ตอนที่ 6 คนแบบฉัน
เมื่อตื่นลืมตาขึ้นมาได้ไม่กี่วินาที ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีคนนอนหลับอยู่ข้างๆ ตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นสาวแปลกหน้าที่ผมเจอในผับ เพราะเมาทีไรผมก็มักจะติดมาด้วยแทบทุกครั้ง แต่พอมองคนที่นอนหันหลังให้ดีๆ ก็พบว่าไม่ใช่ผู้หญิงเสียแล้ว ผมสั้นขนาดนี้น่าจะเป็นผู้ชาย ก็ทำเอาผมถึงกับเบิกตาโพลง เพราะต่อให้เมาขนาดไหน ผมก็ไม่เคยพลาดถึงขนาดพาผู้ชายมานอนด้วย
แต่ก่อนที่ผมจะตกใจไปมากกว่านั้น คนที่นอนข้างๆ ก็พลิกตัวมาทางผม ม่อนนั่นเอง แทนที่จะกระโดดลงจากเตียงผมก็อยู่ต่อด้วยความโล่งใจ
เมื่อรู้ว่าเป็นใครผมก็ยิ้ม ก่อนเขยิบใบหน้าเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหลับตาพริ้ม พลางก็นึกสงสัยว่าม่อนมานอนอยู่ข้างๆ ผมได้ยังไง ไม่นานผมก็พอนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นหลังกลับจากบ้านเพชรเมื่อคืน ม่อนมาดูแลผมที่ห้องนั่นเอง เขาทำข้าวต้มให้ผมกิน แต่ไม่รู้อีท่าไหนถึงมาลงเอยที่เตียง
ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนนอนอยู่ข้างๆ ผม แต่สิ่งที่ต่างไปจากทุกครั้งคือความรู้สึก จะเป็นเพราะความผูกพันหรือเปล่าผมก็บอกไม่ได้ เอาเข้าจริงม่อนกับผมรู้จักกันแค่สี่ปีเอง แต่เป็นสี่ปีในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของชีวิต มันจึงเป็นความผูกพันที่ผมไม่เคยลืม
ผมนอนมองม่อนอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ม่อนเริ่มขยับตัว ไม่นานเขาก็ค่อยๆ ลืมตาแป๋ว ตอนแรกผมนึกว่าม่อนจะตกใจและรีบกลับห้อง แต่ไม่เลย เขาส่งยิ้มบางๆ ให้ผม หัวใจแห้งเหี่ยวก็พองโตเหมือนไม้ยืนต้นใกล้ตายได้รับน้ำฝน นานเหลือเกินที่ไม่เคยมีใครทำให้ผมรู้สึกแบบนี้
“ขอบคุณที่ช่วยดูแลพี่เมื่อคืนนะม่อน” ผมขอบคุณด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มระบายทั่ว
“กี่โมงแล้วครับเนี่ย” ม่อนถามด้วยเสียงที่ยังงัวเงีย
“เจ็ดโมงครึ่ง” ผมตอบ “วันนี้มีเรียนกี่โมงล่ะ”
ม่อนโงหัวมองไปที่นาฬิกาบนผนังห้องบ้าง “เก้าโมงครึ่งครับ”
“สักแปดโมงครึ่งค่อยไปละกันนะ เดี๋ยวพี่ออกไปด้วย จะไปเอารถน่ะ”
“ไม่ต้องไปหรอกครับ” ม่อนตะแคงตัวมาทางผม “พี่เพชรบอกว่าจะให้คนขับรถที่บ้านขับเอามาให้ตอนแปดโมงเช้า”
“อ๋อเหรอ” ผมพยักหน้ารับรู้ “ก็ดี จะได้ไม่ต้องไปเอง งั้นวันนี้…พี่ไปส่งม่อนที่มหาลัยได้ไหม พี่อยากไปส่งแฟนน่ะ” ผมทำเสียงอ้อนตอนท้าย เอามือไปจับแขนของม่อนและลูบไล้ไปมาเบาๆ
ม่อนถึงกับหัวเราะกิ๊ก จะว่าคล้ายผู้หญิงก็ไม่เชิง แต่ก็ดูน่ารักดีสำหรับผม
“หัวเราะทำไม ไม่อยากเป็นแฟนพี่เหรอ เพราะพี่แก่ล่ะสิ” ผมแสร้งทำเสียงน้อยใจ เพราะที่เมามายเมื่อคืนก็มาจากความน้อยใจเรื่องนี้แหละ
“โธ่พี่อาร์ต ผมอายุน้อยกว่าพี่อาร์ตแค่สองปีเองนะครับ ถ้าพี่อาร์ตแก่แล้วผมจะเหลือเหรอ”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เห็นโพสต์ขึ้นเฟสว่าชอบมีแฟนเด็ก”
