Finding the twilight
25
เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม
☼ ☽
‘เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม’
ถ้าจะบอกว่ารู้จัก แต่ไม่เข้าใจ…จะได้ไม่เล่า!
“หน้าโง่เยี่ยงนี้คงไม่เข้าใจอะไรเลยสินะ”
“หากไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนและความช่วยเหลือ ข้าจะสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตร”
“ใจเย็นอคิราห์ ข้ากำลังจะอธิบายให้เจ้าฟัง” เมื่อเห็นเพื่อนรักเริ่มแสดงตนเป็นองค์รัชทายาทบ้าอำนาจ คนที่ด่าว่าไปก็รีบเข้ามาประจบประแจง
“…”
“แต่บอกมาก่อนว่ารู้อะไรบ้างไหม”
“จันทราปราการเป็นตระกูลผู้มีบทบาทในประวัติศาสตร์ของคีรีธารา แต่ก็มีช่วงที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์” พระองค์ตรัสราวกับท่องมาจากตำรา
“อาจารย์การปกครองต้องภูมิใจในองค์รัชทายาท” ไม่ต้องรอสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรหรอก…
จัดการมันเงียบๆตรงนี้เลยดีกว่า!
“สายชล เจ้าเข้ามาหน่อย” ทว่ายังไม่ทันได้ฆ่าใคร เหยื่อที่รู้ทันก็เรียกบุคคลที่สามเข้ามา เจ้าของร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่ดูจะอ่อนกว่าศศพินทุ์สักหน่อยเดินเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพรองแม่ทัพและพระองค์อย่างนอบน้อม
“ข้าชื่อสายชล” เกรงว่าเด็กคนนี้ก็ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของบุรุษตรงหน้า แต่อย่างนี้มันดีกว่า
“สายชลนั้นคือคนของจันทราปราการ” สิ้นคำแนะนำของธวัลย์ อคิราห์ก็หันไปจ้องมองใบหน้าของเด็กคนนี้อีกครั้ง
“ขอรับ ข้าเป็นคนของจันทราปราการ” เด็กน้อยขานรับอย่างว่าง่าย “เหมือนกับท่านเจ้าตระกูลทิชากร กับพี่ศศิขอรับ” และชื่อที่ถูกเปล่งออกมาเป็นชื่อสุดท้าย ก็ทำให้พระองค์หันกลับไปมองพระสหาย
“ท่านอาของเจ้าบอกข้าว่าเมื่อเจ้ารับรู้เรื่องศศิมีลูกเมื่อไหร่ ให้อธิบายความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับจันทราปราการให้หมด” และนั่นคือเหตุผลที่ธวัลย์ไปล่อลวงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มา ทำดีจนอยากมอบรางวัลให้
“ข้าเห็นว่าท่านคือคนรักของพี่ศศิเลยอยากจะช่วย” ถ้าทิชากรทราบเรื่อง ก็ไม่รู้ว่าเด็กมันจะโดนอะไรบ้าง แต่เอาเป็นว่า
ขอพระองค์ได้ทราบเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน!
☼ ☽
จันทราปราการไม่ได้เป็นชื่อดินแดนหรือกำแพงแต่อย่างใด…
ทว่าจันทราปราการคือกลุ่มคนที่ร่วมบูชาเทพแห่งจันทราเหมือนๆกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล คนเหล่านั้นรวมตัวกันอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำธารา แม่น้ำที่เป็นสายหลักหล่อเลี้ยงทุกชีวิตของคีรีธารา
ว่ากันว่าด้วยเป็นที่โปรดปรานขององค์เทพ จึงดลบันดาลให้เกิดความรู้ความสามารถแก่บุคคลในกลุ่ม นานเข้าจันทราปราการก็เป็นเจ้าของความเจริญต่างๆ เมื่อมีมากมายจึงเผยแพร่ ความเจริญเหล่านั้นได้ดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้าไปเล่าเรียนศึกษา มากเข้าจากดินแดนเล็กก็ใหญ่โต กลายมาเป็นคีรีธารา ดินแดนแห่งแม่น้ำและภูเขาเฉกเช่นปัจจุบัน
จึงกล่าวได้ว่าจันทราปราการคือผู้ก่อตั้งอาณาจักรข้างๆของสิหราชนคราไม่ใช่สถาบันกษัตริย์ แต่เป็นอาณาจักรที่กำเนิดมาโดยความเคารพในเทพจันทรา ต่างกับสิหราชนคราที่เชื่อว่าตนสืบเชื้อสายจากผู้บูชาพระอาทิตย์..ที่มีรูปอวตารเป็นสิงโตเจ้าป่า
“…”
“จันทราปราการมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ปกครองแห่งคีรีราชสกุล แต่ก็วางตัวเป็นเพียงปราชญ์ผู้ให้ความช่วยเหลือ ไม่เข้าไปยุ่งทางการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับการปกครองอย่างลับๆ” เด็กน้อยสายชลยังคงอธิบาย ด้วยเพราะไม่ต้องการวุ่นวายจึงไม่เคยแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็มีอำนาจอยู่เบื้องหลังมาตลอด เป็นระบบความสัมพันธ์ที่ต่างจากดินแดนของพระองค์อย่างสิ้นเชิง
“ในบางครั้งก็มีคนของจันทราปราการแต่งงานกับคนของราชวงศ์” มาถึงตรงนี้ พระองค์ก็รู้สึกหงุดหงิดพระทัย ที่มีคนเคยพูดว่าศศิเกิดมาเพื่อกษัตริย์ของทางนั้น ระบบความสัมพันธ์นี้นะหรือที่เอื้อให้ยอดรักของเขาไปเป็นของใคร!
