ตอนที่ 6 รับน้อง
“อุ๊ย ๆ ข้าศึกโจมตีแล้ว ไปละนะ บาย!” ภควัตมองรุ่นพี่ต่างคณะที่วิ่งปรู๊ดเข้าห้องสุขาครู่หนึ่งจึงหันหลังกลับ มุ่งหน้าไปยังลานจัดกิจกรรมภายในสถานี เขานั่งลงที่ท้ายแถวก่อนจะยืดคอมองหาใครบางคน ในที่สุดตาคมก็หยุดที่เจ้าของใบหน้ารูปไข่สวมแว่นสายตากรอบหนาที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง แม้ความสูงจะมากกว่าพวกผู้หญิงอยู่โข แต่รูปร่างกลับดูผอมบางเมื่อเทียบกับชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ป้อน มัวมองอะไรอยู่” คนนั่งข้างหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอี้ยวตัวส่งถุงผ้าสกรีนข้อความ “ถุงยังชีพ” ที่ในนั้นมีทั้งขนมและน้ำให้
“ขอบใจนะ” ภควัตรับมาวางบนตัก เมื่อเบนสายตากลับไปยังจุดเดิมก็ไม่พบเขาคนนั้นเสียแล้ว
ทันทีที่พิธีการต่าง ๆ เสร็จสิ้น บรรดานักศึกษาก็ทยอยกันขึ้นสู่ตู้รถไฟ และเมื่อถึงเวลาสิบห้านาฬิกาสิบห้านาที เจ้าม้าเหล็กขบวนพิเศษก็พาเหล่าหนุ่มสาวผู้มีความฝันออกเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ รถไฟขบวนพิเศษถึงสถานีลพบุรีราว ๆ หกโมงเย็น หลายคนพากันลงจากขบวนรถใช้โอกาสนี้ทำธุระส่วนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องไปแออัดกันบนขบวนรถ ในขณะที่อีกหลายคนก็ต่อแถวรับของที่ระลึกและร่วมกิจกรรมที่ถูกจัดเตรียมไว้ บรรยากาศการต้อนรับน้องใหม่ที่จัดโดยบรรดาพี่ ๆ ศิษย์เก่าที่สถานีแห่งนี้จึงครึกครื้นไม่แพ้ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ บทเพลงประจำมหาวิทยาลัยถูกนำมาถ่ายทอดผ่านเสียงอันไพเราะของนักร้องสมัครเล่น ขนมนมเนยถูกจัดใส่กระเป๋าผ้าอย่างดีมอบให้รุ่นน้อง กระทั่งเมื่อสมควรแก่เวลาพี่น้องร่วมสถาบันจึงถือโอกาสโบกมืออำลากัน
รถไฟขบวนพิเศษมีกำหนดแวะพักที่สถานีนครสวรรค์ พิษณุโลก ลำปาง และถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ตอนรุ่งสาง เมื่อออกจากสถานีนครสวรรค์มาได้สักพัก เสียงกลองและเสียงร้องเพลงค่อย ๆ เงียบลง เหลือก็แต่เสียงพูดคุยกันเบา ๆ นอกหน้าต่างมีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่าของท้องทุ่งที่บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ในขณะที่หัวรถจักรยังคงทำงานอย่างแข็งขัน แต่ผู้โดยสารกลับผล็อยหลับเพราะความเหนื่อยล้า ปล่อยให้เจ้าม้าเหล็กพุ่งทยานข้ามน้ำข้ามเขาเพียงลำพัง
บางสิ่งที่กระทบลงบนไหล่ด้านซ้ายปลุกชายหนุ่มที่กำลังเอียงศีรษะพิงขอบหน้าต่างตื่นขึ้น ภควัตก้มมองตัวเลขดิจิทัลบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาเกือบตีสาม กำลังจะขยับนั่งให้หายเมื่อย จู่ ๆ คนนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่ข้างกันก็ซบลงบนไหล่อีกครั้ง แต่คราวนี้คงอยู่ในตำแหน่งที่สบายอีกฝ่ายถึงไม่ไหวติงเช่นนี้ ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นดันศีรษะของเพื่อนให้ตั้งตรงก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ก้าวข้ามท่อนขาเหยียดยาวของสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ร่างสูงหยุดยืนมองอย่างคุร่นคิด แนวทางเดินที่เห็นอยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกเหมือนตัวเขาคือนักวิ่งที่กำลังจะต้องวื่งข้ามสิ่งกีดขวางอย่างไรอย่างนั้น ขายาวก้าวข้ามลังกระดาษที่เพิ่งไถลออกจากใต้เก้าอี้นั่ง เอี้ยวตัวหลบแขนขาของบรรดาคนที่กำลังหลับ สะดุดกระเป๋าสัมภาระและข้าวของต่าง ๆ เป็นระยะ ในที่สุดก็สามารถพาตัวเองมายืนโงนเงนอยู่หน้าห้องสุขาที่อยู่เกือบท้ายขบวนจนได้
ภควัตผลักประตูก่อนจะก้าวเข้าไปยืนในห้องสีเหลี่ยมแคบ ๆ อย่างทุลักทุเล ระหว่างทำธุระส่วนตัวได้ยินเสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงพูดคุยกันเบา ๆ ของหญิงสาวที่ด้านนอกจึงเงี่ยหูฟัง
“ไหวไหม”
“ไหวค่ะพี่ ได้อาเจียนออกบ้าง ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ”
“เดินกลับไหวหรือเปล่า”
“หนูขอล้างหน้าล้างตาก่อนนะคะพี่”
“จ้ะ พี่รอข้างนอกนะ มีอะไรเรียกได้เลย”
เมื่อเปิดประตูออกมา ภควัตก็พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งยืนกอดอกพิงผนังฝั่งตรงข้าม ข้าง ๆ คือประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหล เธอเงยหน้าขึ้นกำลังจะเบี่ยงตัวเพื่อให้เขาผ่านไปอย่างสะดวก แต่เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ออม น้องเป็นยังไงบ้าง”
ไม่เพียงแต่เจ้าของชื่อที่หันไปยังต้นเสียง หนุ่มการสื่อสารมวลชนก็พลอยมองตามไปด้วย
“อาเจียนน่ะ แต่เห็นว่าดีขึ้นแล้วละ กลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ออมจัดการเอง”
“ไม่เป็นไร” บรรณภัทรตอบสั้น ๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังร่างสูงที่เบี่ยงตัวหลบหญิงสาวตรงหน้าประตู และกำลังเดินตรงมาทางนี้ ชายหนุ่มมองป้ายแขวนคอน้องใหม่แล้วเอ่ยขึ้น “สื่อสารมวลอยู่ตู้โน้นไม่ใช่เหรอ”
“อะ...เอ้อ... ค...ครับ” ภควัตตอบตะกุกตะกักพลางหันซ้ายหันขวาเมื่อนึกได้ว่าตนเองมาจากอีกฝั่งของขบวนรถ
“สงสัยน้องคงเมารถไฟเหมือนกัน” อัจจิมากล่าวยิ้ม ๆ แต่คนฟังกลับมิได้มีอารมณ์ขันร่วมไปกับเธอ
“เดินไหวหรือเปล่า” บรรณภัทรถามด้วยความเป็นห่วง มองคนที่กำลังหมุนตัวกลับ ได้ยินอีกฝ่ายตอบ “ว...ไหวครับ” จึงพยักหน้าวางใจแล้วคุยกับเพื่อนต่อ
แม้ภควัตพาร่างโงนเงนเดินกลับมานั่งที่ของตนได้แล้ว แต่ใจเจ้ากรรมดูเหมือนจะยังไม่กลับคืนมาด้วย ตาคมใต้แผงคิ้วหนาทอดมองไปยังท้ายตู้รถไฟ เห็นสองสาวเดินประคองกันโดยมีคนตัวสูงคอยตามไม่ห่าง และเมื่อทั้งสามลับตาไปชายหนุ่มก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือความมืดมิด มีเพียงเงาของยอดไม้ที่ทำให้รู้ได้ว่าเจ้าม้าเหล็กขบวนยาวนี้กำลังเคลื่อนไปบนเนินเขา ในความรู้สึกนึกคิดกลับสว่างไสวปรากฏเป็นใบหน้าของใครบางคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อสักครู่ ภควัตอมยิ้มบางเบาเอียงศีรษะพิงขอบหน้าต่าง เมื่อหนังตาเริ่มหนักเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
