Kagehana : พี่ชายเค้ากำลังง้อน้องเค้าล่ะ ฮิฮิ
-7-
“เอ้า ลุกมากินได้แล้ว”
หลัง จากกลับจากไปซื้อบรรดายาและโจ๊กอุ่นๆสองถุงพร้อมหมูย่างแล้ว ชยางกูรยังเหลือเวลาพอที่จะซื้อเค้กของโปรดจากร้านประจำมาไว้ด้วย ชายหนุ่มประคองถ้วยโจ๊กของตัวเองและปัณวิทย์มายืนใกล้เตียงแล้วใช้เท้าเขี่ย ไอ้ก้อนกลมๆที่ฟอร์มแกล้งหลับ
“ใส่ไข่ไม่ใส่ผัก... ฟูฝุ่นมากินเร็ว” เสียงทุ้มแกล้งเรียกกระต่ายทั้งสองตัวที่กลิ้งเล่นอยู่บนพื้น
“เฮ้ย! กินไม่ได้ เดี๋ยวท้องเสีย!!” ปัณวิทย์รีบโวยขึ้นมาทันที
“กระต่ายไม่กินคนก็ลุกมากินเร็ว” ชยางกูรวางชามบนเตียงแล้วเดินไปลากโต๊ะมาไว้ข้างๆพร่อมกับเอาชามทั้งสองอันตั้งบนนั้น
“กินเสร็จกินยาอาบน้ำทายานอน... โอเค้”
“อาบไปแล้ว... ไม่ต้องพูดมากเลย” เด็กหนุ่มบ่นว่าพลางตักโจ๊กเข้าปากทีละคำด้วยความหิวโหย
“ขอบคุณยัง...ไปซื้อมาให้เนี่ย” คนเป็นพี่ทวงคำขอบคุณหน้าตาเฉย ทั้งที่ตัวเองออกไปซื้อ...และเข้ามาวุ่นวายเองแท้ๆ
“ว่าไงครับคุณน้องปัน”
“อือ ขอบคุณครับ” ถึงจะพูดเพราะแต่ปัณวิทย์ก็ทำท่าเฉยๆแล้วรีบตักโจ๊กต่อ
เป็น ชยางกูรเองที่ยิ้มไปกับคำพูดนั้น เขายกช้อนขึ้นคนโจ๊กในจานตัวเองแล้วตักเข้าปาก และเพราะพื้นที่โต๊ะมันเล็ก ไหล่ถึงต้องเบียดกันแทบตลอดเวลา อุณหภูมิอุ่นๆของร่างกายปัณวิทย์ทำให้เขารู้สึกดีไม่หยอก
“จริงๆมีเค้กนะ แต่เอาไว้กินเองยั่วคนปากเจ็บ” เขาพูดขึ้นเมื่อกินโจ๊กสลับหมูย่างไปได้ครึ่งชาม
“กินด้วยดิเฮ้ย! ไม่เป็นไร” ถ้าเป็นเค้กที่ชอบก็อยากจะทำลืมเรื่องเจ็บไปก่อนเลย
“จะกิน”
“น้อยๆหน่อย กินข้าวให้หมดก่อนเหอะ” ท่าทางเหมือนเด็กๆเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ
ชยางกูรกินโจ๊กช้าๆ แกล้งถ่วงเวลาคนรอกินเค้ก จนเมื่อสายตาเขียวๆมองมาเป็นรอบที่ห้าเขาถึงลุกไปเอาเค้กที่ซ่อนไว้มา
“อ่ะ...บลูเบอรี่ชีสพาย ของโปรดนาย” ชายหนุ่มยื่นให้แต่พออีกฝ่ายเอื้อมมารับกลับดึงออกห่าง
“จะดีกันได้หรือยัง ปัน”
“............ ถ้าเขารู้... ฉันก็โดนอีก......” เด็กหนุ่มนิ่งไปก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไร ฉันเป็นพี่นายนะ” นัยน์ตาสีฟ้าราวกับท้องฟ้าสดใสทอดมองอ่อนโยน
“กับอีแค่น้องชายคนเดียว...ยังไงก็ต้องช่วยปกป้องกันล่ะนะ”
“...............” ปัณวิทย์ยื่นมือไปรอรับขนมของตัวเองพลางจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง
“... ดีกัน....”