“มีหลายคนมาทาบทามตอนที่พี่ศศิเกิด ด้วยอยากจะเกี่ยวดองกับสายหลักของตระกูล และเพราะคำทำนายนั่น จึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย”
“คำทำนาย?”
“ด้วยวันเกิดของพี่ศศิ ตรงกับวันที่มีสุริยุปราคาเนิ่นนานตลอดช่วงเวลาทำคลอด อีกทั้งแม่น้ำคีรีพลันหยุดนิ่งไร้คลื่นลม ความมืดมิดเข้าบดบังเป็นที่น่ากลัวไปทั่วดินแดน ทว่าเมื่อพี่ศศิลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ปรากฏพระจันทร์ส่องสว่างงามตา เด็กน้อยที่ร้องระงมพลันหัวเราะและยิ้มสดใส ต้นไม้พืชพันธุ์ที่ล้มตาย กลับมามีชีวิตชีวา และคนป่วยก็ยิ้มได้หายเจ็บเมื่อแสงจันทร์ส่องสว่าง”
“…”
“ว่ากันว่าเป็นการประทานพรจากเทพเบื้องบน และด็กที่เกิดกับจันทราปราการที่เป็นผู้บูชาสายหลักเป็นผู้นำพรเหล่านั้นลงมายังโลกมนุษย์”
“คุ้นๆไหมว่าเหมือนใคร”
“ไม่…”
“โหย…ไอ้คนเกิดวันอาทิตย์ทรงกลด..” ธวัลย์นั้นพึมพำอย่างหงุดหงิดที่สหายรักไม่เปิดโอกาสให้แทรก แต่เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดมาก่อน ทว่าพระองค์ไม่ได้พบเห็นมันด้วยตัวเอง เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าเท่านั้น
เพราะพระองค์เองก็เป็นคนที่ว่ากันว่าทวยเทพให้ลงมาเอ่ยกล่าวพรแก่มนุษย์
และเพื่อเกิดเป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้า พร้อมนำพาราชวงศ์และบ้านเมืองไปสู่ยุคทอง
ทั้งนี้เพราะความเชื่อและต้นกำเนิดของสองเมืองนั้นไม่เหมือนกันเสียทีเดียว คีรีธาราเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาจากผู้บูชาพระจันทร์คือผู้นำพร แต่สิหราชนคราเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาในรั้วพระราชวังซึ่งเป็นชนชั้นปกครองคือคนนั้นที่กุมชะตา และในวันที่เกิดอาทิตย์ทรงกลดที่นำพาซึ่งฝนอันชุ่มช่ำหลังภัยแร้งอันยาวนาน ก็มีเพียงแค่เด็กคนเดียวในรั้ววังที่ถือกำเนิด และเป็นคนเดียวตามทะเบียนราษฎร์กระมัง ที่เกิดในช่วงเวลาพระอาทิตย์ทรงกลดนั้น พอดิบพอดี…
คือพระโอรสขององค์เหนือหัวองค์ปัจจุบัน และนั่นคือพระองค์เอง…
“สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นย่ำแย่ เกิดการแบ่งฝักฝ่ายจากกลุ่มราชวงศ์และกลุ่มล้มล้างซึ่งเป็นเหล่าขุนนางที่ขัดแย้งทางผลประโยชน์ การกำเนิดของพี่ศศิถือเป็นความหวังของใครหลายๆคน อาจจะเพราะความเจริญหลังจากที่องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครากำเนิดนั้น ผู้คนยกเป็นตัวอย่างและต่างเชื่อไปเช่นนั้นจ้ะ”