“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังละกัน” ม่อนทำสีหน้าจริงจังเล็กน้อย จากนั้นก็เล่าสืบไป “พอดีวันนั้นโจนาธานกับตาลถามผมว่าทำไมผมยังไม่มีแฟน ผมก็เลยเล่าชีวิตความรักของตัวเองให้สองคนนั้นฟัง พอฟังแล้วเขาก็เห็นใจผมไง เพราะมีแฟนกี่คน…ก็หนีไปกับผู้หญิงหมด คุยไปคุยมามันก็กลายเป็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ตาลเขาก็เลยมีไอเดียอยากจะส่งเสริมเรื่องนี้ ก็เลยท้าให้ผมกับโจนาธานโพสต์ว่าเป็นแฟนกันในเฟส เขาอยากดูว่าเพื่อนๆ ในคลาสของพวกเรามองเรื่องนี้ยังไง จากนั้นก็ค่อยเฉลยว่าโพสต์เล่นๆ เรียนกับเด็กๆ ผมก็ต้องปรับตัวเข้ากับพวกเขาไงพี่ ก็เลยยอมเล่น แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรหรอก อีกวันสองวันผมก็จะเฉลยแล้วว่าเป็นเรื่องล้อเล่น”
“แล้วโจนาธานล่ะ เขามีแฟนหรือยัง” แม้จะหายคาใจไปมาก แต่ผมก็ยังระแวงเพื่อนรุ่นน้องของม่อนอยู่
“เขาบอกว่ายังไม่มี แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคุยๆ กับใครไว้บ้างหรือเปล่า พี่อาร์ตหึงเหรอ” ม่อนถามตรงๆ ตอนท้าย
ผมพยายามคิดทบทวนว่าตัวเองหึงม่อนหรือเปล่า แต่ก็น่าจะเป็นแบบนั้น “หึงสิ ก็ม่อนเป็นแฟนพี่แล้วนี่ อีกอย่างไอ้หมอนั่นน่ะ มันชอบมองม่อนแปลกๆ พี่เดาว่ามันน่าจะชอบม่อน ม่อนไม่รู้สึกเหรอ”
ม่อนทำท่าคิด “ยังไม่รู้่สึกขนาดนั้นน่ะครับ แต่ถึงเขาจะชอบผม ผมก็คงไม่ชอบเขาง่ายๆ หรอก มันยากมากนะพี่อาร์ตที่จะหาผู้ชายที่รักกันจริง ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มัน…”
อยู่ๆ ม่อนก็หยุดพูด คล้ายกับนึกได้ว่าตัวเองไม่ควรพูดเรื่องนี้ กระนั้น เจ้าตัวก็พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาบ้างแล้ว แสดงว่าม่อนเจ็บกับรักที่ผ่านมาไม่น้อย จนผมชักอยากรู้เรื่องที่ผ่านมาของม่อนให้มากกว่านี้ ที่จริงเขาก็เล่าให้ผมฟังบ้าง แต่ไม่ลึก ฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาและไม่สำคัญอะไรนัก คนที่น่าจะพอเล่าให้ผมฟังได้ก็คงเป็นเมี่ยง
เมื่อม่อนไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น ผมก็เลยเปลี่ยนเรื่อง “พี่โคตรมีความสุขเลยเวลาตื่นมาแล้วมีคนอยู่ข้างๆ”
“จริงเร้อ” ม่อนทำหน้าไม่เชื่อ “ผมว่าพี่อาร์ตมีสาวๆ มานอนข้างๆ ทุกวันอยู่แล้วนี่”
“บ้าเหรอ ไม่ทุกวันหรอก พี่ไม่ได้หื่นขนาดนั้น พี่อายุสามสิบแปดแล้ว ไม่ใช่สิบแปด” ผมขำเบาๆ เมื่อหยุดขำก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “มันไม่เหมือนกันหรอกม่อน เพราะคนที่พี่อยากตื่นมาเจอมากที่สุดก็คือคนที่พี่รัก แต่หลายปีที่ผ่านมา พี่ไม่เคยมีความรู้สึกนี้เลย ถ้าพี่ไม่เจอม่อน พี่ก็คงไม่รู้ตัวเองหรอกว่าด้านชากับความรักมากขนาดไหน พูดตรงๆ มันก็มีแต่เรื่องอย่างว่านั่นแหละ แต่สำหรับม่อน…มันมากกว่านั้น”
ม่อนพยักหน้ารับรู้ช้าๆ ดูเหมือนเออออห่อหมก แต่ดูอีกทีก็เหมือนกลั้นหัวเราะมากกว่า
“พี่ดีใจมากนะที่ได้เจอม่อนอีก ที่พี่ไม่เคยรักใครเลยก็น่าจะเป็นเพราะว่า…พี่รอเจอคนแบบม่อนนี่แหละ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้กลับมาเจอกัน พี่ก็รู้เลยว่า…นี่แหละ…คนที่พี่รอคอย”
แทนที่ม่อนจะซึ้ง เจ้าตัวกลับทำท่าเหมือนกำลังจะขำ ผมก็เลยสงสัย “คิดว่าพี่ท่องบทละครอยู่เหรอ”
“เปล่าพี่” ม่อนรีบแก้ตัว ในที่สุดก็กลั้นหัวเราะไม่ได้ ม่อนจึงขำเบาๆ “ผมแค่รู้สึกว่า…พี่อาร์ตทำตัวเหมือนหนุ่มน้อยที่เพิ่งมีความรักเลย”
