☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)  (อ่าน 34490 ครั้ง)

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
22
การจากลาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตลอดไป
☼ ☽

ถึง ยอดรัก

พี่ไม่ได้ชอบใจหรือยินดีนักหรอกที่จะปล่อยเจ้าจากอก แต่เป็นเรื่องจริงที่สถานการณ์ในตอนนี้มันเกินมือ ทั้งๆที่ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เลยแต่ก็มั่นใจว่าทุกคนจะดูแลเจ้าได้ดีกว่าที่พี่ทำ โปรดดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ทดแทนในส่วนที่พี่ไม่อาจจะทำได้ หากได้รับรู้ว่าเจ้าเจ็บปวดเสียใจ ตัวพี่นี่แลที่ไม่อาจจะให้อภัยตัวเองได้ จากนี้พี่ขอให้เจ้าจงความสุขทั้งกายและใจ ได้โปรดทิ้งความไม่สบายใจทั้งหมดของเจ้าไว้ที่นี่
รัก
พี่อาทิตย์


ศศิควรจะรู้สึกอย่างไรก็เนื้อความในจดหมายนี้ดี…


จนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย แม้ว่าก่อนจะจากมาเขาได้โอบกอดกันไว้ เราพูดคุยกันราวกับพรุ่งนี้จะไม่ใช่วันที่จากลา ทว่าเมื่อตื่นมาร่างที่เคยได้ซุกกอดก็ไม่ได้อยู่ข้างกายแล้ว และนั่นทำให้ทราบได้ทันทีว่าคนพี่ได้ทำการจากลาศศิไปเป็นที่เรียบร้อย และฝากฝังคนอื่นมาให้เพียงจดหมายที่ไม่อาจจะเขียนได้ว่ามาจากใครชื่ออะไรและส่งให้ใครเช่นนี้


พี่อาทิตย์กับยอดรักของเขา…
ไม่ใช่องค์ชายอคิราห์และศศพินทุ์ที่ตำหนักชลสินทุ์


ทำใจแข็งยืนมองเราห่างกันไกลไม่ได้หรืออย่างไร การที่ต้องไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำว่าลาก่อนแบบนี้มันไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ น้ำตาของศศิไหลคลอ ความเข้มแข็งที่เคยมีมาได้พังทลายลง บนรถม้าที่มีเพียงตัวเองตรงนี้เปรียบเสมือนโลกเหงาๆหนึ่งใบ ที่ตนจะกรีดร้องอย่างไรก็ได้จนกว่าจะพอใจ ทว่าสุดท้ายแล้วที่ได้ทำ คือการปิดปากร้องไห้และปลดปล่อยน้ำตาที่กักไว้มาหลายวันให้ไหลลงมาอาบใบหน้า โดยไม่เสียดายว่าร่างกายจะไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย


“ฮึก ลูก”  รู้สึกผิดกับเจ้าตัวน้อยที่เผลอเครียดและตัดสินใจอะไรแบบนี้ หากศศิอยู่สู้ต่อไป บางทีเจ้าตัวอาจจะได้เกิดมาและได้เห็นหน้าคนเป็นพ่อ แต่อนาคตอีกหลายเดือนนั้นไม่แน่นอน ทำถูกต้องแล้วที่ยอมจากมาและเขาก็ทำถูกต้องแล้วที่ปล่อยให้ศศิได้จากไป


การมีอยู่ขอตนที่ข้างกายองค์รัชทายาทในตอนนี้ช่างเสี่ยงนัก เพราะทรงต้องคอยมาระแวดระวังความปลอดภัยให้กันจนอาจจะละเลยในส่วนของตัวเอง ด้วยอยากให้เขาแสดงฝีมือให้เต็มที่ ตัดรากถอนโคนทุกปัญหาอย่างเด็ดเดี่ยว และแม้ตนจะต้องจากมาเพียงคนเดียวแต่ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป ถึงจะไม่มีองค์ชายอคิราห์ข้างกาย ทว่าในร่างกายนี้ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ฝากอะไรไว้


แม้ว่าคนฝาก อาจจะไม่ได้เชื่อสนิทใจถึงการมีอยู่นี่ด้วยซ้ำไปก็ตาม


“โปรดดูแลตัวเองให้ดีด้วย”  ศศิไม่ได้แม้แต่จะเขียนจดหมายลาแบบที่เขาทำจึงต้องฝากมันไปกับสายลมแบบนี้  การเดินทางกว่าจะถึงชายแดนนั้นอีกยาวไกล จะรีบเร่งก็ต้องคำนึงถึงสุขภาพกายเป็นหลัก หากไปช้ากว่านี้การหนีไปจากเมืองหลวงอาจจะทำได้ยากขึ้น ในตอนที่ศศิยังไปได้ก็ควรจะรีบเร่ง อย่าเป็นภาระของใครจนเกินไปเลยจะดีกว่าและแม้จะได้ชื่อว่าเป็นภาระใครต่อใครในก็ตาม แต่ศศิก็มีภาระที่ถือครองไว้อยู่


ลูกจ๋า…แม่จะปกป้องเจ้าเอง…


☼ ☽


พระพายไม่ได้ส่งต่อคำร้องของศศิมาด้วย เพราะอคิราห์ไม่ได้รับรู้สิ่งใด


เมื่อศศิจากไป พระองค์ก็กลับมาที่ห้องบรรทม ที่ทำก็มีเพียงล้มตัวลงนอน ซุกพระพักต์ลงกับหมอนและสูดดมกลิ่นหอมที่ยังหลงเหลือ แม้เจ้าของกลิ่นกายที่ทรงชื่นชอบจะไม่อยู่อีกแล้วแต่เจ้ากระต่ายน้อยจะไม่ลางเลือนไปจากความทรงจำ


หากมีคนถามถึงศศิว่าหายไปไหน พระองค์ก็จำต้องตอบไปว่าด้วยความไม่เข้าใจจึงแยกทางกันไป ซึ่งจริงๆมันก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ที่จริงกว่าส่วนไหน คือถ้าไม่มีปัญหาส่วนพระองค์ใดๆก็จะรั้งไว้แม้ไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องจากกันไปอยู่ดี และทุกคนที่นี่ก็จะจดจำศศพินทุ์ในฐานะคนในช่วงเวลาหนึ่ง แม้หัวใจพระองค์นั้นจะร่ำร้องคำว่าตลอดไปสักเท่าไหร่ก็ตาม


หากพระองค์ยังรักอีกฝ่ายถึงเพียงนี้ แค่วันเดียวก็จินตนาการภาพที่ไม่มีกันไม่ออก แต่ต้องมาเผชิญมันโดยไม่มีการฝึกซ้อมก่อน  ต่อจากนี้พระองค์จะต้องทรงจัดการกับขนบโบราณอันคร่ำครึและปัญหาการเมืองที่รุมเร้า ทรงไม่แน่ใจว่าจะจัดการทันไหม และที่สำคัญ ใจของศศิจะยังคงมีกันอยู่หรือเปล่า ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่กลัว…แม้แต่พระองค์เองก็ยังกลัวรักแท้แพ้ความหวั่นไหว


ศศิป่วย หากมีใครเข้ามาดูแลใกล้ชิดสนิทสนมในยามห่างไกลแล้วใจของเจ้าตัวแปรผันไป พระองค์ก็มิอาจจะโทษอีกฝ่ายได้ เป็นเพราะทรงดูแลไม่ดีพอไม่ใช่หรือไงถึงต้องยอมปล่อยไป แต่ศศิก็ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก กว่าจะใจอ่อนให้กันก็ไม่ได้ง่ายดายเลย ขอเพียงแค่พรหมลิขิตอย่าได้ชักนำคนที่ดีกว่าไปให้ แม้ไม่อาจจะครอบครองได้แต่ก็ทรงหวังจะเป็นเจ้าของตลอดไป


แต่แล้วอคิราห์ก็จำต้องตัดใจจากเตียงนุ่มที่เคยได้กอดรัด พระองค์ทรงมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย หวังเพียงมันจะช่วยทำให้ลืมเลือนความทรมานที่ทรงต้องเผชิญในทุกค่ำคืนได้บ้าง แต่จะทรงงานหนักแค่ไหน การที่ต้องกลับมานอนที่ห้องบรรทมก็ไม่อาจจะห้ามไม่ให้คิดถึงได้ จนในที่สุดก็ทรงมีรับสั่งให้ปิดห้องนั้นไว้ และขับไล่ตัวเองไปนอนในห้องว่างที่ใช้รับรองแขกในตำหนัก สร้างความสงสัยและสงสารให้กับเหล่าข้าราชบริพารเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครที่ช่วยได้เลย การไม่มีศศิอยู่มันทรมานกว่าที่คิด


“อคิราห์ เจ้าดูจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”


“กระหม่อมแค่ทำงานหนักเกินไป”


“พักผ่อนเสียบ้างเถิดลูก หรือหมายมั่นอยากได้รับการปรนนิบัติอย่างไรก็ขอให้บอก”  องค์เหนือหัวได้พูดออกไปอย่างเป็นห่วง พระราชินีเองก็แสดงความห่วงใยออกมา


“นั่นสิลูก หรืออยากให้อภิชญาไปดูแลหรือไม่”


“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ”


“ในเมื่อศศิไม่อยู่แล้ว…” 


“อย่าพูดถึงชื่อนี้อีกต่อไปเลยพะยะค่ะ” 


“…”


“ลูกทานอะไรไม่ลง เสวยกันต่อเถิด ลูกขอออกไปอ่านฎีกาต่อ”  แม้คำพูดของพระองค์จะดูเหมือนชิงชังเจ้าของชื่อที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รักมากมาย แต่ว่าใครเล่าจะรู้ว่าที่รักในครั้งหนึ่งก็ยังคงเป็นที่รักมาจนถึงตรงนี้ ละครฉากหนึ่งที่แสดงให้ดูมีเค้าโครงจากความจริงนิดหน่อย ไม่ได้ทรงโกรธเมื่อได้ยินชื่อศศิจริงๆหรอก แต่คิดถึงมากๆจนไม่อยากได้ยินชื่อเสียมากกว่า


“ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว เจ้ายังไม่หายโกรธอีกหรือ”  องค์เหนือหัวนั้นเมื่อเห็นท่าทางของลูกชายก็เอ่ยถาม ทรงได้ฟังมาแค่ว่าทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงด้วยศศิไม่หมายมั่นในยศถาหรืออยากเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ กระต่ายป่าย่อมเป็นกระต่ายป่า สุดท้ายแล้วเอามาขังไว้ในสวนสวยแค่ไหน มันก็ยังอยากกลับเข้าสู่ป่ารกที่จากมาอยู่ดี


หลังจากมั่นใจว่าศศพินทุ์ไม่ใช่คนของจันทราปราการ และมั่นใจว่าไม่อาจจะให้กำเนิดทายาทให้กับราชวงศ์ของพระองค์ได้ก็ทรงตัดใจ ประกอบกับการได้รับฟังและเสาะหาคู่ครองคนอื่นๆให้กับลูกชาย พระองค์ก็พบว่าคนที่พระราชินีหมายปองนั้นก็เข้าท่าไม่น้อย อภิชญานั้นเหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นราชินีด้วยทุกเหตุผล ทั้งชาติกำเนิด ความสามารถ และ…อำนาจที่ถือไว้อยู่ รวมทั้งจุดยืนทางการเมือง


แต่ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับอคิราห์…ว่าจะทิ้งหัวใจให้หน้าที่ได้หรือไม่


ทว่าพระโอรัสนั้นคร้านจะพูดคุยต่อด้วยเบื่อจะฟังเรื่องของอภิชญาเต็มทน ทรงอยากจะครองตัวโสดไปอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ารักมันไม่ดีหรอก แต่เพราะไม่คิดว่าจะฝืนใจรักใครได้อีกทั้งๆที่ยังไม่ลืมคนบางคน อีกฝ่ายที่ต้องมาทนอยู่กับพระองค์ไม่น่าสงสารหรอกหรือ ดูอย่างเสด็จแม่กับเสด็จพ่อของพระองค์ที่ต้องผูกสัมพันธ์กันเพราะประโยชน์ทางการเมืองนี้สิ จนป่านนี้แล้วทั้งสองก็ไม่ได้มีความสุขที่ต้องร่วมโต๊ะอาหารกันสองต่อสองด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีพระองค์มาร่วมด้วย คงไม่มีใครคิดจะมาผ่อนคลายทานข้าวด้วยกัน


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือน


สถานการณ์ทางการเมืองดีขึ้น องค์ราชินีไม่ได้ถือหางญาติพี่น้องมากอย่างที่คิดไว้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะความโกรธแค้นที่ถูกผลักดันขึ้นมาเป็นหมากทางการเมืองตั้งแต่วัยสาว ทั้งนี้คนที่ควรจะเป็นศัตรูอย่างพระสวามีกลับกลายมาเป็นพันธมิตรชั้นดี แม้ไม่เคยคิดจะแก้แค้นเรื่องที่เคยถูกพรากคนรักโดยคนในครอบครัวมาก่อน แต่เมื่อโอกาสมาถึงข้างหน้าก็ไม่ได้ปฏิเสธและทรงรับมันไว้ ถึงจะไม่ได้ส่งเสริมพระสวามีนักแต่ก็ไม่ได้ขัดขาและบางทีก็ให้ความร่วมมือในการบ่อนทำลายด้วยซ้ำ


การเมืองเป็นเรื่องที่ซับซ้อน สกปรกเช่นนี้แล…เป็นที่ๆศศิคงไม่อยากอยู่และคงเข้ากันกับความบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายไม่ได้เลย ยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงนี้ยิ่งโหดร้ายทรมานใจ พระองค์ไล่ยึดทรัพย์สินและอำนาจมากมายจากพระญาติ และก่อศัตรูอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่เว้นแต่ละวัน บ้างที่ดูจะโทษไม่ร้ายแรง พระองค์ก็พยายามจะปราณีเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่บ้างที่มีโทษร้ายแรง ก็จัดการอย่างเด็ดขาดไม่ให้เหลือ


ทั้งนี้จะโทษหนักโทษเบาก็ต้องทำให้ไม่สามารถขึ้นมาเล่นข้างหลังอะไรกันได้


ดังนั้นไม่แปลกเลยที่จะทรงยุ่งวุ่นวายมาก เรียกว่าเป็นความต้องการที่จะยุ่งด้วย หลายเดือนแล้วที่พระองค์ไม่ได้เห็นหน้า แต่ความรู้สึกที่ไม่ลดน้อยนี้ก็มีแต่จะทวีคูณขึ้นไป อยากจะโอบกอดให้จมอก อยากจะจูบฟัดไปทั่วใบหน้าใส อยากจะกระซิบคำรักให้ก้องไป แต่พระองค์ไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไรอยู่ในตอนนี้


เพราะความเด็ดขาดที่ทรงกระทำไปทั้งหมด ทำให้ตอนนี้ใครๆก็อยากฆ่ากันให้ตายๆไปซะ มีการซ่องสุมกองกำลังมากมายให้ไปปราบกันไม่หวั่นไม่ไหว แต่เพราะการจัดการที่เป็นเลิศทำให้เรื่องราวถูกจำกัดในวงแคบ ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้ว่ามีการกบฏ แต่ไม่รู้เหตุที่ชัดเจน ที่มา หรือว่าใครเป็นผู้กระทำ ตราบใดที่การปกครองยังมั่นคงผู้คนมั่งมีศรีสุข ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาอยากรู้อยากเห็นมากหรอก ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ปกครองกันไป


ความสัมพันธ์ทางการทูตกับคีรีธารานั้น พระองค์ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกนัก แต่รับทราบมาว่าทางเราตัดสินใจเกื้อหนุนคีรีราชสกุลในการจัดการกับคีรีเขตที่เป็นพันธมิตรกับกบฏของสิหราชวงศ์ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าสงครามภายในที่ยืดเยื้อมานานก็กำลังจะจบลง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจากที่คำนวณไป คีรีเขตจะต้องยอมยกธงขาวในอีกไม่นานนี้


อะไรๆก็ดูจะลงตัว มีแต่หัวใจที่ยังไม่ลงตัวเลยสักนิด


“เฮ้อ”  ดูเหมือนว่าจะต้องหาทางขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลแล้วจริงๆ เดิมทีพระองค์ก็เคยคิดอยู่หรอก แต่ศศิคนมักน้อยที่ไม่เคยคิดอยากจะขึ้นเป็นราชินีได้สั่งห้ามไว้ จริงๆก็น่ากลัวว่าจะเกิดการกบฏอีกครั้งหากทรงเปลี่ยนกฎตามใจจริงๆ แต่จะทำอย่างไรได้…พระองค์อยากมีศศิเป็นหนึ่งเดียว และอยากได้ศศิมาครอบครอง…


มีหนทางใดที่พอจะทำได้บ้าง!


“เจ้ามาก็ดีแล้วธมล เอาพวกฎีกานี่ไปที”  พระองค์ทรงเอ่ยบอกกับคนสนิทโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ธมลนั้นจึงเดินเข้ามาจัดการธุระให้อย่างว่าง่าย ก่อนจะบอกธุระของตนให้รับฟัง


“วันนี้ทางชายแดนมีส่งสมุนไพรมาให้ ทางท่านวัชรินทร์ได้รับรองความปลอดภัยแล้วจึงมาแจ้งแก่พระองค์”


“อืม”  คงเป็นทิชากรที่จัดมาให้ แม้หลายเรื่องในพระราชวังจะเป็นความลับ แต่สภาพเหมือนผีดิบของอคิราห์คงไม่ใช่ความลับจนเกินไปที่จะหลุดไปถึงหูของท่านอาอชิระ ด้วยเหตุนี้จึงรบกวนเมียรักให้จัดยามาหลายตำรับเพื่อที่จะบำรุงให้กันสินะ


ทุกครั้งที่พระองค์ได้รับของพวกนี้มา ก็มักจะคิดว่าศศิอาจจะห่วงใยและมีส่วนร่วมอยู่บ้าง แต่คนของอชิระก็ยืนยันทุกครั้งว่ารับคำสั่งจากทิชากร ส่วนตัวตนของศศินั้น แทบไม่มีใครพูดให้พระองค์ได้รับรู้ถึงความเป็นไปเลย น่าน้อยพระทัยเสียเหลือเกิน ป่านนี้ไม่ได้ลืมกันไปแล้วจริงๆใช่ไหม?!


“เอาไปจัดเตรียมไว้แล้วกัน”  หน้าที่ของพระองค์คือเสวยตามที่ถูกจัด ธมลเพียงพยักหน้ารับทราบ แต่ก็ยังไม่ออกไปไหน จนคนขี้หงุดหงิดต้องยอมเงยหน้ามาขับไล่ด้วยตนเอง


“เอ่อ…กระหม่อมเพียงแค่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับสิ่งนี้”


“ถ้าไม่รู้และเขาไม่บอก เจ้าก็เอาไปทิ้งหรือไม่ก็เอาไปถาม”


“คนให้มาเขาบอกว่าแล้วแต่พระองค์จะโปรดกรุณาเลยพะยะค่ะ”


“มันอะไรเล่า!”