“ดูสิ เพราะใคร” ธวัลย์นั้นเอ่ยพูด แม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าทรงเป็นสาเหตุการสูญหายของจันทราปราการในดินแดนบ้านเกิด แค่เกิดก่อน และถูกพูดไปก่อน ก็กำหนดชะตาคนที่ตามมาข้างหลังได้เสียอย่างนั้น
“ทางราชวงศ์ได้เข้ามาทาบทามพี่ศศิให้ไปหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทจ้ะ แต่ท่านเจ้าตระกูลไม่ให้”
“ท่านทิชากรนะหรือ” เป็นทิชากรนั่นแล
“แม้จะยังเด็กอยู่มาก แต่ก็เด็ดขาดเหลือเกิน เมื่อปฏิเสธไปแล้ว ทางนั้นก็ไม่ยอมรับ คีรีเขตที่เห็นว่าถ้าคีรีราชสกุลได้ตัวพี่ศศิไป จะส่งผลเสียทางความน่าเชื่อถือจากประชาชนแก่ทางตน จึงออกไล่ล่าพวกเรา ตอนนั้นคีรีราชสกุลเองก็บีบเราโดยการไม่ให้ความช่วยเหลือจนกว่าจะยกพี่ศศิให้ หนักเข้า พวกเราจึงต้องหนีมา”
“…”
“จริงๆแล้วที่คีรีราชสกุลนั้นต้องการพี่ศศินักหนาเพราะคำทำนายของโหราจารย์ทั่วราชอาณาจักรบอกเป็นเสียงเดียว”
“อะไรรึ”
“เด็กที่เกิดกับพี่ศศิจะนำพาความเจริญของอาณาจักรให้ขึ้นสูงเปรียบเป็นยุคทอง อยู่กับราชวงศ์ไหน ก็จะช่วยส่งเสริมนำพาผู้เป็นใหญ่ในราชวงศ์นั้นให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป คำทำนายก็ประมาณนี้”
“…”
“แต่ท่านทิชากรต้องการให้พี่ศศิได้เลือกเอง และเพราะไม่อยากวุ่นวายกับการเมืองอีกต่อไปจึงมีคำสั่งให้หนีมา อีกทั้งไม่ต้องการให้พี่ศศิไปกี่ยวดองกับคีรีราชสกุลอย่างนั้น เพราะครรภ์ที่ออกมาอาจจะไม่สมประกอบได้”
“ด้วยเหตุอันใด” เมื่อฟังเช่นนี้ก็ห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ
“องค์ราชินีผู้เป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทมีศักดิ์เป็นป้าใหญ่ของพี่ศศิจ้ะ ทรงเป็นพี่สาวคนโตของท่านทิชากร หลังจากที่หมั้นหมายกับคีรีราชสกุล ก็ตัดขาดกับทางตระกูล มีไม่กี่คนหรอกจ้ะที่รู้ว่าจันทราปราการมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดถึงเพียงนี้ และเพราะเป็นพระญาติที่มีสายเลือดใกล้ชิด ต่อให้อีกฝ่ายจนตรอกแค่ไหน ท่านทิชากรก็ไม่ยอมให้ยกพี่ศศิไปให้หรอก”
“แล้วคำทำนายนั่น ถ้าไม่ใช่องค์รัชทายาทแห่งคีรีธาราแล้วเล่า” ธวัลย์นั้นพึมพำออกมา
“ไม่มีใครคิดเรื่องสิหราชนคราหรอก เราเลือกมาตั้งหลักอยู่ไกลจากพระราชวังถึงเพียงนี้แล้วนี่” เด็กน้อยยังคงไม่รู้อะไร ตนเพียงทราบเรื่องราวเหล่านี้จากผู้อาวุโสที่เพิ่งยอมเปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ที่คีรีธาราปลดแอกจากคีรีเขตได้ แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเข้าใจแล้วว่าทำไมทิชากรถึงค่อนข้างจะกีดกันพระองค์กับยอดรักนัก
เพราะปัญหาทางการเมืองระหว่างคีรีธารากับสิหราชนคราอาจจะเกิดขึ้นได้