รถไฟขวบนพิเศษเคลื่อนพ้นสถานีลำพูนเมื่อฟ้าสาง หนุ่มสาวนักศึกษาใหม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น หลายคนพากันเกาะขอบหน้าต่างยามเจ้าม้าเหล็กค่อย ๆ แหวกสายหมอก ผ่านท้องทุ่งกระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ สองข้างทางรายรอบด้วยตึกรามบ้านช่อง เสียงรุ่นพี่เตือนรุ่นน้องให้ตรวจสอบสัมภาระท่ามกลางเสียงรัวกลอง เสียงร้องเพลง และเสียงระฆังตีให้สัญญาณรถเข้าสถานี เมื่อ
เข็มนาฬิกาบอกเวลาหกนาฬิกายี่สิบนาทีรถไฟก็จอดเทียบชานชาลาสถานีเชียงใหม่เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจพิเศษนี้
ความง่วงเหงาหาวนอนถูกสลัดทิ้งทันทีที่รถจอดสนิท ที่ขอบชานชาลาด้านล่างนั้นเต็มไปด้วยนักศึกษาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ต่างสวมใส่เสื้อผ้าหลากสีสัน แบ่งแยกชัดเจนว่ามาจากคณะหรือสาขาใดกันบ้าง เสียงกลองกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณสถานี หลังซักซ้อมทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย บรรดาน้องใหม่ก็ทยอยลงจากขบวนรถ แยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ ที่มีรุ่นพี่รออยู่ จากนั้นจึงนั่งรถที่มหาวิทยาลัยจัดให้เพื่อร่วมกิจกรรมรับน้องใหม่ที่จัดอย่างอบอุ่นบริเวณศาลาธรรมซึ่งเป็นหอประวัติมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า นอกจากการรับน้องรถไฟยังมีพิธีรับน้องขึ้นดอยซึ่งจะจัดขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ระหว่างนี้น้องใหม่จะได้มีเวลาทำความรู้จักกัน ได้เริ่มต้นชีวิตการเป็นนักศึกษาและได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปร่วมกันภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้
.....
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจยังต้องใช้เวลาปรับตัวทำความคุ้นเคยกับการเรียน อาหารการกิน และภาษาถิ่นที่ต่างไป แต่ในตอนนี้ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับแดดยามเที่ยงของเชียงใหม่เป็นอย่างดี ภัควัตจอดรถจักรยานยนต์ใต้ร่มไม้ กระชับสายเป้สะพายข้าง ใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยจนเกือบจะถึงปลายคาง ในยามที่เข็มนาฬิกาพบกันที่สิบสองนาฬิกาเช่นนี้ โรงอาหารริมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เป็นอีกที่หนึ่งที่คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา ความร้อนระอุของอุณหภูมิแตะสี่สิบองศาพาให้หลายคนไม่คิดขวนขวายออกไปหาร้านอาหารรอบนอก ลงจากอาคารเรียนได้ก็มุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้ไม่เว้นแม้แต่ตัวภควัตที่อยู่คณะไกลออกไป ทันทีที่ร่างสูงก้าวเข้าภายในอาคารชั้นเดียวนัยน์ตาสีเข้มก็กวาดมองไปทั่ว รอบ ๆ เป็นร้านขายอาหารซึ่งแบ่งเป็นล็อก ๆ พื้นที่ตรงกลางมีโต๊ะยาววางเรียงราย แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็แทบไม่เหลือที่ว่าง ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางมากดโทรออก รออยู่ไม่ถึงอึดใจอีกฝ่ายก็รับ