“ถุงหอมพะยะค่ะ”


“…”


“กระหม่อมจะเอาไปทิ้งให้เดี๋ยวนี้เลย…”


“เอามานี่”


“…”


“มันช่วยเรื่องการนอนหลับผ่อนคลาย รู้หน้าที่ของมันแล้วก็เอามาให้ข้า”  อคิราห์ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นถุงหอมที่มีกลิ่นอะไร ทว่าที่ศศิเคยทำให้มันช่วยให้หลับสบาย และแม้ว่าการสูดดมจะทำให้พระองค์คิดถึงเจียนบ้าแต่ก็หวังว่าฤทธิ์ของมันจะทำให้หลับได้สนิทใจ  ถ้าโชคดีไม่ได้เจอหน้าในความเป็นจริงก็ไม่เป็นไร


พิศดวงหน้าในฝันได้ ก็ทรงพึงพอใจแล้ว…


☼ ☽


“ได้ยินว่าพวกยาบำรุงถึงตำหนักองค์รัชทายาทแล้ว”  ทิชากรนั้นพูดให้ฟัง แม้ไม่มีข้อความอะไรฝากมา แต่การได้รู้ว่าความตั้งใจถูกส่งไปให้ คนจัดเตรียมก็พึงพอใจแล้ว


ศศิมักน้อย ก็มักยินดีกับเรื่องเล็กๆแบบนี้แล


“ขอบคุณท่านน้ามากที่ช่วยเป็นธุระออกหน้าให้”  ความรักของศศินั้นจัดเป็นความลับ แม้บางคนจะพอรู้ว่าศศิมีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาท แต่มันก็จบลงไปแล้วและถ้าไม่พูดถึงอีกเลย มันก็พอจะตีความได้ว่าจบไม่ดีนัก ทั้งนี้มันก็เพื่อความปลอดภัยของศศิและตัวของพระองค์เองด้วย นี่คือการกำจัดความเป็นภาระแบบหนึ่งที่พอจะนึกได้


คนท้องที่เริ่มจะท้องใหญ่ขึ้นมานิดหน่อยนั้นทำอะไรก็เชื่องช้าแต่ว่าก็ยังไม่ได้อยู่นิ่ง ดูแลคนป่วยบ้าง จดบัญชีสมุนไพรบ้าง สอนหนังสือบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีคนรู้หรอกว่าศศิกำลังตั้งท้องอยู่ คนส่วนใหญ่จะคิดแค่ว่าศศินั้นมีความสุขกับการกินมากไปหน่อย ประจวบกับการแต่งกายที่ดูพรางตา จึงทำให้ไม่ค่อยถูกสงสัย แต่จริงๆตนก็ไม่ได้ปิดอะไร หากพวกเขาสงสัยมาถามก็ตอบ แต่ที่ไม่ถามคงเพราะเกรงใจกันมากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ไม่ควรแพร่งพราย ชีวิตของลูกตนกับองค์รัชทายาทอาจจะเป็นภัยได้


ตอนนี้คุณแม่กับคุณลูกนั้นมีสุขภาพที่ดี รับรู้มาบ้างว่าคุณพ่อนั้นโหมงานหนัก แต่เพราะทำอะไรไม่ได้มากจึงไปอ้อนวอนขอจัดเตรียมยาไปให้โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าทั้งหมดคือสิ่งที่ศศิได้ทำลงไป มันคือความห่วงหาและการแสดงออกที่ไม่ต้องการรับการตอบแทนแต่อย่างใด


“จะได้ถุงหอมไปไหมน้า”  เจ้าของร่างบางในชุดขาวนั้นลูบหน้าท้องของตนอย่างอ่อนโยน คำถามที่ถามไปนี้เหมือนจะถามโดยไม่ต้องการคำตอบ ใจหวังเพียงแค่เขาจะยินยอมใช้มัน เผื่อว่าจะหลับสบายในยามที่ปัญหารุมเร้า ศศิช่วยอะไรไม่ได้ ที่ทำอยู่คือการไม่เป็นภาระใกล้ชิดและดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขที่ไม่ได้ขออ้างสิทธิ์อย่างดีที่สุด จริงๆอยากจะช่วยให้ได้มากกว่านี้แต่อำนาจที่ตนมี…มันไปไม่ถึง…


“ตอนนี้พี่น้องของเราที่อยู่ทางฝั่งคีรีธาราเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้ว”  ทิชากรพูดขึ้น แม้เหตุการณ์ที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วและศศิจะจำอะไรไม่ได้ก็ตาม


“พวกเขาส่งข่าวมาหรือ”


“อืม ตอนนี้ออกมาช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนกันอย่างเป็นทางการแล้ว”  จริงๆพวกเขาก็ช่วยเหลือกันอยู่ตลอด เพียงแต่ว่าทำอย่างหลบซ่อนเพราะไม่อยากให้การเมืองของคีรีเขตและคีรีราชสกุลวุ่นวายไปกว่านี้ แม้ไม่เคยแสดงจุดยืนที่ชัดเจน แต่อุดมการณ์เรียกว่าใกล้เคียงกับฝั่งของคีรีราชสกุลมากกว่า


“น่าสงสาร หากช่วยได้ ข้าก็อยากจะ…”


“ช่วยดูแลตัวเองให้ดี เพราะน้าอาจจะต้องเดินทางไปที่นั่น”


“จะไปที่คีรีธาราหรือ”  ศศิถามด้วยความฉงนใจ


“ไม่นานหรอก ข้ามีเจ้าที่เป็นห่วงนัก”  ทิชากรนั้นลูบหัวของหลานรักอย่างเอ็นดู บางทีอาจจะตัดใจไปไม่ลง ส่งคนอื่นไปแทนเพื่อความสบายใจทางนี้


ศศิท้องโตขึ้นทุกวัน แม้ผู้คนไม่สงสัยแต่ใช้ชีวิตโดยปิดบังก็ค่อนข้างยาก และสุขภาพครรภ์ก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ทิชากรไม่อาจจะตัดใจไปไหนได้หรอก เกิดหากเกิดจะคลอดก่อนกำหนดเสียวันนี้แล้วใครจะทำให้ ในเมื่อท่านหมออีกคนที่เชื่อถือได้ก็ดันมาท้องเสียเองแบบนี้ ถึงจะมีลูกศิษย์คนอื่นที่เก่งกาจรั้งดูอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มั่นใจในฝีมือใครเท่ากับตนเอง


“ข้าขอโทษ”


“จะขอโทษอะไรอีก เจ้าควรคิดเรื่องชื่อของลูกได้แล้ว”


“ชื่อหรือ?”


“คิดเผื่อไว้สักสองหรือสามดีหรือไม่”


“สามเลยหรือ”


“สามเลยก็ดี เผื่อว่าเห็นหน้าลูกแล้วเจ้าจะได้คัดเลือกอีกที”  นั่นสินะ…


ลูกของศศพินทุ์และอคิราห์…ควรจะถูกเรียกว่าอย่างไรดีนะ?


ถ้าพ่อชื่ออคิราห์และแม่ชื่อศศพินทุ์ชื่อแบบไหนที่จะเหมาะกับลูกของเรากัน หากมีคำที่ความหมายเดียวกันในชื่อก็คงจะดีไป สามชื่อนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดง่ายๆเหมือนกัน แต่ยังพอมีเวลาอยู่ กว่าจะถึงวันที่ได้ทักทายกันก็คงมีออกมาสักนามนั่นแล ศศิยิ้มอยู่กับตนเองแบบนั้น เพียงแค่คิดถึงลูก หัวใจก็พลันอุ่นวาบ หากมีสักสามคน คนหนึ่งจะให้ชื่อเหมือนพ่อ อีกคนเหมือนแม่ และอีกคนให้เหมือนทั้งพ่อและแม่ไปเลยดีไหม


“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวนะ เจ้าน่ะ”  ภาพของศศิที่มีความสุขดีนั้นอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่ไม่มีอคิราห์เคียงข้าง ต้องเข้มแข็งแค่ไหนที่จะตัดใจ และต่อจากนี้ไม่รู้เมื่อไหร่ เด็กพวกนี้ถึงจะได้กลับมาพาลพบกันอีกครั้ง และไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทยังต้องการหลานของตนอยู่หรือไม่ หรือเขายังมีใจแต่แค่ยังไม่มีหนทางให้ครองคู่กัน


จริงๆมันไม่ได้ยากเย็นหรอก เพียงแค่กล่าวไปกับองค์เหนือหัวองค์ปัจจุบันว่ากำลังจะให้กำเนิดทายาทให้องค์รัชทายาท บางทีประตูบานนั้นอาจจะเปิดต้อนรับหลานรักของตนพร้อมฉุดรั้งกันให้เร่งเข้าไปเสียอีก!


เดิมทีทิชากรไม่เคยอยากให้ศศิเกี่ยวข้องกับพันธะทางการเมืองไหนๆ ทั้งฝั่งคีรีธาราหรือสิหราชนครา ไม่ใช่ว่ารังเกียจรังงอนหรือเกรงว่าจะรับมือกับปัญหาทางการเมืองไม่ได้อย่างเดียว ทางฝั่งคีรีราชสกุลที่เคยมาทาบทามและโดนปฏิเสธไปนั้น นอกจากจะอยากให้ศศิได้เลือกเองแล้ว อีกเหตุผลคือจันทราปราการมีศักดิ์เป็นพระญาติใกล้ชิดในยุคสมัยกษัตริย์องค์ปัจจุบันจนเกินไป ด้วยเหตุนี้บุตรที่เกิดจากท้องศศิอาจจะมีความเสี่ยงทางสุขภาพสูง แต่ด้วยภาวะการเมืองในตอนนั้นไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่รับฟังกันเลย บีบกันหนักเข้าจึงต้องระหกระเหินเร่ร่อนกันมาอย่างนี้


ทว่าตอนนี้ที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ปกติสุข ทิชากรได้รับการติดต่อมาจากทางนั้นผ่านคนของจันทราปราการที่หลบซ่อนอยู่ในคีรีธารามาตลอดเพื่อขอโทษในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและชักชวนให้กลับไปฟื้นฟูบ้านเมืองด้วยกัน แน่นอนว่าในฐานะเจ้าตระกูล ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอย่อมตอบตกลงได้ไม่เต็มปาก ทิชากรคิดไว้ว่าตนจะไม่ไปช่วยเหลือเต็มตัวแต่ด้วยความเวทนาในชะตาของผู้คน จึงจะส่งคนเข้าไปแทน ตนอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว


นานจนอาจจะกล่าวได้ว่าถึงตัวไป แต่ใจไม่อาจจะไปตามได้…


แต่กระนั้นก็ยังมีการถามไถ่เกี่ยวกับตัวของศศพินทุ์มา หรือว่าจะยังไม่รามือกันแน่? ทั้งนี้ทิชากรได้ส่งสาสน์กลับไปว่าสบายดี ไม่ได้เอ่ยถึงการมีคู่ครองหรือแม้แต่การตั้งครรภ์ของหลานชายในตอนนี้ แต่ก็เชื่อว่าคีรีราชสกุลที่อ่อนแอและรู้สึกผิดกับจันทราปราการในยามนี้คงไม่กล้าที่จะเอ่ยบังคับให้ส่งคนสำคัญที่บอกปัดกันมาเนิ่นนานได้หรอก


จะให้ศศิอยู่อย่างเหี่ยวเฉาตลอดไป…ทิชากรก็มีปัญหาได้ไม่
จะติดที่เจ้าตัวนั่นแล ที่ยังคงรอคู่ครองอย่างใจจดใจจ่ออยู่หรือเปล่า?


“คลอดแล้ว เจ้าอยากไปคีรีธาราหรือไม่”


“ไป..ไปทำอะไรหรือ”


“ไปช่วยเขาฟื้นฟู ไปให้ญาติๆได้เห็นหน้า เจ้าคงจะไม่รู้แต่เรานั้นเป็นญาติมิตรของกษัตริย์ทางนั้น”


“แล้ว…เราจะได้กลับมาไหม”


“มันสำคัญด้วยหรือ”  นั่นสิ…มันสำคัญหรือไร  “เจ้ายังจะรอต่อไปงั้นหรือ ทั้งๆที่มันอาจจะเนิ่นนานหรือตลอดไปก็เป็นได้”


“ข้าคิดว่าอยู่ที่นี่ก็สุขสบายดี หากท่านไปด้วยหน้าที่ ข้าเองจะอยู่รั้งเพื่อดูแลคนทางนี้แทน”  ศศินั้นประกาศชัดถึงจุดยืน แม้ไม่อาจจะบอกได้ชัดเจนว่าตนคือคนแผ่นดินไหนกันแน่ แต่การมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์…เป็นจุดยืนตั้งแต่เริ่มเปิดหน้าแรกของตำราแพทย์แล้ว


“หากอยู่ที่นี่ต่อไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะเอาแต่คิดมาก ไม่มีความสุขเสียเปล่าๆ”


“ไม่หรอกอย่าได้ห่วงหลานเลย”  ศศิให้คำมั่น และตนเชื่ออย่างนั้นจริงๆ บนเตียงที่ไม่มีองค์ชายอคิราห์ข้างกายอาจจะหนาวเหน็บเสียหน่อย แต่เลือดเนื้อเชื้อไขที่ทรงฝากไว้นั่น…


ได้เริ่มสร้างความอบอุ่นในใจให้กันตั้งแต่วันที่รู้ว่าเขามีตัวตนในท้องนี้แล้ว


TALK :
ศศิไปดีแล้วจริงๆค่ะ ส่วนคนพี่ที่ยังปล่อยเบลอเรื่องลูกก็ให้มันทุกข์ไปนะคะ555
อย่างที่บอกว่าตอนนี้นั้นเริ่มจะคลายปัญหาต่างๆทั้งฝั่งบ้านศศิกับบ้านอิพี่
ถ้าไงเราฝากของเลยได้ไหม กำลังแต่งอยู่ก๊ะ
คราวนี้เป็นนิยายยุคปัจจุบันแล้ว หวังว่าคนอ่านจะชอบกัน
แต่ยังไงก็ยังฝาก #อาทิตย์ศศิ อยู่นะคะ เห็นคนชอบเราก็ดีใจอ่ะ เรื่องนี้แต่งยากกว่าเจนไม่นกอีกมั้ง
ตอนแต่งเราท้อแล้วท้ออีก ที่ไม่ยอมลงเพราะแต่งยาก(สำหรับเรา)กลัวแต่งไปแล้วจะเทกลางทางมากๆเลยฝืนจนเครียด
พอเห็นคนอ่านดูจะชอบใจเราก็ดีใจมากๆเลยค่ะ ก็ขอให้ทุกคนชอบไปจนจบเลยนะคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ
@reallyuri










ออฟไลน์ cho_co_late

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
กลายเป็นศศิจะไม่ง้อพี่อาทิตย์แล้วนะ
ลูกกลายเป็นดวงใจของน้องไปแล้ว

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่อาทิตย์รีบๆเคลียร์ปัญหาบ้านเมืองให้จบ แล้วก็รีบมารับน้องกับลูกนะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ปล่อยอิพี่มันไปค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แฝดมั้ยเอ่ยยยย

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
23
คนป่วย
☼ ☽


ที่นี่ที่ไหน…


“แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”


เสียงเด็กที่ไหนร้อง?


“ใคร?”  ทรงทอดพระเนตรไปรอบๆทิศทาง ทว่าแม้จะหันไปรอบตัวแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นใคร รอบด้านมีแต่หมอกที่บดบังทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่อาจจะระบุได้ว่าที่นี่คือที่ใด และความทรงจำล่าสุดที่นึกขึ้นได้ ก็มีเพียงภาพของพระองค์เองที่ค่อยๆล้มตัวลงนอนหลับใหลในห้องบรรทมห้องใหม่ที่ไม่ได้ใช้ร่วมกับ ‘ใคร’ มาก่อน


หรือว่านี่คือความฝัน?


“เด็กดี อย่าร้องเลยนะ”  เสียงของเด็กคนหนึ่งเอ่ยปลอบโยนเจ้าของเสียงร้องไห้ เมื่อพยายามเพ่งมองพระองค์ก็ได้เห็น…


เด็กสามคน


“…”


“ฮึก…”  เสียงสะอื้นไห้นั้นทำให้พระองค์ที่คลายความตกใจแล้วพลันนึกสงสารขึ้นมา พ่อแม่ของเด็กพวกนี้อยู่ที่ไหน ทำไมปล่อยให้สามพี่น้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ทรงมองภาพเด็กหญิงและเด็กชายอายุราวๆ 5-6 ปีที่จับมือกัน ในอ้อมแขนของเด็กหญิงนั้นมีเด็กที่อายุน้อยกว่า น่าจะราวๆขวบเดียวเองกระมัง


“พวกเจ้ามาจากไหนกันน่ะ”  ในความฝันอันเป็นสถานที่ส่วนพระองค์นั้น การที่เด็กสามคนมาบุกรุกไม่ได้ทำให้ทรงขุ่นเคือง พระองค์งถามออกมาด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน นานแล้วที่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใคร


“พวกข้าอยู่ที่นี่กันนานแล้ว” 


เด็กหญิงตอบอย่างฉะฉาน


“แล้วใยข้าถึงเพิ่งได้เจอพวกเจ้ากัน”


“พวกเราอยู่กันนานแล้ว”   


เด็กชายที่ดูขี้อายนั้นตอบออกมา


“แต่พ่อจ๋าไม่เคยยอมรับเองต่างหาก”


 และคราวนี้เด็กทั้งสองก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน


พลันโลกเหมือนหมุน ใบหน้าของพระองค์ซีดเผือด ภาพเด็กทั้งสามตรงหน้าค่อยๆไกลจากสายตา แม้จะยื่นมือไปไขว่คว้าก็กลับเอื้อมไม่ถึง เด็กผู้ชายกอดเด็กผู้หญิงที่กำลังน้ำตาซึมเอาไว้ เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดน้อยนั้นร้องไห้งอแงและยื่นมือมาหา แต่ไม่ว่าเราจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะเอื้อมจับกันได้


พ่อจ๋า…พ่อจ๋า…


“ศศิ!!!!!!!”


พ่อ…


พ่อจ๋า..


ดวงเนตรขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นจ้องมองไปยังภาพข้างหน้าอย่างตื่นตะลึง ร่างกายของพระองค์ยังคงหอบสะท้านประมาณว่าได้วิ่งสุดกำลัง ทว่าในความเป็นจริง พระองค์ยังคงอยู่บนแท่นบรรทม มือเอื้อมไปไขว่คว้าอากาศที่ด้านหน้า และสองตาก็เห็นเพียงเพดานของห้อง


พ่อจ๋า…


“อา…” ทรงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดนั้น ความโหยหามากมายก็ถาโถม ฝันนั้นเหมือนจะดีแต่ทิ้งฤทธิ์ร้ายกาจในยามตื่น ไม่มีจริงๆหรอกฝันดี เพราะเมื่อรับรู้ได้ว่ามันเป็นแค่ฝัน ความเสียดายและคะนึงหาย่อมเปลี่ยนให้ฝันนั้นเลวร้ายเสียยิ่งกว่า พระองค์กำลังจะเอื้อมถึงอยู่แล้ว แต่โชคชะตาไม่ปราณีกันเลย


จนเช้าแล้วก็ไม่สามารถกลับไปหลับใหลได้อีก เมื่อทรงฉลององค์เสร็จเรียบร้อยก็เสด็จออกไปอย่างสง่าผ่าเผยเฉกเช่นองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราในทุกๆวัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหัวใจของพระองค์ได้พังทลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆที่ยังอาลัยแต่ในช่วงเช้าจะต้องไปร่วมเสวยอาหารกับบิดาและมารดา ซึ่งมีอภิชญาที่ทุกคนหมายมั่นจะให้หมั้นหมายมาร่วมด้วย


อคิราห์ไม่ได้นิ่งนอนใจ แม้จะดูเหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ทรงวิ่งเต้นไม่ให้ความประสงค์เหล่านั้นเป็นจริงอยู่ ด้วยความตั้งใจที่ขัดแย้งกับขนบ ในเมื่อไม่อาจจะมีคนที่ทรงรักมากที่สุดอยู่ข้างกายทั้งๆที่มีอยู่ในใจ ดังนั้นจนกว่าฝันที่ทรงหมายมั่นจะแต่งตั้งให้บุรุษขึ้นมาเคียงข้างเป็นไปได้ ฉะนั้นที่ข้างๆนี้ก็ไม่ควรจะมีใครมาอยู่


จริงๆแล้วพระองค์สามารถรับพระชายาที่เป็นบุรุษได้ แต่อย่างไรตำแหน่งองค์ราชินีนั้น ควรจะเป็นตำแหน่งที่มีให้ ‘แม่ของลูก’ กฎนี้ไม่ได้สร้างความพอใจให้ทั้งตัวพระองค์เองหรือศศพินทุ์ แม้อีกฝ่ายอาจจะยอมรับให้เขามีคนอื่นได้บ้างขอแค่มั่นรักกับตนแค่คนเดียวแต่พระองค์ทรงมีจิตใจที่คับแคบกว่านั้นและทรงอยากให้ศศิเห็นแก่ตัวกว่านี้ ทั้งๆที่จริงศศิอาจจะไม่ได้ต้องการที่จะเป็นใครที่เกี่ยวข้องกันทั้งในฐานะคนรักของรัชทายาทหรือกษัตริย์ของสิหราชนคราก็ตาม


“อคิราห์ เจ้าคุยกับน้องหน่อยสิ”  องค์ราชินีเห็นว่าพระองค์ยังคงนิ่งเงียบจึงพยายามคะยั้นคำยอ ดรุณีที่ทรงหมายมั่นให้ครองคู่นั้นยิ้มให้ ได้ยินว่าอภิชญาเริ่มเข้ามาจัดการงานการกุศล ทั้งนี้คงเพื่อสร้างชื่อเสียงเพื่อปูทางการขึ้นตำแหน่ง แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ผลักดันอยู่เป็นแน่ แต่พระองค์ก็หาสนใจไม่


ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทั้งนี้ทรงต่อต้านคำสั่งเหล่านั้นอย่างมีมารยาท ทำให้ผู้ใหญ่หน้าเสียทว่าไม่มีใครกล้าดุว่า อภิชญาเองก็รู้สึกอับอายไม่น้อยที่โดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าเธอก็ยังต้องทำตามหน้าที่ หน้าที่ที่ไม่มีความรักเป็นส่วนประกอบอยู่เลย


เมื่ออยู่กันแค่เพียงครอบครัว องค์เหนือหัวและองค์ราชินีก็แสดงออกว่าไม่พอพระทัยในการกระทำของพระโอรสเป็นอย่างมาก มันคือการไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย อคิราห์ยังคงดื้อดึงและไม่ยินยอมที่จะเสียสละตนเพื่อผสานรอยร้าวทางการเมือง หากได้อภิชญาที่เพียบพร้อมมาเป็นคู่ครอง เหล่าพสกนิกรต่างก็จะต้องยกย่อง และเหล่าขุนนางก็คงพากันพอใจ


“เจ้าทำให้พ่อและแม่อับอายมาก รู้ตัวหรือไม่!”  องค์ราชินีเอ่ยออกไป และต่อให้ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงดังแค่ไหน ก็ไม่ได้เข้าไปในสมองเลยแม้แต่น้อย


“เจ้าควรเลิกต่อต้านและจริงจังมากกว่านี้ได้แล้วนะ”


“…”


“หากยังมัวแต่คิดถึงคนที่หนีจากเจ้าไป มันจะไปได้อะไรขึ้นมา!”  องค์เหนือหัวนั้นตรัสออกมาด้วยไม่พอใจในท่าทางเฉยเมยนั่น และมันทำให้พระเนตรของพระโอรสราวกับมีไฟเผาไหม้


“ขอทรงอย่าได้เอ่ยถึงเป็นอันขาด”  อคิราห์นั้นจะว่าอ่อนน้อมก็อ่อนน้อม แต่เมื่อถึงคราวที่เป็นเรื่องของคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยชื่อ ก็จะทรงร้อนเป็นไฟไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น


“ศศิจากเจ้าไปแล้ว!”  แม้ว่าพระโอรสจะบอกว่าการจากลานั้นก็เพราะความไม่เข้าใจนำมาซึ่งการหมดเยื่อใย แต่ใครเล่าจะเชื่อ อคิราห์รักเด็กคนนั้นแค่ไหน ที่ส่งให้จากไปก็คงเพราะความปลอดภัยเป็นเหตุผลเดียว หากศศิไร้ซึ่งอำนาจ คนก็จะไม่ขวนขวายแสวงหาแย่งชิงอำนาจมาจากเด็กคนนั้น