ด้วยแย่งหนุ่มน้อยคนงามที่มาจากจันทราปราการกันนี่แล…
“เอาแล้วไง” ฐานะของศศิเรียกว่าไม่ได้ด้อยกว่าอภิชญาแล้วในตอนนี้ นอกจากจะเป็นพระญาติของอาณาจักรข้างๆ มีความรู้และบำเพ็ญประโยชน์อยู่ชายแดนอาณาจักรนี้ และลูกของศศิ ก็เข้าชะตาน้ำงามที่โหรหลายสำนักต้องยกนิ้วให้
จะติดตรงที่ อาจจะงอนอยู่
และไอ้ญาติบ้าบอของเจ้าตัวมันริอาจจะมาอยากได้เมียของพระองค์นั่นแล…
“กองทัพจะสนับสนุนพระองค์เอง” ธวัลย์นั้นตบไหล่ของเพื่อนด้วยเห็นใจ จริงๆตนพอรู้มาบ้าง แต่มาฟังความสรุปแบบเต็มๆก็เห็นใจไม่น้อย เห็นใจเพื่อน…
“ดีแล้วนะจ้ะที่พี่ชายกับพี่ศศิได้รักกัน ท่านทิชากรเคยบอกว่าถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ขยันขันแข็งอดทนและรักจริงก็ยินดีจะยกให้” และสงสารไอ้เด็กนี่ที่คิดไปเองด้วย
“ไม่ได้เป็นตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาแล้ว” เรียกว่าเป็นเขยชังไปเสียแล้ว องค์รัชทายาทรูปงามของเรา
หลังจากไล่เด็กรู้มากแต่รู้ไม่ครบออกไป ก็นั่งจิบสุรากันเงียบๆ พูดคุยปรับทุกข์เกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาหัวใจเล็กน้อยจึงได้แยกออกมา ความจริงที่กระจ่างชัดวันนี้ทำให้ปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆและท่าที พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพระบิดาถึงได้เคยหมายมั่นศศิไว้ถึงเพียงนั้น คงเพราะสงสัยว่าศศิจะเป็นคนของจันทราปราการกระมัง
แค่เห็นว่าลูกของตนรัก และการมีทายาทตรงคำทำนายเป็นประโยชน์แก่ราชวงศ์ แม้ว่าจะมีปัญหาทางการทูตกับคีรีราชสกุลก็ไม่เป็นไรกระนั้นหรือ ทรงเด็ดเดี่ยวเสียเหลือเกินพระบิดาของพระองค์นี่ แต่นอกจากอาณาจักรของพระองค์และพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ก็ทรงยอมทำทุกอย่างตามที่เห็นควรจริงๆ น่าเสียดายที่คงโดนทิชากรซ้อนแผนด้วยการให้ศศิกินยาพลางชีพจรตอนถูกตรวจสอบ ไม่งั้นป่านนี้พระองค์ได้อภิเษกไปแล้ว ท่ามกลางความร้อนระอุของสงครามและกบฏนั่นแล…
“หากเจ้าไม่ยอมให้ง้องอน เป็นเช่นนี้พี่ถือเป็นลูกอกตัญญูเชียวหนา” ทรงต้องพาเมียและลูกกลับไปขอโทษพระบิดาที่วันนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจให้ได้ อคิราห์ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแม้กระแสการเมืองระหว่างอาณาจักร คาดว่าอชิระที่ไปแทนนั้นคงทำบางอย่างให้ ถึงทิชากรจะไม่ให้ความร่วมมือก็คงดึงดันบังคับและใช้งานอีกฝ่ายให้จงได้ ขอให้ตลบหลังที่เคยซ้อนแผนกัน ด้วยการจัดการคีรีราชสกุลให้อยู่หมัดด้วยเถิด หลานของทิชากรน่ะ พระองค์ไม่คืนหรือฝากไว้อีกแล้ว!