เมื่อเข้าใจที่มาที่ไปแล้วผมก็ขำบ้าง นอกจากละครแล้ว ในชีวิตจริงผมแทบไม่เคยพูดอะไรแบบนี้หรอก เคยคลั่งรักแค่ครั้งเดียวตอนอยู่ไต้หวันนั่นแหละ แต่ผมก็รู้ดีว่าส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเหงา เพราะตอนนั้นผมไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ขาดที่พึ่งทางใจ จึงหลงสาวคนนั้นอย่างหนัก กระทั่งเลยเถิดถึงขั้นมีลูกมีเต้าด้วยกัน
“ก็ม่อนนั่นแหละทำให้พี่รู้สึกเหมือนอายุสิบแปดอีกครั้งหนึ่ง” ผมยิ้ม คราวนี้ผมอาจจะต้องเลิกพูดเรื่องแฟนไปชั่วคราวก่อน แม้ว่าความสัมพันธ์ทางกายจะเลยเถิด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าม่อนยังไม่พร้อมจะไปถึงขั้นนั้น กระนั้นก็รู้สึกได้ว่าท่าทางหวาดระแวงของม่อนหายไปมากแล้ว ผมรู้จากประสบการณ์ทันทีว่าเขากำลังเปิดใจให้ผม
“ม่อนจำได้ไหมว่าเราสนิทกันได้ยังไง” ผมเปลี่ยนเรื่องและทำท่านึกไปด้วย “พี่จำได้แค่ว่าเกี่ยวกับเมี่ยงนี่แหละ แต่จำไม่ได้ว่าเมี่ยงทำยังไงเราถึงสนิทกัน”
“จำได้” ม่อนลากเสียงยาวเล็กน้อย “ตอนกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่นั่นแหละครับ พี่อาร์ตจำได้ไหมว่าผมกับพี่อาร์ตไปดูฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศด้วยกัน”
ผมทำท่านึกอยู่นานก็พยักหน้า “อ๋อ ใช่คู่ไทยกับเวียดนามไหม ไทยชนะสามศูนย์หรือไงนี่แหละ”
“ใช่ครับ” ม่อนพยักหน้า
“แล้วทำไมพี่กับม่อนถึงได้ไปดูด้วยกันล่ะ” ผมพยายามนึกแต่ก็จำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“พี่เมี่ยงเขาพาผมไปดูไม่ได้ไง รอบชิงมันเล่นตอนสองทุ่ม กว่าจะแข่งเสร็จก็สี่ทุ่ม แต่ผมอยากดูมาก ไอ้ดั๊กกับไอ้วิทย์มันซื้อบัตรไม่ทัน ก็เลยไม่ได้ไป ผมก็เลยไม่มีเพื่อน”
พอฟังม่อนเล่ามาถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มจะนึกออก “อ้อ พี่จำได้ละ เมี่ยงเขาก็เลยโทรไปหาพี่ บอกให้พี่ไปดูบอลรอบชิงเป็นเพื่อนม่อน…ใช่ไหม” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าใช่ เพราะเมี่ยงรักน้องชายมาก เจ้าตัวต้องพยายามสุดชีวิตให้ม่อนไปดูบอลให้ได้
ตอนนั้นผมเกรงใจเมี่ยงมาก เพราะเมี่ยงช่วยติววิทย์-คณิตให้ผม ถ้าไม่ได้เขา ผมคงเรียนสายวิทย์ไม่รอดหรอก แต่ก็เฉียดฉิวทุกครั้ง เกรดออกทีไรป๊าด่าไปสามวันทุกที แถมยังชอบเอาผมไปเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่เรียนเก่งกว่าด้วย
“ถูกต้องแล้วครับ” ม่อนหน้าทะเล้นเหมือนเด็ก “พี่อาร์ตก็เลยมารับผมที่บ้าน พาผมไปซื้อบัตร คนเยอะมาก ต่อแถวกันยาวเหยียดเลย ยาวจนแทบจะถึงทางเข้า”
“ใช่ๆ พี่จำตอนต่อแถวยาวๆ ได้ แล้วก็จำได้ด้วยว่าเมี่ยงน่ะกำชับพี่ให้ดูแลม่อนดีๆ วันนั้น…พี่ก็น่าจะดูแลม่อนดีใช่ไหม”
“ดีสุดๆ เลยพี่” ม่อนตอบพลางยิ้ม “คิดดูนะ พาผมไปซื้อบัตรดูบอลรอบชิงเสร็จ พี่ก็พาผมเดินเที่ยวทั่วงานตั้งแต่เช้ายันเย็นเลย ตอนกลับ พี่อาร์ตจำได้ไหมว่าผมไปนอนที่บ้านพี่อาร์ตด้วย”
ผมส่ายหน้า แต่กระนั้นก็พอจะเดาได้ว่าทำไม “อันนี้พี่จำไม่ได้ว่ะ แต่พี่ก็พอเดาได้ว่าทำไมม่อนถึงไปนอนบ้านพี่ เพราะบ้านม่อนอยู่โคตรไกลจากสนามเจ็ดร้อยปี บ้านพี่ใกล้กว่า อีกอย่างมันก็ดึก เมี่ยงเขาก็เลยให้นอนค้างบ้านพี่ พี่เดาถูกใช่ไหม”
“ถูกต้องครับ” ม่อนตอบพลางขำ “แล้วพี่อาร์ตจำได้ไหมว่าตอนผมนั่งซ้อนท้ายมอไซค์พี่กลับบ้านน่ะ เกิดอะไรขึ้น”