“ผมถึงแล้ว พี่อยู่ตรงไหน” พูดพลางเงี่ยหูฟัง เสียงที่ลอดจากปลายสายก็คือเสียงอื้ออึงเสียงเดียวกันกับที่เขาได้ยินอยู่ในขณะนี้ ภควัตชะเง้อมองมือที่โบกไหว ๆ ตอนนี้ไม่ได้สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ นิ้วหนากดตัดสาย หย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน เจ้าของร่างสูงหยุดค้อมศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวทักทายในคราวเดียวกัน “ไม่เจอนานเลยพี่”
“นั่งก่อน ๆ” คนผมยาวประบ่ากล่าว มือหนึ่งยังจับช้อน อีกมือตบโต๊ะถี่ ๆ หนุ่ม ๆ 3-4 คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งจึงเลื่อนจานข้าวพยายามขยับเบียดกันจนเหลือที่สำหรับให้อีกหนึ่งคนนั่ง
ภควัตยกมือไหว้ขอบคุณ ถอดเป้วางบนโต๊ะและนั่งลงตรงที่ถูกเว้นไว้
“ไม่คิดว่าดาวโรงเรียนจะมาไกลถึงนี่” ว่าแล้วหนุ่มผมยาวก็เสยผมขึ้น เผยให้เห็นหน้าผากกว้างที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“พี่ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
“ช้างเผือกมันก็ต้องอยู่ในป่าสิวะ” คนอายุมากกว่าพูดกลั้วหัวเราะ ยกแก้วสแตนเลสขึ้น แล้วดูดน้ำแก้เผ็ด
“เอาเรื่องจริงพี่ตอง”
“เออ ๆ ของกูน่ะเขาเรียกว่าไม่มีทางเลือก แต่มึงนี่สิ บ้านก็รวย เรียนสายนิเทศทั้งที ทำไมไม่เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ”
“ถ้าเรียนเอกชนก็ต้องอยู่บ้านสิพี่”
“เบื่อบ้านว่างั้น”
คนถูกถามไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้า
“แล้วพี่ล่ะ ไม่คิดจะซิ่วเหรอ”
“ไม่แล้ว เสียเวลา ที่นี่ก็โอเคดี วิศวะเรียนที่ไหนก็เหมือน ๆ กันแหละ”
“ง่ายเหมือนกันหมด”
“ง่ายพ่อมึงสิไอ้ป้อน ยากฉิบหาย สอบกลางภาคทีไรกูผจญภัยใต้มีนทุกที”
เอ้าเหรอ” ภควัตหัวเราะ
“อือ กูขี้เกียจโดนรับน้องแล้วด้วย ปวดหลัง กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยจะดี” มือตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวไปได้หน่อยจึงกล่าว “ไปซื้อข้าวเสียก่อนแล้วค่อยมานั่งคุยกันต่อ”
ภควัตได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้น เดินปะปนไปกับหนุ่มสาวในชุดนักศึกษา ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกับบะหมี่เกี๊ยวชามโต ชายหนุ่มวางชามบะหมี่ แล้วดึงขวดน้ำที่เหน็บไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังวางบนโต๊ะก่อนจะนั่งลง
“เอ้อ ว่าจะถาม คณะพี่อยู่ตั้งไกล ทำไมมากินข้าวโรงอาหารคณะมนุษย์”
คนฟังชะงัก กลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ “ก็...”