“เห็นแก่กินนะเรา” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่มือใหญ่กลับยื่นส่งให้แต่โดยดี
นัยน์ตาสีเข้มพราวของปัณวิทย์ที่มองมาทำให้รู้สึกแปลกๆในหัวใจ เหมือนกับก้นตะกอนที่ถูกกวนขึ้นมาพรางอะไรบางอย่างให้พร่ามัว
...เป็นน้องชาย ไม่ใช่สเปค ชอบทำให้โมโห...
แต่บางอย่างที่โผล่พ้นความพร่ามัวนั้น... มันชวนให้ขัดแย้งเหลือเกิน...
“ก็อร่อย...” เด็กหนุ่มทำเสียงขุ่นพลางค่อยๆเคี้ยวแป้งพายกรอบก่อนจะยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุข
“แหงอยู่แล้ว จะกินทั้งทีก็ต้องของอร่อยสิ” ชยางกูรแทรกขึ้นมาแล้วลงไปนั่งข้างๆเหมือนตอนแรก
“คำนึงดิ”
ปัณวิทย์อดไม่ได้ที่จะค้อนให้ทีหนึ่ง ก่อนจะยื่นถาดพายใบเล็กให้
“อะ”
“ป้อนดิ่” ชยางกูรหัวเราะทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหันขวับมามอง
“ล้อเล่นน่า” เขาเอาช้อนตักเข้าปากแล้วดันคืน
“รีบๆกิน จะได้ทายานอน”
“ทำไมต้องทายานอน ไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ยครับ” เขารีบท้วงพลางตักพายเข้าปากอีกคำแล้วเคี้ยวช้าๆเช่นเดิม
“โตแล้ว ไม่ต้องนอน ไม่ได้มีไข้”
“งั้นอยากทำอะไรล่ะ หน้าบวมขนาดนี้” ถุงยาแก้ฟกช้ำถูกแกะออกมาพร้อมๆกับยาเม็ดแก้ปวด
“อ่ะ กินยาก่อน อย่าบอกนะว่ายาเม็ดกินไม่ได้”
“กินได้!! เห็นกูเป็นอะไรครับ” คิ้วยิ่งขมวดเข้าหากันเมื่อถูกถามเหมือนเป็นเด็กประถม
“เด็กประถม...ละมั้ง ก็ทั้งงอแงงี่เง่าเอาแต่ใจ ไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายฟาดหัวฟาดหางใส่คนอื่น” ชยางกูรเหน็บ...ก่อนจะพูดต่อ
“แต่พี่เดฟก็ไม่ได้เกลียดนิสัยอย่างนั้นของน้องปันปันหรอกนะครับ”
“บอกว่าไม่ให้เรียกไง!” คราวนี้คนโดนเรียกชื่อปันปันแทบจะแยกเขี้ยวใส่แถมขย้ำคอให้อีกที
“เฮ่ย-- แหย่นิดหน่อยทำแยกเขี้ยวใส่ ดุอย่างกับหมา” ชยางกูรทำเสียงดุใส่บ้าง
“ทำไม ชื่อต้องห้ามเหรอ ถึงเรียกไม่ได้น่ะ”
“............... ไม่ให้ เรียกแล้วเฮิร์ท มีไรปะ” ปัณวิทย์ทำทีเป็นเหมือนเรื่องขำมากกว่าเพื่อจะเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้
“กวนตีน” มือใหญ่เลื่อนแก้วน้ำส่งให้พร้อมกับหยิบหลอดยามาเตรียมไว้
“กินยาได้แล้วจะได้ทายา ลีลาจริงๆ”
ทำไมต้องคอยดูแลกันขนาดนี้...ถ้าใครถามเขาด้วยคำถามนี้ ชยางกูรก็จนปัญญาจะตอบ
ปัณวิทย์จิ๊ปากแต่ก็หยิบยามากินตามคำอีกฝ่าย
“กินแล้ว เอายามาดิ จะได้ทา”
“ทาเองได้หรือไง มานี่มา” เขาแกะหลอดยาออกแล้วบีบเบาๆให้เนื้อครีมติดปลายนิ้ว
“หันมาเด่ะ” ชยางกูรใช้มือที่ไม่เละครีมจับปลายคางเบาๆ
“ทำไมจะทาไม่ได้วะ” แม้จะพูดเถียงแต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้ตั้งใจเถียงด้วยเท่าไหร่นัก