ผมส่ายหน้าเร็วๆ และยิ้มแหยๆ ม่อนจึงเฉลย
“ผมหนาวจนตัวสั่นเลยเพราะลมมันตี”
“แล้วยังไงต่อ พี่บอกให้ม่อนกอดเอวพี่หรือเปล่า” ผมเดาอีกตามเคย แต่ก็คิดว่าน่าจะเดาถูก
“ใช่” ม่อนหัวเราะ “แปลกนะ พี่อาร์ตจำไม่ได้ แต่พี่ก็เดาได้เยอะเลย”
“พี่ว่าพี่ก็ต้องทำอย่างนั้นแหละ ถ้าม่อนหนาว พี่ก็ต้องให้ม่อนกอดเอวอยู่แล้ว เพราะถ้าเมี่ยงรู้ว่าพี่ดูแลน้องชายเขาไม่ดี พี่แย่เลยนะ พี่ไม่เสี่ยงแน่นอน” ผมขำเบาๆ
“พี่อาร์ตเชื่อไหมว่าตอนนั้นน่ะ ผมคิดว่าพี่อาร์ตกับพี่เมี่ยงเป็นแฟนกันซะอีก” ม่อนเขยิบหมอนเข้ามาใกล้ผม
“ใช่ที่ไหน” ผมรีบปฏิเสธ “พี่ไม่ใช่สเปคเมี่ยงเลย เขาไม่ชอบพี่หรอก แต่ก็มีคนแซวเยอะนะตอนนั้น” ผมยิ้มสุขใจเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ก่อนย้อนกลับมาถามเรื่องที่คุยค้างไว้ “ตกลงม่อนไปนอนค้างที่บ้านพี่ใช่ไหม”
“ครับ ไปนอนคืนหนึ่ง ตื่นเช้ามาผมก็ได้กินข้าวต้มแบบที่พี่อาร์ตชอบกินตอนเช้านั่นแหละ ตอนสายๆ พี่อาร์ตก็ขี่มอไซค์ไปส่งผมที่บ้าน ตั้งแต่นั้นมา ผมกับพี่ก็เลยสนิทกัน”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ในที่สุดผมก็จำได้เสียทีว่าทำไมเราสองคนถึงได้สนิทกัน
“ทำไมม่อนจำได้เยอะขนาดนี้ล่ะ” ผมทำหน้าอยากรู้
ม่อนคิดไม่นานก็ตอบมาตรงๆ “ก็พี่อาร์ตเป็นรักแรกของผมไง ผมก็ต้องจำได้อยู่แล้วว่าเจอกันยังไง สนิทกันยังไง”
“พี่เป็นรักแรกของม่อนเลยเหรอ” ผมทำหน้าไม่แน่ใจ กระนั้นก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อย
“ครับ พี่อาร์ตเป็นรักแรกของผม เป็นรักแรกที่ผมจำฝังใจไปหลายปีเลย” พอพูดถึงตรงนี้ม่อนก็หยุด คล้ายกับนึกได้ว่าตัวเองไม่ควรพูด นี่คงเป็นอีกเรื่องที่เจ้าตัวไม่อยากพูดให้ผมฟัง
“ม่อนเสียใจเพราะพี่นานเลยใช่ไหม” ผมถามด้วยน้ำเสียงเห็นใจ
ม่อนดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเจ้าตัวก็ยอมตอบอ้อมๆ แอ้มๆ “ก็หลายปีอยู่ครับ แต่พี่อาร์ตไม่ต้องคิดมากหรอก มันไม่มีอะไรแล้ว”
จริงอย่างที่ผมคิด ม่อนไม่อยากเล่าเหตุการณ์ตอนนั้น จึงตัดบทด้วยการบอกว่าไม่สำคัญ แม้ว่าผมไม่อยากจะเซ้าซี้ แต่ด้วยความอยากรู้ ก็เลยว่าจะลองถามอ้อมๆ ดู
“ตอนนั้น…มีเพลงอะไรไหมที่ม่อนชอบฟังเวลาคิดถึงพี่” ผมรู้ว่าม่อนชอบฟังเพลง ถ้ารู้ว่าเขาฟังเพลงอะไรตอนนั้น ผมก็น่าจะพอเดาๆ ได้ว่าเขาคิดถึงผมมากแค่ไหน
“หมายถึงตอนที่พี่อาร์ตไปเรียนไต้หวันเหรอครับ” ม่อนทำท่าไม่แน่ใจ ผมจึงพยักหน้า
“ใช่ ตอนนั้นแหละ”
“ผมขอไม่ตอบได้ไหมพี่” ม่อนต่อรอง สีหน้าดูวิงวอนในที
ผมทำหน้าเกรงใจ กระนั้นก็ตอดนิดตอดหน่อย “ไม่ตอบก็ได้ แต่ว่า…ใบ้ให้หน่อยได้ไหม”
ม่อนทำท่าคิดไม่นานก็ตกลง “ผมว่าพี่อาร์ตคงไม่รู้จักเพลงสองเพลงนี้หรอก มันไม่ค่อยดังเท่าไหร่ เป็นของนักร้องคนเดียวกัน แต่เนื้อหาคล้ายๆ กัน พูดถึงความเป็นห่วง เพลงแรกเกี่ยวข้องกับนักแสดงวัยรุ่นคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปตอนนั้น ส่วนอีกเพลงออกมาทีหลัง จังหวะกลางๆ อินโทรด้วยเสียงกีตาร์”
“ฉันยังอยู่ อิงค์ อชิตะ” ผมรีบทายทันที เพราะเพลงนี้อินโทรด้วยกีตาร์ ทว่าม่อนก็ปฏิเสธทันควัน
“โหพี่ เพลงนั้นดังจะตาย ไม่ใช่ครับ”
“อ้าวเหรอ” ผมทำหน้าผิดหวัง แต่ก็รู้ดีว่าให้นึกตอนนี้ก็คงนึกไม่ออก เอาเถอะ สักวันผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าสองเพลงนั้นคือเพลงอะไร เพลงของใคร “งั้นเอางี้ดีกว่า เรามาสัญญากันดีไหม”