☼ ☽
“วันนี้ท่านตื่นแต่เช้าอีกแล้ว” สายชลที่เมื่อวานได้ไปช่วยให้คนรักของพี่ศศิได้เข้าใจความเป็นมานั้นเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี แค่คิดว่าต่อจากนี้พี่ศศิจะไม่ต้องเดียวดายก็ยิ่งมีความสุข แต่ยังบอกอีกคนไม่ได้ ว่าตนอยู่เบื้องหลัง
“อื้ม วันนี้ข้ามีนัดซื้อผ้ากับพ่อค้าที่มาติดต่อน่ะ” ปกติแล้วจะมีพ่อค้าจากต่างเมืองเดินทางมาค้าขายแทบทุกสัปดาห์ ศศิเห็นว่าอีกไม่นานลูกก็จะคลอดแล้ว จึงคิดจะหาซื้อเสื้อผ้าน่ารักๆเตรียมไว้ แม้ยังไม่รู้ว่าแก้วตาดวงใจของตนจะเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นแฝดหรือลูกคนเดียวก็ตาม
“ให้ข้าไปกับท่านไหม” สายชลจำได้เสมอว่าไม่ควรปล่อยศศิไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ที่สายชลไม่รู้ คือตนคนเดียวไม่อาจจะช่วยอะไรได้ แม้คนในจันทราปราการจะทราบว่าศศิตั้งครรภ์แต่ไม่รู้ว่ากับใคร และไม่รู้ว่าศศิกำลังเผชิญอันตรายถึงเพียงไหนอยู่ แม้แต่เจ้าตัวเอง ก็ยังไม่ตระหนักถึงตรงนั้นดีเสียเท่าไหร่
“ป่านนี้ไม่รู้พี่ทิตย์จะตื่นหรือยังนะ” สายชลนั้นเอ่ยปากพูดลอยๆแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ คิดว่าพี่ศศิคนงามของตนคงจะงอนคนรักอยู่จึงไม่ยอมให้ร่วมเตียงและแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก จึงพยายามช่วยเหลือเพราะอยากให้ได้หันหน้าเข้าคุยกัน
และที่รองแม่ทัพธวัลย์พูดอวยอย่างนั้นอย่างนี้ สายชลก็ไม่เห็นว่าพี่ทิตย์ไม่ดีตรงไหน…
“นั่นสิ แต่เขาป่วยนี่เนอะ ให้พักเยอะๆดีแล้ว” ศศิก็ว่าไปตามนั้น
แม้ชื่อนี่จะมีอิทธิพลต่อหัวใจ จนชักนำให้รู้สึกผิดอยู่บ้างก็ตาม
ยามเช้าตรู่เช่นนี้ เหล่าทหารในกองทัพต่างกำลังรวมตัวและฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น โรงหมอยังไม่ได้เปิดทำการ ศศิจึงพอมีเวลาว่างที่จะจัดการเรื่องส่วนตัว และตนก็เลือกที่จะมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ ทุกทีทิชากรจะให้คนมากมายตามมาด้วย แต่เพราะคิดว่าไม่จำเป็นจึงไม่ได้เรียกใครมา ระหว่างกำลังเดินไปยังประตูของค่าย เด็กซนอย่างสายชลก็ไม่รู้วิ่งหนีหายไปไหน ศศิส่ายหน้าอย่างระอา พลางเดินเอื่อยๆอย่างสบายอารมณ์เป็นการออกกำลังกายเบาๆไป
“อรุณสวัสดิ์” เอ่ยทักทายทหารยามอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินก้าวขาออกมาเมื่อเห็นว่าเหล่าพ่อค้าเริ่มจะวางของกันแล้ว
“มาดูผ้าลายใหม่ๆได้เลยนะ” ศศิที่มีเป้าหมายในใจจึงพุ่งเข้าไปตรงจุดนั้น หยิบจับมาสองสามชิ้น กำลังจะเงยหน้าขึ้นมาต่อราคาก็พบว่าเหล่าพ่อค้าที่มากันนี้ไม่ใช่ขาประจำที่มักมาค้าขายกันที่นี่
“ลดให้หน่อยได้ไหมจ้ะ จะได้ซื้อขายกันนานๆ” จึงลองเอ่ยอย่างเป็นมิตรแม้จะนึกสงสัยอะไรบางอย่าง ทว่ารอยยิ้มจอมปลอมของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้หวาดระแวง
‘แม่จ๋า ออกมา…’
“ไม่เอาแล้วดีกว่าจ้ะ” ศศินั้นรีบวางของลงและเดินก้าวถอยหลังหมายจะกลับเข้าไปในเขตของค่ายที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว แต่แล้วเสียงร้องอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของทหารเฝ้ายามก็ทำให้ตนชะงัก เหล่าพ่อค้าที่โพกผ้าต่างดึงมันลงและก้าวย่างเข้ามาหา พวกมันมีกันมากกว่า 10 คน…
“จับมันไปให้ได้!” หนึ่งในนั้นเอ่ยสั่ง และนั่นทำให้ศศิรับรู้ได้แล้วว่าอันตรายมันอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
แต่ที่ผ่านมาไม่รู้ เลยไม่คิดจะระวัง
“ไม่!” เสียงร้องของศศิดังลั่น แต่เกรงว่าคงไม่ทันกาลให้ใครออกมาช่วยได้ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ ต่างล้มลงไปนอนพับกันเสียหมดแล้ว
“รีบพาขึ้นรถม้า เราจะเอามันไปต่อรองกับไอ้อคิราห์” อคิราห์…
หนีมาไกลถึงเพียงนี้ยังไม่วายเป็นภาระท่านอีกหรือ…
ศศิ…ขอโทษ
“ปล่อยศศิเดี๋ยวนี้!” เสียงที่ดังกังวานเต็มไปด้วยการคุมคามนั้นดังมาจากด้านหลัง โดยไม่ได้หันไปมอง ศศิก็รับรู้ได้ว่าบุรุษคนหนึ่งพุ่งเข้ามาผลักคนที่จับแขนของศศิไว้แน่นจนมันล้มลงไป
“ฆ่าไอ้นั่น แล้วจับเมียไอ้อคิราห์มา อย่าให้มันตายก่อน!”