“บอกน้องไปสิว่ามึงมาส่องหญิง” หนุ่มหัวเกรียนสวมเสื้อช็อปที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้น
ภควัตละสายตาจากคนพูดหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“อ...อะ เออ” ตระการยอมรับไม่เต็มปาก
“เรื่องจีบหญิงขอให้ไว้ใจตอง” คนเดิมเสริม “ฉายาตองร้อยเกียร์ไม่ใช่จะได้มาง่าย ๆ”
“ฉายาอะไรพี่ ตองร้อยเกียร์”
“มึงไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกว่าให้เกียร์กับใครเท่ากับให้ใจกับคนนั้น ไอ้ตองมันสั่งก๊อบเกียร์ไว้เป็นร้อย” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในสุดโพล่งขึ้น
“มึงก็ว่าไป ทำน้องมันเข้าใจกูผิดหมด เกียร์มันมีอยู่อันเดียว ได้มาก็ลำบาก จะเอาไปแจกใครวะ”
“มึงถึงก๊อบไง”
“เออใช่ ถุย!” ตระการใช้ช้อนชี้หน้าทีละคน “พอเลยพวกมึง ทำกูเสียภาพพจน์”
เห็นทุกคนหัวเราะ ภควัตก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย
“เฮ้ย ๆ นั่นไอ้หนอนแทะหนังสือเพื่อนไอ้บูมนี่หว่า” คนหนึ่งในกลุ่มก็เอ่ยขึ้น พร้อมกับบุ้ยปากไปยังชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเดินผ่านไป
เมื่อภควัตเงยหน้าขึ้นมองตาม จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาพบว่าคนที่ถูกพูดถึงก็คือคนที่เขาพยายามตามหามาเกือบสัปดาห์ แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนที่นักศึกษานิยมไปกัน ก็ไม่เคยได้พบเขาคนนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“พี่รู้จักด้วยเหรอ”
“รู้จักสิ แม่งหวงก้างฉิบ”
“เขาจีบผู้หญิงคนเดียวกับพี่เหรอ”
“เปล่า แต่มันเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่ก็กำลังจีบ กันท่ากูตลอด”
“แล้วเขามีแฟนหรือยัง” ปากถามแต่ตายังคงมองไปยังคงมองตามร่างสูงที่กำลังต่อคิวซื้ออาหาร
“อืม...ไม่แน่ใจว่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเห็นมันเดินกับออมแล้วก็ไอ้บูม”
“แล้วเขาเรียนคณะอะไร”
“เรียนเหมือนออม มนุษย์ เอกบรรณารักษ์”
“แล้ว...”
“ทำไมถามเยอะจังวะ”
“ก...ก็...”
เห็นภควัตมีท่าทีอึกอัก อีกฝ่ายจึงกล่าว “อย่าบอกนะว่าสนใจ” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
“ว่าไง”
“ก็น่ารักดี เคยบังเอิญเจอแถวโรงเรียนเก่า ไม่คิดว่าจะมาเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย”
“พรหมลิขิตชัด ๆ”
“ชื่อพี่บู๊ใช่ไหม”
ทั้งโต๊ะเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
“ใครบอกมึง”
“ก็พี่คนที่ใส่เสื้อช็อป” ภควัตกล่าวพลางมองไปยังทิศเดิม “คณะเดียวกับพวกพี่ใช่ไหม”
“อือ นั่นน่ะไอ้บูม คู่แข่งกูเอง” ว่าแล้วก็ยื่นหน้ามาใกล้ “ว่าแต่...คนที่เห็นเดินควงกันตอนกูอยู่ม.หกน่ะ เลิกแล้วเหรอ”
“เลิกไปตั้งนานจนมีคนใหม่แล้ว”
คนฝั่งตรงข้ามหดคอกลับ ยกน้ำขึ้นดูดพลางมองอย่างหมั่นไส้ “แล้วคนใหม่นี่ยังไง”
“เลิกแล้ว เรียนกันคนละที่เขาเลยขอเลิก”
ตระการพยักหน้า “ทำไมชีวิตคนหล่อมันถึงอาภัพอย่างนี้วะ”
“มึงพูดถึงน้องหรือมึงพูดถึงตัวเองวะไอ้ตอง” คนนั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“ทั้งกูทั้งมันนี่แหละ” ว่าแล้วก็หันไปรุ่นน้องโรงเรียนเก่า “แต่ไม่เป็นไร กูช่วยมึงเอง ถ้ามึงอยากรู้จักไอ้บู๊ เดี๋ยวกูทำให้รู้จัก รับรองว่ามึงจะได้รู้จักเป็นอย่างดีเลย”
ตระการยิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่ง...