“สัญญาอะไรเหรอครับ” ม่อนมุ่นคิ้ว ท่าทางระแวดระวังเริ่มฉายขึ้นในหน้า
“ก็สัญญาว่า…” ผมยิ้มกริ่ม จ้องหน้าม่อนค้างไว้สักพักจนเจ้าตัวรู้สึกเขิน
“พี่อาร์ตจะให้ผมสัญญาอะไร” ม่อนระแวงหนักขึ้น
ผมมองม่อนนิ่งค้าง สักพักก็ยิ้มอีก คราวนี้ทีผมบ้างล่ะ
“เอางี้ ถ้าพี่รู้ว่าสองเพลงนั้นเป็นเพลงอะไร…ของใคร ม่อนเป็นแฟนพี่นะ ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข”
ม่อนถึงกับนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีจนผมต้องย้ำอีกรอบ เพราะกลัวเขาจะไม่เข้าใจ
“ม่อนตกลงหรือเปล่า ถ้าพี่รู้ว่าสองเพลงนั้นเป็นเพลงอะไร ม่อนจะเป็นแฟนกับพี่”
ม่อนดูหนักใจไม่น้อย แต่เมื่อโดนต้อนจนมุม เจ้าตัวก็เลยไม่รู้จะหลบหลีกยังไง กระนั้นเจ้าตัวก็มั่นใจมากว่าผมไม่น่าตอบถูก
“ก็ได้ พี่อาร์ตตอบให้ได้ก็แล้วกัน ผมไม่ใบ้อีกแล้วนะ ครั้งนี้ครั้งเดียว ห้ามถามอีก”
“โอเค วันไหนพี่ได้คำตอบ พี่จะเอามาเปิดให้ม่อนฟังทันทีเลย ตกลงตามนี้นะ” ผมย้ำด้วยสีหน้าดูมุ่งมั่น
ม่อนพยักหน้าและหัวเราะเบาๆ ผมจึงคว้าร่างที่น่าทะนุถนอมมากอดอย่างรักใคร่ เพราะอดใจในความน่ารักของเจ้าตัวไม่ไหว แถมยังหอมแก้มเบาๆ อีกด้วย ม่อนก็ไม่ขัดขืนใดๆ ไม่มีท่าทางระวังตัว ไม่มีระยะห่าง
ม่อนซุกหน้าลงกับอกผม แม้ท่าทางจะดูยินยอม แต่เจ้าตัวก็ไม่วายย้ำเตือนเรื่องเดิม “พี่อาร์ตจะชอบผมก็คิดให้ดีๆ นะพี่ ผมน่ะจนก็จน เป็นแค่คนธรรมดา ชอบงานเอ็นจีโอ คนละแวดวงกับพี่เลย แถมยังเป็นผู้ชายอีก ไม่สาว ไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่น่ารัก ไม่น่ามอง ไม่อ่อนหวาน”
“ใครว่าม่อนไม่น่ารัก ม่อนน่ารักจะตาย”
ผมก้มลงดมผมหอมๆ ม่อนเงยหน้าขึ้นมาดู ผมก็เลยจุ๊บหน้าผากเขาเบาๆ
“แล้วพี่อาร์ตไม่กลัวคนในวงการรู้เหรอ” ม่อนเงยหน้ามาถามอย่างไม่มั่นใจ
“พี่ไม่ได้คิดจะเป็นนักแสดงจนตายหรอก อายุสี่สิบพี่ก็จะเฟดตัวไปทำอย่างอื่นแล้ว ถึงตอนนั้นเขาคงไม่สนใจพี่แล้วล่ะ อีกอย่างสังคมสมัยนี้เขาก็น่าจะรับได้แล้วนะ” พลันผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เอางี้ วันแถลงข่าวเปิดตัวละครเรื่องใหม่ของพี่ พี่จะเซอร์ไพรส์คนทั้งวงการเลย”
ม่อนมุ่นคิ้วและทำหน้าเหวอๆ “พี่จะเปิดตัวผมเหรอ”
“ยัง” ผมรีบบอกและขำเบาๆ “เอาไว้ม่อนรอฟังก็แล้วกัน แต่สบายใจได้ว่าพี่ยังไม่เปิดตัวม่อนหรอก พี่รู้ว่าม่อนยังไม่พร้อม แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน”
ม่อนยิ้มแหยๆ บ่งบอกถึงความไม่มั่นใจ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก ม่อนมีสิทธิ์ที่จะไม่มั่นใจ ผมรอได้
ผมก้มลงจุ๊บหน้าผากม่อนเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นก็ร้องเพลงเพลงหนึ่งให้เขาฟัง
“บอกว่าตัวฉัน…ก็คือฉัน และแบบนั้นที่ถูกใจเธอ บอกว่าตัวฉัน ก็คือฉัน ที่เธอฝันและอยากจะค้นเจอ รักอยู่อย่างไร ฮืม ก็เหมือนเดิม”ม่อนหัวเราะกิ๊กชอบใจ ไม่รู้ว่าขำเสียงผมหรืออะไรกันแน่ “พี่อาร์ตจำเพลงนี้ได้ด้วยเหรอ”
“จำได้สิ เพลงนี้ออกมาหลังกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ ปลายปี 2538 ต้นปี 2539 ดังจะตาย ใครเกิดทันยุคนั้นก็รู้จักอยู่แล้ว”
