้อมัวแต่พิจารณาหยางเย่ถิงอยู่เนิ่นนาน ครั้นข้าถามซ้ำสองนางก็ยกชายชุดขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ
“อภัยเถิด ซึ่งข้าพเจ้าเสียมารยาทจับจ้องสหายใหม่ของคุณชายหยวนท่านนี้ เผอิญมองผ่านเพียงครั้งแรกก็นึกได้ถึงคนผู้หนึ่ง” นางกิมง้อพูดราวกับมีลับลมคมใน ข้าจึงจำเป็นต้องใช้เงินซื้อลมปากนางด้วยเรื่องนี้ก่อน
“ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เนี้ยหมายถึงผู้ใดหรือ” แม้แต่หยางเย่ถิงก็ขมวดคิ้วสงสัยดุจเดียวกัน
“หลินอี้หวน” นางกิมง้อเอื้อมมือหยิบเครื่องประทินโฉมขึ้นมาชุดหนึ่ง พลางว่า “หลายปีก่อน บุตรสาวตระกูลหลินแห่งเหริ่นหลินกวางเคยมาซื้อหาข้าวของในร้านข้าพเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ต่อมาพบว่าหายตัวไปอย่างลึกลับ แม้แต่เส้นสายสืบข่าวของข้าพเจ้าก็มิอาจล่วงรู้ได้ กระทั่งยี่สิบปีผ่านไปกลับพบบุรุษผู้หนึ่งประกอบมีดวงตางดงามคล้ายอย่างหลินอี้หวนเช่นนี้ จึงอดที่จะทายทักมิได้”
ข้าสบตากับหยางเย่ถิง เจ้านั่นคลายหัวคิ้วแล้วกลับไปทำหน้าเฉยดังเดิม ไร้ซึ่งคำโต้ตอบ
“เงินทองซึ่งคุณชายหยวนให้ข้าพเจ้าเมื่อครู่ ย่อมถามคำถามอื่นได้อีกหนึ่งคำถามเจ้าค่ะ” นางกิมง้อชี้นำ
“สำนักเหริ่นหลินกวางเคยมีนางคณิกาขั้นเอกแซ่เหลียงบ้างหรือไม่” ข้าซักถามตามข้อสงสัยเดิม
นางกิมง้อพยักหน้าให้ข้าเป็นสัญญาณว่าให้ติดตามนางสู่ทางด้านหลังร้าน พอพ้นผ่านประตูแล้ว นางกิมง้อจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีแดงจากหีบไม้ขึ้นมาแล้วคลี่ออกให้ข้าดู มุมผ้าด้านหนึ่งปักเป็นลวดลายดอกเบญจมาศในวงจันทรา “นางคณิกาที่ท่านถามหาเคยมอบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้ข้าพเจ้าแลกกับปิ่นปักผมอันหนึ่ง นางโลมผู้นั้นเดิมทีมีแซ่สกุลเหลียง ภายหลังมีขันทีรับไว้อุปถัมภ์จึงเปลี่ยนไปใช้แซ่เซียว”
“ข้าขอซื้อผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ได้หรือไม่”
“ห้าสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
“ย่อมได้” นางกิมง้อยิ้มแย้มยินดี
“ไยเจ้าจึงยินยอมสูญเงินเพื่อผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว” หยางเย่ถิงถาม เมื่อในระยะไม่เกินยี่สิบก้าวจะดำเนินถึงด้านหน้าหออวี้หงหยวน
“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มีราคายิ่งกว่าเงินที่สูญเสีย เมื่อถึงเวลามันจะมีราคาจนเจ้าไม่อาจคาดคะเนได้”
“ข้าไม่เข้าใจ” หยางเย่ถิงยังไม่ยอมหยุดถาม
“นี่เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว หยางเยวี่ยน ปกติเจ้าพูดมากเช่นนี้หรือ” ข้าเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ในอกเสื้อแล้วยิ้มเล็กน้อย
“ไยเจ้าจึงหวนกลับอวี้หงหยวน แล้วเรื่องสืบความจากหอคณิกาเหริ่นหลินกวางเล่า”
“ไม่จำเป็นแล้ว ข้าลืมนึกไปว่า ร้านค้ากิมฮูหยินนั่นแล้วคือสถานที่ซึ่งข้าควรไปมากที่สุดหากข้าต้องการคำตอบ อีกประการหนึ่ง คนเหริ่นหลินกวางยามพบเห็นใบหน้าคุณชายรองตระกูลหยางย่อมจะล่วงรู้แน่ว่า เจ้าเป็นบุตรของหลินอี้หวนแน่ ๆ เพียงแค่กิมฮูหยินยังออกปากคลับคล้ายแล้ว ความลับเรื่องฐานะเจ้าคงถูกเปิดเผยก่อนจะได้สืบความ แต่ข้ามีอีกสถานที่หนึ่งจำเป็นต้องไปในทันที” หยวนหลงซานหยุดอยู่หน้าป้ายประกาศแล้วฉีกหนังสืออาสารับสมัครชายหนุ่มผู้ตกฟากยามเฉิน ท่ามกลางหมู่ดาวราศีมังกรออก
“ที่ใด”
“บ้านพักของเสียนหย่งเฉิง” พอข้าเฉลยเช่นนั้น หยางเย่ถิงก็ทำหน้าไม่พอใจ
“ข้าจำเป็นต้องหลอกใช้เสียนเฉินให้สืบหาชื่อและแซ่ของขันทีผู้นั้น” ข้ารีบเร่งอธิบาย
“แลกกับสิ่งใด”
“ก็คงต้องเป็นสิ่งนี้” ข้าชูป้ายประกาศรับอาสาสมัครชายหนุ่มเพื่อร่วมประเวณีกับหยวนอวี้ฟ่านขึ้นตรงหน้าหยางเย่ถิง เจ้าคุณชายรองนั่นทำเหมือนข้ายื่นกระดาษเปล่าให้ดู
“ข้าจะสืบหาขันทีคนนั้นให้เจ้าเอง”
“ได้หรือ เจ้ามีเส้นสายในราชสำนักหรือ” ข้าสุดประหลาดใจก็รีบเร่งถามกลับ
“ใช่” จู่ ๆ หยางเย่ถิงก็ปรากฏสีหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด “แล้วข้าจะได้สิ่งใดตอบแทน”
ข้าหมุนตัวแล้วอุ้มเหลียงจินที่นอนหลับตลอดทางเดินกลับเข้าหออวี้หงหยวนโดยไม่รีรอ
“คำนับ คุณชายหยวน ไยท่านจึงยิ้มแย้มเช่นนี้ มีข่าวดีหรือขอรับ” ยอดฝีมือผู้หนึ่งยืนยามเป็นนักเลงคุมซ่องอยู่หน้าประตูร้องทัก ข้าคลี่พัดพรายเพลิงบังสีหน้าแล้วเดินไปผ่านไปโดยเร็ว
***********************
พูดคุยอืมมคุณชายรองท่านช่างความคิดดีจริงๆ ปากต่อปาก มีคนหึงหนึ่งอันตราเจ้าค่ะ คนเขียนสู้ๆ รอรอจ้า
แถมปากหนักด้วย กำหมัดแน้ววว 55+