“ไม่” อย่าฆ่าเขา คือคำที่อยากจะออกจากปาก ความวุ่นวายรอบตัวทำให้ศศิรับรู้อะไรไม่ได้มาก เสียงกลองเรียกรวมพลดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของทิตย์ถูกถีบจนเซ แล้วยังต้องมากระโดดหลบคมดาบ ก่อนจะหาจังหวะก้าวเข้าไปใช้ศอกกระแทกที่กกหูแล้วแย่งดาบออกมา
ทิตย์ผู้นั้นไม่รีรอที่จะฟันฉับที่สีข้างและขาของมันจนล้มลงไป แต่กระนั้นคู่ต่อสู้ก็ไม่ได้น้อยลงเลย และมีใครคนหนึ่งกระโดดเข้าไปใช้ด้ามดาบกระแทกลงไปที่ท้ายทอยของทิตย์ ศศิกรีดร้องไปเพราะเห็นว่าเขากำลังจะเซล้มลงไป แต่ก็ไม่…ทิตย์ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป แม้ว่าจำนวนคู่ต่อสู้จะยังได้เปรียบอยู่มากก็ตาม
ทว่าแสงแห่งความหวังก็ชัดเจนทะลุม่านน้ำตาเข้ามา คนของกองทัพที่ได้ยินเสียงกลองต่างมารวมตัว ผู้ที่มาถึงก่อนต่างเข้าช่วยโรมรัน ผู้ที่มาถึงในภายหลัง บ้างก็วิ่งมาพาศศิกลับเข้าไปในค่าย ใช้เวลาไม่นานความวุ่นวายก็จบลง บ้างบาดเจ็บ บ้างล้มตาย แต่โชคดีนักที่คนของกองทัพทุกคนแม้แต่ทหารเฝ้ายามนั้นเพียงแค่เจ็บกาย ทว่าทุกคนล้วนเจ็บใจ!
และศศิยังนั่งเสียขวัญ…
“เจ้าพาไปเถิด” รองแม่ทัพที่เข้ามาจัดการทุกอย่างได้เอ่ยบอกกับทิตย์ที่เพิ่งเดินเข้ามาเห็น ศศิเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า คิดโทษตัวเองไปสารพัด ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าทหารบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บถูกพาเข้ามาในค่าย
“พักก่อน พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก” อคิราห์นั้นเข้าไปประคองยอดรักของเขาที่ทำท่าจะเข้าไปทำหน้าที่หมอ ศศิที่ยังขวัญหายหันมาสบตา ดวงตาที่คลอหยาดน้ำได้ปล่อยให้มันไหลเพียงแค่มองตาเขา “ให้ข้าอุ้มไปเถิด” โดยไม่รอคำอนุญาต ร่างสูงก็จัดการอุ้มพาเด็กน้อยของตนไปยังเรือนของตนเอง แต่กระนั้นก็พาไปนั่งที่แคร่หน้าเรือน ด้วยสำนึกว่าตนเป็นแค่ทิตย์…จึงยังไม่มีสิทธิ์อะไร
“ท่านเจ็บไหม” กว่านานที่ศศิจะพูดออกมาได้ เมื่อถูกวางลงให้นั่งบนแคร่ ตนก็ยื่นมือไปสัมผัสกับแผลที่มุมปากของอีกฝ่าย แม้จะอ้างว่าเป็นหมอ แต่แววตาที่สะท้อนไป มันลึกล้ำกว่านั้น
“ไม่เจ็บหรอก เจ้าสิ…เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ศศิส่ายหน้าหวือ ก่อนจะกลับมาสังเกตแผลที่จุดอื่นๆ ร่างกายสูงใหญ่นั้นมีรอยถลอก เลือดออกบ้างเล็กน้อย แต่รอยช้ำนั้นมีเสียเยอะกว่า แค่คิดว่าถ้าเขาไม่ออกไป ตอนนี้ตนจะอยู่แห่งใดบนโลกก็สุดรู้จึงกลับมารู้สึกผิดอีกครั้ง
ถ้าไม่ออกไป ไหนเลยจะทำให้คนอื่นต้องมาบาดเจ็บเช่นนี้
“อย่าทำหน้าเช่นนี้สิ รู้สึกผิดอยู่หรือ”
“ฮึก..”