“นี่ ถ้าเงียบปากอีกนิดน่ะจะจีบเลย” ชยางกูรแซวแล้วค่อยๆแต้มครีมบนผิวแก้มบวมของปัณวิทย์เบาๆ ปลายนิ้วสากไล้ช้าๆให้ตัวยาเคลือบรอยบวมไว้
“อย่าเล่นงี้เว้ย ขนลุกครับ แฟนได้ยินจะเข้าใจผิด” เขาพูดเสียงเข้มพลางปล่อยให้อีกฝ่ายทายาให้ตามสะดวก
“ถ้าฉันจีบจริงๆ อ่อนๆแบบนายไม่รอดหรอก” คนที่ทายาให้ยิ้มอวดตัวก่อนจะละมือออก
“เรียบร้อย ไปนอนไปเดี๋ยวพี่เดฟสุดหล่อตบตูดนอนให้”
“ตบตูดนอนไรวะ นั่นเด็กเล็กๆแล้วเว้ย แล้วว่าใครอ่อนวะ” เด็กหนุ่มดันหน้าอีกคนไปไกลๆเป็นการแสดงออกว่าไม่พอใจ
...และหยอกเล่นนิดหน่อย
“เอาน่าๆ ยอมรับความจริงบ้างไอ้หนู” ชยางกูรจับข้อมือไว้แล้วดึงปัณวิทย์เข้ามาจนใบหน้าเกือบจะชนกัน รอยยิ้มพราวติดบนใบหน้าเจ้าเล่ห์
“จะทำไรต่อ นอนหรือนอนหรือนอน”
“เล่นไรวะ!! ไม่นอน จะว้อทส์แอปหาแฟน” เขาว่าพลางเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ข้างเตียง
เขา ปล่อยให้เด็กหนุ่มตรงหน้าพลิกกายไปหาโทรศัพท์แล้วนอนคว่ำเล่นอย่างสบายใจ ชยางกูรเลื่อนโต๊ะวางถาดข้าวและอื่นๆไปห่างๆก่อนจะทุ่มกายนอนลงบนเตียงบ้าง
ชาย หนุ่มหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดดู เฟสบุ๊คของเขามีคำขอเป็นเพื่อนและข้อความใหม่....ซึ่งมาจากแฟนสาวของคนที่ นอนอยู่ข้างๆ เขากดรับขอเป็นเพื่อนก่อนแล้วจึงเปิดอ่านข้อความ
ชยางกูรขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นข้อความของไอลดาที่ส่งมา...ขอเบอร์ของตนเอง
...ทั้งๆที่เป็นแฟนของปัณวิทย์เนี่ยนะ...
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำกดโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้มอยู่
“ครับ คิดถึงไอซ์ หล่อเหมือนเดิมเมื่อไหร่จะกลับไปเรียนครับ” เขาพูดใส่โทรศัพท์เพื่อส่งข้อความเสียงให้อีกคน
...แหวะ ไอ้น้ำเน่าเอ๊ย...
ชยา งกูรกดดูข้อความอีกรอบแต่ยังไม่ได้ส่งกลับ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าไอลดาตั้งใจจะทำอะไรอยู่ถึงส่งข้อความนี้มา ใช่ว่าเขาอคติเรื่องที่ตอนนั้นเด็กสาวงี่เง่าใส่ปัณวิทย์ แต่แบบนี้มันดูจะผิดวิสัยของคนที่เป็นแค่แฟนน้องชาย
...ยังไม่นับรวมสายตาในวันนั้น
“ปัน... แฟนเรียนอยู่ป่ะ ส่งข้อความไปจะฟังได้เหรอ”
“เปล่า อยู่ห้องสมุด ทำไมเหรอ” เด็กหนุ่มที่ยังนอนคว่ำถามโดยไม่หันมามองหน้าอีกคน
“เปล่า ไม่มีอะไร” คนถามเงียบเสียงไปก่อนจะค่อยๆแอบเอาโทรศัพท์ใส่กระเป่ากางเกง
“แล้วกับไอซ์ตอนนี้แฮปปี้กันดีป่ะ หายงอนเรื่องกลับก่อนยัง” ชยางกูรหยั่งเชิงถาม
“หายแล้วดิ มั้ง ก็ตอบข้อความแปลว่าหายแหละ” เขาเอื้อมวางโทรศัพท์คืนที่เดิมก่อนจะหันมาหาคนข้างๆ
“ไมเหรอ”
“เปล่า......”