“แม้เจ้าจะอยากยกย่องชายคนนั้นแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจจะให้กำเนิดทายาทของเจ้าได้”  องค์ราชินีทรงอธิบาย หากศศิมีลูกให้ได้ ใครที่ไหนจะขวางทาง อย่างไรสิทธิ์ขาดก็เป็นของอคิราห์ในการเลือกสรรเองทั้งนั้น มีข้อแม้เดียวนั่นคือการมีทายาทที่ราชวงศ์เรียกร้อง และศศิให้ไม่ได้


ทั้งสองพระองค์ก็หวังสิ่งที่ดีที่สุดกับตัวของลูก เพราะได้ครองคู่กันในหน้าที่ มีหรือที่องค์เหนือหัวจะไม่เคยวาดฝันที่จะมีคนที่พระองค์รักจริงๆมาเคียงข้าง แต่มันเป็นไปไม่ได้ในกรณีนี้ กรณีที่เรามีข้อจำกัดเพียงข้อแต่เป็นข้อที่เรียกร้องจากคู่รักคู่นี้มากเกินไป


“แล้วถ้าหากศศิมีลูกให้ได้เล่า”


“มันเป็นไปไม่ได้”


“บนโลกเราก็ใช่ว่าจะไม่มีชายที่ท้องไม่ได้เสียหน่อย”  อคิราห์ยังคงยืนกรานหาช่องว่างและโอกาส ความฝันของพระองค์ยิ่งผลักดันให้ความคิดนี้ถูกกลั่นกรองเป็นคำพูดออกมา ทว่า…


“ไม่มีทางหรอก”  องค์เหนือหัวเอ่ยมาอย่างอ่อนใจ  “วัชรินทร์เคยไปตรวจแล้ว ศศิไม่ได้ท้อง”  และสิ่งที่พระองค์ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของพระบิดา ก็ทำให้โลกทั้งใบแทบจะหมุนเคว้ง


“ตรวจงั้นหรือ”


“…”  ภาพต่างๆ คำตัดพ้อของสองอาหลานเมื่อหลายเดือนก่อน เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา


“ที่ศศิถูกวางยาปลุกกำหนัด นั่นก็เป็นฝีมือของ…ท่านหมอวัชรินทร์หรอกหรือ”  พระพักต์ขององค์เหนือหัวนั้นนิ่งขรึม แต่ทรงพระทัยเสียไม่น้อยที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เหมือนถูกทรยศของอีกฝ่าย ไหนเลยจะเจ็บปวดเท่าการถูกกระทำโดยคนในครอบครัว


“พ่อเองเพียงแค่หวังจะได้เห็นเจ้ามีลูกกับคนที่เจ้ารัก”  คำสารภาพขององค์เหนือหัวนั้นแม้พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงทว่าใจความแตกสลาย  “แต่ศศิไม่ใช่เด็กในคำทำนายผู้มาจากจันทราปราการ เขาจึงไม่คู่ควรกับดวงอาทิตย์ดวงนี้ของพ่อ” คู่ควรหรือไม่…


ใยถึงไม่ถามหัวใจของลูกดู…


หลังจากนั้น พระองค์ก็ไม่ได้เสด็จไปหาพระบิดาที่ตำหนักอีกเลย แม้พระมารดาจะมาเยี่ยมเยียนพร้อมเอาสำรับอาหารที่ทรงปรุงเองมาให้ แต่ก็ไม่กล้าจะพูดถึงอภิชญาเท่าไหร่นัก เหตุการณ์วันนั้นทำให้ทรงทราบดีว่าพระโอรสยังคงมีใครบางคนในใจ และใครบางคนนั้น ก็ถูกพรากไปด้วยความจำใจเช่นกัน


“ขอบพระทัยเสด็จแม่”


“ดูแลสุขภาพบ้างเถิด เจ้านั้นซูบลงเยอะ กำลังจะต้องเดินทางไกลไปกับคณะทูต ใยจึงไม่ดูแลตัวเองบ้าง” 


“…”


“หากคนนั้นที่พวกเจ้าพูดถึงสำคัญเช่นนั้น ก็อย่าฝืนเลย ไปรับเขามา อย่างน้อยก็ให้ได้ชื่นใจบ้าง เช่นนี้เจ้าจะหมดกำลังใจเสียก่อนนะ”  เมื่อเห็นอาการที่ไม่สู้ดีจึงยอมตัดใจ จะอย่างไรคนเป็นแม่ การได้เห็นลูกชายเป็นทุกข์เช่นนี้ก็ยิ่งเป็นทุกข์ตามไปด้วย สุดท้ายแล้วพระองค์ก็อยากจะตามใจ


“ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมมาไหม คนที่นี่ใจร้ายกับเขานัก ข้าไม่มีหน้าไปพบเท่าไหร่”  เมื่อได้ทราบว่าพ่อของตนกับวัชรินทร์คาดหวังในตัวศศิอย่างไร พระองค์ก็ไม่อาจจะไปสู้หน้า ทั้งน้าหลานคู่นั้นไม่เคยอยากจะก้าวกระโดดมาในการเมืองเลย แต่เพราะความรักที่เห็นแก่ตัวของพระองค์จึงทำให้ศศิต้องถูกยัดเยียดสิ่งที่ตนไม่คิดชอบ หากวันนั้นคนงามไม่ยินยอมพร้อมใจจะตกเป็นของพระองค์แต่ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดมันครอบงำจิตใจแล้วเล่า…


ไม่เท่ากับว่าทรงให้ความร่วมมือกับพระบิดาในการข่มเหงคนรักอย่างนั้นหรือ?


“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพ่อของเจ้ารอคอยเจ้าให้มาอยู่กับเรานานแค่ไหน”  องค์ราชินีเอ่ยถึง แม้จะไม่ได้รักกันอย่างหวานชื่นแต่ก็เห็นความพยายามของพระสวามีมาตลอด “ทรงขอพรกับฟ้าทุกคืนให้เจ้ามาอยู่กับเรา เขารักเจ้ามากนะ”


เรื่องนี้พระองค์ได้รับฟังมาบ่อยครั้ง เกี่ยวกับการรอคอย การอธิฐานทั้งๆที่ไม่เคยเชื่อถึงสิ่งลี้ลับใดๆ จนกระทั่งได้ฝันถึงชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินมาหาและบอกว่าจะมอบสิ่งล้ำค่าให้มาดูแล พระองค์รับรู้ถึงความรักและความปรารถนาดี แต่ครั้งนี้ทรงล้อเล่นกับหัวใจของลูกชายและความรักของเขามากไปหรือไม่


“มันยากสำหรับพระราชาและพ่อที่จะเป็นให้สมใจเจ้า”  มือเล็กนั้นลูบแก้มสากของพระโอรสที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดีอย่างเอ็นดู “หากวันหนึ่งเจ้าได้ครอบครองทั้งสองตำแหน่งนั้น อาจจะเข้าใจขึ้นมาอีกนิด” เนตรคมขององค์รัชทายาทวูบไหว คำว่าพ่อและราชานั้นเหมือนจะไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมถึง จนกระทั่งวันนี้…


พระองค์จะเป็นพ่อคนโดยไร้รักกระนั้นหรือ?


☼ ☽



สภาพของพระองค์ชายที่อลงกรณ์ได้เห็นนั้นดูทรุดโทรมจนไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆนี้คือองค์รัชทายาทที่กำลังจะร่วมเดินทางไปคีรีธาราด้วยกัน


“ไปกันเถิด”  อคิราห์เพียงตรัสสั้นๆไม่ขยายความว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้หนวดเคราและผมเผ้ายาวถึงเพียงนี้ ธมลที่เดินตามทำเพียงถอนหายใจ ก่อนจะรีบลากแขนอลงกรณ์ที่อชิระมอบหมายมาให้ไปด้วยกัน วันนี้เรากำลังจะออกเดินทางไปยังคีรีธาราเพื่อทำการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับคีรีราชสกุล ใช่…สกุลนั้นแล ที่มีคนเคยบอกว่าเป็นเจ้าของคนรักของพระองค์


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านธมล”


“ไม่มีอะไรหรอก”  ธมลที่กำความลับของผู้เป็นนายไว้เลือกที่จะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบอะไร จนกระทั่งเราไปนั่งกันอยู่ในรถม้า บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางก็ได้เริ่มต้นขึ้น


“ครานี้เราจะเดินทางผ่านทางด่านตะวันตกที่ 1 เพราะอยู่ใกล้กว่า”


“อืม”  ทรงตอบรับในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปยังนอกหน้าต่าง เท้าคางมองออกไปยังทิวทัศน์รอบนอกอย่างไร้จุดหมาย เมื่อไม่นานมานี้ พระองค์ได้รับจดหมายจากท่านอาว่าท่านอาจารย์หมอทิชากรจำต้องไปทำธุระที่นั่นเหมือนกัน พอบ้านเมืองเข้าสู่ความสงบ ผู้อพยพบางส่วนก็เดินทางกลับ น่ากลัวผู้อพยพบางคนก็จะจากบ้านนี้เมืองนี้ไปด้วยเช่นกัน


“ว่าแต่เจ้าขนฟูเล่า เป็นเช่นไรบ้าง”  ธมลเอ่ยถาม  ช่วงหนึ่งที่ศศิมาอยู่ที่ตำหนักของพระองค์ เจ้าขนฟูจอมแสบนั้นไม่ได้ถูกนำมาเลี้ยงดูถาวร โดยหลักๆแล้วอลงกรณ์นั้นรับดูแลไว้ให้ตลอด


“สบายดี เจ้าของมันดูแลดีเสียยิ่งกว่าอะไร”  สิ้นคำอลงกรณ์ โชคดีที่พระหัตถ์นั้นบังอยู่จึงไม่มีใครเห็นว่าพระองค์นั้นลอบยิ้มออกมา ครั้งหนึ่งทรงชื่นชอบการเรียกขานบางคนว่าคนเลี้ยงกระต่าย แต่ในตอนหลังกลับกลายมาเป็นกระต่ายทรงเลี้ยงของพระองค์เอง ได้ยินว่ามีแรงดูแลกระต่ายได้ ก็คงมีสุขดีอยู่


แล้วบทสนทนาของเราก็ดำเนินต่อไป ด้วยรีบเร่งเดินทางและการเตรียมการที่ดีเยี่ยมทั้งเสบียง ม้าสับเปลี่ยน และอื่นๆ คาดการณ์ได้ว่าเราคงไปถึงคีรีธาราในกำหนดหรือก่อนนั้น เมื่อถึงยามค่ำคืนเราก็จอดพัก เพื่อที่ตอนเช้ามืดจะได้เดินทางไปต่อในทันที


องค์รัชทายาทในสภาพที่ดูไม่ได้นั้นเดินเลี่ยงออกมานั่งชมจันทร์อยู่คนเดียว ไม่รู้ทำไมจันทร์ในป่าใหญ่ถึงได้ส่องสว่างกว่าที่แห่งไหนบนแผ่นดินนี้ ยังคงจำได้ยามที่เรายังไม่ได้เอ่ยคำรักแต่แสดงออกถึงความห่วงหายามที่เดินทางผลัดถิ่นไปยังจุดหมายเดียวกัน วันดีๆแบบนั้น พระองค์ยังคงจำได้ไม่เคยลืมเลือน


สวบ!


“หืม…”


สวบ!


“ใคร!”  ทรงเปล่งเสียงเรียกออกไป หมายให้ผู้ที่ซ่อนกายปรากฏตัว ทว่ายังไม่ทันได้ขยับพระวรกายไปมากกว่าที่คิด ร่างของพระองค์ก็เหมือนถูกแช่แข็งไว้


ชายผู้มาเยือนนั้นยิ้มร้าย ก่อนจะเดินเข้าหาอย่างไม่กลัวเกรง…


☼ ☽

“มีคนบาดเจ็บที่นอกค่าย!”  เสียงร้องดังนั้นทำให้ศศิที่กำลังจดรายการยาสะดุ้งโหยง ก่อนที่ร่างของคนท้องจะเดินอย่างระมัดระวังออกมา


“พาไปที่โรงหมอ!” สิ้นเสียงตะโกน คนเป็นหมอเพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ก็เข้าไปจัดการตรวจสอบอุปกรณ์และล้างไม้ล้างมือให้สะอาด ทั้งๆที่ช่วงนี้คิดว่าคงไม่วุ่นวายเท่าไหร่ต่อให้ทิชากรจำต้องจากไปสักอาทิตย์ก็คงไม่เป็นไร แต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจเสียจริงๆ


ได้ส่งคนเจ็บมาให้ดูแลจนได้…


“บาดแผลไม่ลึกแต่รอยไหม้ที่แผลนี่มันพิษนี่”  ศศพินทุ์ที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนั้นจดจ่อไปที่บาดแผลตรงกลางอก คนป่วยนั้นสลบไสลไม่รับรู้สิ่งใดแม้แต่ความเจ็บปวดอีกแล้ว ร่างกายของเขากำลังอ่อนแอลง


“ขะ…ข้าเจอเขาแถวทะเลสาบ”  ผู้นำมาเร่งอธิบาย นั่นเป็นข้อยืนยันถึงสภาพที่เปียกปอนไปหมดอย่างนี้


ท่านหมอน้อยนั้นสามารถรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญพิษอะไรอยู่และมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะรักษา หลักจากมั่นใจว่าไม่มีแผลที่จุดอื่นอีกก็รีบใส่ยาแก้พิษให้ ยังดีที่ไม่ได้หนักหนาเสียจนรับมือไม่ไหว จัดการเสร็จโดยไวก็ให้เหล่าผู้ช่วยออกไปหาเสื้อผ้าให้คนป่วยได้ผลัดเปลี่ยน


“นะ…หนาว” เสียงพึมพำที่ดังออกจากปากนั้นทำให้ศศิที่ช่วยเช็ดตัวให้อยู่ต้องหันไปมองหน้า เพราะอาการไข้ที่ขึ้นสูงทำให้คนป่วยละเมอ


‘หนาว…หนาวเหลือเกิน’


“หาผ้าห่มมาด้วย”  ตะโกนสั่งออกไปและพยายามจดจ่อกับหน้าที่ เมื่อนึกถึงวันนั้นในป่าที่ตนได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งต้องพิษร้าย เขาเองก็มีอาการไข้เช่นนี้ ด้วยสภาวะที่ไม่อำนวย ศศิได้แสดงความอารีกลับไปด้วยการให้ชายคนนั้นได้อิงแอบแนบชิด เพื่อที่ความอุ่นของกาย จะช่วยคลายหนาวให้ได้บ้าง


ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากวันนั้น และยาวนานตลอดไป


“เป็นใครมาจากไหนกันนะ”  คงจะเป็นชาวบ้านที่มาหาของในป่าแล้วโดนพวกโจรทำร้าย ตอนนี้บ้านเมืองข้างๆวุ่นวายจนทำให้มีผลกระทบกันไปหมด ทั้งอพยพเข้าอพยพออก ปัญหามากมายไม่เว้นแต่ละวัน


ศศิที่นั่งรอผู้ช่วยให้กลับมานั้นพินิจคนป่วยใหม่อย่างเผลอไผล เขามีบาดแผลที่สมานแล้วแต่ทิ้งแผลเป็นมากมายตามร่างกาย แม้แต่ใบหน้าเองก็มีรอยแผลเป็น หนวดเครา ผมยาว และผิวหยาบ สภาพที่ดูทรุดโทรมนี้น่าสงสารไม่น้อย ตอนนี้ใครๆก็ลำบากลำบนกัน ที่พอจะช่วยได้ก็มีเพียงแค่ให้การรักษาอย่างดีที่สุดเท่านั้น


“ท่านหมอ ข้าได้นำมาให้แล้ว” 


“งั้นเรามาเปลี่ยนให้เขากันเถิด”  ศศิเอ่ยอย่างใจดีก่อนจะช่วยกันผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนป่วยที่ทั้งเก่าและขาด ช่วยแต่งตัวจนเสร็จก็พาย้ายไปนอนบนเตียงที่ถูกจัดไว้ แม้ไม่ได้สบายเป็นที่สุดแต่ว่าก็ดีกว่านอนตายอย่างเหน็บหนาวในทะเลสาบ


คนไข้หนักเพียงคนเดียวในวันนี้นอนหลับใหลด้วยพิษไข้ ท่านหมอในชุดขาวนั้นเดินมาดูอาการเป็นระยะ สลับกับการตรวจอาการของคนที่แวะเวียนมาหา ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่อาการหนักหนาอะไร บอกวิธีการดูแล จ่ายยาและก็กลับกันไปได้หมด ดังนั้นในสำนักพยาบาลแห่งเดียวในค่ายของชายแดนตะวันตกที่ 2 จึงมีเพียงคนป่วยนิรนามหนึ่งคน กับทหารอีกราวๆสี่นายที่ได้รับบาดเจ็บและได้รับการรักษามาสักพักเท่านั้น


กิจวัตรในแต่ละวันก็ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่คนท้องที่สุขภาพใจดีย่อมนำไปสู่การมีสุขภาพกายที่ดี ในแต่ละวันศศิจะทำการจัดดูสมุนไพร ตรวจอาการคนไข้ ควบคู่ไปกับการสอนเพื่อปั้นหมอใหม่ๆขึ้นมา อนึ่งการให้ความรู้ผู้อื่น ก็ถือเป็นการให้ที่ล้ำเลิศกว่าสิ่งใด หมอคนหนึ่งสามารถรักษาคนไข้เป็นร้อยได้ และหมอสองคน…ก็ย่อมทำได้เป็นทวีคูณขึ้นไป ดังนั้นศศพินทุ์และทิชากร จึงร่วมกันสร้างหลักสูตรเพื่อการศึกษาเบื้องต้นไว้ที่นี่


แม้จะยังไม่ได้รับการรับรองจากทางการที่เมืองหลวง แต่คนป่วย…ก็ไม่อาจจะรออำนาจจากส่วนกลางเช่นกัน


“จงกดแผลตรงนี้ไว้”  ท่านหมอน้อยเอ่ยบอก ตนเองไม่ได้เป็นผู้ให้การรักษาโดยตรงตลอดแต่ปล่อยให้คนที่ได้รับคัดเลือกมาเป็นศิษย์สำนักทำบ้าง ทว่าก็ยังคงเฝ้ามองเผื่อเกิดเหตุผิดพลาด


“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาจารย์” 


“ดีแล้ว เดี๋ยวเราไปดูอาการของเตียงนั้นกัน”  เมื่อดูแลจนเรียบร้อยก็เรียกให้ลูกศิษย์ของตนเดินตามมา ชายผู้นี้ที่บาดเจ็บและถูกพามานั้นหลับไปได้จะเข้าคืนที่สองแล้ว คนเฝ้าก็บอกว่าเขาหลับๆตื่นๆ รู้สึกตัวแต่เพราะยังมีไข้จึงยังเพลียอยู่มาก


“ท่าน”  ลูกศิษย์ของศศินั้นเอ่ยเรียก สะกิดเบาๆให้เขาพอรู้สึกตัว ใบหน้านั้นดูไม่พอใจนิดๆ แต่ก็ฝืนลืมตาขึ้นมาพูดคุย ศศิยิ้มอย่างใจดีให้


“ข้าเป็นหมอของที่นี่ชื่อว่าศศพินทุ์ ท่านมีอาการอย่างไรบ้าง”


“ศศพินทุ์…” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่า


“ยังคงเวียนหัวหรือเจ็บแผลอยู่หรือไม่”


“นะ…น้ำ”  ไม่มีคำตอบที่ถูกถามไป แต่เจ้าตัวกลับแสดงความต้องการอื่นๆออกมา ศศิพยักหน้าให้ลูกศิษย์นำน้ำมาให้ ซักถามอีกนิดหน่อยเพื่อให้มั่นใจว่าอาการของเขาเป็นไปตามที่คิดไว้แล้วจึงผละจากมา


เป็นท่านหมอที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อตื่นขึ้นมา แต่แลดูเย็นชายามที่หันหลังให้จริงๆ…


☼ ☽


“นี่มันอะไรกัน?!”  เป็นอลงกรณ์ที่ตกใจจนน่ากลัวว่าวิญญาณจะถูกฉุดกระชาดไปเสียแล้ว หลังจากหลับตานอน ตื่นมาคนที่ตนต้องอารักขาไปที่คีรีธาราก็เปลี่ยนไป


กลายมาเป็นบุรุษผู้ปลิ้นปล้อนผู้นี้ได้อย่างไร?


“ก็ทิชากรไม่ให้ข้าไปด้วย”  เพราะห่วงแต่ศศิ คนที่จำต้องลาจากอย่างทิชากรจึงไม่ยอมให้อชิระเดินทางไปคีรีธาราด้วย แต่ใจมันรัก ห่างกันได้เพียงวันเท่านั้นแล…


“แต่ทางเราได้ส่งสาสน์ไปบอกว่าองค์ชายอคิราห์จะเป็นผู้เดินทางไป” 


“เจ้าเด็กอกหักรักคุดนั่นหรือจะทำการใดได้ ข้าส่งไปทำหน้าที่สำคัญแทนแล้ว!”  เผาบ้านคืองานของอชิระหรืออย่างไร ก็รู้ดีว่าถ้าทิชากรได้เห็นหน้ากันที่คีรีธาราแล้ว ความพินาศจะมาสู่ตนเองระดับไหน ก็ยังไม่วายหาเรื่องจนได้


ตระกูลนี้จะมีแต่คนหลงเมียจนไม่รู้ผิดถูกไม่ได้นะ!


“อีกอย่าง สาสน์ที่ส่งไปบอกว่าเป็นองค์ชายแห่งสิหราชนครา…”  ธมลเป็นคนร่างสาสน์ แต่อลงกรณ์ได้อ่านก่อนส่ง


“แล้วข้าไม่ใช่ตรงไหน?”