“อย่าคิดเช่นนั้น เจ้าไม่ได้อะไรผิด ใยคิดมากนัก”
“ถ้าข้าไม่ออกไป ก็คงจะไม่มีใครต้องมาเจ็บตัวเพราะข้า”
“ทุกคนล้วนเอ็นดูเจ้าทั้งนั้น เขาย่อมเต็มใจ”
“ฮึก แต่ท่านเจ็บ”
“ข้าย่อมเจ็บกว่านั้นมาก หากไปช่วยเจ้าไม่ทัน” แค่คิดว่าถ้ายังนอนต่อ ไม่สนคำเรียกของเด็กสายชลที่วิ่งมาปลุกกันด้วยหมายจะเปิดโอกาสให้พระองค์ได้พลอดรักกับเมียที่ออกไปซื้อข้าวของ แค่คิดว่าตอนนั้นจะทรงรำคาญและไม่กระตือรือร้นต่อสิ่งใด…
โชคดีที่มันไม่สายจนเกินไป…
“อย่าพูดว่าเจ้ารู้สึกผิด เพราะพี่รู้สึกผิดกับเจ้ามากกว่ายิ่งนัก”
“…”
“ยอดรักของข้า เจ้าเจ็บหรือไม่ มันทำให้เจ้ากับลูกของเราให้เจ็บหรือไม่” อคิราห์ยอมแพ้แล้ว ต่อให้จากนี้ศศิจะไม่มองหน้าพระองค์ด้วยแสนงอนที่ทรงทำเย็นชาเหินห่างในวันที่จากลา อีกทั้งไม่เคยเชื่อถือในคำพูดว่าเรามีลูกด้วยกัน มิหนำซ้ำยังมาลวงหลอกว่าเป็นอีกคนให้เชื่อใจ พระองค์ไม่สนอะไรแล้วแม้จะถูกเกลียดชังจนไม่อยากเห็นหน้าก็ตาม
แต่ทรงอยากได้สิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องและโอบกอดร่างที่สั่นเทานี้ไว้จะแย่
จึงไม่อาจจะปิดบังอะไรต่อไปได้อีกแล้ว…
“เจ็บตรงไหนหรือไม่” ศศินั้นเอ่ยถาม ใบหน้าไม่มีรอยยิ้ม และมันไม่สะท้อนถึงความรังเกียจรังงอนแต่อย่างใด
“ศศิ…”
“ท่านไม่น่าปล่อยให้หนวดเคราเยอะเพียงนี้เลย” ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะคลี่ยิ้มออกมา “มันเห็นแผลไม่ชัดเข้าใจไหม ต้องโกนหนวดตัดผมเป็นคนใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ พี่อาทิตย์!” เพราะศศิไม่เคยเกลียดเขาลงได้
ต่อให้อยากจะวางท่าแสนงอนแค่ไหน แต่ใครเล่าจะใจแข็ง เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยกันถึงเพียงนั้น และเพียงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ตระหนักได้ว่าเวลาที่เสียไปมันเปล่าประโยชน์เหลือเกิน หากไม่รักวันนี้ รอจนสายไป ก็อาจจะไม่ได้รักอีกแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นแทนที่จะผลักไส ศศิจึงเลือกที่จะโถมหาอ้อมกอดนั้นด้วยคะนึงหาไม่ต่างกันแทน
มีที่ไหนที่ศศิจะจำคนรักของตัวเองไม่ได้ แบบเขานั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นแล แต่ถึงจำได้ก็แกล้งทำเป็นจำไม่ได้ไปงั้นเพื่อดัดนิสัย และตนก็ยังไม่แน่ใจถึงวัตถุประสงค์ที่ปลอมตัวมาของเขาด้วย หากทำไปเพราะกังวลเรื่องอันตราย การที่ศศิไปเปิดเผยความลับของเขาก็คงไม่ดีนัก แต่เช่นนั้นล่ะดีแล้ว ศศิจะได้จิกหัวใช้ ‘ทิตย์’ คนนั้นให้คุ้มกับการที่ไม่ยอมเชื่อกันเรื่องเจ้าแสบนี่