...แล้วข้อความนั้น หมายความว่ายังไง...
“ถามแต่คนอื่น... ชอบพี่นัทไม่ใช่เรอะ” ปัณวิทย์แถมสายตารังเกียจมาให้ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างทับไป
“คนนั้นน่ะชอบ แต่ท่าจะยาก... ก็สเปคแหละ แต่เข้าถึงยากขนาดนั้นก็ขี้เกียจพยายามว่ะ” ชายหนุ่มบ่นเซ็งๆแล้วกลิ้งตัวขดบนเตียง
“แต่ก็ชอบจริงๆล่ะนะ หน้าตาแบบนั้นน่ะ”
“เป็นยังไงวะ รู้สึกยังไงเหรอ...” เขาหันมามองหน้าร่างสูง
“ชอบผู้หญิง... แล้วก็ผู้ชายเหมือนกันเนี่ย แปลว่าถ้าเจอผู้หญิงหน้าตาแบบพี่นัทก็ชอบสิ”
“อืม....” คำถามตอบยากนำพาความสงสัยกรุ่นขึ้นมาในหัว
นั่นสินะ...หน้าตาแบบที่ชอบ
“ก็... บอกแล้วไงว่าเป็นไบ จริงๆก็ไม่ได้คบแค่คนหน้าตาแบบนี้หรอก แต่ชอบไง ดูว่าง่าย... ท่าทางจะสอนเรื่องอย่างว่าสนุกดี” เขาพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นคนฟังอ้าปากค้างแถมดวงตากลมๆก็ยิ่งเบิกโต
“นอกจากเอาผู้ชายแล้วยังโรคจิตอีก” ปัณวิทย์เบ้ปากแล้วลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง
“อืม......... นั่นดิ... หน้าตาแบบที่ชอบ.... เหรอวะ...” เด็กหนุ่มนึกถึงแฟนสาวของตัวเองที่คบกัน หน้าตาน่ารัก รูปร่างสมส่วน ควงไปไหนก็มีแต่คนมอง แบบนั้นเรียกว่าชอบ ก็ถูกแล้ว
...หรือเปล่า
“ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันก็รู้สึกดีนะเว้ย ไม่เคยลองอย่ามาพูด” มือใหญ่ผลักไหล่คนที่นั่งอยู่เบาๆ
“ก็เหมือนนายชอบแฟนนายไง ถ้าไม่ใช่แบบที่ชอบก็คงไม่อยากคบด้วยหรอก”
“เหรอ มันเหมือนกันเหรอ ก็คบ... เพราะชอบ... หรือเปล่าวะ...” เขาหัวเราะออกมา
“ก็ไอซ์เข้ามา ก็คบกัน อะไรงั้น”
“อะไร...พูดเหมือนสับสน สรุปว่าเพราะชอบถึงคบหรือเพราะคบถึงชอบกันแน่” ชยางกูรมองเข้าไปในแววตา... ที่ฉายแววไม่แน่ใจ
“พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจคบ...”