“อ๋อ”
ม่อนลากเสียงยาว จากนั้นก็ซุกหน้าลงกับอ้อมอกผมตามเดิม ผมจึงกอดเขาแน่นขึ้นและยิ้มพอใจ
ความรักครั้งนี้ของผมตรงใจและพิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะมันเป็นรักเก่าจากคนที่เคยผูกพันกันมา แถมยังมาพร้อมกับบรรยากาศเพลงยุค 90 ที่เราเติบโตและใช้ชีวิตช่วงนั้นด้วยกัน มันใช่เลย
… … …
หลังจากส่งม่อนที่มหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็แวะไปคุยธุระกับผู้ใหญ่ที่ช่องเรื่องประมูลภาพเอาเงินไปทำบุญ คุยเสร็จก็ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน
ราวบ่ายสามผมกลับบ้านมาวาดรูปต่อ ที่จริงก็เสร็จหมดแล้วล่ะ แต่ผมแค่อยากเก็บรายละเอียดอีกเล็กน้อย ทว่าก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าถึงพอใจ ใกล้จะห้าโมงพอดี ผมจึงหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเมี่ยง เพราะเธอบอกผมเองว่าจะว่างช่วงประมาณห้าโมงเย็น
“อ้าวอาร์ต เป็นไงบ้าง เมื่อไหร่จะเปิดตัวละครเรื่องใหม่ล่ะ เรารอดูอยู่” เมี่ยงทักผมมาด้วยเสียงสดใส แต่ก็ใสน้อยกว่าเสียงวัยมัธยมที่ผมเคยได้ยินไปมาก
“อีกสองอาทิตย์ ตอนนี้เขาเร่งตัดอยู่ เมี่ยงยังอยู่ที่โรงบาลหรือเปล่า”
“ใช่ แต่ว่าตอนนี้คุยได้ แป๊บหนึ่งน่ะ เดี๋ยวเราไปหาที่เงียบๆ ก่อน ตรงนี้มันเสียงดัง”
ผมได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของเมี่ยงเดินเร็วๆ ไปที่ไหนสักแห่ง จนกระทั่งเสียงคนคุยกันเซ็งแซ่หายไป เจ้าตัวก็ชวนคุยต่อ
“วันนี้ม่อนไปเรียนไหม”
“ไป น่าจะกลับเย็นหน่อย เพื่อนเขาชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”
“อ๋อ” เมี่ยงลากเสียง “ขอบคุณอาร์ตมากเลยนะที่ช่วยดูแลม่อนให้ พอเขาไปอยู่กับอาร์ตเราก็เบาใจไปเยอะเลย”
“ไม่เป็นไร เราเต็มใจอยู่แล้ว เมี่ยงไม่ต้องห่วงเลย เรารู้ว่าเมี่ยงรักน้องชาย เราจะดูแลม่อนให้อย่างดีที่สุด บุญคุณของเมี่ยงน่ะ เราไม่เคยลืมเลยหรอก”
“นี่ยังจำได้อีกเหรอ” เมี่ยงหัวเราะกิ๊ก แล้วก็ถ่อมตัวปิดท้าย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”
“ไม่จริงเลย ถ้าไม่ได้เมี่ยงช่วยเนี่ย สงสัยจะเรียนไม่จบ” ผมเอ่ยเขินๆ จากนั้นก็ชวนเมี่ยงคุยสัพเพเหระอีกนิดหน่อย เมื่อสบจังหวะเหมาะก็เริ่มเข้าเรื่อง
“เออเมี่ยง ม่อนเขายังไม่มีแฟนใช่ไหม”
พอถูกถามเรื่องนี้ เมี่ยงก็เงียบไปหลายวินาที “อ้าว ม่อนไม่ได้เล่าให้ฟังเลยเหรอ”
“ก็เล่าบ้าง แต่เรารู้สึกว่า…เขาไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องนี้เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร” ผมแบ่งรับแบ่งสู้
เมี่ยงเงียบไปอีก สักพักก็ถอนหายใจ “เอางี้ ก่อนที่เราจะเล่าน่ะ เราขอถามอาร์ตเรื่องหนึ่งได้ไหม”
“ได้สิ ถามมาเลย” ผมยืนยันขณะที่เดินออกมาจากห้องวาดรูปของตัวเอง ก่อนตรงออกไปที่สระว่ายน้ำหลังบ้าน
“อาร์ตรู้ใช่ไหม…ว่าม่อนเขาเป็นแบบไหน” เมี่ยงถามมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก
“รู้ รู้ตั้งนานแล้ว” ผมบอกไปตามตรง
“นานแค่ไหนล่ะ” เมี่ยงถามมาทันที
“ก็ตั้งแต่มอห้ามอหกนั่นแหละ”
“รู้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ” เมี่ยงทำเสียงตกใจ
“ใช่” ผมนั่งลงกับเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างสระน้ำ เขยิบตัวให้เข้าที่เข้าทาง