“ท่านคืนยศไปแล้ว!”


“ไปขอคืนมาแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าจะได้เมียเป็นพระญาติของคีรีราชสกุลนั่นแล”  อชิระพูดอย่างไม่ยี่หระ ก็จริงอยู่ที่คืนไป แต่ไม่นานมานี่ได้ส่งสาสน์ไปวอแวขอคืนมาแล้ว องค์เหนือหัวที่แสนระอาก็ได้ตอบกลับคำขอมา ทั้งๆที่อลงกรณ์เป็นคนเดินสาสน์ด้วยตนเอง แต่ไม่ยักกะรู้อะไร ช่างเป็นคนในบังคับบัญชาที่ซื่อตรงดีมาก ไม่เคยเปิดจดหมายแอบอ่านระหว่างทางจริงๆหรือนี่!


“แต่ท่านทิชากรไม่ให้ท่านไป!”


“ทิชากรไม่ใช่ไม่ให้ แต่แค่เป็นห่วงศศิเท่านั้น”  และอชิระก็ส่งคนที่ดูแลศศิได้ดีกว่าไปให้ถึงที่แล้วไง!


“แต่ว่า…”


“ข้าเดินทางขี่ม้าเร็วมาทั้งวันทั้งคืน ไม่อยากฟังความปากเหม็นของเจ้าอีกต่อไปแล้ว”


“….”  เป็นเช่นนั้นอลงกรณ์จึงต้องหุบปากฉับ รถม้าไปคีรีธารานั้นกำลังเดินทางอย่างขะมักเขม้น กว่าอลงกรณ์ผู้ขี้บ่นจะรู้ทราบว่ามีการสับเปลี่ยน ‘องค์ชาย’ กัน พวกเราก็มาไกลเกินจะกู่กลับแล้ว


ก็ได้แต่หวังว่าองค์รัชทายาทจะยังอยู่ดีกินดีก็แล้วกัน





TALK
สัญญาว่าต่อไปโทนเรื่องจะมีแต่ความฉดใฉ555
อย่าว่าพี่อาทิตย์ พี่อาทิตย์แค่ยุ่งและงงๆ พี่เองไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคำทำนายหรือที่บ้านน้องเลย
ในขณะที่คุณพ่อท่านไปไกลแล้วพี่อาทิตย์เพิ่งจะได้ปลดที่ละปมสองปม
ลงต่อไม่รอแล้วนะมาทุกวันเบื่อไหมคะ
งานนี้ท่านอาที่ติดเมียมากลงสนามมาเองละนะคะ
หวังว่าทุกคนคงจะชอบน้า
#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri

ฝากเรื่องใหม่ที่เพิ่งเปิดด้วยนะคะ
#คู่กินคู่กัด https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69337.msg3930635#msg3930635








ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
ทำดีมากค่ะท่านอชิระ   o13

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ท่านอาเป็นคนตลก
หลงเมียจริงๆ จู่ๆก็ขอคืนยศ จะตามไปหาเมีย
ห่างเมียไม่ได้จริงๆเลยนะท่าน

ต่อไปพ่อแม่ลูกจะได้เจอกันแล้ว

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk


ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อันนั้นคือนอกเหนือจากแผนคุณอาใช่มั้ย  :z3:
คู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกันจริงๆจ้ะ
แต่ลูกงอนแล้ว ฮึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
« ตอบ #99 เมื่อ: 06-01-2019 23:29:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ว่าแล้ววว ว่าอาทิตย์ต้องคิดว่าศศิโกหกและไม่เชื่อ แต่ว่าตอน

ล่าสุดนี่ผชคนนั้นคืออาทิตย์ใช่ไหม เราว่าใช่อะ แง้ง ขอให้ใช่ด้วยเถอะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ่ะจ้า อาหลานผู้หลงเมีย ผู้ชายคนนั้นคือพี่อาทิตย์ใช่ไหม โทรมจนน้องศศิจำไม่ได้เลยหรอ 555555

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
24
คนแปลกหน้าที่คุ้นเคยใจ
☼ ☽


ความเดิมก่อนหน้านั้น


“ท่านมาทำอะไรที่นี่”  หลานชายเพียงคนเดียวเอ่ยถาม อชิระที่เพิ่งได้รับการคืนยศมาเป็นองค์ชายแห่งสิหราชวงศ์ ได้เร่งเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่ตอนที่ทิชากรจากไป หลังจากมั่นใจว่าขบวนเสด็จของหลานชายคงแวะพักบริเวณนี้ ก็เฝ้ารอโอกาสที่จะพบเจอ


“ก่อกบฏ”


“หะ…”


“ส่งฉลององค์และตราประจำพระองค์มา”


“เมายาหรืออย่างไร”


“เอาเป็นว่าข้ามีความจำเป็นต้องไปคีรีธาราในฐานะราชทูต”


“…”


“และก็ต้องมีคนไปปกป้องชายแดนตะวันตกที่ 2 แทนข้า ไม่ต้องในฐานะแม่ทัพก็ได้”


“ข้าไปที่นั่นไม่ได้”


“ทำไมจะไปไม่ได้”


“ก็พวกท่านพูดเองไม่ใช่หรือไง ว่าจนกว่าจะปราบกบฏให้เรียบร้อยและหาทางลงให้กับศศิได้ ข้าไม่อาจไปพบเจอ เข้าใกล้ หรือแม้แต่เอ่ยถึงให้ใครได้ยิน”  นี่คือแผนการที่เราวางไว้แต่ต้น แล้วทำไมอชิระถึงได้มาบอกให้พระองค์ไปที่นั่นแทนกันเล่า!


“อคิราห์  ไม่ได้ดูสภาพตัวเองตอนนี้เลยหรือ เจ้านั้นไม่ได้งดงามสมกับเป็นองค์รัชทายาทคนเดิมแบบที่ศศิเคยรู้จักหรอกนะ”


“…”


“ตัวเจ้านั้นซูบผอม มีแผลเป็นจากการต่อสู้มากมาย ผิวก็ไม่ได้ผุดผ่อง ผมก็ยาวรุงรัง หนวดเคราก็ไม่ได้โกน เจอกันในป่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นองค์ชายที่ไหน บอกกันว่าเป็นโจรป่า ข้าอาจจะทำใจเชื่อได้ยิ่งกว่า”


“แล้วอย่างไร”


“ที่ข้าให้เจ้าไป นั่นก็เพราะทิชากรนั้นฝากข้าให้ดูแลหลานของเขาให้ดี”


“…”


“แต่ใครไหนเลยจะดูแลศศิด้วยความรักได้เท่าคนหน้าโจรอย่างเจ้ากัน”


“ท่านอา…”


“แค่ไม่ใช่ในฐานะองค์ชายอคิราห์ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”  อชิระกำลังเสนอทางเลือกที่หวานหอมให้กับหลานชายของตนอยู่ แม้ปลายทางอาจจะเฝื่อนขม แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตัวแล้ว  “ยามนี้ชายแดนมีการกวดขันเข้มงวดก็จริง แต่พวกกบฏอาจจะหมดหนทางจนแต้มและคลำหาศศิเป็นที่พึ่งสุดท้ายก็เป็นได้”


“…”


“พวกนั้นไม่เคยหยุดพยายามหรอกนะอคิราห์ ข้าก็ส่งรายงานไปบอกตลอดว่าคนของข้าได้จัดการพวกมันที่พยายามเข้ามาใกล้ศศิตั้งเท่าไหร่” แม้พระองค์จะปล่อยศศิมาไกลหูไกลตาแค่ไหน แต่หูตาของพวกมันก็ไวและติดตามมาถึงจนได้


ศศพินทุ์ที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขคงไม่รู้ว่าที่ด้านนอกมีคนมากมายที่สังเวยชีวิตตนเพราะกำลังตามหากัน แต่มันเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของกองทัพที่ไม่ได้เกินเลย หากมุ่งร้ายเข้ามา ไม่ว่าใคร หน้าไหน มีจุดประสงค์อย่างไรก็ฆ่าได้ทันที พวกเราใช้ผลประโยชน์แฝงจากกฎของกองทัพตรงนี้ในการสังหารคนที่พยายามมาจับตัวศศิไป


“แล้วท่านจะให้ข้าปลอมตัวไปหรือไง”  เพราะองค์รัชทายาทเข้าไปปรากฏตัวสั่งการไม่ได้ จึงจะให้ปลอมตัวเข้าไปหรือ


ใครจะเชื่อ…


“ข้าเตรียมการเตรียมคนไว้ให้แล้ว”


“…”


“รองแม่ทัพธวัลย์ที่อยู่รั้งแทนนั้นทราบดีว่าเจ้าจะมา จงไปแถวทะเลสาบไม่ไกลจากค่ายทหาร ที่นั่นจะมีคนรอรับเจ้าเข้าไป”


“…”


“อาจจะต้องเจ็บตัวสักหน่อย ก็ใครใช้ให้คนรักของเจ้าเป็นหมอกันเล่า!”  แล้วมันไม่มีทางออกที่ดีกับการได้ใกล้ชิดหมอใดอื่น…


นอกจากเป็นคนป่วยแล้วใช่ไหม!
.
.
.

บ้าบอจริง…
เกิดมาชาตินี้ไม่คิดเลย ว่าจะต้องมาลิ้มรสพิษนานาพันธุ์ขนาดนี้


“…”  นี่มันคุ้มหรือไม่กับการแสดงละครเพื่อให้เข้ามาในค่ายทหารของผู้เป็นอา โดยมีเหล่าคณะคนสนิทร่วมแสดงละครฉากใหญ่ เริ่มจากพบเจอกันที่นอกค่าย เอาเสื้อผ้าเก่าๆ ให้เปลี่ยน เอาแผลเป็นปลอมๆ แบบที่เหล่าผู้สืบราชการลับใช้กันมาแปะบนหน้า แม้จะถูกกล่าวหาว่าหน้าตาดูเหมือนโจรอยู่แล้วแต่มันไม่พอจนต้องสร้างความน่าเชื่อถือขนาดนี้เลยหรือ?!


ที่ว่าอชิระหวังก่อกบฏนั้น เป็นความจริงแท้เชียว…
ก็เล่นให้พระองค์ใช้ดาบฟันตัวเอง แต่ไม่บอกว่าดาบที่ให้มานั้นเคลือบยาพิษ!


“ท่านตื่นแล้วหรือ?”  เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ยอดรักของพระองค์แต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นลูกศิษย์สำนักที่เดินมาหา อคิราห์นั้นเพียงพึมพำในลำคอนิดหน่อย ก่อนเจ้าตัวจะรีบวิ่งไปตามอาจารย์ของตนเข้ามา ทรงจำได้ว่าเมื่อวานที่ลืมตาขึ้นมาตามเสียงเรียก ภาพของศศิที่ยิ้มหวานมาให้ช่างงดงามตราตรึงใจนัก…


ยิ่งคิด ยิ่งพร่ำเพ้อและหึงหวง ยิ้มสวยขนาดนี้ ใครๆ ก็ต้องตกหลุมรักเจ้านะซี!


“ตื่นแล้วจริงๆ ด้วย”  ยังนึกชมและนึกชังอยู่หมาดๆ  เจ้าตัวก็ยิ้มและค่อยๆ เดินมาหา อคิราห์ที่เพิ่งได้พบยอดรักของตนหลังจากผ่านมาเนิ่นนานก็นึกอยากฉุดรั้งคนงามเข้ามากอด แต่ติดที่ละครฉากใหญ่ที่กำลังแสดงนี้ทำให้ไม่สามารถ ทรงฝืนตีหน้านิ่งออกมา แม้ใจจะร่ำร้องอยากกอดจูบเสียเพียงใดก็ตาม


ทรงปล่อยให้ยอดรักได้ทำหน้าที่ของตน เมื่อถูกซักถามอาการก็ตอบ แต่ก็พบว่าเสียงของพระองค์นั้นแหบแห้งเสียเหลือเกิน อาจจะเพราะพิษไข้ก็เป็นได้ ยังรู้สึกเจ็บคออยู่ไม่น้อย ได้ยินว่าพิษที่ให้พระองค์รับเข้าไปนั้นมีผลทำให้มีตุ่มและผื่นขึ้นตามผิวหน้าและร่างกายด้วย ทั้งนี้ไม่เพียงแค่ให้พระองค์ป่วยไข้เสียงแหบแห้ง แต่ยังเพื่อการพรางกายอย่างแนบเนียน สภาพตอนนี้คงไม่มีใครจำได้หรอกว่านี่คือองค์รัชทายาทผู้สง่างามคนนั้น ศศพินทุ์ได้สั่งยาขับพิษให้ลูกศิษย์ไปจัดเตรียมหา ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินจากไป


หมับ…แต่บ้าเอ้ย! ทำไมมือไม่รักดีถึงไปดึงชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้อย่างนี้เล่า!


“มีอะไรหรือ”


“…”


“มีอะไรหรือเปล่า”  ยิ่งได้ยินเสียง ตบะที่บำเพ็ญไว้ก็จะแตกซ่าน อคิราห์ไม่เคยค้นพบด้านหน้าอายแบบนี้ของตนมาก่อน


“ขะ…ข้าหลับไปกี่วัน”


“วันนี้วันที่ 3 หลังจากถูกมาที่นี่”


“ละ…แล้วข้าจะหายไหม”


“หายสิ ตอนนี้แผลก็กำลังจะสมานกันแล้ว ข้าจะใจดีช่วยรักษาแผลเป็นเก่าๆ พวกนี้ด้วยนะ”  หลังจากศศิจากพระองค์ไป ก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการปราบกบฏด้วยตัวเองบ้าง หลายครั้งก็เพลี่ยงพล้ำได้แผลแต่ไม่ถึงกับเจ็บหนัก ทว่าก็ไม่เคยหยุดพักให้วัชรินทร์ช่วยดูแลแผลเป็นเหล่านี้ดีๆเลย


“เจ้าชื่ออะไร”


“จะเรียกข้าว่าหมอ หรือศศิก็ได้”


“อา…”


“ว่าแต่ลูกศิษย์ของข้าได้ถามชื่อของท่านไปหรือยัง” 


“ยัง”


“แล้วท่านชื่ออะไรหรือ”  ศศินั้นเอากระดาษที่จดอาการของผู้ป่วยนิรานามนั้นมาเปิดดู พบว่ายังไม่ได้บันทึกชื่อลงไป เจ้าตัวนั้นเงียบไปไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา


“ทิตย์”


“ทิตย์?”


“อืม”


“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปควบคุมการต้มยา ขอให้ท่านช่วยรออยู่ที่นี่ พักผ่อนไปก่อนจะได้ฟื้นตัวไวๆ ”  ศศิยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะจากไปทำหน้าที่ตามที่บอก ทิ้งให้คนมองนั้นคะนึงหา อยู่ใกล้กันเกินกว่าจะห้ามใจแต่กระนั้นก็ไม่อาจจะฉุดรั้งมากอดหอมได้


แต่แค่เพียงอยู่ใกล้ ก็ได้กลิ่นหอมสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์โชยหา
เจ้าตัวคงไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งถวิลหา อยากใกล้ชิดตลอดเวลาเยี่ยงนี้


อคิราห์ที่ใช้นามว่า ‘ทิตย์’ นั้นรักษาตัวอยู่ที่โรงหมอแห่งนี้อยู่อีกวันก็แทบจะเป็นปกติ อาจจะเพราะพระองค์พยายามทำให้บาดแผลนั้นมันน้อยที่สุดและกินยาต้านพิษไปก่อน แต่อาการไข้ก็ห้ามได้ยากเพราะทรงเร่งเดินทางมาหลังจากที่ถูกโน้มน้าวจากอชิระในตอนนั้นโดยไม่ได้หลับใหลพักผ่อนแต่อย่างใด ร่างกายที่อ่อนแอเมื่อต้องพิษจึงได้ทรุดหนักปานนั้น


หลังจากที่มีกำลังวังชาก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงเลือกที่จะเดินออกมาสูดอากาศหายใจที่ภายนอก ยามเช้าอย่างนี้ผู้คนยังบางตา คาดว่าเหล่าทหารคงกำลังฝึกฝนอยู่เป็นแน่ ทรงมองไปยังเรือนหลังเล็กที่ไปหลอกถามลูกศิษย์สำนักว่าเป็นของใครก็ได้ความว่าเป็นของยอดรักของพระองค์นั่นเอง หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อยก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไป หากหาข้ออ้างไม่ได้ก็จะเอ่ยบอกไปว่าเลอะเลือนเดินผ่านมา


“เด็กดื้อ เจ้าดิ้นเสียแรงเชียว”  หลังจากเดินวนอยู่หน้าบ้าน ก็พบว่าไม่มีใครอยู่จึงเลือกเดินมาดูที่ด้านหลัง แต่ยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ดังออกมา พร้อมกับประโยคที่ราวกับว่าเจ้าตัวนั้นกำลังสนทนาอยู่กับใคร


ศศิหรือ?


“เจ็บนะจอมแสบ นั่นใครน่ะ!” ศศิร้องถามเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ จากด้านหลัง คนตัวเล็กนั้นหันมามองก่อนจะสบตากับผู้มาเยือนโดยไม่บอกกล่าว ดวงตาแวววาวคู่นั้นวูบไหว อคิราห์ที่เข้ามาอย่างเสียมารยาทจึงยั้งเท้าไม่เร่งเข้าหาเพื่อให้อีกคนรู้สึกเป็นภัย


“ข้าเองๆ  ข้าแค่เดินผ่านมา”


“…”


“ข้าขอโทษที่เสียมารยาท”  พระสุรเสียงยังคงแหบราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง แต่ทุกคำที่เปล่งมา ย่อมอยากให้ยอดรักสบายใจ


“มะ…ไม่เป็นไร”  ใบหน้าของศศินั้นซีดเซียว ปกติตนก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้หรอกแต่วันนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไร เห็นอากาศดีๆ ยามเช้าอันสงบสุขเป็นไม่ได้ ต้องออกมานั่งรับลมคุยกับลูกแบบนี้


“ท้องของเจ้า”  ก็ไม่แปลกหรอกที่คนที่เห็นจะตกใจและสงสัย ศศิที่เมื่อครู่ถลกชายเสื้อขึ้นและใช้มือของตนสัมผัสกับหน้าท้องโดยตรงเร่งปิดมัน เขาคงเห็นแล้วว่ามันโป่งนูนออกมาผิดปกติ ก็ใช่…นี่มันจะเดือนที่ 8 แล้ว


ตอนนี้คนรอบข้างต่างก็สงสัยแต่ยังเกรงใจเลยไม่ได้ถามออกมา


“ขอโทษที่ทำให้ท่านหวาดกลัวนะ แต่ข้าไม่ใช่ปีศาจหรืออะไรหรอก”  คนต่างถิ่นที่ไม่รู้จักกันดีอาจจะคิดไปไกล หวังว่าเขาจะไม่โพนทะนา


“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก”  เมื่อเห็นแววตาวูบไหวคู่นั้น คนมองก็รู้สึกปวดแปลบแทนไปหมด นี่ศศิต้องทนแบกรับอะไรบ้างในช่วงนี้  “เพียงแต่สงสัยว่าเจ้าตั้งครรภ์อยู่หรือ”


“…”


“ข้าคงไม่ได้ละลาบละล้วงจนเกินไป”  มันยากเหลือเกินที่จะพยายามทำตัวเหินห่าง ทั้งๆ ที่อยากกอดปลอบเอาเสียมากๆ แบบนี้


“ใช่แล้ว”


“…”


“คงประหลาดใจสินะ”  ศศิพูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนคนมองไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกเช่นนั้น ทว่าความรู้สึกที่เขาเผชิญนั้นมันท่วมท้นกว่านั้น ทั้งเสียใจที่ไม่เคยเชื่ออย่างสนิทใจ ทั้งรู้สึกเหมือนได้ปลดแอกตัวเองออกจากทุกข้อสงสัย และสุดท้าย


ทรงปลาบปลื้มพระทัย…เพราะนั่นไม่อาจจะเป็นลูกใครนอกจากลูกของพระองค์เอง…


“กี่เดือนแล้วหรือท่านหมอ”น้ำเสียงที่ยังแหบอยู่นั้นถูกปรับให้อ่อนโยน


“จะแปดเดือนแล้ว”


“แล้วท่านจะคลอดเมื่อไหร่”


“คงจะเหมือนสตรีทั่วไปที่คลอดตอนครรภ์ราวๆ เก้าเดือน”  ศศินั้นตอบกลับอย่างเต็มใจ ด้วยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีละลาบละล้วงให้ไม่สบายใจแต่อย่างใด กลับกันการที่ต้องปกปิดเป็นความลับนานๆ  มันเป็นความทรมานรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้มากมายแต่กัดกินใจอยู่บ้าง


“สามีของท่านเล่า”


“เขาไปทำงานน่ะ”  ศศิเพียงตอบสั้นๆ  หากอีกฝ่ายมีมารยาทพอคงรู้ได้ว่าไม่สะดวกจะตอบ เพราะจริงๆ ศศิเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้มากกว่านี้


อคิราห์ท่านอยู่ที่ไหนกัน?