“ไอ้ แบบนี้แหละเลิกมาหลายแล้ว การที่คบใครสักคนน่ะ... ต้องคบเพราะรัก ไม่ใช่แค่ปฏิเสธไม่ได้แล้วคบไปวันๆ เป็นฉันนะ ถ้าไม่ใช่ความรู้สึกรักจะไม่คบให้เสียเวลาเลย”
“... ก็ แก่แล้วนี่หว่า ฉันยังเด็ก ค่อยๆเรียนไปแหละวะ” เด็กหนุ่มรีบแย้งกลับ
“ยังไม่แก่เว้ย แรงดีไม่มีตก ไม่ต้องพักยกด้วย” คิ้วสีอ่อนยักขึ้นท่ามกลางรอยยิ้มขัน
“นายไม่นอนงั้นฉันนอนนะ วันนี้จะโดดงานอยู่เป็นเพื่อนแล้วกัน ขอบคุณฉันด้วยล่ะ”
“เฮ้ยไม่เอา! ถ้าเขารู้เขาต้องมาตามหาแน่ แล้วเป็นเพราะฉันอีก......” ท้ายประโยคน้ำเสียงของคนช่างโวยวายพลันอ่อนลง
แวบแรกที่เห็นใบหน้าสลดลง ส่วนลึกของหัวใจเรียกร้องให้ดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดเบาๆ
...แต่เขาก็ทำได้เพียงเอื้อมมือไปลูบหัวเท่านั้น
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเป็นกังวล ตอนออกไปซื้อโจ๊กฉันโทรไปลาเรียบร้อยแล้ว... บอกว่าป่วย พ่อไม่รู้หรอกว่าฉันขลุกอยู่นี่”
“.... ถ้าว่างั้นก็ได้.... พูดแล้วชักง่วง... งั้นจะนอนมั่งแล้วนะ” ถึงปากจะพูดอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งเพื่อจะพิมพ์ข้อ ความให้แฟนสาว
“บอกไอซ์ก่อนว่านอน จะได้ไม่งอนว่าส่งแล้วไม่ตอบ...” ปัณวิทย์เอ่ยบอกขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั้นก็วางโทรศัพท์คืนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาพลางหันตะแคงข้างมาหาอีกคน
“ไม่ได้อยากจ้องหน้านะเว้ย แต่มันเจ็บแก้ม....” นัยน์ตาดุๆค่อยๆปิดลงช้าๆ พร้อมกับคิ้วที่มักขมวดเข้าหากันนั้นคลายออก
“เออ หลับไปเหอะ” ชยางกูรพูดขำๆ พอเห็นอีกฝ่ายหลับจริงๆ ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความเก่าแล้วตอบกลับไป
-ไม่ค่อยสะดวกครับน้องไอซ์ มีอะไรคุยผ่านเฟสบุ๊คก่อนดีกว่าเนอะ-
ไม่นานนัก ก็มีข้อความส่งตอบกลับมาแทบจะทันที
-ไม่เปนไรคะ คุยกันทางนี้ก่อนก้อได้ พี่เดฟเปนพี่ปันหรอค่ะ-
-ครับ เป็นญาติกัน ไอซ์ไม่มีเรียนเหรอครับ-
แม้จะขัดใจกับภาษาไทยแปลกๆของเด็กสาว แต่พอคิดว่าเป็นลักษณะของวัยรุ่นทั่วไปก็พอเข้าใจได้
-คะ ว่างอยุ่ พี่เดฟพึ่งกลับมาจากเมกาหรอค่ะ ไปทำอะไรที่นั่นมาหรอค่ะ-
หลัง จากส่งข้อความในเฟสบุคคุยกันหลายครั้ง ชยางกูรก็สรุปใจความได้ว่าสาวน้อยแฟนปัณวิทย์ต้องการจะสานต่อความสัมพันธ์ กับเขามากเกินกว่าพี่ชายของแฟน
เด็กสมัยนี้เป็นงี้เหรอวะ....
นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างมองคนที่นอนอยู่ด้วยความสงสาร..อ่อนโยนที่แฝงอยู่เจือจางจนแทบมองไม่เห็น
/////////////////////////
ทันทีที่ขึ้นรถของชยางกูร ปัณวิทย์ก็แสดงอาการหัวเสียออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เมนส์มาหรือไงวะแม่ง...” ทั้งๆที่กลับมาเรียนแล้ว แต่ดูเหมือนแฟนสาวของเขาจะหาเรื่องทะเลาะไร้สาระจนทำให้หัวเสีย
“เป็นไรวะ หน้าเป็นตูดมาเชียว” คนขับหันมาหาแล้วยิ้มให้จางๆ
เออวุ้ย....หงุดหงิดเป็นแมวบ้าอีกแล้ว
“ก็ไอซ์อะดิ เหวี่ยงอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วมาลงกับฉัน” หน้าตายังไงแสดงความหงุดหงิดอย่างชัดเจน
“ผู้หญิงก็งี้แหละ ใจเย็นๆน่า ไปหาไรกินแก้เครียดดีกว่า กินไรดีวันนี้” ชยางกูรยักไหล่แล้วออกรถไปทิศทางที่ตรงกันข้ามกับบ้าน
“เปปเปอร์ลันช์...” เขาตอบเสียงนิ่งแล้วทิ้งตัวพิงเบาะรถ
“เพิ่งกินไปเอง ไม่เบื่อเหรอวะ” เปปเปอร์ลันช์....ครั้งที่เท่าไหร่ของเดือนแล้วก็ไม่รู้
“ไปกินบาร์บีคิวไหม... ฉันอยาก”
“ไม่เอา ไม่อยากนั่งหน้าร้อน” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจแล้วหันมาทำหน้าเบ้ใส่
...ไอ้เด็กเอาแต่ใจ...