“แล้ว…อาร์ตรังเกียจม่อนหรือเปล่า” เมี่ยงยังคงถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจอย่างเดิม
ผมครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบ “ยี่สิบปีที่แล้ว…ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ นิดหน่อยนะ แต่ตอนนี้สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก รับได้ เมี่ยงไม่ต้องกังวลหรอก”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” เมี่ยงทำเสียงโล่งใจ
“ม่อนเขาผิดหวังเรื่องความรักเยอะเลยใช่ไหมเมี่ยง” ผมถือโอกาสถามไปตรงๆ เพราะเห็นว่าเมี่ยงน่าจะหมดความกังวลเรื่องทัศนคติของผมไปแล้ว
เมี่ยงเงียบไปนานทีเดียวกว่าจะตอบ “ประมาณนั้นแหละ แล้ว…อาร์ตรู้ใช่ไหมว่าม่อนเขาเคย…เคยชอบอาร์ตมาก”
“อือ รู้ตั้งแต่สมัยเรียนนั่นแหละ” ผมระบุช่วงเวลาไปด้วย ไม่งั้นเมี่ยงจะถามอีกว่ารู้ตอนไหน
“เขารักอาร์ตมากเลยนะตอนนั้น” เมี่ยงรำพึง “ตอนอาร์ตไปเรียนไต้หวัน เขาซึมไปเป็นปีๆ เลย เราก็ไม่รู้ว่าเขาลืมอาร์ตได้ตอนไหนนะ แต่เขาไม่เคยมีแฟนเลยจนกระทั่งจบออกมาทำงาน”
“จริงเหรอเมี่ยง” ผมถามเสียงแหบพร่า ยิ่งได้รู้แบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะไม่คิดว่าม่อนจะฝังใจกับรักแรกนานขนาดนี้
“อืม แต่ก็ช่างมันเถอะ ที่เราเล่าให้ฟัง ไม่ใช่เราอยากจะว่าอะไรอาร์ตหรอก มันก็ผ่านมานานแล้ว ม่อนเขาไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
อยู่ๆ ผมอยากรู้เรื่องแฟนคนแรกของม่อนขึ้นมาเฉยๆ แทนที่จะพูดต่อจากเรื่องที่เมี่ยงเพิ่งพูดไป ผมก็เปลี่ยนมาถามเรื่องที่อยากรู้ทันที “เมี่ยงพอจะเล่าเรื่องแฟนคนแรกของม่อนให้เราฟังได้ไหม เราอยากรู้ว่าเขาคบกันนานแค่ไหน เขาเลิกกันเพราะอะไร”
ทว่าคำถามของผมก็ทำให้เมี่ยงสงสัย “ทำไมอาร์ตอยากรู้ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
ผมนั่งนิ่งและเม้มปาก ในใจก็คิดว่าควรจะบอกเมี่ยงไปตามตรงดีไหม ทว่าก็ตัดสินใจไม่ได้ จนเมี่ยงต้องถามซ้ำ
“อ้าวอาร์ต ทำไมเงียบไปล่ะ”
“อ๋อ คือ…” ผมมุ่นคิ้วเข้าหากัน แต่คราวนี้ผมคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้ “เราชอบม่อนน่ะเมี่ยง”
“อาร์ตพูดว่าอะไรนะ” เมี่ยงทำน้ำเสียงตกใจอย่างยิ่ง ก่อนถามซ้ำให้แน่ใจ “อาร์ตชอบม่อน ชอบแบบไหน”
“ก็ชอบแบบอยากเป็นแฟนกันไง” ผมบอกไปตรงๆ
“จะบ้าเหรออาร์ต ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย อาร์ตเป็นดาราดังขนาดนี้ จะมาชอบม่อนได้ยังไง ม่อนเป็นผู้ชายนะอาร์ต” เมี่ยงยังคงไม่เชื่อผมอยู่ดี ผมจึงต้องยืนยันหนักแน่น
“เราชอบม่อนจริงๆ นะเมี่ยง ไม่ใช่เพิ่งชอบ เราชอบเขาตั้งแต่อยู่มอหกแล้ว เมี่ยงดูไม่รู้เหรอ”
คราวนี้เมี่ยงเงียบไป ผมเดาว่าเมี่ยงคงเคยคิดสงสัยเรื่องนี้ในตอนนั้น
“ก็เคยสงสัยนั่นแหละ” เมี่ยงยอมรับตามตรงด้วยเสียงอ่อยๆ “แต่ว่า…อาร์ตคิดดีแล้วเหรอ แฟนคลับของอาร์ตเยอะมากนะ ถ้าเรื่องแดงขึ้นมา เขาจะรับกันได้ไหม”
“อย่าเพิ่งกังวลเรื่องนี้เลยเมี่ยง เรื่องนั้นเราจัดการเอง” ผมยืนยันหนักแน่น “แต่ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือ…เรารู้สึกว่า…ม่อนมีอะไรในใจน่ะเมี่ยง เรารู้สึกว่าเขาไม่เปิด หรือถ้าเปิด…ก็เปิดไม่เต็มที่ เราเป็นห่วงเขาน่ะเมี่ยง”