“ท่านเล่า ลูกเมียอยู่หนใด”  เมื่อถูกถามกลับ คนถูกถามก็จะตั้งรับไม่ทันอยู่หน่อยๆ


“คนรักของข้ารอให้ไปรับอยู่ โชคร้ายที่โดนปล้นระหว่างทาง”  นี่ก็ไม่ได้ถือว่าโกหกมดเท็จจนเกินไป ทรงถูกช่วงชิงอาภรณ์และเครื่องสัญลักษณ์การเป็นรัชทายาทแห่งสิหราชนคราไปโดยรองแม่ทัพแห่งค่ายทหารแห่งนี้ หากธวัลย์ไม่ใช่เพื่อนสนิทที่คบหามาเนิ่นนานและไว้ใจได้ ก็คงไม่ยินยอมให้เก็บของสำคัญพวกนั้นให้หรอก


“เขาช่างโชคดีเสียจริง น่าเสียดายที่ท่านโชคร้ายไปหน่อย”  คำพูดของศศินั้นแม้จะว่าไปตามเนื้อเรื่องที่พระองค์เอ่ยถึง แต่ก็กินใจไม่น้อย ศศิโชคดีจริงๆ หรือที่ยังเป็นที่ถวิลหาอยู่เช่นนี้ ส่วนอคิราห์ไม่ได้โชคร้ายไปเสียหน่อยหรอก น่าจะโชคร้ายอย่างมาก นอกจากจะต้องจากคนรักมาไกล ไม่เชื่อว่าเขามีลูกให้ ทะเลาะกับพ่อและขุนนางทั้งวัง จบท้ายด้วยถูกอาแท้ๆ ล่อลวงอย่างโง่งมให้หาเรื่องมาฟันตัวเองให้บาดเจ็บ และเป็นไข้กายไข้ใจอยู่ที่นี่


แม้ไม่อาจจะพูดได้ว่าบทสนทนาของเราหวานชื่นอย่างที่นึกอยากให้เป็น แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป ศศิเชื้อเชิญให้พระองค์นั่งสนทนาด้วย คนท้องมักจะขี้เหงาเพราะทำอะไรมากมายก็ไม่สะดวกนัก หากเป็นชายอื่นถูกเชื้อเชิญแบบนี้บ้าง ถ้าทรงมาได้รู้ภายหลังพระองค์คงอกแตกตาย ทว่าเลียบเคียงถามก็ทราบว่าปกติคนงามนั้นอยู่กับน้าชายตลอดเวลา มีแค่ตอนนี้ที่ทิชากรไม่อยู่จึงต้องดูแลตนเอง


“งั้นมีอะไรให้ข้าช่วยไหม”


“ท่านยังป่วยอยู่นะ เตี้ยอุ้มค่อม คงไม่ดีเท่าไหร่”  ยอดรักของพระองค์หัวเราะเสียงใส ช่างน่ารักน่าชังจนอยากฟัดแก้มแม่ของลูกให้หายคิดถึงสักคราแต่ก็ต้องหักห้ามใจ


“ไม่หรอก ข้าสบายขึ้นแล้ว”


“แต่ท่านต้องรีบไปหาคนรักนี่”


“ยังไม่ถึงเวลานัดหมาย”


“อย่างนั้นหรือ?”


“ให้ข้าได้ตอบแทนบ้าง จนกว่าน้าของท่านหมอจะกลับมา”


“…”


“สักอาทิตย์ ข้าคงรั้งรออยู่ได้”  อคิราห์นั้นกล่าวบอกให้อีกฝ่ายวางใจ ด้วยเพราะพูดคุยถูกคอหรือเพราะอะไรไม่รู้ ศศิที่ไม่ได้เชื่อถือคนง่ายๆ กลับครุ่นคิดไม่นาน


“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอรบกวนท่านด้วย” เป็นอันว่าแผนการเข้าหาเพื่อปกป้องดูแลแบบที่อชิระและหัวใจได้ฝากฝังก็เป็นอันได้เริ่มต้นขึ้น ต่อจากนี้พระองค์หมายมั่นจะทำหน้าที่ให้ดี ทรงเป็นองค์รัชทายาทเพื่อปวงชนและราชวงศ์ที่ดีมานานแล้ว


ในยามนี้ก็โอกาสให้ได้เป็น ‘สามี’ และ ‘พ่อของลูก’ ที่ดีบางเถิด…

☼ ☽


“ขอบคุณท่านมาก”  ศศิเอ่ยขอบคุณที่เขามาช่วยกวาดถูเรือนให้ แม้ว่าจะขอให้ลูกศิษย์มาช่วยได้ แต่ก็อยากให้พวกเขาเอาเวลาไปทุ่มเทกับการทบทวนตำรามากกว่า


“ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรอยากให้ข้าช่วยอีกไหม”


“พักผ่อนก่อนเถิด นี่มันก็จะได้เวลาข้าวเย็นแล้ว”  ศศิเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หวานเสียจนคนมองอยากจะยิ้มตาม


เป็นเวลาเกือบสองวันที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับคนรัก บางทีศศิก็จะนั่งอ่านหนังสือ คุยกับลูกเบาๆ และมีเจ้ากระต่ายตัวแสบเล่นอยู่รอบๆ ไม่ไกล รอบตัวของร่างบางนั้นดูสงบเงียบแต่เต็มไปด้วยความสุขใจ และมันได้เผื่อแผ่มาถึงพระทัยของพระองค์ที่ว้าวุ่น ชีวิตแบบนี้ไม่ได้แย่เลย ดีกว่าที่พระองค์เคยมีตลอดหลายเดือนที่อยู่อย่างสุขสบายมีคนปรนนิบัติรับใช้เสียด้วยซ้ำ


“ข้าจะไปยกสำรับมาให้นะ”  เมื่อมองฟ้า ก็คิดว่าได้เวลาที่ต้องทานอาหารเย็นกันแล้ว และตั้งแต่ที่ได้ล่วงรู้ความลับ คนท้องก็อนุญาตให้ร่วมโต๊ะด้วยกันได้ที่หน้าเรือนแห่งนี้ ศศิประพฤติตนเหมาะสมดี แต่น่ากลัวว่าหากนี่ไม่ใช่พระองค์แล้ว ใจดีมาอย่างนี้ไม่รักตอบก็ดูจะเย็นชาเกินมนุษย์แล้ว


หลังจากที่ไปขอสำรับจากโรงครัวของกองทัพ อคิราห์ก็ยกมันมาให้ ทว่าศศิก็ไม่ได้อยู่ที่บริเวณหน้าบ้านแต่อย่างใด ถ้าให้เดาก็อาจจะอยู่ด้านในหรือด้านหลัง และเพราะไม่เหมาะสมที่จะเดินเข้าไปหา จึงลองเดินไปเลียบๆ เคียงๆ หลังเรือนดู และก็พบว่าศศิกำลังวางมืออยู่บนท้อง สีหน้าดูทรมานอยู่บ้าง


“เป็นอะไรหรือ”  ในตอนนั้นหาได้สนใจความเหมาะสมหรือฉากละครใดแล้ว พระองค์ทรงถลาเข้าไปหาคนรักด้วยความห่วงใย ศศิเพียงเหลือบมองมาก่อนจะปิดตาลง เหงื่อกาฬไหลไปทั่วใบหน้า


“เจ้าตัวแสบออกกำลังมากไปหน่อย”


“ลูกหรือ พวกเขาทำอะไรเจ้า”


“เตะแรงและบ่อยไปหน่อย ข้าเจ็บ”และไม่รู้ว่าเพราะคำบอกเล่าเท่านี้มันดึงสัญชาตญาณความเป็นพ่อให้ออกมาหรือไม่ แต่อคิราห์ไม่แม้แต่จะขออนุญาต ฝ่าพระหัตถ์หนาวางลงบนหน้าท้องที่นูนออกมา ทรงรับทราบได้ถึงแรงกระเทือนจากอีกฟาก เพียงแค่นี้ก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของอีกคนที่อยู่ในนั้น


เลือดเนื้อเชื้อไขของเราสองคน


“หากเปิดผ้าออกมา คงเห็นเป็นรอยเท้าเจ้าแสบแน่ๆ ”  ว่าแล้วก็อยากเห็นเหลือเกิน แต่ศศิไม่ได้เปิดท้องออกมา และคนที่ไม่สนิทสนมก็ไม่ควรไปจับเขาถอดเสื้อผ้าใช่ไหมเล่า อคิราห์ที่จ้องมองใบหน้าคนรักที่สะดุ้งโหยงก็พลันคิ้วขมวด แสบอย่างที่แม่ของพวกเขาบอกไว้ แสบจริงๆ


“เจ้าแสบ อย่าแกล้งแม่”  ทรงตรัสออกไป


“…”


“ไม่งั้นออกมาเมื่อไหร่จะตีให้หลังลาย” พลันการกระทำอันดื้อรั้นก็หยุดลงราวกับทารกน้อยรับรู้และเข้าใจ


แต่หัวใจของคนที่นั่งฟังตรงนี้กลับเต้นไม่เป็นส่ำ


“ข้าออกไปจัดอาหารก่อนนะ ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ร้องเรียกได้” เขาผละออกมา ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแม้ใบหน้าจะดุจนคนมากมายหวาดกลัว น้ำเสียงที่บอกกล่าวนั้นมันคุ้นเคยอย่างประหลาด อีกทั้งสัมผัสจากมือนั้น


มันทำให้ศศิคิดคิดถึงบางคนจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว!


ใช้เวลาอยู่สักพักจึงเดินออกมาทานข้าวที่ด้านหน้าเรือนด้วย เจ้าของนามว่าทิตย์นั้นยิ้มให้ เขาเลื่อนจานข้าวที่ตักมาไว้ตรงหน้า ก่อนจะตักกับที่ไปขอมาไว้ให้ น่าแปลกที่การกระทำของคนแปลกหน้าทำให้ใจของศศิเต้นระรัว โดยเฉพาะเมื่อทุกสิ่งบนจาน ล้วนเป็นที่โปรดปรานของตน


“ผักนี่ดูจะกรอบไม่น้อย เจ้าคงชอบ”


ใช่…ศศิชอบ


“หมูนี่เขาก็ตุ๋นอย่างดี น่าจะเอร็ดอร่อย”


และมันก็อร่อยจริงๆ


“แต่กินนี่มากๆ ไปไม่ดี เจ้าต้องดูแลสุขภาพ”


ศศิก็รู้หรอก แต่มันอดไม่ได้นี่นา


“ซดน้ำซุปเสียหน่อยจะได้คล่องคอ เอ้านี่…ข้าเตรียมมาให้แล้ว”


“…”


“อิ่มแล้วหรือ”


“อื้ม”


“แต่ต้องทานเยอะๆ นะ ของพวกนี้ดีต่อตัวเจ้าและลูกของเจ้า”


“อืม ข้าจะกินอีก”


“ดี…”


“…”


“เด็กดี” 

หัวใจนี่พลันเต้นแรง ยามเมื่อได้ยินเสียงเรียกและยามเมื่อได้สบตา


“…”


“…”


“กินเยอะๆ นะ”  เขาที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงนิสัยเสียของคนหลงเมียออกไปก็รีบก้มหน้ากลบเกลื่อน หากศศิหวาดระแวงในตัวทิตย์ขึ้นมา โอกาสจะเข้าหาย่อมมีเป็นศูนย์ แต่กระนั้นก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดจากะลิ้มกะเหลี่ยเมียตนเองแบบนี้ จะโกรธศศิที่ใจดีไปทั่วก็ไม่ได้ ที่ควรไม่ชอบใจก็คือไอ้เจ้าทิตย์นี่แล


บ้าไปแล้ว นี่อคิราห์กำลังหึงตัวเองอยู่หรือไง!


หลังจากที่ทานอาหารหมดก็ถึงเวลากล่าวลา เจ้าของร่างสูงนั้นมองคนตัวเล็กเข้าไปในบ้านจนลับตา ก่อนจะเดินยกสำรับไปเก็บที่โรงครัว ฟ้ากำลังจะมืด พระองค์หวังเพียงได้อาบน้ำอาบท่าและจะเข้านอน ทว่าธวัลย์นั้นกลับเดินสวนกันก่อน


“เจ้าเอาสำรับจากชายคนนี้ไปเก็บแทนทีสิ”  รองแม่ทัพเอ่ยสั่ง รอให้ลูกน้องของตนปฏิบัติแล้วจึงเชื้อเชิญกันให้ไปที่กระโจมส่วนตัว


“เฮ้ออออออออ”  เมื่อลับตาคน องค์รัชทายาทผู้ตกยากก็ถอนหายใจออกมา ส่วนธวัลย์นั้นก็หัวเราะราวกับเป็นคนบ้าที่ได้เห็นเพื่อนยากต้องมาตกระกำลำบากปลอมตัวง้อเมีย


“ง้อเมียมันเหนื่อย ข้าเข้าใจ”


“ไม่ได้ง้อ”  มาตามดูแล


“ให้เขาออกจากบ้านตั้งหลายเดือนปล่อยให้อุ้มท้องรอแถมไม่เคยจะมาพบหน้าเพื่อล่ำลา ถ้าเจ้าศศิไม่โกรธข้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร”


“เจ้าศศิ…”


“เฮ้ย ข้าเห็นเจ้าศศิเหมือนน้องนุ่ง อย่าได้มาเสียเวลาหึงเชียว คนที่นี่ไม่มีใครคิดจีบหรอก พ่อน้องมันเป็นแม่ทัพจอมโหด แม่มันเป็นท่านหมอจอมเหี้ยมเช่นนั้น ใครจะกล้า อ่อใช่...ก็ดูจะมีชายผู้หนึ่งที่ลักลูกเขาไปกินในบ้านและปล่อยทิ้งกลับมาพร้อมท้องโย้ๆ” ยิ่งตอกย้ำ ก็ยิ่งเครียด แต่เออจริง…ตอนนี้ไม่ง้อก็เหมือนง้อ ที่ธวัลย์ว่ามา ทั้งให้ออก ปล่อยให้อุ้มท้อง ไม่เคยล่ำลา ถ้าศศิไม่โกรธ ก็มีเมตตาดุจมหาเทพแล้ว



“ข้าจะทำยังไงดี”  ปัญหาที่ว่าจะแก้กับทางราชวงศ์ก็ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วมีโอกาสโดนเมียงอนอีก เลือกรับมือไม่ถูกจริงๆ


“ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่ว่าท้อง ข้าเองก็คันปาก ตอนนั้นที่ไปหาได้เจอกันก็อยากจะบอกใจจะขาด ติดที่ท่านทิชากรรู้ทันมากำชับก่อนเดินทางว่าหากพลั้งปากจะวางยาให้ระบบสืบพันธุ์เสื่อม เลยจำใจต้องกลืนลงคอไป ตอนนี้ดีแล้วที่มาเห็น ทั้งข้าและท่านอชิระไม่มีใครผิดสัจจะและเจ้าตัวก็หายโง่เสียที ช่างเป็นเรื่องดีที่จะได้ร่ำสุรา”


“เออข้ามันโง่”


“ตอนนี้ก็โง่ เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่าศศิมีลูกให้เจ้าได้”


“…”


“เช่นนี้เจ้าก็เห็นแล้วล่ะสิ ว่าไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขกฎมณเฑียรบาลอะไร”


“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าศศิจะยอมกลับไปด้วย” ต่อให้ไม่งอนก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าความต้องการของอีกฝ่ายเป็นเช่นไรในตอนนี้ แต่ก่อนไม่เคยอยากได้ยศถาอะไร ตอนนี้ก็น่ากลัวว่าจะยังไม่เปลี่ยนใจเหมือนเดิม


“ฉุดสิ ใช่เล่ห์มารยาชายแบบที่เคยใช้ อลงกรณ์เล่าให้ข้าฟังหมดแล้วว่าเจ้านั้นแค่ส่งข่าวไปบอกว่าป่วย น้องมันก็รีบแจ้นไปหาเลยใช่ไหม”  ก็ใช่…และหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับออกไปอีกเลย จนกระทั่งมีปัญหานั่นแล


“แล้วมารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ลา”


“ก็พอเห็นศศิท้อง ข้าที่เอ็นดูเหมือนน้องนุ่งก็แทบปรี่ไปฆ่าไอ้ชายชั่วนั่น โชคดีของมันที่ศศิอธิบายให้ฟังก่อน แต่ก็ไม่วายจะตัดพ้อ ว่าเจ้าปล่อยให้ตื่นมาคนเดียวและให้คนมารับออกไป”


“…”


“งอนแน่นอนอคิราห์ เจ้าต้องได้ง้อเมียแน่นอน”  ไม่ต้องให้ใครมาทำนายอนาคตเลย ที่ศศิยังใจดีด้วยถึงทุกวันนี้ เพราะบุญของไอ้เจ้าทิตย์มันทั้งนั้น ไม่ใช่บุญเก่าเก็บขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเลย!  “มีอีกเรื่องที่ท่านอชิระกำชับให้บอกเจ้า”


“อะไร” เมื่อสายตาของเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนไปก็ทำให้รู้ว่าต่อไปนี้จะมีแต่เรื่องสำคัญ ธวัลย์นั้นถอนหายใจ ก่อนจะเปิดปากออกมา


“เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม”


 ==============
TALK ง้อเมียต่อไม่รอแล้วนะ by พี่อาทิตย์
ยังคงคอนเสปต์มาทุกวัน แต่อาจจะเว้นบางวันหน่อยนะ555
ฝากต่อไม่รอแล้วนะ แล้วจะมาใหม่จ้า
#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ป๊อดนี่นา 555555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ว้ายยยย มีคนโดนเมียงอน 555555 ในที่สุดก็ได้รู้สักทีนะว่าน้องท้องจริงๆ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อาหลานเล่นใหญ่กันมากเด้อ 555555555
เห็นด้วยกับคุณรองแม่ทัพ ถ้าเขารู้ความจริงก้สนุกเลยทีนี้

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
มาง้อน้องเลย เป็นแม่ที่ตั้งท้องดูแลลูกเหนื่อยนะ

คุณพี่ต้องรีบเคลียร์ปัญหาและดูแลตัวเองมากๆ

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk


ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
25
เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม
☼ ☽


‘เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม’
ถ้าจะบอกว่ารู้จัก แต่ไม่เข้าใจ…จะได้ไม่เล่า!


“หน้าโง่เยี่ยงนี้คงไม่เข้าใจอะไรเลยสินะ”


“หากไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนและความช่วยเหลือ ข้าจะสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตร”


“ใจเย็นอคิราห์ ข้ากำลังจะอธิบายให้เจ้าฟัง” เมื่อเห็นเพื่อนรักเริ่มแสดงตนเป็นองค์รัชทายาทบ้าอำนาจ คนที่ด่าว่าไปก็รีบเข้ามาประจบประแจง


“…”


“แต่บอกมาก่อนว่ารู้อะไรบ้างไหม”


“จันทราปราการเป็นตระกูลผู้มีบทบาทในประวัติศาสตร์ของคีรีธารา แต่ก็มีช่วงที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์”  พระองค์ตรัสราวกับท่องมาจากตำรา


“อาจารย์การปกครองต้องภูมิใจในองค์รัชทายาท”  ไม่ต้องรอสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรหรอก…


จัดการมันเงียบๆตรงนี้เลยดีกว่า!


“สายชล เจ้าเข้ามาหน่อย”  ทว่ายังไม่ทันได้ฆ่าใคร เหยื่อที่รู้ทันก็เรียกบุคคลที่สามเข้ามา เจ้าของร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่ดูจะอ่อนกว่าศศพินทุ์สักหน่อยเดินเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพรองแม่ทัพและพระองค์อย่างนอบน้อม


“ข้าชื่อสายชล” เกรงว่าเด็กคนนี้ก็ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของบุรุษตรงหน้า แต่อย่างนี้มันดีกว่า


“สายชลนั้นคือคนของจันทราปราการ”  สิ้นคำแนะนำของธวัลย์ อคิราห์ก็หันไปจ้องมองใบหน้าของเด็กคนนี้อีกครั้ง


“ขอรับ ข้าเป็นคนของจันทราปราการ”  เด็กน้อยขานรับอย่างว่าง่าย “เหมือนกับท่านเจ้าตระกูลทิชากร กับพี่ศศิขอรับ”  และชื่อที่ถูกเปล่งออกมาเป็นชื่อสุดท้าย ก็ทำให้พระองค์หันกลับไปมองพระสหาย


“ท่านอาของเจ้าบอกข้าว่าเมื่อเจ้ารับรู้เรื่องศศิมีลูกเมื่อไหร่ ให้อธิบายความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับจันทราปราการให้หมด” และนั่นคือเหตุผลที่ธวัลย์ไปล่อลวงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มา ทำดีจนอยากมอบรางวัลให้


“ข้าเห็นว่าท่านคือคนรักของพี่ศศิเลยอยากจะช่วย”  ถ้าทิชากรทราบเรื่อง ก็ไม่รู้ว่าเด็กมันจะโดนอะไรบ้าง แต่เอาเป็นว่า


ขอพระองค์ได้ทราบเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน!

☼ ☽


จันทราปราการไม่ได้เป็นชื่อดินแดนหรือกำแพงแต่อย่างใด…


ทว่าจันทราปราการคือกลุ่มคนที่ร่วมบูชาเทพแห่งจันทราเหมือนๆกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล คนเหล่านั้นรวมตัวกันอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำธารา แม่น้ำที่เป็นสายหลักหล่อเลี้ยงทุกชีวิตของคีรีธารา


ว่ากันว่าด้วยเป็นที่โปรดปรานขององค์เทพ จึงดลบันดาลให้เกิดความรู้ความสามารถแก่บุคคลในกลุ่ม นานเข้าจันทราปราการก็เป็นเจ้าของความเจริญต่างๆ เมื่อมีมากมายจึงเผยแพร่ ความเจริญเหล่านั้นได้ดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้าไปเล่าเรียนศึกษา มากเข้าจากดินแดนเล็กก็ใหญ่โต กลายมาเป็นคีรีธารา ดินแดนแห่งแม่น้ำและภูเขาเฉกเช่นปัจจุบัน


จึงกล่าวได้ว่าจันทราปราการคือผู้ก่อตั้งอาณาจักรข้างๆของสิหราชนคราไม่ใช่สถาบันกษัตริย์ แต่เป็นอาณาจักรที่กำเนิดมาโดยความเคารพในเทพจันทรา ต่างกับสิหราชนคราที่เชื่อว่าตนสืบเชื้อสายจากผู้บูชาพระอาทิตย์..ที่มีรูปอวตารเป็นสิงโตเจ้าป่า


“…”


“จันทราปราการมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ปกครองแห่งคีรีราชสกุล แต่ก็วางตัวเป็นเพียงปราชญ์ผู้ให้ความช่วยเหลือ ไม่เข้าไปยุ่งทางการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับการปกครองอย่างลับๆ”  เด็กน้อยสายชลยังคงอธิบาย ด้วยเพราะไม่ต้องการวุ่นวายจึงไม่เคยแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็มีอำนาจอยู่เบื้องหลังมาตลอด เป็นระบบความสัมพันธ์ที่ต่างจากดินแดนของพระองค์อย่างสิ้นเชิง


“ในบางครั้งก็มีคนของจันทราปราการแต่งงานกับคนของราชวงศ์”  มาถึงตรงนี้ พระองค์ก็รู้สึกหงุดหงิดพระทัย ที่มีคนเคยพูดว่าศศิเกิดมาเพื่อกษัตริย์ของทางนั้น ระบบความสัมพันธ์นี้นะหรือที่เอื้อให้ยอดรักของเขาไปเป็นของใคร!