“พี่ออมวดีใช่ไหมครับ”ชื่อนั้นทำเฉลิมรัฐที่มือหนึ่งตักข้าวใส่ปาก อีกมือจับโทรศัพท์เลื่อนหน้าจออ่านข้อความถึงกับชะงัก “เรียกซะเต็มยศเลยนะมึง” ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะหันขวับ เห็นคนนั่งข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นจึงมองไปทิศเดียวกับเธอ
เจ้าของคำถามคือชายหนุ่มในชุดนักศึกษา แขวนป้ายห้อยคอเป็นรูปนกพิราบมีข้อความ “ใครไม่ป้อน ผมป้อนเอง” ทำให้คาดเดาได้ทันทีว่าเขาน่าจะเป็นนักศึกษาใหม่คณะการสื่อสารมวลชน มือทั้งสองข้างถือแก้วใส่น้ำอัดลมสีเขียวและสีแดง ท่าทางสุภาพเรียบร้อยกับรอยยิ้มสดใสทำให้หญิงสาวไม่ลังเลที่จะตอบกลับอย่างเป็นมิตร
“พี่ชื่อออมจ้ะ”
“ครับ พี่ออม คือ...พี่ตองฝากมาให้ครับ” ว่าแล้วเขาก็ยื่นแก้วที่ข้างในมีน้ำหวานสีแดงให้
“เจอหน้ากันก็ถวายน้ำแดงซะแล้ว” เฉลิมรัฐพึมพำก่อนจะลงมือกินข้าวต่อ
ด้วยไม่อยากทำให้น้องใหม่ต้องเสียหน้า อัจจิมาจึงรับไว้ก่อนจะมองหาคนที่ส่งเขามา ในที่สุดเธอก็เห็นตระการนั่งยิ้มแฉ่งพร้อม
กับชูมือทำสัญลักษณ์ “I love you” ท่ามกลางกลุ่มหนุ่มคณะวิศวะที่พากันผิวปากวี้ดวิ้ว
หญิงสาวเบะปากใส่ก่อนจะหันกลับมาที่ชายหนุ่ม “ขอบใจนะจ๊ะ”
เห็นเพื่อนวางแก้วน้ำนั้นไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เฉลิมรัฐที่นั่งข้าง ๆ จึงดึงแก้วเข้าหาตัวแล้วยกขึ้นดูด
“ไม่เป็นไรครับ” พูดจบภควัตก็เลื่อนสายตาไปยังคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่อีกฝั่งของอัจจิมา เขาวางแก้วพลาสติกที่ใส่น้ำหวานสีเขียวลงบนโต๊ะแล้วกล่าว “ส่วนแก้วนี้ของผมเอง ให้พี่บู๊ครับ”
พรวด! คนที่กำลังดูดน้ำสำลัก รีบวางแก้วลงแล้วใช้หลังมือซับน้ำหวานที่เลอะเทอะรอบปาก
“ม...เมื่อกี้ ว...ว่าไงนะ” บรรณภัทรเงยหน้าขึ้นสบตา
“แก้วนี้ผมให้พี่ไงครับ พี่บู๊”
“ใครบอกคุณว่าผมชื่อบู๊”
“ก็...พี่ตอง” ภควัตกล่าว จากนั้นจึงหันไปมองคนที่ส่งเขามา แต่ตอนนี้หนุ่ม ๆ วิศวะกลับสลายตัวกันไปหมดแล้ว “แล้วก็พี่คนนี้” ชี้ไปที่เฉลิมรัฐที่กำลังรวบช้อน รีบลุกขึ้นคว้าเป้สะพายหลัง ดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า
“รอข้างนอกนะ สายเข้า บาย” หนุ่มวิศวะโบกมือพลางถอยกรูดแล้วรีบวิ่งออกไป
“ม...ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่ใช่จ้ะ พี่เขาชื่อ...” อัจจิมายังพูดไม่ทันจบ บรรณภัทรก็แทรกขึ้น
“ไปเถอะออม” กล่าวจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นคว้าสะพายเป้ คว้าหนังสือเดินนำ