“ยังกับเปปเปอร์ลันช์ไม่ร้อนงั้นแหละ” ชยางกูรบ่นเบาๆแต่ก็แปลว่ายอมลงให้แต่โดยดี
“มีการบ้านป่ะ”
“มี ง่าย... แวบเดียวก็เสร็จ” เขายักไหล่อย่างไม่สนใจ ปัณวิทย์ไม่ใช่เด็กมีปัญหาเรื่องการเรียนอยู่แล้ว
“เออ เก่งคร้าบเก่ง” ชยางกูรประชด
ใน ตอนแรกที่เห็นเกรดในสมุดรายงานผลการเรียน ทำเอาเขาอึ้งไปเล็กน้อย เกรดสวยหรูเรียงกันเป็นตับชนิดที่ว่าเขาเทียบไม่ติด... ปัณวิทย์เป็นเด็กเรียนดีและขยันสม่ำเสมอ บางคืนที่เข้ามาหาก็จะเห็นร่างเพรียวนั่งอ่านหนังสือและติดป้ายไว้บนเก้าอี้ ที่หันหลังให้ว่าห้ามรบกวน
“ปรับหน้าหน่อยๆ พาไปเลี้ยงนะไม่ได้พาไปเชือด” ตอนที่รถติด มือใหญ่เอื้อมมาบีบปากบุ่ยๆไม่เบานัก
“..... ก็มันน่าโมโหนี่หว่า.......” เด็กหนุ่มว่าพลางดึงมืออีกฝ่ายออก
“เออ เลิกก็ได้” ถึงอย่างนั้น แววตาก็ยังดูหงุดหงิดอยู่ดี
“ก็ ถ้างี่เง่านักก็เลิกซะสิ” ที่ยุส่งไม่ใช่เพราะเขารังเกียจแฟนของน้องชาย... แต่เป็นเพราะดูท่าแล้วว่ายังไงๆไอลดาก็คงไม่หยุดอยู่ที่ปัณวิทย์แน่
“ปันก็ไม่ได้ขี้เหร่... พอดูได้นิดหน่อย หาแฟนใหม่เอาง่ายกว่ามั้ง”
“.... ก็เขาไม่ได้บอก เดี๋ยวร้องไห้ดราม่าไรวุ่นวาย” คล้ายกับปัณวิทย์จะพูดไปเพราะตัดรำคาญ
“...เขาอยากให้นายสนใจมั้ง” ชยางกูรเหยียบคันเร่งให้รถแล่นไปยังเส้นทางที่ตรงไปสู่ร้านที่ปัณวิทย์อยากกิน
“ก็ลองอยู่กับเขาให้มากขึ้น ฟังมากขึ้น ...ถ้าทำได้น่ะนะ”
แต่ผู้หญิงเป็นเสียอย่างนี้...ท่าทางคงไม่ใช่ย่อย
“..... อืม เพราะช่วงหลังเลิกเรียนแล้วกลับบ้านเลยมากกว่ามั้ง... งั้น” ปัณวิทย์ลองทบทวนดูบ้างว่าช่วงที่ผ่านมา เขาแบ่งเวลาว่างของตัวเองมาใช้กับพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้ด้วย
“เฮ้ย-- ไม่เกี่ยวกับฉันนะ” คนขับรีบท้วง
“ก็แล้วทำไมช่วงนี้เราไม่อยู่กับเพื่อนล่ะ ปกติกว่าจะกลับงี้...อาหารสำรองรอแหง็กประจำ”
“ก็กลับทานข้าวเย็นให้ทันไม่โดนว่าก็พอ” เขาตอบสั้นๆพลางเอนหน้าพิงกับเบาะรถ
“ถึงแล้วปลุก...”
“ใช้กูเลยนะครับน้องปัน” ชยางกูรบ่นเบาๆด้วยรอยยิ้ม
...เอาเหอะ....
...แค่นี้ไม่เป็นไร...
To Be Continued....