“มีหลายคนมาทาบทามตอนที่พี่ศศิเกิด ด้วยอยากจะเกี่ยวดองกับสายหลักของตระกูล และเพราะคำทำนายนั่น จึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย”


“คำทำนาย?”


“ด้วยวันเกิดของพี่ศศิ ตรงกับวันที่มีสุริยุปราคาเนิ่นนานตลอดช่วงเวลาทำคลอด อีกทั้งแม่น้ำคีรีพลันหยุดนิ่งไร้คลื่นลม  ความมืดมิดเข้าบดบังเป็นที่น่ากลัวไปทั่วดินแดน ทว่าเมื่อพี่ศศิลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ปรากฏพระจันทร์ส่องสว่างงามตา เด็กน้อยที่ร้องระงมพลันหัวเราะและยิ้มสดใส ต้นไม้พืชพันธุ์ที่ล้มตาย กลับมามีชีวิตชีวา และคนป่วยก็ยิ้มได้หายเจ็บเมื่อแสงจันทร์ส่องสว่าง”


“…” 


“ว่ากันว่าเป็นการประทานพรจากเทพเบื้องบน และด็กที่เกิดกับจันทราปราการที่เป็นผู้บูชาสายหลักเป็นผู้นำพรเหล่านั้นลงมายังโลกมนุษย์”


“คุ้นๆไหมว่าเหมือนใคร”


“ไม่…”


“โหย…ไอ้คนเกิดวันอาทิตย์ทรงกลด..”  ธวัลย์นั้นพึมพำอย่างหงุดหงิดที่สหายรักไม่เปิดโอกาสให้แทรก แต่เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดมาก่อน ทว่าพระองค์ไม่ได้พบเห็นมันด้วยตัวเอง เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าเท่านั้น


เพราะพระองค์เองก็เป็นคนที่ว่ากันว่าทวยเทพให้ลงมาเอ่ยกล่าวพรแก่มนุษย์
และเพื่อเกิดเป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้า พร้อมนำพาราชวงศ์และบ้านเมืองไปสู่ยุคทอง


ทั้งนี้เพราะความเชื่อและต้นกำเนิดของสองเมืองนั้นไม่เหมือนกันเสียทีเดียว คีรีธาราเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาจากผู้บูชาพระจันทร์คือผู้นำพร แต่สิหราชนคราเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาในรั้วพระราชวังซึ่งเป็นชนชั้นปกครองคือคนนั้นที่กุมชะตา และในวันที่เกิดอาทิตย์ทรงกลดที่นำพาซึ่งฝนอันชุ่มช่ำหลังภัยแร้งอันยาวนาน ก็มีเพียงแค่เด็กคนเดียวในรั้ววังที่ถือกำเนิด และเป็นคนเดียวตามทะเบียนราษฎร์กระมัง ที่เกิดในช่วงเวลาพระอาทิตย์ทรงกลดนั้น พอดิบพอดี…


คือพระโอรสขององค์เหนือหัวองค์ปัจจุบัน และนั่นคือพระองค์เอง…


“สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นย่ำแย่ เกิดการแบ่งฝักฝ่ายจากกลุ่มราชวงศ์และกลุ่มล้มล้างซึ่งเป็นเหล่าขุนนางที่ขัดแย้งทางผลประโยชน์ การกำเนิดของพี่ศศิถือเป็นความหวังของใครหลายๆคน อาจจะเพราะความเจริญหลังจากที่องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครากำเนิดนั้น ผู้คนยกเป็นตัวอย่างและต่างเชื่อไปเช่นนั้นจ้ะ”


“ดูสิ เพราะใคร” ธวัลย์นั้นเอ่ยพูด แม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าทรงเป็นสาเหตุการสูญหายของจันทราปราการในดินแดนบ้านเกิด แค่เกิดก่อน และถูกพูดไปก่อน ก็กำหนดชะตาคนที่ตามมาข้างหลังได้เสียอย่างนั้น


“ทางราชวงศ์ได้เข้ามาทาบทามพี่ศศิให้ไปหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทจ้ะ แต่ท่านเจ้าตระกูลไม่ให้”


“ท่านทิชากรนะหรือ” เป็นทิชากรนั่นแล


“แม้จะยังเด็กอยู่มาก แต่ก็เด็ดขาดเหลือเกิน เมื่อปฏิเสธไปแล้ว ทางนั้นก็ไม่ยอมรับ คีรีเขตที่เห็นว่าถ้าคีรีราชสกุลได้ตัวพี่ศศิไป จะส่งผลเสียทางความน่าเชื่อถือจากประชาชนแก่ทางตน จึงออกไล่ล่าพวกเรา ตอนนั้นคีรีราชสกุลเองก็บีบเราโดยการไม่ให้ความช่วยเหลือจนกว่าจะยกพี่ศศิให้ หนักเข้า พวกเราจึงต้องหนีมา”


“…”


“จริงๆแล้วที่คีรีราชสกุลนั้นต้องการพี่ศศินักหนาเพราะคำทำนายของโหราจารย์ทั่วราชอาณาจักรบอกเป็นเสียงเดียว”


“อะไรรึ”


“เด็กที่เกิดกับพี่ศศิจะนำพาความเจริญของอาณาจักรให้ขึ้นสูงเปรียบเป็นยุคทอง อยู่กับราชวงศ์ไหน ก็จะช่วยส่งเสริมนำพาผู้เป็นใหญ่ในราชวงศ์นั้นให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป คำทำนายก็ประมาณนี้”


“…”


“แต่ท่านทิชากรต้องการให้พี่ศศิได้เลือกเอง และเพราะไม่อยากวุ่นวายกับการเมืองอีกต่อไปจึงมีคำสั่งให้หนีมา อีกทั้งไม่ต้องการให้พี่ศศิไปกี่ยวดองกับคีรีราชสกุลอย่างนั้น เพราะครรภ์ที่ออกมาอาจจะไม่สมประกอบได้”


“ด้วยเหตุอันใด”  เมื่อฟังเช่นนี้ก็ห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ


“องค์ราชินีผู้เป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทมีศักดิ์เป็นป้าใหญ่ของพี่ศศิจ้ะ ทรงเป็นพี่สาวคนโตของท่านทิชากร หลังจากที่หมั้นหมายกับคีรีราชสกุล ก็ตัดขาดกับทางตระกูล มีไม่กี่คนหรอกจ้ะที่รู้ว่าจันทราปราการมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดถึงเพียงนี้ และเพราะเป็นพระญาติที่มีสายเลือดใกล้ชิด ต่อให้อีกฝ่ายจนตรอกแค่ไหน ท่านทิชากรก็ไม่ยอมให้ยกพี่ศศิไปให้หรอก”


“แล้วคำทำนายนั่น ถ้าไม่ใช่องค์รัชทายาทแห่งคีรีธาราแล้วเล่า”  ธวัลย์นั้นพึมพำออกมา


“ไม่มีใครคิดเรื่องสิหราชนคราหรอก เราเลือกมาตั้งหลักอยู่ไกลจากพระราชวังถึงเพียงนี้แล้วนี่”  เด็กน้อยยังคงไม่รู้อะไร ตนเพียงทราบเรื่องราวเหล่านี้จากผู้อาวุโสที่เพิ่งยอมเปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ที่คีรีธาราปลดแอกจากคีรีเขตได้ แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเข้าใจแล้วว่าทำไมทิชากรถึงค่อนข้างจะกีดกันพระองค์กับยอดรักนัก


เพราะปัญหาทางการเมืองระหว่างคีรีธารากับสิหราชนคราอาจจะเกิดขึ้นได้
ด้วยแย่งหนุ่มน้อยคนงามที่มาจากจันทราปราการกันนี่แล… 


“เอาแล้วไง”  ฐานะของศศิเรียกว่าไม่ได้ด้อยกว่าอภิชญาแล้วในตอนนี้ นอกจากจะเป็นพระญาติของอาณาจักรข้างๆ มีความรู้และบำเพ็ญประโยชน์อยู่ชายแดนอาณาจักรนี้ และลูกของศศิ ก็เข้าชะตาน้ำงามที่โหรหลายสำนักต้องยกนิ้วให้


จะติดตรงที่ อาจจะงอนอยู่
และไอ้ญาติบ้าบอของเจ้าตัวมันริอาจจะมาอยากได้เมียของพระองค์นั่นแล…


“กองทัพจะสนับสนุนพระองค์เอง”  ธวัลย์นั้นตบไหล่ของเพื่อนด้วยเห็นใจ จริงๆตนพอรู้มาบ้าง แต่มาฟังความสรุปแบบเต็มๆก็เห็นใจไม่น้อย เห็นใจเพื่อน…


“ดีแล้วนะจ้ะที่พี่ชายกับพี่ศศิได้รักกัน ท่านทิชากรเคยบอกว่าถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ขยันขันแข็งอดทนและรักจริงก็ยินดีจะยกให้”  และสงสารไอ้เด็กนี่ที่คิดไปเองด้วย


“ไม่ได้เป็นตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาแล้ว”  เรียกว่าเป็นเขยชังไปเสียแล้ว องค์รัชทายาทรูปงามของเรา


หลังจากไล่เด็กรู้มากแต่รู้ไม่ครบออกไป ก็นั่งจิบสุรากันเงียบๆ พูดคุยปรับทุกข์เกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาหัวใจเล็กน้อยจึงได้แยกออกมา ความจริงที่กระจ่างชัดวันนี้ทำให้ปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆและท่าที พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพระบิดาถึงได้เคยหมายมั่นศศิไว้ถึงเพียงนั้น คงเพราะสงสัยว่าศศิจะเป็นคนของจันทราปราการกระมัง


แค่เห็นว่าลูกของตนรัก และการมีทายาทตรงคำทำนายเป็นประโยชน์แก่ราชวงศ์ แม้ว่าจะมีปัญหาทางการทูตกับคีรีราชสกุลก็ไม่เป็นไรกระนั้นหรือ ทรงเด็ดเดี่ยวเสียเหลือเกินพระบิดาของพระองค์นี่ แต่นอกจากอาณาจักรของพระองค์และพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ก็ทรงยอมทำทุกอย่างตามที่เห็นควรจริงๆ น่าเสียดายที่คงโดนทิชากรซ้อนแผนด้วยการให้ศศิกินยาพลางชีพจรตอนถูกตรวจสอบ ไม่งั้นป่านนี้พระองค์ได้อภิเษกไปแล้ว ท่ามกลางความร้อนระอุของสงครามและกบฏนั่นแล…


“หากเจ้าไม่ยอมให้ง้องอน เป็นเช่นนี้พี่ถือเป็นลูกอกตัญญูเชียวหนา”  ทรงต้องพาเมียและลูกกลับไปขอโทษพระบิดาที่วันนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจให้ได้ อคิราห์ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแม้กระแสการเมืองระหว่างอาณาจักร คาดว่าอชิระที่ไปแทนนั้นคงทำบางอย่างให้ ถึงทิชากรจะไม่ให้ความร่วมมือก็คงดึงดันบังคับและใช้งานอีกฝ่ายให้จงได้ ขอให้ตลบหลังที่เคยซ้อนแผนกัน ด้วยการจัดการคีรีราชสกุลให้อยู่หมัดด้วยเถิด หลานของทิชากรน่ะ พระองค์ไม่คืนหรือฝากไว้อีกแล้ว!


☼ ☽


“วันนี้ท่านตื่นแต่เช้าอีกแล้ว”  สายชลที่เมื่อวานได้ไปช่วยให้คนรักของพี่ศศิได้เข้าใจความเป็นมานั้นเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี แค่คิดว่าต่อจากนี้พี่ศศิจะไม่ต้องเดียวดายก็ยิ่งมีความสุข แต่ยังบอกอีกคนไม่ได้ ว่าตนอยู่เบื้องหลัง


“อื้ม วันนี้ข้ามีนัดซื้อผ้ากับพ่อค้าที่มาติดต่อน่ะ”  ปกติแล้วจะมีพ่อค้าจากต่างเมืองเดินทางมาค้าขายแทบทุกสัปดาห์ ศศิเห็นว่าอีกไม่นานลูกก็จะคลอดแล้ว จึงคิดจะหาซื้อเสื้อผ้าน่ารักๆเตรียมไว้ แม้ยังไม่รู้ว่าแก้วตาดวงใจของตนจะเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นแฝดหรือลูกคนเดียวก็ตาม


“ให้ข้าไปกับท่านไหม”  สายชลจำได้เสมอว่าไม่ควรปล่อยศศิไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ที่สายชลไม่รู้ คือตนคนเดียวไม่อาจจะช่วยอะไรได้ แม้คนในจันทราปราการจะทราบว่าศศิตั้งครรภ์แต่ไม่รู้ว่ากับใคร และไม่รู้ว่าศศิกำลังเผชิญอันตรายถึงเพียงไหนอยู่ แม้แต่เจ้าตัวเอง ก็ยังไม่ตระหนักถึงตรงนั้นดีเสียเท่าไหร่


“ป่านนี้ไม่รู้พี่ทิตย์จะตื่นหรือยังนะ”  สายชลนั้นเอ่ยปากพูดลอยๆแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ คิดว่าพี่ศศิคนงามของตนคงจะงอนคนรักอยู่จึงไม่ยอมให้ร่วมเตียงและแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก จึงพยายามช่วยเหลือเพราะอยากให้ได้หันหน้าเข้าคุยกัน


และที่รองแม่ทัพธวัลย์พูดอวยอย่างนั้นอย่างนี้ สายชลก็ไม่เห็นว่าพี่ทิตย์ไม่ดีตรงไหน…


“นั่นสิ แต่เขาป่วยนี่เนอะ ให้พักเยอะๆดีแล้ว”  ศศิก็ว่าไปตามนั้น


แม้ชื่อนี่จะมีอิทธิพลต่อหัวใจ จนชักนำให้รู้สึกผิดอยู่บ้างก็ตาม


ยามเช้าตรู่เช่นนี้ เหล่าทหารในกองทัพต่างกำลังรวมตัวและฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น โรงหมอยังไม่ได้เปิดทำการ ศศิจึงพอมีเวลาว่างที่จะจัดการเรื่องส่วนตัว และตนก็เลือกที่จะมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ ทุกทีทิชากรจะให้คนมากมายตามมาด้วย แต่เพราะคิดว่าไม่จำเป็นจึงไม่ได้เรียกใครมา ระหว่างกำลังเดินไปยังประตูของค่าย เด็กซนอย่างสายชลก็ไม่รู้วิ่งหนีหายไปไหน ศศิส่ายหน้าอย่างระอา พลางเดินเอื่อยๆอย่างสบายอารมณ์เป็นการออกกำลังกายเบาๆไป


“อรุณสวัสดิ์”  เอ่ยทักทายทหารยามอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินก้าวขาออกมาเมื่อเห็นว่าเหล่าพ่อค้าเริ่มจะวางของกันแล้ว


“มาดูผ้าลายใหม่ๆได้เลยนะ”  ศศิที่มีเป้าหมายในใจจึงพุ่งเข้าไปตรงจุดนั้น หยิบจับมาสองสามชิ้น กำลังจะเงยหน้าขึ้นมาต่อราคาก็พบว่าเหล่าพ่อค้าที่มากันนี้ไม่ใช่ขาประจำที่มักมาค้าขายกันที่นี่


“ลดให้หน่อยได้ไหมจ้ะ จะได้ซื้อขายกันนานๆ”  จึงลองเอ่ยอย่างเป็นมิตรแม้จะนึกสงสัยอะไรบางอย่าง ทว่ารอยยิ้มจอมปลอมของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้หวาดระแวง


‘แม่จ๋า ออกมา…’


“ไม่เอาแล้วดีกว่าจ้ะ”  ศศินั้นรีบวางของลงและเดินก้าวถอยหลังหมายจะกลับเข้าไปในเขตของค่ายที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว แต่แล้วเสียงร้องอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของทหารเฝ้ายามก็ทำให้ตนชะงัก เหล่าพ่อค้าที่โพกผ้าต่างดึงมันลงและก้าวย่างเข้ามาหา พวกมันมีกันมากกว่า 10 คน…


“จับมันไปให้ได้!”  หนึ่งในนั้นเอ่ยสั่ง และนั่นทำให้ศศิรับรู้ได้แล้วว่าอันตรายมันอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด


แต่ที่ผ่านมาไม่รู้ เลยไม่คิดจะระวัง


“ไม่!”  เสียงร้องของศศิดังลั่น แต่เกรงว่าคงไม่ทันกาลให้ใครออกมาช่วยได้ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ ต่างล้มลงไปนอนพับกันเสียหมดแล้ว


“รีบพาขึ้นรถม้า เราจะเอามันไปต่อรองกับไอ้อคิราห์”  อคิราห์…


หนีมาไกลถึงเพียงนี้ยังไม่วายเป็นภาระท่านอีกหรือ…
ศศิ…ขอโทษ


“ปล่อยศศิเดี๋ยวนี้!”  เสียงที่ดังกังวานเต็มไปด้วยการคุมคามนั้นดังมาจากด้านหลัง โดยไม่ได้หันไปมอง ศศิก็รับรู้ได้ว่าบุรุษคนหนึ่งพุ่งเข้ามาผลักคนที่จับแขนของศศิไว้แน่นจนมันล้มลงไป


“ฆ่าไอ้นั่น แล้วจับเมียไอ้อคิราห์มา อย่าให้มันตายก่อน!”


“ไม่”  อย่าฆ่าเขา คือคำที่อยากจะออกจากปาก ความวุ่นวายรอบตัวทำให้ศศิรับรู้อะไรไม่ได้มาก เสียงกลองเรียกรวมพลดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของทิตย์ถูกถีบจนเซ แล้วยังต้องมากระโดดหลบคมดาบ ก่อนจะหาจังหวะก้าวเข้าไปใช้ศอกกระแทกที่กกหูแล้วแย่งดาบออกมา


ทิตย์ผู้นั้นไม่รีรอที่จะฟันฉับที่สีข้างและขาของมันจนล้มลงไป แต่กระนั้นคู่ต่อสู้ก็ไม่ได้น้อยลงเลย และมีใครคนหนึ่งกระโดดเข้าไปใช้ด้ามดาบกระแทกลงไปที่ท้ายทอยของทิตย์ ศศิกรีดร้องไปเพราะเห็นว่าเขากำลังจะเซล้มลงไป แต่ก็ไม่…ทิตย์ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป แม้ว่าจำนวนคู่ต่อสู้จะยังได้เปรียบอยู่มากก็ตาม


ทว่าแสงแห่งความหวังก็ชัดเจนทะลุม่านน้ำตาเข้ามา คนของกองทัพที่ได้ยินเสียงกลองต่างมารวมตัว ผู้ที่มาถึงก่อนต่างเข้าช่วยโรมรัน ผู้ที่มาถึงในภายหลัง บ้างก็วิ่งมาพาศศิกลับเข้าไปในค่าย ใช้เวลาไม่นานความวุ่นวายก็จบลง บ้างบาดเจ็บ บ้างล้มตาย แต่โชคดีนักที่คนของกองทัพทุกคนแม้แต่ทหารเฝ้ายามนั้นเพียงแค่เจ็บกาย ทว่าทุกคนล้วนเจ็บใจ!


และศศิยังนั่งเสียขวัญ…


“เจ้าพาไปเถิด”  รองแม่ทัพที่เข้ามาจัดการทุกอย่างได้เอ่ยบอกกับทิตย์ที่เพิ่งเดินเข้ามาเห็น ศศิเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า คิดโทษตัวเองไปสารพัด ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าทหารบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บถูกพาเข้ามาในค่าย


“พักก่อน พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก”  อคิราห์นั้นเข้าไปประคองยอดรักของเขาที่ทำท่าจะเข้าไปทำหน้าที่หมอ ศศิที่ยังขวัญหายหันมาสบตา ดวงตาที่คลอหยาดน้ำได้ปล่อยให้มันไหลเพียงแค่มองตาเขา  “ให้ข้าอุ้มไปเถิด”  โดยไม่รอคำอนุญาต ร่างสูงก็จัดการอุ้มพาเด็กน้อยของตนไปยังเรือนของตนเอง แต่กระนั้นก็พาไปนั่งที่แคร่หน้าเรือน ด้วยสำนึกว่าตนเป็นแค่ทิตย์…จึงยังไม่มีสิทธิ์อะไร


“ท่านเจ็บไหม”  กว่านานที่ศศิจะพูดออกมาได้ เมื่อถูกวางลงให้นั่งบนแคร่ ตนก็ยื่นมือไปสัมผัสกับแผลที่มุมปากของอีกฝ่าย แม้จะอ้างว่าเป็นหมอ แต่แววตาที่สะท้อนไป มันลึกล้ำกว่านั้น


“ไม่เจ็บหรอก เจ้าสิ…เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”  ศศิส่ายหน้าหวือ ก่อนจะกลับมาสังเกตแผลที่จุดอื่นๆ ร่างกายสูงใหญ่นั้นมีรอยถลอก เลือดออกบ้างเล็กน้อย แต่รอยช้ำนั้นมีเสียเยอะกว่า แค่คิดว่าถ้าเขาไม่ออกไป ตอนนี้ตนจะอยู่แห่งใดบนโลกก็สุดรู้จึงกลับมารู้สึกผิดอีกครั้ง


ถ้าไม่ออกไป ไหนเลยจะทำให้คนอื่นต้องมาบาดเจ็บเช่นนี้


“อย่าทำหน้าเช่นนี้สิ รู้สึกผิดอยู่หรือ”


“ฮึก..”