แต่ภควัตยังไม่ละความพยายาม เขาถือแก้วน้ำกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปดักข้างหน้า
“เดี๋ยวสิครับ ตกลงพี่ไม่ได้ชื่อบู๊เหรอ”
“นั่นชื่อพ่อ”
คำตอบนั้นเล่นเอาภควัตหน้าเหลอ เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอก กำลังคิดว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร อีกฝ่ายก็เตรียมจะเดินหนีไปอีกทาง จนแล้วจนรอด เขาก็ตามไปขวางไว้ได้
“แล้วพี่ชื่ออะไรครับ” ว่าแล้วก็ยื่นแก้วน้ำให้ แต่บรรณภัทรไม่รับ
“หลีกไป ผมจะไปเรียน"
“เดี๋ยวสิครับ” ถ้าพี่ไม่บอกว่าพี่ชื่ออะไรแล้วผมจะเรียกถูกได้ยังไงครับ ไม่อย่างนั้นผมก็จะเรียกพี่บู๊นะ”
บรรณภัทรมุ่นคิ้ว หันซ้ายหันขวามองบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องที่นั่งอยู่รอบ ๆ เห็นหลายคนพากันอมยิ้มก็รู้สึกอายจนอยากจะหายไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุด
“อะ ไม่เป็นไร ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่พี่ต้องรับน้ำแก้วนี้ไว้ ถ้าพี่ไม่รับผมก็ไม่หลีก”
“อะไรของคุณ”
“รับไว้สิครับ ผมจะได้หลีกทางให้”
หนุ่มบรรณารักษ์ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นพร้อมประสานสายตาอีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็ยอมรับน้ำแก้วนั้นมาถือไว้
“เชิญคร้าบ” คนตัวสูงกว่าเบี่ยงตัวหลบแล้วผายมือ
เมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเปิดทาง บรรณภัทรก็ก้าวพรวด ๆ ทันที
ภควัตได้แต่ยืนอมยิ้ม มองตามหลังคนที่กำลังเดินออกไปนอกโรงอาหาร แม้อีกฝ่ายจะลับตาไปแล้ว แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวของเขายังคงอบอวลคลอเคลียปลายจมูก ชายหนุ่มเดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบเป้ขึ้นสะพายเฉียงก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารอย่างอารมณ์ดี
“บุ๋น รอออมด้วย”
บรรณภัทรหยุดเมื่อได้ยินเสียง หันกลับไปเห็นอัจจิมาวิ่งกระหืดกระหอบตามมาจึงยื่นแก้วน้ำให้
หญิงสาวรับมาดูดจนหมดไปเกือบครึ่งแล้วกล่าว “โกรธน้องเหรอ”
“เปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธ แต่หน้าตากลับแสดงออกชัดว่าตรงข้ามกับที่พูด
“อย่าไปโกรธน้องเลย น้องก็โดนแกล้งมาอีกที ตองกับบูมนั่นแหละตัวดี”
“เราไม่ได้โกรธหรอก”
“ดีแล้ว” พูดจบเธอก็ยื่นแก้วน้ำให้ “อะ กินน้ำไหม เขาอุตส่าห์ซื้อมาให้”
บรรณภัทรส่ายหัว กำลังจะเดินต่อก็เห็นหนุ่มรุ่นน้องที่เพิ่งแยกกันในโรงอาหารขี่รถจักรยานยนต์ผ่านไป
“ไปกันเถอะ” เขาหันมาพูดกับหญิงสาวก่อนจะพากันเดินไปยังโต๊ะนั่งประจำ