“ก็แหงอยู่แล้ว มีความรักกี่ครั้งก็โดนเทตลอด เขาจะเปิดใจได้ยังไงล่ะ” เมี่ยงรำพึงอย่างเห็นใจ
“งั้นเมี่ยงเล่าให้เราฟังหน่อยสิ เราอยากรู้น่ะเมี่ยง เผื่อเราจะช่วยอะไรเขาได้ไง” ผมทำเสียงอ้อนวอนระคนเป็นห่วง
“ได้” เมี่ยงตกลง ทว่าน้ำเสียงก็ฟังดูแปลกๆ “แต่เรามีสองเรื่องที่อยากจะถามอาร์ต เรื่องแรก…อยากให้อาร์ตช่วยยืนยัน ส่วนเรื่องที่สอง เราอยากจะให้อาร์ตรับปาก”
“ได้เลยเมี่ยง ว่ามาเลย” ค่าที่อยากรู้ผมก็เลยตกลงโดยไม่รีรอ
เมี่ยงเงียบไปสักพักก็ถามเรื่องแรก “เรื่องแรก ม่อนเขาชอบอาร์ตด้วยใช่ไหม”
“ใช่” ผมยืนยันไปทันที แม้จะรู้ว่าม่อนลังเล แต่เขาก็ชอบผมนั่นแหละ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าจะไว้ใจผมได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง
“นึกแล้วเชียว” เมี่ยงหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“เรื่องที่สองล่ะเมี่ยง” ผมชักใจร้อน เพราะอยากฟังเรื่องของม่อนเต็มแก่
เมี่ยงถอนหายใจยาว ส่งสัญญาณว่าเรื่องนี้น่าจะสำคัญมากกว่าเรื่องแรก “ถ้าอาร์ตไม่แน่ใจ เมี่ยงขอให้อาร์ตรีบเปลี่ยนใจตอนนี้เลย แต่ถ้าอาร์ตรักม่อนจริง เมี่ยงขอละกันว่า…อย่าทำให้ม่อนเสียใจเหมือนที่ผ่านมาอีก ม่อนเขาเจ็บอีกไม่ได้แล้วนะอาร์ต เขาคงรับไม่ไหวหรอก ยิ่งเป็นอาร์ต เขาก็จะยิ่งเสียใจมาก เพราะอาร์ตเป็นรักแรกของเขา” เมี่ยงเว้นจังหวะไม่นานก็สรุป “ตอบเรามาว่า…อาร์ตจะเปลี่ยนใจ…หรืออาร์ตจะไปต่อ ถ้าไปต่อ…เราจะเล่าให้ฟัง”
น้ำเสียงของเมี่ยงจริงจังมาก ทำเอาผมถึงกับใจคอไม่ดีไปเลย แปลว่าผมจะทำเล่นๆ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเมี่ยงรักน้องชายเขามาก แถมยังมีบุญคุณกับผมอีก ผมจะทำให้ทั้งสองคนผิดหวังไม่ได้เลย
“เรารักม่อนนะเมี่ยง เราขอไปต่อ” ผมยืนยันหนักแน่น ก่อนพูดสืบไป “เราคงรับปากไม่ได้ว่าระหว่างทางจะไม่มีอุปสรรคอะไรเลย มันอาจจะมีเรื่องที่ทำให้ม่อนเสียใจก็ได้ แต่ที่เราจะสัญญาก็คือ…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ม่อนจะเป็นคนสุดท้ายของเรา เราจะทำทุกอย่าง…ให้ม่อนมาอยู่กับเราให้ได้”
ดูเหมือนว่าเมี่ยงจะพอใจกับคำสัญญาของผม เจ้าตัวจึงเล่าเรื่องความรักของน้องชายตัวเองให้ผมฟัง ตั้งแต่แฟนคนแรก…จนถึงคนปัจจุบัน
ตกเย็นผมก็มานั่งรอม่อนที่หน้าบ้าน แม้ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาถึงกี่โมง ผมก็รอเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งประตูหน้าบ้านช่องเล็กเปิดออก ผมก็ถลาไปดู ม่อนนั่นเอง
ผมตรงรี่เข้าไปหาร่างที่กำลังง่วนกับการปิดประตูเล็ก เสร็จแล้วเจ้าตัวก็หันมาทางผม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรผมก็รวบตัวม่อนมากอดไว้แน่น เขาดูงงๆ แต่ก็กอดผมตอบ
“พี่จะดูแลม่อนเองน่ะม่อน”
พูดแล้วผมก็น้ำตาซึมเพราะนึกถึงเรื่องที่เมี่ยงเล่าให้ฟัง ชีวิตของม่อนน่าสงสารเหลือเกิน แต่ที่จริงชีวิตเราสองคนก็ไม่ต่างกันหรอก ม่อนมีรักแท้ให้คนอื่น แต่ก็อาภัพคนรักจริง ส่วนผมไม่คิดรักใครจริง ก็เลยอาภัพรักแท้ แต่จากนี้ไปเราสองคนจะดูแลหัวใจให้กันและกัน เติมเต็มและรักษาหัวใจของเราที่เคยอ้างว้าง…เจ็บปวด…สิ้นหวังTBC…EP6 มาวันที่ 19 ธ.ค. เวลา 10.30 น.เพลงคนแบบฉัน