“อย่าคิดเช่นนั้น เจ้าไม่ได้อะไรผิด ใยคิดมากนัก”


“ถ้าข้าไม่ออกไป ก็คงจะไม่มีใครต้องมาเจ็บตัวเพราะข้า”


“ทุกคนล้วนเอ็นดูเจ้าทั้งนั้น เขาย่อมเต็มใจ”


“ฮึก แต่ท่านเจ็บ”


“ข้าย่อมเจ็บกว่านั้นมาก หากไปช่วยเจ้าไม่ทัน”  แค่คิดว่าถ้ายังนอนต่อ ไม่สนคำเรียกของเด็กสายชลที่วิ่งมาปลุกกันด้วยหมายจะเปิดโอกาสให้พระองค์ได้พลอดรักกับเมียที่ออกไปซื้อข้าวของ แค่คิดว่าตอนนั้นจะทรงรำคาญและไม่กระตือรือร้นต่อสิ่งใด…


โชคดีที่มันไม่สายจนเกินไป…


“อย่าพูดว่าเจ้ารู้สึกผิด เพราะพี่รู้สึกผิดกับเจ้ามากกว่ายิ่งนัก”


“…”


“ยอดรักของข้า เจ้าเจ็บหรือไม่ มันทำให้เจ้ากับลูกของเราให้เจ็บหรือไม่”  อคิราห์ยอมแพ้แล้ว ต่อให้จากนี้ศศิจะไม่มองหน้าพระองค์ด้วยแสนงอนที่ทรงทำเย็นชาเหินห่างในวันที่จากลา อีกทั้งไม่เคยเชื่อถือในคำพูดว่าเรามีลูกด้วยกัน มิหนำซ้ำยังมาลวงหลอกว่าเป็นอีกคนให้เชื่อใจ พระองค์ไม่สนอะไรแล้วแม้จะถูกเกลียดชังจนไม่อยากเห็นหน้าก็ตาม


แต่ทรงอยากได้สิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องและโอบกอดร่างที่สั่นเทานี้ไว้จะแย่
จึงไม่อาจจะปิดบังอะไรต่อไปได้อีกแล้ว…


“เจ็บตรงไหนหรือไม่”  ศศินั้นเอ่ยถาม ใบหน้าไม่มีรอยยิ้ม และมันไม่สะท้อนถึงความรังเกียจรังงอนแต่อย่างใด


“ศศิ…”


“ท่านไม่น่าปล่อยให้หนวดเคราเยอะเพียงนี้เลย”  ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะคลี่ยิ้มออกมา “มันเห็นแผลไม่ชัดเข้าใจไหม ต้องโกนหนวดตัดผมเป็นคนใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ พี่อาทิตย์!”  เพราะศศิไม่เคยเกลียดเขาลงได้


ต่อให้อยากจะวางท่าแสนงอนแค่ไหน แต่ใครเล่าจะใจแข็ง เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยกันถึงเพียงนั้น และเพียงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ตระหนักได้ว่าเวลาที่เสียไปมันเปล่าประโยชน์เหลือเกิน หากไม่รักวันนี้ รอจนสายไป ก็อาจจะไม่ได้รักอีกแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นแทนที่จะผลักไส ศศิจึงเลือกที่จะโถมหาอ้อมกอดนั้นด้วยคะนึงหาไม่ต่างกันแทน


มีที่ไหนที่ศศิจะจำคนรักของตัวเองไม่ได้ แบบเขานั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นแล แต่ถึงจำได้ก็แกล้งทำเป็นจำไม่ได้ไปงั้นเพื่อดัดนิสัย และตนก็ยังไม่แน่ใจถึงวัตถุประสงค์ที่ปลอมตัวมาของเขาด้วย หากทำไปเพราะกังวลเรื่องอันตราย การที่ศศิไปเปิดเผยความลับของเขาก็คงไม่ดีนัก แต่เช่นนั้นล่ะดีแล้ว ศศิจะได้จิกหัวใช้ ‘ทิตย์’ คนนั้นให้คุ้มกับการที่ไม่ยอมเชื่อกันเรื่องเจ้าแสบนี่


“ท่านปล่อยให้ข้ารอนานแล้ว กะจะมาเมื่อครบปีจริงๆหรือไง”  แต่ก็อดไม่ได้ต้องต่อว่าไปบ้าง


“พี่ขอโทษ”  และเมื่อถูกกอดเช่นนี้ พระองค์ก็ประพฤติตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็กอดกลับไม่ให้อีกฝ่ายต้องใจเสีย อนึ่งมันคือความต้องการส่วนลึกของพระองค์อยู่แล้วด้วย


“ต่อไปนี้ไม่ให้ห่างตัวแล้ว ท่านทำให้ข้าตกใจมากรู้ไหมที่ได้เจอกันในสภาพแบบนี้ จะเจอกันที่ไรก็ต้องบาดเจ็บได้ไข้ทุกทีเชียวหรือ พี่อาทิตย์...มันจะมากเกินไปแล้ว"  หากรู้ว่าเป็นความจงใจในครานี้ ท่านหมอคงด่าว่าพลันทุบตีในความงี่เง่านั้นน่าดู แต่เอาเถิด จะยอมเสียหมด แลกกับคำพูดคำจาน่ารักเมื่อครู่นี้ พระองค์ยอมได้หมดเลย


“ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”


“แล้วใครว่าข้าไม่รักท่านเล่า ต่อไปพูดอะไรก็ฟังกันหน่อย ข้าน้อยใจท่านเหลือเกินที่ทำเหมือนไม่ยอมรับลูกของเรา”


“พี่ยอมรับแล้ว”


“ก็เพราะท้องโย้ออกมาขนาดนี้นะสิ”


“ขอโทษที่โง่งม” หากตอนนั้นทรงรู้ พระองค์คงขังศศิไว้แต่ในตำหนักจริงๆ การไม่รู้ก็เหมือนจะเป็นข้อดีให้ทรงจัดการทุกอย่างได้เร็วขึ้นอย่างที่ไม่มีห่วง แต่ก็ทรงเสียพระทัยที่ไม่ได้มีโอกาสได้ใช้เวลากับคนตัวเล็กยามที่กำลังท้องไส้ ทรงยอมให้คนท้องโกรธเคืองได้เต็มที่


“ท่านทั้งโง่ และบ้ากว่าใคร”


“แต่ก็รักเจ้ามากกว่าใครด้วยนะ”


“ข้าไม่เชื่อท่านแล้ว”


“เชื่อกันเถิด…”  ทรงเอ่ยขออย่างออดอ้อน เสื้อเก่าๆของพระองค์ที่ได้รับมานั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แต่กระนั้นพระองค์ก็หมายจะซับทุกหยาดน้ำออกให้ ด้วยหวังจะไถ่โทษในสิ่งที่พลาด และสิ่งที่ทำได้ช้าเกินไป


บัดนี้ต่อให้เอาอะไรมาแลกหรือมาขวาง ก็ไม่มีวันยอม



“ยอดรักของพี่”  ทรงเอ่ยกระซิบเสียงหวานที่ข้างหู น้ำเสียงของพระองค์กลับมาเป็นปกติแล้วหลังจากเจ็บคอมาหลายวัน


“…”


“พี่มารับเจ้ากับลูกไปด้วยกันแล้ว”  ศศิจะติดตามไปด้วยกันไหม  “ต่อให้เจ้าจะไม่ยินยอม พี่ก็ไม่ให้โอกาสได้เปลี่ยนใจแล้ว”


“พี่อาทิตย์”


“ได้โปรดเถิดยอดรัก”  หวังว่าวาจาหวานหูนี้จะไม่บาดกันแรงจนคนน้องทนไม่ไหวดิ้นหนี  “ให้ตัวเจ้าได้เป็นราชินี และลูกของเราได้เป็นรัชทายาทแห่งสิหราชนคราเถิดนะ"” คำขอที่เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจของเขา


จันทราปราการคนงามที่หวาดกลัวต่อบัลลังก์จะยินยอมต่อกันหรือไม่…
ศศิ...ควรจะหาบทสรุปต่อคำถามนี้ที่มีมาในใจเนิ่นนานนี้เสียที


TALK
ต่อไปก็จะมีเนื้อเรื่องจุดสำคัญอีกหน่อย แต่ไม่ดราม่าแล้วค่ะ (เหรอ)
ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ พี่อาทิตย์ของเราง้อเมียต่อไม่รอแล้วเหมือนกัน55
#อาทิตย์ศศิ @reallyuri






ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดีนะที่สายชลไม่เล่าไปตบหลังองค์รัชทายาทไป 555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
« ตอบ #109 เมื่อ: 09-01-2019 19:22:13 »





ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
ศศิ สู้ สู้  :z2: :z2: :z2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขำความด่าเพื่อนของธวัลย์ ในที่สุดพี่อาทิตย์ก็ได้รู้เรื่องอย่างคนอื่นเขาสักที และต้องขอบตุณสายชลด้วยที่ไปตามพี่มา ไม่งั้นศศิคงแย่แน่ๆ

ออฟไลน์ cho_co_late

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ว่าแล้วว่าน้องน่าจะจำได้ แต่ก็ดีที่น้องทำเป็นจำไม่ได้ ดัดนิสัยคนพี่ซะบ้าง ฮึ
ตอนที่เจอคนร้าย ศศิได้ยินเสียงลูกด้วยสินะ น้องช่วยแม่เอาไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยนะเนี่ย
เดาว่าท้องนี้แฝด อ้างอิงจากที่อาทิตย์ฝันถึงเมื่อตอนที่แล้ว ขอให้เป็นแฝดด

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เรื่องต่อไปก็ใหญ่อยู่นะ หวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี
 :hao5:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น่ารักมากค่ะ น่าเอ็นดูศศิมากด้วย
ศศิคือแก้วตาน่ะ จะให้ทิชากรปล่อยวาง ทำไม่ได้หรอก
แล้วยังเป็นบุคคลพิเศษอีก ต้องปล่อยให้กับคนที่วางใจได้

อคิราห์บุกมาขนาดนี้แล้ว อชิระยอมเสี่ยงให้แล้ว 
คำบอกรัก และคำชวนนี้จะสู้ไหวไหมนะ

ใจนึงก็อยากให้กลับเพราะรักกันมาก
แต่อีกใจก็ไม่อยากให้กลับเพราะอันตราย

เอ็นดูความเป็นคนซน ดื้อเงียบ และฉลาดมาก ของศศิ
คนรัก คนที่รอคอย ไหนเลยจะลืมใบหน้าพี่ได้เนาะ


ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
26
ความตั้งใจ
☼ ☽

“ข้าคงยังไปไม่ได้”


ทำไม…


พระองค์ทรงทอดพระเนตรมองคนรักที่ตอบกลับมาด้วยความผิดหวัง ทั้งๆที่เคยบอกกันว่าหากยังรักให้มาหา พระองค์ก็ทรงดั้นด้นมาทั้งๆที่เวลานี้มันเสี่ยงนัก ก็รู้ว่าทรงทำไม่ถูกที่ไม่ไปจัดการปัญหาส่วนพระองค์ให้ดีเสียก่อน แต่ก็อยากให้ทรงเห็นใจกันบ้าง ไม่สงสารกันบ้างเลยหรือไง


“เจ้าแสบนี่ร้ายมาก คงอีกสักพักกว่าจะขยับขยายไปไหนได้”  ด้วยคำพูดนี้ ราวกับว่าได้คว้าฉุดอคิราห์ขึ้นมาจากเหวลึก รอยยิ้มหวานหยดของคนงามทำให้พระทัยพองฟูขึ้นมา ตอนนี้ศศินั้นไปไหนไม่ได้หรอก และคงอีกสักพักกว่าจะไปไหนได้ เจ้าแสบในท้องต่อให้เกิดมาก็ยังเด็กนัก เราจึงยังไม่ควรเร่งออกเดินทางเพราะมันเสี่ยงเกินไป


“หมายความเจ้าจะกลับไปกับข้าใช่ไหม”


“ข้ายังไม่ได้บอกว่ายอมแพ้ในตัวของท่านแล้วเสียหน่อย”  อคิราห์ที่ได้ฟังรู้สึกตื้นตันไปหมด แต่ศศิไม่ได้ยอมพระองค์ขนาดนั้นหรอกนะ “แต่ถึงกลับไป ข้าก็ขออยู่ข้างนอกก่อนได้หรือไม่”


“…”


“พี่อาทิตย์…เราห่างกันไปหลายเดือน สถานการณ์รอบกายท่านเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ สิ่งที่ผ่านมาทำให้ข้ารู้ว่าการอยู่ข้างในนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย”


“แต่ว่า…”


“และข้ายังมีครอบครัวที่ต้องให้ความสำคัญ”  ศศิจำต้องให้ความสำคัญกับจันทราปราการด้วย “ขอแค่เราเพียงรักกัน ไม่ต้องเจอกันทุกวันก็ได้ ให้ข้าอยู่ไม่ไกลจากท่านและเรารักกันไปเงียบๆสักพักก่อนได้หรือไม่ ศศิ…ยังไม่มั่นใจเลย”  คำขอที่ดูเหมือนจะเฉือดเฉือนหัวใจกันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ทำร้ายพระองค์ฝ่ายเดียว แต่คนพูดเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน


ในตอนนี้ที่ทุกอย่างไม่ชัดเจน ศศิไม่อยากจะอุ้มลูกเข้าไปในพระราชวังที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี จนกว่าจะมองเห็นสถานการณ์และความเป็นไปได้ที่ชัดเจนกว่านี้ ก็ไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความรักของเราที่ยังมีอยู่ และไม่ต้องการให้เจ้าแสบถูกกำหนดเป็นหมากที่ในภายหลังเจ้าตัวจะเสียเปรียบ จนกว่าจะมั่นใจอะไรได้ ศศิก็อยากจะอยู่เงียบๆในที่มืดมากกว่า


แต่กระนั้นตนก็ชัดเจนว่ายังไม่ยอมแพ้ให้กับความรักของเรา


“ข้าเองก็ไม่อยากเห็นแก่ตัวปล่อยให้ท่านเผชิญปัญหาคนเดียว เรารักกันข้าก็อยากจะเผชิญมันกับท่าน แต่ขอเวลาข้าสักนิดได้ไหม”


“…”


“แม้จะมั่นใจว่าเรารักกันได้แต่ไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเคียงคู่กับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราจริงๆหรือเปล่า”  นี่คือสิ่งที่กัดกินใจเราเหลือเกิน พระองค์สามารถพูดได้ว่าเข้าใจ เพราะแม้จะได้ชื่อว่าดำรงตำแหน่งนี้ ทว่าคนที่ศศิรักไม่ใช่องค์รัชทายาทหากแต่เป็นแค่พี่อาทิตย์คนธรรมดา ทรงต้องยอมรับและยอมให้เวลาอีกคนได้ทำใจ


“แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็มีคนต้องเสียสละ”


“…”


“ไม่ข้าก็เจ้า ใครสักคน”  ไม่พระองค์ต้องยอมสละบัลลังก์ ก็ศศิต้องยอมมาอยู่เคียงข้างในฐานะที่ทรงอยากให้ควรคู่


“แต่ข้า”


“เจ้ารักข้าไหม”


ศศิพยักหน้า


“เจ้าไม่ชอบสิหราชวงศ์หรือ”


ศศิส่ายหน้า


“แล้วเจ้ารักองค์ชายอคิราห์ไหม”


ศศิก็ยังคงพยักหน้า


“อยากเป็นราชินีแห่งสิหราชนคราไหม”


ศศินิ่งเฉย


“เจ้าอยากให้ข้าสละบัลลังก์มาเพื่ออยู่กับเจ้าไหม”


ศศินิ่งไป…ก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำถาม


“หรือเจ้าไม่อยากเคียงข้างกัน”


ศศิส่ายหน้าโดยพลัน


“เช่นนั้นก็ต้องมาเป็นราชินีให้ข้าและให้ลูกของเราขึ้นเป็นองค์รัชทายาท”


ศศิไม่ตอบคำถามใดๆ


“เจ้าจะยังไม่ยอมแพ้ในตัวข้าใช่ไหม”


“ข้ารักท่านเกินไปจนยากจะถอยกลับ”


“งั้นข้าจะทำให้เจ้ายอมรับ”


“…”


“หากแค่ศศิเพียงคนเดียวยังทำให้รักไม่ได้ ไฉนเลยจะปกครองบ้านนี้เมืองนี้ได้”


“ข้ารักท่านไปแล้ว”


“แต่ไม่อาจจะพูดได้ว่ารักการเป็นองค์รัชทายาทของข้า”


“…”


“แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ข้าเกิดมาเป็นเขาไปเสียแล้ว”  ก็มีทางเดียวคือทำให้ศศิรักและยอมรับได้ทั้งหมด พระองค์จะทำให้เห็นว่าทรงมีดีแค่ไหน สามารถปกป้องกันได้เท่าไหร่ และหากขึ้นมาอยู่เคียงข้างกัน…จะมีความสุขแค่ไหน


“ข้าไม่ได้ไม่ยอมรับที่ท่านเป็นองค์รัชทายาท เพียงแต่ว่าข้าไม่คิดว่าตนเองเหมาะสมกับองค์รัชทายาทต่างหาก”


“เชื่อข้าเถิดว่าไม่มีใครเหมาะจะเคียงข้างองค์รัชทายาทได้เท่าเจ้าอีกแล้ว”  ทรงกล่าวยืนยันและจุมพิตลงบนหลังมือขาว เจ้ากระต่ายน้อยช้อนตามองกันด้วยแววไม่มั่นใจ แต่พระองค์จะทำให้ทุกอย่างมันเป็นไปได้ ในตอนนี้ทรงไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องจากท่านหมอน้อยผู้นี้จริงๆ ยังมีหลายสิ่งนักที่ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำให้สำเร็จก่อนมาหา นี่ยังทำไม่ได้ครบเลย จะมารีบเร่งไม่ได้


พระองค์ต้องกลับไปเพื่อกลับมาใหม่แล้วพาศศิไป…เป็นองค์ราชินีแห่งสิหราชนคราให้ได้


☼ ☽


แม้จะไม่รู้สึกยินดีกับข้อเสนอนี้ในตอนนี้เท่าไหร่นัก
แต่ก็รู้สึกได้ว่าตนมีแสงสว่างนำทางแล้ว


แค่พระองค์ทรงตอบรับข้อเสนออันเห็นแก่ตัวนี่ ศศิก็รู้สึกยินดีจนไม่รู้จะเอ่ยกล่าวเช่นใด แม้ไม่อาจจะพูดได้ว่าตนอยากเป็นองค์ราชินีกับเขาบ้างไหม มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปเสียหน่อยที่จะให้เขาพิสูจน์ฝ่ายเดียว แต่เมื่อทรงให้คำมั่น ศศิก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา และตนก็เริ่มจะมีความเชื่อที่ว่าอะไรๆมันอาจจะไม่เลวร้ายเลยหากมีผู้ชายที่ชื่ออคิราห์เคียงข้างกัน


เราสองเข้ามาในเรือนของศศิ ความคะนึงหาที่มีมากมายนั้นทำให้ตนเลือกจะมองข้ามสายตาผู้อื่น ความเป็นอยู่เรียบง่ายเช่นนี้เมื่อเราอยู่ด้วยกันช่างเป็นภาพที่ไม่ชินตาหากแต่ให้ความรู้สึกสบายใจที่ได้มอง เรากอดรัดกันจนพอใจ จนกระทั่งองค์รัชทายาททรงคิดไปเองว่าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะปิดบังตัวตนอีกแล้ว จึงได้ขอตัวออกไปจัดการกับสภาพที่ทุเรศลูกตาสิ้นดี ยิ่งเมื่อศศิมองกันและเฝ้าถามว่าทรงผ่านอะไรมาบ้าง ก็ยิ่งรู้สึกกังวลว่าอีกคนจะเครียดเพราะสิ่งที่ทรงทำลงไป


“ข้าไม่อยู่ พวกพี่สาวดูแลท่านไม่ดีหรือ”


“ข้าไม่ยอมให้ใครดูแลต่างหาก”  ทรงรับขันน้ำจากศศิมาชะล้างใบหน้า หยิบมีดโกนหนวดและอุปกรณ์ต่างๆที่ไปขอธวัลย์มาและจัดการกับตัวเอง ด้วยเพราะไม่อยากให้คนรักต้องเหนื่อยมากจึงให้ศศิแค่นั่งมอง แต่อย่างไรเจ้าตัวก็ยืนยันว่าผมนี้จะต้องตัดเล็มออกบ้างจึงยินยอมให้เจ้าของมือเล็กนั่นทำให้


“ข้ามิกล้าปล่อยท่านไว้คนเดียวอีกแล้ว แผลพวกนี้อีก ทำไมไม่บอกท่านอลงกรณ์ไว้ จะได้จัดเตรียมไว้ให้” 