“ท่านปล่อยให้ข้ารอนานแล้ว กะจะมาเมื่อครบปีจริงๆหรือไง” แต่ก็อดไม่ได้ต้องต่อว่าไปบ้าง
“พี่ขอโทษ” และเมื่อถูกกอดเช่นนี้ พระองค์ก็ประพฤติตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็กอดกลับไม่ให้อีกฝ่ายต้องใจเสีย อนึ่งมันคือความต้องการส่วนลึกของพระองค์อยู่แล้วด้วย
“ต่อไปนี้ไม่ให้ห่างตัวแล้ว ท่านทำให้ข้าตกใจมากรู้ไหมที่ได้เจอกันในสภาพแบบนี้ จะเจอกันที่ไรก็ต้องบาดเจ็บได้ไข้ทุกทีเชียวหรือ พี่อาทิตย์...มันจะมากเกินไปแล้ว" หากรู้ว่าเป็นความจงใจในครานี้ ท่านหมอคงด่าว่าพลันทุบตีในความงี่เง่านั้นน่าดู แต่เอาเถิด จะยอมเสียหมด แลกกับคำพูดคำจาน่ารักเมื่อครู่นี้ พระองค์ยอมได้หมดเลย
“ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”
“แล้วใครว่าข้าไม่รักท่านเล่า ต่อไปพูดอะไรก็ฟังกันหน่อย ข้าน้อยใจท่านเหลือเกินที่ทำเหมือนไม่ยอมรับลูกของเรา”
“พี่ยอมรับแล้ว”
“ก็เพราะท้องโย้ออกมาขนาดนี้นะสิ”
“ขอโทษที่โง่งม” หากตอนนั้นทรงรู้ พระองค์คงขังศศิไว้แต่ในตำหนักจริงๆ การไม่รู้ก็เหมือนจะเป็นข้อดีให้ทรงจัดการทุกอย่างได้เร็วขึ้นอย่างที่ไม่มีห่วง แต่ก็ทรงเสียพระทัยที่ไม่ได้มีโอกาสได้ใช้เวลากับคนตัวเล็กยามที่กำลังท้องไส้ ทรงยอมให้คนท้องโกรธเคืองได้เต็มที่
“ท่านทั้งโง่ และบ้ากว่าใคร”
“แต่ก็รักเจ้ามากกว่าใครด้วยนะ”
“ข้าไม่เชื่อท่านแล้ว”
“เชื่อกันเถิด…” ทรงเอ่ยขออย่างออดอ้อน เสื้อเก่าๆของพระองค์ที่ได้รับมานั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แต่กระนั้นพระองค์ก็หมายจะซับทุกหยาดน้ำออกให้ ด้วยหวังจะไถ่โทษในสิ่งที่พลาด และสิ่งที่ทำได้ช้าเกินไป
บัดนี้ต่อให้เอาอะไรมาแลกหรือมาขวาง ก็ไม่มีวันยอม
“ยอดรักของพี่” ทรงเอ่ยกระซิบเสียงหวานที่ข้างหู น้ำเสียงของพระองค์กลับมาเป็นปกติแล้วหลังจากเจ็บคอมาหลายวัน
“…”
“พี่มารับเจ้ากับลูกไปด้วยกันแล้ว” ศศิจะติดตามไปด้วยกันไหม “ต่อให้เจ้าจะไม่ยินยอม พี่ก็ไม่ให้โอกาสได้เปลี่ยนใจแล้ว”
“พี่อาทิตย์”
“ได้โปรดเถิดยอดรัก” หวังว่าวาจาหวานหูนี้จะไม่บาดกันแรงจนคนน้องทนไม่ไหวดิ้นหนี “ให้ตัวเจ้าได้เป็นราชินี และลูกของเราได้เป็นรัชทายาทแห่งสิหราชนคราเถิดนะ"” คำขอที่เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจของเขา
จันทราปราการคนงามที่หวาดกลัวต่อบัลลังก์จะยินยอมต่อกันหรือไม่…
ศศิ...ควรจะหาบทสรุปต่อคำถามนี้ที่มีมาในใจเนิ่นนานนี้เสียที
TALK
ต่อไปก็จะมีเนื้อเรื่องจุดสำคัญอีกหน่อย แต่ไม่ดราม่าแล้วค่ะ (เหรอ)
ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ พี่อาทิตย์ของเราง้อเมียต่อไม่รอแล้วเหมือนกัน55
#อาทิตย์ศศิ @reallyuri