“นั่นไง ไอ้ตัวดี มานั่งอยู่นี่เอง” อัจจิมาเอ่ยก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเฉลิมรัฐ แล้วใช้หนังสือในมือฟาดเข้าที่ไหล่ของเขา
“อะไรของเธอเนี่ย” ชายหนุ่มโวยวายขณะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง
“กลับคณะไปได้แล้ว ไอ้ตัวสร้างเรื่อง”
“สร้างเรื่องอะไรกัน” หนุ่มวิศวะทำไขสือ
“ก็นายไปหลอกน้องคนนั้น จนน้องเข้าใจผิดเรื่องชื่อบุ๋นไง ยังจะทำเฉไฉอีก ดูสิบุ๋นโกรธใหญ่แล้ว”
“ไอ้บุ๋นมันไม่โกรธหรอก” ว่าแล้วก็หันไปกล่าวกับคนที่เพิ่งเดินมานั่ง “ใช่ไหมบุ๋น”
บรรณภัทรมิได้ตอบ หากแต่ถามกลับ “ไปรู้จักกันได้ยังไง”
“ไม่ได้รู้จักหรอก น้องมันมาถามชื่อนาย เราเลยบอกไป”
“บอกชื่อพ่อเนี่ยนะ” อัจจิมาตีซ้ำลงที่เดิม
“ก็ตอนนั้นเราปวดห้องน้ำนี่นา กำลังรีบเลยบอกผิด ๆ ถูก ๆ” เฉลิมรัฐยิ้มแห้ง
“ฝากไปบอกตองด้วยนะว่าคราวหน้าถ้าคิดแกล้งบุ๋นอีก เจอดีแน่ ขี้แกล้งกันแบบนี้ สาธุขอให้ลงวิชาเรียนไม่สำเร็จ”
คนฟังค้อนขวับให้สาวคณะมนุษย์ที่กำลังนั่งลง “อ๋อ...ที่แท้เพราะเธอนี่เองยัยออม เราถึงอดเรียนวิชาเลือกเสรีกับเพื่อนในคณะ”
“เอ้า เกี่ยวอะไรกันยะ”
“นี่นึกแช่งเราอยู่ตลอดเลยใช่ไหม รู้ละสิว่าเราอยากเรียนวิชานี้กับสาว IE เลยแช่งให้เราลงทะเบียนไม่ทัน”
“จะบ้าหรือไง”
“ต้องใช่แน่ ๆ”
“ไม่เกี่ยวเลย ตัวเองชักช้าเอง มัวแต่รอให้เพื่อนลงทะเบียนให้แล้วยังจะโทษคนอื่น ไปโทษเพื่อนโน่น เพื่อนกันท่าหรือเปล่า”
“เออว่ะ หรือจะจริง”
“แล้วทีนี้จะเอายังไง” บรรณภัทรถาม
“ปีนี้คงต้องลงเรียนกับปีหนึ่ง ไม่อยากปล่อยไว้ มีเวลาก็อยากเก็บหน่วยกิตให้หมด”
“สมน้ำหน้า” อัจจิมาว่าพลางดูดน้ำที่เหลือในแก้ว “ขอให้เวลาทำรายงาน ไม่มีน้อง ๆ รับเข้ากลุ่ม”
บรรณภัทรมองสองคนเถียงกันแล้วถอนใจเบา ๆ จู่ ๆ ในหัวก็นึกถึงชายหนุ่มเจ้าของแก้วพลาสติกที่บัดนี้มีน้ำหวานสีเขียวติดอยู่เพียงก้นแก้ว เขาเกลียดการรับน้องที่ก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวคนอื่นแบบนี้ที่สุด ไม่ควรมีใครคนไหนอาศัยความเป็นรุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้องทำอะไรก็ได้ เมื่อตอนที่เขาอยู่ชั้นปีที่หนึ่ง ก็มีใครไม่รู้โทรศัพท์มาอ้างว่าได้เบอร์โทรศัพท์มาจากรุ่นพี่ รุ่นพี่สั่งให้โทรมา โทรมาเกือบทุกวันจนเขารำคาญจึงตัดสินใจเปลี่ยนเบอร์ใหม่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดสืบหาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ปล่อยให้เป็นเรื่องน่ารำคาญที่ผ่านมาแล้วผ่านเลยไปก็เท่านั้น
.....
(มีต่อค่ะ)