“ยามีก็ใช่ว่าจะมีคนมาทาให้ ข้าไม่ต้องการหรอกนะให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้ามาแตะเนื้อต้องกายเกินจำเป็น”  เมื่อฟังคำอธิบายก็เริ่มเห็นสอดคล้อง ศศิก็ไม่ยอมเช่นกัน “ทาให้ข้าได้หรือไม่เล่า” ทรงรับผ้าเช็ดหน้ามาจากศศิและเอ่ยขอ เจ้าของดวงตาสุกสกาวนั้นจ้องมองก่อนจะพยักหน้าให้ จนป่านนี้ก็ไม่ควรมีอะไรที่ต้องเขินอาย เรามีเจ้าตัวเล็กด้วยกันแล้ว นับประสาอะไรกับการถูกเกี้ยวพาราสีซ้ำๆ


ท่านหมอน้อยจัดการป้ายยาลงบนผิวกายที่เต็มไปด้วยแผลเป็น กำลังจะทาให้บนผิวหน้าที่มีแผลเป็นพาดยาวที่ใต้ตา แต่คนพี่ก็ร้องห้ามพลางดึงแผลปลอมออกให้ศศิต้องตกตะลึง เมื่อเห็นพระพักต์คมที่ไร้หนวดเคราและแผลเป็นแล้วก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย ไม่เช่นนั้นคงโทษตัวเองไปจนตายว่าที่ชิงห่างกายออกมาทำให้เขาทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น


“ปานบนใบหน้าเจ้าก็จางหายไปหมดแล้วนะ”  ใช่…น่าแปลกมาก


ตั้งแต่เจอกันมันก็เริ่มจางแล้ว และพอท้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันก็ยิ่งจางจนหายไปในที่สุด ไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์ แต่ศศิก็ตีความไปเองว่าเพราะตนมีความสุขจนเกินไป ทำให้ร่างกายปรับสภาพจนมันหายไปเอง ทั้งนี้มันก็ยังคงเป็นแค่ทฤษฎีไร้สาระ


“เจ้าแสบของเราเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าได้รับความลำบากบ้างไหม”  ทรงเอ่ยถามพลางสัมผัสหน้าท้องของคนรักอย่างสงสัย พระองค์พลาดไปจริงๆ พลาดที่ไม่เชื่อใจจนทำให้เราผิดใจกันไปนาน แม้จะพยายามผสานแต่เพราะไม่เชื่อใจในตอนนั้น ผสานเท่าไหร่ก็มีรอยปริให้เห็นอยู่ดี ต้องขอบคุณที่ศศพินทุ์รักกันมาก จึงทนความงี่เง่าบ้าบอของพระองค์ได้


“เขาชอบทักทายกันแต่บางทีก็ทักทายหนักไปบ้าง ต้องลุกขึ้นมาทั้งปลอบทั้งดุถึงจะยอมเชื่อ”  มันก็เหนื่อยแต่ก็ทำให้ตนรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เพราะลูกนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่มักจะห่างกันไปเรื่อยๆ จากอยู่ในท้องก็ออกมาอยู่แนบอก พอเริ่มเดินวิ่งได้ก็ต้องประคับประคองวิ่งตาม จนกระทั่งเติบโตขึ้นมาก็จะออกห่างไปมีครอบครัวของตนเอง แค่คิดก็ใจหาย ในยามนี้ที่ยังอยู่ในกาย แม้จะเหนื่อยหรือรู้สึกไม่สบายแต่ก็ยินดี


“แสบเหลือเกิน ออกมาแล้วต้องดื้อเหมือนเจ้าแน่ๆ”


“ทำไมกล่าวหากันเช่นนี้ ข้าว่าแค่อยู่ในท้องก็ออกลายแสบเหมือนพี่อาทิตย์เสียแล้ว”


“เจ้าคิดไปเอง”


“เขาอยู่ในท้องข้า และข้ารู้จักท่านดี ไฉนจึงคิดว่าข้าคิดไปเองได้”  คนท้องยังคงตั้งหน้าตั้งตาเถียง แต่ทุกคำที่เราเอ่ยกล่าวล้วนเต็มไปด้วยความสุขใจ


“ได้ตั้งชื่อไว้หรือยัง”


“ท่านน้าบอกให้คิดไว้สักสาม ข้าคิดออกแล้วสอง รอเกิดมาและเจอกันก่อนจึงคิดว่าจะเลือก ดูว่าเกิดเวลาไหนก็ใช้ชื่อนั้น”


“มีชื่ออะไรบ้างเล่า”


“รวิวัลย์กับกัษษากร”  พระอาทิตย์และพระจันทร์ ช่างเป็นชื่อที่เลือกยาก


“หากน่ารักจะให้ชื่อกัษษากรก็แล้วกัน”


“ลูกของข้าย่อมน่ารักอยู่แล้ว”


“แต่รวิวัลย์ก็น่าสนใจไม่น้อย”


“หรือเราควรคิดมาอีกชื่อให้ลูกดี พี่อาทิตย์ ท่านคิดบ้างสิ”


“กะทันหันเช่นนี้ข้าจะไปคิดอะไรออก”  ลำพังเรื่องลูก…พระองค์ก็เพิ่งได้มั่นใจไม่นานมานี้เอง


“อีกตั้งสักพักกว่าเขาจะออกมา ท่านไปเปิดหาหนังสือหรือไปถามใครมาก่อนก็ได้ หากยังไม่มีในใจก็จะเรียกเจ้าลูกหมาไป ข้าว่าก็คงไม่เป็นไรนะ”


“เจ้าทำเสียข้าดูเป็นพ่อหมาไปเลย”


“ศศิก็เป็นแม่หมาไง”  และบทสนทนาอันไร้สาระของเราก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มันก็นานแล้วที่ทรงไม่ได้มีความสุขมากมายเช่นนี้ กับความสุขที่เป็นหนึ่งเดียวของพระองค์นี้ ทรงไม่มีวันยอมปล่อยมือออกไปได้ และต่อไปชีวิตอันวุ่นวายของพระองค์ก็คงจะต้องเผื่อที่ว่างให้อีกคนมาเติมเต็มได้อีก จะไม่มีอีกแล้วความห่างไกล


ต้องทรงได้ทั้งแม่และลูกกับตำหนักชลสินทุ์ไปด้วยกันเท่านั้น!


ถึงความสุขจะแสนสั้นจนน่าใจหายแต่ก็ทรงมีความสุขอยู่ดี ทิชากรยังไม่กลับมา และพระองค์ก็ทรงอยู่รั้งที่นี่แทนอชิระที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้าง ไม่ได้ทรงงานแบบที่ทำประจำเหมือนตอนอยู่ที่เมืองหลวง แต่ก็มุ่งหารือในกิจต่างๆกับธวัลย์ บุรุษผู้ที่จัดการกับรูปลักษณ์ของตนเองจนกลับมางดงามเช่นคนเดิมนั้นดูโดดเด่น ทว่าทุกคนนั้นเพียงรับทราบว่าพระองค์นั้นเป็นขุนนางที่มาราชการต่างถิ่นและมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับท่านหมอคนงามเท่านั้น ทว่าเมื่อขยับปากอยากจะถามอะไร ธวัลย์ก็จ้องหน้าจนไม่มีใครกล้าเอ่ย


วันและคืนของพระองค์ที่ค่ายทหารชายแดนนั้นดีเช่นนี้ ชักอยากจะส่งแม่ทัพคนปัจจุบันไปเป็นองค์รัชทายาทเอง ในขณะที่กำลังแกะเปลือกส้มให้ศศิที่กำลังอ่านหนังสืออยู่


“พี่อาทิตย์ ท่านไม่กลับไปทำงานได้หรือ”  เขาก็มาหลายวันแล้วเหมือนกันนะ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนเพิ่งได้เจอ


“ตราบที่อาของข้าและน้าของเจ้ายังไม่กลับมา ข้าก็จะไม่ไปไหน”


“…”


“เจ้าอยากให้พี่กลับไปหรือ”


“ข้าแค่คิดว่าถ้าท่านไม่ต้องทำงานแล้ว จะได้อยู่กับศศิได้ต่างหาก”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หอมแก้มใสดังฟอด น่ารักเกินไปแล้ว เดี๋ยวก็ฉุดพาหนีไปด้วยเลยนี่


“ข้าคิดว่าหากเจ้าไม่รำคาญ ก็คงขออยู่จนกว่าจะได้เห็นหน้าเจ้าแสบได้หรือไม่”


“ใครจะไปห้ามท่านได้เล่า”  แม้คำพูดคำจาจะไม่ได้ดูยินดียินร้าย แต่หัวใจของคนที่กำลังอุ้มท้องลูกของเขากำลังพองฟู


“อย่างไรพี่ก็ต้องกลับไป แต่จนกว่าจะได้เห็นว่าเจ้าและลูกปลอดภัย พี่คงนิ่งเฉยทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรอก”


“ข้าเข้าใจ”


“ดังนั้นถ้าข้าไม่อยู่ ก็อย่าชวนเจ้าแสบดื้อซนด้วยกันมากนะ”


“ข้าไม่ได้ดื้อสักหน่อย!”


“ไว้ใจได้ที่ไหน คนแถวนี้บอกข้าหมดแล้ว ว่าเจ้ามันจอมป่วนเลย”  คุณแม่ที่ได้ฟังความจากปากของคุณพ่อก็หน้าแดงขึ้นมา ดื้อและซนช่างดูไม่สมกับคนเป็นหมอและคนเป็นแม่เลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมานั่นก็เพราะเล่นแล้วมันสนุกไปหน่อยต่างหาก!


ช่วงเวลาที่ทรงได้ดูแลท่านหมอน้อยช่างมีค่า แต่มันก็ผ่านไปไวราวกับว่าเทพเวลาได้เร่งให้มันจบลงเร็วนัก ทว่าพระองค์ได้กล่าวไว้แล้วว่าไม่อาจจะจากไปได้ หากทิชากรกลับมาแล้วพระองค์ก็จะทำหน้าตายแม้ว่าอีกฝ่ายจะตีหน้ายักษ์ใส่แค่ไหนก็ตาม กับแค่ทิชากรคนเดียวคงไม่อะไร อย่างไรก็คงไม่เกินมือของท่านอาอชิระหรอก(?)


ทว่าแม้จะมีใจนึกถึงแต่ไม่คิดให้กลับมาถึงในวันนี้เลย


ในตอนนี้พระองค์ต้องมาผจญกับกระแสกดดันทางแววตาของท่านอาจารย์หมอของคนรักที่มาเยือนถึงเรือน หากเป็นปกติเจ้าตัวดีคงวิ่งไปหาแต่เพราะท้องแก่แล้วจึงต้องให้เป็นฝ่ายมาพบเอง และเมื่อพบพระพักต์ อีกฝ่ายก็ไม่ได้โวยวายอะไร และแน่นอนว่าก็ไม่ได้มีการทำความเคารพอะไรกัน ไถ่ถามเรื่องอาการในช่วงนี้กันจนจบก็ปรายตามามองทางพระองค์เพียงครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา


“หากประสงค์จะอยู่ที่นี่ก็ขอให้มีสติดูแลหลานของกระหม่อมให้ดีด้วย”  และทิชากรก็เดินออกไป พระองค์จะถือว่าผ่านด่านแม่ยาย(?)แล้วละกัน


แต่ละวันผ่านไปอย่างสุขสงบในความรู้สึกของบางคน แต่กับบางคนมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย ทันทีที่ทิชากรกับอชิระกลับมาที่ค่ายแห่งนี้ สายข่าวก็มาแจ้งให้ทราบถึงการเคลื่อนไหวของพวกกบฏไม่ไกลจากด่านตะวันตกที่ 1 คงเพราะมีการกระจายข่าวออกไปว่าพระองค์จะเสด็จกลับทางนั้นกับราชองครักษ์เหมือนตอนขาไป แต่ไม่มีใครทราบเลยว่าพระองค์นั้นหนีมาด่านตะวันตกที่ 2 ตั้งแต่ก่อนออกจากด่านแล้ว


ด้วยเพราะไม่อยากให้ใครที่วังหลวงทราบว่าไม่ได้เสด็จไป อชิระจึงช่วยกำชับไม่ให้มีใครพลั้งปากแต่แรก และในขากลับ ท่านแม่ทัพก็กลับทางด่านตะวันตกที่ 2 กับคณะของทิชากรมาก่อน ปล่อยให้พวกอลงกรณ์และธมลเดินทางตามมาภายหลังและกลับทางตะวันตกที่ 1อย่างที่วางแผนไว้ ทว่าใครจะไปคิด…ว่าพวกบฏตั้งใจจะไปดักโจมตีพระองค์หลังจากที่พยายามจับตัวศศิไปไม่เป็นผล


ด้วยเพราะเสียกำลังพลไปมาก ทางนั้นเองก็คงไม่ได้มีคนเหลือเยอะแยะและอาจจะพยายามหาพันธมิตร ด้วยเพราะความช่วยเหลือระหว่างสองดินแดนในการปราบกบฏจึงทำให้มีการส่งข่าวบอกกล่าวกันไปมา คิดไว้ไม่ผิดเลยว่าคีรีเขตที่กำลังหนีกันหัวซุกหัวซุนหลังจากพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในคีรีธาราก็พยายามจะหวังพึ่งพิงกบฎของฝั่งนี้เช่นกัน และก็คงจะพยายามมาพบและจับตัวพระองค์ที่ด่านตะวันตกที่ 1 นั่น


ฉะนั้นเราจึงไม่ควรอยู่เฉยอีกต่อไป ทรงปล่อยให้เป็นหนามหยอกแทงพระทัยมานานแล้ว!


“ด้วยเพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องขอฝากศศพินทุ์ไว้ในการดูแลของท่าน เมื่อเสร็จกิจก็จะรีบกลับมาหา”  ทั้งๆที่ไม่อยากพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ขี้หวงของศศิอย่างทิชากรแม้แต่น้อย ทว่าเพราะความจำเป็นจึงต้องเดินมาหาและบอกกล่าวความตั้งใจ


“อย่าได้ห่วงไปเลย” และทิชากรไม่มีวันปฏิเสธพระองค์ได้ อย่างไรก็ตามภารกิจที่พระองค์ทำก็เกี่ยวพันถึงการปกครองของสองดินแดน ทิชากรไม่ใช่ผู้รับประโยชน์โดยตรงแต่ก็เกี่ยวข้องอยู่บ้างจึงยินดีที่จะช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ และยิ่งเรื่องของศศิ ยิ่งเป็นเรื่องที่ตนมากกว่าเต็มใจ


เมื่อพูดคุยกันเสร็จ องค์รัชทายาทก็ออกมาหารือกันต่อเกี่ยวกับกลวิธีที่จะใช้ในการตลบหลัง ตอนนี้เราไม่ได้สื่อสารกับทางธมลและอลงกรณ์ที่ยังอยู่ที่คีรีธารา แต่ก็คาดว่าพวกเขาจะคาดเดาแผนในตอนที่เข้าจู่โจมได้ไม่ยาก เมื่อพูดคุยกันเสร็จก็ทรงแยกจากมา ชี้แจงให้ทุกคนรู้ว่าจะทรงทำอะไรแล้ว ที่สำคัญและขาดไม่ได้ ทรงต้องแจ้งบอกให้ศศิเข้าใจว่าพระองค์จะออกห่างไปไกลสักพักหนึ่ง


“ทำอะไรอยู่หรือ”  เมื่อเห็นแผ่นหลังของคุณแม่ที่กำลังขีดๆเขียนๆบางสิ่งในสำนักพยาบาล คนพ่อก็ไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามสักเท่าไหร่ แต่น้ำเสียงก็ยังทอดหวานให้ความต่างเวลาพูดกับใครอย่างชัดเจน


“กำลังดูบัญชีค่าใช้จ่าย”


“ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย หากเสร็จแล้วเรากลับเรือนด้วยกันนะ”  เมื่อทรงเอ่ยปากออกมา ศศิก็จัดการปิดหน้าสมุดและเงยหน้าขึ้นมามอง


“งั้นกลับกันเลยก็ได้ ข้าทำเรื่องพวกนี้จนเบื่อแล้ว”  ก็ไม่ใช่คนไม่รับผิดชอบหรอก แต่การที่อคิราห์เดินมาหากันแบบนี้ย่อมผิดวิสัย และความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะความขยันขันแข็งที่มี


ทรงพาคนรักมายังเรือนพักที่มีคนนำสำรับอาหารเย็นของเรามาเตรียมไว้แล้ว ก่อนหน้านี้เรามีบ้างที่จะไปร่วมทานกับทหารและคนอื่นๆ แต่วันนี้ทรงเลือกที่จะเสวยกับศศิเพียงสองคน ช่วยประคองให้คนน่ารักได้นั่ง ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ตักกับตักอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ คอยดูแลทะนุถนอมอย่างนี้จนต้องร้องบอกให้พอ


หลังจากชำระล้างกายแล้วก็พากันมายังห้องนอนเล็กๆที่บัดนี้ยิ่งจะเล็กลงกว่าเดิมเพราะเจ้าของห้องไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป ในขณะที่ปล่อยให้คนวุ่นวายได้จับหวี เจ้าของมือที่ไม่เคยอบอุ่นได้ขนาดนี้ก็ค่อยๆแปรงผมยาวนั่นให้อย่างทะนุถนอม หากเป็นเช่นนี้ไปนาน…ศศิก็คงทำอะไรไม่เป็นเลย


“มีเรื่องจะคุยอะไรกับข้าหรือ”


“ข้าไม่แน่ใจนักว่าหากพูดไปแล้วเจ้าจะเครียดจนเกินไปหรือไม่”


“เป็นเรื่องที่แย่อย่างนั้นเลย”


“ข้าย่อมไม่รู้”  กับเรื่องนี้หากมันจบด้วยดีย่อมไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เพราะมันยังไม่เกิดจึงไม่รู้ว่าจะแยกประเภทมันเช่นไร  “ข้าจะต้องไปปราบกบฏที่ชายแดนตะวันตกที่ 1”


“…”


“ศศิพี่ต้องไป…”  ก็เข้าใจ


แต่เป็นห่วงไม่ได้เลยหรือ…


“นี่เป็นโอกาสที่เราต้องจัดการ ข้าไม่อยากปล่อยไว้และให้มันมาทำร้ายเจ้าและลูกของเราเหมือนวันนั้นอีก”  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ศศิกำลังจะถูกจับไป พระองค์ก็มั่นใจแล้วว่าต้องจัดการให้เด็ดขาดในเร็ววัน เราจะเปิดโอกาสให้มันเพิ่มกำลังพลจากคีรีเขตไม่ได้ จะตีงูก็ต้องตีให้ตาย และครั้งนี้ทรงหวังว่าจะตีให้ได้ทั้งสองตัว!


“ข้าเข้าใจ”  คนตัวเล็กนั้นเอ่ยออกมาเป็นคำแรก ก่อนจะหันไปหาคนที่หยุดแปรงผมให้ตนแล้ว “แค่เป็นห่วง แต่ศศิเข้าใจ”


“เด็กดี”


“ไปทำหน้าที่ของพี่เถิด ดูแลตัวเองให้ดี ห้ามกลับมาทำหน้าเป็นโจรหรือบาดเจ็บมาให้รักษาอีกนะ ข้าเบื่อ!” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่คนที่จะวิ่งเข้ามารักษาย่อมเป็นคนพูดเป็นแน่ ทรงมั่นใจกว่าอะไรดี


“ขอให้เชื่อข้าจะกลับมาอย่างสุขภาพดี ให้ทั้งลูกและแม่ภูมิใจ”


“ขี้ตู่”


“ถ้ากลับมาแล้วคงต้องขอรางวัลงามๆ” 


“ยังไม่ทันได้ไปเลย”


“ขอตอนนี้เลยได้ไหม”


“แน่ะ!”


“ข้าอยากกินสตอเบอร์รี่สักลูก”  และในพื้นที่ที่ไม่เคยมีลูกสตอเบอร์รี่มาก่อนอย่างด่านตะวันตกที่ 2 นะหรือ? เกรงว่าองค์รัชทายาทจะทรงเลอะเลือนไปหมดแล้ว แต่เราสองต่างเข้าใจกันดี ศศิที่หน้าบึ้งแต่ก็เขินอายไม่น้อยค่อยๆหลับตา ปล่อยให้จุมพิตที่มาแนบชิดนั้นอ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากของตน


ทรงๆค่อยบดคลึงสร้างความวาบหวามอันอบอุ่นอ่อนโยนที่ดีต่อสุขภาพกายและใจให้คุณแม่ก่อนจะค่อยๆผละออกมาและกลับเข้าไปหาใหม่ ทำซ้ำๆเช่นนั้นอย่างไม่รู้หน่ายตามประสาคนช่างเอาเปรียบ ไหนบอกว่าแค่ลูกเดียวไงเล่าคนบ้า! แต่คำบ่นด่าใดๆก็ไม่ได้หลุดจากปากออกไป ที่มีอยู่ในเรือนหลังเล็กแห่งนี้ คงจะมีแค่คนสองคนที่กอดจูบกันด้วยความคะนึงหาทั้งๆที่ราตรียังไม่พ้นผ่าน


และสุริยายังไม่มาเยือน

TALK
พี่เขาบ้ายบายเก่งนะคะ เอะอะไม่อยู่ๆ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแทบไม่ได้ลงเลย ช่วงนี้งานเริ่มเข้าล่ะค่ะ และเรายังตรวจเนื้อหาไม่ครบด้วยเลยไม่ได้ลง
แต่ยังไงพรุ่งนี้จะพยายามมานะคะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ












ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
พี่อาทิตย์เคลียส์ให้จบเลยนะ พวกกบฏจะได้มาทำร้ายศศิกับลูกไม่ได้อีก 

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พี่อาทิตย์คนคูลรีบไปปราบกบฏแล้วพาน้องเข้าวังนะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
พี่อาทิตย์ระวังตัวด้วยนะ  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 พี่อาทิตย์รีบไปจัดการให้เสร็จ จะได้มารับน้องไปอยู่ด้วย และก็รักษาเนื้อรักษาตัวอย่าให้บาดเจ็บกลับมาอีกนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด