♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59  (อ่าน 43565 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 21.2 พระสนม

 

          “เจ้าพวกโง่ ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่มีทางจับข้าได้หรอก ว่ะฮ่ะฮ่า”

          ไป๋เซ่อในร่างงูเผือกส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ระหว่างนั้นก็ใช้ศีรษะดุนดันโถเคลือบไปยังด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง รอให้มันผ่านเข้าพงหญ้าแล้วตัดผ่านทางสวนก่อนเถอะ มันจะโลดแล่นไปหลบซ่อนในตำหนักตัดเย็บโดยที่ใครก็คาดไม่ถึง

          คลับคล้ายได้ยินเสียงขู่ฟ่อชวนน่าจับตีก้น ซวนหยวนหมิงไท่เดินไปดักทางงูน้อยไว้แล้วจึงกอดอกยิ้มกว้าง ซูฮกให้กับความซื่อจนเซ่อโดยไม่รู้ตัวของไป๋เซ่อ ด้านเซียวถิงฟงกลับยิ้มแหย เป็นเขาประเมินมองมันสูงไป น่าจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าสมองของงูเผือกตัวนี้มีปัญหา

          จังหวะที่โถเคลือบค่อยๆคืบคลานเข้าสู่พงหญ้าอย่างแช่มช้า บนฟากฟ้านภาอากาศก็ปรากฏเงาร่างสีขาวบริสุทธิ์ของต้าเซียน ร่างน้อยทะยานตัวลงมาพร้อมกับผู้เฒ่าผมขาวในชุดสีไข่ไก่ มือหนึ่งถือด้วยไม้เท้า แลอีกมือหนึ่งอุ้มนกเป็ดน้ำตัวอ้วน เป็นที่สะดุดสายตาแก่สองบุรุษถึงขนาดมองหนึ่งคนหนึ่งเป็ดน้ำขึ้นลงอยู่หลายครั้ง

          กระทั่งปลายเท้าของผู้มาใหม่สัมผัสพื้น ผู้เฒ่าคนดังกล่าวก็ระเบิดความเกรี้ยวกราด หมุนควงไม้เท้าก่อนวาดชี้ไปยังโถเคลือบมีชีวิต “เจ้าเด็กตัวแสบ คิดว่าจะหนีพ้นรึ”

          สิ้นเสียงลำแสงก็แล่นปราดผลักโถสีขาวให้กระเด็นออกไป แลยังมิทันให้งูเผือกได้ตั้งตัว นกยวนยางก็กระโดดลงจากอ้อมแขนของผู้เฒ่า ตรงเข้าจิกตีจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง

          “จ๊ากกก ก้นข้าๆ”

          ไป๋เซ่อร้องลั่น หากแต่เจ้าเป็ดน้ำตัวอวบกลับมิได้เห็นใจ ยังคงไล่จิกไล่ต้อนจนงูเผือกเลื้อยหนีชุลมุน

          “เป็นไงล่ะ รู้ฤทธิ์ข้าผู้เฒ่าจันทราบ้างรึยัง ฮ่า ฮ่า”

          ผู้เฒ่าจันทราเปล่งเสียงหัวเราะสะใจ ด้านไป๋เซ่อน้ำตาซึมกระโดดผึงกอดคอซวนหยวนหมิงไท่ หมดสภาพอสรพิษผู้เป็นดั่งมือขวามหาเทพแห่งพิภพสวรรค์ “เอ่อ ท่านผู้เฒ่าจันทรา ให้ยวนยางของท่านหยุดก่อนดีไหม” ต้าเซียนเกาแก้มเอ่ยขัดจังหวะ

          “เฮอะ” ผู้เฒ่าจันทราแค่นเสียงใส่เจ้างูตัวดี สองมือเหี่ยวย่นจำใจอุ้มนกเป็ดน้ำกลับไป หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าของท่านมหาเทพ เขามิมีทางหยุดมือง่ายเช่นนี้เป็นแน่

          ไป๋เซ่อมองหนึ่งเซียนกับอีกหนึ่งตัวอย่างหวาดๆ ฉับพลันนั้นก็จดจำฝันประหลาดเมื่อหลายคืนก่อนขึ้นได้ แน่ชัดว่าเจ้าเป็ดน้ำดุร้ายตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับที่ส่ายก้นอุ้ยอ้ายไปมาให้ตนดู ยังมีผู้เฒ่าหนวดเคราขาวร้องก่นด่าผู้คน เป็นเฒ่าจันทราที่ตนมิได้พบหน้าคร่าตาเป็นเวลานาน

          “พวกเจ้ามีความแค้นกับข้าหรือไร จึงรุมทำร้ายข้าเช่นนี้” ไป๋เซ่อกอดคอซวนหยวนหมิงไท่ไว้แน่นพลางอ้าปากขู่ฝ่อประท้วง ส่งผลให้อารมณ์ของเฒ่าจันทราเดือดดาลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

          “น่ะ หนอย  มิใช่เป็นเพราะเจ้าทำลายผลงานข้าก่อนหรือ”

          ครั้นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่กำลังจะประทุขึ้นมาอีกหน ต้าเซียนก็รีบปรามผู้เฒ่า โดยกล่าวเข้าประเด็น “ไป๋เซ่อ เจ้าต้องแต่งให้กับซวนหยวนหมิงไท่”

          “หือ” ไป๋เซ่อเลิกตาโต คำพูดเหล่านี้พลอยทำให้หัวใจเขาเต้นตึกตักอยู่ไม่สุข ทั้งยิ่งทำตัวไม่ถูก มันจึงคลายตัวจากคำชายหนุ่ม กระโดดลงสู่พื้น เปลี่ยนร่างเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวสดใส “ทะ ท่านมหาเทพจะให้ข้าแต่งกับเขา” ประโยคนี้พูดออกไป พลันรู้สึกตัวเองหน้าแดงอย่างห้ามมิอยู่ ครั้นเห็นซวนหยวนหมิงไท่กำลังจดๆจ้องๆตนเองด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาก็โพล่งแก้เขิน “เรื่องอะไรข้าจะต้องแต่งด้วย”

          “หนอย ยังมีหน้ามาถามถึงเหตุใด เจ้า! เจ้า!เจ้า! จำได้รึไม่ว่าตอนที่เจ้าถูกลงโทษมาทำความสะอาดที่ตำหนักของข้า เจ้าก่อเรื่องอะไรไว้ ฮึ่ย!” หากทำได้ผู้เฒ่าจันทราคงเอานิ้วจิ้มหน้าผากเจ้าเด็กตัวดีให้จมติดดินไปแล้ว ทว่ายังคงควบคุมอารมณ์ แม้ในใจจวนเจียนจะระเบิดรอมร่ออยู่แล้ว

          ฝ่ายไป๋เซ่อกลับยิ่งทำสีหน้างุนงงหนัก เรื่องราวผ่านมาตั้งหลายพันปี ใครมันจะไปจดจำได้ แต่กระนั้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นม้วนไม้ไผ่หมิ่นแหม่ในอกเสื้อสีไข่ไก่ของผู้เฒ่าโมโหร้าย ฉับพลันนั้นใจก็เย็นวาบ ข้อความที่ซุกซ่อนในส่วนลึกของความทรงจำก็เผยปรากฏ

          เจ้าผู้ครองแผ่นดินซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่ ถือทศพิธราชธรรม เป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้า ยึดถือน้ำใจเป็นหลัก วาสนารายล้อมไปด้วยผู้โดดเด่น ชะตาพันผูกคู่ชีวิต จะดีเลวเกื้อหนุนฉุดรั้ง ขึ้นอยู่กับผู้ที่เลือก...

          กล่าวได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะน้ำชาถ้วยเดียว ทำให้เขาต้องเช็ดขัดถูม้วนไม้ไผ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพในอดีตค่อยๆย้อนกลับมาทักทาย ราวกับเป็นเรื่องสดใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ว่าแล้วไป๋เซ่อก็เสมองเจ้าเป็ดน้ำตัวดีผู้ซึ่งเคยเป็นพันธมิตร แต่แล้วมันกลับทำมองไปทางอื่น

          ...เจ้านกสองหัว สักวันข้าจะจับเจ้าไปย่างกินให้ได้ หึ หึ

          “แล้วอย่างไร ทำไมข้าจะต้องแต่งให้กับเจ้าลูกเต่านี่ด้วย” ไป๋เซ่อแย้ง ยังคงไม่เข้าใจว่าการลบเลือนนามของคนผู้หนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการที่เขาต้องแต่งให้ซวนหยวนหมิงไท่ตรงไหน

          ครั้นเห็นผู้เฒ่าจันทรากำลังจะอาละวาดอีกระลอกหนึ่ง ต้าเซียนก็ชิงตอบแทน “นั่นเพราะซวนหยวนหมิงไท่ เป็นผู้ครองแคว้นราชวงศ์ซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่” 

          “หา” ไป๋เซ่ออ้าปากค้าง ดวงตาแทบถลนประดุจดั่งไข่ห่าน ก่อนจะเห็นซวนหยวนหมิงไท่กลับรีบพยักหน้าหงึกหงักพร้อมฉีกยิ้มเผยฟันขาว ดวงตาของท่านมหาเทพเองก็เปล่งประกายระยิบระยับ ก่อนกล่าวสืบต่อ

          “ครั้งนั้นเจ้าเพียงเผลอลบชื่อ แต่หาได้ลบไปถึงแซ่ไม่ ข้าตรวจสอบกับผู้เฒ่าจันทราดูแล้ว เจ้าของรายนามที่ถูกลบนามไป บังเอิญใช้แซ่ที่เป็นอักษรตัวเดียวกับนามของเจ้าพอดิบพอดี”

          แซ่ไป๋...ไป๋เซ่อถึงกับอ้าปากค้าง คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นแซ่ไป๋จริงๆ...นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว แลยังมิทันจะหายตกใจดี ท่านมหาเทพก็ปล่อยประโยคเด็ดที่ราวกับต่อยหน้าเขาในหมัดเดียว

          “ดังนั้นข้าก็เลยเติมชื่อเจ้าลงไปแทนเรียบร้อย เพียงเท่านี้เรื่องก็จบจริงไหม ฮ่า ฮ่า” กล่าวจบต้าเซียนก็หัวเราะสดใส หากแต่คนฟังกลับสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว

          ...อ๊ากกก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย


 

****************************************************


          กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหมยอบอวลในห้องอบอุ่น พลอยทำให้คนที่พึ่งลืมตาตื่นจ้องมองหลังคาห้องด้วยความขี้เกียจ ครู่หนึ่งไป๋เซ่อก็กลับไปหลับตาพริ้ม ทั้งยังเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคงอย่างสบายอารมณ์

          อืม หมอนหนุนใบนี้ช่างเหมาะกับคอของข้าเป็นอย่างดี เห็นทีต้องสั่งให้เจ้าลูกเต่าซื้อมาเพิ่มอีกสักหลายๆใบ ระหว่างคิดมือก็ลูบไล้หมอนคู่ใจอย่างมันมือ ต้องแบบนี้สิจึงจะปลอบประโลมฝันร้ายของข้าเมื่อครู่ก่อน

          “ฟื้นแล้วรึ”

          ทว่ามีหมอนหนุนที่ไหนพูดภาษาคนได้กัน ดวงตาสีฟ้าอมเขียวพลันลืมพรึ่บ ก่อนจะแลเห็นเค้าใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งเอนหลังใกล้ๆ

          “เมื่อครู่เจ้าเป็นลมไป หากยังรู้สึกไม่ดีขึ้น ข้าจะตามหมอหลวงให้”

          “ว๊ากกก ฝันร้ายนั่นเป็นเรื่องจริงหรอกหรือ” ไป๋เซ่อถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับแหกปากร้องถาม

          ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกว้าง ตอบเสียงเรียบ “แน่นอนย่อมมิใช่ความฝัน” กล่าวพลางเล่นปอยผมสีดำเทาสลวยของเจ้าตัว

ครั้นได้รับคำตอบสีหน้าของไป๋เซ่อก็ยิ่งแตกตื่น หันซ้ายทีขวาที ราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดกระโดดออกมาแฉความผิดเขาอีก

          “ต้าเซียนพาท่านผู้เฒ่าจันทรากลับไปแล้ว เจ้ามิต้องกังวลไป”

          ได้ยินดังนั้นไป๋เซ่อก็ถอนหายใจโล่งอก กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ในยามนี้กลับตีสีหน้าจริงจัง ต่างจากเพลาที่อยู่ด้วยกัน

          “ไป๋เซ่อ หากเจ้าลำบากใจที่จะแต่งกับข้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า”

          ลำบากใจหรือ...แม้น้ำเสียงของร่างสง่างามจะฟังดูเป็นปกติ ทว่าดวงตากลับมิเป็นเช่นนั้น มันดูหม่นแสงลงไปมาก ทั้งซ่อนความโดดเดี่ยวอ้างว้างไว้ภายใน ทำให้เขารู้สึกราวกับทำผิดกับอีกฝ่ายไป “ข้า...ข้า”

          “หรือว่าเจ้าทนเห็นข้าอยู่กับสตรีอื่นได้?” ครั้นเห็นไป๋เซ่ออึกอัก ฝ่ายโอรสสวรรค์ก็สบโอกาสตีบทโศก จะว่าด้วยเล่ห์หรือด้วยกล เขาก็งัดขึ้นมาใช้ทั้งหมด

          “ข้า” ก่อนหน้านี้ด้วยอารามตกใจทำอะไรไม่ถูก ตนจึงลืมนึกถึงข้อนั้นไปเสียสนิท แถมมานึกดูตอนนี้ พลันไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องหนีด้วย ร่างเล็กเกาศีรษะแกรกๆ

          “เจ้านึกดูสิ หากข้าแต่งให้ผู้อื่น ข้าก็คงตามใจเจ้าเหมือนก่อนมิได้ แล้วยังมีที่ตรงนี้...” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มลงมองหน้าท้องซึ่งมักถูกยึดครองด้วยศีรษะร่างเล็ก

          “อา” ไป๋เซ่อหลุดเสียงด้วยเข้าใจความหมายของชายหนุ่ม ก่อนนึกโอดครวญในใจ...หน้าท้องหนุนนอนกำลังพอดีของข้า

          สังเกตเห็นประกายตาแสนเสียดาย ร่างสง่างามก็รีบกล่าวเสริม “เจ้าจะยอมแบ่งปันมันให้สตรีอื่นแน่หรือ”

          “เพ้ย นี่มันหมอนหนุนของข้าชัดๆ เจ้ากล้าแบ่งปันมันให้ผู้อื่นได้อย่างไร” แค่คิดว่าจะมีสตรีคนใดมาแทนที่เขา โทสะก็พลุ่งพล่านแล้ว

          ถึงตอนนี้เจ้าของดวงตาสีดำขลับก็ผุดรอยยิ้มที่เสมือนมิมี “ใช่ มันจะของๆเจ้าเพียงคนเดียว หากเจ้ายินยอมแต่งให้กับข้า”

          “มารดามันเถอะ เช่นนั้นข้าจะแต่ง” ไป๋เซ่อโพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิด หากไม่มีหน้าท้องอันแน่นขนัดนี้แล้ว เขาจะนอนหลับสนิทได้อย่างไร และอีกประการหนึ่งที่ยอมมิได้คือ...เขาหวง

          ของๆข้า หากมิใช่ข้ายกให้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังกินเต้าหู้

          “ดี ดีที่สุดเลย ข้ารักเจ้าไป๋เซ่อ”

          ไม่ทันไรตัวก็ถูกรั้งเข้าไปกอด ริมฝีปากก็ถูกช่วงชิงโดยไม่ทันตั้งตัว ซวนหยวนหมิงไท่จุมพิตเขาเบาๆทีหนึ่งก็ผละตัวออก ส่งยิ้มแก้มแทบปริ ดวงตาหยีโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ ความเบิกบานของชายหนุ่มทำให้สมองไป๋เซ่อถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ

          “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้านอนเล่นที่นี้ไปก่อน ข้าจะกลับไปร่างราชโองการแต่งตั้งเจ้าโดยเร็ว” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวโดยไม่หยุดพักหายใจ ราวกับกลัวว่าหากมิรีบจัดการ อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน รอจนเขาเหน็บผ้าห่มให้ร่างเล็กเสร็จก็รีบร้อนออกจากห้องบรรทมไปด้วยความยินดี

          จวบจนพ้นไปเค่อหนึ่ง ในห้องกว้างก็พลันมีเสียงร่ำร้อง

          “พับผ่าสิ ไฉนจึงถูกกินเต้าหู้อีกแล้ว ต้องเป็นข้ากินเต้าหู้เจ้าสิ คนหน้าด้าน” ไป๋เซ่อลูบปากที่ยังคงทิ้งไออุ่นไว้ กระทั่งฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง “อ้ะ เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้ข้าบอกจะแต่งให้กับเจ้าลูกเต่าหรือ ว๊ากกก ข้าโดนหลอก โดนหลอกแน่แท้ ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันคนเจ้าเล่ห์สองหน้าชัดๆ”

          เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็เข้าประชุมกันถ้วนหน้า หาได้มีใครลาป่วยหรือลาหยุดกะทันหัน อาจเป็นเพราะวันนี้เรื่องราวสำคัญบางประการจะถูกป่าวประกาศ

          กระทั่งข้อราชการทั่วไปเสร็จสิ้น ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลี่เชียน ผู้เป็นตัวตั้งตัวในเรื่องแต่งตั้งพระสนมก็ก้าวออกมาด้านหน้า แลในชั่วพริบตาเดียวท้องพระโรงก็เป็นอันเงียบกริบ

          “ฝ่าบาท เรื่องประมุขฝ่ายในเองก็เป็นเรื่องที่มิอาจมองข้าม ทั้งยิ่งมิอาจเพิกเฉยละเลยได้ ขอฝ่าบาท...” หลี่เชียนยังมิทันพูดจบก็พลันหยุดปาก เนื่องเพราะมือเรียวของเจ้าชีวิตยกขึ้นแล้ว

          “เรื่องนี้เราตัดสินใจแล้ว เราเห็นพ้องกับพวกท่าน ประมุขฝ่ายใน มิอาจเว้นว่างได้แม้แต่วันเดียว ดังนั้นเราเห็นสมควรจัดพิธีแต่งตั้งพร้อมกับพิธีขึ้นครองราชย์ในอีกห้าวันที่จะถึงนี้”

          สิ้นเสียงขุนนางผู้ใหญ่หลายท่านก็มิอาจปิดซ่อนสีหน้ายินดีไว้ได้ ซวนหยวนหมิงไท่ในชุดมังกรส่งเสียงเรียก “ลู่กงกง”

          “พะยะค่ะ” เสี่ยวลู่รับคำอย่างรู้ความ ก่อนจะหันไปทางเหล่าขุนนางทั้งหลาย คลี่พระราชโองการในมือแล้วเปล่งเสียงดังก้อง “ด้วยพระราชโองการ ฝ่าบาท โปรดแต่งตั้งให้บุตรสาวตระกูลหลี่ หลี่ซิ่วหลันและบุตรสาวตระกูลเจิน เจินเริ่นผิงเป็นพระสนม พร้อมทั้งเข้าพำนักที่ตำหนักจวี๋ฮวาและที่ตำหนักหลันฮวาได้ทันที”

          ถึงตรงนี้หลี่เชียนยืดอกเชิดหน้าพึงพอใจกับการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ ผิดแผกกับขุนนางใหญ่เจินหยวนที่เพียงก้มหน้าสงบเสงี่ยม ไม่ถึงแสดงออกสีหน้าใดๆ

          “นอกจากนี้ยังโปรดแต่งตั้งให้หลานชายตระกูลเซียว เซียวไป๋ เป็นพระสนม เข้าพำนักที่ตำหนักเฉียนชิงทันที จบพระราชโองการ”

          จนกระทั่งหัวหน้าขันทีเสี่ยวลู่เอ่ยข้อความส่วนสุดท้าย ท้องพระโรงก็คล้ายเกิดระเบิดเป็นเสียง ความไม่พอใจระบายอยู่บนหน้าขุนนางแทบทุกคนขนานใหญ่

          “ไม่ได้ ทำเช่นนี้ไม่ได้ฝ่าบาท” เป็นหลี่เชียนรีบทูลแย้ง

          “ทำไมถึงมิได้ เราเองก็ทำตามเงื่อนไขของพวกท่านทุกประการ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นพระสนมล้วนคัดเลือกมาจากม้วนภาพที่พวกท่านส่งถึงเรา” ซวนหยวนหมิงไท่ตีสีหน้าตาย ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้เสี่ยวลู่แกะม้วนภาพร่างดังกล่าวออก

          ครั้นเหล่าขุนนางต่างเห็นรูปบุรุษด้านในสีหน้าก็ทะมึนไปทั้งแถบ ได้แต่หันขวับไปจ้องอัครเสนาบดีเซียวถิงหลี่และแม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงที่กำลังแสร้งทำหูหนวกอย่างเอาเรื่อง

          “แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ตัดสินพระทัยแบบนี้มิได้ การแต่งตั้งบุรุษเป็นพระสนมย่อมผิดประเวณี ขัดต่อหลักการทั้งปวง เบื้องบนจะพิโรธ แคว้นซวนหยวนอาจจะพบกับภัยพิบัติ” หลี่เชียนทูลกล่าวน้ำเสียงเครียด

          “หือ เบื้องบน” ซวนหยวนหมิงไท่หัวเราะน้อยๆ เจ้าเฒ่าผู้นี้ช่างหลักแหลมยกอ้างสวรรค์มาบีบบังคับเขา แต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์นั่นแหละ เป็นคนส่งสนมคนนี้มาให้เขากับมือต่างหาก “เช่นนั้นในวันงานแต่งตั้ง เราจะให้กรมพระราชพิธีเพิ่มพิธีสำคัญอีกหนึ่งพิธี”

          หลี่เชียนฟังแล้วก็งุงงนวูบ “พิธีอะไรหรือพะยะค่ะ”

          “พิธีถามฟ้า” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวแล้วยิ้มขบขันให้กับใบหน้าที่โง่งมของขุนนางทั้งหลาย “ในเมื่อพวกท่านเป็นกังวลกับความสุขสงบของแคว้น เราเห็นควรให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสิน”

          อีกด้านหนึ่งผู้เฒ่าจันทรามองดูความวุ่นวายเบื้องล่างก็อดมิได้ที่จะเคร่งเครียดตาม “ท่านมหาเทพ ทำเช่นนี้ถูกต้องดีแล้วหรือ ความจริงสตรีที่ควรจะอยู่ที่นั่นควรจะเป็นไป๋เย่วเซียง”

          ต้าเซียนยิ้มบางกล่าว “ท่านผู้เฒ่าอย่าพึ่งคิดมากไป เรื่องราวล้วนดำเนินถึงเพียงนี้ หากท่านยังฝืนให้นางกลับเข้าสู่วังวนโศกนาฏกรรม มิเท่ากับพวกเราพิภพสวรรค์ไม่ยุติธรรมกับนางเกินไปหรือ เรื่องนี้นางเป็นผู้เสียหาย ไป๋เซ่อเป็นผู้ก่อ จำเป็นต้องให้เขารับช่วงต่อแทน...แม้เรื่องราวจะมิได้ราบเรียบก็เถอะ ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ที่พวกเขาตัดสินใจ”

 

[1] กองซั่งสือหรือกองห้องเครื่อง (尚食局) มีหน้าที่ประกอบเครื่องเสวย จัดการดูแลเรื่องสุรา ฟืน และโอสถ แบ่งออกเป็น 4 แผนก คือ แผนกเครื่องเสวย น้ำจัณฑ์ โอสถ ต้นเครื่อง

กินเต้าหู้ เป็นสำนวนจีนที่มีความหมายว่า ลวนลาม

 

****************************************************************


- บทนี้อัพช้าหน่อยนะจ้ะ พอดีมาตันช่วงท้ายๆ ก่อนจะเขียนก็คิดอยู่นานว่าจะเฉลยปมเรื่องเด็กหนุ่มในบทนำเลยดีรึป่าว สุดท้ายก็เอาเลยล่ะกัน เก็บมานานล่ะ คันปาก 5555+

- หงเว่ยยังไม่มา เเต่บทหน้าเฮียเเกมาเเน่ พร้อมกับคนเเปลกหน้าอีกคนจ้า

- บทนี้เราไม่ได้เเบ่งลำดับขั้นของพระสนมนะคะ เลยเป็นเเบบเท่าเทียม กลัวเเบ่งเยอะ พออ่านล่ะสับสน

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 22.1 การกลับมาของหงเว่ย

 

          หลังจากผ่านการโต้เถียงในโถงประชุมอย่างดุเดือด เช้าวันต่อมาคำสั่งแต่งตั้งอันผิดประเวณีของเจ้าชีวิตหนุ่มก็เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง และเพราะด้วยการแต่งตั้งบุรุษเป็นพระสนมนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในแคว้นซวนหยวนมาก่อน ทำให้เหล่าบัณฑิตต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันในแง่ลบ ไม่เว้นแม้แต่นักเล่าเรื่องที่พากันเสริมเติมแต่งเรื่องราวกันไปต่างๆนานา

          เช่นเดียวกับในขณะนี้ที่ผู้คนหลากหลายอาชีพมารวมตัวกันนั่งล้อมวงฟังนักชายวัยห้าสิบกล่าววาจาออกรสบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงฉางอันอย่างแน่นขนัด

          “จากที่ทุกท่านทราบ รัชสมัยผลัดเปลี่ยน ซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ กระนั้นพระองค์กลับยังคงไร้คู่บุญบารมี ขุนนางทั้งหลายเห็นแก่ความมั่นคงของแคว้น จึงสนับสนุนให้พระองค์แต่งตั้งสนมชายา ว่ากันว่าเรื่องนี้ถกเถียงกันอยู่ในท้องพระโรงหลายครั้ง ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงยินยอมรับสั่งให้คุณหนูตระกูลหลี่และตระกูลเจินที่เพียบพร้อมเข้าสู่วังหลวง พร้อมทั้งแต่งตั้งเป็นพระสนมในทันที” นักเล่าเรื่องฉีเอ่ยวาจาถึงตรงนี้ก็พลันเปลี่ยนน้ำเสียงให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

          “ทว่าเรื่องราวไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะพระองค์ยังทรงแต่งตั้งเซียวไป๋ หลานชายผู้มีประวัติคลุมเครือไม่ทราบชัดของตระกูลเซียวขึ้นเป็นพระสนมอีกคน...ไม่ทราบว่าพวกท่านยังจดจำได้รึไม่ แต่ก่อนแม่ทัพใหญ่เซียวเพียงจัดทัพออกศึก ไม่เคยเหลียวแลสตรีคนใด แต่แล้วเหตุใดเมื่อกลับมาประจำการยังเมืองหลวง กลับรีบร้อนจัดงานแต่งกะทันหัน มิหนำซ้ำผู้ที่แต่งด้วยกลับเป็นบุรุษชายชาตรี”

          “หือ บุรุษ...เป็นบุรุษหรอกหรือ” บังเกิดเป็นเสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึงไปทั่วบริเวณ สีหน้าของชาวบ้านบ้างแสดงออกอย่างงุนงง บ้างแสดงออกอย่างรังเกียจ

          “เขามิเพียงเป็นบุรุษ แต่ยังเป็นบุรุษรูปงามประดุจเทพเซียน แต่พ่อแม่พี่น้อง เขามาจากที่ใด ปรากฏตัวเมื่อไหร่ มีผู้ใดทราบ?”

          “นั่นสิ”

          รอจนชาวบ้านระเบิดอารมณ์ นักเล่าเรื่องฉีก็รีบตีเหล็กกำลังร้อน “ในอดีตจักรพรรดิแคว้นเซี่ยหลงใหลมัวเมาในตัวบุรุษรูปงามเกินธรรมดา ไม่สนข้อราชการบ้านเมือง ท้ายที่สุดแคว้นเซี่ยจึงต้องล้มสลาย ยังมีองค์ชายแคว้นจ้าวต้องตาชายบำเรอเพียงแค่สบตา ถึงขนาดรับสั่งให้คนลักพาตัว ล่วงเกินเจ้าครองแคว้นเป่ย ทำให้เกิดศึกสงคราม เหล่าประชาราษฎร์ตกอยู่ภายใต้ไฟสงครามนานนับหกปีเต็ม กล่าวกันว่าสตรีรูปโฉมงดงามมักเป็นภัย หากแต่บุรุษเองงดงามมากก็ล้มเมืองได้เช่นกัน”

          ประโยคสุดท้ายเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคน ถึงกับมีคนตะโกนว่าเจ้าชีวิตหนุ่มถูกปีศาจจิ้งจอกของตระกูลเซียวจำแลงกายมายั่วยวน

          “หึ หึ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเซียวไป๋ผู้นั้นงามล่มเมือง หรือท่านเคยพบหน้าค่าตา?”

          ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ซึ่งทวีความคุกรุ่น กลับมีคนผู้หนึ่งหยุดเสียงทั้งหมดไว้ให้ผู้คนเงียบลง ยังผลให้นักเล่าเรื่องไม่สบอารมณ์ คิดถลึงตามองอีกฝ่าย ทว่าเพียงแวบเดียวก็คล้ายมีฝูงธนูที่มองไม่เห็นพุ่งปราดปักตรึงไปทั่วร่าง เมื่อบุรุษเจ้าของเสียงในอาภรณ์เขียวหม่นใช้สายตาลึกล้ำยากแก่การหยั่งถึงเข้ากดดันให้จนหายใจมิคล่องจมูก ซึ่งรออยู่ครู่ใหญ่กว่าตนจะสามารถทำใจกล้าเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ม่ะ...แม้มิเคยพบ แต่หากมิใช่หน้าตา ยังจะมีสิ่งใดสามารถรั้งใจเจ้าชีวิตไว้ได้”

          เปรี๊ยะ ฉับพลันนั้นบังเกิดเสียงร้าวจากถ้วยชาในมือบุรุษหนุ่ม นักเล่าเรื่องถึงกับใจหายวาบ ร่างเย็นเฉียบเมื่อสบเข้านัยน์ตาอำมหิตอีกคู่ซึ่งมีสีม่วงอมดำดูโดดเด่น ทั้งให้บรรยากาศหนักหน่วงประหนึ่งร่างกายถูกฉีกทึ้ง

          “กล่าววาจาสุนัข ไป่ไป๋ ย่อมมีดีเกินกว่าที่เจ้าจะคาดถึง” น้ำเสียงตวาดอันทรงพลังระเบิดออก แทบทำให้ผู้คนในโรงเตี๊ยมหูอื้อไปตามๆกัน

          ต่อให้ไป๋เซ่อหน้าตาขี้เหร่แล้วอย่างไร มาตรว่าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ยังต้องการ ร่างแกร่งในชุดสีม่วงอมดำพลันผุดลุกขึ้น แล้วจึงตวัดปลายแขนเสื้อโดยแรง จากนั้นนำพาตนเองทะยานตัวไปจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม

          “พี่ใหญ่ ท่านจะไปไหน” เจ้าของร่างสีเขียวหม่นรีบรุดตามไป

          “ไปคิดบัญชีเจ้าคนน่าตายนั่น” กล่าวจบก็พุ่งตรงไปยังทางหนึ่งอย่างไม่รีรอ รอบกายแผ่จิตสังหาร ใครจะคาดคิดว่าจากกันเพียงไม่กี่วัน เรื่องราวจะเปลี่ยนไปรวดเร็วเช่นนี้ แต่งตั้งพระสนมกระไรกัน หากรู้ว่าปล่อยไป่ไป๋ไว้กับคนแซ่ซวนหยวนแล้ว ร่างเล็กจะถูกผู้คนหยามหยันเช่นนี้ เขาคงพาเจ้าตัวหลีกเร้นสู่สถานที่เงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คนไปนานแล้ว

          คล้อยหลังบุรุษลึกลับจากไป นักเล่าเรื่องแซ่ฉีก็เดินโซเซออกจากโรงเตี๊ยมด้วยอาการแข้งขาสั่น ก่อนหน้านี้นึกว่าจะถูกอีกฝ่ายสังหารเข้าแล้วเชียว เขาถอนหายใจโล่งอกคราหนึ่งก็ออกเดินต่อ ครั้นย่างก้าวไปจนสุดทางของซอยเปลี่ยว ข้างทางมีแต่กำแพงสูง พลันปรากฏร่างกำยำซึ่งสวมหมวกคลุมใบหน้า มือถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่งกระโดดลงมาขวางทางไว้

          “อา ท่านจอมยุทธ์ ข้าทำตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างไรเรื่องนั้น” ผู้แซ่ฉีตกใจเล็กน้อยก่อนกล่าวน้ำเสียงระรื่น สองมือถูกันไปมาอย่างมีนัย

          “......” ผู้มาใหม่มิคิดตอบวาจาใดๆ เพียงโยนถุงผ้าหนักอึ้งไปให้ ด้านนักเล่าเรื่องรับมันไว้ได้ก็แง้มเปิดดู พอเห็นเงินทองก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านใน สองตาของเจ้าตัวก็ลุกวาว

          “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ หากมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้อีก ข้าน้อย...”

          ชายแก่ยังมิทันพูดจบ แววตาละโมบก็ต้องสับเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวกะทันหัน เมื่อกระบี่ไร้ปราณีฟาดฟันลงมา แลในชั่วลัดนิ้วดีดมันก็ย้อมร่างของนักเล่าเรื่องฉีให้เต็มไปด้วยสีแดงโลหิต

 

******************************************************

 

          ณ ตำหนักเสวียนเจิ้ง ที่ทำการประจำวังของจักรพรรดิซวนหยวน

          ร่างสูงในชุดมังกรสีเหลืองสง่างาม ผมสีดำสนิทรวบเก็บมวยประดับด้วยกวานทอง รอบกายแผ่อำนาจบารมียากจะหาคนเทียบเทียมในยามนี้กลับมีสีหน้าทะมึนขึ้นเรื่อยๆ

          “บังอาจนัก”

          ในที่สุดม้วนฎีกาก็ถูกเขวี้ยงลงพื้น ยังผลให้เซียวถิงฟงในชุดแม่ทัพเกราะดำต้องรีบชักเท้าหนี ฎีกาที่น่าสงสารจึงกระเด็นลอดหว่างขาเขาไปพอดิบพอดี ระหว่างนั้นในใจก็ได้แต่ลอบคิดไม่ตก

          เอ ท่วงท่าที่ใช้ออกเมื่อสักครู่ใช่ตั้งใจรึเปล่านะ หรือช่วงนี้เขาค่อนแคะเจ้างูเผือกตัวดีมากเกินไปหน่อย จึงโดนจ้องจะเอาคืน

          หลังจากตามเก็บฎีกาขึ้นมาแล้ว เซียวถิงฟงก็ไล่อ่านก่อนสรุปออกมา “ขุนนางพวกนี้คิดจะให้ท่านถอนรับสั่งแต่งตั้งไป๋เซ่อเป็นพระสนม”

          “ฮ่องเต้ตรัสแล้วมิคืนคำ” ซวนหยวนหมิงไท่เน้นย้ำอย่างมีโทสะ

          “ท่านอย่าพึ่งมีโทสะไป พวกเขาคัดค้านถือเป็นเรื่องปกติ ดูอย่างข้า ตอนพวกเขารู้ว่าข้าแต่งกับต้าเซียนที่เป็นบุรุษ พวกเขาก็หาเรื่องโจมตีข้าในท้องพระโรงแทบไม่เว้นวัน หาว่าข้าทำตัวไม่เหมาะสมบ้างล่ะ ผิดประเพณีบ้างล่ะ อ่อ...” แม่ทัพหนุ่มร่ายยาวสักพักก็หยุดเสียง ด้วยนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

          “ยังมีพักหลังที่เหล่าขุนนางเอือมระอา แสร้งทำลืมๆไป เจ้าบัณฑิตซุนจื่อหานกลับออกมาร้องเรียนว่า ข้าล่อลวงบุรุษดีงามจนเสียผู้เสียคน หึ” พูดจบก็แค่นเสียง เจ้าคนแซ่ซุนผู้นี้คอยหาโอกาสเกี้ยวต้าเซียนมาตลอด สักวันเขาต้องหาโอกาสสั่งสอนเป็นแน่ “ฉะนั้นท่านก็อย่าได้ใส่ใจ รอจนถึงพิธีถามฟ้าเสร็จสิ้น ขุนนางขี้เบื่อพวกนี้ก็จะเงียบไปเอง”

          “เซียวถิงฟง เจ้าบอกไม่ให้ข้าใส่ใจ แต่รู้รึไม่ภายนอกร่ำลือถึงไป๋เซ่อเช่นไร ข้าถูกปีศาจจิ้งจอกเซียวไป๋ยั่วยวนจนหน้ามืดตาบอดอย่างนั้นรึ”
         
          “ข้าเองก็เห็นไม่ต่าง ฮ่า ฮ่า” แม่ทัพหนุ่มยักไหล่พูดติดตลก ทว่าจักรพรรดิหนุ่มผู้เป็นสหายสนิทกลับถลึงตาใส่

          “เฮอะ กระทั่งต้าเซียนยังถูกพาดพิงว่าเป็นตัวกาลกิณี ภายภาคหน้าจะทำลายชาติบ้านเมือง เจ้ายังจะทนฟังเฉยๆได้อีกหรือ” ประโยคท้ายๆ ซวนหยวนหมิงไท่แอบเสริมเติมแต่งขึ้นนิดหน่อย ซึ่งพอจะบันดาลให้สีหน้าของเซียวถิงฟงบิดเบี้ยวเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

          “มารดามันเถอะ ข้าจะไปปิดปากพวกมัน”

          หลังคำสบถหลุดจากปากของอีกฝ่าย ฮ่องเต้หนุ่มก็หยุดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ยถึงความเป็นไปได้ “บางทีอาจมีขุนนางบางกลุ่มปลุกปั่นชาวบ้าน โดยใช้ตระกูลเซียวเป็นเหยื่อ”

          ในรัชสมัยซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้ ตระกูลเซียวและเซิงโดดเด่นในราชสำนัก ตระกูลอื่นที่เห็นพอจะเข้าตาก็มีแต่ตระกูลหลี่และเจิน หลี่เชียนและเจินหยวนต่างเป็นขุนนางขั้นสามซึ่งมากด้วยความสามารถ และเป็นที่นับหน้าถือตาแก่ขุนนางน้อยใหญ่ หากแต่ที่ผ่านมากลับถูกเซิงอู่เจิง อัครเสนาบดีฝ่ายขวาหรือพระสัสสุระในขณะนั้นขัดแข้งขัดขาจนมิอาจสยายปีก

          ครั้นเข้าสู่รัชสมัยของเขา ตระกูลเซิงล่มสลาย หลี่เชียนและเจินหยวนเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสอง คนหนึ่งเป็นเสนาบดีกรมคลัง อีกคนเป็นเสนาบดีกรมยุติธรรม แม้มิอาจเทียบเท่ากับอัครเสนาบดีเซียวถิงหลี่ ขุนนางขั้นหนึ่ง แต่ราชสำนักก็บังเกิดเป็นสามขั้วอำนาจแล้ว

          ซึ่งการที่หลี่เชียนเป็นตัวตั้งตัวตีให้คัดเลือกสนมชายา ดูไปเบื้องหน้าหวังดี ทว่าเบื้องหลังกลับบีบบังคับนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่เก็บซ่อนในใจของอีกฝ่าย ดังนั้นนอกจากจะแต่งตั้งสนมที่มาจากตระกูลหลี่แล้ว เขายังแต่งตั้งสนมที่มาจากตระกูลเจิน เพื่อหวังใช้คานอำนาจระหว่างกัน

          แต่ทว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ การแต่งตั้งไป๋เซ่อขึ้นเป็นสนมโดยใช้แซ่เซียวบังหน้า กลับเป็นการเปิดโอกาสให้คนบางกลุ่มโจมตีตระกูลเซียวไปเรียบร้อยแล้ว

          “ข้าจะไปสืบดู” ได้ยินเช่นนั้นเซียวถิงฟงก็เกิดข้อสงสัย แต่แล้วในจังหวะเดียวกันกลับสัมผัสได้ถึงพลังขุมหนึ่งที่ใกล้เข้ามา พลันส่งเสียง “มีคนกำลังมา” และอาจไม่ปรารถนาดี

          “เป็นเขา” เช่นเดียวกับซวนหยวนหมิงไท่ที่จับกลิ่นอายเยียบเย็นซึ่งแฝงไว้ด้วยรังสีสังหาร เขาเอ่ยจบก็พุ่งตัวออกจากตำหนัก โดยมีร่างในชุดเกราะสีดำติดตามไปติดๆ

          ความผิดแผกไร้สัญญาณการคงอยู่ของทหารองครักษ์ ขันทีนางกำนัล หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดๆ ทำให้เซียวถิงฟงขมวดคิ้ว “มิติปิดกั้น พวกเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว”

          “......” ทายาทมังกรยิ้มน้อยๆ คิดอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วคนผู้นี้ต้องมา ซ้ำยังมาได้ประจวบเหมาะอีกด้วย

          เหนือฟากฟ้าบังเกิดเป็นพายุหมุนขนาดย่อม ก่อนปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีม่วงอมดำ พร้อมกับบุรุษผู้ซึ่งมีเค้าหน้าใกล้เคียงในชุดสีเขียวหม่นพลิ้วกายลงมา

          “คนแซ่ซวนหยวน” หงเว่ยเปล่งน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องคนที่อยู่ในชุดมังกรตาไม่กะพริบ “เจ้าทำให้ไป่ไป๋ต้องถูกหยามเกียรติ”

          คำกล่าวโทษดังกล่าวทำเอาซวนหยวนหมิงไท่สะอึกไปเล็กน้อย ไร้วาจาจะโต้ตอบไปชั่วขณะ ซึ่งท่าทียอมรับกลายๆนี้ ยังผลให้ร่างที่ลอยเหนือกลางอากาศบรรลุแก่โทสะ ดวงตาวาวโรจน์

          “เช่นนั้นเรื่องแต่งตั้งสนมก็เป็นความคิดเลวร้ายของเจ้า” ไม่รอคำตอบ หงเว่ยก็สะกิดปลายเท้าพุ่งปราดตรงเข้าไป หมายจะฟาดฟันร่างในชุดมังกรให้ตายในฝ่ามือเดียว

          มาตรว่าไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือ ทว่าปฏิกิริยาก็ยังคงว่องไวพอจะโคจรพลังภายในกาย ไหล่ซ้ายพลันเบี่ยงหลบ แลพลังขุมหนึ่งก็แล่นวาบผ่านสีข้างเขาไป บังเกิดเป็นเสียงดังตูมขึ้นทางด้านหลัง แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่กลับหาได้แตกตื่นไม่ กลับเหยียดแขนรับฝ่ามือของหงเว่ยไว้แทน ก่อนสัมผัสได้ว่าขุมพลังที่ตนต้านทาน หาใช่คนธรรมดาจะรับมือได้

          “หมิงไท่ ปล่อยมือ” เซียวถิงฟงร้องบอก เห็นสีหน้าซีดเผือดของสหายสนิท เม็ดเหงื่อประปรายทั่วใบหน้า ก็พบว่าฝ่ามือนั้นมีปัญหา ว่าแล้วสองเท้าก็เร่งรุดเข้าไป หมายแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง กระนั้นยังไม่ถึงสามก้าวดี บุรุษในชุดสีเขียวหม่นกลับแล่นปราดขวางเขาไว้

          “ต้องขอชมเชย ท่านร้ายกาจพอจะเข้าสู่โลกมายาของพี่ใหญ่ได้”

          บุรุษลึกลับเอ่ยจบก็เงยหน้าที่ก้มต่ำ เผยให้เห็นถึงดวงตาสีแดงก่ำ มุมปากมีรอยยิ้มเหยียด ยังผลให้ผู้เป็นแม่ทัพต้องขมวดคิ้ว นับแต่จอมมารเฟยหลงหายไปจากสามพิภพ เขาก็มิได้สัมผัสถึงพลังชั่วร้ายเช่นนี้อีก

          “เจ้าเป็นมาร”

          ร่างในชุดเกราะดำแยกเขี้ยวยิงฟัน ปลดปล่อยพลังเซียนส่วนหนึ่งไปรอบๆกาย ยังผลให้ความแปลกใจพาดผ่านบนใบหน้าของบุรุษลึกลับ เริ่มเข้าใจว่าคู่ต่อกรหาใช่อย่างที่เห็นภายนอก

          “เจ้าเองก็มิใช่มนุษย์ธรรมดา”


 

******************************************************


          เห็นได้ชัดว่าอีกไม่ถึงครึ่งเค่อ อีกฝ่ายจะมิอาจต้านทานพลังเขาได้ หนำซ้ำยังเป็นการบ่อนทำลายธาตุในกาย แต่แล้วทำไมจึงยังทนฝืนมิยอมปละปล่อย หงเว่ยขบคิดอย่างไม่เข้าใจ “ไยเจ้าต้องกระทำเรื่องโง่งม”

          “โง่งมรึไม่ ข้าไม่สน แต่ข้าจะไม่ขอยอมแพ้ง่ายๆ”

          ฟังคำอวดดีนั้นแล้วหงเว่ยก็แค่นหัวเราะ “เฮอะ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าไป่ไป๋คือไป่อวิ๋นของข้า ทั้งยังเป็นคู่หมั้นของข้า” วันนั้นที่เขาเล่าเรื่องไป่อวิ๋นให้ร่างเล็กฟัง ก็เป็นเพราะตนเผลอหลุดปาก หากแต่เมื่อล่วงรู้ตัวจึงเจตนาให้คนที่แอบฟังได้รับรู้เอาไว้

          “เจ้าผิดแล้ว แม้ในอดีตเขาคือไป่อวิ๋น แต่ปัจจุบันเขาคือไป๋เซ่อ เป็นไป๋เซ่อเท่านั้น มิใช่ไป่อวิ๋นของเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่กัดฟันกล่าว เขามั่นใจว่ารู้จักร่างเล็กดีพอ ไม่ว่าผู้อื่นจะเป็นใคร ไป๋เซ่อก็ย่อมเป็นไป๋เซ่อ งูเผือกจากแดนสวรรค์ มิมีทางเป็นอื่น

          “เหลวไหล”

          ร่างทรงพลังยิ่งเดือดดาลจึงส่งเสียงตวาดดังก้อง ลึกลงไปในดวงตาปรากฏเปลวเพลิงเผาผลาญ ความร้อนทวีคูณแผ่ซ่านไปยังฝ่ามือ ส่งผลให้คนที่สีหน้าซีดขาวแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ อวัยวะภายในคล้ายกำลังลุกไหม้ จักรพรรดิหนุ่มได้แต่หลับตาข่มกลั้นความทรมาน แลไม่นานน้ำเสียงโวยวายกลับดังขึ้นในสมอง

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันโง่จริงๆ อ้ะ...เดี๋ยวสิ เพ้ย! นี่ข้าตกลงแต่งให้กับคนโง่หรอกรึ”

          ฉับพลันที่ลืมตาบางสิ่งซึ่งเรียวยาวและแหลมคมก็พุ่งตรงลงมา แยกเขาและหงเว่ยให้ออกห่างจากกันอย่างจำใจ ครั้นเหตุการณ์สงบลงชายหนุ่มทั้งสองต่างก็เพ่งมองวัตถุปักดินที่ซึ่งจู่ๆก็ทิ้งดิ่งลงมาจากฟ้า

          เพียงเห็นกระบี่สีขาวงดงาม ด้ามดาบประดับตกแต่งไว้ด้วยพลอยสีฟ้าอมเขียวเล่มหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ก็โพล่งออกมา “กระบี่พิสุทธิ์”

          นี่เป็นอีกร่างหนึ่งของไป๋เซ่อ หรืออาวุธประจำกายของต้าเซียน มหาเทพแห่งพิภพสวรรค์

          “แพ้เขายับเยิน ยังจะมีหน้ามาเรียกข้าอีก หากข้าไม่สัมผัสถึงขุมพลังแกร่งกล้า เจ้าคงได้ตายไปแล้ว เจ้าหน้าโง่”

          เสียงบ่นกระปอดประแปดดังออกมา ไม่นานนักหมอกควันบางๆก็โอบล้อมตัวกระบี่ไว้ ฮ่องเต้หนุ่มพลันขยี้ตา คลับคล้ายเห็นเงาร่างมหึมาที่มีเกร็ดสีขาวละเอียดค่อยๆเคลื่อนตัวโอบล้อมรอบกาย ก่อนจะบรรจงกอดเขาเอาไว้หลวมๆ ทันใดนั้นไอเย็นประดุจหิมะก็กำจายซึมลึกสู่ผิว ช่วยบรรเทาความร้อนระอุภายในกายให้หายวับไป

          “อย่าบอกนะว่านี้คือร่างจริงของเจ้างูเผือกสมองเท่าเมล็ดถั่ว” จ้องมองร่างอสรพิษยักษ์ที่ม้วนตัวกอดคนกลางวันแสกๆ เซียวถิงฟงก็หลุดเสียงตื่นตะลึงแกมขบขัน ก่อนสบเข้ากับดวงตาเขียวปั้ดสามคู่ให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอ

          “เซียวถิงฟง สักวันเจ้าต้องตายเพราะปากเข้าสักวัน” ต้าเซียนปรากฏตัวข้างกายแม่ทัพหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่สะทกสะท้อนอารมณ์ใดๆพลอยให้เจ้าตัวร้อนรน

          “ต้าเซียน เจ้าแช่งสามีตัวเองได้อย่างไร”

          น้ำเสียงเลี่ยนชวนออดอ้อนอันไม่สมควรหลุดมาจากปากแม่ทัพผู้ห้าวหาญแทบทำให้สีหน้าคนทั้งหมดต้องแข็งค้าง ไป๋เซ่อในร่างงูถึงกับสำลักน้ำลาย ฝ่ายหงเว่ยกับบุรุษลึกลับต้องเบนหน้าหนีด้วยทนมองมิได้

          รอจนซวนหยวนหมิงไท่ฟื้นฟูพลังภายในได้สำเร็จ อสรพิษขาวก็กลับกายเป็นเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีเขียวสดใส กระโดดเข้าไปเบื้องหน้าร่างแกร่ง “หงเว่ย เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อน บอกข้ามาว่าพวกเจ้ามีความแค้นอะไรกัน หากคนหน้าด้านนั่นผิดจริง เจ้าจะเข้าไปอัดเจ้านั่นอีกสักยก ข้าก็จะไม่ห้าม”

          ไป๋เซ่อทุบอกกล่าวด้วยท่าทีของลูกผู้ชาย สีหน้ามุ่งมั่นเฉกเช่นผู้ผดุงความยุติธรรม ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับต้องเลิกตาโต พลันอยากจะเอ่ยว่า ไป๋เซ่อ เจ้าคิดจะให้ผู้อื่นซ้อมว่าที่สามีได้อย่างไรกัน บ้างแล้ว

          “ไป่ไป๋ บอกข้ามาตามตรง หากเขาบีบบังคับให้เจ้าเป็นสนม ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี้เอง”

          “เรื่องนี้...” ไป๋เซ่อนิ่งคิดไปหนึ่งอึดใจ เอ เขาใช่ถูกบังคับให้ตอบตกลงหรือไม่ หรือว่าที่ตนตอบตกลงไปเป็นเพราะต้องการรับผิดชอบต่อชะตาที่ถูกแปรเปลี่ยนของชายหนุ่ม

          ความเงียบงันบวกกับท่าทีลังเลของร่างเล็ก ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยเริ่มมีสีหน้ากังวล จวบจนร่างเล็กเอ่ยปาก

          “เป็นข้าเต็มใจเอง” ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ไป๋เซ่อก็ตอบอย่างซื่อตรง เพียงรู้สึกว่าหากไร้หมอนหน้าท้องอันแน่นขนัด ไร้รอยยิ้มคลี่กว้างอย่างเจ้าเล่ห์ ไร้ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายอบอุ่น เขาก็คงไม่วันอยู่สุข และยิ่งทั้งหมดนี้ตกอยู่ในมือสตรีอื่นด้วยแล้ว เขาคงได้เต้นแร้งเต้นกาเป็นแน่

          ราวกับอัสนีบาตกระหน่ำฟาดลงบนตัว แม้แต่ฝีเท้าหนักแน่นยังต้องซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาสีม่วงอมดำเลิกกว้างมิอยากจะเชื่อ ราวกับหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะใหญ่ เสมือนมีดกรีดลึกลงกลางใจ หงเว่ยฝืนกัดฟันทวนถาม “จะ เจ้าบอกว่าเจ้าเต็มใจ?”

          “อื้ม” ไป๋เซ่อพยักหน้าตอบอย่างซื่อๆ มิได้รับรู้ถึงความซับซ้อนในใจของร่างแกร่งแม้แต่น้อย

          แท้จริงแล้วหัวใจเจ้าก็ยกให้ผู้อื่นไปแล้ว...

          หงเว่ยขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด ศีรษะก้มต่ำ มิอาจให้ใครเห็นม่านน้ำซึ่งคลอเป็นชั้นบางยังนัยน์ตาคู่นี้ สองมือกำหมัดแน่นข่มกลั้นความรู้สึกขมขื่นในอก ทั้งที่ตนเข้าใจว่าตัดขาดจากอารมณ์ทั้งเจ็ด[1]นับตั้งแต่ร่างเล็กหายไปเมื่อพันปีก่อนไปจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้ง อารมณ์เหล่านั้นกลับหวนคืนมา ทั้งยังทำให้รู้สึกคลั่งเกินกว่าที่ควรจะเป็น

          ดีใจก็ดีใจแทบบ้า แต่ครั้นรู้สึกชิงชัง ก็แทบอยากจะทำลายทุกสิ่ง

          “หงเว่ย ข้าดีใจที่เจ้ามา แล้วหงลิ่วเล่า มิได้มาด้วยหรือ แล้วคนที่มากับเจ้าเป็นใครกัน”

          ต่อเมื่อน้ำเสียงสดใสดังขึ้น สติที่จมอยู่ในห้วงมืดก็หวนกลับสู่โลกแห่งความจริง ดวงตาซึ่งใกล้จะแดงก่ำพลันเปลี่ยนกลับเป็นปกติทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มแฉ่ง ทั้งนี้ยังมีประกายตาตื่นเต้นยินดีจากร่างเล็ก ที่ทำให้ส่วนลึกในใจต้องผุดคิด

          ไป่ไป๋ดีถึงเพียงนี้ ข้าจะตัดใจทำร้ายเขาได้อย่างไร

          หงเว่ยจ้องนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวตาไม่กะพริบ ก่อนจะเผลอหลุดความในใจ “ข้าคิดถึงเจ้า”

          “ข้าก็คิดถึงเจ้า” ไป๋เซ่อตอบกลับอย่างร่าเริง

          “หงลิ่วสบายดี แต่เพราะเขาเล่นซนทำให้เล้าไก่ของหงอู่เสียหาย จึงถูกจับตีจนก้นบวมฉึ่ง ต้องนอนรักษาตัวไปอีกสักระยะ”

          คำบอกเล่าเรียกเสียงหัวเราะให้กับร่างเล็ก ดูว่าทั้งสองสนทนากันอย่างสนิทสนม มิได้สนใจจักรพรรดิหนุ่มซึ่งทำสีหน้าง้ำจากการดื่มน้ำส้มสายชู[2]ไปทั้งไห ยังผลให้ต้าเซียนกับเซียวถิงฟงลอบหัวเราะคิกคัก ส่วนบุรุษลึกลับจับจ้องหงเว่ยกล่าวเจื้อยแจ้วอย่างไม่เชื่อสายตา

          “วันนี้นอกจากจะมาหาเจ้าแล้ว ข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ไป่ไป๋” หงเว่ยยังคงสนทนามิสนผู้ใด คล้ายที่ตรงนี้มีเพียงพวกเขาสองคน “ข้าต้องการพบท่านผู้นั้นที่เจ้าเคยกล่าวถึง”

          ท่านผู้นั้น...ไป๋เซ่อส่งเสียงดังอา นึกถึงคำพูดที่เคยกล่าวไว้ให้หงเว่ยสบายใจก่อนแยกตัวกลับมาเมืองหลวง...หากท่านผู้นั้นมิอาจคลายมนตร์สะกด โลกหล้านี้ก็มิมีใครกระทำได้อีก



******************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2016 00:11:52 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 22.2 การกลับมาของหงเว่ย

 
          “เจ้าต้องการพบข้า” ต้าเซียนขัดจังหวะคนทั้งสอง ด้วยหยั่งรู้ว่าบุคคลที่กำลังกล่าวเป็นตัวเขาเอง

          บุรุษลึกลับถึงกับหันขวับมองผู้กล่าว แรกเริ่มเขาเพียงมองบุรุษร่างเล็ก ผู้มีดวงหน้างดงาทั้งอ่อนโยนเพียงผ่านตา แม้ติดใจอยู่บ้างว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงสามารถผ่านมิติปิดกั้นอันทรงพลังของหงเว่ยเข้ามาได้โดยไม่สูญเสียพละกำลังใดๆ ทว่าบัดนี้เมื่อได้สบดวงตาสีน้ำตาลประกายทอง เขาก็พลันคุกเข่า โขกศีรษะดังสะท้าน

          “ผู้ต่ำต้อยหงซาน ขอวิงวอนท่านมหาเทพ ได้โปรดช่วยเหลือหงเอ้อร์ด้วย”

          “เจ้าเป็นน้องชายของหงเว่ย?” ไป๋เซ่อมองคนที่มีใบหน้าใกล้เคียงกับหงเว่ยถึงสามส่วน ผิดแผกตรงที่นัยน์ตาของคนผู้นี้กลับมืดหม่นปรากฏแววหมองเศร้า อีกทั้งยังดูอมทุกข์

          “เจ้ามีเหตุผลอันใดให้ข้าช่วย บัดนี้พี่ชายเจ้าหลงเหลือเพียงจิตวิญญาณ มิอาจไปผุดไปเกิด ทั้งยิ่งมิอาจกลับคืนสู่ร่างเดิม ได้แต่เร่ร่อนไปทั่วพิภพมนุษย์ราวกับผีสาง” ต้าเซียนชำเลืองมองอีกฝ่ายจากทางหางตา

          “......” หงซานฟังแล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไปกับท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย ความหวังในใจดับมอดลงไปกว่าครึ่ง ยังผลให้ความกลัวซึ่งเคี่ยวกรำมานานกว่าหลายร้อยปีกอบกุมจิตใจ กลัว...กลัวโลกที่ไม่มีหงเอ้อร์

          “หงเอ้อร์ เขา...จิตใจดี ไม่เคยสักครั้งที่จะคิดหรือกระทำเรื่องเลวร้ายอันใด เขามีแต่จะช่วยเหลือผู้อื่น กระทั่งศัตรูก็ยังปล่อยให้ช่วงชิงตบะ ทำลายร่างโดยไม่ตอบโต้ ทั้งมิถือสา” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็สั่นเครือ ความเจ็บปวดตอกย้ำในอก “เขาไม่สมควรได้รับผลกรรมเช่นนี้ เป็นข้า...ข้าต่างหาก สองมือข้าเปื้อนเลือด ต้องอยู่อย่างละอายใจต่อตระกูลหง สมควรเป็นข้าที่ไร้ตัวตน”

          แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานกว่าร้อยปี ทว่าหงซานยังคงยึดมั่นถือมั่นในความหวังที่มีอยู่น้อยนิด ได้แต่ออกตามหาสามจิตเจ็ดวิญญาณที่ถูกทำลายของหงเอ้อร์ไปทั่วทุกเขตคามอย่างบ้าคลั่ง จวบจนสามารถรวบรวมสามจิตไว้ได้ กระนั้นตนกลับไร้พลังจะฟื้นคืนร่างให้พี่รอง

          จิตวิญญาณของหงเอ้อร์ร่อนเร่ เขาก็ออกร่อนเร่ เขารวบรวมสามจิตของหงเอ้อร์ได้ ก็เท่ากับเขาเก็บหัวใจที่หล่นหาย...ให้กลับคืนมา

          รับฟังคำดังกล่าวก็พลันเข้าใจว่าน้องสามรู้สึกเช่นไร ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เป็นน้องรองคอยดูแลน้องสามมาตลอด เจ้าสามเองก็แทบเป็นเงาตามติดอีกฝ่ายไม่ห่าง ทั้งสองจึงสนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องคนใด จากความสัมพันธ์ใกล้ชิดแปรเปลี่ยนเป็นความรัก จะตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่มีใครทราบได้ จวบจนถึงวันที่สูญเสียทั้งสองฝ่ายจึงได้รู้ตัว

          การที่หงเว่ยกลับไปหุบเขาสั่วซีพร้อมกับหงลิ่วซึ่งได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับน้องชายที่หลบหน้าไปกว่าร้อยปี พร้อมกับดวงจิตทั้งสามของหงเอ้อร์ และเพราะเจ้าสามอ้อนวอนให้ตนช่วยเหลือ ดังนั้นเขาซึ่งเป็นพี่ใหญ่จะนิ่งดูดายได้อย่างไร ทว่าน่าเจ็บใจที่เรื่องนี้เกินความสามารถเขา จึงได้แต่คาดเดาไปถึงท่านผู้นั้นที่ไป๋เซ่อเคยเอ่ยถึง

          ทอดสายตาไปทั่วทั้งพิภพ ผู้ที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรนับพันปีนับว่ามีเพียงหยิบมือ โดยส่วนใหญ่ล้วนมีคนคอยชี้แนะนำ ประกอบกับเขาสัมผัสถึงพลังเซียนที่ถูกสะกดในกายร่างเล็ก ยังมีคำพูดซ่อนความนัย ทำให้หงเว่ยกล้าคาดเดาว่าท่านผู้นั้นอาจเป็นผู้ที่อยู่เหนือสามพิภพ

          ว่าแล้วก็ก้าวไปอยู่ด้านหน้า ทิ้งเข่าอันหนักแน่นทั้งสองข้างลงบนพื้น เคียงข้างเจ้าสาม “ข้าน้อยหงเว่ย ขอยืนยันคำพูดของเขาด้วยชีวิต”

          “พี่ใหญ่” หงซานร้องเรียก มิคิดว่าพี่ชายผู้ทระนงจะยินยอมคุกเข่าขอร้องแทนเขา

          “ท่านมหาเทพ หงซานผู้นี้มิได้โป้ปดเป็นแน่” ไป๋เซ่อกล่าวน้ำเสียงสั่น ด้วยถูกความรันทดของหงซานและหงเอ้อร์สั่นคลอนหัวใจ

          “ข้าเองก็ขอยืนยันด้วยเช่นกัน” ขนาดร่างเล็กยังเอ่ยเช่นนี้ ซวนหยวนหมิงไท่มีหรือจะไม่สนับสนุน อีกทั้งตนยังเข้าใจดียิ่งกว่าใคร รักต้องห้ามระหว่างพี่น้อง มิใช่ว่าเขาเคยผ่านมาแล้วหรือ องค์หญิงหย่าเหลียน แม้มิได้สายเลือดเดียวกับเขา ทว่าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาว สถานะของนางทำให้เขาทนทุกข์ในใจมาตลอด จะก้าวข้ามก็มิกล้า จะถอยกลับก็มิอาจตัดใจ ทว่าหงซานผู้นี้ก้าวผ่านคำว่าศีลธรรมไปแล้ว มิรู้ว่าจะต้องเจ็บปวดมากเท่าไร

          เป็นเพราะน้ำเสียงของหงซานสั่นสะท้าน บันดาลให้ผู้ฟังรู้สึกสงสารในชะตากรรม อีกทั้งยังมีผู้อื่นช่วยวิงวอนเช่นนี้ ต้าเซียนฟังแล้วก็ใจอ่อน “เอาเถอะ แม้ข้ามิอาจฟื้นฟูกายเดิมให้เขาได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี”

          “ขอบคุณท่านมหาเทพ ขอบคุณท่านมหาเทพ” หงซานรีบโขกศีรษะอย่างซาบซึ้งใจ

          “ข้าจะส่งพี่รองของเจ้าไปยังพิภพสวรรค์ ให้ผู้อาวุโสเทพหวางจื้อใช้ก้านบัว รากบัว และใยบัววิเศษสร้างรกายใหม่ให้แก่เขา และนับจากนี้ไปเขาจะเป็นศิษย์ท่านผู้อาวุโสเทพหวางจื้อ”

          ร่างสีขาวพูดพลางพลิกฝ่ามือขึ้น ไม่นานดวงจิตทั้งสามก็ล่องลอยออกจากอกของหงซาน ตรงเข้ามาอยู่ในมือเรียว ต่อจากนั้นต้าเซียนก็สะบัดมือวูบหนึ่ง บังเกิดเป็นละอองทรายสีทองนำพาดวงจิตเหล่านี้ตรงไปยังพิภพสวรรค์ ทิ้งให้หงซานได้แต่มองตามอย่างอาลัย

          “ส่วนเจ้า” ต้าเซียนเอ่ยขึ้น

          “ข้าน้อยหงซาน ยินดีทำลายตบะบำเพ็ญเพียร คืนสู่วัฏจักรสงสาร” หงซานกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว เขารู้ตัวเองดี มารในใจเขาสักวันหนึ่งจะนำเภทภัยแก่คนรอบตัวและเหล่าหนุษย์ เทพเซียนทั้งหลายย่อมไม่มีทางปละปล่อย ดังนั้นมีแต่ละทิ้งสังขารเพื่อให้จบเรื่องลงด้วยดี

          “......” ต้าเซียนมองผู้กล่าวอย่างมีความในใจ ด้วยไพล่นึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งถูกจิตมารกัดกินจิตใจเช่นกัน ครู่หนึ่งจึงกล่าวสืบต่อ “ที่ตำหนักของอาวุโสเทพหวางจื้อยังขาดคนทำความสะอาด หากเจ้ายินยอมก็ไปเถอะ”

          พูดจบร่างสีขาวบริสุทธิ์ก็หันหลังให้ ก่อนโผทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว หงซานรับฟังอย่างตกตะลึง แต่ก่อนเพียงคิดช่วยเหลือหงเอ้อร์ แม้จะแลกด้วยชีวิตของตนก็มิเป็นไร ขอเพียงอีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าบัดนี้ท่านมหาเทพกลับเมตตาเปิดโอกาสให้เขา

          “แม้บนโลกนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถขจัดมารในใจตนได้สำเร็จ แต่ภายภาคหน้าใช่ว่าจะไม่มี ข้าเชื่อมั่นเช่นนั้น” เซียวถิงฟงกล่าวทิ้งท้ายก่อนตามร่างคนรักไปติดๆ


 

******************************************************

 

          ผ่านวันที่เต็มไปด้วยเรื่องราว แต่กระนั้นทุกอย่างก็จบลงด้วยดี หงซานผู้นั้นติดตามต้าเซียนไปยังพิภพสวรรค์ ทิ้งให้เซียวถิงฟงที่ซึ่งอยู่บนโลกมนุษย์ย้ำเตือนร่างน้อยราวกับคนบ้าว่าให้กลับบ้านโดยเร็ว แต่จะให้ดีกว่านี้ทำไมท่านไม่พาหงเว่ยไปด้วยเล่า...ท่านมหาเทพต้าเซียน

          ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เห็นทีเรื่องจบลงแต่หงเว่ยยังคงวนเวียนไปมาหาสู่สนทนากับไป๋เซ่อทุกครึ่งค่อนวัน ผิดกับเขาที่ต้องนั่งอ่านฎีกาจัดการงานราชกิจต่างๆ หน้าดำหน้าแดงในตำหนักเสวียนเจิ้งอยู่คนเดียว

          “มารดามันเถอะ วันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไรให้คุยกันนักกันหนา” จนถึงวันนี้ที่เขาทนมิไหว ก็ตัดสินใจละทิ้งงานบนโต๊ะไปสักประเดี๋ยว ตะโกนบอกเสี่ยวลู่ว่าจะไปยังตำหนักเฉียนชิง

          เพลานี้ขบวนเสด็จที่นำโดยร่างสง่างามสีเหลืองใกล้เข้ามายังอุทยานหลวงแล้ว หากแต่อีกทางด้านหนึ่งก็มีนางกำนัลผู้หนึ่งชะโงกหน้าขึ้นดูลาดเลา ครั้งเห็นกลุ่มคนมาแล้วก็รีบวิ่งกลับไปหาผู้เป็นนาย

          “พระสนมหลี่ ฝ่าบาทใกล้เสด็จมาถึงแล้ว”
         
          “จริงรึ เร็ว ดูสิว่าข้ายังงดงามดีรึไม่” หลี่ซิ่วหลัน หรือพระสนมหลี่รีบจัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปยิ่งกว่าเดิม ส่วนฝ่ายนางกำนัลแซ่ฉู่ก็ยิ้มเอ่ยยกยอ

          “งดงามมากเพคะ”

          “ดี เช่นนั้นพาข้าไป จดจำไว้ว่าอย่ากระโตกกระตากจนผิดสังเกต”

          สิ้นเสียงเตือนไม่นาน กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ก็เลี้ยวเข้ามายังเส้นทางที่พวกนางยืนอยู่ พระสนมหลี่ในอาภรณ์สีเหลืองอ่อน แขนคล้องด้วยตะกร้าไม้สานซึ่งบรรจุด้วยดอกไม้สด รีบเดินเข้าไปขวางขบวนเสด็จ พลางยิ้มหวานถวายบังคมด้วยท่าทีอ่อนช้อย

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีๆ”

          น้ำเสียงแว่วหวานหยุดฝีเท้ามังกรที่กำลังเร่งรีบลง ฮ่องเต้หนุ่มได้แต่จดๆจ้องๆสตรีเบื้องหน้า จนกระทั่งนางทำท่าเอียงอาย จึงเอ่ย “เจ้าคือ?”

          คำถามดังกล่าวทำเอาพระสนมหลี่หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย นางรีบกล่าวทูลด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจ “หม่อมฉัน พระสนมหลี่ หลี่ซิ่วหลัน บุตรีของเสนาบดีหลี่เชียนเพคะ”

          “อา” ซวนหยวนหมิงไท่อุทานเบาๆ ความจริงเขาเลือกสนมทั้งสองนางขึ้นมาโดยที่มิได้แลดูภาพร่างของพวกนางเลยด้วยซ้ำ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ”

          “หม่อมฉันอยู่ที่ตำหนักว่างๆ เกิดรู้สึกเบื่อจึงให้นางกำนัลพาออกมาเก็บดอกไม้ที่อุทยานหลวงเพคะ หวังจะไม่เป็นการรบกวนพระองค์” พระสนมหลี่กล่าวเรื่อยเปื่อย ทว่ากลับแฝงความนัยว่าต้องการให้โอรสสวรรค์เสด็จมาที่ตำหนักของตน ซึ่งนับตั้งแต่นางกับเจินเริ่นผิง สนมอีกคนหนึ่งเข้าวังมา ก็ล่วงเลยมาถึงห้าวันแล้ว แต่กระนั้นพวกนางกลับยังมิมีโอกาสถวายตัวให้กับเจ้าชีวิตเลย แม้แต่จะพบพระพักตร์ก็ยังยาก ดังนั้นนางจึงได้ถือโอกาสมาดักรอเพื่อเป็นฝ่ายรุกเสียก่อน

          “ไม่เป็นไร หากสนมหลี่ชอบก็ทำตามใจเถิด ส่วนเรื่องที่เจ้าว่างจนเกิดรู้สึกเบื่อ ข้าจะจดจำไว้” กล่าวจบเขาก็ส่งยิ้มบาง จากนั้นนำพาขบวนเสด็จจากไป ทิ้งให้หญิงงามเซื่องซึมไปกับรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนนั้น

          จดจำนาง...นี่หมายความว่าพระองค์จะเสด็จไปยังตำหนักของนางคืนนี้ใช่หรือไม่ สนมหลี่วาดฝัน ก่อนจะบอกกล่าวให้นางกำนัลรีบกลับจตำหนักไปขัดสีฉวีวรรณเรือนร่างของนางอย่างเร่งด่วน

          ครั้นมาถึงตำหนักเฉียนชิงก็ประจวบเหมาะกับที่หงเว่ยพึ่งเข้ามาได้ไม่นานนัก ด้านไป๋เซ่อยังคงนั่งเอกเขนกบนตั่งกว้างตัวสีทอง รอบด้านมีอาภรณ์หรูหราสำหรับพระราชพิธีที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันวางเรียงรายอยู่ ซึ่งดูว่าเจ้าตัวยังเลือกมิได้สักชุด
         
          “ในเมื่อเขามาแล้ว วันนี้ข้ากลับก่อนดีกว่า” หงเว่ยกล่าว สีหน้ามีความมิพอใจเคลือบแฝง หากแต่ร่างเล็กกลับมองไม่เห็น

          “เอ๋ หงเว่ย เจ้าพึ่งมาไม่นานจะไปแล้วหรือ” ไป๋เซ่อร้องท้วง

          “ข้า...แล้วข้าจะมาใหม่” เห็นสีหน้าไม่สดใส หงเว่ยก็รีบตอบคำ

          ยังจะมาอีกรึ...ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหน้าบึ้งไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมิต้องการเห็นหน้าเขาจึงรีบขอตัวจากไป
         
          “เจ้ายังต้องมางานแต่งข้าด้วยนะ ข้าจะรอ” ไป๋เซ่อพูดไล่หลังหงเว่ย หากกล่าวถึงสหายบนโลกมนุษย์ เห็นจะมีแต่หงเว่ย หงลิ่ว และถิงถิงที่สนทนากันถูกคอ อ้ะ ยังมีเสิ่นอันหวาง แต่เกรงว่าเขาคงจะมิได้มาร่วมงานนี้

          “อืม” ร่างในชุดสีม่วงอมดำเงียบไปพักใหญ่จึงส่งเสียงตอบในลำคอ มิมีใครทราบว่าเพลานี้เขาเจ็บปวดเพียงใด เว้นเพียงชายตรงหน้าที่มองออก แต่แล้วไม่นานเขาก็ยกยิ้มมุมปาก

          ซวนหยวนหมิงไท่มิได้พูดอะไร ด้วยรู้ว่าหากพูดปลอบจะกลายเป็นการเย้ยหยันอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะเงียบไว้ จวบจนสังเกตเห็นรอยยิ้มสะใจของหงเว่ย ก็พลันให้เขาสับสนงุนงงไปพักใหญ่

          รอจนในห้องเหลือเพียงคนสองคน ไป๋เซ่อก็ถลึงตา “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคนกะล่อน ยังมิทันจะแต่งกับข้าก็เกี้ยวสตรีอื่น เจ้ามันน่าตายนัก”ตวาดจบร่างเล็กก็กระโจนเข้ากระชากศีรษะร่างสูงที่มิทันตั้งตัว และมาตรว่าชายหนุ่มจะแผดเสียงร้องโหยหวนสักแค่ไหน งูน้อยก็มิคิดจะหยุดมือ “หงเว่ยบอกข้าหมดแล้วว่าเจ้าบอกจะจดจำผู้ใด”

          “อ๊ากกก ไป๋เซ่อ เข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้ว ถึงข้าจะกล่าวเช่นนั้นจริง แต่ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นนะ”

          “เพ้ย นี่เจ้ายอมรับ โฮ เจ้ามันคนหลายใจ ข้าแต่งให้เจ้าต้องกินน้ำตาต่างข้าวเป็นแน่” ไป๋เซ่อร่ำร้องเสียงดัง มือยิ่งขยุ้มเส้นผมสีดำจนหลุดลุ่ย กระทั่งกวานทองประดับศีรษะยังกระเด็นตกพื้น

          “โอ้ยๆ เบามือหน่อย ศีรษะข้าจะแยกอยู่แล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ทั้งอยากจะร้องไห้ก็ร้องมิออก อยากจะตีร่างเล็กก็ทำมิได้ ได้แต่ทนรับการลงมือ ในใจแค้นเคืองหงเว่ยผู้ที่ทิ้งระเบิดไว้ก่อนจากไป ความจริงเขามิควรเห็นใจคนผู้นี้แม้แต่น้อย

          หงเว่ย เจ้ามันคนจอมปลอม ลอบกัดยุแยงผู้อื่น

          หลังจากคู่รักจบการลงไม้ลงมือ ที่ซึ่งไป๋เซ่อใช้กำลังอยู่ถ่ายเดียว ก็มีอยู่หลายคืนที่ซวนหยวนหมิงไท่ต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึก เหงื่อกาฬชโลมกาย ก่อนจะยกมือลูบศีรษะตัวเองอย่างหวาดๆ

          ...ดูว่าในประวัติศาสตร์ของแคว้นซวนหยวน คงจะมีแต่จักรพรรดิหนุ่มเช่นเขากระมัง ที่เส้นผมอาจร่วงโรยหมดศีรษะก่อนวัยอันควร


 

 

[1]อารมณ์ทั้งเจ็ด ประกอบด้วย ยินดี เดือดดาล โศกเศร้า สุขสันต์ รัก ชิงชัง และปรารถนา

[2]ดื่มน้ำส้มสายชู สำนวนจีนที่มีความหมายว่า หึงหวง


 
 

******************************************************

 

- บทนี้ออกทะเลไปหน่อย เเต่อยากจะให้ชีวิตหงเว่ยมีอะไรดีๆกับเขาบ้าง แฮ่ๆ บทหน้าเจอกัน

- รีดเดอร์อยากเเนะนำอะไร เม้นท์บอกได้น้า เเบบเนื้อหายังไม่เข้าอารมณ์ไรงี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2016 15:42:43 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
คู่อื่นเขาเคลียร์กันเรียบร้อย เหลือแต่คู่หลักเนี่ยแหละ มีแต่เรื่อง 55555
สงสารหงเว่ยเหมือนกันน้า ทำได้แค่มองคนที่ตัวเองรักมีความสุข โชคยังดีที่ไม่ทำอะไรแย่ๆ
ส่วนไป๋เซ่อก็ซื่อจนบื้อไปเลยยยยย 55555 อยากจับมาเขย่าคอๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 23.1 พิธีถามฟ้า

 

          ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวบดบังแสงตะวันให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ใบเฟิงสีแดงร่วงหลุดจากต้น ส่งผลให้ตำหนักดูหลันฮวาในยามนี้ดูเฉิดฉันท์เป็นพิเศษ

          ที่ด้านนอกระเบียงตำหนัก ร่างสตรีในชุดสีขาวนวลกำลังใช้ดวงตาอันพราวเสน่ห์ทอดมองใบไม้แห้งเหล่านี้อย่างเงียบงัน แลไม่นานนักนางกำนัลอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาทำลายความสงบนี้

          “พระสนม เช้านี้หม่อมฉันได้ข่าวมาว่า ฝ่าบาทรับสั่งให้ขันทีส่วนพระองค์นำหีบจำนวนหนึ่งไปยังตำหนักจวี๋ฮวา จากนั้นถ่ายทอดพระราชดำรัสว่า พระองค์เห็นพระทัยสนมหลี่ที่อยู่แต่ในตำหนักมิมีสิ่งใดกระทำจนว่างเกินไป จึงทรงพระราชทานตำราพระธรรมกว่าสามร้อยเล่ม ให้นางใช้เป็นต้นแบบคัดลอกให้กับวัดวาอารามเป็นการคลายเหงา ฮ่า ฮ่า สมน้ำหน้านางนัก คิดยั่วยวนฝ่าบาทแล้วเป็นอย่างไรเล่า” นางกำนัลอวี้ส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย แต่แล้วพลันมีเสียงดุ

          “หุบปาก ร้ายดีอย่างไรนางก็เป็นถึงพระสนม นางกำนัลเล็กๆเช่นเจ้ามีสิทธ์ขานพระนามโดยตรงหรือ?”
         
          “หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ” นางกำนัลอวี้รีบคุกเข่า สีหน้าแตกตื่น เดิมทีนางเป็นข้ารับใช้ซึ่งติดตามผู้เป็นนายเข้าวังมา กิริยามารยาทจึงมิได้สงบเสงี่ยมเช่นนางข้าหลวงฝ่ายใน “หม่อมฉันเพียงทนไม่ได้ที่เห็นพระสนมหลี่ใช้ลูกไม้เช่นนี้”

          “กำแพงมีหูประตูมีตา ต่อไปให้เจ้าระวัง” พระสนมเจินเอ่ยเสียงนุ่มทุ้ม นางกำนัลอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็พลอยโล่งอก ลุกขึ้นมาประคองร่างบอบบางเดินเข้าไปในห้อง

          “อวี้ชิงจำไว้ สนมหลี่หาใช่คนที่เราจะต่อกร ทว่าเป็นคนที่พำนักอยู่ในตำหนักเฉียนชิงกับฝ่าบาทต่างหาก”

          “แต่เขานับเป็นบุรุษ มิได้มีตำหนักมีข้ารับใช้มากมายเช่นเดียวกับพระสนม เป็นเพียงชายบำเรอผู้หนึ่งเท่านั้น” กล่าวคือคนผู้นี้หาได้มีอำนาจอย่างแท้จริง รอจนฝ่าบาทหมดความสนใจ ย่อมกลายเป็นดั่งของใช้แล้วทิ้ง ไม่มีค่าให้ผู้ใดจดจำ

          “ผิดแล้ว เจ้าคิดว่าเพียงชายบำเรอผู้หนึ่งสามารถทำให้ฝ่าบาทต่อกรกับเหล่าขุนนาง จัดทำพิธีถามฟ้าได้หรือ สิ่งนี้ต่างหากที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ธรรมดา ซ้ำยังน่ากลัวยิ่งกว่าพระสนมหลี่”

          นางกำนัลอวี้ชิงขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงความไม่เข้าใจ ทว่าอีกกึ่งกลับไม่เห็นด้วย เห็นดังนั้นเจินเริ่นผิงก็ไม่สนใจ หยิบจดหมายปิดผนึกในอกเสื้อแล้วยื่นส่งให้

          “เอาเถิด เจ้านำจดหมายนี้ไปส่งให้ท่านพ่อที”

 

          บางครั้งกาลเวลาก็ผ่านไปเร็วราวโกหก เพียงแวบเดียววันงานสำคัญที่ควบทั้งพิธีขึ้นครองราชย์ พีธีพระราชสมรสและพิธีถามฟ้าก็มาถึง ทำให้คนที่เอาแต่เก็บตัวกินนอนจนรากงอกอย่างไป๋เซ่อต้องได้รับความลำบาก เมื่อถิงถิง แมวสาวในร่างมนุษย์ก้าวฉับๆนำหน้านางกำนัลโขยงหนึ่งเข้ามาลากตัวเขาที่นอนงัวเงียเมาขี้ตาขึ้นจากเตียง

          “ตัวขี้เกียจไปล้างหน้าแต่งตัวให้ไว มิเช่นนั้นข้าจะข่วนหน้าเจ้า”

          สิ้นคำเย็นชาของนาง ไป๋เซ่อก็ตาสว่าง สองขากระโจนลงจากเตียงโดยไว ฤทธิ์กรงเล็บนางเขาโดนคราเดียวก็เข็ดขยาบ สมัยก่อนซวนหยวนหมิงไท่ต้องพอกยาให้เขาเป็นอาทิตย์กว่าจะหายดี

          หลังล้างหน้าบ้วนปาก ร่างเล็กก็ถูกห้อมล้อมด้วยนางกำนัลมากหน้าหลายตา ชุดต่างๆถูกสวมบนร่างรวมเก้าชั้น ทำให้ไป๋เซ่ออึดอัดต้องขยับตัวยุกยิกไปมา แต่ครั้นเหลือบไปเห็นถิงถิงลูบปลายเล็บต่อหน้า ร่างก็พลันแข็งค้างปล่อยให้คนนำตัวไปเกล้าผมแต่โดยดี กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ความพยายามของนางกำนัลก็เสร็จสิ้น พวกนางต่างยิ้มภูมิใจให้ผลงานตรงหน้า หากแต่เขากลับยิ้มไม่ออก

          “ดีมาก รีบไปเร็วพิธีจะเริ่มขึ้นแล้ว” ถิงถิงอมยิ้มเจือขบขัน ทว่าไป๋เซ่อกลับยิ่งทำหน้าแหยราวกับจะร้องไห้

          อีกด้านหนึ่ง พิธีขึ้นครองราชย์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ซวนหยวนหมิงไท่ในฉลองพระองค์สีแดงตัดดำปักดิ้นทองลายมังกรอันน่าเกรงขาม สวมพระมาลาม่านมุขสิบสองสายก้าวขึ้นไปนั่งยังบัลลังก์กว้างสีทอง ฟังเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจากเหล่าขุนนางเสร็จก็กล่าววาจาเล็กน้อย จากนั้นนำพาขบวนขุนนางไปยังลานพิธีในตำหนักหานหยวน

          เพลาต่อมาพิธีพระราชสมรสก็เริ่มขึ้น ขบวนเกี้ยวอันสมเกียรติสองหลังได้เคลื่อนที่มา เป็นพระสนมหลี่ในอาภรณ์สีแดงคลุมทับด้วยเสื้อตัวยาวสีส้มปักลายดอกฝูหรง[1]สามสี ตามมาด้วยพระสนมเจินในอาภรณ์สีแดงคลุมเสื้อตัวยาวสีชมพูปักลายดอกจื่อเถิง[2]สีม่วงอ่อนสะดุดตา

          สองร่างระหงหนึ่งบอบบางอ่อนหวาน อีกหนึ่งงดงามเรียบร้อย พวกนางก้าวย่างไปตามทางเดินสีแดงทอดยาว แล้วหยุดฝีเท้าตรงลานถัดจากเจ้าชีวิตขั้นหนึ่ง ถึงตอนนี้ขุนนางซึ่งก้มศีรษะเล็กน้อยก็เริ่มเบนหน้ามองกันอย่างงุนงง เนื่องเพราะยังไม่เห็นวี่แววร่างของพระสนมผู้เป็นบุรุษเสียที

          ต่อเมื่อจักรพรรดิหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ เกี้ยวหลังหนึ่งก็หยุดลงตรงด้านหน้าตำหนักพอดิบพอดี คนผู้หนึ่งถูกประคองลงจากเกี้ยว เผยร่างเปล่งประกายสู่สายตา มุมปากของซวนหยวนหมิงไท่พลันหยักขึ้นอย่างพึงใจ ผิดกับเหล่าขุนนางซึ่งยืนขนาบฝั่งซ้ายขวา ต่างตกตะลึงนิ่งอึ้ง บ้างอ้าปากค้าง บ้างสีหน้าเลื่อนลอยให้กับร่างที่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีแข็งทื่อไปเรียบร้อย


 

**********************************************************

 

          “มารดามันเถอะ ไฉนพวกเจ้าสวมชุดไม่กี่ชั้น แต่ข้ากลับต้องสวมชุดหนาเป็นขนมจ้างด้วย”

          ไป๋เซ่อก่นด่าในใจพลางเดินลากอาภรณ์สีแดงพร้อมเสื้อคลุมสีดำหรูหราปักดิ้นทองลายหงส์ฟ้าไปข้างหน้า ไหนยังจะมีเฟิ่งกวาน[3]ประดับศีรษะอันแสนจะหนักอึ้ง ทำให้มิอาจกระทำได้แม้แต่ผินหน้าซ้ายขวา จึงได้แต่กรอกตาไปมาคราหนึ่ง แล้วจึงสะดุดเข้ากับเจ้าของนัยน์ตาดอกท้อซึ่งกำลังยิ้มมองตนอยู่

          อีกฝ่ายยืนอยู่ด้านหลังขุนนางชั้นผู้น้อย ก่อนจะรีบโบกมือหย็อยๆให้ เขาพลันยิ้มแฉ่งดีใจ มิคิดว่าเสิ่นอันหวางจะมาร่วมพิธี ครั้นเดินผ่านท่านมหาเทพ รอยยิ้มอ่อนโยนก็ส่งตรงมา ยังมีเซียวถิงฟงจ้องเขาตะลึงๆ ด้วยสีหน้าดูโง่งมเป็นที่สุด

          ทว่ายามนี้กวาดมองไปทั่วบริเวณแล้วก็ยังไม่พบคนผู้หนึ่ง ไป๋เซ่อมองหาอยู่นาน กระทั่งกวาดผ่านร่างสง่างามในชุดมังกรสีดำองอาจก็ถูกดวงตาสีดำขลับคู่นั้นสะกดมิให้ละสายตาไปไหนได้อีก

          ด้านสนมหลี่กลับไล่สำรวจมองเซียวไป๋อย่างไม่เป็นมิตร เพียงมองผ่านตาก็รู้ว่าอาภรณ์ของอีกฝ่ายหรูหราประณีตกว่าของนางอย่างเทียบชั้นไม่ติด ไหนจะเฟิ่งกวานประดับศีรษะอันนั้น ไยเขาจึงสวมใส่มันได้ ผิดกับนางที่ประดับได้เพียงแค่ปิ่นทองกับมุขธรรมดา

          ฝ่ายสนมเจินประเมินมองเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาเรียวเย้ายวนเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมสีเทาแปลกตาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน ต้องยอมรับว่าเจ้าตัวสะดุดตายากลืมเลือน มิแปลกใจเลยที่ฝ่าบาทจะทรงหวง มิเปิดเผยตัวเขาแก่คนภายนอกจนถึงวันพิธี

          รอจนร่างในชุดหงส์มาถึง ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยื่นส่งมือไปให้ ไป๋เซ่อเงอะงะไปเล็กน้อยก่อนจับมือนั้น สัมผัสอบอุ่นจากผิวกายชายหนุ่มกระตุ้นให้หัวใจเต้นรัวระรัว หากแต่ก็ทำให้เขาหายประหม่าไปได้เช่นกัน

          “ในเมื่อฤกษ์งามยามดีแล้ว สนมทั้งหลายติดตามเราขึ้นไปกระทำพิธีถามฟ้า” กล่าวจบโอรสสวรรค์ก็จูงมือร่างเล็กขึ้นบันไดทางด้านหลัง ทิ้งให้สนมอีกสองนางเดินตามขึ้นไปอย่างเปล่าเปลี่ยว

          ณ แท่นบรวงสรวงยกสูงจากพื้น ตรงกลางมีกระถางธูปทองแดงสามขาขนาดใหญ่ ขันทีประจำพิธีมองตะวันขึ้นตรงศีรษะแล้วจึงส่งธูปที่จุดแล้วให้กับเจ้าชีวิตหนุ่มและบรรดาพระสนม

          ระหว่างนั้นหลี่เชียน เสนาบดีกรมคลังก็ต้องย่นคิ้วตงิดใจ ดูไปฉลองพระองค์ของเจ้าชีวิตกับร่างเย้ายวนช่างเข้าคู่เหมาะเจาะ ยังมีสัญลักษณ์หงส์ฟ้าบนร่างเซียวไป๋ คล้ายมีบางเรื่องถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว

          “ข้าซวนหยวนหมิงไท่ ผู้ปกครองแคว้นซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่ ได้รับโองการสวรรค์ให้ดูแลบรรเทาทุกข์สุขชาวประชา ปกครองบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป บัดนี้ต่อหน้าฟ้า ข้าขอความยินยอมจากสวรรค์ แต่งตั้งสนมหลี่ซิ่วหลันเป็นพระชายาขั้นหนึ่ง[4]ตำแหน่งซูเฟย สนมเจินเริ่มผิงเป็นพระชายาขั้นหนึ่ง ตำแหน่งกุ้ยเฟย พร้อมทั้งแต่งตั้งเซียวไป๋...”

          กล่าวถึงตรงนี้น้ำเสียงมังกรก็พลันหยุดไป ส่งผลให้ขุนนางน้อยใหญ่คาดเดาพระทัยองค์จักรพรรดิกันไม่ถูก แต่จากตำแหน่งสูงสุดอย่างกุ้ยเฟยและซูเฟยก็แต่งตั้งไปแล้ว ดังนั้นเซียวไป๋ย่อมต้องได้รับสถานะด้อยกว่าอย่างแน่นอน

          “เป็นฮองเฮา พระแม่ของแผ่นดิน”

          ฮ่องเต้หนุ่มลั่นเสียงก้องกังวานจบ ขุนนางทั้งหลายก็รู้สึกราวถูกตบใบหน้าฉาดใหญ่ สีหน้าของเจินกุ้ยเฟยและหลี่ซูเฟยซีดเผือด ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์วุ่นวาย แม้แต่หลี่เชียนเองก็รีบตะโกนทักท้วง

          ไป๋เซ่อมองไปรอบๆ เห็นผู้คนมิได้มีสีหน้าแสดงความยินดีก็เกิดอาการวิตก แต่แล้วกลับมีมือหนึ่งสอดนิ้วเข้ากระชับมือชุ่มเหงื่อของตนไว้
         
          “ไม่ต้องกลัว ไป๋เซ่อ เจ้าเป็นถึงงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ เพียงอ้าปากก็กลืนพวกเขาลงท้องไปกว่าครึ่งแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยขบขันผ่านทางสายตา ไป๋เซ่อฟังแล้วก็เกิดฮึดฮัด

          “เฮอะ ให้ข้ากลืนคนพวกนั้น ไร้รสนิยมสิ้นดี”

          ทั้งสองตอบโต้ผ่านจิตแล้วจึงหัวเราะให้กัน ก่อนจับมือแนบแน่นตรงไปยังกระถางทองแดง มองชายหนุ่มแสร้งทำหูทวนลมปักธูปลงในกระถางแล้วหันมาส่งยิ้มให้ เขาก็ยิ้มกว้างสดใสยื่นมือไปปักธูปบ้าง

          กระนั้นธูปในมือปักลงไปได้ไม่เท่าไหร่ นางกำนัลผู้หนึ่งก็แผดเสียงลั่น นิ้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งมีเขม่าควันสีเทาลอยสูง ไม่ไกลออกไปนักเปลวไฟสีส้มอมเหลืองกำลังลามเลียเผาไหม้ตำหนักหลังหนึ่งอยู่

          เสียงของเหล่าทหารรักษาการณ์ตะโกนให้ดับไฟแว่วมา ไป๋เซ่อฟังแล้วก็หลุดคำพูดพร้อมสีหน้าเหลอหลา “ไอ้หยา คงมิได้ไหม้ที่ตำหนักห้องเครื่องหรอกนะ”

          ...ไป๋เซ่อ เจ้าควรห่วงเรื่องอื่นก่อนจะดีไหม ซวนหยวนหมิงไท่ฟังคำร่างเล็กแล้วต้องกุมขมับ หากแต่ยังมิทันขาดคำดี หลี่เชียนซึ่งยืนประจำอยู่ทางด้านล่างก็กล่าวเสียงดังก้อง

          “นี่ต้องเป็นความต้องการสวรรค์ สวรรค์มิยินยอมรับเซียวไป๋ มิยอมรับบุรุษเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ขอฝ่าบาทยกเลิกการแต่งตั้งเซียวไป๋ด้วยพะยะค่ะ”

          ทันทีที่ถ้อยคำของเสนาบดีกรมคลังจบลง ก็คล้ายเกิดเป็นพายุโหม ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพร้อมใจกันคุกเข่า เว้นเพียงคนตระกูลเซียว และกลุ่มคนของจักรพรรดิหนุ่มไม่กี่คน

          “ขอฝ่าบาท ยกเลิกการแต่งตั้งเซียวไป๋ด้วยพะยะค่ะ”

          “พวกเจ้า!” ดูก็รู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง ซวนหยวนหมิงไท่โกรธจนตัวสั่น กระทั่งไป๋เซ่อกระชับมือเขาคราหนึ่ง ตาจึงหลับตาข่มโทสะไว้ภายใน สมองครุ่นคิดแล้วตัดสินใจว่ายามนี้ควรถอยหลังเพื่อเปลี่ยนมาตั้งหลักแทน

          ขณะกำลังจะเอ่ยปากพักพิธี เมฆทะมึนกลุ่มหนึ่งกลับลอยตัวเหนือสถานที่เกิดไฟไหม้ แลไม่ทันไรห่าฝนก็ตกกระหน่ำอยู่เพียงบริเวณเดียว ส่งผลให้ผู้คนอ้าปากค้างมองเม็ดฝนเหล่านี้อย่างอัศจรรย์ใจ

          เปลวเพลิงเผาผลาญไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ดับลง เมฆหมอกบนฟากฟ้าเริ่มกระจายตัวออก เผยแสงตะวันส่องสว่างจ้าหลังฝนตก หากแต่ทว่าเรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อจู่ๆขันทีตาดีผู้หนึ่งตะโกนขึ้น

          “มังกร มังกรบนฟ้า” เป็นหัวหน้าขันทีลู่ หรือเสี่ยวลู่ร่ำร้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ทำให้คนในงานพิธีทั้งหลายต้องแหงนหน้าขึ้นตาม

          ฟากฟ้าสีครามปรากฏร่างยาวสีดำเกร็ดเงางามเลื้อยขดไปมาหลังเมฆหมอกสีขาว แม้มิได้เห็นรูปร่างมังกรสวรรค์ทั้งหมด ทว่าความน่าเกรงขามสูงส่งก็ยังส่งผ่านให้ผู้มองต้องคุกเข่าโขกศีรษะกราบไหว้

          “เม็ดฝนดับเภทภัย มังกรดำเผยโฉม ส่งเสริมบารมีเจ้าแผ่นดิน” ต้าเซียนเอ่ยลอยๆ หากแต่บันดาลให้ผู้ฟังคล้อยตาม

          ด้านเซียวถิงฟงก็ไม่พลาดที่จะกล่าวเสริม “เห็นได้ชัดว่าสวรรค์ยินยอม อวยพรให้พระสนมเซียวไป๋ขึ้นเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดิน”

          “ใช่แล้ว ขอฮองเฮา ทรงพระเจริญพันปี พันปีๆ”

          เพียงเท่านี้ก็หามีใครกล้าทัดทานอีก ต่างหมดข้อโต้แย้ง ประสานเสียงคำถวายพระพรแต่โดยดี “ขอฮองเฮา ทรงพระเจริญพันปี พันปีๆ”

          ร่างในชุดหงส์ฟ้าฟังแล้วก็อดขนลุกซู่มิได้ แต่ถึงอย่างไรประโยคสนับสนุนช่วงท้าย คลับคล้ายว่าเป็นน้ำเสียงของเสิ่นอันหวาง คนผู้นี้ยังคงไหลลื่นตามสถานการณ์ได้ดีจริงๆ ไป๋เซ่อยิ้มอย่างซาบซึ้งแล้วทอดมองไปยังท้องนภา จากนั้นลอบส่งเสียงดุเบาๆ “หงเว่ย เจ้ามาสาย”

          เดิมทีคิดให้ร่างแกร่งปรากฏตัวระหว่างเขาแสดงตัวแก่เหล่าขุนนาง จะได้ดูอลังการสูงส่งเสียหน่อย หากแต่อีกฝ่ายกลับมาสายเสียได้

          ...เอ ว่าแต่ทำไมจู่ๆฝนจึงตกได้จังหวะนักนะ ไป๋เซ่อเอียงคอครุ่นคิดสงสัย หาได้รู้ว่าเทพเซียนทั้งหลายบนพิภพสวรรค์ พร้อมผู้อาวุโสเทพทั้งสามต่างระบายลมหายใจโล่งอกให้กับพิธีถามฟ้าที่พึ่งสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

          มองดูผิวเผินเทพเซียนเหล่านี้คล้ายรวมตัวกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้งูเผือกตัวน้อย หากแต่ที่จริงแล้วสำหรับพวกเขา...

          “โอ๊ย เปลี่ยนแผนการกะทันหันเช่นนี้ ข้าเกือบส่งเมฆฝนไปไม่ทันการณ์แล้ว”

          “ท่านทำดีมาก เทพสายฝน หยี่ซือ”

          สิ้นเสียงคำกล่าวชมก็พลันมีเสียงเฮดังกึกก้องไปทั่วดินแดนสวรรค์

          “เฮ พวกเราจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกสักพักแล้ว”
         
          ...กลับเป็นการพร้อมใจกันส่งเผือกร้อนลวกมือให้ผู้อื่นต่างหาก


 

**********************************************************

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 23.2 พิธีถามฟ้า

 

            ณ ตำหนักหลินเต๋อ งานเลี้ยงสุราอาหารพระราชทานในช่วงเย็นมีขึ้นหลังคณะทูตจากแคว้นต่างๆ ซึ่งพำนักอยู่ในเมืองหลวงเข้าเฝ้าแสดงความยินดี พร้อมถวายเครื่องราชบรรณาการอีกขบวนใหญ่ แม้แต่ละแคว้นจักมิได้มีตัวแทนราชนิกุลสักเท่าใด เนื่องจากพิธีจัดขึ้นกะทันหัน แต่กระนั้นก็มิอาจลดทอนความยิ่งใหญ่ของแคว้นซวนหยวนลงน้อยไปได้

          ขณะนี้บรรยากาศในงานเริ่มครึกครื้นไปด้วยเสียงดนตรี เหล่านางรำร่ายรำเป็นจังหวะ ซวนหยวนหมิงไท่กับไป๋เซ่อชมดูความรื่นเริงตรงที่นั่งยกสูงด้านในสุดของห้องโถง ถัดลงมาเป็นที่นั่งของพระชายาทั้งสอง ชั้นล่างสุดซ้ายขวาเป็นที่นั่งของขุนนาง พ่อค้าคนสำคัญ และคณะทูตต่างๆ

          กระทั่งการแสดงระบำอาภรณ์ขนนกจบลง เรียกเสียงตบมือไปชุดใหญ่ นางรำชุดเก่าถอยร่นออกไปแทนที่ด้วยนางรำชุดใหม่ก้าวเข้ามา บุรุษร่างกายสูงใหญ่ แขนขาเก้งก้าง แต่งกายด้วยชุดหนาทำจากขนสัตว์กลับลุกขึ้นประสานมือค้อมตัวชิงกล่าว

          “ฝ่าบาท ข้าน้อยราชทูตจากแคว้นหวู่ มีการแสดงแปลกตาชุดหนึ่งต้องการให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตร รับรองว่าเป็นที่ถูกพระทัย”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียว อารมณ์เพลิดเพลินทำให้เขายิ้มกล่าว “โอ้ จริงหรือ หากทำให้เราเบิกบานได้ เราจะตบรางวัลให้แคว้นหวู่อย่างงาม”

          ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของราชทูตแคว้นหวู่ก็ดีใจไม่น้อย รีบตบมือส่งสัญญาณให้บุรุษร่างท้วมหนวดเครารุงรัง ศีรษะโพกผ้าหนา สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวแปลกตา เอวคล้องตะกร้าสานและเครื่องเป่าไม่เชิงเป็นขลุ่ยทีเดียว พร้อมกับสตรีอีกสามนางในชุดมิดชิดปิดบังใบหน้า เหลือไว้เพียงดวงตาสีฟ้าลึกลับน่าค้นหา ก้าวออกมาท่ามกลางความสนใจของผู้คน

          คนเหล่านี้หยุดตัวลงกลางห้องโถง ก่อนยกมือหนึ่งแนบหน้าอก ค้อมตัวเล็กน้อย เป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าชีวิต จากนั้นบุรุษร่างท้วมก็นั่งลงวางตะกร้าสาน คว้าเครื่องเป่าประจำกายขึ้นจรดริมฝีปากทันที สตรีทางด้านหลังเองก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้า แต่ละคนเผยชุดระบำรัดรูป โชว์หน้าท้องขาว แลความงามเย้ายวนส่งผลให้ทุกคนจ้องตาไม่กะพริบ

          ต่อจากนั้นท่วงทำนองแปลกๆก็ดังออกมา ปลุกเจ้างูตัวสีน้ำตาลอ่อนที่นอนนิ่งในตะกร้าต้องผงกศีรษะ ชูลำตัวยาวแล้วยักย้ายตัวคลอจังหวะไปมา ทั้งนี้ท่วงท่าของนางระบำเองก็เร่าร้อนยั่วยวน สะโพกงามบิดไปมา ข้อเท้าเรียวเล็กๆเคาะกับพื้นเป็นจังหวะ ล้วนทำให้ผู้คนต้องลอบกลืนน้ำลาย อากาศในห้องโถงร้อนขึ้นต่อเนื่อง

          ผิดแผกกับซวนหยวนหมิงไท่ที่ชมดูระบำชุดนี้แล้วอมยิ้มขบขัน สายตาของเขาหาได้หยุดที่ตัวนางระบำ ทว่าเป็นเจ้างูน้อยที่เต้นดุ๊กดิ๊กในตะกร้าสานต่างหาก ดูจากท่าทางมันแล้ว ทำให้อดนึกถึงงูเผือกขี้โมโหซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต้นระบำอย่างออกรสต่อหน้าชาวบ้านกลางตลาดมิได้

          จักรพรรดิหนุ่มเหม่อลอยไปครู่ใหญ่ สักพักจึงสังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวผิดปกติ นางระบำบิดเอวหมุนตัวไปมาอย่างเร่งจังหวะ คลับคล้ายกำลังต่อสู้กับผู้ใดอยู่ ทางด้านนักดนตรีเองก็ปรับระดับการเป่าให้ทวีความดุเดือด เพียงดูสีหน้าก็รู้ว่าแทบขาดอากาศหายใจ ยังมีสายตาอันตกตะลึงของแขกเหรื่อ ต่างพุ่งตรงมายังจุดเดียวกันอย่างสมานสามัคคี

          ไม่จริงน่า อย่าบอกนะว่า... ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่เลิกกว้าง แม้แต่เหงื่อยังไหลกลิ้งตามหน้าผาก ก่อนจะค่อยๆเหล่มองไปยังคนใกล้ตัวอย่างหวาดๆ ใจไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิด

          “โฮ ซวนหยวนหมิงไท่ ช่วยข้าด้วยยย”

          ...ทว่ามันเป็นไปแล้ว ร่างเล็กร่ำร้องน้ำตาซึมพลางเต้นระบำเข้าทำนองอย่างมิมีตกหล่น เอวบิดพลิ้วไปมาบ้าคลั่ง ขนาดที่เขาเห็นแล้วยังต้องผงะ สติถูกดึงดูดไปกับท่วงท่าอันน่าตกตะลึงพรึงเพริดไปเรียบร้อยแล้ว

          “เจ้าโง่ จะดูอีกนานไหม หาทางช่วยข้าเร็วสิ”

          “วะ ฮ่ะ ฮ่า ต้าเซียนเจ้าดูสิ เขามีความสามารถเช่นนี้ด้วย”

          ครั้นเสียงระเบิดหัวเราะกึกก้องไม่ไว้หน้าของเซียวถิงฟงดังขึ้น ก็ปลุกซวนหยวนหมิงไท่ให้ได้สติขึ้นมา กระนั้นก็ยังคงลนลานทำอะไรไม่ถูก ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจรวบร่างงูเผือกน้อยขึ้นพาดบ่า จากนั้นแสร้งทำกระแอมกระไอกล่าวเสียงขรึมท่ามกลางสายตานับร้อยคู่

          “วันนี้เรากับฮองเฮาเหนื่อยแล้ว เชิญทุกท่านตามสบาย” กล่าวจบก็รีบใช้กำลังภายในทะยานตัวพาคนออกจากห้องโถง ตรงไปที่ตำหนักเฉียนชิงโดยมีเสียงร้องโหยหวนของไป๋เซ่อดังไปตลอดทาง

          “โฮ ป่นปี้หมดแล้ว ภาพลักษณ์ฮองเฮาผู้สูงส่งของข้า”


 

**********************************************************

               

          ประตูห้องเปิดผางด้วยแรงถีบจากฝีเท้าข้างหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ตรงเข้าไปด้านในห้องซึ่งจุดเทียนส่องสว่างอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งมาถึงเตียงนอนกว้างก็จัดแจงวางร่างเล็กอย่างเบามือ ครั้นเจ้าตัวเป็นอิสระก็ยันตัวขึ้นมานั่งกอดเข่าเบะปาก

          ความจริงตั้งแต่เจ้าหนวดรุงรังผู้นั้นเป่าเครื่องดนตรีประหลาด เขาก็มิอาจควบคุมร่างกายตนเองได้อีก รู้เพียงเลือดในกายพลุ่งพล่าน หากมิขยับตัวจะรู้สึกไม่สบายยิ่ง ซึ่งกว่าจะรู้ตัวตนก็เต้นระบำไม่หยุด นึกถึงสายตาผู้คนในยามนั้น ไป๋เซ่อก็หน้าแดงโพล่งกล่าวออกมา

          “ช่างน่าอับอาย น่าอับอายยิ่ง”

          “จุ๊ยๆ เด็กดีอย่าคิดมาก หากใครพูดถึงเรื่องนี้ ข้าจะลงโทษมันให้เอง” เขาลูบศีรษะน้อยๆเป็นการปลอบ ทว่าไป๋เซ่อกลับช้อนสายตาซึ่งคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำแล้วเอ่ยเสียงสั่น

          “แต่คนแซ่เซียวนั่นหัวเราะเยาะข้า”

          ท่าทีออดอ้อนนั้นทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ใจเต้นรัว พลันกล่าวเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ไม่มีละเว้น” ถือเป็นคราวซวยของเจ้าเองนะ เซียวถิงฟง “มาเถอะ ให้ข้าช่วยถอดเฟิ่งกวาน เจ้าจะได้สบายตัวขึ้น”

          ชายหนุ่มยิ้มกล่าวพลางหยิกแก้มนุ่มเบาๆ ยังผลให้ไป๋เซ่อสะดุดกึกมองอีกฝ่ายตาปริบๆ ปล่อยให้นิ้วเรียวปลดกวานบนศีรษะแต่โดยดี ระหว่างนั้นก็แอบสูดดมกลิ่นกายอบอุ่นของอีกฝ่ายลึกๆ

          วางเฟิ่งกวานลงบนโต๊ะแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็ถอดมาลาม่านมุขสิบสองสายของตนลงบ้าง แต่ครั้นหันหน้ากลับไปหาคนบนเตียงก็ต้องเป็นอันนิ่งงันไป เส้นผมสีเทาสลวยกำลังถูกร่างเล็กใช้นิ้วสางออกมา แสงสลัวที่ทอผ่านดวงตาสีฟ้าอมเขียวขับดันให้เจ้าตัวดูยั่วเย้ายิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้เขาหลุดกล่าวหยอก

          “ไป๋เซ่อ เจ้ารู้ไหมว่าเข้าหอคืออะไร”

          “........”

          บังเกิดเป็นเสียงเงียบอึดใจใหญ่ ไป๋เซ่อประสานสายตากับร่างสูงแล้วจึงยิ้มแฉ่งกล่าว “ก็กินเต้าหู้เจ้าไง” พร้อมกันนั้นก็กระโจนตัวเข้าล็อกคอจนอีกฝ่ายล้มลงบนเตียง จากนั้นรีบขึ้นคร่อมร่างดังกล่าว ลั่นวาจา “คืนนี้ต้องเป็นข้าเอาเปรียบเจ้า กินเต้าหู้เจ้า”

          “ตามใจเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่ถูกกดให้อยู่ใต้ร่าง กลับนอนยิ้มกริ่มดูงูน้อยแสยะยิ้มกระชากเสื้อเขาจนผิวกายเปิดโล่งสู่สายตา

          อา ซ่อนรูปจริงๆ... มองดูกล้ามเนื้อแน่นขนัด ไป๋เซ่อก็ตาเป็นประกาย ส่งมือเข้าไปลูบไล้หน้าท้องชายหนุ่มอย่างคนน่าไม่อาย ทว่าลูบไปมาพักหนึ่งก็ต้องเอียงคอสงสัย

          ...เอ มันออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย แล้วจะทำอย่างไรต่อดี

          “เป็นไรไป ทำไม่ถูกแล้ว?”

          “เฮอะ เจ้าเป็นพยาธิในท้องข้ารึไง จึงได้รู้ดีเช่นนี้”

          ร่างเล็กสบถกล่าวอย่างเสียอารมณ์ ให้เขาต้องหัวเราะน้อยๆ ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มา เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้า อันดับแรกเลย...” ว่าแล้วก็กระดิกนิ้วให้คนทางด้านบน

          เห็นดังนั้นไป๋เซ่อก็ก้มลงตามอย่างสงสัย แต่ทันใดนั้นต้นคอก็ถูกรั้งลงไป ริมฝีปากพลันแนบสนิทกับของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งตัว “อื้อๆ”

          เป็นเพราะจุมพิตออกจะกะทันหัน ร่างเล็กจึงตกใจเผลอขบริมฝีปากอีกฝ่ายจนได้รสเลือด ครู่หนึ่งซวนหยวนหมิงไท่จึงปละปล่อยต้นคอระหง ทว่าสายตายังคงติดตรึงใบหน้าของงูเผือกน้อยไม่ไปไหน

          ด้านไป๋เซ่อทาบทับกายอบอุ่น มองดูชายหนุ่มเลียโลหิตตรงมุมปาก พลันรู้สึกว่าคนตรงหน้าซุกซ่อนเสน่ห์อันร้ายกาจเอาไว้ ทั้งยังมีความสามารถฉุดรั้งให้เขาเผลอก้มหน้าประทับปากนุ่มไปอีกที

          ซวนหยวนหมิงไท่คาดไม่ถึงว่าไป๋เซ่อจะเริ่มสัมผัสเขาก่อน แต่กระนั้นก็ตอบรับจุมพิตนั้นทันที มอบความอ่อนโยนผ่านทางปลายลิ้น ให้ไป๋เซ่อดื่มด่ำไปกับรสหวาน

          ขณะที่สมองกลับกลายว่างเปล่า หัวใจหลอมละลาย อุณหภูมิในกายขึ้นสูง ตัวกลับถูกพลิกลงจนแผ่นหลังแนบกับเตียง จากนั้นมืออบอุ่นก็สอดเข้ามา ดึงร่างขาวเย็นของเขาให้ออกจากชุดหรูหราเก้าชั้นในคราเดียว แลด้วยสองแขนไร้การยึดเหนี่ยว ทำให้ไป๋เซ่อต้องโอบรอบคอชายหนุ่มไว้

          ถึงตอนนี้ซวนหยวนหมิงไท่จึงถอนริมฝีปาก มือไล้ผ่านร่างนวลเนียนอย่างหลงใหล ใบหน้าหันไปคลอเคลียริมใบหูน้อยแทน

          “ต้องขอบคุณเจ้า...ที่ถอดเสื้อให้”

          “หือ” ไป๋เซ่อที่กำลังเผลอไผลไปกับแรงปรารถนาถึงกับต้องลืมตาขึ้นพรึ่บ แล้วจึงสังเกตเห็นผิวกายส่วนบนของตนเปลือยเปล่า ช่วงล่างมีแต่ผ้าปกปิดไว้หมิ่นเหม่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ แต่ครั้นแหงนหน้ามองคนด้านบน

          อ๊ากกก...เขากลับโล่งโจ้งไปหมดแล้ว

          “ทะ ทำไมเจ้าไม่ใส่เสื้อผ้า”

          “เด็กดี ตกใจไปไย ก่อนหน้านี้มิใช่เจ้ากระชากออกเองกับมือหรอกหรือ ฮึ ฮึ” เขาหยอกเย้าร่างข้างใต้ ทั้งส่งปลายนิ้วเข้าไล้ดวงหน้างาม

          “ล่ะ แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ด้านบน ไหนบอกจะสอนข้าไง” ไป๋เซ่อเอ่ยตะกุกตะกักหน้าตาแตกตื่น

          ฝ่ายร่างสูงอุทานดังอาคล้ายพึ่งนึกขึ้นได้ “นี่เป็นเพราะบางขั้นตอนต้องกระทำให้เจ้าดูก่อน จึงจะเข้าใจ”

          “มีขั้นตอนเช่นนั้นด้วย” ครานี้ไป๋เซ่อขึ้นเสียงสูงอย่างใคร่รู้

          “ย่อมต้องมีแน่นอน” ซวนหยวนหมิงไท่เน้นย้ำจริงจัง ก่อนกล่าวอีกสักประโยค “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะทำให้เบามือที่สุด”

          “หา” ร่างเล็กหลุดเสียงงุนงง ฉับพลันนั้นริมฝีปากก็ถูกครอบครองอีกหน ผิวเนียนถูกลูบไล้ ความร้อนวูบวาบแล่นปราดไปทั่วร่างกายเย็นเฉียบ ผ่านไปครู่หนึ่งไป๋เซ่อก็ต้องกระสับกระส่าย ด้วยถูกทรมานจากสัมผัสอ่อนหวาน ให้นิ้วต้องขยุ้มลงบนศีรษะที่กำลังซุกไซ้ตรงซอกคอ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเลื่อยลอยแยกไม่ออกว่า ภาพตรงหน้าเป็นจริงหรือฝัน

          ไม่นานเอวก็ถูกรั้งไว้บนตักชายหนุ่ม กลิ่นน้ำมันหอมพลันกระจายตัวในอากาศ แลครู่ต่อมาบางสิ่งก็แทรกตัวเข้ามาด้านใน งูน้อยถึงกับสูดหายใจลึกพร้อมกับเกร็งตัวไปชั่วขณะ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบรับเขาเข้าไปในอ้อมอกอุ่น ส่งเสียงที่ราวกับผู้ใหญ่ปลอบเด็กน้อย มือลูบแผ่นหลังเขาอย่างทะนุถนอม

          “เด็กดี ไม่เกร็งนะ หากไม่ไหวจริงๆ ข้าจะหยุดมือ”

          เสียงดังกล่าวปลอบประโลมเขาที่ตื่นตระหนกให้สงบลง กายที่แข็งทื่อพลันค่อยๆโอนอ่อนขึ้น ถึงตอนนี้ร่างสูงจึงขยับตัวช้าๆ น่าแปลกที่ความเจ็บเมื่อครู่กลับมลายหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเร่าร้อนที่มิอาจทนไหว สองขาเรียวเกี่ยวกระหวัดรัดตัวซวนหยวนหมิงไท่โดยไม่รู้ตัว

          ยิ่งนานลมหายใจก็ยิ่งหอบกระชั้น เสียงหวานหลุดจากลำคอเป็นระยะ ครั้นเห็นใบหน้าทรมานไม่แตกต่างกัน จู่ๆในอกก็เกิดเป็นความยินดี ไป๋เซ่อกอดชายหนุ่มไว้แน่น คลับคล้ายว่าไม่ต้องการไปจากอ้อมอกนี้อีก

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่มองร่างเล็กซุกตัวในกายตน ก็ก้มหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากชุ่มเหงื่อ จังหวะการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเร็วขึ้น ก่อนทะยานขึ้นจุดสูงสุดแล้วจึงหยุดลง

          เขาทาบทับไป๋เซ่อที่ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน บัดนี้ร่างเล็กมิได้เย็นเฉียบอีกต่อไป หากแต่ตัวร้อนผะผ่าวด้วยอุณหภูมิในกายตน เขาพลิกตัวลงนอนด้านข้าง เกลี่ยเส้นสีเทาซึ่งปรกบนดวงหน้าอีกฝ่าย จากนั้นจึงวางใจหลับตาลง

          สุดท้ายนี้เพียงชั่วข้ามคืน เต้าหู้ขาวอย่างเขาก็ถูกจักรพรรดิปลิ้นปล้อนกลืนลงท้องไม่เหลือชิ้นดี ไป๋เซ่อตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ก็ต่อเมื่อรุ่งสางของเช้าวันถัดมา

          “อ่ะ โอ้ย เอวข้า ปวดแทบตายแล้ว” ร่างเล็กร้องลั่น คล้ายตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ครั้นเหลือบไปเห็นคนที่หลับเป็นตายหน้าตาอิ่มเอิบสบายใจตรงข้างกาย ก็ต้องเปล่งเสียง “ข้าขอสู้ตาย ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าอยู่เลย”

          “อ๊ากกก ผมข้า อย่าดึงผมข้า”

 

          ทว่าหากบอกมังกรหนุ่มตื่นมาก็พบกับโชคร้ายอยู่เพียงคนเดียวก็นับว่าไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะยังมีคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวรอรับความซวยอยู่ที่บ้าน ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มเหี้ยมพร้อมกับนวดหนังศีรษะที่ถูกดึงจนชายิบในห้องทรงพระอักษรเพียงลำพัง

          อีกด้านหนึ่งเสี่ยวลู่นำขบวนขันทีพร้อมองครักษ์จำนวนหนึ่งไปยังจวนตระกูลเซียว เอ่ยเนื้อความในราชโองการให้คนในตระกูลได้รับฟัง

          “เนื่องจากในงานเลี้ยงพระราชทาน แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงได้แสดงพฤติการณ์มิสำรวมต่อหน้าพระพักตร์ ฝ่าบาทจึงรับสั่งให้ตัดเบี้ยเลี้ยงสามเดือนหลังจากนี้ไป จบราชโองการ”

          ร่างในชุดเกราะดำฟังแล้วถึงกับตัวสั่น รอจนขบวนขันทีหันหลังจากไปก็ส่งเสียงคำรามลั่น

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามัน ฿¥&#!$%?#%€&!!#$%&?!$%W”

          ทว่าก่อนที่เซียวถิงฟงจะสบถคำพูดอันสมควรโดนลากไปบั่นศีรษะ ต้าเซียนที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็พลันใช้เวทย์ดูดเสียง จากนั้นเดินกลับเข้าไปดื่มน้ำเต้าหู้กับเด็กน้อยเฟยเทียนอย่างสบายอกสบายใจ ปล่อยให้แม่ทัพผู้องอาจต้องอ้าปากพะงาบๆอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม

 

[1] ดอกฝูหรง คือ ดอกพุดตาน

[2] ดอกจื่อเถิง คือ ดอกวิสเทอเรีย

[3] เฟิ่งกวาน คือ มงกุฎหงส์

[4] พระชายาชั้นหนึ่ง ในที่นี้จะแบ่งเป็นสี่ตำแหน่ง โดยผู้ที่มีศักดิ์สูงสุดคือ กุ้ยเฟย รองลงมาคือ ซูเฟย เต๋อเฟย และเสียนเฟย ตามลำดับ

 

***เพิ่มเติมเกร็ดความรู้ : การที่นักดนตรีเป่าปี่เเล้วงูออกมาเต้นระบำเป็นจังหวะ ความจริงเเล้วไม่ได้เป็นผลมาจากเสียงปี่ เเต่เพราะงูเหล่านี้ไวต่อเสียงเเรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินหรอกจ้า เลยทำให้พวกมันต้องลุกขึ้นมาจับจ้องนักเป่าแล้วออกเสต็ปตาม ซึ่งนักดนตรีจะมีการเคาะฝีเท้าเป็นจังหวะ หรือไม่ก็ตีตระกร้าไปด้วย

 

**********************************************************


          เนื้อหาบทนี้บรรยายค่อนข้างเยอะหน่อยน้า เนื้อหาช่วงหลังอาจไม่ถึงกับ NC อะไรมาก คือเราอยากเขียนเเบบไม่หวือหวาจนเกินไป หากไม่ถูกใจบ้างก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยจ้า

 : 222222:

ออฟไลน์ yeelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
 :laugh: :m20: สมน้ำหน้าเซียวถิงฟง ที่จริงฮีก็น่ารักอยู่น้า ภาคนี้โผล่มาเป็นตัวประกอบก็ยังน่ารักอยู่ดี
ในที่สุดเขาก็ได้กันล้าวววววว อ่านตั้งแต่ภาคที่แล้ว เอาจริงๆไม่คิดเลยว่าไป๋เซ่อ กะซวนหยวนหมิงไท่จะคู่กัน แต่มันก็มาถึงจุดๆนี้จนได้  :hao7:

 เอาจริงๆแอบโชคดีนะที่ฮองเฮาเป็นไปเซ่อ คือคิดว่ารับมือสองนางนั่นได้ เพราะแสบได้ใจ ถ้าเป็นเยว่เซียงอาจจะได้มีกุมขมับลุ้นกันหน่อย

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 24.1 ลิขิตชะตา

 

          ดวงดาวระยิบระยับเหนือฟากฟ้า ส่องสว่างพื้นพิภพมิให้มืดมิดจนเกินไป ยามนี้ร่างสีขาวในชุดคลุมขนสัตว์ตัวหนาทะยานตัวเข้าไปในป่าไผ่ลึก แทรกผ่านลมหนาวหอบหนึ่งที่กำลังมาเยือนเมืองหลวงฉางอาน

          กระทั่งเห็นร่างโดดเดี่ยวนั่งอยู่ตรงชะง่อนผา ข้างกายมีขวดสุราวางระเกะระกะ บ้างดื่มไปแล้ว บ้างยังคงมิได้ดื่ม เขาจึงลดฝีเท้าลงพลางเดินเข้าไปใกล้ แล้วทอดสายตามองทัศนียภาพเฉกเช่นเดียวกับคนผู้นี้

          “ดื่มไปก็หาได้เมามาย ไยยังต้องดื่ม”

          “ท่านไม่เข้าใจ...ความสูญเสีย” หงเว่ยพึมพำจบก็กรอกป้านสุราในมือต่อ แม้สุราบนโลกมนุษย์หาได้ช่วยให้ตนเมามาย กระนั้นยังคงหวัง...หวังให้มันบรรเทาความเจ็บปวดในอกสักเล็กน้อยก็ยังดี

          ต้าเซียนทอดถอนใจ ความสูญเสียเช่นนี้ไยเขาไม่เคยประสบ แต่ทว่าอย่างน้อยตัวเขายังได้รับกลับมา แม้ต้องเสี่ยงต่อการดับสูญ “หงเว่ย ความจริงพลังในกายเจ้าเทียบเท่าเทพเซียน เหตุใดจึงไม่ละทิ้งกายเดิม ละทิ้งความโศกเศร้า แล้วถือกำเนิดขึ้นในแดนสวรรค์ เริ่มต้นชีวิตใหม่”

          “ท่านมาเพราะเป็นห่วงไป่ไป๋?” หงเว่ยยิ้มขื่น เดิมทีที่เขามิยินยอมละทิ้งกายเดิมขึ้นสู่แดนสวรรค์ ใช้ชีวิตดุจดั่งเทพเซียน ก็เพราะเป็นห่วงพี่น้องในวงศ์วาน มิกล้าปละปล่อยพวกเขาให้เผชิญกับโลกเพียงลำพัง ยิ่งตอนนี้มีไป่ไป๋อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว...เขาก็ยิ่งมิอาจจากไป

          “.......” ต้าเซียนมิได้ตอบคำ แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแฝงแววกังวล

          “ท่านมหาเทพโปรดวางใจ สำหรับข้าแล้วไป่ไป๋สำคัญยิ่งกว่าชีวิต”

          “แม้เขาจะเป็นภรรยาผู้อื่น?” ร่างสูงส่งเลิกคิ้วถาม

          คำพูดนี้เสมือนมีดกรีดแทงหัวใจ หงเว่ยเงียบเสียงไป ทว่ามือกลับกำป้านสุราไว้แน่นยิ่งขึ้น แล้วเค้นเสียงตอบ “ใช่ ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปเช่นไร อยู่ในสถานะใด ข้าก็ยังจะปกป้องเขา”...และยังรักเขา

          “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็วางใจ” อย่างน้อยหากเกิดเรื่องเลวร้ายระหว่างที่ตนไม่อยู่ หงเว่ยผู้นี้ก็คงไม่นิ่งดูดายไป๋เซ่อ ต้าเซียนคิดแล้วยื่นมือออกไป เพียงพริบตาเดียวสุราขวดสีขาวก็ปรากฏในมือ “นี่เป็นสุราหมักจากดอกท้อสวรรค์หมื่นปี อย่างไรคงช่วยได้บ้าง”

          “ขอบคุณท่านมหาเทพ” หงเว่ยรับขวดสุรามาอย่างเซื่องซึม เขาหันกลับไปเหม่อลอยต่อ ดวงตาโศกเศร้าจ้องมองแสงโคมเจิดจ้าจากตัวเมือง สถานที่ที่ร่างน้อยอยู่ หากแต่ที่อยู่เคียงข้างกายเจ้าตัวกับมิใช่ตน

          “เป็นอย่างไรบ้าง เขายินยอมไปยังพิภพสวรรค์รึไม่” หลังจากเห็นคนรักเดินกลับมาเพียงลำพังเซียวถิงฟงก็ถามขึ้น แต่ต้าเซียนกลับยักไหล่

          “พิษรักแรงกว่าที่คิด บางทีเขาอยู่ที่นี่อาจจะเป็นการดีกว่า”

          เซียวถิงฟงฟังแล้วก็มิได้แปลกใจ คล้ายเดาออกแต่แรกว่าผลลัพธ์ต้องออกมาเป็นเช่นนี้ “เฮ้อ ว่าแต่เจ้าต้องไปจริงๆ หรือ”

          “ถิงฟง แม้ข้าจะเป็นภรรยาเจ้า แต่ก็ยังคงเป็นมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ พวกเขาถูกสาปมาหลายร้อยปี ทั้งที่มิได้ทำกระไรผิด สมควรได้รับการปลดปล่อยแล้ว” ร่างน้อยกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

          “เอาเถิด เจ้าต้องรีบกลับมา ข้ากับเฟยเทียนรอเจ้าอยู่ที่บ้าน ต้าเซียน” เซียวถิงฟงสวมกอดร่างน้อยไว้แล้วจุมพิตบนหน้าผากเบาๆ “ส่วนเรื่องทางนี้เจ้ามิต้องกังวลไป หากเกิดเรื่องขึ้นจริงข้าเชื่อว่าพวกเขาจะผ่านมันไปได้”

          “อืม พวกเขาต้องพบกับความสุขแน่” ต้าเซียนหลับตารับสัมผัสอบอุ่น มาตรว่าฟันเฟืองของชะตากรรมได้ขับเคลื่อนแล้ว ทว่าพวกเขากลับมิอาจยุ่งเกี่ยว ทำได้เพียงยืนมองความเป็นไป จนกว่าจะถึงเพลาอันสมควร


 

******************************************************

 

          ช่วงสายที่แสงแดดรำไร อากาศเย็นสบาย ชวนให้ผู้คนออกมารับลม ในเขตพระราชฐานของวังหลวง ปรากฏขบวนขนย้ายข้าวของออกจากตำหนักเฉียนชิงไปยังตำหนักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน

          “อ้าวๆ พวกเจ้าระวังให้มาก ข้าวของเหล่านี้ห้ามมีตำหนิแม้แต่จุดเดียว”

          เสียงตะโกนของขันทีผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนที่ยกย้ายของกันให้วุ่นวาย ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ยิ้มแฉ่ง ตามกฎราชสำนักแล้ว ผู้เป็นฮองเฮาควรได้รับตำหนักที่พำนักของตนเอง ดังนั้นเมื่อผ่านพ้นงานพิธีมาสามวัน เขาก็เหมาเอาเองว่าวันนี้เป็นฤกษ์ดี แล้วจึงถือโอกาสย้ายออกมาเสีย

          ทิ้งกลุ่มนางกำนัลน้อยประจำกายให้ตื่นเต้นไปกับตำหนักใหญ่โตหลังใหม่ ไป๋เซ่อเยื้องย่างเข้าไปสำรวจรอบๆ บริเวณอย่างอารมณ์ดี ครั้นเห็นสมเกียรติฮองเฮาและฐานะของงูเผือกหรือมือขวาของมหาเทพแดนสวรรค์ ใบหน้าเย้ายวนก็เผยอยิ้มกว้างเห็นฟันขาว แต่ไม่ช้าไม่นานมุมปากก็เป็นอันต้องกระตุก เมื่อประโยคหนึ่งลอยทะลุเข้าสู่โสตประสาท

          “หีบเหล่านี้เป็นของฝ่าบาท จงนำไปเก็บไว้ในห้องบรรทมขององค์ฮองเฮา”

          มารดามันเถอะ ไฉนเจ้าลูกเต่าจึงย้ายออกมาด้วย...

          ไป๋เซ่อสบถด่าในใจ ได้แต่ยืนเหลือกตามองหีบสมบัติห้าหกใบใหญ่ โต๊ะตั่งสีทองมิใช่ของตน แลข้าวของตกแต่งเป็นขบวนแถวยาวเหยียดไปจนถึงหน้าประตู ค่อยๆเคลื่อนย้ายเข้ายึดครองตำหนักที่พึ่งเป็นของตนไปหมาดๆ

          “พี่ชายไป๋ พี่ชายไป๋”

          ขณะที่ตกอยู่ในความตะลึงพลันมีเสียงดังขัดจังหวะ เสียงขู่ฟ่อเล็กๆ ทำให้ดวงตาเรียวเกิดประกายความยินดี เขาเพ่งมองไปที่พุ่มไม้ใกล้ๆ ไม่นานนักร่างสีดำยาวก็โผล่ใบหน้าจิ้มลิ้มออกมา

          “หงลิ่ว” ไป๋เซ่อร้องเรียก หากมิใช่เพราะต้องวางมาดขึงขังดั่งผู้เป็นฮองเฮา เขาคงจะกระโดดตะครุบเสี่ยวเฮยตัวน้อยไปแล้ว “หงลิ่ว เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้หงเว่ยบอกว่าเจ้าโดนตีจนก้นลายต้องรักษาตัว ตอนนี้หายดีแล้วรึ?” ร่างเล็กย่อตัวลงดึงร่างนุ่มนิ่มออกจากพุ่มไม้เตี้ยสีเขียว จากนั้นยกขึ้นถูไถกับแก้มตนให้หายคิดถึง

          หงลิ่วถูกลูบคลำจนเกรงว่าภายภาคหน้าจะแต่งมิออก ต้องรีบกล่าว “เอ่อ ก้นข้าหายดีแล้ว แต่มิรู้พี่ใหญ่ไปได้สุราสวรรค์มาจากที่ใด เมื่อคืนเขาเมามายกลับบ้าน บอกว่าท่านแต่งให้กับพี่ชายหมิงแล้ว พอกล่าวจบก็ลักพาตัวข้ามาทันที ทว่าพอมาถึงเมืองหลวงพี่ใหญ่ก็สลบเหมือดไป ข้าเลยถือโอกาสมาเยี่ยมท่านก่อน”

          “หือ จริงหรือ” มิน่าจึงมิได้เห็นหน้าหงเว่ยมาสามวันแล้ว

          “ว่าแต่ท่านแต่งกับพี่ชายหมิงแล้วจริงหรือ? เหตุใดจึงปุบปับเยี่ยงนี้” แม้เดาออกว่าอีกฝ่ายมีใจให้พี่ชายหมิง แต่หงลิ่วก็มิคาดคิดว่าเรื่องราวจะรวดเร็วปานนี้ ตัดโอกาสพี่ใหญ่ไปเสียจนหมด

          “เรื่องนี้เป็นความจริง ส่วนที่ปุบปับนั่นเป็นเพราะ...เอ่อ” เจ้างูน้อยถามขึ้น แต่กลับทำให้เขาหน้าแดง มิกล้าบอกความจริงว่าตนสมัครใจ จึงได้แต่เท้าความถึงต้นสายปลายเหตุแทน

          ไป๋เซ่อเล่าถึงม้วนบันทึกเนื้อคู่ ทั้งยังเล่าถึงตอนเป็นที่ตนเป็นสัตว์เทวะฝึกหัด วันหนึ่งถูกลงโทษไปทำความสะอาด ณ ตำหนักของเฒ่าจันทรา กระทั่งเผลอลบนามของสตรีผู้หนึ่งเข้า ส่งผลให้ชะตาของซวนหยวนหมิงไท่ต้องเปลี่ยนไป

          หงลิ่วรับฟังอย่างตื่นตาตื่นใจ เนื่องเพราะเป็นเรื่องราวบนพิภพสวรรค์ ครั้นอีกฝ่ายเล่าจบก็กระตือรือร้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ฟังจากที่พี่ชายไป๋เล่า คำทำนายกล่าวถึงสตรีทั้งสามที่อาจเป็นเนื้อคู่ของพี่ชายหมิง ถ้าเช่นนั้นพวกนางเป็นใครกัน”

          “หือ” ไป๋เซ่อเงียบไปสักพักจึงเกาศีรษะ “เอ เรื่องนี้...แฮะ แฮะ ข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว” เป็นเพราะมิได้ใส่ใจจึงพานลืมเลือนไปนานแล้ว

          “หา ท่านจำมิได้แล้ว”

          จู่ๆเด็กน้อยก็ถลนตาใส่เขา ราวกับเขาทำอะไรผิดไป

          “พี่ชายไป๋ ท่านออกจะวางใจไปหน่อยกระมัง แม้พี่ชายหมิงจะเลือกท่าน แต่จากบันทึกเจ้าของชะตาต้องพิจารณาเลือกคู่ชะตาจากคนทั้งสาม ซึ่งถ้าหากพวกนางยังมิได้ปรากฏขึ้นมา จะถือเป็นการเลือกได้อย่างไร”

          “อา” ไป๋เซ่ออุทานเบาๆ ด้วยมิเคยคิดละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้มาก่อน

          “หรือต่อให้พวกนางปรากฏตัวขึ้นแล้ว บันทึกนั่นก็มิได้มีกฎตายตัว ห้ามมิให้เจ้าของชะตาปรับเปลี่ยนคู่ชะตาในภายหลัง จะอย่างไรพวกนางก็มีชะตาเป็นว่าที่เนื้อคู่ ย่อมต้องมีอิทธิพลต่อพี่ชายหมิงไม่มากก็น้อย”

          ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาจะบันทึกเนื้อคู่ก็ดี หรือบันทึกชะตาชะตาชีวิตก็ช่าง ล้วนยากแก่การตีความ เนื่องเพราะมีจุดผันผวน บางครั้งชะตาคล้ายลิขิตผู้คน แต่บางคราคล้ายผู้คนลิขิตชะตาขึ้นเอง ดังนั้นบันทึกต่างๆ จึงมิได้บ่งบอกชะตาคนผู้หนึ่งอย่างแน่ชัด

          “แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?”

          “อันหญิงงามเปรียบดั่งงูพิษ ทว่าพวกเราที่เป็นอสรพิษย่อมต้องร้ายกาจกว่า ท่านรีบนึกๆดู พวกนางชื่อแซ่อะไรบ้าง” หงลิ่วทำสีหน้าแข็งขัน อย่างน้อยต้องสกัดพวกนางไว้ มิให้มีโอกาสเข้าใกล้พี่ชายหมิง

          “อะ อืม” ว่าแล้วไป๋เซ่อก็รีบนึก ทว่าจะบอกให้คิดๆตอนนี้ก็ดันคิดไม่ออก จะนั่งคิดนอนคิดก็ไม่ประสบผล จนผ่านพ้นไปกว่าราวครึ่งชั่วยาม เขาก็โพล่งเสียงหงุดหงิด “โอ๊ย ไม่คงไม่คิดมันแล้ว ข้าจะไปพิภพสวรรค์ ไปดูให้รู้กับตา”


 

******************************************************

 

          เขตแดนทางฝั่งบูรพาอันไพศาล แมกไม้เขียวชอุ่ม ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ลมพลิ้วไหวพัดพาเมฆาล่องลอย ฝูงยวนยางแหวกว่ายในลำธารน้ำใส ไม่ว่าจะมองอย่างไรบรรยากาศน่านอนของที่นี่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

          ร่างในชุดสีดำปิดบังใบหน้าเหลียวซ้ายแลขวาคราหนึ่ง ครั้นไม่เห็นผู้ใดก็กระโดดออกไปยังเบื้องหน้าตำหนักใหญ่อันเงียบสงบ แลดวงตากลมโตของเจ้างูน้อยเองก็เบิกกว้าง

          “พี่ชายไป๋ ที่นี่เป็นตำหนักของเฒ่าจันทราจริงๆหรือ” หงลิ่วซึ่งคล้องรอบลำคอคนชุดดำพลันถามน้ำเสียงตื่นเต้น

          “แน่นอน หากข้าเดาไม่ผิดเวลานี้ตาเฒ่าต้องกำลังออกตระเวนตรวจตราชะตาเนื้อคู่บนโลกมนุษย์เป็นแน่” ไป๋เซ่อแสยะยิ้มบอก สองมือรีบผลักประตูบานใหญ่เข้าไป จากนั้นย่องผ่านลานกว้างนั่งเล่นสี่เหลี่ยม ตรงไปยังเรือนด้านใน

          จวบจนประตูสีแดงเปิดออก ห้องสีขาวสะอาดตาเปิดโล่งสู่สายตา บนโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องมีม้วนไม้ไผ่วางกองไว้สูง ร่างเล็กก็แทบถลาเข้าไปคลี่มันออกอ่านอย่างบ้าคลั่ง ด้านหงลิ่วก็แปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มช่วยกันคุ้ยหาจนกระจัดกระจาย

          “ไม่ใช่อันนี้ นี่ก็ไม่ใช่” ม้วนไม้ไผ่ถูกเขาโยนข้ามหัวไปอย่างไม่ไยดี

          “พี่ชายไป๋ หรือจะอยู่ในหีบ”

          รื้อค้นจนเหงื่อเริ่มออก หงลิ่วก็ชี้นิ้วไปยังหีบที่ปิดสนิทอยู่ทางด้านข้าง ไป๋เซ่อผละออกจากม้วนไม้ไผ่ตรงหน้า มุ่งตรงไปยังหีบต้องสงสัยทันที “เฮอะ ถึงกับลั่นกุญแจไว้ ต้องเก็บของสำคัญไว้ในนี้แน่ๆ”

          ร่างเล็กกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนทำการรวบรวมขุมพลังไปที่ปลายนิ้ว ครั้นสะบัดวูบหนึ่ง แม่กุญแจก็ร่วงผล็อยไปนอนแน่นิ่งกับพื้น

          “ยอดเยี่ยมไปเลย พี่ชายไป๋”

          เด็กน้อยชมดูกระบวนท่านี้แล้วจึงปรบมือเปาะแปะ พลอยให้คนถูกชมยืดตัวผึ่งผาย หลังจากพวกเขาเปิดหีบก็พบว่าด้านในอัดแน่นไปด้วยม้วนชะตา ไป๋เซ่อคว้าม้วนอันบนสุดแกะออกอ่าน ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงโพล่งน้ำเสียงดีใจ

          “นี่เป็นม้วนชะตาของพวกเชื้อพระวงศ์ หงลิ่วเรามาถูกทางแล้ว มันต้องอยู่ในหีบนี้แน่ๆ”

          เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ต่างก็ตาเป็นประกาย ร่วมมือกันค้นหาสิ่งที่ต้องการมือเป็นระวิง ระหว่างนั้นกลับมิได้มีใครสังเกตเห็นนกเป็ดน้ำสามสี่ตัวเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในตำหนัก

          ทว่าเมื่ออ่านไปอ่านมาราวเกือบครึ่งชั่วยาม ไฟอันมุ่งมั่นของทั้งสองกลับค่อยๆหดหายไป แทนที่ด้วยการสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น

          ยามนี้ไป๋เซ่อกึ่งนั่งกึ่งนอนเท้าแขนบนหีบที่เปิดอ้า กระนั้นภายในหาได้มีม้วนชะตาลดลงไปสักเท่าไหร่ สักพักปากจึงพร่ำบ่น “เจ้าครองแคว้นเฉินนี่โง่จริง รักคนผู้หนึ่งกลับปากแข็งแต่งกับอีกผู้หนึ่ง ช่างคล้ายเจ้าคนงี่เง่าแซ่เซียวยิ่ง”

          “เฮอะ เจ้าครองแคว้นหลัว รักนางไฉนจึงปล่อยให้นางอยู่อย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็นกันเล่า” หงลิ่วนั่งแผ่กับพื้นเองก็กล่าวอย่างมีอารมณ์ สองมือน้อยๆยังโยนม้วนบันทึกทิ้งอย่างไม่พอใจ ครั้นเอี้ยวตัวจะคว้าม้วนอันใหม่ มาตอนนี้จึงได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติรอบๆตัว “เหตุใดนกยวนยางจึงเข้ามาที่นี่ได้”

          ไป๋เซ่อเงยหน้าขึ้นมองนกเป็ดน้ำฝูงเล็กๆในห้อง “สงสัยก่อนเข้ามาข้าลืมปิดประตูใหญ่” เขาตอบน้ำเสียงราบเรียบแล้วจึงหันกลับไปง่วนกับบันทึกในมือต่อ

          “.....” ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอันใด หงลิ่วก็ไม่ใส่ใจบ้าง

 

          แคว่ก แคว่ก

          กระทั่งผ่านพ้นไประยะหนึ่ง กลับเริ่มมีเสียงเป็ดน้ำร้องกันวุ่นวาย หงลิ่วขมวดคิ้วละสายตาจากม้วนไม้ไผ่ก็เป็นอันต้องสะดุ้งตัว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระแสธารยวนยางหลั่งไหลเข้ามามิหยุดหย่อน แปรสภาพห้องนี้ให้กลายเป็นดั่งเล้าเป็ด ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็พบเห็นแต่ก้นอุ้ยอ้าย

          ดวงตากลมโตจ้องมองนกเป็ดน้ำตัวน้อยใกล้ตัวก็รีบเอ่ยขึ้น “พี่ชายไป๋ ยวนยางพวกนี้ออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว”

          “หงลิ่ว นี่เป็นเพราะเฒ่าจันทราเป็นตาแก่ขี้เหงา วันๆได้แต่เลี้ยงยวนยางนับหมื่นคู่ไว้เป็นเพื่อน มิผิดปกติที่มันจะมีมากขนาดนี้” ไป๋เซ่อตอบอย่างไม่ยี่หระ

          “แต่พี่ชายไป๋ ข้าว่าพวกมันออกจะแปลกๆ” หงลิ่วแย้ง เขาเชื่อมั่นในประสบการณ์เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ให้กับหงอู่ “ท่านดูดวงตาของพวกมันสิ คล้ายพวกมันมิยินยอมให้พวกเราแตะต้องของพวกนี้”

          “อย่าได้สนใจพวกมัน รีบหาม้วนบันทึกเล่มนั้นก่อนเถอะ” ฟังแล้วไป๋เซ่อก็โยนม้วนบันทึกในมือทิ้ง ราวกับพึ่งนึกถึงจุดประสงค์การมาได้ ครั้นยื่นมือลงหีบ กระทั่งปลายนิ้วแตะโดนม้วนไม้ไผ่อันใหม่ เสียงร้องประสานอันแสบแก้วหูกลับพลันดังขึ้น แทบทำให้พวกเขายกมือปิดหูมิทัน

          “ข้าว่าตอนนี้พวกมันดูเหมือนโกรธอะไรมาสักอย่าง” หงลิ่วเอ่ยท่ามกลางฝูงยวนยางที่จ้องมองพวกเขาตาขวาง ทั้งยังแสดงท่าทีข่มขู่ตีปีกพั่บๆ ครานี้เขาเริ่มเดินเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายแล้ว

          ด้านไป๋เซ่อเองก็คล้ายสัมผัสถึงเหงื่อซึมกลางแผ่นหลัง ได้แต่กล่าวปลอบใจงูน้อยและตนเอง “เอ่อ หงลิ่ว เจ้ามิต้องกลัวไป ปกติแล้วยวนยางเป็นสัตว์ละเอียดอ่อน รักสงบ ไม่ทำร้ายคะ...” ใคร

          ทว่าประโยคหลังยังคงกล่าวไม่จบ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็ต้องเบิกตากว้างด้วยอาการตื่นตะลึงสุดขีด เนื่องเพราะยวนยวงนับไม่ถ้วนต่างสยายปีกถาโถมเข้าใส่พวกเขาที่กระโดดกอดกันตัวกลม 

          แลไม่นานก็บังเกิดเป็นเสียงร้องโหยหวนของงูน้อยทั้งสองตัวดังคลอเคลียไปกับเสียงร้องแคว่กๆ ที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ

          “ว๊ากกก”


 

******************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 24.2 ลิขิตชะตา

 

          “เรื่องเพลิงไหม้ในระหว่างพิธีถามฟ้าได้ความถึงไหนแล้ว” ร่างสูงในชุดมังกรถามขึ้นในขณะจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะทรงพระอักษร

          “เรื่องนี้ขันทีผู้ดูแลรับผิดชอบตำหนักแห่งนั้นชิงผูกคอตายไปแล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวจบก็เงียบไป ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วถาม

          “แค่นั้น?”

          “จากสภาพศพ สาเหตุการตายน่าจะมาจากท้ายทอยต้องอาวุธลับขนาดเท่าเข็ม คาดการณ์ดูแล้วขันทีผู้นี้เป็นผู้วางเพลิง หากแต่ถูกคนใช้มาอีกทอดหนึ่ง แลเมื่อกระทำไม่สำเร็จจึงถูกฆ่าปิดปาก จากนั้นจัดฉากว่าเขาผูกคอตายเพื่อชดใช้ความผิด”

          “เฮอะ เห็นทีมีคนเล่นตลกกับข้าจริงๆ” เขาแค่นเสียง

          “จริงสิ เมื่อเจ็ดแปดวันก่อนยังเกิดคดีฆาตกรรมแปลกๆรายหนึ่ง ผู้ตายประกอบอาชีพเป็นนักเล่าเรื่องในเมืองหลวง แต่กลับถูกคนร้ายใช้ดาบยาวสามฉื่อทำร้ายจนเสียชีวิตภายในดาบเดียว จากความลึกของบาดแผล ดูผิวเผินน่าจะเป็นฝีมือคนในยุทธภพ เห็นทีนักเล่าเรื่องผู้นี้คงไปกล่าวล่วงเกินผู้มีฝีมือเข้า ทว่าเรื่องนี้ข้ากลับคิดว่ามันประจวบเหมาะเกินไป ท่านว่าช่วงนั้นมีเรื่องใดอื้อฉาวไปทั่วเมือง”

          “ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ข้าถูกจิ้งจอกเซียวไป๋ยั่วยวนจนหน้ามืดตามัว” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วเผยสีหน้าทะมึน เพียงสองเรื่องนี้ก็เห็นชัดแล้วว่ามีจุดร่วมเดียวกัน “สืบหาเบาะแสต่อไป หากพวกเขายังคงมุ่งเป้าไปที่ไป๋เซ่อ ก็จงกำจัดซะ”

          แม่ทัพหนุ่มฟังแล้วก็พยักหน้า ถึงขนาดฆ่าคนปิดปาก ผู้อยู่เบื้องหลังย่อมไม่หยุดมือเพียงเท่านี้ “ว่าแต่ท่านได้พบปะพูดคุยกับพระชายาทั้งสองบ้างรึไม่”

          “จู่ๆไยจึงถามถึงพวกนาง?”

          “ไม่มีอันใด จะว่าไปนี่ก็ถึงเวลาออกงานแล้ว ข้ากลับบ้านได้เสียที” จู่ๆเซียวถิงฟงก็เปลี่ยนเรื่อง ทั้งแสร้งทำเป็นยืดตัวแล้วก้าวออกจากห้องไปโดยที่มิได้เอ่ยคำทูลลา

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูสหายสนิทที่นับวันจะลืมเลือนมารยาทก็ต้องส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ จากนั้นหันไปบอกเสี่ยวลู่ “ไปตำหนักฮองเฮา”

          ซึ่งกว่าขบวนเสด็จจะไปถึงตำหนักหมิงเยว่กวงหรือที่พำนักของฮองเฮา ตะวันก็เริ่มเคลื่อนคล้อยตกดินแล้ว ฟากฟ้ายังแปรเปลี่ยนเป็นสีแสด เหมาะแก่การชมบรรยากาศไปพร้อมกับกินมื้อเย็น

          แต่แล้วเมื่อก้าวเท้าไปด้านในเรือนหลักเพียงก้าวเดียว สายตาก็ต้องสะดุดไปยังกลุ่มนางกำนัลพร้อมขันทีที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นสะท้านรออยู่ก่อนแล้ว แลไม่ต้องรอให้พวกเขาอ้าปากเอ่ยทูล เขาก็ต้องร่ำร้องในใจ

          ไป๋เซ่อ หรือเจ้าหายตัวไปอีกแล้ว?

 

          ขณะนี้ใบหน้าหล่อเหลาฉายโทสะ ฝีเท้าได้แต่เดินวนไปเวียนมาในโถงนั่งเล่น ครั้นเหลือบมองท้องฟ้ามืดมิดทางด้านนอก แล้วหันกลับมามองอาหารหลากชนิดบนโต๊ะซึ่งไร้ควันกรุ่นเป็นรอบที่สอง เขาก็ตวาดเสียงดัง

          “เอาอาหารพวกนี้ไปอุ่นมาใหม่”

          เสี่ยวลู่ฟังแล้วก็รีบโบกมือให้นางกำนัลยกเอาอาหารชุดเก่าออกไปอย่างเร่งด่วน ก่อนจะหันไปเอ่ยปลอบเจ้าชีวิต “ฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วไป ไม่แน่ว่าฮองเฮาทรงอาจจะกำลังกลับมาแล้วก็เป็นได้”

          “ช่างเถิด พวกเจ้าออกไปได้ หากมีอะไรข้าจะเรียกใช้เอง” รออยู่นานเขาก็ทรุดลงนั่งเท้าคาง หลับตาถอนหายใจไปเฮือกใหญ่ เสี่ยวลู่เห็นเขานิ่งไปจึงส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ แล้วพากันถอยฉากออกไป

          จวบจนหลงเหลืออยู่เพียงลำพัง ไม่นานก็คล้ายมีลมวูบหนึ่งพัดเข้ามา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าสองคู่ ให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องรีบผุดลุกขึ้น ก่อนจะเห็นร่างเด็กและผู้ใหญ่พลิ้วกายเข้ามาราวกับพายุ

          “ไป๋เซ่อ” เขาร้องเรียก หากแต่ก็ต้องชะงักตกใจ ด้วยผู้มาใหม่ต่างมีสภาพไม่น่าดู ราวกับไปฟัดเหวี่ยงกับผู้ใดมา อาภรณ์บางส่วนฉีกขาด ทรงผมหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง ใบหน้าคลุกฝุ่นคลุกดิน เนื้อตัวมอมแมมไปทั่ว “พวกเจ้าไปไหนมา เหตุใดสภาพจึงเป็นเช่นนี้”

          “......”

          ร่างเล็กไม่ตอบ หากแต่เบะปาก น้ำตาคลอ ทำให้เขาต้องหันไปเค้นกับอีกคนแทน หงลิ่วคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาเขา แต่กระนั้นกลับใช้น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยตอบ ดวงตายังเบิกกว้างเลื่อนลอยพิกลๆ

          “อืม ข้าว่าเพลานี้พี่ใหญ่คงสร่างเมาแล้ว สมควรต้องกลับแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ปล่อยให้เด็กน้อยเดินล่องลอยจากไป แล้วจึงหันไปซักไซ้ไป๋เซ่อต่อ “ไปก่อเรื่องที่ใดมา แล้วแก้มเป็นอันใด ทำไมจึงกุมไม่ปล่อย” นี่เพราะอีกฝ่ายสวมชุดสีดำ เขาได้แต่คาดเดาเช่นนี้

          “.........” ครานี้ไป๋เซ่อรับฟังแล้วก็ต้องทำสีหน้าสะเทือนใจ ทั้งบ่ายหน้าหนีมือที่ยื่นเข้ามา

          “ให้ข้าดูแก้มเจ้าเร็ว” เขาดุเด็กดื้อตรงหน้า สองมือบังคับกุมดวงหน้าเล็กไม่ให้ไปไหน ไป๋เซ่อบ่ายเบี่ยงอยู่พักใหญ่จึงยอมลดมือลง เผยแก้มนุ่มที่เป็นรอยตีนเป็ดสีแดงก่ำประทับอยู่

          “อุก” ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่หยักโค้ง แทบกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ยังผลให้ไป๋เซ่อต้องปล่อยโฮลูกใหญ่

          “โฮ เป็ดน้ำยวนยางช่างน่ากลัวเหลือเกิน”

          ใครจะไปคิดว่าตาเฒ่าจันทราจะลงอาคมไว้ที่แม่กุญแจ พอพวกเขาแตะต้องของที่ต้องการ ฝูงนกยวนยางพวกนั้นจึงรุมทึ้งพวกเขาอย่างไม่ปราณี ทำเอาเขากับหงลิ่ววิ่งหนีกันอุตลุด หัวหกก้นขวิด หน้าตาแตกตื่น เข็ดขยาดกับสัตว์ปีกไปอีกนาน

 

******************************************************

 

          ชายหนุ่มกอดปลอบร่างเล็กที่ร้องโวยวายอยู่สักพัก จากนั้นก็พาไปแช่น้ำอุ่นยังห้องด้านใน ครั้นไป๋เซ่อชำระล้างกายเปลี่ยนใส่เป็นชุดนอน เขาก็พาเจ้าตัวมานั่งที่ข้างเตียง หยิบผ้าสะอาดมาเช็ดผมสีเทาให้ ครั้นเห็นดีแล้วก็บรรจงสางเส้นผมสลวยจากทางด้านหลัง

          ไป๋เซ่อปล่อยให้ร่างสูงจัดการตามใจชอบ ทั้งมิคิดเอ่ยปราม เพราะรู้สึกว่าเจ้าตัวดูมีความสุขที่ได้กระทำเช่นนี้

          “ไป๋เซ่อ เจ้ารู้ไหมว่าคู่สามีภรรยามักจะทำสางผมให้กันเช่นนี้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไปก็ยิ้มไป

          ทว่าร่างเล็กกลับนิ่งเงียบ ด้วยไม่อาจสลัดเรื่องหนึ่งไปจากใจได้ สุดท้ายจึงเอ่ย “ซวนหยวนหมิงไท่ วันหน้าเจ้าจะเปลี่ยนใจไปเลือกผู้อื่นที่ไม่ใช่ข้ารึไม่”

          ฟังน้ำเสียงไม่ร่าเริงของไป๋เซ่อ เขาก็ได้เเต่กล่าวหยอก “หือ ไยจึงถามเช่นนั้น หากมีวันนั้นเจ้าจะยอมหรือ” แม้เจ้าตัวน้อยมิได้บอกว่าไปทำกระไรมา แต่เขาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายมีความในใจ

          “เจ้ากล้าหรือ”

          ไป๋เซ่อแยกเขี้ยวใส่ ทั้งยังหันขวับมาขบกัดไหล่เขาเบา ยังผลให้หัวใจพลันจักกะจี้ขึ้นมา “เด็กดี อย่าได้คิดเหลวไหล ทุกวันนี้เจ้ามิเห็นรึว่าข้าคลั่งเจ้าแค่ไหน ยังจะมีเวลาไหนไปมองคนอื่น”

          “เฮอะ แล้วสตรีที่เป็นพระชายาของเจ้าเล่า พวกนางออกจะงดงาม คนหนึ่งก็อ่อนหวานน่ารัก อีกคนก็สวยราวกับบุปผา”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ยิ้มกว้าง ยิ่งร่างเล็กแสดงท่าทีหึงหวง เขาก็ยิ่งมีความสุข “แต่สำหรับข้า เจ้าเย้ายวนยิ่งกว่าสตรีใด หากให้เปรียบเทียบกัน ข้าว่าพวกนางออกจะจืดชืดเกินไป”

          “ว่าแต่มือเจ้าจับตรงไหน” คุยไปคุยมา ไป๋เซ่อก็ร้องท้วง

          “เอ เจ้ามิได้ปวดตรงนี้หรอกหรือ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้าลงน้ำ ที่บั้นท้ายยังมีรอยเท้ายวนยางอีกข้างหนึ่ง”

          “เพ้ย นับวันจักรพรรดิเช่นเจ้ายิ่งโรคจิต ถึงขนาดแอบดูผู้อื่นอาบน้ำ”

          “จุ๊ยๆ สามีดูภรรยาอาบน้ำจะเรียกโรคจิตได้อย่างไร” เขายิ้มกริ่ม

          “บ้านเจ้าสิ แล้วนี่จะจับก้นข้าอีกนานไหม” ไป๋เซ่อถลึงตาใส่คนน่าไม่อาย ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชักมือกลับ กระนั้นยังคงกล่าวทิ้งท้ายอีกสักประโยคด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

          “ฮึ ฮึ เช่นนั้นข้าจับตรงอื่นก็ได้”

          “จะ...เจ้า อื้อ” ไม่ทันได้ตั้งตัวตนก็ถูกรวบกอด ให้ต้องนอนราบลงไปกับเตียง มาตรว่าตอนแรกเขาจะร้องเสียงดังโวยวาย ทว่าไม่นานนักก็ต้องกลับกลายเป็นส่งเสียงครางหวาน

          มารดามันเถอะ ข้าแต่งให้เจ้ามีแต่ขาดทุนย่อยยับ

 

          ลมหนาวแทรกผ่านต้นไม้จนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว ภายในห้องมืดสลัวกลับมีเพียงแสงเทียนจวนเจียนใกล้จะดับ ร่างอรชรในชุดบางสีขาวนั่งนิ่งอยู่กลางห้องบรรทมเพียงลำพัง สักพักจึงตะโกนบอกนางกำนัลซึ่งยืนด้านนอก

          “มิต้องรอแล้ว ดับเทียนเสีย ข้าจะเข้านอนแล้ว”

          ทันทีที่นางเอ่ยกล่าว นางกำนัลผู้หนึ่งก็เข้ามาจัดแจงเหน็บผ้าห่มให้กับนาง กระนั้นกลับมีแวบหนึ่งที่นางรู้สึกว่านางกำนัลผู้นี้แสดงสีหน้าเห็นใจ อาจเป็นเพราะตั้งแต่นางเข้าวังมากลับมิเคยถูกเจ้าชีวิตเรียกตัวถวายงานรับใช้อย่างใกล้ชิดเลยสักครั้ง แม้แต่จะเสด็จมาเยี่ยมเยียนก็มิเคย ช่างเป็นสามีภรรยาที่เหินห่างกันจริงๆ

          รอจนเทียนดับลง นางกำนัลผู้นั้นกลับออกไป นางหลับตาอยู่ครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงหน้าต่างแง้มเปิดออก นางส่งเสียง “ลู่เหวิน”

          “เป็นข้าเองคุณหนู ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ” ผู้มาใหม่เป็นบุรุษหนุ่มสวมชุดดำ รูปกายคล้ายผู้ฝึกยุทธ์ มือยังถือไว้ด้วยกระบี่เล่มหนึ่ง

          “ท่านพ่อสืบประวัติเซียวไป๋ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”

          “เซียวไป๋ผู้นี้ความเป็นมาแปลกประหลาดนัก เมื่อสองปีก่อนคล้ายมีคนพบเขาอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิสมัยที่ยังเป็นรัชทายาทอยู่บ้าง หากแต่จู่ๆเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนปรากฏตัวอีกครั้งที่เมืองตงหัว เรื่องนี้ท่านเจ้าเมืองตงหัวยืนยันได้ ยังมีบุตรสาวของเขายืนกรานว่าเซียวไป๋ผู้นี้เป็นปีศาจงู”

          “หือ ปีศาจงู” ฟังแล้วนางก็ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู

          “นางบอกว่านางเห็นกับตา แม้นางเคยไหว้วานนักพรตให้กำจัดปีศาจ หากแต่กลับโดนองค์จักรพรรดิขัดขวางไว้”

          “หรือว่าวันนั้นที่จู่ๆห่าฝนก็ตก ทั้งยังมังกรนั่น” อาจจะเป็นอิทธิฤทธิ์ของปีศาจแสร้งตบตาผู้คนว่าเป็นความยินยอมของสวรรค์

          แม้ตอนแรกฟังแล้วนางจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล หากแต่เมื่อประเมินมองเหตุการณ์ผิดปกติดังกล่าว มันกลับสอดคล้องลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

          “คุณหนูคิดการเช่นไรต่อ” เอ่ยถามสตรีที่ตกอยู่ในห้วงคิด

          “บอกท่านพ่อให้หานักพรตผู้นั้นโดยเร็ว ข้าต้องการใช้เขา”

          “ขอรับคุณหนู”

          ต่อเมื่อรับคำเสร็จ ร่างของลู่เหวินก็หายไปในความมืดมิด เหลือเพียงสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนที่มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มเหยียด

          “ฝ่าบาท อีกไม่นานท่านจะต้องตกอยู่ในกำมือข้า”


 

*************************************************************************


- บทนี้รอนานกันหน่อยเนอะ เเต่เนื้อหายังเรื่อยๆ เป็นการเกริ่นเข้าสู่ช่วงสุดท้าย กะคร่าวๆว่า 30 บทจบ เเต่เกรงว่าอาจจะเกินกว่านั้น 5555+ หลังจากนี้คงอัพช้าบ้าง เพราะเริ่มไม่ค่อยมีเวลา กับรู้สึกไม่ค่อยถนัดเขียนชิงดีชิงเด่นเรื่องการเมืองกับพวกตำหนักใน ปาดเหงื่อๆ เอาเป็นว่าติดตามตอนต่อไปด้วยน้า

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 25.1 พร้อมหน้า

 

          “อย่า อย่าตามข้ามา”

          เสียงร้องภาวนาตื่นกลัวดังขึ้นไม่หยุดหย่อน บุรุษวัยสามสิบกว่า ปล่อยผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เนื้อตัวสกปรกคละคลุ้งด้วยกลิ่นสุรา สวมใส่เสื้อผ้าปะชุนราวขอทาน กำลังล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้าไปซ่อนตัวในวัดร้างกลางป่าลึก

          มือกระชากปิดประตูห้องเอียงกะเท่เร่ จากนั้นขดตัวอันสั่นเทานั่งพิงทางเข้าออกเพียงหนึ่งเดียว ระหว่างนั้นก็เงี่ยหูสดับฟังเสียงฝีเท้าจากทางด้านนอก ไปพร้อมๆกับหัวใจเต้นระทึกประดุจรัวกลอง

          ทำไม...ทำไมกัน นางรู้ถึงสิ่งที่ต้องการรู้ไปแล้วนี่ ไยจึงย้อนกลับมาฆ่าคนอีก

          ทั้งที่นางหายไปกว่าเดือน ให้พวกตนโล่งอกคิดว่ารอดตัวแล้ว แต่แล้วอาจารย์ปู่ อาจารย์ลุง อาจารย์อากลับถูกฆ่าตาย ซ้ำยังถูกช่วงชิงตบะบำเพ็ญเพียรไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เขาประหวั่นพรั่นพรึงใจ ได้แต่หนีตายสุดชีวิต

          เพลานี้ดวงตาสั่นระริกกวาดมองไปรอบด้าน เหงื่อกาฬชโลมใบหน้าซีดเผือดภายใต้หนวดเครา ท่ามกลางความมืดมิดโอบล้อมไปทั่วทุกด้าน กลับมีเพียงแสงจันทร์จากภายนอกส่องกระทบเสี้ยวหน้าสงบนิ่งของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งมีฝุ่นจับหนา แลไม่ทันไรก็บังเกิดเงาดำแล่นวูบวาบ ก่อนซ้อนทับรูปหล่อองค์อรหันต์ ให้เขาต้องคำรามร้องสุดเสียง

          “อ๊ากกก”

          เป็นเพลาเดียวกับพลังขุมหนึ่งกระแทกทำลายประตู วิถีพลังผลักดันให้ผู้ร้องกระเด็นไปที่กลางห้องอย่างแรง เกิดเป็นโลหิตหลั่งไหลจากกลางศีรษะแนบลงข้างแก้ม 

          “อาจารย์ข้าบอกเจ้าไปหมดแล้ว พวกมันเป็นอสรพิษเกล็ดอัคคี นอกเหนือไปจากนี้ข้าไม่รู้จริง” ละล่ำละลักกล่าวพร้อมรีบยันตัวขึ้นกระถดตัวหนี จวบจนแผ่นหลังประชิดกระถางธูปเก่าๆ ก็หาได้มีทางหนีอีก

          “.......”

          แม้จะบอกไปเช่นนั้น แต่นางกลับยื่นมืออันมีปลายเล็บแหลมคมเข้ามา “ได้โปรดไว้ชีวิตข้า” อดีตนักพรตเอ่ยวิงวอน โขกศีรษะให้กับสตรีตรงหน้าไม่หยุด แต่นางกลับแค่นเสียงหัวเราะ

          “ฮ่า ฮ่า ไว้ชีวิตเจ้า” มือเรียวตรงเข้ากุมลำคอหนา ก่อนจะค่อยๆส่งแรงบีบให้เหยื่อดิ้นทุรนทุราย “เดิมทีพวกเจ้านักพรตต่างชื่นชอบฆ่าฟันปีศาจอยู่แล้วนี่ ไยข้าต้องไว้ชีวิตเจ้าด้วย”

          “ม่ะ ไม่ ข้า...อั่ก” เมื่อถูกลิดรอนอากาศ ใบหน้าของเขาก็เริ่มเขียวคล้ำ สองมือพยายามตะกุยใส่นางปีศาจ แต่นางหาได้สะทกสะท้าน ยังคงส่งแรงไปที่มือเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดเสียงลั่น

          กร๊อบ

          ช่างไพเราะเหลือเกิน... วั่นอู่หงหลับตารับฟังเสียงกระดูกแตกละเอียดทีละเล็กทีละน้อยด้วยสีหน้าอิ่มเอม นางชื่นชอบเสียงแบบนี้ และจะดีสักแค่ไหน หากเสียงเหล่านี้เกิดจากลำคอของพวกมัน

          ว่าแล้วเปลือกตาก็เลิกขึ้นมองใบหน้าบิดเบี้ยวตรงหน้า ผิดกับใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาในความทรงจำอย่างรังเกียจ ซึ่งนับตั้งแต่กลับจากชนเผ่าหมอผี นางก็ออกไล่ล่าชิงตบะบำเพ็ญเพียรของผู้อื่น จะปีศาจด้วยกันเองก็ดี หรือจากพวกนักพรตก็ช่าง แต่กระนั้นเห็นจะมีแต่บุรุษเน่าเหม็นผู้นี้ที่นางกลืนกินไม่ลง ยังดีที่อีกฝ่ายมีตบะบำเพ็ญเพียรน้อยนิด นางจึงมิได้รู้สึกเสียดายสักเท่าใด

          พลันแว่วเสียงฝีเท้าเคลื่อนใกล้เข้ามา วั่นอู่หงรีบถอนมือจากลำคอสกปรก หันหน้าไปยังปากทางเข้าด้วยท่าทีปกติ

          “มิทราบว่าท่านนักพรตเต้าเหยียนอยู่ที่นี่รึไม่” ทันทีผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาในวัดร้างก็เอ่ยถาม

          “ท่านมาสายไป ท่านอาจารย์เต้าเหยียนสิ้นบุญไปเมื่อสักครู่นี้เอง”

          น้ำเสียงโศกเศร้าที่ปิดไม่มิดนั้น ทำให้จอมยุทธ์ในชุดสีดำต้องสังเกตผู้กล่าว อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ดวงหน้ากระจ่างตา นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงคลอไปด้วยหยาดน้ำ สวมใส่ชุดนักพรตสีขาวบริสุทธิ์ดูสูงส่งไร้ราคี กลางหลังยังสะพายด้วยกระบี่ไม้

          เด็กหนุ่มกล่าวจบก็ขยับตัวไปอีกทาง เผยให้เห็นร่างที่นั่งคุกเข่าศีรษะห้อยตกไร้สัญญาณชีวิต ลู่เหวินมองดูแล้วก็เผยสีหน้ายุ่งยาก ทั้งที่ตนอุตส่าห์ตามหาเบาะแสอย่างยากเย็น หากแต่คนกลับชิงตายไปเสียก่อน“เจ้าเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับท่านนักพรต”

          “ข้านามอันหลงเป็นศิษย์โดยตรงของท่านอาจารย์เต้าเหยียน” เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองอย่างสุภาพ

          “เช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องปีศาจงูที่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองตงหัวหรือไม่” ได้แต่ลองถาม เขามิอาจกลับมือไปเปล่า

          “ปีศาจงู?” เด็กหนุ่มนามอันหลงเลิกคิ้วขึ้นเสียงสูง “หรือจะเป็นอสรพิษเกล็ดอัคคี”

          “เจ้ารู้จักพวกมัน?”

          “แน่นอน เป็นเพราะพวกมัน ท่านอาจารย์จึงใช้ให้ข้าดั้นด้นไปยังชนเผ่าหมอผีนอกเมือง ศึกษาวิธีกำจัดพวกมัน ทว่าแม้ยามนี้ข้าจะพอมีวิธี แต่ท่านอาจารย์กลับด่วนจากไปเสียก่อน”

          อันหลงหลุบตาลงอย่างเศร้าๆ ผิดกับลู่เหวินที่ยกยิ้มอย่างมีความในใจ เห็นทีครานี้ตนมาไม่เสียเที่ยวจริงๆ “เจ้ามีวิธีกำจัดการกับพวกมัน”

          “แม้ไม่ถึงกับสามารถกำจัด แต่ยังพอมีวิธีควบคุมให้อยู่ใต้อาณัติ”

          “ดี ท่านนักพรตอัน เช่นนั้นโปรดตามข้าไปยังวังหลวง พระชายาต้องการความช่วยเหลือจากท่าน” กล่าวจบก็ผายมือไปยังทางออก ทว่าอีกมือกลับกำชับกระบี่แน่นขึ้น

          ไม่ถามถึงความเห็นและความสมัครใจ หากแต่เป็นการบีบบังคับ นักพรตน้อยอันหลงเผยสีหน้ากังวล ก่อนจะพยักหน้าให้แต่โดยดี ลู่เหวินเหยียดยิ้มนิดๆ ก่อนนำพาเด็กหนุ่มไปยังรถม้าซึ่งจอดรออยู่ด้านนอก จากนั้นตั้งหน้าตั้งตาเร่งม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวง

          ทั้งนี้ทั้งนั้นกลับไม่รู้เลยว่านักพรตหนุ่มที่เดินทางไปด้วยได้กลับกลายเป็นสตรีในชุดคลุมขนนกยูงหรูหรา ดวงตาสีน้ำตาลแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีโลหิต ริมฝีปากงามแย้มยิ้มอารมณ์ดี ดูว่านางมิต้องไปหา คนก็มารับถึงที่

          รอก่อนเถิด อีกไม่นานวั่นอู่หงคนนี้จะเอาคืนพวกเจ้าให้สาสม

 

********************************************************

 

          สัมผัสอบอุ่นประทับตรงกลางหน้าผาก ปลุกให้ร่างในชุดสีขาวตื่นขึ้นจากฝันร้าย ไป๋เซ่องัวเงียลุกขึ้นนั่งอย่างมิใคร่สดชื่นเท่าไหร่ ครั้นสังเกตไปรอบๆ ก็พบว่าชายหนุ่มมิได้อยู่ในห้องแล้ว

          บางทีคงกำลังออกว่าราชการในตอนเช้าอยู่กระมัง นึกแล้วก็ยกมือนวดกุมขมับ ตั้งแต่เขาย้ายมาตำหนักหมิงเยว่กวงก็นอนมิค่อยหลับ มีแต่ต้องยามที่ซวนหยวนหมิงไท่กอดเอาไว้จึงจะคล้อยหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

          “ไป่ไป๋ เจ้าตื่นแล้ว?”

          ชั่วขณะที่ตกในห้วงภวังค์พลันมีเสียงกล่าวทัก ไป๋เซ่อสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนลืมตาขึ้นมา ร่างสีม่วงอมดำนั่งอยู่ข้างเตียงแล้ว

          “สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก” สังเกตรอยคล้ำใต้ตาบนใบหน้าเย้ายวน หว่างคิ้วของหงเว่ยก็ย่นลง “ให้ข้าตรวจดูสักหน่อยดีหรือไม่”

          “ม่ะ...” ไม่ทันได้ปฏิเสธ ร่างแกร่งก็ส่งปลายนิ้วมาจับตรงข้อมือ

          “ดูเหมือนเจ้าจะมีเรื่องกังวลในใจ ทำให้มิอาจหลับสนิทได้เต็มที่”

          พอถูกสายตาคมกล้าจับจ้อง ไป๋เซ่อก็รีบเบนสายตาหนี แสร้งทำเป็นกล่าวแย้ง “มิใช่เจ้าที่มีเรื่องให้ดื่มสุราจนเมามายไปกว่าสามคืนหรือ”

          “.......” หงเว่ยเลิกตาโตคล้ายถูกจับได้ว่ากระทำความผิด จนวาจาโต้เถียงไปชั่วขณะ ได้แต่โทษเจ้าเด็กตัวดีปากสว่าง “หงลิ่วพูดเกินไป ข้ามิได้ดื่มจนเมามายขนาดนั้น นี่เป็นเพราะหลับสนิทมากเกินไป ทำให้ตื่นสายก็เท่านั้น”

          “มีเหตุผลแบบนี้ด้วยหรือ” ไป๋เซ่อฟังคำแก้ตัวแล้วก็ต้องหัวเราะครืน

          หงเว่ยฟังแล้วก็ยิ้มบาง รอจนเสียงหัวเราะค่อยๆจางไป จึงเอ่ยน้ำเสียงอ่อน “ความจริงหงลิ่วเล่าให้ข้าฟังหมดแล้วเรื่องบันทึกคู่ชะตาม้วนนั้น หากเจ้าต้องการรู้รายชื่อพวกนั้น ข้าจะเป็นคนนำมันมาให้เอง"

          “ไม่นะ อย่าทำเช่นนั้น” ร่างเล็กร้องท้วง สองมือรีบเกาะแขนร่างแกร่งมิให้ผลุนผลันไปยังตำหนักจันทราบนพิภพสวรรค์ “โทษฐานขโมยบันทึกคู่ชะตาร้ายแรงไม่น้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมีปัญหาเพราะข้า”

          ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ตนก็มิสน หงเว่ยคิดจะบอกเช่นนั้น ทว่าดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่จ้องมองมากลับแฝงแววห่วงใยและกึ่งอ้อนวอน ทำให้เขาได้แต่เงียบไป “เช่นนั้นจำไว้ หากมีเรื่องใดรบกวนใจเจ้า หรือมีเรื่องใดให้ข้าช่วย บอกข้าอย่าได้เกรงใจ”

          ...เพราะข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง

          “อื้ม”

          ไป๋เซ่อยิ้มพลางพยักหน้าหงึกหงัก ดูน่ารักไร้เดียงสาอย่างไรบอกไม่ถูก หงเว่ยมิอาจห้ามใจยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กนั้นได้ ต่อเมื่อสัมผัสถึงเรือนผมสีเทาสลวย พลันใบหน้ากลับร้อนฉ่า “ม่ะ มีคนมา ข้าต้องไปแล้ว”

          “เอ๋” ไป๋เซ่อร้องออกมาคำหนึ่ง ร่างแกร่งก็กสลายตัวประดุจหมอกควัน ให้เขาทันเห็นเพียงใบหูแดงก่ำ คนผู้นี้ช่างมาไวไปไวโดยแท้ ไป๋เซ่อนึกแล้วก็เกาศีรษะแกรกๆ เอ ว่าแต่หงเว่ยตั้งใจมาหาด้วยเรื่องอะไรกันหนอ

          คล้อยหลังคนจากไป หัวหน้านางกำนัลส่วนพระองค์นามหรูอี้ก็ก้าวเข้ามาในห้องบรรทม กล่าวถามด้วยน้ำเสียงสดใส “ฮองเฮา จะทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์แล้วรับอาหารเช้าเลยดีไหมเพคะ”

          ไป๋เซ่อครุ่นคิดเล็กน้อย ครั้นเห็นว่าเข้าทีก็รับคำ หรูอี้ผู้นี้เป็นเสี่ยวลู่คัดมาให้ดูแลเขาโดยเฉพาะ แลด้วยนิสัยช่างพูดช่างเจรจาของนาง ก็ช่วยคลายเหงาในช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่ไปได้มากโข

          “เจ้าลูกเต่าใกล้จะกลับมารึยัง?”

          ‘เจ้าลูกเต่า’ ในที่นี้หรูอี้ย่อมรู้ว่าเป็นใคร คราแรกที่นางได้ยินก็เล่นเอาหัวใจแทบวาย ทว่าผ่านไปไม่นานก็เคยชินกับคำพูดไม่ไว้หน้าเจ้าชีวิตของฮองเฮาบุรุษผู้นี้

          นางหัวเราะคิกคัก “ฝ่าบาทยังคงว่าราชการที่ท้องพระโรงเพคะ อีกสักครึ่งชั่วยามคงจะแล้วเสร็จ” กล่าวพลางสวมฉลองพระองค์ให้ร่างเพรียวไปพลาง “หรือฮองเฮาจะทรงไปรับพระองค์ที่ตำหนักหานหยวน”

          “เฮอะ ทำไมข้าต้องไปรับเขาด้วย” ไป๋เซ่อขึ้นเสียง กระนั้นแก้มนุ่มกลับระเรื่อด้วยเลือดฝาด

          “ไปเถอะเพคะ ก่อนหน้านี้ชิวเยี่ยนพึ่งบอกว่าพระชายาหลี่ไปรอดักขบวนเสด็จฝ่าบาทยังอุทยานหลวง ฮองเฮาไม่ไปจะดีหรือ” หรูอี้คะยั้นคะยอ ชิวเยี่ยน หนึ่งในนางกำนัลประจำตำหนักหมิงเย่วกวง เป็นคนแล่นมาแจ้งข่าวแก่นางหลังจากกลับมาจากกองเย็บปัก

          “ข้า...” ไป๋เซ่อคิดจะค้าน ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมา

          “หรือเจ้าไม่กลัวนางแย่งสามี”

          เป็นถิงถิงในชุดประจำตำแหน่งสีดำม้วนตัวกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง ดูว่าคนรู้จักเขาแต่ละคน ล้วนลอบเข้ามาในตำหนักด้วยวิธีการไม่ธรรมดา คนหนึ่งคิดจะปรากฏตัวก็มาแบบไม่มีสัญญาณ ส่วนอีกผู้หนึ่งมักชมชอบหน้าต่างมากกว่าประตู

          หรูอี้มิได้แปลกใจกลับการมาไม่ปกตินี้ อาจเพราะหัวหน้าขันทีเสี่ยวลู่ ซึ่งตนสนิทถึงขั้นเรียกพี่เรียกน้องได้บอกเล่าถึงคนข้างกายที่ออกจะแปลกๆขององค์ฮองเฮาไว้แต่ต้น กระนั้นช่วงแรกก็ยังไม่ชินอยู่บ้าง

          “ระวังเถิด กว่าจะรู้ตัวคนก็ถูกแย่งไปแล้ว ถึงเพลานั้นอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งเชียว” ถิงถิงกอดอกกล่าววาจาโผงผาง หรูอี้จึงช่วยเสริม

          “แม่นางถิงพูดถูก นอกจากฮองเฮาแล้ว ก็มีพระชายาหลี่กับพระชายาเจินนี่แหละที่สามารถใกล้ชิดกับฝ่าบาท ประมาทไม่ได้นะเพคะ”

          ถูกคำพูดของพวกนางกรอกหู ดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็พลันสว่างวาบ หากนามในบันทึกคู่ชะตาเป็นพระชายาทั้งสองเล่า? เขาขมวดคิ้วยุ่ง“เอาเป็นว่าข้าจะลองไปดู” อย่างน้อยไปดูท่าทีพวกนางสักครา ไม่แน่ว่าสิ่งที่ค้างคาในใจอาจจะคลี่คลายลงก็เป็นได้ ไป๋เซ่อบอกกับตัวเอง


 

********************************************************

 

          อากาศหนาวเยี่ยมเยือนเมืองหลวงฉานอัน ดอกเหมยในอุทยานหลวงก็เริ่มผลิกลีบบานสีชมพูอ่อนให้เห็น ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบบ่งบอกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนผ่าน จากฤดูใบไม้ร่วงไปสู่ฤดูหนาวอย่างเงียบเชียบ

          บัดนี้ไป๋เซ่อในอาภรณ์สีเขียวอ่อนประดุจคุณชายผู้สูงศักดิ์กึ่งเจ้าสำราญกำลังเดินอาดๆมุ่งหน้าไปยังตำหนักหานหยวน ติดตามด้วยนางกำนัลหรูอี้และชิวเยี่ยน พร้อมถิงถิงที่หวังชมดูเรื่องสนุก

          จวบจนใกล้ถึงสระน้ำไท่เย่ก็พบร่างสตรีผู้มีดวงหน้าอ่อนหวาน ริมฝีปากแย้มยิ้มราวพระจันทร์ สวมใส่ชุดสง่างามสีเหลืองนวล พร้อมกับนางกำนัลอีกสองนาง กำลังชะโงกหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่สังเกตเห็นเลยว่าพวกเขาได้หยุดฝีเท้าเบื้องหน้าพวกนางแล้ว

          “เจ้าคือพระชายาหลี่” เป็นไป๋เซ่อทักขึ้น ขัดจังหวะให้เจ้าของนามต้องเบือนหน้ากลับมาโดยไม่เต็มใจ

          หลี่ซิ่วหลันจ้องมองบุรุษหน้าตางดงามเย้ายวนก็ชะงักไปเล็กน้อย คล้ายพึ่งนึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จากนั้นสายตาจึงเปลี่ยนมามองขึ้นลงอย่างเหยียดๆ ยังดีที่อีกฝ่ายมิแต่งกายด้วยชุดสตรี มิเช่นนั้นนางคงจะคลื่นเหียนเป็นอย่างยิ่ง “หม่อมฉันพระชายาหลี่ คำนับฮองเฮา” นางกล่าวคำนับพร้อมย่อตัวส่งๆ 

          ร่างเล็กดูออกถึงสายตาไม่เป็นมิตร กระนั้นกลับไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยถามขึ้นแทน “เจ้ากำลังรอซวนหยวนหมิงไท่อยู่ที่นี่หรือ?”

          ทั้งการกล่าวพระนามจริงของเจ้าชีวิตอันเป็นการลบหลู่เบื้องสูง  รวมถึงคำถามที่เอ่ยออกมาตรงๆ ออกจะทำให้พระชายาหลี่นิ่งอึ้งไปบ้าง นี่เป็นเพราะคนในวังส่วนใหญ่มักระวังคำพูดเพื่อซ่อนจุดประสงค์แท้จริงไว้ แล้วแสร้งปั้นแต่งสีหน้าหลอกลวงผู้อื่น แต่มาตรว่ารู้เช่นนั้น นางยังคงเชิดหน้ายอมรับ “เพคะ”

          “แล้วไยไม่ไปหาที่ตำหนักหานหยวนเล่า” ไป๋เซ่อถามอย่างสงสัย อยากจะหาใครก็ไปหาสิ ไฉนต้องมาดักรอด้วย

          ประโยคดังกล่าวถึงกับทำให้สีหน้าของพระชายาหลี่แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ...หึ เจ้าไม่รู้หรือต้องการเยาะเย้ยข้ากันแน่ “กราบทูลฮองเฮา นี่เป็นเพราะตำหนักหานหยวนเป็นสถานที่ว่าราชการ มิใช่ที่ที่สตรีจะก้าวก่ายเข้าไปได้ตามใจ” นางพูดจากระทบกระแทก

          “หืม มีข้อห้ามเช่นนี้ด้วย แย่จัง” ไป๋เซ่อฟังแล้วก็เกิดความเห็นใจ ไฉนบนโลกมนุษย์จึงแบ่งแยกบุรุษสตรีให้วุ่นวาย ไม่ยุติธรรมชัดๆ

          ใช่สิ ก็เจ้าเป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นนายบำเรอยั่วยวนบุรุษด้วยกันเอง พระชายาหลี่ถลึงตาใส่ หากแต่เด็กหนุ่มกลับทำท่าทีงงงันไร้เดียงสา ทั้งที่พึ่งเหน็บแนมนางไปแท้ๆ ...เฮอะ อสรพิษชัดๆ

          “ข้าว่าเจ้าไปนั่งเล่นตรงศาลาริมน้ำกับข้าดีหรือไม่ ประเดี๋ยวซวนหยวนหมิงไท่ก็ตามมาเอง”

          จะโอ้อวดว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาก็เป็นเพราะเจ้าสินะ พระชายาหลี่ได้แต่ฝืนยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ กระนั้นยังคงเอ่ยคำ “เป็นพระกรุณาเพคะ”

          ว่าแล้วทั้งสองก็ย่างก้าวเข้าไปในศาลาริมน้ำสีขาวที่มุงกระเบื้องสีแดงสด จากนั้นนั่งลงตรงเก้าอี้หินอ่อนที่จัดวางอยู่ด้านใน ส่วนนางกำนัลเพียงยืนอยู่รอบนอก มิรบกวนผู้เป็นนายสนทนาปราศรัยกัน

          “ซวนหยวนหมิงไท่ปฏิบัติต่อเจ้าดีรึไม่”

          ครั้นหย่อนก้นไม่เท่าไหร่ ไป๋เซ่อก็ไม่เสียเวลาเริ่มถามสิ่งที่อยากรู้ ทว่าคำถามนี้กลับแทงใจพระชายาหลี่ ให้มือเรียวต้องขยุ้มผ้าเช็ดหน้าใต้โต๊ะหินอ่อนด้วยความขุ่นเคือง

          จะรังแกกันเกินไปแล้ว ใครๆต่างก็รู้ว่ากลางคืนนางต้องทนนอนอย่างเปลี่ยวร้าง ส่วนกลางวัน ทั้งที่นางเป็นถึงพระชายาแค่จะขอเข้าเฝ้าพบพระพักตร์ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญกว่านางกำนัลรับใช้ รอก่อนเถิด วันใดเจ้าหมดความสำคัญ วันนั้นข้าจะเหยียบเจ้าให้จมธรณีเชียว

          นางกล้ำกลืนฝืนกล่าว “ฝ่าบาททรงดีกับหม่อมฉันมากเพคะ ทั้งยังวางใจมอบหมายงานใหญ่ให้หม่อมฉันคัดลอกพระธรรม ส่งมอบวัดวาอารามเชิดชูพระเกียรติของพระองค์”

          “อ่อ อย่างนี้นี่เอง หึ หึ” ไป๋เซ่อรับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าลงท้ายกลับแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ สองมือถูไปมาด้วยคันไม้คันมืออยากจะกระชากหนังศีรษะเจ้าลูกเต่าหลายใจยิ่ง ซึ่งพอดีกับที่มีเสียงหวานดังขัดภาพรังแกคนในห้วงความคิด

          “ไม่ทราบว่าฮองเฮากับพระชายาหลี่อยู่ที่นี่ หม่อมฉันรบกวนทุกท่านแล้ว”

          รบกวน รบกวนอันใด เป็นเจ้าเข้ามาเองมิใช่รึ ไป๋เซ่อเผยสีหน้างงงัน ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสตรีในอาภรณ์สีขาวนวลปักลายโบตั๋น ใบหน้าประดับรอยยิ้มตรึงใจ “อา เจ้าคือพระชายาเจินสินะ เข้ามาสิ”

          “ขอบพระทัยเพคะ” พระชายาเจินย่อกายคำนับอย่างอ่อนช้อย จากนั้นเยื้องย่างร่างระหงเข้ามาด้านใน ทว่าเมื่อถึงโต๊ะกลับปราดมองสตรีอีกคนด้วยสายตานิ่งเรียบวูบหนึ่ง

          “คำนับ พระชายาเจิน” จะอย่างไรเจินเริ่นผิงก็มีศักดิ์เป็นกุ้ยเฟย ขั้นตำแหน่งสูงกว่าซูเฟยอย่างนางหนึ่งขั้น หลี่ซิ่วหลันจำต้องลุกขึ้นคำนับพลางลอบก่นด่านางแพศยาอยู่ในใจ

          “น้องพี่ไม่ต้องมากพิธี” พระชายาเจินกล่าวจบก็นั่งลง กระนั้นยังนั่งไม่ติดที่ พระชายาหลี่ก็เอ่ยค่อนแคะ

          “ปกติเห็นพี่สาวชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก มิใคร่ได้เห็นสักเท่าไหร่ เหตุใดวันนี้จึงออกมาเดินเล่นที่อุทยานหลวงล่ะเพคะ” นี่เป็นเพราะนางรู้ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา จึงได้แล่นออกมาจากตำหนักหลันฮวาเป็นแน่

          “อยู่แต่ในตำหนักช่างอุดอู้นัก พี่สาวคิดว่าออกมาสูดอากาศบ้างก็ไม่เลว แต่เผอิญเห็นน้องสาวสนทนากับเซียวฮองเฮาอย่างถูกคอ จึงนึกอยากเข้าร่วมด้วย”

          มองดูทั้งสองนางเรียกพี่เรียกน้อง ไป๋เซ่อพลันรู้สึกแปลกแยก แต่อย่างไรก็ดีเพลานี้พานพบพวกนางสองคนพร้อมหน้า ประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย “ดียิ่ง พี่ชายเองก็อยู่แต่ในตำหนักเหงาจะแย่ หวังจะได้พูดคุยกับพวกเจ้ามานานแล้ว”

          ‘พี่ชาย’ คำแทนตัวนี้ถึงกับทำให้พระชายาทั้งสองชะงักวูบ สีหน้าผิดแผกไปจากเดิม อีกทั้งบังเกิดความรู้สึกยากจะบรรยายกัน ทั้งรังเกียจทั้งไม่พอใจ กระนั้นไป๋เซ่อกลับมองไม่เห็น แลยังเอ่ยปากแสดงความใจกว้าง

          “ไหนๆก็พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว เรามาร่วมมื้อเช้าด้วยกันเถิด” 

          “.......” บังเกิดเป็นเสียงเงียบกริบที่แม้แต่แมวเดินยังได้ยิน

          “อ่ะแฮ่ม ยามนี้ถึงเพลาอาหารกลางวันแล้วเพคะ ฮองเฮา”ท่ามกลางบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนหรูอี้พลันส่งเสียงกระแอมกระไอ

          ไป๋เซ่อได้ยินแล้วก็ต้องเปลี่ยนคำเสียใหม่ “อา ข้ากินมื้อเช้า ส่วนพวกเจ้ากินมื้อกลางวัน ตามนี้นะ”

          “.......”

          ยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากชายาคนใด ร่างเล็กรอคอยอยู่สักพักก็ต้องสบถในใจ ...มารดามันเถอะ ช่างพวกเจ้าแล้ว ข้าจะกินซะอย่าง


 

********************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 25.2 พร้อมหน้า


 
          ระหว่างนางกำนัลทยอยวางอาหารบนโต๊ะ ให้ไป๋เซ่อต้องลอบสูดน้ำลายเป็นระยะๆ ก็เป็นเวลาเดียวกับร่างสูงในชุดมังกรน่าเกรงขาม พร้อมกับขบวนติดตามมาถึง

          “หือ ไฉนพวกเจ้าใจร้ายใจดำไม่ชวนเราร่วมโต๊ะบ้าง หากเราไม่ผ่านมาเกรงว่าได้แต่นั่งแกร่วลำพังในตำหนักแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่แสร้งทำสีหน้าน่าสงสาร ทว่าสายตากลับจ้องร่างเล็กที่เบ้ปากถลึงตาใส่

          “หม่อมฉันมีหรือจะไม่ชวนฝ่าบาท” พระชายาหลี่กล่าวน้ำเสียงออดอ้อนพลางยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “เป็นหม่อมฉันกับฮองเฮามานั่งรอพระองค์ที่นี่ตั้งนานแล้ว” นางเน้นย้ำเพียงแค่คนสองคน หาได้มีนางแพศยาร่วมด้วย

          “โอ้ พวกเจ้ามารอเราหรอกหรือ” ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของโอรสสวรรค์ก็ทอเป็นประกาย มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเจ้าของดวงหน้าเย้ายวน “เช่นนั้นเราไม่เกรงใจแล้ว” กล่าวจบก็ตรงเข้าไปนั่งเบียดก้นน้อย ให้ไป๋เซ่อดิ้นขลุกขลักอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องยินยอมแบ่งที่นั่งให้อย่างมิพอใจสักเท่าไหร่

          “ฝ่าบาทพึ่งทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ถ้าอย่างไรดื่มชาดับกระหายก่อนดีไหมเพคะ”

          น้ำเสียงฟังรื่นหูละมุนละไมประดุจสายน้ำในลำธาร ทำให้เขาต้องหันไปยังต้นเสียงทางด้านข้างตน ก่อนสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตราวกับลูกกวางน้อย เครื่องหน้าสมส่วน นับได้ว่าเป็นหญิงงามที่หาตัวจับได้ยากทีเดียว

          ซวนหยวนหมิงไท่รับถ้วยชาที่ยื่นส่งมาให้ เพียงแค่ได้กลิ่นก็รู้สึกผ่อนคลาย ครั้นปลายลิ้นสัมผัสรสชากลมกล่อมก็ต้องโพล่งออกมา “ชาดี”

          “นี่เป็นชาปี้เหลยชุน จากทางเจียงซูเพคะ บิดาเห็นหม่อมฉันชอบดื่มชาชนิด จึงคอยให้คนส่งมาไม่ขาด หากฝ่าบาททรงโปรด หม่อมฉันจะให้คนส่งไปที่ตำหนักเฉียนชิงเพคะ”

          พระชายาเจินกล่าวอย่างกระตือรือร้น ท่าทีที่ใช้ก็เป็นธรรมชาติ ยังผลให้พระชายาหลี่ซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามต้องกรอกตาไปมา ฝ่ายไป๋เซ่อนั่งฟังคำพูดออดอ้อน บ้างก็นอบน้อมเอาใจบ้างก็ต้องก่นด่าในใจ

          ...ทีกับข้าไม่เห็นพวกเจ้าจะพูดจาลื่นไหลเช่นนี้บ้างเลย

          “อืม” ซวนหยวนหมิงไท่ส่งเสียงตอบสั้นๆ จากนั้นหันไปเอาใจร่างเล็กโดยการคีบแต่เนื้อปลา หลีกเลี่ยงเนื้อเป็ดเนื้อไก่ที่เจ้าตัวเข็ดขยาดในช่วงนี้

          ได้รับการเอาอกเอาใจแบบนี้ ไป๋เซ่อจึงพอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง กระทั่งการรับประทานอาหารดำเนินไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ พระชายาเจินก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำสนทนา

          “จานปลาหิมะแดงผัดจานนี้ พี่ชายน่าจะชอบนะเพคะ” เพราะเห็นอาหารส่วนใหญ่ที่เจ้าชีวิตคีบให้อีกฝ่าย ล้วนเป็นจานปลา จะมีก็แต่จานใกล้ตัวนางที่ยังคงไม่ใครลิ้มลอง เจินเริ่นผิงอดแนะนำมิได้

          ทว่าซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงสูงอย่างแปลกใจ “พี่ชาย”

          “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเห็นพวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน สมควรดูแลกันประดุจพี่น้อง จึงอาจเอื้อมเรียกขานเช่นนี้”

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็นิ่งไป สักพักจึงส่งเสียงตอบ “ก็ดี”

          ดูท่าทีไม่ปฏิเสธนี้ พระชายาเจินก็ยิ้มออก ฝ่ายพระชายาหลี่นั่งฟังอยู่แล้วบังเกิดอาการกินไม่ลง เมื่อสักครู่นังแพศยายังรังเกียจจะนับพี่น้องกับฮองเฮามิใช่หรือ นางคิดไปพลางยื่นมือที่ถือถ้วยไปด้านข้าง เป็นสัญญาณให้นางกำนัลก้าวเข้ามาเทน้ำชาให้ แต่แล้วนางกลับต้องแผดเสียง

          “โอ๊ย ร้อน”

          เป็นเพราะนางกำนัลมือสั่นไปชั่ววูบ ทำเอาชาร้อนหกรดมือขาวนวลของพระชายา ยังผลให้คนรอบข้างตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จะมีก็แต่ไป๋เซ่อที่การกระทำไวกว่าความคิด วาดแขนออกไปคว้ามือแดงพองเข้ากุมไว้ “ไหนๆ เป็นอย่างไรบ้าง”

          ความเย็นส่งผ่านทางมือ บรรเทาแผลร้อนลวกไปได้รวดเร็ว พระชายาหลี่พลันตกตะลึงวูบ ริมฝีปากโพล่งออกมา “ไฉนมือของฮองเฮาจึงเย็นเยียบราวกับอสรพิษก็มิปาน”

          ประโยคนั้นทำเอาซวนหยวนหมิงไท่หน้าตึง ไป๋เซ่อเองก็ผงะไปแล้วรีบคลายมือกลับมาเก็บไว้ข้างตัว แลขณะที่เกิดเป็นบรรยากาศน่าอึดอัด นางกำนัลผู้ก่อเรื่องพลันคุกเข่าส่งเสียงขอประทานอภัยดังลั่นพอดิบพอดี ส่งผลให้ชายหนุ่มได้สติ

          “เกี่ยวกับเรื่องนี่ให้หัวหน้านางกำนัลที่ดูแลลงโทษตามสมควร” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเรียบแล้วหันสั่งกับไปเสี่ยวลู่ที่ยืนอยู่ด้านนอก “นอกจากนี้พระราชทานบัวหิมะจากแคว้นจ้าวให้กับพระชายาหลี่ ยังมี...”

          เขาพลันหยุดเสียงแล้วฉวยดึงมือที่ซุกตรงหน้าตักน้อย “วันนี้อากาศหนาว เจ้าไม่สมควรสวมชุดบางเบาเช่นนี้ มาข้าจะอุ่นมือให้” ว่าแล้วก็เป่ารดลงหายใจอุ่นร้อนลงบนมือนุ่มเย็น

          ทว่าการกระทำนี้หาได้ช่วยให้มือเขาอุ่นขึ้นแม้แต่น้อย มีแต่ยิ่งจะทำให้หน้าเขาร้อนผ่าวแทน ไป๋เซ่อรีบสะบัดมือทิ้งพลางกล่าวผ่านสายตา “เจ้าคนน่าไม่อาย ชอบฉวยโอกาส”

          เห็นคนแยกเขี้ยวตาเขียวปั้ด ซวนหยวนหมิงไท่ก็หัวเราะน้อยๆ พระชายาหลี่จึงได้แต่กัดริมฝีปากมองดูทั้งสองหยอกล้อกันอย่างอิจฉา ฝ่ายพระชายาเจินเพียงนั่งอยู่เงียบๆเท่านั้น


 

********************************************************

 

          จวบจนอาหารร่อยหรอ นางกำนัลยกเก็บจานไปแทนที่ด้วยขนมหวานล้างท้อง ก็บังเกิดเสียงร่ำไห้โหยหวนจากทางด้านนอก ให้ทายาทมังกรต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างรำคาญใจ

          “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ได้โปรดช่วยบุตรชายกระหม่อมด้วย เขาถูกคนของแคว้นหวู่บังคับนำตัวไปแล้ว”

          เจ้าของเสียงเป็นขุนนางเส้นผมสีดอกเลา อายุอานามปาไปสี่สิบกว่า วิ่งพรวดพราดเข้ามา แต่กลับโดนองครักษ์ประจำพระองค์สกัดกั้นไว้ เขามองดูคนน้ำหูน้ำตานองหน้าก็ถอนใจยาว โบกมือให้อีกฝ่ายเข้ามา

          สัปดาห์ก่อนบุตรชายของใต้เท้าซุน ขุนนางใหญ่สังกัดกรมโยธา ทำตัวกเฬวรากล่วงเกินนางระบำแคว้นหวู่ในโรงน้ำชายังกลางวันแสกๆ บังเอิญที่คนของราชทูตแคว้นหวู่มาพบเข้าจึงเกิดการปะทะกันรุนแรง สุดท้ายบุตรชายใต้เท้าซุนสู้มิได้จึงบันดาลโทสะ คว้าเอาพิณโบราณของคู่กรณีมากระแทกพื้นเสียหาย ทำให้คนของแคว้นหวู่มิยอมจบเรื่องง่ายๆ จึงฟ้องร้องทางราชสำนัก ให้ชดใช้พิณโบราณคืน

          “ใต้เท้าซุน ทางแคว้นหวู่ยังมีปัญหาใดอีก”

          “ฝ่าบาท แม้พระองค์จะทรงเมตตารับสั่งทำพิณเจ็ดสายขึ้นมาใหม่ด้วยวัสดุชั้นดีหายาก ทว่าคนของเรากลับไม่มีใครสามารถปรับเสียงพิณชนิดนี้ได้เลยพะยะค่ะ”

          “.......”

          ทันทีที่กล่าวจบก็บังเกิดเป็นเสียงเงียบกริบอันน่ากดดัน พระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้วาวโรจน์ อีกทั้งฉายชัดด้วยความโกรธ จึงไม่มีใครกล้าปริปากอันใด กระทั่งใต้เท้าซุนเองยังตัวสั่นงันงก แต่แล้วไม่นานกลับมีน้ำเสียงจากสวรรค์เปล่งออกมาคลี่คลาย

          “ขอถามใต้เท้าซุน พิณเจ็ดสายที่ท่านกล่าวใช่กู่ฉินรึไม่”

          “ใช่พะยะค่ะ พระชายาเจิน” ใต้เท้าซุนตอบทั้งๆที่ยังก้มหน้า

          เจินเริ่นผิงได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปกล่าวกับเจ้าชีวิต “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอลองปรับสายพิณชนิดนี้ได้รึเปล่าเพคะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองสตรีผู้นี้อย่างแปลกใจ จากนั้นออกคำสั่ง “นำพิณโบราณมาให้พระชายาเจิน”

          ครู่ใหญ่พิณไม้สีน้ำตาลแดงลวดลายเมฆาล่องลอยสีทองก็ถูกนำมา พระชายาเจินรับกู่ฉินมาก็ไม่รอช้า ลงมือปรับฉินฮุยหรือตำแหน่งบอกเสียงซึ่งเป็นลูกบิดทำจากทอง ห้อยด้วยพู่ยาวสีแดงทันที นางลองไล่ปลายนิ้วลงบนเส้นไหมทีละสาย ทำสลับไปมา จนครบเจ็ดสายก็เริ่มบรรเลงเพลง

          ท่วงทำนองที่ดังออกมาเป็นเสียงทุ้มต่ำ มิได้กังวานดั่งเครื่องดนตรีกู่เจิงอ้นเป็นที่นิยมในสมัยนี้ เพียงเค้าคลอกับเสียงธรรมชาติโดยรอบอย่างลงตัว ทางด้านบทเพลงเป็นจังหวะช้า จากเสียงต่ำผันแปรเป็นเสียงสูง แล้วจึงผ่อนลงต่ำอีกครั้ง ก่อนพลิ้วไหวสั่นคลอนจิตใจผู้คนให้สัมผัสถึงความสุขสงบ

          “เป็นหม่อมฉันทำเรื่องขายหน้าแล้ว” ครั้นถ่ายทอดบทเพลงสั้นๆจบ นางก็เอ่ยอย่างถ่อมตัว หากแต่คนอื่นกลับคล้ายพึ่งสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน

          “พระชายาเจินทรงปรีชาสามารถยิ่ง” ใต้เท้าซุนโพล่งอย่างดีใจ

          “ใต้เท้าซุนรีบนำไปให้คนของแคว้นหวู่เถิด” ซวนหยวนหมิงไท่ไล่คนไป จากนั้นจึงกล่าวชม “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีความสามารถอันน่าประทับใจเช่นนี้ด้วย”

          นับแต่โบราณกู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีชั้นสูงถูกจำกัดให้ใช้แค่ในพิธีกรรม ต่อมาจึงมีเพียงนักปราชญ์หรือชนชั้นสูงเท่านั้นที่ร่ำเรียน แต่ยากคนนักที่จะทำความเข้าใจถึงความลึกซึ้งของกู่ฉินได้

          “ชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันมิกล้ารับเพคะ”

          “ฝ่าบาทเพคะ พระชายาเจินไม่เพียงแต่บรรเลงกู่ฉินแล้ว ยังทรงเก่งทั้งหมาก อักษรและภาพวาดด้วยเพคะ”

          “เสียมารยาท อวี้ชิง!” ฉับพลันที่มีเสียงนางกำนัลแทรกขึ้นมา พระชายาเจินก็ขึ้นเสียงดุ ยังผลให้นางกำนัลคนดังกล่าวก็ต้องก้มหน้าอันซีดเผือดลง

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่มิได้มีโทสะใดๆจึงเอ่ย “พระราชทานกู่ฉินให้กับพระชายาเจินในอีกสิบวัน”

          “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” ได้ยินดังนั้นเจินเริ่นผิงก็รีบลุกขึ้นถวายคำนับอย่างซาบซึ้งใจ

          “หมดเรื่องแล้วพวกเจ้าก็ตามสบาย เรากับฮองเฮาขอตัวกลับตำหนักก่อน” กล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็ดึงแขนไป๋เซ่อซึ่งทำหน้าเหรอหรา มือน้อยยังมิทันยื่นส่งถึงจานขนมกุ้ยฮัวก็ถูกบังคับให้ยืนขึ้น

          “อะ อา” เมื่อพลาดจากชิ้นขนม ไป๋เซ่อได้แต่มองขนมตาละห้อย ตัวถูกลากไปพลางทำสีหน้าราวจะร่ำไห้

          “อ่อ” แต่แล้วชายหนุ่มกลับหยุดตัวกะทันหัน “ยังมีชาปี้เหลยชุน เพียงส่งไปที่ตำหนักเย่วหมิงกวงก็พอ” คล้ายพึ่งนึกออก เขากล่าวทิ้งท้ายพร้อมยิ้มบาง จากนั้นนำพาฮองเฮาตัวตะกละออกไปอย่างอารมณ์ดี มิได้ฟังเสียงไล่หลังของพระชายาหลี่

          “เดี๋ยวเพคะ ฝ่าบาทยังมิได้ทันชิมขนมฝีมือหม่อมฉันเลย”


 

********************************************************

 

          เวลาเคลื่อนคล้อยสู่ช่วงบ่าย หนึ่งนายหนึ่งบ่าวพึ่งพากันกลับถึงตำหนักก็พลันพบว่ามีแขกรออยู่ด้านในก่อนแล้ว ร่างระหงรอให้นางกำนัลตระเตรียมชาจนครบ ก็ออกคำสั่งให้ถอยร่นออกไปแล้วงับประตูห้องให้ปิดสนิท ก่อนจะปริปากสนทนาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

          “ว่ามา” กล่าวไปพลางพิงหลังกับเบาะนุ่ม

          “คนที่พระชายาต้องการ ข้าน้อยพามาด้วยแล้ว” ลู่เหวินในวันนี้หาได้ปิดบังใบหน้าหรือสวมชุดดำ กลับแต่งกายเสมือนคุณชายในตระกูลสูงศักดิ์ ทิ้งคราบจอมยุทธ์ไปโดยสิ้นเชิง พร้อมกันนี้ยังพาคนอีกผู้หนึ่งมาด้วย

          นางเลิกตากลมโตซึ่งมีแพขนตาหนาขึ้นมองเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้ากระจ่างตา สวมใส่ชุดขาวบริสุทธิ์ไร้ราคี “เป็นเขา?”

          “เขามิใช่นักพรตเต้าเหยียน หากแต่เป็นศิษย์โดยตรงของท่านนักพรต นักพรตอันหลง” ลู่เหวินกล่าว

          “อ่อ เช่นนั้นเจ้าปราบปีศาจงูได้?” คิ้วงามย่อย่นลงอย่างสงสัย

          “แม้ไม่อาจกำจัดอสรพิษเกร็ดอัคคีให้สิ้นซาก แต่ข้ายังพอจะควบคุมพวกมัน” นักพรตอันหลงเอ่ยอย่างมั่นใจ ให้ดวงตาอีกฝ่ายทอประกายลึกล้ำ ทำให้ท่าทีของนางกลับกลายเป็นกระตือรือร้น

          “ต้องทำอย่างไร”

          นักพรตหนุ่มล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นนำขวดสีใสขึ้นมา หากมองดูดีๆ จะเห็นตัวหนอนตัวสีน้ำเงินแปลกตาจากภายใน “นี่เรียกว่าหนอนทุกข์ระทม เป็นเพียงหนึ่งในสามตัวที่ข้าได้รับจากชนเผ่าหมอผี หากมันเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกาย มันจะชอนไชกัดกินสมองแล้วควบคุมร่างของอีกฝ่ายไว้ แต่ทั้งนี้ใช่ได้กับพวกปีศาจอสรพิษเท่านั้น”

          “เรียนถามท่านนักพรต แล้วเราจะนำมันเข้าสู่ตัวปีศาจอสรพิษแล้วควบคุมพวกมันได้อย่างไร” นางเอ่ยถามสายตาจับจ้องหนอนทุกข์ระทมอย่างไม่วางตา

          “ก่อนอื่นพระชายาต้องกรีดเลือดปริมาณหนึ่งให้กับหนอนทุกข์ระทมเป็นเพลาติดต่อกันสามคืน เพื่อให้พวกมันจดจำผู้เป็นนาย ต่อจากนั้นหาทางหลอกล่อให้ปีศาจอสรพิษกินหญ้าสิ้นซากเสีย เท่านี้หนอนทุกข์ระทมก็จะตามหาร่างเหยื่อแล้วชอนไชเข้าสู่สมอง ซึ่งเมื่อถึงขั้นตอนนี้พระชายาสามารถใช้เสียงกระดิ่งพันลี้ควบคุมตัวพวกมันได้” นักพรตอันหลงอธิบาย

          “แต่หญ้าสิ้นซากกับกระดิ่งพันลี้ ข้าจะหาได้จากที่ไหน” แม้ฟังดูเป็นแผนที่เข้าท่า แต่ทว่าสิ่งของเหล่านี้นางกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน

          “พระชายามิต้องเป็นห่วง กระดิ่งพันลี้ข้ามีอยู่แล้ว หากแต่หญ้าสิ้นซากจำต้องให้เวลาข้าค้นหา”

          “เช่นนั้นท่านนักพรตจำต้องใช้เวลากี่วัน” ลู่เหวินแทรกถาม

          “เพียงสามวันพะยะค่ะ”

          “ดี ตกลงตามนี้ สามวันให้หลังข้าจะรอท่านที่นี่” นางลั่นวาจา รอยยิ้มงดงามประดับร่องรอยอำมหิตประการหนึ่ง

          อีกทางด้านหนึ่งวั่นอู่หงในคราบนักพรตอันหลงก็ก้มศีรษะคำนับ แลภายใต้ใบหน้าที่ไม่มีใครเห็นปรากฏยิ้มเหยียดกว้าง ดวงตาทอประกายสีโลหิต นางพร้อมแล้วที่จะดำเนินการแผนขั้นต่อไป

          ...โดยการทำลายสิ่งที่พวกมันรัก สิ่งที่พวกมันทะนุถนอม ให้พวกมันดิ้นพล่านอยู่ก็เหมือนตาย


 

********************************************************


         บทนี้อัพช้าก็จัดเนื้อหาไปยาวๆ เเต่ความเรื่อยเอื่อยระดับเเปด 5555+ บทหน้าน่าจะเข้มข้นได้สักที คิดว่าอัพอีกทีน่าจะไม่เสาร์ก็อาทิตย์หน้านะจ้ะ  :hao3:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 26.1 ไม่รู้ตัว

 

          แสงแดดอ่อนๆสาดส่องทาบทับใบหน้าหลอเหลอ ซึ่งกำลังหยุดยืนขยี้ตา เงยหน้าขึ้นอ่านป้ายไม้เบื้องหน้าเป็นครั้งที่สาม ครั้นไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ได้แต่คำเดิม เขาก็ยกมือบีบนวดขมับ อีกมือหนึ่งเท้าสะเอว พร้อมทั้งส่งเสียงเรียก

          “เสี่ยวลู่ เป็นเพราะเราทำงานหนักมากไป จึงเลอะเลือนเห็นป้ายตำหนักหมิงเย่วกวงกลายเป็นชื่อขนมไปเองใช่รึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่ย้ำถามเพื่อความมั่นใจ หรือบางทีอาจต้องการหลีกเลี่ยงความจริงก็เป็นได้

          “เอ่อ คือว่า” เสี่ยวลู่เองมองไม่เห็นความแตกต่าง พลอยเหงื่อตกอึกอักไปเล็กน้อย ทว่าอย่างไรก็มิอาจหลอกลวงเบื้องสูง สุดท้ายต้องกลั้นใจกราบทูล “ฝ่าบาทเป็นป้ายตำหนักถั่วแดงจริงๆพะยะค่ะ”

          กระทั่งได้คำยืนยัน ซวนหยวนหมิงไท่ก็นิ่งไปพักใหญ่ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ เลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็น “ถือว่าเรามิเคยกล่าวถามล่ะกัน”

          สองเท้าก้าวมุ่งไปยังเรือนหลัก ก่อนจะพบร่างน้อยกำลังยกสองมืออังเตาไฟอุ่นอย่างสบายใจ ด้านข้างมีหรูอี้ นางกำนัลรับใช้คอยรินชาปี้เหลยชุน ซึ่งถูกส่งมาจากตำหนักหลันฮวาให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          “ไป๋เซ่อ ช่วงนี้เจ้ายังงอนอะไรข้าอยู่หรือไม่” เขาเหยียดยิ้มหยั่งถามพลางนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเจ้าตัว ให้ไป๋เซ่อถลึงตาลอบสบถในใจ

          เพ้ย ผ่านไปหนึ่งคืน เจ้าพึ่งจะรู้ตัวหรอกหรือ

          เขาใช้น้ำเสียงหยอกเย้ากล่าวถาม หากแต่ไป๋เซ่อกลับเบะปากเชิดหน้าใส่ เมื่อลองคาดเดาสาเหตุที่อีกฝ่ายขุ่นเคืองก็เห็นจะมีแต่เรื่องนี้ “หรือจะเป็นเรื่องที่ข้าพระราชทานกู่ฉินให้กลับพระชายาเจิน”

          ถ้อยคำพึ่งหลุดออกไปคนก็เบือนหน้าหนี ซวนหยวนหมิงไท่ได้ข้อสรุปในใจ ...เป็นเรื่องนี้เองสินะ “ที่ข้าทำเช่นนั้นมิได้สิเน่หาในตัวนาง เพียงต้องการให้พวกนางมิมีเวลามายุ่งกับข้าเท่านั้นเอง”

          “เฮอะ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ทีกับชายาของเจ้าเดี๋ยวก็ประทานบัวหิมะบ้างล่ะ เดี๋ยวก็กู่ฉินบ้างล่ะ ส่วนข้า...” ไป๋เซ่อย่อมเชื่อมั่นในสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าว แต่ยังคงแค่นเสียงเบะปากอย่างสะเทือนใจ “ทำไมมีแต่ขนมพื้นๆเท่านั้นเล่า” ลำเอียงกันเห็นๆ

          “หือ” ซวนหยวนหมิงไท่ตะลึกวูบ ไม่คิดว่าด้วยเหตุผลนี้จะทำให้ป้ายตำหนักหมิงเย่วกวง ซึ่งมีความหมายอย่างจันทร์กระจ่าง ต้องกระเด็นหลุดไปแทนที่ด้วยขนมถั่วแดงของโปรดเจ้าตัว ทำเอาเขาหัวร่อมิได้ จะร่ำไห้ก็ร้องมิออก มีฮองเฮาราชวงศ์ซวนหยวนคนใดพำนักในตำหนักถั่วแดงบ้าง เห็นทีบันทึกประวัติฮ่องเต้อย่างเขาออกจะมีสีสันเกินไปหน่อยแล้ว

          “โอ๋ๆ เอาอย่างนี้เจ้าอยากได้อะไร ข้าจะพระราชทานให้”

          “จริงหรือ” ได้ยินเช่นนี้ไป๋เซ่อก็ตาโต รอจนชายหนุ่มพยักหน้า จึงพูดออกมายาวเหยียดเป็นหางว่าว “ข้าอยากกินลูกท้อ องุ่นแดง เซาปิ่ง ขนมจ้าง ปลาแดงนึ่ง อ้ะ ยังมีข้าวต้มเม็ดบัว...”

          สุดท้ายก็ยังเป็นของกินพื้นๆอยู่ดี ริมฝีปากของซวนหยวนหมิงไท่กระตุกเล็กน้อย มองไม่ออกว่าของพวกนี้ต่างจากขนมถั่วแดงอย่างไร “แล้วป้ายตำหนักหมิงเย่วกวง?” เขาเกริ่นถาม

          “อ่อ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าให้ขันทีน้อยในตำหนักนำออกไปให้เสิ่นอันหวางประมูลขายแล้ว ได้เงินมาไม่น้อย” ไป๋เซ่อยิ้มแฉ่ง แต่กลับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่อ้าปากค้างราวกับถูกสายฟ้าฟาดกระหน่ำ

          “ดะ ดี เจ้าหัวการค้ายิ่ง” เขากัดฟันฝืนกล่าวชม แต่กลับกลายเป็นการส่งเสริมให้ไป๋เซ่อพล่ามต่อโดยไม่รู้สึกตัว

          “เฮอะ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว อีกอย่างข้าว่าตำหนักถั่วแดงชื่อไพเราะกว่าตำหนักจันทร์กระจ่างอะไรนั่นอีก เจ้าเองมิเปลี่ยนชื่อตำหนักเฉียนชิงเป็นตำหนัก...เอ อะไรดีหนอ”

          ระหว่างฮองเฮานึกคิด กายของเจ้าชีวิตก็เริ่มโงนเงนไปเช่นกัน เสี่ยวลู่พลันเข้าใจจิตใจบอบช้ำของผู้เป็นนาย เมื่อได้ทีก็ก้มลงกระซิบถาม “ฝ่าบาทจะทรงเรียกหมอหลวงไหมพะยะค่ะ”

          “......” เขายกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่ายังไหว ภาวนาในใจมิให้เจ้างูน้อยคิดออก แลยังโชคดีสวรรค์เข้าข้างให้ขันทีประจำตำหนักก้าวเข้ามาขันจังหวะ เพื่อกราบทูล

          “พระชายาหลี่ มาขอเข้าเฝ้าฮองเฮาอยู่ด้านนอกแล้วพะยะค่ะ”

          “หือ นางมาทำไม” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วสงสัย “เชิญนางเข้ามา”

          ทางเดินด้านนอกปรากฏสตรีสาวร่างบอบบาง ดวงหน้าหวานเข้ากับอาภรณ์สีชมพูเยื้องย่างมาพร้อมกับนางกำนัลอีกสองนาง หนึ่งในนั้นคล้องแขนด้วยกล่องใส่อาหารกลมๆใบหนึ่ง พวกนางตามขันทีประจำตำหนักเข้ามา กระนั้นเมื่อใกล้ถึงเรือนหลักก็แว่วเสียงพระชายาหลี่ถามเพื่อให้มั่นใจ

          “นี่เป็นตำหนักหมิงเย่วกวงของฮองเฮาจริงๆหรือ” สีหน้านางดูงุนงงไม่ต่างกับผู้อื่นยามได้อ่านป้ายชื่อตำหนักถั่วแดง แลมาตรว่าขันทีคนดังกล่าวยังมิทันได้ตอบ สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสูงส่งรางๆ ฉับพลันใบหน้าจึงเผยยิ้มหวาน เร่งฝีเท้าเข้าไปย่อตัวคำนับอย่างชดช้อย “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาเพค่ะ”

          “พระชายาหลี่ลำบากมาถึงที่นี่ มีธุระอะไรกับฮองเฮาหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบางถาม

          “หม่อมฉันมิได้ลำบากอะไรเพค่ะ เมื่อวานเห็นฮองเฮาทรงบ่นต้องการคนสนทนาด้วย หม่อมฉันเองก็ว่างอยู่จึงนำขนมอี๋ทำเองมาแบ่งปัน ไม่คิดว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่ด้วย” นางพูดไม่หยุดปาก มือก็เร่งเร้าให้นางกำนัลเปิดฝากล่องบรรจุขนมอี๋อุ่นร้อน ส่งให้นางกำนัลของฮองเฮาไป

          แน่นอนว่าขนมพวกนี้ล้วนทำมาเพื่อฝ่าบาท ส่วนของนายบำเรอผู้นี้ถือว่ามีลาภปาก และด้วยแผนการที่นางดีดลูกคิดรางแก้วมาเป็นอย่างดี เพียงเอาใจฮองเฮาบุรุษผู้นี้สักหน่อย ภาพลักษณ์สตรีผู้อ่อนโยนมีน้ำใจย่อมต้องประทับติดตรึงพระทัยองค์ฮ่องเต้ไม่มากก็น้อย

          “หม่อมฉันเคี่ยวไฟอยู่หลายชั่วยาม รับรองกลมกล่อมแน่เพค่ะ” พระชายาหลี่รับขนมอีกถ้วยจากนางกำนัล ใช้ช้อนเล็กคนขนมหวานรอบหนึ่งก็ตักยกขึ้นมา จรดริมฝีปากเป่าลมไล่ความร้อนแล้วส่งให้ชายหนุ่ม ดวงตาทอประกายความคาดหวัง “นี่ เพค่ะ”

          ท่าทีออดอ้อนจะป้อนให้เช่นนี้ ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ผงะเอนหลังนิ่งอึ้งไป แลในชั่วต้องขณะบรรยากาศรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัด พลันปรากฏใบหน้าเย้ายวนแทรกเข้าไปงับช้อนกลืนก้อนขนมกลมๆสีชมพูในคำเดียว

          ฉับพลันนั้นพระชายาหลี่เกือบจะเปล่งเสียงกรีดร้อง ดวงตาถลนออกจากเบ้า จะ เจ้ามันนายบำเรออสรพิษ ถึงกับกล้าทำลายเรื่องดีงามของผู้อื่น ทว่านางยังมิทันได้ระบายความคับคั่งจนหมด ก็แทบจะกระอักเลือดตามออกมา เมื่อได้รับฟังคำวิจารณ์ไม่ไว้หน้า

          “เค็มเกินไป ก้อนแป้งไม่เหนียวหนุบหนับ บางก้อนก็แข็ง บางก้อนก็ไม่สุก ฝีมือเท่านี้เกรงว่าท้องข้าจะรับไม่ไหว เจ้าไปทำมาใหม่เถิด” ไป๋เซ่อพูดจบก็พ่นลมออกจมูก เอนหลังลูบท้องไม่สนใจสตรีที่ยืนตัวสั่น

          ชมดูร่างน้อยที่รับมิไหว แลหันไปมองถ้วยว่างเปล่าราวกับชามใบใหม่ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ต้องขบขำในใจ หัวไหล่สั่นสะเทือนไปมา กระทั่งนางกำนัลกับขันทีในห้องยังต้องเม้มปาก สะกดกลั้นเสียงหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย 

          “อืม นี่ก็สายมาแล้ว เห็นทีเรารีบต้องไปสะสางกองฎีกา พวกเจ้าก็คุยตามสบายเถิด” ถือโอกาสถอยตอนพระชายาหลี่ยังมิทันคืนสติ ก้มลงหอมแก้มนุ่มหยอกเย้างูน้อยเสียทีหนึ่ง ก่อนจะรีบเอี้ยวตัวหนีสองมือไล่ทุบตีของเจ้าตัว ส่งเสียงหัวเราะฮาฮาจากไป

          กระทั่งขบวนเสร็จติดตามออกมาถึงหน้าตำหนัก ซวนหยวนหมิงไท่พลันหยุดฝีเท้าหันไปมองป้ายตำหนักถั่วแดงอีกครั้ง “เราควรทำอย่างไรกับเจ้าป้ายนี้ดี” กล่าวถามความเห็น ทว่าเสี่ยวลู่กลับรีบกระแทกศอกไปยังหัวหน้าองครักษ์จิ้งแทน

          “อ่ะ เออ กระหม่อมเห็นควรว่า...เอ่อ” ร่างในชุดเกราะถูกทุบคราหนึ่งก็ขมวดคิ้ว เรื่องรักๆใคร่ๆ เช่นนี้เขาจะไปรู้ได้อย่างไร “ฝ่าบาท ลองพระราชทานขนมปุยหิมะดูไหมพะย่ะค่ะ เผื่อฮองเฮาทรงนึกเปลี่ยนพระทัย”

          “......” ช่างเป็นคำแนะนำที่ทำให้สีหน้าเขายับยู่ลง คล้ายต้องยอมรับชะตากรรมนี้เท่านั้น จะอย่างไรก็ต้องขนมสินะ ซวนหยวนหมิงไท่คิด ก่อนออกคำสั่ง “เสี่ยวลู่ สั่งคนจัดส่งขนมไหว้พระจันทร์ไปที”


 

******************************************************

 

          นับแต่ตนขึ้นเป็นฮองเฮา เขาก็ทำตัวลอยชายมาตลอด เรื่องของฝ่ายในไม่ว่าจะน้อยใหญ่ อย่างกำหนดรายจ่ายให้กับพระชายา กองปักเย็บ หรือกองต่างๆในฝ่ายใน ล้วนมีหรูอี้จัดการ ส่วนเขา? มีหน้าที่ประทับตราตั้งหงส์ฟ้าลงบนพระราชเสาวนีย์เท่านี้ก็เป็นอันจบปิ้ง

          มากล่าวถึงพระชายาหลี่ หลังจากเยี่ยมเยือนตำหนักถั่วแดงเมื่อหลายวันก่อน นางก็มิได้เหยียบย่างมาอีก เพียงให้นางกำนัลตำหนักจวี๋ฮวานำส่งขนม พร้อมรับคำวิจารณ์กลับไป แลเมื่อได้ฟังจากปากถิงถิง ผู้ชื่นชอบตรวจตราวังหลวง กุมความลับผู้คนในวังไม่น้อย กลับสืบเสาะพบว่านางกำลังหมกตัวเค้นสมองคิดค้นสูตรขนมใหม่

          ด้วยนิสัยเอาชนะเช่นนี้ ออกจะรับมือได้ไม่ยากนัก ขอเพียงเขาบ่นพอหอมปากหอมคอ เช้าวันต่อมาก็ได้ลิ้มรสขนมชนิดใหม่ ส่วนนางลืมเลือนเจ้าลูกเต่าไป ผิดกับพระชายาเจินที่นิสัยเรียบง่าย ชอบเก็บตัวเงียบมิค่อยพบปะผู้คน ให้ผู้คนยากเดาใจทำอะไรไม่ถูก

          คล้ายมีอะไรดลใจ เมื่อนึกถึงนาง ท่วงทำนองลึกซึ้งทุ่มต่ำของกู่ฉินพลันแว่วลอยเข้าสู่โสตประสาตอันว่องไวกว่าผู้อื่นพอดิบพอดี ราวกับมีก้อนหินถ่วงในใจ ยิ่งช่วงนี้นางออกจะบรรเลงถี่กว่าปกติ เสมือนต้องการดึงดูดใครบางคนให้เข้าไปหา และคนผู้นั้นย่อมเป็น...

          “ข้าจะออกไปข้างนอก” ไป๋เซ่อตบฉาดลงบนโต๊ะ ทำเอาลูกเกาลัดในจานกระเด็นกระจัดกระจาย

          “จะเสด็จไปไหนหรือเพค่ะ?” หรูอี้กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนบัญชีรายรับรายจ่ายอีกทางด้านหนึ่งต้องเงยหน้าขึ้นถาม มือละจากพู่กัน

          “ไปจับตาดูหญิงชั่วชายชู้”

          “หา” หรูอี้อุทานงงงัน ก่อนจะเห็นฮองเฮากระทืบเท้าออกจากเรือนหลักไป ในใจลอบคิด ...ให้ตายเถอะผู้เป็นนายว่างจนฟุ้งซ่านอีกแล้ว

          ไป๋เซ่อไล่ตามเสียงไพเราะไปยังอุทยานหลวง มาตรว่ายังไม่พบคน แต่เสียงกลับเงียบลงไปกลางคันซะก่อน เขารีบจ้ำอ้าวต่อจนแม้แต่หรูอี้ก็ยังไล่ตามไม่ทัน

          “โอ้ย”

          เสียงร้องดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะรีบร้อนจนชนเข้ากับนางกำนัลผู้หนึ่ง ในมือนางถือไว้ด้วยกล่องใส่อาหาร แต่ท่าทางกลับร้อนรนผิดปกติ กระนั้นไป๋เซ่อมิได้ใส่ใจ ยิ่งไม่รอฟังนางกล่าวขอโทษ เดินผ่านเลยไปพลางปราดสายตาหาคนไปทั่ว กระทั่งพบร่างสูงในชุดมังกรยืนหันหลังในศาลาริมสระบัว เบื้องหลังเป็นชายาเจินในชุดสีงาช้าง แก้วขาวระเรื่อเลือดฝาด สายตาเปี่ยมเสน่ห์ช้อนมองชายหนุ่มอย่างหวานซึ้งเอียงอาย

          เพ้ย...มันน่าจับตอนนัก ฟ่อ ฟ่อๆ

          สบถด่าตามประสางู ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับหันขวับสบตา ราวสัมผัสได้ถึงรังสีมาดร้าย ก่อนจะเรียกเขาด้วยสีหน้าระรื่น ผิดกับพระชายาเจินที่สะดุ้งตัวตกใจ กระนั้นพริบตาเดียว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนกลับมาสงบราบเรียบดังเดิม

          “ถวายบังคมเซียวฮองเฮาเพค่ะ”

          ไป๋เซ่อพยักหน้าเล็กน้อยอย่างรำคาญใจ ธรรมเนียมพวกนี้เขารับฟังมาจนเอียนแล้ว จะมีสักคนกันเชียวที่ปฏิบัติกับเขาอย่างคนทั่วไป ว่าแล้วจึงกล่าว “ได้ยินเสียงกู่ฉินน้องสาวเข้า ข้าไม่อยากพลาดฟังจึงรีบมา มิคิดว่าพวกเจ้าจะสนทนากันอยู่”

          ฟังวาจาประโยคนี้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มประหลาดใจ กล่าวเย้าผ่านทางสายตา “อย่างเจ้าเคยสนใจฟังดนตรีกับเค้า? เกรงจะหึงหวงข้าเสียมากกว่า ฮึ ฮึ”

          “หึงบ้านเจ้าสิ แฮ่” ไป๋เซ่อโต้กลับพร้อมแยกเขี้ยวใส่ สาบานไว้ในใจว่าคืนนี้ต้องเตะโด่งคนเจ้าชู้ไปนอนบนพื้นให้ได้

          เจินเริ่นผิงสังเกตเห็นทั้งสองคล้ายลืมเลือนตัวตนนางไป เสี้ยวหนึ่งในใจไม่ยินดี นางเอ่ยขัด “เมื่อสักครู่ฝ่าบาทผ่านทางมา บังเอิญเห็นหม่อมฉันบรรเลงกู่ฉินอยู่ จึงได้หยุดสนทนากันสักครู่เพค่ะ”

          “อย่างนั้นหรือ?” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วถาม เจตนาของนางมีเพียงเท่านี้แน่หรือ “ช่วงนี้เจ้ามาเล่นกู่ฉินที่นี่บ่อยๆสินะ”

          “เพค่ะ กู่ฉินตัวนี้ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาพระราชทานให้ ทั้งยังเป็นของใหม่ที่จัดทำขึ้นมา หม่อมฉันจึงอดใจหยิบมาฝึกฝีมืออยู่บ่อยๆมิได้” นางยิ้มแย้ม ก่อนจะสะดุดตาบนตัวอีกฝ่าย “อ้ะ ขอประทานอภัยเพค่ะ”

          จู่ๆ นางก็เปลี่ยนท่าที ย่างฝีเท้าก้าวเข้ามาจัดแจงอาภรณ์สีเขียวอ่อนของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพรโชยออกมาจากตัวนาง ให้เขาวิงเวียนอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ทิ้งไว้นานจมูกก็ชาชิน

          “ดูว่าฮองเฮาทรงรีบร้อนมากไป ฉลองพระองค์จึงไม่เข้าที่”

          ท่าทีเอาใจใส่รวมไปถึงน้ำเสียงเป็นมิตรเช่นนี้ ทำเอาเหล่าขันทีนางกำนัลซึ่งประจำอยู่รอบนอกศาลาต่างประทับใจไปกับพระจริยาวัตร อันแตกต่างกับพวกสนมที่มักแย่งชิงความโปรดปรานในอดีต

          “ฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่เซียวรอเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรแล้วพะย่ะค่ะ” ในที่สุดเสี่ยวลู่ก็หาโอกาสแทรกกล่าวทูล เจ้าชีวิตรับฟังแล้วก็พยักหน้า แล้วหันไปบอกกับเซียวฮองเฮา

          “ไป๋เซ่อ เจ้ากลับไปรอข้าที่ตำหนัก ข้าคุยธุระกับเซียวถิงฟงสักประเดี๋ยวจะรีบไปหา”

          “เฮอะ ใครบอกจะรอเจ้ากัน อ้ะ...”  ไป๋เซ่อแค่นเสียงขึ้นจมูก ทว่าไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งโหยง สองมือกุมก้นซึ่งโดนบีบไปหมาดๆ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวได้แต่จ้องเขม็งไล่หลังชายหนุ่ม ใบหน้าแดงก่ำ ได้แต่สบถลอดไรฟัน

          ...ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคนหน้าไม่อาย คืนนี้ได้เห็นดีเเน่

          “หม่อมฉันเองก็ออกมานานแล้ว คงต้องขอตัวกลับเสียที”

          พระชายาเจินกล่าวจบก็ย่อตัวคำนับเสร็จสรรพ มือเรียวส่งให้นางกำนัลผู้หนึ่งประคองตัวไป อีกผู้หนึ่งถือกู่ฉินพระราชทานติดตามนางกลับตำหนัก มิให้โอกาสเขารั้งตัวหรือเอ่ยอนุญาตแม้ชั่วครู่ชั่วยาม

          เพ้ย คนในวังหลวงมิใช่เคร่งครัดกฎระเบียบกันนักหรือ ไฉนนางสะบัดก้นจากไปเช่นนี้ มารดามันเถอะ หลอกลวงผู้คนชัดๆ

          ท้ายที่สุดการจับตาดูหญิงชั่วชายชู้(?)ก็จบลงอย่างเงียบๆ มาตรว่าเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่เขากลับสังหรณ์ใจ... ไม่แน่ว่าชายาเจินหรือเจินเริ่นผิงผู้นี้ อาจเป็นสตรีหนึ่งในม้วนบันทึกเนื้อคู่ก็เป็นได้ เมื่อสรุปได้เช่นนั้นจึงได้แต่ตัดสินใจถอยไปตั้งหลักยังตำหนักตนเอง


 

******************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 26.2 ไม่รู้ตัว

 

          ในโถงนั่งเล่นอันหรูหรา อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ประทับตำหนักพระแม่แผ่นดิน นางกำนัลผู้หนึ่งกำลังง่วนจัดแจงวางจานขนมบนโต๊ะอย่างรีบร้อน โดยมิทันสังเกตถึงฝีเท้าสองคู่ที่กำลังก้าวเข้ามาด้านใน

          “ชิวเยี่ยน!”

          ฉับพลันน้ำเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นมา ส่งผลให้นางกำนัลน้อยสะดุ้งตกใจ “เซียวฮองเฮา พี่หรูอี้ ไยกลับมามิให้สุ้มให้เสียง” ใบหน้าของชิวเยี่ยนเผือดสี มิคาดคิดว่าเจ้าของตำหนักจะมายืนอยู่ทางด้านหลังของนางแล้ว

          ฟังน้ำเสียงสั่นน้อย ไป๋เซ่อก็รู้ว่ากลั่นแกล้งคนได้สำเร็จ จึงส่งเสียงหัวเราะ “ฮา ดูหน้าเจ้าสิ ราวกับพบเห็นภูตผีก็มิปาน”

          “เซียวฮองเฮา ดูท่านทำเอานางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว” หรูอี้กล่าวตำหนิแต่มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นของว่างทางด้านหลัง นางถาม “พระชายาหลี่ส่งขนมมาให้อีกแล้วหรือ”

          “......” ชิวเยี่ยนมิได้ตอบเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อย ส่งผลให้ร่างเย้ายวนตาลุกวาว ต้องรีบเบียดนางเข้าไปหาแป้งกรอบโรยงาน่ากิน

          “แล้วเหลียนฮัวเล่า นางมิอยู่รอคำวิจารณ์หรือ” หรูอี้มองหานางกำนัลของจากตำหนักของพระชายาหลี่

          “นาง...นางบอกว่ามีธุระเร่งด่วน มิอาจอยู่รอเซียวฮองเฮากลับมาจึงจากไปแล้ว”

          หือ คิ้วพลันขมวดเข้าหา แม้รู้สึกผิดแปลกไปบ้าง แต่นางยังคงบอกชิวเยี่ยน “ถ้าเช่นนั้นรออีกสักครู่เจ้าค่อยนำความเซียวฮองเฮาไปที่ตำหนักจวี๋ฮวาล่ะกัน...ว้าย” หรูอี้สั่งเสร็จก็เบือนหน้าไปหาอีกคน แต่แล้วก็ต้องลั่นเสียงตกใจ เมื่อขนมแป้งกรอบในจานได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น “เคี้ยวด้วยสิเพคะ อย่ากลืนอย่างเดียวประเดี๋ยวจะติดคอเอา”

          นางบ่นเขาราวกับมารดา สองมือยังอุตส่าห์รินชาอุ่นร้อนให้อย่างเร็วรี่ เขารับมาก็ดื่มรวดเดียวหมด “อ่า ขนมครั้งนี้ใช้ได้ทีเดียว ทั้งมีรสสมุนไพร ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ยังคงต้องปรับปรุงเรื่องของขนาด เพียงคำสองคำก็หมดแล้ว ช่างตระหนืดจริงๆ”

          คำกล่าวนี้ทำเอาหรูอี้หลุดขำ ครั้นกินเสร็จหนังตาบางก็เริ่มปรือ จู่ๆก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมากะทันหัน ไป๋เซ่อจึงย้ายตัวเองไปยังเตียงนอนนุ่มสบาย คิดว่าได้หลับสักงีบคงจะกระปรี้ประเปร่าไม่น้อย กระทั่งหรูอี้เหน็บผ้าห่มให้ ปิดประตูมิให้ใครรบกวน เขาจึงค่อยเข้าสู่ความฝัน

          ในห้องอันเงียบสงบหลงเหลือเพียงลมหายใจเข้าออกราบเรียบ ด้วยร่างกายคลายความระมัดระวัง อีกทั้งวางใจเช่นนี้ ยังผลให้ร่างเล็กมิได้รับรู้ถึงบางสิ่ง ซึ่งกำลังคืบคลานออกมาจากปกเสื้อสีเขียวของตน

          หนอนสีน้ำเงินแปลกตาดูน่ากลัว ไต่ไปยังลำคอ แลใบหน้าที่หลับตาพริ้ม และเพราะตัวมีมันขนาดเล็กประดุจไร้น้ำหนัก ทำให้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าของร่างก็มิอาจรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้ง่ายๆ มันตามกลิ่นหญ้าซากศพเข้าไปยังริมหูอันเป็นทางเข้ามืดมิดใกล้กับเนื้อสมองมากที่สุด

          พริบตาที่ร่างของมันหายไป สักพักหนึ่งร่างของไป๋เซ่อก็กระตุกโดยแรง ร่างแข็งทื่อ กล้ามเนื้อเกร็งแน่นจนเม็ดเหงื่อไหลซึมไปทั่วกาย คิ้วย่อย่นลง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน เป็นเช่นนี้อยู่พักใหญ่กอ่นจะแน่นิ่งไปราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน

          กว่าดวงตาสีฟ้าอมเขียวจะตื่นขึ้นมาครั้ง ก็พลันเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลาแฝงแววเคร่งเครียดกำลังอ่านฎีกาฉบับหนึ่ง ไม่รู้ชายหนุ่มกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังเสียสละต้นขาข้างหนึ่งให้ตนหนุนนอนอีกต่างหาก

          “ตื่นแล้ว?” สังเกตเห็นร่างเล็กกะพริบ ซวนหยวนหมิงไท่จึงยิ้มกว้าง วางฎีกาในมือลงแล้วเอื้อมมือมาลูบศีรษะน้อย “นี่เป็นเวลาเย็นแล้ว จะกินข้าวเลยรึไม่”       

          ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ลูบท้องตัวเอง น่าแปลกที่ไม่รู้สึกหิวสักนิด อีกทั้งเมื่อลุกขึ้นนั่งกลับไม่รู้สึกสดชื่นเอาเสียเลย ทั้งๆที่พึ่งหลับไปเมื่อสักครู่แท้ๆ

          “เป็นไรไป อยากนอนอีกหรือ ถ้าอย่างไรหาอะไรรองท้องเสียก่อน ค่อยกลับมานอนพักเถอะ” ซวนหยวนหมิงไท่แนะนำ จากนั้นจูงมือร่างเล็กไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

          อาหารเย็นวันนี้ละลานตา แต่ไม่เพิ่มความอยากให้เขาแม้แต่น้อย ไป๋เซ่อกินคำสองคำก็วางตะเกียบ ผิดไปจากปกติซึ่งกินเกลี้ยงไม่เหลือหลอ ยังผลให้สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ฉายแปลกใจ ซ้ำระคนเป็นห่วง ตนจึงอธิบายไปว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้กินขนมจนอิ่มท้อง เท่านี้ชายหนุ่มก็มิได้ติดใจ เพียงเอ่ยปากสั่งให้คนทำมื้อดึกเตรียมไว้แทน 

          จบเรื่องกินครานี้เขาโหยหาเตียงยิ่งกว่าเก่า ดังนั้นเมื่อได้ล้มตัวนอนอีกครั้ง ก็แทบจะคล้อยหลับทันทีที่ศีรษะถึงหมอน ทิ้งให้ร่างสูงต้องส่ายหน้ายิ้มๆอย่างอ่อนอกอ่อนใจ


 

******************************************************

 

          ยามดึกสงัด โคมไฟทั่ววังหลวงล้วนดับลงเกินกว่าครึ่ง ลมหนาวเย็นเยียบหนักข้อขึ้นกว่าเก่า ทหารประจำเมืองหลวงผลัดเปลี่ยนเวรยามเป็นคันรบที่สอง กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงที่แว่วมาตามสายลม

          เป็นเสียงกระดิ่งกังวานดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เสมือนต้องการปลุกให้ใครคนหนึ่งตื่นขึ้นมา แลท่ามกลางความมืดมิดไร้ซึ่งแสงเทียนให้ความสว่าง ในที่สุดดวงตาคู่หนึ่งก็เบิกโพลงขึ้นแล้ว

          บัดนี้ดวงตาเรียวงามกลับมิได้เป็นสีฟ้าอมเขียว แต่เป็นสีดำทื่อไร้ประกายและจุดรวมแสง สองขายาวเพรียวเหาะเหินผ่านร่างสูงส่งไป กระทั่งปลายเท้าก็หาได้สัมผัสถึงเตียง จากนั้นทะยานร่างออกไปด้านนอกดุจดั่งหมอกควันที่มิอาจจับต้อง

          แหวกผ่านสายลมไปจนถึงตำหนักแห่งหนึ่งซึ่งปลูกต้นเฟิงล้อมรอบ ที่นั่นมีบุรุษในชุดสีดำรออยู่แล้ว สีหน้าของเขาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันไปเปิดประตูห้องเรือนซึ่งงับปิดสนิท

          “คุณหนู เขามาแล้ว” ลู่เหวินเอ่ยเสียงราบเรียบ แลไม่นานสตรีทางด้านในก็ส่งเสียง

          “ดีให้เขาเข้ามา”

          สิ้นเสียงหวานราวสายน้ำ มิรอให้ลู่เหวินเข้ามา ฝีเท้าก็นำพาตนเองเข้าไปใกล้สตรีผู้นี้  ทันทีที่เข้าใกล้แสงเทียน ดวงหน้าสวยสง่า ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ราวลูกกวางน้อยก็ปรากฏสู่แววตาเลื่อนลอย

          “นับแต่ข้าเจินเริ่นผิงเกิดมา มิเคยได้เห็นเรื่องราแปลกประหลาดเช่นนี้” พระชายาเจินลุกขึ้นพลางก้าวเข้าไปมองร่างเย้ายวนในอาภรณ์สีขาว สังเกตใบหน้าเย้ายวน งดงามยากหาใครเทียบเทียม ยังมีกลิ่นกายอบอุ่นของเจ้าชีวิตที่ยังคงติดตรึงผิวกาย ชวนให้ผู้คนเกิดริษยา

          เพี้ยะ

          ฝ่ามือหนึ่งกระทบเข้าบนดวงหน้าเย้ายวน ด้วยแรงเหวี่ยงทำให้ไป๋เซ่อเบี่ยงหน้าไปทางด้านข้าง แต่กระนั้นก็หามีเสียงใดเล็ดลอดจากริมฝีปาก มีเพียงรอยแดงเห่อขึ้นบนแก้มนวล

          “คุณหนู โปรดระงับโทสะ หากเขามีรอยแผล ฝ่าบาทต้องเกิดข้อสงสัยแน่” ลู่เหวินเอ่ยปราม

          “ข้ารู้ ข้าแค่ต้องการทดสอบ” นางตอบทว่าสายตายังคงจ้องเขม็งไม่ละไปจากเซียวไป๋ ชายบำเรอผู้นี้ช่างน่าชัง มิเพียงแต่แย่งที่ของนาง กลับแย่งเอาความรักจากชายที่นางหลงรักไปอีกด้วย นางสั่งน้ำเสียงเย็นชา “คุกเข่า!”

          ทันใดนั้นคนที่ยืนอย่างไร้จิตวิญญาณก็ชะงักไปเล็กน้อย ทั้งมีท่าทีขัดๆ คล้ายลังเลจะทำตาม ทำให้เจินเริ่มผิงต้องตวาดย้ำ หากแต่ก็ไม่ประสบผลแต่อย่างใด เพราะร่างตรงหน้ายังคงไม่ฟังคำสั่ง “ไยจึงเป็นเช่นนี้”

          “พระชายาเจิน อย่าพึ่งใจร้อนไป นี่เป็นเพราะจิตใต้สำนึกเขายังต่อต้าน” ต่อเมื่อน้ำเสียงของบุคคลที่สี่ดังขึ้น ร่างๆหนึ่งก็เผยตัวออกมาจากเงามืดมิด ดวงตาสีน้ำตาลแดงบางครั้งดูเหมือนโลหิต “เผาหญ้าสิ้นซากเสีย ทีนี้หนอนทุกข์ระทมจะกัดกินสมองเขา รอจนเขาทนมิไหวจึงสั่นกระดิ่งพันลี้ เท่านี้เขาก็จะศิโรราบต่อพระชายาแล้ว”

          นักพรตอันหลงกล่าวจบ สีหน้าของพระชายาเจินก็ฉายแววอำมหิต นางปราดสายตาไปยังลู่เหวิน เพียงไม่นานเขาก็จัดแจงนำกระถางกำยานทองเหลืองสลักลวดลายหงส์ จากนั้นจึงเผาหญ้าสิ้นซากที่ได้จากท่านนักพรตมา

          กลิ่นหอมอ่อนๆค่อยๆคละคลุ้งในบรรยากาศ คนทั้งสามกลับมิได้รู้สึกผิดแผกอันใด ยกเว้นเพียงเซียวไป๋ที่เริ่มมีสีหน้าขาวซีด เหงื่อกาฬไหลกลิ้งแนบแก้ม มือเรียวข้างกายกำชับแน่นขึ้น

          “อึก...”

          ใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งเค่อ พลันมีเสียงเล็ดลอดจากไรฟัน ดูท่าทางแล้วเจ้าตัวอดกลั้นไว้ได้ดียิ่ง นางจึงสั่งให้ลู่เหวินเพิ่มจำนวนหญ้าสิ้นซาก เพียงไม่นานไป๋เซ่อก็เริ่มกุมศีรษะ บางสิ่งที่ชอนไชภายในทำให้เขาเจ็บปวดแทบคลั่ง

          “อา...อา” ท้ายที่สุดเสียงร้องเจ็บปวดก็ดังออกมา ต้องคู้กายกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างทุรนทุราย

          เจินเริ่นผิงมองดูคนเจ็บปวดราวกับจะตายผู้นี้ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ไร้ซึ่งความเมตตาอันใด อีกทั้งไม่มีท่าทีจะสั่นกระดิ่งพันลี้ในมือ รอจนร่างดังกล่าวไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนไหว จวนเจียนจะหมดสติไปนางจึงยุติการทรมาน

          ทันทีที่มีเสียงติงติงดังขึ้น ร่างสีขาวก็นอนแน่นิ่งบนพื้นอย่างหมดสภาพ กระนั้นดวงตาสีดำยังคงเลื่อนลอยไม่ปิดลง พระชายาเจินจึงก้าวเข้าไปใช้ฝ่าเท้าเขี่ยร่างฮองเฮาบุรุษโดยแรง ถึงตอนนี้มิต้องสั่งคุกเข่า อีกฝ่ายก็ต้องสยบใต้ฝ่าเท้านางแล้ว

          “ท่านนักพรตอันหลง หากข้าใช้หญ้าสิ้นซากไปเรื่อยๆ ปีศาจงูผู้นี้จะเป็นอย่างไรบ้าง” นางยกยิ้มแฝงด้วยความอำมหิตประการหนึ่งก่อนถาม

          “หากใช้ถี่เกินไป สมองของปีศาจอสรพิษย่อมถูกกลืนกินจนถึงแก่ความตาย ทว่า...” นักพรตอันหลงหยุดเสียง มุมปากคล้ายปรากฏรอยยิ้มที่เสมือนมิมี “ในทางตรงกันข้าม หญ้าชนิดนี้มีฤทธิ์กล่อมประสาทพวกเหล่าอสรพิษ ขอเพียงลิ้มลองเพียงครั้ง จะมิอาจตัดขาดจากมันได้ตลอดกาล ส่วนกำยานหญ้าสิ้นซากนี้ เมื่อจุดหนึ่งกำจะสิ้นฤทธิ์ในสามวัน หากมันมิได้รับเข้าสู่ร่างกายในภายหลังจะกระวนวาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายต้องทรมานทั้งเป็น ยากจะทนทานได้ ต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายจึงจะพ้นเคราะห์

          จนถึงก่อนหน้านั้น พระชายาสามารถใช้หญ้าสิ้นซากนี้เรียกร้องสิ่งที่ต้องการจากมัน มันย่อมกระทำตาม แต่กระนั้นเมื่อเริ่มจุดกำยานอีกครั้งหนอนทุกข์ระทมก็จะเริ่มกัดกินสมองมันอีกครา ขอเพียงไม่ทิ้งไว้นานสั่นกระดิ่งพันลี้ระงับไว้ เท่านี้มันก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมไปอีกนาน”

          ฟังดูไม่ว่าทางใดล้วนทุกข์ระทมสมชื่อ เจินเริ่นผิงถึงกับหัวเราะออกมา ไม่นานลู่เหวินซึ่งรอรับคำสั่งต่อไปจึงเอ่ยถาม

          “คุณหนูคิดวางแผนต่อไปเยี่ยงไร”

          “ย่อมต้องฉุดเขาลงจากตำแหน่งฮองเฮา ทั้งมิให้มีโอกาสพลิกฟื้นได้อีก” นางกล่าวเสียงแข็ง ดวงตาประดุจลูกกวางน้อยกลับกลายเป็นแข็งกร้าว

 
          ย่ำเช้าของวันต่อมาไป๋เซ่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดร้าวร่างกายอย่างหนัก สมองหนังอึ้งซ้ำยังปวดตุบๆ ยังมีใบหน้าที่ชาบวมคล้ายถูกบางสิ่งฟาดเข้าอย่างแรง เขาร้องโอดโอยคราหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ซึ่งกำลังยืนให้เสี่ยวลู่จัดฉลองพระองค์ให้เข้าที่ก็เอี้ยวหน้าถาม

          “เป็นไรไป ไม่สบายหรือ”

          “ข้า...” ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอันใด และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเป็นห่วง ไป๋เซ่อจึงตอบออกไป “เจ้าจะรีบไปประชุดเช้ามิใช่หรือ มิต้องสนใจข้าหรอก ข้าคงจะท้องอืด มิได้เป็นอันใดมากหรอก”

          “ให้ข้ามิสนใจ ฮึ ฮึ จะเป็นไปได้อย่างไร” ซวนหยวนหมิงไท่หันมาจุมพิตหน้าผากน้อย “ข้ารู้เมื่อคืนเจ้าแอบไปที่ตำหนักห้องเครื่อง”

          “.......” ชายหนุ่มกระซิบบอก ทว่าไป๋เซ่อกลับเลิกตางุนงง

          “วันหลังหากอยากกินก็มิต้องเทียวไปเทียวมา ข้าจะสั่งเปิดห้องเครื่องที่ตำหนักถั่วแดงเอง”

          “จริงๆนะ” ได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มร่า กระทั่งซวนหยวนหมิงไท่สั่งให้คนต้มยาแก้ท้องอืดอันมีรสชาติสุดจะบรรยาย เขาก็ยังดื่มจนหมดถ้วยอย่างอารมณ์ดี ระหว่างนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าเป็นเพราะเมื่อคืนตนละเมอไปยังห้องเครื่องตามประสาคนหิวโหย ดังนั้นคงเกิดซุ่มซ่ามให้ปวดเมื่อยไปบ้าง

          แต่ดูทว่าเรื่องนี้เขาอาจคิดผิด เพราะเมื่อในเช้าวันต่อมา และต่อมาอาการไร้เรี่ยวแรง ปวดศีรษะ กับหนักข้อขึ้นทุกวันๆ ซึ่งเป็นเช่นนี้อยู่สามวัน อาการที่เพียรเก็บไว้ไม่บอกใคร โดยเฉพาะซวนหยวนหมิงไท่ก็พลันปรากฏให้เห็น

          “ไป๋เซ่อ เจ้าไม่สบายใช่รึไม่ อย่าได้โกหก” สีหน้าของร่างสูงขึงขัง คล้ายต้องการกดดันให้เขายอมรับความจริง

          ด้วยเช้าวันนี้เขาตื่นขึ้นมาด้วยอาการพะอืดพะอม สีหน้าที่เคยมีน้ำมีนวลกลับดูขาวโพลนราวกับคนป่วย ตัวก็เย็นเยียบผิดปกติ ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วเค้นถาม กระนั้นเขาก็ปฏิเสธ

          งูเผือกแห่งพิภพสวรรค์เช่นเขาจะป่วยได้อย่างไร ให้เทพเซียนองค์ใดรู้เข้า เขาคงได้แต่มุดดินหนี

          “ไป๋เซ่อ”

          แลในขณะที่กำลังฝืนยืนให้อีกฝ่ายวางใจ ร่างของเขาก็พลันทรุดฮวบ ภาพตรงหน้าดับวูบไม่เห็นสิ่งใด ได้ยินเพียงเสียงร้องตกใจจากนั้นจึงมิอาจรับรู้อันใดได้อีก


 

******************************************************

 

          จบไปอีกหนึ่งบท เหอ เหอ บทนี้เค้าใจร้ายกับไป๋เซ่อ เขียนไปก็สงสารไป ขอโทษด้วยน้าาา

          บทหน้าก็อาจจะอัพเสาร์หรืออาทิตย์เหมือนเดิมน้า หากมิอะไรเปลี่ยนเเปลงอาจจะเเจ้งข่าวในหน้าเฟสน้า ส่วนใครมีข้อเเนะนำ คอมเมนท์ไว้ได้จ้า เดี๋ยวกลับมาอ่าน สุดท้ายนี้ติดตามเชียร์เจ้างูเผือกน้อยกันต่อในบทน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2016 21:00:22 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 27.1 ร่างปริศนา

 


          “ไป๋เซ่อ”

          มองร่างเล็กล้มครืนไปต่อหน้าต่อตา ใจของซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับดิ่งลงเหว สองแขนรับร่างเบาหวิวเข้าสู่อ้อมกอด ครั้นเห็นเปลือกตาเรียวบางปิดลง ไป๋เซ่อแน่นิ่งไม่รู้สึกตัว ก็ตวาดลั่น “เสี่ยวลู่”

          “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงร้อนรนผิดปกติ เสี่ยวลู่ก็รีบผลักประตูห้องบรรทมเข้าไปทันที บัดนี้ภายในห้องปรากฏภาพนายเหนือหัวกอดร่างสิ้นสติที่ทรุดกับพื้น ยังผลให้เขาแตกตื่น ตามมาด้วยเสียงร้องตกใจของหรูอี้ซึ่งประคองอ่างน้ำเข้ามาทีหลัง

          “ตามหมอหลวงเร็ว” ซวนหยวนหมิงไท่รีบตะโกนบอก สลับกับตบแก้มขาวซีดเรียกสติเจ้างูเผือกน้อยเบาๆ

          เสี่ยวลู่ไม่รีรอหมุนตัวกลับ คิดตามหมอหลวงให้เร็วที่สุด แต่ทว่าฝีเท้ามิทันจะก้าวออก หน้ากลับกระแทกเข้ากับกำแพงตระหง่านที่ไม่รู้มีมาตั้งแต่เมื่อใด รอจนผงะกายถอยหลัง บุรุษร่างองอาจในชุดสีม่วงอมดำพร้อมด้วยเด็กน้อยดวงตากลมโตในชุดสีม่วงอ่อนก็ฉายเต็มตา

          “ไม่ต้องตามแล้ว”

          คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นบอก หากแต่มนุษย์กำแพงผู้มีใบหน้าเย็นชาฉาบทับกลับล่วงผ่านตัวเสี่ยวลู่ไปไวราวกับพายุ แลพริบตาเดียวเจ้าตัวก็บรรลุถึงร่างซีดขาวไร้สติ

          “วางเขาลงบนเตียง”

          น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นเหนือศีรษะ ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วบังเกิดความเจ็บแปลบขึ้นในอก ทั้งนี้ได้แต่กระทำตามโดยดี สองมือบรรจงวางร่างในอ้อมอกลงบนเตียงนุ่มอย่างทะนุถนอม จากนั้นเป็นฝ่ายถอยให้คนอีกผู้หนึ่งเข้าแทนที่

          ด้านหงเว่ยไม่เสียเวลาแม้ชั่วครู่ชั่วยาม ก้มตัวลงนั่งข้างเตียง ยื่นมือไปตรวจอาการคนสลบไสลไม่รู้สึกตัว ระหว่างนั้นหงลิ่วก็เข้ามาสำรวจใบหน้าขาวโพลนของไป๋เซ่ออย่างเป็นห่วง

          “พี่ใหญ่ พี่ชายไป๋เป็นอย่างไรบ้าง”

          “........” หงเว่ยมิได้ตอบวาจา แต่หัวคิ้วกลับย่อย่นลง ดูว่าภายนอกไป่ไป๋ดูย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ทว่าภายในกลับเพียงแสดงอาการไข้หวัดเล็กน้อย ออกจะผิดแผกขัดแย้ง เขาเบนสายตาไปยังชายอีกคน “ก่อนหน้านี้เขากินอะไรผิดสำแดงหรือไม่”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วตัวชาวูบ ครานี้หมัดที่กำแน่นอยู่แล้วต้องกดลึกเข้าไปในฝ่ามืออีกระดับ วังหลวงเป็นสถานที่แห่งใด ไฉนตนจึงลืมเลือนไปได้ เขากดเสียงข่มความพลุ่งพล่านในใจแล้วเอ่ยเสียงเย็น “หรูอี้ ตอบข้ามา”

          “ก่อนหน้านี้...” เจ้าชีวิตทรงตรัสถาม แต่หรูอี้กลับพูดมิออก ด้วยจับต้นชนปลายมิถูก สีหน้าจึงถอดสีไม่แพ้ผู้เป็นนาย สุดท้ายได้แต่โขกศีรษะ “เป็นหม่อมฉันดูแลเซียวฮองเฮาไม่ดี โปรดทรงลงพระอาญาเถิดเพคะ”

          ประโยคนี้ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่สาดสายตาเกรี้ยวกราดใส่ ให้บรรยากาศโดยรอบกดดันหนักอึ้ง แม้แต่ข้ารับใช้ในตำหนักซึ่งคุกเข่ายังด้านนอกยังมิกล้าขยับตัวหายใจแรงนัก แต่แล้วในขณะที่เรื่องราวเลวร้ายลงไปทุกทีกลับมีเสียงหนึ่งผุดขึ้นอย่างมั่นใจ

          “ต้องเป็นเพราะขนมของพระชายาหลี่แน่ๆ เพคะ”

          “เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เจ้าชีวิตขึ้นเสียงแปลกใจ หรูอี้เองก็หันไปมองผู้กล่าวอย่างตกตะลึง

          “ตั้งแต่วันนั้น...วันที่เซียวฮองเฮาเสวยแป้งกรอบโรยงาของพระชายาหลี่เข้าไปก็มิทรงอยากอาหาร หนำซ้ำร่างกายยังเหนื่อยอ่อนลงทุกวันๆ” ชิวเยี่ยนเงยหน้าขึ้นกราบทูล

          “เจ้ากำลังบอกว่าพระชายาหลี่วางยาพิษเซียวฮองเฮาอย่างนั้นรึ”

          พระสุรเสียงตวาดก้อง ดวงพระเนตรสีดำอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ ชิวเยี่ยนสบเข้าก็นึกกลัวต้องก้มศีรษะล่ะล่ำละลักกล่าว “มะ...หม่อมฉันมิกล้า”

          อีกด้านหนึ่งไป๋เซ่อได้รับการกดจุดเหรินจง[1]พลันฟื้นตื่นทันประโยคกล่าวโทษพระชายาหลี่ เขาฝืนใช้น้ำเสียงระโหยโรยแรงเอ่ยแย้ง ด้วยมิต้องการให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตไปกว่านี้ “ยาพง ยาพิษอะไรกัน ซวนหยวนหมิงไท่เจ้าอย่าฟังคำนาง ข้าก็แค่ไม่สบายเท่านั้น” หากเป็นยาพิษจริง มีหรือจะตบตาอสรพิษจมูกไวอย่างตนไปได้

          “ไป๋เซ่อ” แค่ได้ยินเสียง ซวนหยวนหมิงไท่ก็คลายสีหน้าทะมึนลง อีกทั้งตรงเข้าไปดูอาการคนดื้อรั้น ก่อนเบนสายตาถามร่างสีม่วงอมดำ “จริงรึ?” ยามนี้มีเพียงคนผู้นี้ยืนยัน ตนจึงจะวางใจ

          “........” หงเว่ยสบสายตากับฮ่องเต้หนุ่ม เนิ่นนานจึงอ้าริมฝีปาก “ระยะนี้คงเป็นหวัดเล็กน้อย อย่าให้เขาต้องลมหนาว ข้าจะให้หงลิ่วอยู่ที่นี่ชั่วคราว คอยรับผิดชอบต้มยาให้เอง” แม้อสรพิษเกล็ดหิมะจะทนทานต่ออากาศหนาว แต่หากร่างกายอ่อนแอเกินไปก็มีสิทธิ์แข็งทื่อประดุจน้ำแข็ง

          “โฮ ดีจังเลย บำเพ็ญเพียรมาตั้งหลายวัน ในที่สุดข้าจะได้เที่ยวเล่นบ้างแล้ว” หงลิ่วแทรกกายระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง กระโดดขึ้นบนเตียงไปซุกกอดร่างสีขาว ให้ไป๋เซ่อส่งเสียงคิกคักลอบตีก้นไปคราหนึ่ง

          “วิเศษยิ่ง” ซวนหยวนหมิงไท่เห็นพ้องต้องกัน จึงมีรับสั่งให้รีบจัดเตรียมห้อง หรูอี้รับพระบัญชาแล้วก็มิกล้ารีรอหมุนตัวออกไปจัดการทันที ด้านชิวเยี่ยนและคนอื่นๆ ถูกเสี่ยวลู่สั่งแยกย้ายกลับไปทำงาน ส่วนเขารอดูไป๋เซ่ออยู่สักพัก จนสีหน้าของเจ้าตัวดีขึ้นก็จำใจปลีกตัวออกไปจัดการเรื่องบ้านเมืองต่อ

          ต่อเมื่อขบวนเสด็จห่างจากตำหนักถั่วแดงไป สีหน้าของโอรสสวรรค์ก็ฉายแววเคร่งเครียดอย่างไม่ปิดบัง ด้วยรู้สึกมีบางสิ่งติดค้างในใจ

          ปกตินางกำนัลผู้หนึ่งคิดกล่าวโทษสนมชายา ย่อมต้องมีท่าทีลังเลขลาดเขลาอยู่บ้าง เพราะหากเรื่องราวพลิกผัน กลับกลายเป็นตนกล่าวเท็จทูลเจ้าเหนือหัว แน่นอนว่าโทษทัณฑ์ไม่จบแค่โบยตี กระนั้นชิวเยี่ยนผู้นี้กลับใช้วาจาฉะฉาน น้ำเสียงมั่นใจ คล้ายรอให้เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้อยู่ก่อนแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ประเมินมอง เกรงว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

          “เสี่ยวลู่” เรียกขันทีผู้ซึ่งติดตามอยู่ข้างกาย รอจนอีกฝ่ายขานรับจึงกระซิบบอก “สั่งการองครักษ์เงา จับตาดูความเคลื่อนไหวของนางกำนัลชิวเยี่ยนว่าติดต่อกับผู้ใดบ้าง” ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร เขาจะลากมันออกจากเงามืดให้จงได้

          “น้อมรับด้วยเกล้า พะยะค่ะ” เสี่ยวลู่ค้อมกายรับพระบัญชา

          ย้อนกลับไปอีกทางฝากฝั่ง หงเว่ยมองไป๋เซ่อกับหงลิ่วสนทนาพาที ตนเองก็ตกเข้าสู่ภวังค์ ต่อให้เป็นไข้หวัดเพียงเล็กน้อย ร่างน้อยย่อมไม่มีทางหมดสติไปเช่นวันนี้ เว้นเพียงร่างกายเจ้าตัวจะมีปัญหาจริงๆ

          หรือว่าถูกพิษ? ร่างแกร่งประสานมือสองจ่อใกล้ริมฝีปาก ครุ่นคิดได้ไม่นานก็ต้องส่ายศีรษะ อสรพิษที่พิษร้ายแรงเช่นพวกตน ยังจะมีพิษใดกล้ำกราย ...แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมาเล่า ฉับพลันพานนึกถึงหงซานผู้ซึ่งออกตามหาจิตวิญญาณหงเอ้อร์ไปทั่วดินแดน พบเห็นสิ่งแปลกประหลาดผ่านตาไม่มากก็น้อย น่าจะพอระแคะระคายถึงบางสิ่งบางอย่างก็เป็นไปได้

          “อ้าว พี่ใหญ่ท่านจะไปไหน” หงลิ่วกล่าวถาม เมื่ออีกฝ่ายลุกพรวด

          ยามนี้หงเว่ยจึงรู้สึกตัว พลันพบว่าไป่ไป๋กำลังจ้องเขาอยู่ “ขะ...ข้า” ตัวแข็งทื่อใบหน้าแดงก่ำ ได้แต่โพล่งออกไป “ข้าจะไปเวจ”

          สิ้นเสียงคนก็หายตัวไปไวชนิดไม่เห็นฝุ่น ทิ้งให้ไป๋เซ่อตีหน้าไร้เดียงสาเอ่ยอย่างเห็นใจ “สงสัยข้าศึกประชิดกำแพงเมือง หงเว่ยเจ้าไปดีมาดีเถอะ”


 

**********************************************

 

          นับแต่องค์เหนือหัวทรงพระพิโรธ ขันทีนางกำนัลในตำหนักถั่วแดงเผชิญเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน วันต่อมาข่าวคราวเซียวฮองเฮาทรงประชวรก็ล่วงรู้ไปทั่วทั้งวัง แน่นอนไม่เว้นแม้แต่ข่าวลือว่าต้นสายปลายเหตุเกิดจากพระชายาหลี่ทรงหึงหวง จึงมีรับสั่งวางยาพิษเซียวฮองเฮา

          ข่าวลือนี้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ให้ผู้ถูกพาดพิงอย่างพระชายาหลี่เกรี้ยวกราด ต้องระบายโทสะปัดเครื่องครัวเสียหายไปไม่น้อย จนเมื่อสงบสติอารมณ์ได้นางก็เชิดหน้าลั่นวาจาจะทำอาหารฟื้นบำรุงให้กับเซียวฮองเฮา เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แลหากระหว่างนี้อีกฝ่ายเกิดทรุดหนัก ตนยินดีนำศีรษะพาดไว้บนเขียง

          ด้วยคำประกาศนี้สยบข่าวลือมิให้รุนแรงมากเกินไปนัก กระนั้นก็ยังมีคนบางส่วนปักใจเชื่อว่าเป็นการกระทำของนางอยู่ดี ส่วนเพลานี้คู่กรณีอย่างไป๋เซ่อกลับไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว นอนแผ่หลาหงายหน้าท้องสีขาวบริสุทธิ์ท่ามกลางกองฎีกาเกลื่อนกลาดบนโต๊ะ แต่แล้วไม่นานก็มีบุรุษสูงวัยมาตะโกนเสียงดังทำลายความสงบ

          “ฝ่าบาท แม้พระชายาหลี่จะอารมณ์เลวร้ายไปบ้าง แต่พระนางมิเคยปองร้ายเซียวฮองเฮาจริงๆ ได้โปรดทรงเชื่อกระหม่อมเถิดพะยะค่ะ”

          ขุนนางขั้นผู้ใหญ่หลี่เชียนมิรอให้ลู่กงกงขานเสียงบอก กลับพรวดพราดบุกรุกเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ครั้นมาถึงก็คุกเข่าลั่นเสียงก้อง ยังผลให้มือเรียวซึ่งกำลังตวัดพู่กันต้องหยุดชะงัก ดวงหน้าสง่างามเงยขึ้นทอดมองไปยังผู้มาใหม่อย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งไม่มีกระแสรับสั่งใดแม้แต่จะให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

          บรรยากาศเงียบกริบกำจายไปทั่วห้อง โอรสสวรรค์ปลดปล่อยรังสีกดดันให้ขุนนางแซ่หลี่เหงื่อตก จวบจนได้ยินเสียงฟึดฟัดราวกับหายใจไม่สะดวก ก็พบว่าเจ้าตัวน้อยผงกศีรษะขึ้นให้ความสนใจผู้มาใหม่แล้ว

          “อ้าว ไป๋เซ่อสั่งน้ำมูก” ยื่นผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีไปให้ งูเผือกน้อยเห็นดังนั้นก็ยิ้มแฉ่งก้มหน้าสั่งน้ำมูกเสียงดังสนั่น

          ระหว่างนั้นหลี่เชียนลอบหรี่ตามอง พลันเห็นฮ่องเต้หนุ่มพับผ้าผืนเล็กอันเต็มไปด้วยน้ำมูกเข้าไปในอกเสื้อ พร้อมกันนั้นยังระบายรอยยิ้มอ่อนโยนให้อสรพิษตัวสีขาว ในใจก็อดตะลึงวูบมิได้ เห็นทีรสนิยมของเจ้าชีวิตพระองค์นี้ออกจะพิสดารเกินกว่าตนจะเข้าใจ เขากระอักกระอ่วนอยู่พักใหญ่จึงเปล่งเสียง “ฝ่าบาท เรื่องพระชายาหลี่...”

          “เรื่องนี้เรามิได้สั่งกักขังชายาหลี่สักหน่อย ท่านจะโวยวายไปไย”

          “เช่นนั้นทรงเชื่อพระชายาหลี่ใช่ไหมพะย่ะค่ะ” สีหน้าของหลี่เชียนแสดงความดีอกดีใจ แต่แล้วองค์เหนือหัวกลับนิ่งเงียบและเพียงตัดบท

          “หากไม่มีอะไรแล้ว ท่านก็กลับไปเถอะ เรื่องข่าวลือหากยังมีคนพูดจาเลื่อนเปื้อน เราจะสั่งลงโทษสถานหนัก” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยจบก็มิได้สนใจอีกฝ่าย หันกลับไปหยอกล้อกับเจ้างูน้อยต่อ

          “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ กระหม่อม...ทูลลา” หลี่เชียนได้ฟังดังนั้นถึงกับเซื่องซึม แม้ฝ่าบาทจะทรงรับปากลงโทษผู้ปล่อยข่าวลือ แต่มิได้หมายความว่าทรงมิได้ระแวงบุตรสาวตน

          มองดูขุนนางผู้นี้คอตกกลับบ้าน ไป๋เซ่อจึงถามชายหนุ่ม “เจ้ายังคิดว่าชายาหลี่วางพิษข้าอยู่อีกหรือ?” ถึงนางจะถือตัวอยู่บ้าง แต่ตนกลับไม่รู้สึกว่าหลี่ซิ่วหลันผู้นี้ใจคอโหดเหี้ยม ขนมที่นางทำแต่ละชิ้น แม้นมิได้เลิศรส แต่กลับพิถีพิถันบอกถึงความใส่ใจ ยิ่งรวมกับนิสัยรั้นไม่ยอมแพ้ ทำให้เขาชอบอกชอบใจนางอยู่ไม่น้อย

          “วันนี้ไม่ แต่วันหน้าไม่แน่นัก” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบห้วนๆ เขาซึ่งเติบโตในวังหลวง เห็นเล่ห์ร้ายของสนมชายามาก็ไม่น้อย และอีกอย่างมิใช่ว่าพระมารดาสิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษหรอกหรือ “ไป๋เซ่อ ต่อให้เจ้าหมื่นพิษไม่กล้ำกราย แต่อย่างไรก็ต้องรู้จักระวังตัว เข้าใจไหม”

          ชายหนุ่มเอ่ยเตือน หากแต่ไป๋เซ่อกลับเบ้ปากใส่ พอดีกับพายุหมุนลูกเล็กปรากฏตัวกลางห้อง เป็นหงลิ่วถือชามยารสขมร้องบอกอย่างร่าเริง

          “พี่ชายไป๋ ได้เวลากินยาแล้ว”

          แค่เหลือบไปเห็นชามยาส่งควันกรุ่น ไป๋เซ่อก็ดิ้นพล่านร้องโหยหวน ตนอุตส่าห์หนีมาหลบอยู่ที่นี่ ไฉนเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ยังตามมาพบอีก

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นท่าทีแดดิ้นของไป๋เซ่อก็หัวเราะน้อยๆ พลางถาม “หงลิ่ว เขายังต้องการกินยาอีกกี่เทียบหรือ”

          หงลิ่วแสยะยิ้มบอกหน้าตาย “สองเทียบไม่ขาดไม่เกิน”

          “ข้าดีขึ้นแล้ว มิจำเป็นต้องดื่มยาอีก” ไป๋เซ่อท้วง อีกทั้งรีบเบนศีรษะมุดเข้าไปหลบในอกเสื้อของชายหนุ่ม

          “เด็กดี ถ้าดื่มหมด ข้ามีลูกอมหวานให้เจ้า” เขาพยายามดึงงูน้อยตัวเรียบลื่นออกจากเสื้อ ทั้งหลอกล่อเจ้าตัวด้วยขนมหวาน ไป๋เซ่อได้ฟังก็เกิดลังเล ก่อนจะพร่ำยืนยันว่าจะดื่มยาอันมีรสชาติสุดแสนจะห่วยแตกนี้เป็นชามสุดท้าย

          ครั้นบรรลุหน้าที่ หงลิ่วจึงเอ่ยถาม “จริงสิไป๋ ท่านเห็นพี่ใหญ่ของข้ากลับมารึยัง?”

          “หือ อะไรกันเขายังไม่กลับมาอีกรึ” ไป๋เซ่อตอบกลับอย่างงุนงง ก่อนนึกถึงท่าทีรีบร้อนก่อนจากไปของหงเว่ย “คงถ่ายท้องหนักกระมัง”

          คำกล่าวนี้ทำเอาหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยิ้มขัน หารู้ไม่ว่า ณ ที่ไกลออกไปยังทะเลทรายอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสรรพสิ่ง กระแสลมร้อนพัดพาอย่างบ้าคลั่ง กลับมีบุรุษสองคนคลุมเสื้อสีน้ำตาลปิดบังใบหน้า เดินย่ำเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่มีย่อท้อ

          “ฮัดเช้ย”

          “พี่ใหญ่ จะพักก่อนรึไม่” เห็นพี่ชายจามออกมา หงซานก็เอ่ยปากถาม ดูจากสภาพอากาศตรงหน้า อีกไม่นานคงจะเกิดพายุทะเลทราย

          “ไม่ ไปต่อเถอะ”

          เนินทรายปรากฏรอยฝ่าเท้าเหยียบย่ำ ทว่าไม่นานก็ถูกกลบด้วยเม็ดทรายละเอียด พวกเขาทั้งสองต่างเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งผ่านพ้นไปราวเค่อหนึ่ง พายุหมุนหอบใหญ่ก็ตรงเข้าโหมกระหน่ำ มาตรว่าต่อให้ไม่อยากหยุด แต่ครานี้พวกเขาก็จำต้องหยุดลงแล้ว

          “หงซาน ชนเผ่าหมอผียังอยู่อีกไกลรึไม่” หงเว่ยถาม หัวคิ้วขมวดด้วยความร้อนใจ

          “อีกประมาณห้าสิบลี้เห็นจะได้” หงซานตอบพลางสร้างเกราะคุ้มกันพายุทราย

          เพลานี้ทัศนียภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความมืดมัว แทรกด้วยเสียงคลื่นลมอื้ออึง ยากจะแยกทิศทางหรือแม้แต่กลางวันกลางคืน ทว่าชนเผ่าหมอผีหาใช่สถานที่ธรรมดา ที่ใครนึกอยากจะไปก็ไปได้ ฉะนั้นหงเว่ยได้แต่รอคอย ให้พายุสงบด้วยจิตใจอันเยือกเย็น


 

**********************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 27.2 ร่างปริศนา

 

            ต่อเมื่อยาสองเทียบหมดลง อาการหวัดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไป๋เซ่อถึงกับกระโดดโลดเต้น กอดคอหงลิ่วออกตะลอนๆ ไปเที่ยวเล่นรอบวังหลวง กว่าจะกลับตำหนักก็เกือบย่ำค่ำ ครั้นศีรษะถึงหมอนก็หลับสนิท

          เป็นเช่นนี้อยู่สองสามวันชายหนุ่มผู้ซึ่งอัดอั้นก็ปริปากบ่นชุดใหญ่ กระนั้นไป๋เซ่อนั่งฟังอยู่ได้ไม่นานก็มักสัปหงกเสียกลางคัน ให้ซวนหยวนหมิงไท่ร่ำไห้อยู่ในใจได้แต่นอนกอดเจ้าตัวถ่ายเดียว ยิ่งกว่านั้นพอถึงกลางดึกยังมิวายถูกร่างเล็กถีบไปนอนตรงขอบเตียง ต้องนอนเกร็งไปตลอดทั้งคืน

          เสมือนวันเวลาผ่านไปอย่างสงบ แต่แล้วเมื่อถึงคืนเดือนมืด หมู่ดาวอับแสง เหตุการณ์อันมิบังควรเกิดก็ได้เกิดขึ้น

          ช่วงยามจื่อ[2] นายทหารเฝ้ายามผู้หนึ่งพึ่งผลัดเปลี่ยนเวรกับทหารเฝ้ายามโฉ่ว[3] ขณะกำลังเตรียมตัวออกจากวังหลวง กลับได้ยินเสียงสวบสาบ แลไม่นานเงาตะคุ่มหนึ่งก็วิ่งตัดหน้าผ่านเข้าไปในอุทยานหลวง เห็นดังนั้นนายทหารหนุ่มก็วิ่งตามไป

          “เฮอะ หายไปไหนแล้ว” กล่าวสบถ ทั้งๆที่คิดว่าไล่ตามไปติดๆ แต่เงาดังกล่าวกลับคล้ายอันตรธานหายไปในความมืด ไม่ว่ามองไปทางใดก็ไร้ความเคลื่อนไหว สอดส่องอยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจหมุนตัวกลับ หากแต่ทันใดนั้นดวงตาเขาก็ต้องเลิกกว้าง ส่งเสียงอุทาน

          “เจ้า!” บัดนี้ร่างในชุดขาวบอบบาง ดวงหน้าขาวซีด นัยน์ตาเรียวสีดำทื่อดูไร้ชีวิตจิตใจ มุมปากมีโลหิตไหลเป็นสาย กลับยืนขวางตรงหน้าเขาแล้ว “เจ้าคือฮะ...อึ่ก”

          จู่ๆ น้ำสีแดงข้นทะลักออกจากปาก คล้ายมีบางสิ่งยัดเยียดเข้ามาจนทะลุหน้าอก เขาก้มลงมองก็พบเป็นมือข้างหนึ่ง แต่พริบตานั้นมันก็กระชากออกโดยแรง กายพลันทรุดฮวบกับพื้น สีหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวด ท้ายที่สุดลมหายใจขาดห้วง ดวงตายังคงเบิกโพลงด้วยความตกใจ

          นับแต่มีศพตายอย่างปริศนา วังหลวงก็หาได้มีความสงบ ซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้รับสั่งให้สืบหาผู้กระทำความผิด ทว่ายังมิทันพบเบาะแสศพที่สองที่สามตามมา ให้เหล่าขันทีนางกำนัลอยู่กันอย่างหวาดกลัว ด้วยบรรยากาศตึงเครียดไม่น่ารื่นรมย์นี้ หันไปทางใดก็ไร้ความสดใส ยังผลให้ไป๋เซ่อและหงลิ่วเริ่มเที่ยวเล่นไม่สนุก ออกมานอกตำหนักได้แวบเดียวก็ชักชวนกันกลับไป

          “ผู้น้อยขอถวายบังคมเซียวฮองเฮาพะย่ะค่ะ”

          ระหว่างทางแยกไปตำหนักถั่วแดงพลันมีบุรุษดวงหน้ากระจ่างใสค้อมตัวหยุดพวกเขาไว้ ไป๋เซ่อมองผู้มาใหม่ในอาภรณ์สีฟ้า มือถือห่อผ้าใบหนึ่งก็ต้องเลิกคิ้วงุนงง “เราเคยรู้จักกันด้วยหรือ?”

          “นับว่าเคยพบพาน แต่เกรงว่าพระองค์จะทรงจำกระหม่อมมิได้”

          บุรุษผู้นี้เอ่ยวาจา หากแต่กลับทำให้พวกเขายิ่งงงงัน หงลิ่วจึงเป็นฝ่ายแทรกถาม “เอ สรุปว่าพี่ชายเป็นใครกัน”

          “เสียมารยาทแล้ว กระหม่อมมีนามว่าอันหลง เป็นพ่อค้าใบชา วันนี้นำเอาชาปี้เหลยชุนจากเจียงซูมาให้พระชายาเจินยังตำหนักหลันฮวาตามกำหนด มิคิดว่าจะมีโอกาสได้พบพระพักตร์เซียวฮองเฮาที่นี่”

          “เช่นนั้นหรือ” บางทีคนผู้อาจจะเคยพบตนเองขณะตระเวนไปรอบวังหลวงก็เป็นไป ไป๋เซ่อคิด พอดีกับที่มีเสียงเรียกจากทางด้านหลัง

          “เซียวฮองเฮาเพค่ะ ฝ่าบาททรงรอพระองค์กับคุณชายหงลิ่วกลับไปเสวยอาหารที่ตำหนักแล้วเพค่ะ” ชิวเยี่ยนซึ่งมีเหงื่อผุดผาดเต็มใบหน้าร้องบอก แต่ครั้นเห็นบุคคลที่ผู้เป็นนายสนทนาด้วยก็รีบก้มหน้างุด

          “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ไป๋เซ่อเอ่ย หันไปมองพ่อค้านามอันหลงอีกครั้ง ดูว่าอีกฝ่ายเห็นเขามีธุระก็รีบบอก

          “กระหม่อมไม่รบกวนพระองค์แล้ว น้อมส่งเสด็จ”

          อันหลงกล่าวจบก็เผยรอยยิ้ม ฉับพลันหัวคิ้วเขากลับขมวดมุ่น คล้ายคุ้นเคยรอยยิ้มดังกล่าวอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วชั่ววูบหนึ่งบังเกิดเป็นภาพเลือนรางแวบผ่านทางสมอง เป็นภาพอีกฝ่ายเหลือบตามองเขาจากทางด้านบน ก่อนจะแสยะยิ้มฉายแววตาประดุจเลือด

          “รีบเถอะพี่ชายไป๋ เดี๋ยวพี่ชายหมิงจะงอนท่านอีก”

          “อื้อ” หงลิ่วเอ่ยขัด ทำให้เขาหลุดจากภวังค์ นึกในใจว่าตนคงเลอะเลือนไป ก่อนจะพากันรีบเร่งกลับตำหนักโดยมิได้สนใจบุรุษนามอันหลงอีก


          คล้อยเข้าสู่ราตรีกาล เหล่าขันทีนางกำนัลพากันหลบฉากอยู่แต่ในห้องพัก ส่วนคนที่จำต้องออกมาล้วนออกมาเป็นกลุ่ม เว้นเพียงสตรีสองนางที่เดินเพ่นพ่านไปยังท้ายสวนของตำหนักจวี๋ฮวากลางดึกดื่น

          “พระชายาหลี่ ไยพระองค์ถึงต้องเสด็จมายามนี้ด้วย พระองค์ทรงมิรู้หรือว่าช่วงนี้มีทหารยามถูกฆ่าตายไปสามรายแล้ว”

          “เฮอะ มิใช่ข้าไม่รู้ แต่หากไม่มาข้าคงนอนไม่หลับ อีกอย่างสถานที่เกิดเหตุอยู่ไกลจากตำหนักจวี๋ฮวาของข้าตั้งเยอะ จะต้องกลัวไปไย” พระชายาหลี่เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตากรอกไปมามองหาบางสิ่ง ก่อนมิวายกล่าวเร่งรัด “เร็ว! เหลียนฮัวส่องไฟทางนี้หน่อย”

          “ระ...รับสั่งให้คนไปเก็บมาให้ไม่ดีกว่าหรือเพค่ะ” เหลียนฮัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ กระนั้นยังยื่นโคมไปยังข้างหน้าเพื่อส่องแสงนำทาง

          “ไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนมิได้ดั่งใจ ให้ข้าเลือกเองยังจะดีกว่า”

          “แล้วถ้าพระชายาถูกทำร้ายเล่า?” นางกำนัลน้อยยังคงเอ่ยเตือน หากแต่ผู้เป็นนายกลับไม่รับฟัง ทั้งยังหัวเราะใส่

          “ฮ่า ฮ่า ข้าคงไม่ดวงซวยขนาดนั้นกระมัง อ้ะ นั่นไงเจอแล้ว” นิ้วชี้ไปยังต้นทับทิมซึ่งออกผลหลายต้นบริเวณท้ายตำหนัก ดูว่ามีมากพอให้นำกลับไปทำขนมหวานสูตรใหม่ในยามดึกนี้ ว่าแล้วแขนนวลก็ยื่นออกไปเด็ดผลทับทิมสีแดงอวบอ้วน หากยังไม่ทันเรียบร้อยดี นางกำนัลคนสนิทกลับหวีดเสียงร้อง ด้วยสังเกตเห็นดวงตาคู่ทะมึนบนต้นไม้

          “กรี๊ด ปีศาจ” โคมไฟในมือร่วงหล่นตกพื้น เงาร่างบนต้นทับทิมเองก็กระโดดพรวดลงมา เหลียนฮัวขวัญอ่อนตื่นตระหนก วิ่งหนีหายไปในความมืด

          หลงเหลือเพียงดวงตาหวานเบิกกว้าง สองขาสั่นสะท้านก้าวมิออก แลใกล้ปลายเท้ามีโคมซึ่งตกอยู่ฉายแสงจวนเจียนจะริบหรี่ มันค่อยๆ ฉายให้เห็นใบหน้าเปราะเปื้อนสีแดงประดุจโลหิต

          เห็นดังนั้นชายาหลี่ก็แทบอยากจะกรีดร้องสุดเสียง แต่จนปัญญาที่ปากอ้าค้างหุบไม่ลง ได้แต่ยืนมองดูคนผู้นี้อ้าปากเผยเขี้ยวแหลม สาดสายตาหิวกระหายพลางคืบคลานเข้ามา ขณะที่คิดว่าไม่รอดแล้ว มือเยียบเย็นกลับคว้าผลทับทิมในมือนางไป จากนั้นก้มตัวอ้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ตะกละตะกราม ส่งผลให้นางนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนได้สติสังเกตคนผู้นี้

          เป็นบุรุษใบหน้าเย้ายวน นัยน์ตาเรียวยาวเป็นเอกลักษณ์ คลับคล้ายกับ... ดวงตาของนางเลิกขึ้นอย่างคาดไม่ถึง หาได้รู้ตัวว่าอีกเงามืดหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามาจากทางด้านหลัง

          “กรี๊ด คุณหนู”

          แต่แล้วจังหวะที่มืออำมหิตใกล้บรรลุถึงตัวนาง นางกำนัลน้อยผู้ซึ่งวิ่งลับหายไปก่อนหน้านี้ กลับหลับหูหลับตาวิ่งย้อนกลับมาช่วยนายตน

          “เหลียนฮัว” ชายาหลี่ร้องเรียก

          “ออกไปนะเจ้าปีศาจ อย่ามาแตะคุณหนูของข้านะ” เหลียนฮัวทำใจกล้าก้มลงหยิบก้อนหินพลางปาใส่ร่างสีขาว มันเองก็ดูตกใจขยี้ปลายเท้าคราหนึ่งแล้วหายไปพร้อมกับผลทับทิมในมือ

          ด้านเงามืดหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนัก ได้แต่ปล่อยให้สตรีทั้งสองพยุงตัวกันกลับไป ก่อนทะยานตัวปราดไปคว้าร่างสีขาวที่ยืนเหม่อลอยอีกด้านหนึ่งของกำแพงตำหนัก กระชากคอเสื้อบังคับกึ่งลากกึ่งเดินไปยังเรือนที่มีร่างอรชรนอนเหยียดขาเอนหลังพิงหมอนอย่างเกียจคร้าน ข้างกายยังมีนักพรตนามว่าอันหลงนั่งอยู่ใกล้ๆ

          “เป็นอย่างไรบ้าง มันออกอาละวาดฆ่าคนบ้างแล้วรึยัง” เจินเริ่นผิงเอ่ยถาม หากแต่ลู่เหวินกลับส่ายหน้า ก่อนผลักปีศาจงูให้คุกเข่ากับพื้น

          “เมื่อสักครู่มันก่อเรื่องน่าตายนัก มันมิยอมฆ่าคน แต่กลับลอบเข้าไปในตำหนักจวี๋ฮวา ปละปล่อยให้พระชายาหลี่เห็นใบหน้า แม้กระหม่อมคิดปิดปากพระนาง ทว่ากลับถูกนางกำนัลแทรกเข้ามาเสียก่อน” ลู่เหวินเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องเพราะกลัวจะทำลายแผนการที่มีอยู่ทั้งหมด

          “หลี่ซิ่วหลันเห็นหน้ามัน?” เจินเริ่นผิงเลิกตาโตตกใจ แต่แล้วกลับ แค่นเสียง “ดี แบบนี้สิดี เช่นนี้เราได้พยานปากสำคัญแล้วว่าเซียวฮองเฮาผู้นี้เป็นปีศาจกินเลือดเนื้อคน” ด้วยความริษยา หลี่ซิ่วหลันผู้นี้ย่อมได้พลาดโอกาสทำลายเซียวฮองเฮา ว่าแล้วนางก็ลุกขึ้นเดินไปหาคนที่มีท่าทีเลื่อนลอย ในน้อยมือยังถือผลทับทิมซึ่งยังคงกินค้างไว้อย่างแช่มช้า จิกรั้งศีรษะของอีกฝ่ายขึ้นมา เค้นเสียงเน้นย้ำให้สลักลึกลงไปส่วนลึกของจิตใจ

          “จำไว้ให้ดี เจ้าเป็นปีศาจชั่วร้าย กระหายเลือดเนื้อคนเป็น”

          คำกล่าวจบลงร่างสีฟ้าของนักพรตอันหลงก็ตรงเข้าไปส่งชามบรรจุโลหิตข้น พระชายาเจินรับมันมาด้วยรอยยิ้ม กรอกมันเข้าปากร่างเล็ก แลเมื่อหยดเลือดค่อยๆ ทยอยหลั่งไหลผ่านสู่ลำคอ ดวงตาสีดำทื่อก็ต้องเลิกกว้างบ่งบอกความสะอิดสะเอียน


 

******************************************************

 

          ในห้องบรรทมอันเงียบงัน บนเตียงมีเพียงซวนหยวนหมิงไท่ปล่อยผมยาวสยายนอนอยู่ แลไม่นานคนนอนนิ่งก็พลิกตัวไปด้านข้าง แขนยาวพาดออกไปหมายกอดคนตัวเย็น หากแต่น่าแปลกที่สัมผัสได้แต่ความว่างเปล่า ยังผลให้ต้องลืมตาขึ้น ก่อนพบเห็นแต่กองผ้านวมหนาวางสุมอยู่

          “ไป๋เซ่อ” ขมวดคิ้วพึมพำ ยามดึกใกล้รุ่งสางเจ้าตัวยังออกไปที่ใด สุดท้ายเขาได้แต่ลุกขึ้นมาจุดเทียนแล้วนั่งรออีกฝ่ายที่โต๊ะกลมกลางห้อง

          แอ๊ด

          บ่นในใจมิทันไรประตูก็แง้มเปิดช้าๆ ขณะกำลังอ้าปากว่ากล่าว กลับเห็นร่างเล็กโงนเงนเข้ามาทั้งดวงตายังคงปิดสนิท ใบหน้ามีคราบเปื้อนน้ำสีแดงจางๆ มือกำผลทับทิมครึ่งลูกไว้แน่น ทำเอาเขามองอย่างอึ้งทึ่ง จนกระทั่งร่างนั้นล้มฟุบบนเตียง กรนคร่อกเสียงดังครืน

          ไป๋เซ่อ เจ้าออกจะละเมอร้ายกาจไปหน่อยแล้วกระมัง

          ซวนหยวนหมิงไท่ส่ายศีรษะอย่างออกอกอ่อนใจ แงะผลทับทิมในมือเล็กทิ้ง พลางเหน็บผ้านวมให้ไป๋เซ่อ ดูว่ายามนี้จะให้เขาหลับต่อก็หลับไม่ลง คงต้องหยิบจับอะไรขึ้นทำฆ่าเวลารอรุ่งสางที่กำลังมาถึง

          ยามเมื่อตะวันโผล่พ้นม่านหมอก ส่องแสงสีส้มเรืองรอง ไป๋เซ่อจึงขยับตัว งัวเงียปาดน้ำลายมุมปาก ดวงตาสะลึมสะลือขึ้นมาเห็นชายหนุ่มยิ้มกว้างนั่งตวัดพู่กันบนโต๊ะกลม

          “เจ้าทำอาราย” ส่งเสียงเนือยถาม ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับหัวเราะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นให้ตนดู

          “วาดรูปเจ้าตอนนอนน่ะสิ น่าดูรึไม่” ในกระดาษมีภาพเด็กหนุ่มนอนอ้าปากกว้าง มุมปากมีน้ำลายไหลยืด ไม่ไกลมีผลไม้ลูกกลมสีแดงวางอยู่ ผมยาวสีเทาพันใบหน้ายุ่งเหยิง มือหนึ่งคล้ายยกเกาพุงโต ขาข้างหนึ่งยกก่ายเต็มเตียง

          “บ้านเจ้าสิ ข้าจะน่าเกลียดอย่างนี้ได้อย่างไร อ่ะ แค่กๆ” ไป๋เซ่อโพล่งแย้ง แต่ท้ายประโยคกลับไอแห้งๆไม่หยุด ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่รีบเทชาอุ่นมา ครั้นเขารับมาดื่มคำหนึ่งก็ถึงกับตาเหลือก มิอาจไม่พ่นชาออกมาจากทางปาก ใบหน้าพลันถอดสี

          ...ไยลำคอจึงรู้สึกมีกลิ่นคาวเลือด

          “ค่อยดื่มสิๆ” ซวนหยวนหมิงไท่ว่าพลางตบหลังให้ “จริงสิ เมื่อคืนเจ้ารู้ตัวรึไม่ว่าตัวเองนอนละเมอเดินไปทั่ว”

          “ข้าเนี่ยนะนอนละเมอ? ไม่มีทาง เจ้าลูกเต่าอย่ามาอำข้า” ได้ฟังเช่นนั้นตนก็ขึ้นเสียงสูง แต่แล้ววูบหนึ่งภาพนายทหารนอนจมกองเลือดกลับแล่นวาบในสมอง เขาผงะไปเล็กน้อย ...นี่มันความทรงจำอะไรกัน

          ไม่รอให้ไป๋เซ่อได้ทำความเข้าใจ พลันมีเสียงเคร่งเครียดของหัวหน้าองครักษ์จิ้งตะโกนอยู่ด้านนอก

          “ขอประทานอภัยฝ่าบาท เมื่อสักครู่เราพบศพทหารรายที่สี่ถูกฆ่าตายบริเวณสระน้ำไท่เย่พะย่ะค่ะ”

          “ว่าอย่างไรนะ” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับผุดลุกขึ้น ก้าวออกไปเปิดประตูทันที ทว่าไม่ทันไรก็มีนางกำนัลอีกคนวิ่งเข้ามาคุกเข่าพลางร่ำร้อง

          “แย่แล้วเพค่ะฝ่าบาท เมื่อคืนพระชายาเจินถูกลอบทำร้าย ตอนนี้นอนมิได้สติแล้วเพค่ะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังก็ต้องนิ่งอึ้ง มิคาดคิดว่าเรื่องราวจะถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ดังนั้นต้องใช้เวลาสงบสติไปครู่หนึ่งจึงสูดหายใจลึกกล่าว “ไปตำหนักหลันฮวา”


          ในฐานะที่ตนเป็นถึงฮองเฮา ย่อมต้องติดตามร่างสูงไปดูอาการพระชายาเจินด้วย บัดนี้ตนเหยียบย่างเข้าสู่ตำหนักหลันฮวา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ตนมาที่นี่ ทว่าเมื่อเหลือบแลเห็นต้นเฟิงสูงใหญ่เรียงรายตลอดทาง ตนกลับไม่มั่นใจเท่าไรแล้ว คล้ายเขาคุ้นเคยสิ่งแวดล้อมนี้ แม้กระทั่งกับเรือนที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า

          ดูว่าพระชายาหลี่มาถึงที่นี่ก่อน นางพร้อมกับนางกำนัลคนสนิทเหลียนฮวาถวายบังคมให้พวกเขาเสร็จก็เบี่ยงกายหลบไปอีกฝากฝั่ง ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่เดินเข้าไปใกล้ชายาเจินที่หลับสนิท มองดูต้นแขนข้างหนึ่งซึ่งพันไว้ด้วยผ้าสีขาวซึมด้วยเลือด ก็เอ่ยถามหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่ไม่ห่าง

          “นางเป็นอย่างไรบ้าง”

          “ทูลฝ่าบาท เพลานี้พระนางบรรทมด้วยฤทธิ์ยา ส่วนบาดแผลมิได้ลึกมากนัก แลหลังจากนี้อาจจะยังมีอาการตกพระทัยอยู่เล็กน้อย แต่ไม่นานก็จะหายไป ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”

          หมอหลวงกล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็พยักหน้าให้ ก่อนหันไปไล่เบี้ยตวาดนางกำนัลรับใช้ในตำหนัก “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

          “เมื่อคืนนี้พระชายานอนไม่หลับจึงออกไปรับลมตอนยามโฉ่วเพค่ะ พอดีหม่อมฉันเห็นว่าอากาศหนาวจึงผละตัวไปหยิบเสื้อคลุมให้พระนาง แต่ไม่คิดว่าขากลับจะพบเห็นเงาร่างหนึ่งกระโจนเข้าทำร้ายพระชายา ดีที่มันเห็นหม่อมฉันส่งเสียงเอะอะโวยวาย จึงได้หนีไปเพค่ะ” นางกำนัลอวี้ชิงบอกเล่า แต่แล้วเจ้าชีวิตกลับยิ่งบึ้งตึงอีกทั้งขึ้นเสียง

          “เวลาเกิดเหตุผ่านไปตั้งนาน เหตุใดจึงไม่มาแจ้งให้เร็วกว่านี้”

          รับสั่งถึงตรงนี้นางกำนัลอวี้ชิงก็น้ำตาหลั่งไหลไม่หยุด “เรื่องนี้เป็นพระชายาเจินมิให้หม่อมฉันไปแจ้งข่าวเพค่ะ พระนางเห็นว่าฝ่าบาทอยู่กับเซียวฮองเฮาก็เลยมิกล้ารบกวน เพียงรับสั่งให้หม่อมฉันทำแผลให้ แต่พอถึงตอนรุ่งสางพระนางก็มิรู้สึกตัวเพค่ะ”

          “.......” ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ทรุดนั่งกุมขมับบนเตียง จากนั้นหันไปมองสตรีที่แม้นอนหลับก็ยังมีเหงื่อผุดพราย “เช่นนั้นเจ้าเห็นใบหน้าคนที่ทำร้ายพระชายารึไม่”

          “ทันเห็นเพียงแค่รูปร่างสูงบาง สวมใส่อาภรณ์สีขาว ผิวขาวราวกระดาษ ท่าทางปราดเปรียวเพค่ะ”

          “อ้ะ ต้องเป็นปีศาจตนนั้นแน่ๆ โอ้ย” หลังจากนางกำนัลอวี้ชิงเล่าจบ นางกำนัลเหลียนฮัวซึ่งคิดภาพตามก็พลันหลุดปาก กระนั้นยังพูดไม่จบก็ถูกปลายเท้าผู้เป็นนายอย่างพระชายาหลี่ขยี้เท้าเข้าให้

          “เจ้าพบเห็น?” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหันขวับ

          เมื่อกลายเป็นเป้าสายตา เหลียนฮัวก็กลับกลายเป็นกระอักกระอ่วน “เพค่ะ เมื่อคืนหม่อมฉันกับพระชายาหลี่ไปเก็บผลทับทิมกลางดึกท้ายตำหนัก แต่กลับบังเอิญเจอปีศาจตนหนึ่งเข้า โชคดีที่องค์พระคุ้มครอง พระชายาหลี่จึงมิได้รับอันตรายแต่อย่างใดเพค่ะ”

          ผลทับทิม แค่ได้ยินคำนี้ สีหน้าของซวนหยวนก็แปรเปลี่ยน คล้ายมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำ ต้องผุดลุกขึ้นรีบร้อนกล่าวถามชายาหลี่ “ที่นางพูดจริงรึไม่ เจ้าพบเห็นเวลาใด แล้วเห็นใบหน้าเขาชัดรึไม่”

          ถูกระรัวถามเช่นนี้หลี่ซิ่วหลันก็ตกใจไปไม่น้อย “เป็นเรื่องจริงเพค่ะ เวลาที่พบก็ประมาณยามโฉ่ว ส่วนใบหน้า...” เอ่ยถึงตรงนี้นางก็หยุดเสียง เหลือบมองเจ้าของดวงตาเรียวยาวเป็นเอกลักษณ์ ครั้นเห็นอีกฝ่ายมองตนด้วยสีหน้าไร้เดียงสาก็รีบหลุบตาลง “ไม่เห็นเพค่ะ ตอนนั้นมืดมากประกอบกับความตกใจจึงมิทันสังเกตเห็นเพค่ะ”

          “......” ได้ยินเช่นนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ถอนหายใจยาว จากนั้นเดินไปจับมือไป๋เซ่อเอาไว้แน่น “เรื่องนี้เราจะให้คนสืบสวนทันที หากไม่มีอันใดแล้ว ให้ชายาเจินพักผ่อนอย่างสงบเถิด” พูดจบก็ลากตัวร่างเล็กออกไป

          ด้านไป๋เซ่อสัมผัสได้ถึงแรงบีบมือ รวมไปถึงความตึงเครียดของชายหนุ่มก็มิได้ต่อต้าน เพียงนึกสงสัยนับตั้งแต่นางกำนัลเหลียนฮัวบอกกล่าว ซวนหยวนหมิงไท่ก็มีท่าทีผิดแปลกไป ไหนจะสายตาแปลกๆ ของพระชายาหลี่ ทั้งนี้ไม่รวมถึงเรื่องตนเดินละเมอยามดึกดื่น ลำคอมีกลิ่นคาวโลหิต ภาพคนนอนจมกองเลือดในสมอง นายทหารถูกฆ่าตายใกล้สระน้ำไท่เย่ ตำหนักหลันฮวาที่มิคล้ายมาเป็นครั้งเเรก เเละพระชายาเจินถูกทำร้าย

          ...เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องราวทั้งหมดนี่จะเกี่ยวข้องกับตน


 


[1] จุดเหรินจง คือ บริเวณร่องใต้จมูก

[2] ยามจื่อ เวลา 23:00 – 24:59 น.

[3] ยามโฉ่ว เวลา 01:00 – 02:59 น.


 

****************************************************************

 

          จบไปอีกบทเเล้วจ้า หลังจากนี้จะมีทยอยรีไรท์หทัยเทพสวรรค์ (ต้าเซียน) อีกน้า เเต่จะรีไรท์ในเด็กดี กับธัญวลัย ในที่ยังรู้สีกว่าอ่านเเล้วติดขัด สามารถเข้าไปลองอ่านได้ใหม่น้า สุดท้ายนี้เม้นท์ให้กำลังใจกันบ้างน้า

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ชอบมากกกก ตามอ่านมาทุกเวบบที่ลงเลยค่ะ อ่านตั้งแต่หทัยเทพสวรรค์แล้ววววว
ชอบมากกกกกกกก เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ แทบจะมนรอตอนต่อไปไม่ไหวแล้ววว

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 28.1 คำสัญญา

 

          สองมือเกาะกุมชื้นเหงื่อ จากฝีเท้าเร่งรีบแปรเปลี่ยนเป็นทะยานออกไป ให้ขบวนเสด็จรั้งท้ายวิ่งไล่กันเหน็ดเหนื่อย ราวกับชายหนุ่มต้องการหลีกหนี จึงพาเขาลัดเลาะเข้าไปยังป่าไผ่ลึกด้านหลังอุทยานหลวง กระทั่งแลเห็นเรือนไม้พฤกษาหลังเล็กตรงหน้า ฝีเท้าจึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า เสมือนได้พบแหล่งพักพิงใจ

          ประตูไม้เปิดออก กลิ่นอายความสงบพวยพุ่งจากภายใน เขาปละปล่อยมือเล็กที่บีบแน่นมาตลอด ก้าวเข้าไปนั่งกุมขมับครุ่นคิดไม่พูดไม่จาตรงชั้นวางกระถางต้นไม้พุ่มเตี้ยสีเขียว

          ไป๋เซ่อเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าร่างสูง เอ่ยถามอย่างข้องใจ “ซวนหยวนหมิงไท่ ที่เจ้ามีท่าทีวิตกเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวข้องกับข้าใช่รึไม่”

          “ไม่ใช่สักหน่อย เจ้าคิดมากไปแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่รีบเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ ทว่าเขามองออกว่ารอยยิ้มนั้นทนฝืน ร่างเล็กขมวดคิ้วมีโทสะ “เจ้าคิดว่ากำลังหลอกผู้ใด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าปีศาจที่พวกนางเล่าถึง...เป็นข้า”

          “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร” เขาผุดลุกขึ้นแย้ง 

          “ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าบอกเองว่าข้าเดินละเมอไปทั่ว หลังจากนั้นก็มีข่าวคนตาย ไหนยังจะพระชายาเจินถูกทำร้าย”

          “ไป๋เซ่อ เจ้าเดินละเมอก็ส่วนหนึ่ง แต่มิได้หมายความว่าเป็นเจ้าจะเป็นฆาตกรฆ่าคนสักหน่อยนี่”

          “........” โต้เถียงไปมาพวกเขากลับขึ้นเสียงใส่กัน ทว่าชายหนุ่มพูดจบครานี้เขาก็นิ่งเงียบไป

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นเจ้างูน้อยยังคงคิดมาก จึงรั้งร่างเย็นเข้ากอด “นี่เป็นเพราะเรื่องราวประเดประดังกะทันหัน พลอยทำเจ้าฟุ้งซ่านไปด้วยก็เท่านั้น”

          ร่างสูงลูบหลังแล้วบอกเขาเช่นนั้น ยังผลให้เขามิอาจกล่าววาจาใด เพียงเก็บข้อสงสัยไว้แล้วอิงแอบอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่เช่นนี้ หากแต่มันกลับจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำเสียงเครียดของเสี่ยวลู่ดังขึ้นจากด้านนอกเรือน

          “ฝ่าบาท รีบเสด็จไปที่สระน้ำไท่เย่เถอะพะย่ะค่ะ ตอนนี้ท่านแม่ทัพเซียวกับใต้เท้าเจินกำลังมีปากเสียงกันใหญ่แล้ว”

          “เข้าใจแล้ว” ได้ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ผละตัวออก “ไป๋เซ่อ เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าได้คิดมากอีก” เขาย้ำบอกร่างเล็กพลางลูบเรือนผมสีเทาสลวยทีสองทีแล้วตามเสี่ยวลู่ไป

          ด้านไป๋เซ่อทำได้เพียงมองแผ่นหลังอบอุ่นค่อยๆ ห่างออกไป รอจนประตูเรือนพฤกษาปิดลง ภายในห้องก็ไม่หลงเหลือเงาร่างของผู้ใดอีก

 

          “เสี่ยวลู่ ใต้เท้าเจินที่เจ้าเอ่ยถึง ใช่ขุนนางขั้นสอง เสนาบดีฝ่ายตุลาการรึไม่”

          ขณะรีบร้อนเสด็จไปยังที่เกิดเหตุ เจ้าชีวิตพลันทวนถาม สีหน้าเจือแววไม่เชื่ออยู่ส่วนหนึ่ง อาจเพราะเจินหยวนผู้นี้เป็นขุนนางนิสัยรักความสงบ มิใคร่มีปากเสียงกับผู้ใดนัก ซึ่งเสี่ยวลู่เองก็เห็นมิแตกต่าง และเข้าใจในความคิดผู้เป็นนายเหนือหัวดีจึงเอ่ยย้ำ “เป็นใต้เท้าเจินหยวน ขุนนางขั้นสอง เสนาบดีฝ่ายตุลาการ พระสัสสุระของพระชายาเจินพะย่ะค่ะ”

          “อ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบรับสั้นๆ เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายรับทราบข่าวบุตรสาวถูกทำร้ายแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลใดขัดแย้งกับเซียวถิงฟง แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เขาขมวดคิ้วแฝงแววเคร่งเครียด ลึกลงไปในดวงตาสีดำขลับมีคลื่นอารมณ์จวนเจียนจะขาดผึง

          บัดนี้สระน้ำไท่เย่ ปรากฏกลุ่มคนยืนประจันหน้าคนละฝากฝั่ง หนึ่งเป็นทหารในสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาว และอีกหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบฝ่ายตุลาการ ต่างฝ่ายต่างตั้งท่าลูบอาวุธในมือ สีหน้ามึนตึงเตรียมพร้อมจะโรงรันเข้าใส่ บรรยากาศโดยรอบคุกรุ่น

          “พวกเจ้าคิดทำกระไร ยังเห็นเราผู้เป็นจักรพรรดิอยู่ในสายตาบ้างไหม” ทันทีที่น้ำเสียงตวาดดังก้อง คนทั้งหลายต้องรีบคุกเข่า ขานเรียกเป็นเสียงเดียวกัน

          “ฝ่าบาท”

          “เราทำไม? ถืออาวุธกันถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะเกรงกลัวอันใดอีก” ซวนหยวนหมิงไท่เค้นเสียงดุดัน บัดนี้ฮ่องเต้ผู้มีเมตตาปราณีพลันสลายไปจากตัวเขาแล้ว

          “ขอประทานอภัยฝ่าบาท เป็นพวกกระหม่อมวู่วามใจร้อนเกินไป ขอทรงโปรดลงโทษ” ใต้เท้าเจินซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าคนของฝ่ายตุลาการเอ่ยทูล

          ฮ่องเต้หนุ่มชำเลืองมองผู้กล่าวจากทางด้านบน จากนั้นตำหนิเสียงเย็น “ปกติท่านเองออกจะละเอียดรอบคอบ ไฉนวันนี้จึงได้วู่วามนัก”

          “เป็นเพราะก่อนหน้านี้กระหม่อมได้รับข่าวว่าพระชายาเจินถูกทำร้าย เพลานี้ยังมิได้สติจึงเกิดโทสะชั่ววูบ อีกอย่าง...”

          “อ่อ แล้วเจ้า?” ไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวจบ เขาตัดบทหันไปถามแม่ทัพใหญ่ในชุดเกราะดำน่าเกรงขาม

          “กระหม่อมเพียงทำตามหน้าที่ ด้วยรับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้สืบหาเบาะแสคดีมือสังหารปริศนาในวังหลวง และเมื่อกระหม่อมได้รับทราบข่าวผู้เคราะห์ร้ายรายใหม่ จึงมิกล้าหย่อนยานนิ่งเฉย นำกำลังคนมาปิดล้อมสถานที่เกิดเหตุ เร่งตรวจสอบสภาพศพ รวมถึงร่องรอยคนร้าย แต่ทว่ากลับถูกคนของฝ่ายตุลาการขัดขวางไว้” เซียวถิงฟงประสานมือกราบทูล

          “เรื่องนี้เราให้อำนาจแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นผู้สืบคดี เหตุใดท่านจึงก้าวก่ายให้ยุ่งวุ่นวาย หรือท่านเห็นว่าพระบัญชาของเราไม่ถูกต้อง” เจ้าชีวิตรับสั่งหรี่ตากล่าวประชดประชัน

          เจินหยวน เสนาบดีฝ่ายตุลาการรีบปฏิเสธ “มิได้พะย่ะค่ะ แต่ที่กระหม่อมทำเช่นนี้เป็นเพราะมีเหตุผล”

          “เหตุผล? เหตุผลอันใด”

          “ขอฝ่าบาททรงพิจารณา นับแต่เกิดเหตุคดีลอบสังหาร จนกระทั่งบัดนี้แม่ทัพใหญ่เซียวก็ยังไม่พบเบาะแสสำคัญใดๆ แต่เมื่อกระหม่อมลองตรวจสอบดู กลับพบว่าผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามศพ รวมถึงศพรายใหม่นี้ล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน นั่นคือต่างถูกทำร้ายในระยะประชิด คล้ายผู้ตายรู้จักนักฆ่ามาก่อน ทำให้มิทันระวังตัวถูกสังหารในที่สุด ยังมีบาดแผลอันเป็นเอกลักษณ์ เสมือนถูกทะลุทะลวงด้วยพลังฝีมือชนิดหนึ่ง ซึ่งดูในเวลานี้กลับมีคนผู้หนึ่งกระทำได้”

          “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เซียวถิงฟงขึ้นเสียงกร้าว ดวงตาคมเข้มวาวโรจน์ เนื่องเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

          “ใต้เท้าเจิน ท่านคิดว่าบาดแผลนี่เกิดจากกรงเล็บพยัคฆ์?” ซวนหยวนหมิงไท่ถามน้ำเสียงเรียบ หากให้ทอดสายตาทั่วทั้งวังหลวง ณ ตอนนี้ เห็นทีจะมีแต่เซียวถิงฟง ผู้เดียวที่ใช้วิชานี้ได้

          “เป็นการคาดเดาพะย่ะค่ะ” เสนาบดีเจินกล่าว

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงยิ้มเหยียด ลั่นวาจา “ดี ในเมื่อใต้เท้าเจินสันนิษฐานเช่นนี้ เราจะชันสูตรศพเอง”


 

*************************************************

 

          รอจนกลุ่มคนก้มหน้าแหวกทางให้ ร่างสีเขียวอันโปร่งใสราวอากาศจึงก้าวขาตามชายหนุ่มในชุดมังกรไปติดๆ กระทั่งพบกองผ้าดิบสีไข่ไก่คลุมทับบางสิ่งยังเบื้องหน้า ก็มิอาจห้ามหัวใจมิให้เต้นถี่รัวเร็ว มือน้อยกำแน่นมิรู้ตัว ความอึดอัดก่อตัวขึ้นในอก

          “เปิดผ้าออก” ซวนหยวนหมิงไท่ออกคำสั่ง องครักษ์ในขบวนเสด็จจึงเป็นฝ่ายเลิกผ้าออกดู ภายใต้ผ้าห่อศพปรากฏร่างซีดขาวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงไร้ประกาย ริมฝีปากบิดเบี้ยวทรมาน

          เพียงเห็นเท่านี้ลมหายใจก็พลันขาดห้วง มาตรว่ามิใช่เห็นคนตายเป็นครั้งแรก แต่ครานี้ไป๋เซ่อต้องผงะซวนเซถอยหลังแล้ว เนื่องเพราะบุรุษผู้นี้ ...เป็นคนเดียวกับในความทรงจำที่ผุดขึ้นทุกกระเบียดนิ้ว

          ดูว่าบริเวณกลางอกของทหารยามผู้นี้เป็นรอยทะลวงกว้าง หนำซ้ำโลหิตยังคงเนืองนองมิแห้งสนิทดี ดูผิวเผินร่องร่อยไม่ต่างจากวิชากรงเล็บพยัคฆ์ หากแต่กลับทิ้งรอยแผลเหวอะหวะ มิใช่พลังฝ่ามือขั้นสูงสุดที่ไร้โลหิต ฮ่องเต้หนุ่มประเมินมองครู่หนึ่งก็โบกมือให้องครักษ์คลุมผ้าดิบตามเดิม

          ระหว่างนี้เสนาบดีเจินหยวนจึงถือโอกาสเอ่ย “จากสภาพศพกระหม่อมเห็นควรมิให้แม่ทัพใหญ่เซียวเป็นผู้รับชอบคดีอีก ทั้งนี้ควรกักบริเวณท่านแม่ทัพไว้ยังที่พำนักรับรองของกรมตุลาการเพื่อสืบหาความจริงต่อไป ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตด้วย”

          “เจ้า!”

          ร่างในชุดเกราะดำยิ่งฟังก็ยิ่งเดือดดาล ผิดกับเจ้าชีวิตเองที่ยังคงท่าทีนิ่งเฉย แลยิ่งมิได้ปริปากเห็นด้วยหรือยอมรับ เมื่อตระหนักได้เช่นนั้นขุนนางผู้เถรตรงก็กล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

          “เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมจำต้องก้าวก่าย นอกเสียจากคดีนี้จะมิได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ กระหม่อมถึงจะยอมเลิกรา”

          ฟังถึงตรงนี้บังเกิดประกายวูบผ่านดวงตาสีดำขลับ ประโยคดังกล่าวคล้ายจี้ใจดำเขาพอดิบพอดี โอรสสวรรค์หลับตาลงครุ่นคิด จากนั้นสะบัดตัวหันหลังเอ่ยวาจาอันไร้เยื่อใย “นับตั้งแต่นี้ไปปลดแม่ทัพใหญ่เซียวออกจากการสืบสวนคดีมือสังหารปริศนา ทั้งกักบริเวณยังที่พำนักรับรองของกรมตุลาการ จวบจนกระทั่งพ้นข้อกล่าวหา”

          “เป็นพระมหากรุณายิ่ง”

          กระแสรับสั่งนี้ทำให้ใต้เท้าเจินขานตอบอย่างยินดี ด้านเซียวถิงฟงกลับมิได้โต้แย้งอันใด เพียงเอ่ยน้อมรับพระบัญชาอย่างว่าง่าย ซวนหยวนหมิงไท่ลอบชำเลืองมองท่าทีของสหายด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาต้องปกป้องไป๋เซ่อไว้ก่อน

          หลังจากขบวนเสด็จทยอยจากไป แม่ทัพเกราะดำก็ถูกกุมตัวไปยังกรมตุลาการ ผู้คนที่มาเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง ด้านกลุ่มทหารกองธงพยัคฆ์ได้แต่มองส่งผู้บังคับบัญชาการอย่างเคืองใจ มิมีใครสังเกตว่าเพลานี้ผ้าดิบได้เลิกขึ้น

          เป็นไป๋เซ่อกลั้นใจสำรวจใบหน้าผู้ตายอีกครั้ง พร้อมกันนั้นยังปลุกปลอบใจว่าตนฟุ้งซ่านจำผิดไป แต่แล้วถ้อยคำหลากหลายกลับแล่นผ่านสมอง กระทั่งสะดุดตรงคำบอกเล่าของเหลียนฮัว ดวงตาสีฟ้าอมเขียวจึงเบิกกว้างคล้ายพึ่งนึกอะไรออก สองขาพุ่งทะยานไปยังห้องบรรทม รีบร้อนหยิบกระดาษวาดเล่นในยามเช้าขึ้นกวาดมองให้ละเอียด จนในที่สุด...

          “เป็นผลทับทิมจริงๆ” ไป๋เซ่อทรุดตัวนั่งบนเตียง มิใช่เรื่องบังเอิญที่จู่ๆ ชายหนุ่มก็วาดขึ้น เพราะทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเขา ทันใดนั้นราวกับมีหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ทั้งยังบังเกิดความเจ็บลึกประการหนึ่ง

          เขาก้มมองสองมือขาวสะอาดอย่างหวาดหวั่น พริบตานั้นมันกลับเปราะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่ว่าจะสะบัดอย่างไรก็มิจางหาย เดิมทีสองมือคู่นี้ล้วนปราบปีศาจขจัดคนพาล ทว่าเพลานี้มันกลับคร่าชีวิต...ผู้บริสุทธิ์

          ยามนี้อารมณ์ของร่างเล็กพลุ่งพล่านสับสน จวบจนท้ายที่สุดก็พึมพำออกมา “ต้องบอก...ต้องบอกหมิงไท่” คิดได้ดังนั้นก็รุดตัวออกไป หากแต่ย่างก้าวไปถึงสิบก้าว ฝีเท้ากับหยุดลงเสียดื้อๆ 

          ในอดีตเพื่อปลดปล่อยซวนหยวนหย่าเหลียนจากความมืด และเพื่อปกป้องความสุขสงบของคนในวัง ซวนหยวนหมิงไท่มิใช่ยินยอมสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักผู้ซึ่งถูกปีศาจครอบงำด้วยน้ำมือตนหรอกหรือ ฉับพลันนั้นคล้ายเห็นตนเองถูกร่างสูงเสือกกระบี่เข้าแทงหัวใจ

          “ไม่ได้ บอกไม่ได้”  ข้าไม่ต้องการ ไม่ต้องการแบบนี้ ความเจ็บที่ราวกับโดนมีดกรีดทำให้เปลือกตาเรียวข่มปิดแน่น ทั้งยังสั่นระริกไปด้วยความกลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการ...กลัวจะทิ้งเขาไป

          ไป๋เซ่อนิ่งงันไปพักใหญ่ เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่ภาพเงาร่างสีขาว ผู้มีรอยยิ้มบางจะผุดขึ้นในสมอง  “ใช่แล้วท่านมหาเทพ ท่านมหาเทพ”

 

          เอี๊ยด

          เสียงฝืดของประตูเหล็กทึบดังขึ้นเมื่องับปิดลง ทิ้งให้บุรุษในชุดเกราะดำกวาดตามองห้องสี่เหลี่ยมอันมีแสงส่องสว่างลอดผ่านหน้าต่างแคบๆ เพียงหนึ่งในสาม พื้นปูด้วยฟางเก่าๆ ส่งกลิ่นอับชื้นเหม็นหืน

          รอยยิ้มแหยผุดขึ้น “เฮอะ ก็นึกอยู่ว่ากรมตุลาการมีที่พำนักรับรองอันใด ที่แท้ก็คุกนั่นเอง” เขาแค่นเสียงประชด แล้วตรงเข้าไปหงายหลังนอนลงบนเตียงแข็งกระด้าง พลางนึกถึงร่างน้อยที่มิได้พบหน้าค่าตามาหลายวันอย่างหงอยเหงา

          แลในชั่วขณะที่บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัด เซียวถิงฟงกลับสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนอีกผู้หนึ่ง เขาเปล่งเสียง “ไป๋เซ่อ เจ้าจะพรางตัวไปถึงไหน”

          คำดังกล่าวทำให้ร่างน้อยถึงกับสะดุ้ง ด้วยลืมเลือนว่าคนตรงหน้ามีพลังเทพแอบแฝงอยู่ ดังนั้นต่อให้ซ่อนเร้นรูปกาย ก็มิอาจปกปิดสายตาคมกล้าคู่นั้นไปได้

          “คนแซ่เซียว ท่านมหาเทพอยู่ที่ใด” รูปกายสีเขียวยังมิทันกระจ่างชัด ไป๋เซ่อก็โพล่งถามอย่างร้อนใจ แม้นตนออกรุดตามหาท่านมหาเทพทั่วทั้งจวนตระกูลเซียว แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาร่างสูงส่ง ดังนั้นได้แต่ลังเลบากหน้ามาถามอีกฝ่าย
         
          “เจ้าต้องการพบต้าเซียน?” เซียวถิงฟงขมวดคิ้วถาม

          “......”

          ไป๋เซ่อไม่ตอบคำ คลับคล้ายมีเรื่องหนักใจ เขาจึงเป็นฝ่ายบอกกล่าว “ต้าเซียนเดินทางไปช่วยคน มิมีกำหนดกลับ” แต่เมื่อครั้นพูดจบ เจ้าตัวกลับยิ่งมีสีหน้าไม่สู้ดี “หรือเจ้ากำลังมีปัญหา หากมีอะไรให้ข้าช่วย...”

          “ม่ะ ไม่มี ไม่มี” ร่างเล็กละล่ำละลักตอบ “ข้ามิได้พบหน้าท่านมหาเทพมาหลายวันจึงลองถามดูก็เท่านั้น”

          ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ต้องกลืนคำพูดส่วนสุดท้ายลงคอ แล้วเพ่งมองดวงตาเรียวซึ่งหลุบลงอย่างว้าวุ่น “ไป๋เซ่อ ข้าเห็น... เห็นเจ้าติดตามซวนหยวนหมิงไท่ไปสถานที่เกิดเหตุ เพราะสาเหตุใดกัน”

          “ขะ ข้า” ไป๋เซ่อถูกเค้นถามจนตัวชา หัวสมองว่างเปล่า ได้แต่มองปลายเท้าตัวเองอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งใกล้เข้ามาเซียวถิงฟงผินหน้ามองประตู ตนก็ใช้จังหวะนี้หนีหายไป

          “อ้ะ ไป๋เซ่อ” เขาร้องเรียกแต่ก็มิทัน เงาร่างเล็กจางหายไปแล้ว ซึ่งพอดีกับเจ้าหน้าที่เฝ้ายามหยุดฝีเท้าที่หน้าประตู เขาจึงได้แต่เลยตามเลย

          “ท่านแม่ทัพใหญ่เซียว ฝ่าบาททรงมีสาสน์ลับให้ท่าน”

          สาสน์ใบเล็กถูกสอดยังใต้ประตู เซียวถิงฟงฟังดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของซวนหยวนหมิงไท่ เขารีบกระวีกระวาดไล่อ่านข้อความ พริบตาเดียวก็ถอนหายใจ หยิบเอาลูกแก้วสีใสที่คนรักได้ทิ้งเอาไว้ให้ใช้ในยามฉุกเฉิน

          “จำต้องใช้มันแล้วสินะ”


 

****************************************************


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 28.2 คำสัญญา

 

            ณ ตำหนักหลันฮวา ร่างอรชรในชุดสีขาวได้ลืมนัยน์ตาเฉกเช่นลูกกวางน้อย ทั้งนี้ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าที่นางจะหยัดตัวขึ้นนั่งบนแท่นบรรทม ทอดมองไปที่กระถางกำยานพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงมิได้ดั่งใจ

          “นึกไม่ถึงว่าหลี่ซิ่วหลันจะยอมละทิ้งโอกาสโค่นล้มเซียวไป๋ เพราะอะไรกัน?”

          “คุณหนู”

          ทันใดนั้นมีเสียงทุ้มจากบุรุษหนุ่มดังขึ้นทางด้านหลัง หากแต่ดวงหน้างดงามกลับมิได้หันไปทางต้นเสียง ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายซุ่มซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ “ลู่เหวิน ทางด้านนั้นเป็นเช่นไรบ้าง”

          “เพลานี้นายท่านสามารถตัดแขนขวาของฝ่าบาทได้ชั่วคราวแล้ว”

          เมื่อแผนการสำเร็จไปอีกขั้น เจินเริ่นผิงก็ยิ้มเบิกบาน “ดี ดีมาก จากนี้ไปเราต้องเร่งมือ”

          “อีกสักประเดี๋ยวฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่ ขอคุณหนูโปรดเตรียมตัว”

          “อืม” นางตอบรับ ฝ่ายลู่เหวินเมื่อมาส่งข่าวเรียบร้อยก็พลันหายไปในมุมมืด ระหว่างนี้ร่างงดงามก็หันไปจัดทรงผมพลางเหยียดยิ้มอย่างรอคอย “เรื่องจะเป็นเช่นไรตอนนี้ก็ขึ้นกับท่าทีของท่านแล้ว ฝ่าบาท”

          ไม่ช้าไม่นานด้านนอกห้องก็เกิดเสียงฝีเท้าอึกทึก เป็นอวี้ชิง นางกำนัลผู้ติดตามเจ้านายมาจากจวนตระกูลเจินผลีผลามผลักประตูห้องบรรทมเข้ามา ฉายใบหน้าแสดงความตื่นเต้นยินดี

          “พระชายา ฝ่าบาทเสด็จมาถึงหน้าตำหนักแล้วเพค่ะ”

          “แต่งตัวให้ข้าเร็ว” ได้ยินเช่นนั้นเจินเริ่นผิงก็เร่งรัดบอกนางกำนัลอวี้ด้วยน้ำเสียงเจือแหบแห้งน่าสงสาร

          พอดีกับที่บุรุษในชุดมังกรสง่างามก้าวเข้ามา ทันเห็นสตรีฝืนลุกขึ้นตัวโงนเงนก็ต้องรีบปราม “ไม่จำเป็น เจ้าบาดเจ็บอยู่ก็นอนพักไปเถอะ เราแค่มาดูอาการเจ้า”

          “ขอบพระทัยเพค่ะ ฝ่าบาท” นางกล่าวอย่างซาบซึ้งแล้วจึงเซนั่งลงข้างเตียง ระหว่างนี้นางกำนัลอวี้ชิงก็หลบฉากให้ผู้เป็นนายได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

          “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

          เจ้าชีวิตเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา ทำให้นางก้มหน้าหลบสายตาที่มีร่องรอยหวาดกลัว “ดีขึ้นแล้วเพค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ยังตกใจอยู่บ้าง”

          “เจ้าไม่ตกใจไป เราสั่งให้องครักษ์จัดเวรยามกวดขันที่นี่ให้แล้ว อีกอย่างเรื่องนี้เป็นเพียงการกระทำของคน หาใช่ปีศาจอย่างที่พวกนางกำนัลร่ำลือกัน เจ้าอย่าได้เชื่อเรื่องเหลวไหลพวกนั้น” ซวนหยวนหมิงไท่เน้นกล่าว

          “แต่...เขาเหมือนปีศาจมากจริงๆ”

          “เจ้าเห็นหน้าเขา?” เขาเค้นถาม สายตาหรี่ลงฉายแววเยียบเย็น ทำให้ชายาเจินก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา

          “หม่อมฉันเห็นเพียงรางๆ เพค่ะ เวลานั้นเขาจู่โจมกะทันหัน ยังดีที่อวี้ชิงส่งเสียงร้องเสียก่อนจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมาก”

          ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ลอบถอนใจ “นี่เป็นเพราะเจ้าตื่นตระหนกจึงรู้สึกว่าคนร้ายเหมือนปีศาจ”

          “พระองค์ไม่ทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจรึเพค่ะ” เจินเริ่นผิงช้อนสายตาขึ้นถามอย่างอยากรู้ หากแต่คำถามนี้กลับทำให้เจ้าชีวิตเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังให้พร้อมตอบสั้นๆ

          “ไม่” ดวงตาสีดำขลับทอดมองไปไกล ยังทิศทางของตำหนักแห่งหนึ่ง “นี่ก็บ่ายแล้วเราไม่รบกวนเจ้า พักผ่อนเถิด”

          “อย่าพึ่งไปเพค่ะ ฝ่าบาท” ก่อนพระวรกายจะถอยห่างไป นางก็เอื้อมมือไปไขว่คว้าปลายแขนเสื้อมังกรไว้ จวบจนใบหน้าอ่อนโยนหันมา นางก็กล่าวอ้อนวอน “อยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันอีกสักพักได้ไหมเพค่ะ”

          “........” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับนิ่งเงียบ ด้วยตกตะลึกกับการกระทำนี้อยู่ไม่น้อย

          “หม่อมฉันยังกลัวอยู่ หากฝ่าบาทไม่อยู่ด้วยแล้ว...”

          เจินเริ่นผิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็เงียบไป ดวงตาคลุกเคล้าหยาดน้ำใส ทำให้เขายินยอมนั่งลงเป็นเพื่อนนางครู่หนึ่งแต่โดยดี กระนั้นบรรยากาศระหว่างนางกับเขากลับเต็มไปด้วยความอึดอัด และเพราะเหตุนี้ทำให้ชายาเจินลุกพรวดลงจากเตียง

          “เสด็จมาตั้งนานแล้ว พระองค์ต้องกระหายน้ำแน่ๆ เป็นหม่อมฉันสะเพร่า ...ว้าย” ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้น ร่างบอบบางถึงกับอ่อนยวบ เจินเริ่นผิงร้องตกใจ หากแต่เอวกลับถูกรั้งไว้ในอ้อมกอดอบอุ่นก่อนจะล้มตัวลงทาบทับร่างแกร่ง

          “ไยจึงลุกลี้ลุกลนเป็นเด็กน้อย อย่าได้ลืมไปว่าเจ้าบาดเจ็บอยู่” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเตือน ทำให้ดวงหน้างามซึ่งอยู่ใกล้เพียงคืบเงยขึ้นสบสายตาอย่างลึกซึ้ง

          “...เป็นหม่อมฉันหลงรักฝ่าบาทตั้งแต่แรกเจอ”

          ร่างอรชรกระซิบบอก น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาราวสายน้ำ แลไม่นานดวงหน้างดงามราวบุปผาแรกแย้มจึงเคลื่อนเข้าใกล้ ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่จ้องมองแพขนตาหวานกะพริบน้อยๆ กลิ่นหอมของนางคล้ายมอมเมาให้ผู้คนต่างหลงใหล แม้แต่เขายังนิ่งงันไป จนกระทั่งริมฝีปากจิ้มลิ้มกำลังแนบลงมา เขาจึงได้สติเบือนหน้าหนี

          “เราต้องไปแล้ว” เอ่ยเสียงเรียบก่อนผละตัวนางออกอย่างเบามือ

          เมื่อจู่ๆ ก็ถูกปฏิเสธเช่นนี้ ยังผลให้ตัวนางแข็งค้าง บังเกิดเป็นโทสะในใจ นางกดเสียงต่ำ “ความจริงคืนนั้นหม่อมฉันเห็น...เซียวฮองเฮา”

          ฝีเท้าของซวนหยวนหมิงไท่พลันหยุดชะงัก “ผิดแล้วเพลานั้นเจ้าตื่นตระหนกจึงเกิดสับสนไปเอง” พูดจบก็ย่างก้าวต่อไป ไม่มีความคิดจะหันกลับไปอีก

          ต่อเมื่อคำขู่มิได้ผล แผ่นหลังเย็นชายังคงลับจากไป เจินเริ่นผิงก็ทุบหมัดลงบนเตียงอย่างแค้นเคือง “ใช้ไม้อ่อนดีๆ ไม่ชอบ กลับอยากให้ข้าใช้ไม้แข็ง คอยดูท่านจะได้เห็นเองว่าคนที่ท่านรักนักหนา มันน่าสมเพชเพียงไร”


 

****************************************************


          หลังจากพบพานกับความผิดหวัง ไป๋เซ่อก็ไม่มีกระจิตกระใจจะร่าเริงอีก ซึ่งประจวบเหมาะกับหงลิ่วกลับไปหาหงอู่ ด้วยต้องการถามหาหงเว่ยที่หายไปโดยไม่บอกกล่าว ดังนั้นในยามไม่มีใครอยู่ด้วยเช่นนี้เขาจึงได้แต่นั่งซึมกะทือ

          คล้อยตกเย็นหรูอี้เปิดประตูเข้าไปในห้องบรรทม เห็นร่างสีเขียวหงอยเหงาเซื่องซึมอุดอู้อยู่แต่ในห้องตั้งแต่กลับมา นางก็ทอดถอนใจอย่างเป็นห่วง “เซียวฮองเฮา ฝ่าบาทใกล้เสด็จมาถึงแล้วเพค่ะ”

          “.......”

          แม้จะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าคนในห้องก็ยังไม่รู้สึกตัว ทั้งที่ปกติจะต้องสบถกล่าวเจ้าลูกเต่าสักคำสองคำไปแล้ว หรูอี้คิดกล่าวอีกสักประโยค แต่แล้วเงาร่างหนึ่งก็ทาบทอตัว นางหันหลังกลับไปก็พบเป็นเจ้าเหนือหัวกำลังทอดมองคนนั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งคล้ายสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้ารางๆ ดังนั้นตนจึงไม่กล้ารบกวนอีก สองเท้าถอยหลังออกมา

          ฉับพลันนั้นสัมผัสได้ถึงกระแสไออุ่น กายถูกกอดจากทางด้านหลัง ไป๋เซ่อสะดุ้งตัวเล็กน้อย เอ่ยเสียงดัง “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ากลับมาแล้ว?”

          “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มบอก “จุ๊ยๆ ดูเจ้าเหม่อลอยเข้าสิ คงคิดถึงข้าจะแย่อยู่แล้วใช่รึไม่ มา มาให้ข้าจูบเจ้าสักหน่อย” ว่าแล้วก็ยื่นริมฝีปากเข้าใส่ หากแต่มือน้อยๆ กลับยันหน้าเขาไว้อย่างใจร้าย

          “เฮอะ เป็นแค่ลูกเต่าแท้ๆ คิดว่าข้าจะคิดถึงเจ้ารึ ฝันไปเถอะ”

          ร่างเล็กเชิดหน้าวางท่ากล่าว ให้ตัวเขายิ้มมุมปาก ลอบคิดในใจ...นี่สิถึงจะเป็นเจ้า “เช่นนั้นลูกเต่าตัวนี้จะขอปรนนิบัตินายท่านทั้งคืน รับรองนายท่านจะต้องสุขสมชอบใจเป็นแน่ ฮึ ฮึ”

          “พะ พูดอะไรออกมาเจ้าคนหน้าไม่อาย สะ สุขสมอะไรกัน” ถูกหยอกเย้าเข้าเช่นนี้ไป๋เซ่อก็พลอยหน้าแดงเถือก

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่กลับเลิกคิ้ว “หืม นายท่านยังไม่เข้าใจ เห็นทีลูกเต่าน้อยตัวนี้ต้องขออภัยแล้ว”

          ทันใดนั้นสายตากระหิวกระหายก็สาดเข้าใส่ ยังผลให้ไป๋เซ่อมีอันตะลึงอ้าปากค้าง พริบตาเดียวก็ถูกกระโจนเข้าใส่ ริมฝีปากบางถูกช่วงชิงไป กระแสหวามไหวแทรกซึมลึกไปทั่วทั้งตัว ลิ้นอุ่นรุกไล่พัวพัน ไม่ช้าไม่นานเปลือกตาเรียวก็คล้อยปิดลง ต่างฝ่ายต่างกระชากเสื้อผ้าอาภรณ์ออก จนในที่สุดผิวกายหนึ่งร้อนหนึ่งเย็นต่างกอดรัดโหยหาซึ่งกันและกัน

          “อา” จนกระทั่งไออุ่นร้อนแทรกผ่าน ไป๋เซ่อก็หลุดเสียงครางหวาน ขาเรียวตวัดรัดเอวชายหนุ่ม

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่ไล่มองใบหน้าเย้ายวนแดงก่ำด้วยสายตารักใคร่ แล้วขับเคลื่อนกายเป็นจังหวะถาโถมให้ร่างน้อยรู้สึกตัวลอยละล่อง พร่ำเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงจวนเจียนคลั่ง

          “หมิงไท่ หมิงไท่”

          “ไป๋เซ่อ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะปกป้องเจ้า...ตลอดไป”

          เสียงกระซิบแว่วดังข้างริมหู ทำให้หยาดน้ำตาอุ่นไหลรินจากหางตาเรียว ไป๋เซ่อกดเสียงสะอื้นไห้ในลำคอ จากนั้นจึงสวมกอดร่างอบอุ่นนี้ไว้อย่างแนบแน่น ...ตลอดไป


 

****************************************************

 

          ท้องฟ้าขมุกขมัว คนส่วนใหญ่เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ แต่แล้วลมหนาวกลับหอบเอาเสียงกระดิ่งเข้ามา ปลุกให้คนผู้หนึ่งลืมตาเบิกโพลงในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายรัก รอจนสองขาเรียวเหอะเหินออกไป พริบตานั้นเจ้าของดวงตาสีดำขลับก็ขยับกายพุ่งพรวดติดตามไปทันที

          ร่างสีขาวเดินละเมอวนเวียนหลบเลี่ยงทหารยาม จากตำหนักถั่วแดงไปยังตำหนักกลาง ผ่านอุทยานหลวงไปสู่สระน้ำไท่เย่ ระหว่างนี้เจ้าตัวกลับมีพฤติกรรมแปลกๆ บางคราดึงทึ้งกลีบบุปผาแดงเข้าปาก บางครั้งกระโจนลงสระน้ำไล่จับปลาตัวสีออกแดง ครั้นเจ้าตัวรู้ว่ามิใช่สิ่งที่ตามหาก็โยนมันทิ้งไป จากนั้นมุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย

          จวบจนร่างดังเข้าไปยังตำหนักที่มีต้นเฟิงสูง ไม่ไกลออกไปมีเรือนหลังใหญ่ ทว่ามีห้องๆ หนึ่งที่ยังมิได้ดับแสงไฟ คลับคล้ายรอการมาของใครบางคน วูบหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่พลันสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ไป๋เซ่อยังคงตรงไปและหายเข้าไปในห้องดังกล่าว

          “มาแล้ว?” น้ำเสียงปนความมิพอใจดังขึ้น ทำให้ร่างเลื่อนลอยต้องสั่นเทาน้อยๆ นางเห็นแล้วก็นึกขบขัน ก้าวเข้าไปบีบดวงหน้าอีกฝ่าย แต่พริบตานั้นรอยจ้ำแดงบนลำคอกลับปรากฏสู่สายตา ให้ฝ่ามือบางต้องฟาดเข้าใส่ใบหน้าเย้ายวนไม่ยั้ง “จะ เจ้า น่ารังเกียจที่สุด”

          ไป๋เซ่อถูกตีจนหน้าแดงก่ำ หากแต่เจินเริ่นผิงไม่หยุดมือเพียงแค่นี้ นางตรงเข้าไปจุดกำยานเผาหญ้าสิ้นซาก แม้กลิ่นที่ลอยออกมาจะเบาบาง กระนั้นกลับทำให้ปีศาจงูต้องดิ้นพล่าน กุมขมับร้องครางอย่างเจ็บปวด

          “อ่ะ อา”

          เสียงคุ้นเคยที่ดังลอดออกมาจากภายใน ภาพอันโหดร้ายแทบทำให้ดวงใจเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซวนหยวนหมิงไท่ทนหลบซ่อนอยู่ทางด้านนอกมิได้นาน ก็มิอาจห้ามใจมิให้เผยตัวโผทะยานเข้าไปฉุดร่างเย็นขึ้นกอด “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อเจ้าเป็นอะไรไป เจ็บตรงไหนบอกข้ามาเร็ว”

          บุรุษในชุดคลุมสีเหลืองทองเอ่ยน้ำเสียงที่ฟังดูรวดร้าว ให้นางต้องเหลือบมองคนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “ถวายบังคมฝ่าบาท”

          มาตรว่าจะพยายามปลุกสติไป๋เซ่อ แต่กระนั้นกลับไม่เป็นผล มิหนำซ้ำยังดูมีวี่แววทรมานขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เขาขึ้นเสียงดุดันใส่สตรีที่ยืนไม่ไกล “เจ้าทำอะไรเขา”

          “ฮึ ดูท่าฝ่าบาทจะรักใคร่เขาไม่น้อย ไม่นึกว่าจะออกมาเร็วเพียงนี้”

          “เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าข้าต้องตามเขามา”

          “.......”

          เจินเริ่นผิงไม่เพียงไม่กล่าว แต่กลับส่งยิ้มหวานให้เป็นคำตอบ ทำให้เขาได้แต่เอ่ยถามเจตนาที่แท้จริง “เจ้าต้องการอะไร”

          “ข้าต้องการอะไรน่ะหรือ?” ฉับพลันนางก็ส่งเสียงหัวเราะพลางก้มตัวลงใกล้ๆ จากนั้นยื่นมืออันนุ่มนวลไล้ใบหน้าหล่อเหลาแฝงแววชิงชัง กล่าวเสียงแข็ง “ประทานบุตรให้หม่อมฉัน ...แต่เพียงผู้เดียว”

          “......” ประโยคดังกล่าวทำให้เขาตะลึงวูบ ทว่าข้อเสนอของนางมิได้มีเพียงเท่านั้น

          “ยังมีปลดเซียวไป๋จากตำแหน่งฮองเฮา”

          สิ้นคำดังกล่าว ซวนหยวนหมิงไท่ก้มมองใบหน้าขาวซีดบิดเบี้ยวในอ้อมกอด ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกลับกลายเป็นสีดำทื่อไร้ชีวิตชีวา เหงื่อเย็นไหลซึมกาย แม้แต่ลมหายใจก็ยังแผ่วเบาลง “หากข้าไม่...”

          “เช่นนั้นก็รอดูเขาตายต่อหน้าต่อตาเถอะ” มิรอให้ร่างสูงส่งกล่าวจบ นางก็เอ่ยแทรกกลางคัน

          ได้ยินเช่นนั้นตัวเขาก็พลันชาวูบ หัวใจเจ็บหนึบราวกับมีดกรีดลึกในอก สองมือกำจนสั่นระริก หากจะให้ตนทนดูไป๋เซ่อ... “ไม่ ไป๋เซ่อๆ” จู่ๆ ร่างน้อยก็เกร็งตัวกระตุกโดยแรง ดวงตาเบิกกว้างบ่งบอกความเจ็บปวด

          ทันใดนั้นคำสัญญาที่บอกว่าจะปกป้องพลอยดังก้องอยู่ในสมอง แลด้วยไม่ว่าอย่างไรมิอาจทนสูญเสียเจ้างูน้อยไปได้ ทำให้เขารีบโพล่งรับปาก “ได้ๆ ข้ารับปากเจ้า หยุดทรมานเขาก่อน”

          ทันทีที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น ร่างเล็กก็พลอยคลายตัว หลับตาลงหายใจอย่างสงบ ชายหนุ่มคิดจะยกปลายแขนเสื้อปาดเช็ดเหงื่อให้ แต่เจินเริ่นผิงมิให้โอกาสคนทั้งสอง “ฝ่าบาทอย่าได้เสียเวลาอีกเลย ราตรีนี้ไม่นานเท่าไหร่แล้ว” 

          ซวนหยวนหมิงไท่ชะงักหยุดกึก ต่อหน้าไป๋เซ่อเช่นนี้ จะให้เขากระทำเรื่องชั่วช้าต่ำทรามได้อย่างไร “ให้เขาออกไปจากที่นี่ก่อน”
         
          “เฮอะ ท่านยังมิเข้าใจอีกหรือ ว่ายามนี้ท่าน...”

          “ข้าบอกว่าให้เขาออกไปจากที่นี่” ร่างสูงตวาดก้อง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ ใบหน้าไม่เหลือเค้าความอ่อนโยน รังสีกดดันแผ่ซ่านรอบกาย ยังผลให้เจินเริ่นผิงถึงกับผงะไปเล็กน้อย แล้วจึงจำใจออกคำสั่ง

          “กลับไปได้” ฉับพลันนั้นร่างที่หลับตากลับหยัดยืนขึ้น เซียวไป๋เดินโงนเงนเหมือนคนนอนละเมอ รอจนเขาลับประตูไปนางก็หันไปว่ากล่าวบุรุษอีกผู้หนึ่ง “อาลัยอาวรณ์พอแล้วกระมัง อย่าลืมสิที่นี่ยังมีข้า”

          สตรีบอบบางฉุดรั้งร่างสูงเข้าไปยังด้านในสุดของห้อง ครั้นมาถึงเตียงก็ผลักชายหนุ่มให้นั่งลง แล้วจึงก้าวขึ้นคร่อมบนตักแกร่ง มือนวลปลดเปลื้องเสื้อนอกของตน แลไม่นานเรือนร่างอันบานสะพรั่งก็ปรากฏสู่สายตา

          ทว่ามาถึงขั้นนี้ฮ่องเต้หนุ่มกลับแน่นิ่งไม่ต่างจากก้อนหิน ทั้งยิ่งไม่เหลือบแลมองนางสักหน เจินเริ่นผิงได้แต่มองชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วจึงเป็นฝ่ายดึงทึ้งอาภรณ์ของอีกฝ่าย จนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรง จากนั้นนางเหยียดยิ้มขึ้น ก่อนก้มหน้าลงกัดบ่ากว้างโดยแรง

          “.......” เขากัดฟันรับความเจ็บปวด มาตรว่าต่อให้เจ็บเพียงใด กระนั้นข้างในอกกลับร้าวรานยิ่งกว่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนพึ่งตระกองกอดเจ้างูน้อย หากแต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงนึกถึง จวบจนริมฝีปากจิ้มลิ้มเคลื่อนเข้ามาใกล้ ตนจึงได้ข่มปิดตาลงอย่างขมขื่น

          แต่ในชั่วอึดใจพลันบังเกิดเสียงนิ้วดีด แลทุกอย่างกลับหยุดนิ่งลงอย่างน่าอัศจรรย์ ซวนหยวนหมิงไท่ลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า ก่อนพบว่าเจินเริ่นผิงนิ่งค้างไม่ขยับกายแล้ว แม้แต่ดวงตาก็หาได้ทอประกาย ทำให้เขาได้แต่มองนางอย่างงุนงง พลันลดเข็มยาสลบที่ตนใช้จ่อลำคอระหง ปลายนิ้วผลักหัวไหล่มนเบาๆ ร่างเบ่งบานก็ล้มพับไป

          เห็นทีว่าเข็มยาสลบเล่มนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว เขาสรุปในใจแล้วหันไปกล่าวกับเงาร่างสูงใหญ่ ผู้ซึ่งยืนส่งสายตาเย็นชา

          “มิคิดว่าจะเป็นเจ้า”


 

****************************************************

 

          โฮก จบบทนี้นี่เเอบเหนื่อย 55555+ เวลาเขียนตัวละครที่ตกอยู่ในอารมณ์สับสน ผู้เเต่งเองก็พลอยสับสนไปด้วย สารภาพว่าก่อนหน้านี้ลังเลจะอัพ สุดท้ายก็เลยปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปนิดหน่อยก่อนลง จะว่าไปพอเข้าช่วงใกล้จบเรื่องทีไร ทำไมมันยากขึ้นทุกที ช่วงหลังๆ อาจจะอัพช้ากว่าปกติ เเบบว่าโอย ทำไมปมมันเยอะจุงเบย

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
โฮกกกกก สงสารไป๋เซ่อ ทำไมต้องมาตกอยู่อยู่ในวังวนชิงดีชิงเด่นกันแบบนี้ :ling3:
ที่จริงแอบบสงสารแม่นางสนมทั้งสองอยู่เหมือนกันนะ คือเกิดเป็นลูกสาว ก็ต้องตอบแทนบุญคุณของตระกูล แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองไม่รัก หรืออาจจะรัก แต่เขาไม่รักเรา ก็มันคือแต่งงานการเมือง จะให้มีความสุขทั้งสองฝ่ายได้ยังไง แล้วจะไปรักใครคนอื่นอีกก็ไม่ได้ แต่ทำร้ายคนอื่นแบบนี้เนี่ย รับไม่ได้ :angry2:

ว่าแต่ว่า เนื้อคู่ซวนหยวนหมิงไท่คนนึงใช่ หย่าเหลียนป่ะคะ คุ้นๆว่าหมิงไท่ชอบนางนี่นา


ขอโทษน้าหายไปนาน ช่วงนี้ชีวิตเรียนเราวิกฤตมากเลยค่ะ  :pig4:


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 29.1 เจินเริ่นผิง

 

            ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม สะท้อนป่าเขียวชอุ่มตกอยู่ในมนต์ขลัง สะกดให้เจ้าของดวงตากลมโตต้องหยุดฝีเท้าเหม่อมองความงดงามนี้ แต่แล้วสาวใช้ที่ติดตามมากลับเอ่ยเร่งรัด

          “คุณหนูเจ้าค่ะ หากมิรีบไปประเดี๋ยวจะถูกชิงที่นั่งดีๆ นะเจ้าค่ะ”

          “อืม” นางพยักหน้าพลันรู้สึกตัวว่าช้ามิได้อีก จึงเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน ไปยังวนอุทยานชวีเจียง

          ได้ยินว่างานเลี้ยงเสาะหาบุปผาในปีนี้ ซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้วางใจให้องค์หญิงหย่าเหลียนเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้นรายละเอียดของงานจึงมีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บัณฑิตจิ้นซื่อและคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายทราบเรื่องก็พากันตื่นเต้น อาจเพราะคาดเดาไม่ออกว่างานจะออกมาเป็นรูปแบบใด

          ขณะนี้ผู้คนในงานต่างจับจองที่นั่งไม่น้อยแล้ว เจินเริ่นผิงในชุดสีชมพูอ่อน ปลายกระโปรงปักด้วยลวดลายดอกเหมยเล็กๆ เยื้องย่างผ่านพรมแดงตรงกลางลานกว้าง ตรงไปที่โต๊ะฝั่งซ้ายมือแล้วนั่งลงบนเบาะนุ่ม ท่ามกลางสายตาจับจ้องเลื่อนลอยของบัณฑิตทางฝั่งตรงข้าม

          “เฮอะ”

          ฉับพลันนั้นนางก็ได้ยินเสียงแค่นในลำคอจากใกล้ๆ ครั้นหันไปก็สบเข้ากับสายตาไม่เป็นมิตรของสตรีในชุดสีส้มสะดุดตา ดวงหน้าหวานไม่เป็นรองใคร ทั้งนี้นั่งห่างจากนางไปโต๊ะหนึ่ง

          “หึ คุณหนูตระกูลหลี่ผู้นี้ชอบจิกกัดคุณหนูเป็นประจำ ต้องมานั่งใกล้นางเช่นนี้โชคไม่ดีจริงๆ” อวี้ชิงก้มตัวกระซิบบอก

          “ช่างเถอะ อย่าไปสนนางเลย” เจินเริ่นผิงเบือนหน้าออกจากหลี่ซิ่วหลัน จังหวะนั้นเกิดเป็นเสียงฮือฮาคิกคักของสตรี ผู้คนในงานต่างพุ่งสายตาไปยังทางเข้าเป็นจุดเดียว ส่งผลให้นางต้องมองตามอย่างสงสัย

          ทันใดนั้นเท้าคู่ก็หนึ่งเหยียบย่างลงบนพรมแดง ผู้มาใหม่เป็นบุรุษหนุ่มเค้าใบหน้าหล่อเหลา สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์กระจ่างตา ทั้งดูสูงส่งอบอุ่นราวกับตะวันทอแสงในคราเดียวกัน พลอยให้นางลืมตากลมโตราวลูกกวางน้อยอย่างตะลึงงัน จนกระทั่งเขาเดินล่วงผ่านนางไปยังศาลาหลังใหญ่ที่จัดไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์จึงได้หยุดฝีเท้าหันตัวกลับมา

          “เริ่นผิง จงจำไว้ให้ดี หาทางเข้าใกล้องค์รัชทายาทให้ได้”

          จู่ๆ คำพูดของเจินหยวนกลับวูบผ่านสมอง แม้รู้ถึงความทะเยอทะยานในใจบิดา แต่ผู้เป็นบุตรสาวอย่างนางกลับไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ ดังนั้นจิตใจของนางในยามนี้จึงนับว่าไร้เดียงสา ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใดๆ

          ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมิอาจละสายตาไปจากร่างสง่างามนั้นได้ หนำซ้ำมันยังฉายแววพึงพอใจ ก่อนจะนึกเอะใจเมื่อเห็นเขาทอดสายตาเย็นเยียบให้กับสตรีผู้หนึ่ง ...สตรีผู้ขึ้นชื่อว่างดงามราวดอกโบตั๋น

          องค์หญิงหย่าเหลียนในชุดผ้าแพรสีฟ้าโดดเด่นพร้อมกลุ่มกำนัล ก้าวเข้ามาถึงตรงกลางลานกว้างก็หยุดตัวถวายคำนับ ทว่าองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์กลับหลุบสายตาลงแล้วเสด็จเข้าไปประทับยังศาลาด้านหลังโดยมิได้กล่าวอันใด ความเหินห่างเย็นชานี้เสมือนมีเพียงนางรับรู้ แต่เด็กสาวอายุสิบสี่อย่างนางรู้เรื่องอันใด สุดท้ายจึงได้แต่มองข้ามไป

          งานเลี้ยงดำเนินขึ้น เหล่านางรำออกมาร่ายรำในจังหวะเพลงสนุกสนาน อาหารนานาชนิดถูกนำออกมาวางเรียงรายไว้บนโต๊ะ ผู้คนในงานต่างสนทนากันอย่างออกรส แต่ถึงอย่างไรก็พุ่งความสนใจไปยังบุคคลที่นั่งในศาลากลางเป็นระยะๆ ไม่เว้นแม้แต่นาง

          ในศาลากลางนอกเหนือจากรัชทายาทหนุ่มแล้ว ผู้ที่จับจองที่นั่งข้างกายล้วนแต่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นคุณชายเซียวถิงฟงที่พึ่งได้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพ สตรีปริศนาในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนประดุจฉางเอ๋อเทพธิดาจันทรา กับเด็กหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้ากินอาหาร และเด็กสาวในชุดสีดำดูเย็นชา

          ต่อมางานลอยจอกสุราเพื่อขับกลอนโต้กวีในสระน้ำชวีเจียงก็เริ่มขึ้น นางเองได้รับจอกสุรามาใบหนึ่ง ครั้นถึงเวลาลอยจอกตนกลับซ่อนมันไว้กับตัว อวี้ชิงบ่นนางใหญ่ แต่นางเพียงยิ้มแล้วลอบมองบุรุษร่างสีขาวซึ่งแอบโยนจอกสุราไปในโพรงหญ้า ใบหน้าอมยิ้มราวกับเด็กที่กระทำเรื่องซุกซน จวบจนช่วงสุดท้ายของงานผู้คนต่างคึกคักเป็นพิเศษ เพราะการเสาะหาบุปผาในปีนี้ ทุกคนสามารถมอบดอกไม้ให้แก่บุคคลที่ตนพึงใจได้

          “คุณหนู ข้าว่าหลี่ซิ่วหลันผู้นั้นคิดมอบดอกไม้ให้กับองค์รัชทายาทแน่ๆ ข้าเห็นนางส่งสายตาหยาดเยิ้มให้พระองค์ตลอดเวลา เฮอะ ทั้งน่ารังเกียจทั้งไม่เจียมตัว พระองค์สูงส่งเพียงใดมีรึจะชายตามองบุตรสาวขุนนางขั้นเล็กๆ อย่างนาง” อวี้ชิงก่นด่า

          “อวี้ชิง อย่าพูดแบบนี้สิ องค์รัชทายาทเป็นบุรุษเพียบพร้อม จะมีสตรีคนใดบ้างไม่สนใจ” เจินเริ่นผิงเอ่ยปรามขณะเอื้อมมือไปเด็ดดอกโบตั๋นขาวอมชมพู

          “เอ๋ เช่นนั้นคุณหนูเองก็สนใจองค์รัชทายาทใช่ไหมเจ้าค่ะ” ดวงตาของอวี้ชิงทอประกายดีใจ ครั้นเห็นผู้เป็นนายหน้าแดงก็ชิงกล่าว ”ช้าไม่ได้แล้ว พวกเราต้องตัดหน้าก่อนหลี่ซิ่วหลันจะมอบดอกไม้ รีบไปเร็วคุณหนู”

          สาวใช้พูดจบนางก็กึ่งลากกึ่งเดินพานางตามหาร่างสง่างามไปทั่ว แลสวรรค์เองก็เป็นใจ เพราะไม่นานก็ได้พบคนที่ตามหา องค์รัชทายาทยืนอยู่แถวริมสระน้ำ แลกำลังเหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่งเพียงลำพัง เพลานี้แสงสีเหลืองจากโคมข้างทางส่องสลัวในความมืด ส่งผลให้นางใจเต้นระรัว ดูว่าในมือของพระองค์ยังมีดอกกุ้ยฮวาสีขาวนวลเล็กๆ น่ารักอยู่ ระหว่างนี้นางก็ถูกอวี้ชิงดุนหลังเข้าไป พอดีกับเสียงหนึ่งดังขึ้นหลังพุ่มดอกกุ้ยฮวา

          “องค์หญิงหย่าเหลียนรีบเสด็จไปทางนี้ รองแม่ทัพเซียวไปถึงสวนดอกเหมยแล้ว”

          เป็นเสียงขันทีผู้หนึ่งกล่าวอย่างเร่งรีบ พร้อมกับร่างอรชรในชุดแพรสีฟ้าผลุนผันออกไปไกล พริบตานั้นนางคล้ายเห็นใบหน้าที่วาวโรจน์อย่างมิพอใจ แม้แต่มือที่กำดอกไม้ยังกำแน่นขึ้น ตนคิดหยุดฝีเท้าด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศผิดปกติ หากแต่อวี้ชิงกลับมิได้รู้สึกทั้งยิ่งผลักนางออกไป

          “อ้ะ” ในที่สุดนางก็ชนเข้ากับแผ่นหลังกว้าง ให้บุรุษหนุ่มหันกลับมาทันใด “ขะ ขอพระราชทานอภัยเพค่ะ หม่อมฉัน ...หม่อมฉัน” เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางกลับกลายเป็นคนพูดติดอ่างไปเสียอย่างนั้น

          “มีธุระอันใด”

          รัชทายาทหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าของนางแดงก่ำ มิกล้ามองหน้ามองเขาชัดๆ จึงได้แต่ยื่นมือที่มีดอกโบตั๋นบอบบางไปให้ กระนั้นเขากลับไม่คิดจะรับไว้ สองมือไพล่หลังไม่แม้แต่จะขยับ

          ต้องการให้ข้า?” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มลงมองดอกไม้ในมือหญิงสาว ก่อนจะแค่นเสียงหยัน “หึ ดอกโบตั๋น”

          ได้ฟังน้ำเสียงชิงชังนางถึงกับตัวชาวาบ ยามนี้จึงตัดสินใจเงยหน้ามองอีกฝ่าย แล้วจึงพบประกายความเย็นชาในดวงตาสีดำขลับ

          “เจ้าเก็บไว้มอบให้คนอื่นเถอะ”

          องค์รัชทายาทเปล่งเสียงห้วน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อทิ้งดอกกุ้ยฮวาในมือลงสระน้ำไป นางมองดอกไม้สีขาวนวลเล็กค่อยๆ จมลงสู่ผิวน้ำ จากนั้นหางตาก็เหลือบเห็นร่างสูงเดินผ่านตัวนางไปอย่างไม่ไยดี การกระทำนี้คล้ายบ่งบอกว่านางมิคู่ควร ให้นางต้องนิ่งอึ้งไปพักใหญ่

          “คุณหนู”

          อวี้ชิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบวิ่งเข้ามาอย่างเป็นห่วง ส่วนนางได้แต่ยืนเซื่องซึม หยาดน้ำใสปริ่มนัยน์ตากลม ความผิดหวังกอบกุมจิตใจ แต่แล้วน้ำเสียงหนึ่งก็ดังเข้าซ้ำเติม

          “หึ สตรีที่น่ารังเกียจ ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว องค์รัชทายาทสูงส่งเพียงใดมีรึจะชายตามองบุตรสาวขุนนางขั้นเล็กๆ อย่างเจ้า”

          เป็นหลี่ซิ่วหลันที่มีสาวใช้ประคอง พร้อมกับเหล่าคุณหนูตระกูลอื่นเดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง ครั้นนางพูดจบก็บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะเยาะ ส่งผลให้นางต้องก้มหน้ากำมือด้วยความอับอาย

          “คำพูดนั้นเป็นข้ากล่าว ไม่เกี่ยวกับคุณหนูข้า พวกเจ้าอย่ามารังแกกันแบบนี้นะ” อวี้ชิงขึ้นเสียง คาดว่าอีกฝ่ายคงบังเอิญได้ยินนางกล่าวประชดประชัน

          “เฮอะ” หลี่ซิ่วหลันแค่นเสียง ขี้คร้านจะใส่ใจกับสาวใช้ปากเสียจึงเชิดหน้าเดินนำคนอื่นไป แต่แล้วครู่ต่อมาก็บังเกิดเสียงร้องพร้อมกับเสียงน้ำกระจัดกระจาย นางหันกลับไปก็เห็นเจินเริ่นผิงตกลงไปในสระสภาพเปียกปอนน่าสงสาร ด้านอวี้ชิงร่ำร้องตกใจ ส่วนธิดาขุนนางคนอื่นๆ หัวเราะยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น ดูว่าอีกฝ่ายถูกกลั่นแกล้ง ทว่านางมองดูอยู่พักหนึ่งก็เอ่ย “เหลียนฮัวไปเถอะ”

          ฟังเสียงหัวเราะเยาะดังก้อง ริมฝีปากจิ้มลิ้มก็กัดเม้มจนรสเลือดล่วงผ่านลำคอ ดวงตาราวกวางน้อยทอประกายแค้นเคือง นางทำผิดกระไร เพียงชื่นชมบุรุษผู้หนึ่ง เขากลับหยิบยื่นความเย็นชาให้ ไม่ไว้แม้แต่ไมตรี ให้สตรีอื่นเหยียดหยาม หรือเพราะนางเป็นเพียงสตรีต่ำต้อย มิคู่ควรให้เขายุ่งเกี่ยว ตนจึงต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายนี้

          งานเลี้ยงยังคงไม่เลิกรา แต่สองนายบ่าวจำต้องกลับจวนตระกูลเจินไป อวี้ชิงช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมดวงตาแดงก่ำ กระนั้นนางเพียงเงียบงัน แลครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยปากให้อีกฝ่ายออกไป จากนั้นตรงไปยังห้องหนึ่งที่ยังคงไม่ดับแสงเทียน

          “เริ่นผิง”

          คนในห้องมองนางอย่างแปลกใจ นางกล่าว “ท่านพ่อ จากนี้ไปข้อเสนอของท่าน ข้าจะกระทำตาม”

          ต่อไปนี้ไม่ว่าจะร่ำเรียนหมากล้อม พิณ พู่กัน ร่ายรำ ตำราอะไร นางก็จะฝึกฝนให้ชำนาญ ให้เพียบพร้อมไม่น้อยหน้าสตรีใด เพื่อก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดเดียวกับท่าน และสักวันหนึ่งท่านจะต้องชดใช้ให้กับข้า

          ...ด้วยหัวใจของท่านเอง องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่


 

*******************************************************

 

            ยามเช้าซึ่งนกกระจิบโบยบินส่งเสียงขับขาน แสงแดดรำไรทาบทอนวมอุ่น ทำให้คนขี้เกียจที่ยังคงหลับอยู่ต้องขยับตัวหนีทีหนึ่งก็ต้องนิ่วหน้าด้วยอาการปวดระบมไปทั่วทั้งตัว ต่อเมื่อแว่วเสียงคนคุยกันมิไกลก็พลันลุกพรวดพราดโพล่งถามด้วยสีหน้าแตกตื่น

          “มีคนถูกทำร้ายอีกรึไม่?”

          ได้ยินร่างเล็กร่ำร้องแตกตื่น หยาดเหงื่อเม็ดเล็กผุดบนหน้าผาก รัชทายาทหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับขันทีประจำกายต้องหันกลับไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียง “ข้าเพียงสั่งงาน เจ้าเองพึ่งหลับไปได้ไม่นาน นอนต่อเถิด” เขาเดินเข้าไปดันร่างไป๋เซ่อให้นอนราบลงไปอีกครั้ง หากแต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าทวนถามอย่างร้อนใจ

          “ไม่ ตอบข้ามาก่อน เมื่อคืนมีคนถูกทำร้ายอีกรึเปล่า”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองแก้มนวลที่แม้จะใส่ยาแล้วก็ยังคงทิ้งรอยแดงจางๆ ไว้อย่างเจ็บปวด มือหนึ่งยื่นออกไปลูบไล้ “ไม่มีสักหน่อย”

          “จริงหรือ” ไป๋เซ่อย้ำถาม รอจนชายหนุ่มพยักหน้าให้จึงได้ผ่อนคลายลง จ้องมองอีกฝ่ายที่แต่งตัวเต็มยศ “เจ้าจะออกว่าราชการแล้ว?”

          เห็นความหงอยเหงาในดวงตาสีฟ้าอมเขียว เขาก็นิ่งเงียบไป “ข้าขอโทษ” เป็นข้าไม่มีเวลาให้ เจ้าจึงถูกทำร้ายเช่นนี้

          “เฮอะ อย่ามาแสร้งตีหน้าเศร้านะเจ้าคนเจ้าเล่ห์”

          ไป๋เซ่อหรี่ตามองอย่างจับผิด ทำให้เขาต้องหยิกก้นน้อยๆ “ฮึ รู้ทัน”

          “อ๊ากกก เจ้าลูกเต่าลามก” ร่างเล็กกระโดดผึงร้องลั่น ใบหน้าแดงก่ำชวนมอง ส่งผลให้คนหยอกต้องหัวเราะคิกคัก

          “จริงสิ หากเจ้าเบื่อหน่าย เขารอเจ้าอยู่ที่ห้องโถงแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ทิ้งท้ายบอกกล่าว ให้เขาต้องเกาศีรษะงุนงงว่าใครกัน หรือว่าจะเป็น... ดวงตาเรียวเบิกกว้าง สองขารุดไปยังโถงรับแขกสุดฝีเท้า จวบจนแลเห็นเงาร่างหนึ่งนั่งหันหลังให้ก็หลับหูหลับตาโถมตัวเข้าใส่

          “หงลิ่ว” ในที่สุดเจ้าตัวน้อยก็กลับมาเสียที ครั้งนี้ต้องลูบคลำให้มากเสียหน่อย ไป๋เซ่อคว้ากอดหมับ แต่แล้วร่างข้างใต้กลับแข็งทื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น เอ ...หงลิ่วผู้นี้จะตัวใหญ่ไปหน่อยกระมัง “ไม่เจอเพียงไม่กี่วันไฉนเจ้าตัวโตเป็นหมีเช่นนี้”

          เปรี๊ยะ เสมือนใบหน้าบังเกิดรอยแตกร้าว หงเว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ “ขะ ข้าเหมือน...หมี”

          “หงเว่ย” ได้ยินเสียงเข้มไป๋เซ่อก็ผละตัวออกอย่างตกใจ ก่อนจะสบเข้ากับใบหน้าเคล้าน้ำตาของบุรุษหนุ่มในชุดสีม่วงอมดำ เขาเกาแก้มเก้อเขิน หัวเราะแห้งๆ “ข้าเพียงเปรียบเทียบเท่านั้น แฮะ แฮะ”

          พริบตาที่แขนเรียวคลายลง ใจของหงเว่ยก็วูบโหวงไปด้วย ระหว่างนี้ก็จับจ้องดวงหน้าเย้ายวนที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามาหลายวัน ดูว่าอีกฝ่ายผอมลงไปถนัดตา ยังมีรอยแดงที่ประทับบนแก้มนวลจางๆ ในยามนี้

          ...มันน่าตายนัก

          ทันใดนั้นเกิดรังสีอาฆาตในดวงตาคม แต่ก่อนที่ไป่ไป๋จะรู้สึกตัว ตนก็เก็บซ่อนมันไว้พลางย้ำเตือนตนเอง ...นี่ยังมิถึงเวลาอันสมควร

          “ว่าแต่เจ้าไปไหนมา ไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ข้ากับหงลิ่วเป็นห่วงนะ” ไป๋เซ่อบ่นอย่างเอาเรื่อง แต่ร่างแกร่งฟังแล้วกลับดูเลื่อนลอย ดวงตาทอประกายระยิบระยับ

          “ไป่ไป๋เป็นห่วงข้า”

          “แน่นอน หงลิ่วเห็นเจ้าหายไปนานจึงกลับไปสืบข่าวกับหงอู่แล้ว”

          “ให้ข้าตรวจดูอาการเจ้า”

          “หา” เขาอุทานเลิกตาโต นี่พวกเขาพูดคุยกันเรื่องเดียวกันรึเปล่าหนอ ถึงตอนนี้มือจึงถูกฉวยไป ไป๋เซ่อถึงกับหน้าซีดรีบชักมือกลับ เกรงกลัวว่าความลับในใจจะเปิดเผย “ข้ามิได้เป็นอะไรสักหน่อย”

          “.......” มองมือที่ว่างเปล่า รวมถึงท่าทีวิตกของอีกฝ่าย ตนก็นิ่งเงียบไป สักพักจึงตัดสินใจใช้ความกล้า ยื่นมือไปลูบศีรษะน้อยอย่างเงอะงะ “ไป่ไป๋ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เจ้าพูดกับข้าได้ทุกเรื่อง เพราะข้าอยู่ข้างเจ้า”

          “ข้า...” ไป๋เซ่ออึกอักลังเล มาตรว่ารู้จักกันได้ไม่นานนัก ทว่าหงเว่ยผู้นี้กลับคอยเอาใจใส่ดูแลตนอยู่เสมอ ทั้งปฏิบัติต่อเขาราวกับญาติสนิท เปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่งก็ว่าได้ แลยิ่งเห็นความจริงใจเช่นนี้ ก็ยากจะปฏิเสธไปได้ เขาหลุบตางึมงำเสียงเบา “ช่วงนี้ข้านอนละเมอไม่รู้ตัวมาตลอด ข้าไม่อยากเป็นแบบนี้” กระนั้นก็มิได้บอกถึงความกลุ้มใจทั้งหมด

          “ไม่เป็นไร เจ้าจะต้องหายดี” หงเว่ยยิ้มบาง ดวงตาสีม่วงอมดำฉายแววอ่อนโยน และดูว่ารอยยิ้มนี้คล้ายปลอบประโลมจิตใจงูเผือกน้อย นัยน์ตาเรียวเย้ายวนจึงปรากฏน้ำตาคลอหน่วง “เช่นนั้นตอนนี้ให้ข้าตรวจชีพจรเจ้าดีไหม”

          ถามครานี้ร่างเล็กก็พยักหน้าน้อยๆ ยินยอมยื่นข้อมือให้อีกฝ่ายแต่โดยดี หงเว่ยใช้ปลายนิ้วสัมผัสแตะท้องแขนบาง พริบตานั้นราวกับมีมีดกรีดหัวใจ เนื่องเพราะเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในกายเจ้าตัว

          จากคำบอกเล่าของแม่เฒ่าในชนเผ่าหมอผี แรกเริ่มหนอนทุกข์ระทมจะฝังตัวอยู่ในสมอง ซึ่งยากต่อการตรวจพบหรือรับรู้ถึงการคงอยู่ของมัน แต่หากเมื่อไหร่ที่มันเผยตัวชัดเท่ากับร่างเหยื่อนั้น ...เกินเยียวยาแล้ว

          เฉกเช่นโลกทั้งมวลสลายลงต่อหน้า แต่เพราะร่างเย้ายวนมองอยู่ จึงมีแต่ต้องข่มกลั้นความร้าวรานไว้ภายใน แต่ครั้นเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาไร้เดียงสา กลับกลายเป็นว่าตนมิอาจควบคุมสติทั้งหักห้ามใจ มิให้สวมกอดคนตรงหน้า

          “หงเว่ย” ไป๋เซ่อร้องออกมาอย่างตกใจ หากแต่ก็มิได้ผลักร่างเย็นเยียบที่ต่างจากร่างอบอุ่นที่ตนคุ้นเคยออกไป

          “ไป่ไป๋ ไม่ต้องกลัวนะ จากนี้ไปข้าจะดูแลเจ้าเอง” หงเว่ยลั่นสัตย์สาบาน ...ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องหาวิธีรักษาเจ้า ทั้งจัดการปีศาจสารเลวผู้นั้นให้จงได้

          ในเมื่ออีกฝ่ายบอกกล่าวเช่นนี้ ไป๋เซ่อก็พลอยคลายใจลง ทั้งนี้เริ่มมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเป็นอยู่จะต้องหาย อสุรกายเลือดเย็นในร่างจะดับสูญไป แลทุกอย่างจะต้องดีขึ้น เขาเหยียดยิ้มบาง

 

          ณ ห้องทรงพระอักษร บนโต๊ะกว้างสีทองมีฎีกาม้วนหนึ่งคลี่วางไว้กว่าครึ่งชั่วยาม บุรุษในชุดมังกรได้แต่นิ่งมองตัวอักษรที่คัดอย่างบรรจงตาไม่กะพริบ เพลานี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจให้พุ่งสมาธิกับรายงานตรงหน้า กระทั่งบังเกิดเสียงเอะอะยังหน้าห้อง

          “พระชายาได้โปรดหยุดก่อน ที่นี่พระนางเข้ามิได้” เป็นเสี่ยวลู่ร้องห้าม แต่กระนั้นสตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินก็ยังผลักประตูเข้ามาอย่างมิไยดี

          “เจ้า”

          เจินเริ่นผิงก้าวเข้าไปอย่างมาดมั่น ก่อนเผยรอยยิ้มตรึงใจเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของโอรสสวรรค์ “ฝ่าบาท ท่านช่างไร้เยื่อใยเหลือเกิน ทั้งที่พึ่งร่วมคืนกันแท้ๆ กลับทิ้งหม่อมฉันไปตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง”

          “พวกเจ้าออกมาไปก่อน” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไล่

          เสี่ยวลู่รับฟังจนหน้าซีดแล้วจึงส่งสายตาดุให้นางกำนัลอวี้ชิงที่ยิ้มแก้มปริให้รีบออกจากห้อง รอจนประตูงับปิดลง เจ้าเหนือหัวก็ขึ้นเสียงตวาด

          “เจ้ายังต้องการอะไรอีก”

          “ฮึ ข้าต้องการอะไร?” พระชายาเจินแค่นเสียงขบขัน แล้วเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงกร้าวในพลิกฝ่ามือ “ราชโองการปลดเซียวฮองเฮา”

          “.......” ชายหนุ่มตะลึงวูบ มาตรว่าจะโกรธจนตัวสั่น สองมือบนโต๊ะกำแน่น แต่ยามนี้จำต้องอดกลั้นไว้ เขากัดฟันเอ่ย “ยังมิใช่ตอนนี้ ข้าต้องใช้เวลา”

          เป็นไปอย่างที่นางคาด “ได้ หม่อมฉันให้เวลาเพียงสามวัน หากฝ่าบาทยังทรงคิดยื้อเวลาไว้อีก ดีไม่ดีคนที่อยู่ในคุกอาจจะตายเสียก่อน”

          “เจ้ากล้าขู่”

          ฮ่องเต้หนุ่มถลึงตาทุบโต๊ะเสียงดังปัง แต่นางยังคงยิ้มกล่าวเสียงเรียบ “มิบังอาจเพค่ะ หม่อมฉันเพียงต้องการเตือน เพลานี้ฝ่าบาทไร้คนพึ่งพิงแล้ว และแน่นอนว่าคนที่ตัดแขนตนเองก็มิใช่ใครอื่น เป็นฝ่าบาทเอง ดังนั้นหากยังทรงปกป้องเจ้าปีศาจผิดเพศนั่นอีก สุดท้ายพระองค์จะไม่เหลือใคร” วาจาเยาะหยันจบลง เจินเริ่นผิงก็หมุนตัวไปยังทางออกก่อนทิ้งท้าย “หวังว่าจากนี้ฝ่าบาทจะฉลาดพอว่าควรจะเสด็จไปพำนักที่ตำหนักใด”

          ถ้อยคำดังกล่าวถึงกับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่เป็นดั่งคนเป็นที่ยังมีลมหายใจ เขาทิ้งตัวนั่งบนบัลลังก์กว้างอันแสนหนาวเหน็บ แววตาฉายความเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะสะท้อนถึงดวงหน้ายิ้มแฉ่ง

          ไม่ ข้าจะปล่อยวางตอนนี้มิได้ หงเว่ยมิได้บอกรึว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเจินเริ่นผิงไม่มีทางนำหนอนทุกข์ระทมมาจากชนเผ่าหมอผีได้ เว้นแต่จะมีปีศาจตนใดให้ความช่วยเหลือ ขอเพียงจับมันได้ไป๋เซ่อก็ยังมีหนทางรักษา คิดได้ดังนั้นดวงตาสีดำขลับก็ฟื้นขึ้นมาอย่างมีกำลัง

          แลเมื่อล่วงเข้าสู่รัตติกาล ขบวนเสด็จของเจ้าชีวิตก็มุ่งหน้าไปเยือนตำหนักหลันฮวา ผ่านต้นเฟิงสูงเรียงยาวตามทาง แลเรือนหลักมีร่างอรชรยืนต้อนรับอยู่

          “นับว่าท่านยังคงฉลาด” เจินเริ่นผิงเปรย แลในห้องอันไร้ผู้คนนางผลักร่างสูงเพรียวลงบนเตียง จากนั้นตรงเข้าทาบทับเรือนกายสูงส่ง สองมือแหวกสาบเสื้อมังกรจนเผยกลิ่นอายบุรุษเพศ ปลายนิ้วลากไล้รอยฟันแดงจ้ำบนบ่ากว้างที่ตนเจตนาทิ้งเอาไว้ ก่อนก้มลงกัดซ้ำโดยแรง

          กว่าสี่ปีที่นางทนต่อความอับอาย ต้องใช้ชีวิตอย่างเข้มงวด แลในที่สุด ณ เพลานี้ นางเหยียดยิ้ม

          ...บุรุษที่อยู่เหนือคนทั้งปวงก็กลับกลายเป็นของเล่นของนาง


 

******************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 29.2 เจินเริ่นผิง

 


          “นายท่าน”

          “เจ้ามาแล้ว” บุรุษในชุดขุนนางปักลายไก่ฟ้าสีทองกำลังนั่งดื่มน้ำชาในห้องหนังสือ บนโต๊ะใกล้ๆ วางไว้ด้วยกระดานหมากอันหนึ่ง ดูยามนี้หมากสีดำต่างล้อมรอบหมากสีขาว แลเพียงอีกตาเดียวผลลัพธ์แพ้ชนะก็จะปรากฏสู่สายตา “ทางเริ่นผิงเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ฝ่าบาททรงอยู่ในกำมือคุณหนูแล้วขอรับ สามคืนก่อนก็ทรงเสด็จไปพำนักที่ตำหนักหลันฮวาแต่โดยดี” ลู่เหวินรายงาน

          “......” เจินหยวนรับฟังเงียบๆ นิ้วชี้เคาะบนโต๊ะไม้เป็นจังหวะราวกับครุ่นคิดอันใด “ชิวเยี่ยน ผู้นั้นยังคงใช้การได้รึไม่”

          ชิวเยี่ยนที่กล่าวถึงนี้ ย่อมเป็นนางกำนัลที่แฝงตัวรับใช้ในตำหนักของเซียวฮองเฮา ลู่เหวินขมวดคิ้วสงสัย ไยนายท่านจึงเอ่ยถามถึงนาง “ได้ ขอรับ”

          ได้ยินเช่นนั้นชายอายุล่วงสี่สิบกว่าก็ยื่นขวดแก้วใบเล็กซึ่งบรรจุด้วยน้ำสีใส ไร้สีไร้กลิ่น หากแต่สิ่งนี้สะสมอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลานาน เส้นเอ็นก็จะเสื่อมสภาพ และกลับกลายเป็นดั่งคนพิการในที่สุด “ให้นางหาวิธีให้ฮ่องเต้ทรงดื่ม เพียงวันละหยดเท่านั้น”

          “นายท่าน แล้วคุณหนู...” 

          เจินหยวนเอ่ยถามเสียงเย็น “ลู่เหวิน บอกสิว่านายเจ้าเป็นใคร”

          “......” ผู้เป็นนักฆ่าเงียบไปครู่หนึ่งก็คุกเข่า “ย่อมเป็นนายท่าน” แม้คุณหนูเจินจะดีกับตนมาตลอด ทว่าเจินหยวนผู้นี้กลับคนชุบเลี้ยงขอทานข้างถนนเช่นตน ทั้งหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้ มิใช่ชีวิตไร้ค่า ผู้คนรังเกียจเหยียดหยาด

          “ดี ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป ด้วยยาพิษนี้จนกว่าจะครบสามปีมันจะไม่แสดงอาการให้เห็น ระหว่างนี้ข้าไม่เชื่อว่าเริ่นผิงจะไม่ตั้งครรภ์”

          “ขอรับนายท่าน” นายท่านพูดเช่นนี้ ตนก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มิอาจบอกกล่าวแก่คุณหนู

          “ยังมีสิ่งนี้” เสนาบดีฝ่ายตุลาการยิ้มเหี้ยม “ส่งมอบให้กับแม่ทัพใหญ่เซียว จำไว้ว่าอย่าให้มีพิรุธหรือเบาะแสใด”

          สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นห่อบรรจุผงยาเล็กๆ พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง เพียงมองผ่านตาก็รู้ว่าต้องทำเช่นไร เขาเก็บของทั้งหมดไว้ในอกเสื้อ “ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย” เอ่ยจบก็รุดออกจากเรือนไป

          จวบจนทุกอย่างอยู่ในความสงบ เป้าหมายแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง บนกระเบื้องหลังคากลับมีเงาร่างสูงใหญ่หยัดยืนขึ้นบดบังแสงจันทร์กระจ่าง เจ้าของใบหน้าคมหยักยิ้ม

          “ฮึ ฮึ ถึงเวลาไล่ล่าหนูสกปรกแล้ว”

          “เมี้ยว”

 

          เป็นเวลายามโฉ่ว[1] คนในชุดสีดำปิดบังใบหน้า หลังสะพายกระบี่กำลังทะยานตัวมุ่งตรงไปยังกรมตุลากรม ดูว่านี้ราตรีเยียบเย็นกว่าปกติ มาตรว่ากายจะแหวกฝ่าลมหนาว ทว่าแผ่นหลังกลับมีหยาดเหงื่อซึมกาย คลับคล้ายตนตกอยู่ภายใต้สายตาแหลมคมคู่หนึ่ง

          กระทั่งมาถึงกลางทาง บนถนนอันเปลี่ยวร้าง ผู้คนต่างเข้าสู่นิทรา แต่แล้วชั่วขณะหนึ่งขุมพลังหนึ่งกลับแล่นเข้าจู่โจม ลู่เหวินสัมผัสถึงความอันตรายจึงผลักดันตัวให้พลิ้วกายหลบกะทันหัน ยังผลให้พลังดังกล่าวระเบิดตัวกลางอากาศ เกิดเป็นประกายสีขาวปนน้ำเงินวูบหนึ่งแล้วหายไป

          “เฮ้อ พลังเซียนไม่ได้ใช้มานานก็อย่างนี้ กับคนธรรมดาแล้วรุนแรงเกินไปจริงๆ” เสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงจังลอยออกมาจากเงามืด

          ผู้เป็นนักฆ่าถึงกับหรี่ตาเขม็ง จับจ้องต้นเสียงอย่างระแวดระวัง ครานี้หยาดเหงื่อหลั่งไหลแนบใบหน้า เขาชักกระบี่ที่กลางหลังอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณบอกว่าอีกฝ่ายมิใช่คนธรรมดา พริบตานั้นก็แลเห็นดวงตาสีเหลืองวิบวับท่ามกลางความมืด พร้อมกับฝีเท้าทรงพลังคู่หนึ่งเคลื่อนกายเข้ามา รอจนอีกฝ่ายเยื้องย่างไปยังจุดที่มีแสงสลัว ร่างสูงใหญ่ที่มีแมวเกาะอยู่บนไหล่ มือหนึ่งถือด้วยพัดเหล็กก็เผยสู่สายตา

          ไม่จริงคนผู้นี้ติดอยู่ในคุกยังส่วนลึกของกรมตุลาการ ไม่มีทางที่จะเป็นเขา...แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟง ลู่เหวินบังเกิดความตื่นตระหนก ต้องตะโกนถาม “จะ เจ้าเป็นใคร”

          “ข้าเป็นใครน่ะหรือ” บุรุษชุดเกราะดำเลิกคิ้วกวนๆ “บิดาเจ้าไง” พูดจบพัดเหล็กก็กางออกจนเกิดเป็นเสียงฟึ่บ พร้อมกันนั้นยังสะบัดใส่คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

          ผู้เป็นนักฆ่าเห็นเป็นแสงสีขาว ยังมีเสียงหวีดหวิวของกระแสลม แม้ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ยังวาดกระบี่เข้าสู้ แต่กระนั้นวิถีพลังของอีกฝ่ายหนักหน่วงเกินไป ดังนั้นต้านรับได้ไม่นานกระบี่ในมือก็หลุดลอยไป ร่างถูกกระแทกไถลไปกับพื้น

          “ดูจากกระบวนท่าเมื่อสักครู่กับคมดาบเล่มนี้ เห็นทีนักเล่าเรื่องแซ่ฉีคงตายด้วยน้ำมือเจ้าไม่ผิดตัว” เซียวถิงฟงสำรวจกระบี่ในมือเเล้วเอ่ยสรุป

          ห่างออกไปราวเจ็ดแปดก้าว ลู่เหวินกัดฟันลุกขึ้น มือหนึ่งกดแผลฟาดฟันบนหน้าอก โลหิตหลั่งไหลไม่หยุดหย่อน แต่แล้วก็ต้องตะลึงวูบ ด้วยมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ทั้งที่กระบี่กระเด็นไปคนละทาง มันกลับตกอยู่ในมือผู้เป็นแม่ทัพตั้งแต่ตอนไหนก็มิทราบได้

          สังเกตเห็นดวงตาที่เบิกกว้าง เขาก็นึกขบขัน “อะไรกันเพียงแค่นี้ก็ตกใจ เจ้าปลอมเป็นข้าทั้งทีควรรู้ว่าข้ามิได้มีฝีมือกระจอกงอกง่อย”

          ไม่ผิดลู่เหวินลอบกลืนน้ำลาย พยุงร่างยืนขึ้น เขาสืบเรื่องของแม่ทัพใหญ่เซียวมาก็จริง แต่มิคิดว่าจะมีฝีมือร้ายกาจผิดมนุษย์เช่นนี้ เห็นทีครั้งนี้ได้แต่ตัดสินเป็นตาย คิดได้ดังนั้นก็ถลาตัวพุ่งกรงเล็บพยัคฆ์เข้าใส่มิให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว

          “เฮอะ กรงเล็บสุนัข” เขาส่งเสียงคำรามดังก้อง ทีแรกจะสบถว่ากรงเล็บแมวก็กลัวว่าถิงถิงที่เกาะบนไหล่จะข่วนหน้าเข้าให้ บัดนี้เซียวถิงฟงโคจรพลังไปที่ฝ่ามือ บิดหมุนข้อมือรอบหนึ่งก็ซัดออกไป 

          ผู้เป็นนักฆ่ารับฟังจนหน้าเขียวคล้ำ ยังไม่นับที่ถูกคนตรงหน้าสกัดกั้นกระบวนท่าไว้ สองมือเกร็งกำลังใช้ออกด้วยกรงเล็บทรงพลัง หากแต่ยังเข้าไม่ถึงตัว มือข้างหนึ่งทะลวงมาถึงแล้ว ทันใดนั้นราวกับมีคลื่นพลังกระทบถูกภายใน หัวใจบีบรัดอย่างรุนแรง ลู่เหวินก้มมองบริเวณหน้าอกตนเอง ก็เห็นว่าซี่โครงยุบตัวลงไป ...หรือนี้จะเป็นกรงเล็บพยัคฆ์ที่แท้จริง

          “โอ๊ะ เร็วจริง ขนาดมิได้ใช้พลังเซียนนะเนี่ย”

          มองดูคนล้มครืนหมดสติไป ถึงตอนนี้แมวสาวจึงกระโดดลงจากบ่ากว้าง ทว่าตัวยังไม่สัมผัสถึงพื้น ร่างของมันก็กลับกลายเป็นหญิงสาว ถิงถิงแหวกเสื้อสีดำออก จากนั้นล้วงมือเข้าไปหยิบขวดยาสีใส ห่อยาพิษเล็กๆ และจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา “นี่ของท่าน”

          เซียวถิงฟงรับมันไว้ ไล่สายตาอ่านวูบหนึ่งก็ต้องแค่นเสียง “เฮอะ ตาเฒ่าสองหน้าเจินหยวน คิดให้ข้าเป็นแพะรับบาป หึ หึ ได้ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

 

******************************************************

 

          แอ๊ด

          ราวกับได้ยินเสียงประตูเปิด ไป๋เซ่อซึ่งนั่งสัปหงกบนโต๊ะกลมกลางห้องก็เงยหน้าขึ้นพลางถาม “เจ้ากลับมาแล้ว?”

          “อืม กลับมาแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเบา ครั้นเห็นร่างเล็กทุบเอวตุบๆ ก็อดกล่าวมิได้ “เด็กดื้อ ไยไม่นอนบนเตียงเล่า อีกอย่างหากเจ้าง่วงก็หลับก่อนก็ได้นี่”

          “เจ้าหมอนหน้าท้อง เจ้ามีสิทธิ์พูดเช่นนี้ด้วยหรือ” ไป๋เซ่อแยกเขี้ยวใส่ หากแต่ชายหนุ่มกลับยิ้มกว้าง ก้าวเข้ามารวบตัวเขาไว้ แล้วนำพาไปยังเตียงด้านใน “ซวนหยวนหมิงไท่ ช่วงนี้เจ้างานยุ่งหรือ ไยจึงกลับมามืดนัก”

          ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบ “อืม แค่ช่วงนี้เท่านั้น”

          “แล้วทำไมไม่จึงเห็นเสี่ยวลู่ ยังมีองค์รักษ์คนอื่นๆ อีก” แปลกมากทั้งที่เมื่อก่อนตนได้พบพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ช่วงสามวันมานี้กลับพบหน้าเพียงครั้งสองครั้ง ยังมีตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาคนข้างกายก็หายไป ทิ้งไว้เพียงจุมพิตอบอุ่นติดตรึงบริเวณหน้าผาก ให้เขาหน้าแดงฉ่าใจลอยนั่งลูบมันอยู่นานสองนาน

          “พวกเขาเองก็ทำงานหนัก ข้าเลยให้พวกเขากลับไปพักผ่อนแล้ว”

          “อ่อ”

          “เอาเถิด อย่าคิดถึงพวกเขาอีกเลย หลับเถิด” ซวนหยวนหมิงไท่หันไปกอดคนตัวเล็ก แขนกดให้ศีรษะอีกฝ่ายซบตรงหน้าอก แต่แล้วเจ้างูน้อยกลับซุกไซ้เลื้อยคอลงไปนอนกรนตรงหน้าท้องแกร่ง เรียกอมยิ้มน้อยๆ ให้คืนนี้เขาได้พักผ่อนอย่างวางใจ

          เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรยามก็ใกล้เข้ายามเหม่า[2] ดวงตาสีดำขลับพลันตื่นขึ้นอย่างรู้เวลา ก่อนจะขยับร่างที่กอดก่ายเขาน้ำลายไหลยืดให้นอนดีๆ สุดท้ายก้มตัวประทับริมฝีปากบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา จากนั้นรีบรุดกลับไปยังสถานที่หนึ่ง

          ต่อเมื่อมาถึงร่างสีม่วงอมดำก็ทำหน้าทะมึนยืนรอพร้อมกับเสี่ยวลู่และองค์รักษ์ส่วนพระองค์อยู่ก่อนแล้ว ท่าทางที่ยืนกอดอกนิ่งๆ ยังหน้าประตูเรือนที่ซึ่งมีคนของเจ้าตำหนักหลันฮวาต้องมนต์สลบไสลนั้นไม่ต่างไปจากตอนที่ตนออกไปสักเท่าไหร่ ดูว่าเจ้าตัวจะขยะแขยงสิ่งที่อยู่ภายในสุดขั้วหัวใจ จึงยินยอมยืนตากน้ำค้างร่วมกับคนของเขาเช่นนี้แทน

          จวบจนดวงตาเย็นชาสบเห็นบุรุษในชุดขาว ก็ไม่คิดพูดจาเดินผ่านอีกฝ่ายไปทันที แต่แล้วไม่นานก็ต้องชะงักฝีเท้า

          “หงเว่ย” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องทัก กระทั่งเจ้าของนามหยุดตัว ก็เอ่ยด้วยความจริงใจ “ขอบคุณเจ้ามาก”

          ประโยคดังกล่าวทำให้หงเว่ยผินหน้าเล็กน้อย “ข้ามิได้ทำเพื่อช่วยเจ้า แต่ทำเพื่อไป่ไป๋ต่างหาก” ขอเพียงให้ไป่ไป๋มีความสุข ไม่ว่าอะไรเขาก็จะกระทำ ว่าเเล้วร่างแกร่งก็ทะยานตัวขึ้นฟ้า ทิ้งให้ฮ่องเต้หนุ่มพึมพำ

          “แค่นั้นก็เพียงพอเเล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ถอนหายใจ เอื้อมมือไปผลักประตูตรงหน้า ทันทีที่มันเปิดออก หมอกควันสีขาวหม่นหนาก็ค่อยๆ จางไป ครู่หนึ่งจึงได้เห็นเงาร่างดุจดั่งตนเองนอนข้างกายร่างอรชร ทว่าในชั่วพริบตาก็อันตรธานหายไป

          ยามนี้เจินเริ่นผิงจึงขยับกาย ก่อนสบเข้ากับดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง ทั้งที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา กระนั้นแววตาของเขากลับหาได้มีเศษเสี้ยวความหลงใหล นางหยัดกายลุกขึ้นเผยทรวงอกงดงาม แต่แล้วเขากลับหมุนกายหันหลัง หยิบฉลองพระองค์ที่วางพาดบนเก้าอี้ขึ้นสวมไม่แยแส ส่งผลให้นางขุ่นเคือง “นี่ก็ครบกำหนดสามวันแล้ว หวังว่าวันนี้หม่อมฉันจะได้เห็นราชการโองการปลดเซียวฮองเฮา”

          “........” ร่างมังกรรับฟังนิ่งๆ ก่อนแค่นเสียงไม่พอใจ แล้วสะบัดปลายแขนเสื้อออกไปโดยไม่คิดอยู่รับอาหารเช้า ด้านเสี่ยวลู่และเหล่าองค์รักษ์ยืนรอเขาอยู่หน้าห้อง แลนางกำนัลขันทีตำหนักหลันฮวาก็ฟื้นสติเรียบร้อยแล้ว เขาเอ่ยเสียงเย็น “ไปท้องพระโรง”

          ต่อเมื่อขบวนเสด็จมาถึงท้องพระโรง เสียงอื้ออึงจากบรรดาขุนนางก็พลันเงียบกริบไปโดยปริยาย หลังจากซวนหยวนหมิงไท่นั่งลงยังบัลลังก์สีทองโอ่อ่า เสียงกล่าวถวายพระพรซ้ำซากก็ดังขึ้น ครั้นธรรมเนียมปฏิบัติจบลงเจินหยวนในชุดปักลายไก่ฟ้าสีทองก็ก้าวขึ้นมาเบื้องหน้า

          “ฝ่าบาท จากคดีมือสังหารในวังหลวงสี่รายที่ผ่านมานั้น เพลานี้กระหม่อมได้ข้อสรุปแล้ว” สิ้นเสียงกราบทูล บรรยากาศก็สับเปลี่ยนเป็นตึงเครียด หากแต่เสนายดีกรมตุลาการยังคงกล่าวสืบต่อ “ยามโฉ่วของวันนี้แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงได้กระทำการอัตวินิบาตกรรมจนสิ้นชีวิตแล้ว”

          ประโยคดังกล่าวทำให้ทั่วทั้งพระโรงเกิดเป็นเสียงฮือฮาปนถกเถียง แม้แต่เจ้าชีวิตยังตกตะลึงวูบ ดวงพระเนตรเบิกกว้าง พระวรกายยังหยัดยืนขึ้นด้วยมิอยากเชื่อ

          “นี่เป็นจดหมายที่แม่ทัพใหญ่เซียวทิ้งไว้ก่อนตาย ใจความด้านในเป็นคำสารภาพผิดที่ได้สังหารทหารยามทั้งสี่ราย เนื่องจากไม่พอใจที่พวกเขาดูหมิ่นกองกำลังสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาว ทว่าด้วยความละอายใจที่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง จึงขอชดใช้ความผิดครั้งนี้ด้วยการผูกคอตาย” เจินหยวนกล่าวเสริม พร้อมทั้งยื่นจดหมายฉบับหนึ่งตรงหน้า ลู่กงกงหรือเสี่ยวลู่ก็รีบรับ แล้วนำขึ้นไปให้โอรสสวรรค์ได้ทอดพระเนตร

          ซวนหยวนหมิงไท่คลี่อ่านจดหมายด้วยใบหน้าซีดขาว ข้อความเหล่านี้บอกถึงแรงจูงใจสังหารเหยื่อ แลที่สำคัญตัวอักษรเหล่านี้ล้วนเป็นลายมือของเจ้าตัว ฉับพลันนั้นภาพตรงหน้าก็สั่นไหว ก่อนจะรางเลือนไปพร้อมกับเสียงร้องตะโกนของคนในห้อง


 

******************************************************

 

            ทันทีที่ได้รับข่าวว่าซวนหยวนหมิงไท่หมดสติในท้องพระโรง ไป๋เซ่อก็ตื่นตกใจ มิฟังเสียงห้ามปรามของหงเว่ยก็คิดเหาะเหินไปหาเจ้าตัว ยังดีที่ก้าวเท้าไปได้สองก้าว หัวหน้าองครักษ์จิ้งก็แบกร่างสูงเตะประตูเข้ามาพอดิบพอดี

          “เกิดอะไรขึ้น” ไป๋เซ่อร้องถามพลางติดตามผู้เป็นองครักษ์ไปยังห้องด้านใน เสี่ยวลู่ซึ่งติดตามมาติดๆ จึงเป็นฝ่ายตอบคำด้วยตาแดงก่ำ

          “เมื่อครู่นี้ในท้องพระโรง ฝ่าบาททรงรับทราบข่าวว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเสียชีวิตในที่พำนักของกรมตุลาการแล้ว”

          “หา” ร่างเล็กถึงกับอุทาน “ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้” ไป๋เซ่อพึมพำ มือเรียวปาดเช็ดเหงื่อประปรายบนใบหน้าชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง หงเว่ยเองก็เข้ามาตรวจอาการพร้อมกับฟังเข็มให้

          “อื้อ”

          ครั้นเจ้าตัวเริ่มรู้สึกตัวขึ้น ไป๋เซ่อก็กล่าวพรวดเดียว “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าพึ่งคิดมากไป เรื่องคนแซ่เซียวต้องมีการเข้าใจผิดเป็นแน่ เขามีพลังเซียนคุ้มกาย นิสัยยังเจ้าเล่ห์ มิมีทางตายได้ง่ายๆ เอาอย่างนี้ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาเอง” พูดจบตนก็ผละตัวออก แต่แล้วข้อมือกลับถูกรั้งไว้

          “ไม่ อย่าไป” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยห้ามเสียงแผ่ว อันเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดผาง กลุ่มขันทีและองครักษ์จำนวนหนึ่งกรูเข้ามาในห้อง

          “บังอาจ องค์เหนือหัวประทับอยู่ด้านในพวกเจ้ากล้าเสียมารยาท” เสี่ยวลู่ผู้เป็นหัวหน้าขันทีถึงกับตวาด หากแต่กลับมีเสียงหวานดังแทรก

          “นำตัวฝ่าบาทไปพำนักที่ตำหนักหลันฮวา” เจินเริ่นผิงเยื้องย่างกายเข้าไป จากนั้นกวาดตามองรอบด้าน กระทั่งพบบุรุษสูงส่งซึ่งกุมข้อมือเซียวไป๋ไว้ ไม่ไกลนักมีบุรุษผู้ท่าทางเย็นชาที่ตนไม่รู้จักอยู่อีกคน

          “เจ้าจะทำอะไร” ในเมื่อผู้เป็นสามีล้มป่วย ผู้เป็นภรรยาเช่นไป๋เซ่อก็ต้องออกอาละวาดแทน อ้ะ ไม่ใช่ๆ วางอำนาจบาตรใหญ่

          ดวงตาราวลูกกวางน้อยมองดูเซียวไป๋ตวาดใส่อย่างเหิมเกริม แตกต่างไปจากเวลาร้องโอดครวญทรมาน พลันนึกสมเพช “พาฝ่าบาทไป”

          ชายาเจินไม่สนใจยังคงออกคำสั่ง ทำให้คนของนางเคลื่อนไหวอีกครั้ง ร่างเล็กคำราม “ลองพวกเจ้าเข้ามาอีกก้าว อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ครานี้เขาปลดปล่อยรังสีเอาจริงแล้ว ส่งผลให้องครักษ์ที่ก้าวเข้ามาต้องหยุดชะงักด้วยถูกพลังที่มองไม่เห็นกดดันให้มิอาจขยับไปไหน

          เจินเริ่นผิงเองก็มิแตกต่าง นางรู้สึกราวกับแบกหินก้อนใหญ่ไว้บนบ่า กระทั่งทนทานมิไหวจึงเปล่งเสียงออกมา “เซียวฮองเฮาไม่มีสิทธิ์มาขวางข้าที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับฝ่าบาท”

          ...ร่วมเรียงเคียงหมอน ไป๋เซ่อขมวดคิ้วเป็นปม โพล่งกล่าว “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด”

          ฉับพลันนั้นความกดดันที่ไหล่ก็จางหายไป ทิ้งให้ร่างอรชรหอบหายใจน้อยๆ “ทรงมิเชื่อ?” ริมฝีปากงามยกยิ้ม สองขารุดไปหาโอรสสวรรค์อย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมานางก็แหวกสาบเสื้อท่ามกลางสายตกตะลึง “ทรงเห็นร่องรอยนี้รึไม่ หลักฐานที่ฝ่าบาททรงเป็นของข้า” เจินเริ่นผิงเอ่ยเสียงดังก้องปนสะใจ

          ทว่า... เซียวไป๋กลับหรี่ตามองนางอย่างเยียบเย็น

          “เจ้าพูดอะไร?” ทำเช่นนี้คิดจะลวนลามคนของเขาอย่างนั้นหรือ

          จากท่าทีเฉยชานั้นทำให้นางเอะใจ ครั้นหันไปมองบ่ากว้างก็ต้องร่ำร้องราวเสียสติ “ไม่มี ทำไมไม่มี ข้าจำได้ว่าทำร่องรอยไว้ตรงนี้นี่”

          “ร่องรอย... เฮอะ หากเป็นร่องรอยแถวๆ ก้น ข้ากลับจำได้ว่ายังมีอยู่ เป็นข้าหมั่นเขี้ยวกัดเขาเอง เจ้าจะดูไหม”

          สังเกตเห็นดวงตาสีฟ้าอมเขียวฉายแววจริงจัง สองมือของซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบจับกางเกงตัวเองไว้แน่น ผิดกับเจินเริ่นผิงที่ฟังแล้วหน้าซีด ด้วยถูกหักหน้าเข้าอย่างจังๆ

          “จะเอายังไง หากยังไม่ออกไป ข้านี่แหละจะโยนเจ้าออกไปเอง แฮ่ แฮ่” ไป๋เซ่อถลึงตาโต ท้ายประโยคยังแยกเขี้ยวส่งเสียงขู่ ทั้งวิ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง เรียกเสียงขบขันให้กับคนในตำหนักถั่วแดง ขนาดหงเว่ยกับซวนหยวนหมิงไท่ยังต้องอมยิ้มน้อยๆ หากแต่เจินเริ่นผิงกลับยิ้มไม่ออก นางกรีดร้องตกใจรีบนำพาตัวเองถอยร่นออกมาให้ห่าง

          “กรี๊ดๆ” จวบจนคนของนางรวมถึงนางเองถูกต้อนออกจากห้อง นางจึงต้องถอยกลับไปตั้งหลักอย่างสับสน

 

          ที่ตำหนักหลันฮวา

          นางกำนัลอวี้ชิงเห็นนายสาวกลับมาด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนางก็เอ่ยถาม  “ใครกันทำให้พระชายาเจินหงุดหงิดพระทัย ช่างไม่รู้ความจริงๆ”

          “ออกไป”

          “เอ๋”

          “ข้าบอกให้ออกไป” คราวนี้นางมิทนข่มกลั้นโทสะในใจอีกต่อไป สองมือกวาดถ้วยชาอย่างดีบนโต๊ะอย่างแรง ส่งผลให้อวี้ชิงตกตะลึงต้องรีบกระทำตามแต่โดยดี ครั้นห้องโถงกลับมาเงียบสงบ เจินเริ่นผิงก็หยุดมือ หอบหายใจถี่กระชั้น มือกำแน่นอย่างเดือดดาล ก่อนร้องเรียก “ลู่เหวิน”

          “......” ทั้งที่ทุกครั้งเขาจะตอบรับทันที แต่มาเวลานี้กลับไร้วี่แววไปเสียอย่างนั้น นางเรียกลู่เหวินอีกสองสามครั้งก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอันใดถึงครานี้จึงได้มีเวลาครุ่นคิด แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงตายแล้ว จะอย่างไรขวากหนามผู้นี้ก็ต้องถูกกำจัด กระนั้นบิดากลับเลือกลงมือในเวลานี้ โดยมิคิดปรึกษานางแม้แต่น้อย แลเรื่องราวมาถึงขั้นนี้นางจึงได้แต่มองข้าม ทั้งยังตัดสินใจใช้โอกาสนี้บีบบังคับให้ฝ่าบาทแตกหักกับเซียวไป๋

          ...แต่แล้วเรื่องราวกลับตาลปัตร

          “มันเป็นไปได้อย่างไร” ทั้งที่ตนจำได้ดีว่าทิ้งรอยกัดไว้เพื่อได้เห็นปีศาจอสรพิษต้องใจสลาย

          “พระชายา”

          ขณะที่ตนกัดนิ้วขบคิดอย่างสับสน พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ครั้นเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับบุรุษผู้มีดวงหน้ากระจ่างตา นางเบิกตากว้าง รอยยิ้มผุดขึ้นมาในที่สุด

          “นักพรตอันหลง”


[1] ยามโฉ่ว เวลา 01:00 น. – 2:59 น.

[2] ยามเหม่า เวลา 05:00 น. – 6:59 น.


 

*************************************************************

 

            บทนี้ช่วงท้ายบทอาจจะรวบรัดไปหน่อย เอาไว้รีไรท์ค่อยว่ากัน ส่วนช่วงเเรกของบท เป็นที่มาของเจินเริ่นผิง อ่านเเล้วอาจจะรู้สึกว่าโดนเเค่นี้ถึงกับต้องโกรธเเค้นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ เอาเป็นว่านางเป็นคนหน้าบาง เเต่เพราะโดนกลั่นเเกล้งดูถูกจนกลายเป็นตัวตลกก็เลยฝังใจ บวกกับนิสัยทะเยอทะยานที่ได้มาจากบิดาไรงี้ ก็เลยเป็นเเบบนี้
ส่วนเรื่องเนื้อคู่ 3 คนจะมีบอกช่วงตอนจบจ้า รออ่านละกันเน้อ

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
หงเว่ยยย รักไป่ไป๋มากอ่ะ สงสารรร อยากเห็นหงเว่ยมีคู่บ้างจังค่ะ

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 30.1 แผนร้าย

 

            คล้อยหลังตำหนักถั่วแดงเงียบสงบ เหล่าคนอุกอาจถอนกำลังกลับไป ภายในใจของไป๋เซ่อก็คล้ายมีส่วนหนึ่งทลายลง สองมือน้อยสั่นระริก ก่อนเค้นเสียงแข็งออกจากลำคอ

          “ซวนหยวนหมิงไท่พูดมา นางฝากรอยอะไรไว้บนตัวเจ้า” หากมิใช่ความจริง นางจะกล้ากล่าววาจาเลื่อนลอยหรือ

          “ไป๋เซ่อ เรื่องนี้ข้าอธิบายได้” ซวนหยวนหมิงไท่รีบแย้ง เจินเริ่นผิงผู้นี้นับเป็นสตรีอำมหิตอย่างแท้จริง นางจงใจทิ้งร่องรอยเพื่อการณ์นี้ เพื่อทำให้ไป๋เซ่อตายทั้งเป็น

          “อธิบายมา หากฟังไม่ขึ้นข้าจะ... ” กล่าวถึงตรงนี้ตนก็เงียบเสียง เบนสายตาเขียวไปยังนางกำนัลแลขันทีที่ยืนอออยู่หน้าห้อง “หรูอี้ เจ้าไปครัวเล็กท้ายตำหนัก นำเอามีดทำครัวของพ่อครัวหวังมาให้ข้าเล่มหนึ่ง จำไว้ต้องเอาเล่มที่คมที่สุดด้วย”

          “หะ หา เพค่ะ” หรูอี้รับฟังจนตะลึงลานก่อนจะตอบรับสั่ง

          “เดี๋ยวๆ ไป๋เซ่อ เจ้าให้คนนำมีดทำครัวมาทำไม” เขารีบเอ่ยถามอย่างฉงน แต่แล้วเจ้างูน้อยกลับหันขวับแยกเขี้ยวถลึงตาใส่

          “ก็จะเอามาตอนเจ้าน่ะสิ” ในเมื่อเจ้าลูกเต่าน้อยนั่นมีปัญหา มิสู้ตัดไฟเสียแต่ต้นลม กำจัดให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยเล่า

          ประโยคดังกล่าวทำเอาจักรพรรดิหนุ่มหน้าทะมึนไปทั้งแถบ คนในห้องอึ้งทึ่งสุดขีด เริ่มรู้สึกตัวว่าอยู่ผิดที่ผิดทาง ยังมีประโยคลบหลู่เบื้องสูงที่ไม่ควรได้ยิน ไม่นานนักเสี่ยวลู่ก็ได้สติตาลีตาเหลือกไล่หัวหน้าองครักษ์จิ้งพร้อมข้ารับใช้คนอื่นๆ ก่อนทำการงับปิดประตูอย่างรวดเร็ว

          “นางบังคับข้าก็จริง แต่ข้ามิเคยแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย” รอจนคนทั้งหมดออกไป ชายหนุ่มก็แตกตื่นเอ่ยอธิบาย ระหว่างนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นชายในชุดสีม่วงอมดำกำลังขยับตัวลุกหนี เขาโพล่งทันที “หงเว่ยเป็นพยานให้ข้าได้”

          “.......” เจ้าของนามชะงักหยุดกึก ได้แต่ลอบทำเสียงจิ๊จ้ะขัดใจใน ลำคอ ไป่ไป๋จะตอนเจ้าเกี่ยวอันใดกับข้า หงเว่ยก่นด่าในใจแต่ครั้นเผลอสบสายตาเข้ากับดวงตาสีฟ้าอมเขียวทอแดงระเรื่อ ก็มิอาจไม่เอ่ยความจริง “สตรีผู้นั้นต้องมนต์มายาของข้าจึงเข้าใจผิดไป”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ลมออกหู แค่นเสียงนิ้วไล่ชี้เอาผิดพวกเขา “หึ หึ ดีมาก พวกเจ้าสองคนกล้ามีเรื่องปิดบังข้า ไม่สิต้องรวมเจ้าคนน่าโมโหตายยากยิ่งกว่าแมลงสาบแซ่เซียวด้วยใช่ไหม?” ตายเตยอะไรกัน หากคนหน้าด้านนั่นตายจริง โลกมนุษย์คงหายไปในหลุมดำด้วยน้ำมือท่านมหาเทพไปนานแล้ว

          โทสะของร่างเล็กทำเอาซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยตัวลีบเล็กลง ได้แต่ต้องสารภาพตามตรง “อืม”

          “อ่อ เจ้าบอกว่าสตรีแซ่เจินนั่นบังคับเจ้า นางขู่เจ้าด้วยเรื่องกระไร” ร่างเล็กเค้นถามต่อ หากแต่ร่างสูงกลับอึกอักคล้ายมิต้องการตอบคำเขา คิ้วเรียวขมวดมุ่น ข้อสันนิษฐานในใจทำให้เขาหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ “หรือจะเกี่ยวข้องกับข้า”

          ทันทีที่ความหม่นหมองปกคลุมดวงตาคู่สดใส ในอกบังเกิดอาการแปลบปลาบ ซวนหยวนหมิงไท่ตอบเสียงอ่อน “ไป๋เซ่อ เจ้าจำนายทหารที่ถูกฆ่าตายใกล้สระน้ำไท่เย่ได้รึไม่ เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้เซียวถิงฟงตกเป็นผู้ต้องสงสัย เจินหยวน บิดาของเจินเริ่นผิงจึงบีบให้ข้าขังเขาไว้ แต่เจินเริ่นผิงกลับใช้ความปลอดภัยของเขามาข่มขู่ข้า แลกกับการให้ข้าปลดเจ้าออกจากตำแหน่งฮองเฮา พร้อมกับมอบครรภ์มังกรให้กับนาง”

          คำกล่าวทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง หากแต่เป็นความจริงที่ยังไม่สมบูรณ์ หงเว่ยนิ่งฟังเงียบๆ หากเขาเป็นชายตรงหน้าก็คงบอกไป่ไป๋เช่นนี้ เพราะเพลานี้มีแต่ต้องกันให้ร่างเล็กอยู่ห่างจากสตรีผู้นั้นให้มากที่สุด

          “ชั่วช้ายิ่งนัก เพียงเพราะกระหายอำนาจถึงกับต้องฆ่าคนบริสุทธิ์” ไป๋เซ่อสบถออกมาอย่างมีโทสะ แล้วจึงถามสืบต่อ “เช่นนั้นเจ้ากับหงเว่ยจึงร่วมมือกันตบตานาง?”

          โอรสสวรรค์รีบพยักหน้า “ใช่ๆ นี่เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง เพื่อให้นางตายใจ ลากตัวผู้เกี่ยวข้องออกมาทั้งหมด”

          “เฮอะ แล้วไป หากข้ารู้ว่าทั้งหมดเป็นคำโกหก ลูกเต่าน้อยกลางหว่างขาเจ้า ข้าไม่ปล่อยไว้แน่” ร่างเล็กลั่นวาจา แขนยังวาดซ้ายขวาก่อนทำท่าสับๆ สับๆ อย่างบ้าคลั่ง ให้บุรุษทั้งสองต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปถึงปลายเท้าเย็นวาบอย่างไรบอกไม่ถูก

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็คอตก ได้แต่ร่ำร้องในใจ ...ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าทำตัวน่ากลัวแบบนี้สิ จะอย่างไรลูกเต่าน้อย มันก็ยังมีประโยชน์กับเจ้านะ
 

****************************************************

 

            “ภาพมายา! เจ้าบอกว่านั่นเป็นภาพมายา”

          อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน บังเกิดเสียงสตรีโพล่งขึ้นอย่างตกตะลึง ก่อนใบหน้างามจะชายิบ ที่ผ่านมาเป็นนางถูกหลอกลวงอย่างร้ายกาจ ค่ำคืนเร่าร้อนล้วนเป็นเพียงความเพ้อฝัน เรือนกายแนบสัมผัสนั้นเป็นของปลอม ...มิน่าเขาถึงมิเคยลุ่มหลงหวั่นไหวในตัวนาง

          นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำไปด้วยความชิงชัง นักพรตผู้สวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างตาลอบยิ้ม น้อมกายตอกย้ำความเจ็บแค้นนี้ให้กับสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า “เป็นภาพมายาไม่ผิด ฟังจากที่พระชายาบอกเล่าแล้ว กระหม่อมคาดว่าเป็นฝีมือของปีศาจอสรพิษเกร็ดดำ หรือบุรุษในชุดสีม่วงอมดำที่พระนางได้พบที่ตำหนักเซียวฮองเฮา”

          “มีปีศาจอสรพิษอยู่อีกตน”  บุรุษแปลกหน้าซึ่งมีบรรยากาศเย็นชาชายผู้นั้นน่ะหรือ เจินเริ่นผิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ต่อเมื่อตระหนักได้ว่ายากจะควบคุมเจ้าชีวิตให้อยู่ในกำมือ นางก็ถามอย่างกระวนกระวายใจ “แล้วเจ้าจัดการมันได้หรือไม่”

          “เรื่องนี้พระชายาเจินมิต้องห่วง กระหม่อมรู้จุดอ่อนของปีศาจอสรพิษตนนี้ดี” นักพรตอันหลงกล่าว ชั่ววูบหนึ่งยังเผยยิ้มเหี้ยมเกรียมผิดภาพลักษณ์สะอาดบริสุทธิ์ของผู้ทรงศีล

          “ดี” ได้ยินเช่นนั้นร่างอรชรบนตั่งก็หยัดยืนขึ้นเปล่งเสียง ดวงตากลมโตราวลูกกวางน้อยทอแววอาฆาต นางเรียกอวี้ชิงเข้ามาก่อนสั่งให้นำชุดกระดาษพู่กันมาให้ จากนั้นลงมือเขียนข้อความยาวเหยียด ครั้นเรียบร้อยดีแล้วจึงยื่นให้อีกฝ่าย “นำส่งให้บิดาข้ากับมือ”

          “เพค่ะ” อวี้ชิงยอบกายรับจดหมายแล้วกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

          เจินเริ่นผิงจ้องนางกำนัลส่วนพระองค์ที่ไม่รีรอรั้งอยู่แม้ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่นานก็เอ่ยเสียงเย็น “ฝ่าบาท มิใช่ข้าใจร้าย เป็นพระองค์บังคับข้าเองต่างหาก”

          ค่าตอบแทนของการหลอกลวงในครั้งนี้ ท่านย่อมต้องได้รับคืนอย่างสาสม

 

          ใช้เพลาราวครึ่งชั่วยาม อวี้ชิงที่ใช้ป้ายผ่านทางออกจากวังหลวงก็นำจดหมายส่งถึงมือเจ้าของ ณ ห้องหนังสือของจวน เจินหยวน หรือเสนาบดีฝ่ายตุลาการเปิดอ่านข้อความภายใน น้ำเสียงเสียงหยันก็ดังขึ้น

          “เฮอะ แค่กุมพระทัยฝ่าบาทยังทำมิได้ รอจนเจ้าคลอดองค์รัชทายาทออกมาเมื่อไหร่ เจ้าก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก”

          เดิมทีตระกูลเจินควรมีบุตรผู้สืบทอด แต่ระหว่างฮูหยินเจินคลอดเด็กกลับตกเลือดเสียชีวิตไปกลางคัน แม้นตัวบุตรชายสามารถลืมตาดูโลก ทว่าร่างกายก็มิได้แข็งแรงนัก อีกทั้งอายุไม่ถึงขวบดีก็เสียชีวิตลง ดังนั้นเจินหยวนจึงตัดสินใจรับอนุ แต่กระนั้นผ่านไปหลายปีก็ยังไร้วี่แววบุตรชาย จะมีก็แต่บุตรสาวเรื่อยมา เรื่องนี้ทำเขาเสียใจมาตลอด ยังดีสวรรค์ยังเมตตา ในจำนวนบุตรสาวทั้งหมดห้าคน มีเจินเริ่นผิงฉลาดที่สุด และพอจะใช้ประโยชน์จากนางได้มากที่สุด

          หากบอกว่าบุตรสาวโหดเหี้ยม กระนั้นผู้เป็นบิดากลับเหี้ยมโหดไร้หัวใจยิ่งกว่า คนชุดดำซึ่งยืนไม่ไกลลอบคิดอยู่ด้านข้าง รอจนบุรุษวัยสี่สิบกว่าหันมาก็รีบเก็บซ่อนแววตาคมเอาไว้

          “ลู่เหวิน ส่งข่าวให้คนของเรานำกำลังเข้าเมืองหลวงอย่างลับๆ ภายในคืนวันนี้” กล่าวพลางนำจดหมายลับราวสองสามฉบับยื่นให้อีกฝ่าย

          “นายท่านจะลงมือตอนนี้? ไม่เร็วไปหน่อยหรือ” เขารับจดหมายมาแล้วถามอย่างแปลกใจ

          เจินหยวนแค่นยิ้ม หันไปทอดมองภาพวาดมังกรทางด้านใน “ในเมื่อฝ่าบาทเล่นตุกติก พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้า ยิ่งตอนนี้ทรงสูญเสียมือขวาอย่างแม่ทัพใหญ่เซียวไป ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะควบคุมราชสำนัก”

          “ยินดีกับนายท่านล่วงหน้า” เขาเปล่งน้ำเสียงกึกก้อง สร้างความปรีดาให้กับอีกฝ่าย ครั้นตนเอ่ยจบก็ถอยฉากออกมา ใช้สองขาเร่งรุดไปข้างหน้าไม่มีหยุด กระทั่งห่างจากห้องหนังสือไปไกล ด้านหลังจึงปรากฏฝีเท้าย่องเบาเฉกเช่นแมวเก้าชีวิตไล่ตามมา

          ถึงตอนนี้ดวงตาสีดำจึงมิปกปิดแววคมกล้า ภายในสามชั่วยามนี้พวกเขาจำต้องแข่งกับเวลาแล้ว ริมฝีปากพึมพำเสียงเบาบาง “ส่งข่าว เจินหยวนเสนาบดีฝ่ายตุลาการเตรียมการก่อกบฏแล้ว”

          “เมี้ยว”
[/size]

 

****************************************************

 

          ราตรีนี้เงียบสงัดผิดปกติ ไป๋เซ่อผินมองท้องฟ้าซึ่งถูกความมืดกลืนกินยังนอกหน้าต่าง ชั่วขณะหนึ่งใจก็พลันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกสังหรณ์ร้ายแปลกๆ จวบจนหรูอี้งับปิดบานหน้าต่างลง  หงเว่ยก็พูดขึ้น

          “ถึงเวลาแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้าให้ พริบตานั้นร่างสีม่วงอมดำก็อันตรธานหายไป จวบจนดวงตาสีดำขลับลึกซึ้งเบนมา ตนก็เปล่งเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ”

          “......” ชายหนุ่มถึงกับนิ่งเงียบ สองมือรั้งร่างเล็กเข้ากอดโดยแรง อาจเพราะประโยคดังกล่าวกระทบถึงก้นบึ้งจิตใจ ทำให้มิอาจเพิกเฉยคนตรงหน้าไปได้ เนิ่นนานทีเดียวที่ซวนหยวนหมิงไท่ตกอยู่ในห้วงฝัน หากแต่ลมหายใจเย็นๆ ในอ้อมกอดกลับเตือนให้หวนคืนสู่ความเป็นจริง ตราบใดที่ยังมิอาจกำจัดหนอนทุกข์ระทม ตนอาจสูญเสียไป๋เซ่อไปได้ทุกเมื่อ “ข้าให้สัญญาอีกไม่นานเรื่องจะจบลง”

          ศีรษะน้อยก็ซบลงตรงอกแกร่ง คล้ายเวลานี้ตนโหยหาความอบอุ่นมากกว่าปกติ แต่สุดท้ายไป๋เซ่อก็ต้องยอมปล่อยร่างสูงไป แม้ว่าใจจะร่ำร้องว่าไม่ต้องการ

          “ไปตำหนักหลันฮวา” ร่างมังกรกัดฟันบอกขบวนเสด็จที่รออยู่ด้านนอก ใจหนึ่งคิดอยากจะจับจ้องดวงหน้าเย้ายวนอีกสักหน แต่สุดท้ายกลับข่มกลั้นความอาลัยรักนี้ไว้ แลก้าวฝีเท้าไปโดยมิได้หันกลับมา

          คนจากไปนานเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าไป๋เซ่อยังคงเหม่อลอยอยู่ที่หน้าประตู คล้ายจะรอคอยอยู่ตรงนี้จนกว่าจะได้พบชายหนุ่มอีกครั้ง แม้หรูอี้จะชักชวนให้นั่งรอด้านในห้อง ตนก็เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ จนท้ายที่สุดนางก็ยอมแพ้บอกว่าจะไปนำของว่างจากเรือนเล็กมาให้แทน

          คล้อยหลังนางกำนัลคนสนิทออกไป กระแสลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านเข้ามา ยังผลให้จมูกสัมผัสถึงกลิ่นหอมเบาบาง ไป๋เซ่อมิทันนึกแปลกใจ ลมหายใจก็พลันขาดห้วง ตัวแข็งทื่ออึดอัด ความเจ็บปวดบีบรัดโลดแล่นตั้งแต่ท้ายทอยไปยังกึ่งกลางสมอง

          “อึก” มือน้อยกุมขมับ สองขาซวนเซไปทางด้านหลัง สองตาพร่าเลือน ในที่สุดลำตัวก็ชนถูกกับโต๊ะกลม มือกวาดเอาถ้วยชาตกพื้นไปพร้อมๆ กับกายที่ล้มลง รอจนฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนถือกระถางกำยานซึ่งมีกรุ่นควันเยื้องอยู่ไม่ไกล แลกลิ่นอบอวลที่ลอยฟุ้งออกมานั้น ทำให้ศีรษะเขาปวดร้าวแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

          ณ ตำหนักหลันฮวา

          “นึกว่าฝ่าบาทจะไม่เสด็จมาที่นี่แล้ว” ร่างในชุดสีขาวบางเผยส่วนโค้งเว้ากล่าวขึ้นเมื่อเห็นบุรุษที่ตีสีหน้าบึ้งตึงก้าวเข้ามาในห้องของตน

          หึ คนของข้าอยู่ในกำมือเจ้า ข้าไม่มาได้หรือ ซวนหยวนหมิงไท่คิดพลางสะบัดปลายแขนเสื้อแล้วไพล่หลังไว้ ครั้นเดินถึงกลางห้องก็ถอดชุดมังกรบนร่างแล้วโยนทิ้งไปอย่างมิไยดี “จะมัวพิรี้พิไรอันใด อยากจะทำอะไรก็รีบทำให้มันจบๆ เสีย”

          “........” มาตรว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้น แต่เจินเริ่นผิงกลับแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ครู่หนึ่งนางจึงหยักยิ้มกล่าวเสียงหวาน “ฝ่าบาททรงลืมราชโองการปลดเซียวฮองเฮาที่ทรงรับปากจะมอบให้หม่อมฉันไปแล้วหรือเพค่ะ”

          “แล้วเซียวถิงฟงมิใช่ตายด้วยน้ำมือของพวกเจ้าหรอกรึ ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามข้อตกลง” เขาสวนตอบอย่างมีโทสะ แต่แล้วร่างอรชรตรงหน้ากลับเปล่งเสียงหัวเราะ ฝ่ามือบอบบางปรบดังเปาะแปะ

          “ฮึ ฮ่า ฮ่า ใช้ประโยชน์จากความตายของสหาย ทั้งที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายสิบปี เพียงเพื่อปีศาจเดรัจฉานตนหนึ่ง ฝ่าบาท พระองค์ทรงโหดร้ายจริงๆ จุดนี้หม่อมฉันต้องขอนับถือจากใจ”

          “เกรงว่าคงไม่เลวร้ายเท่าเจ้า” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวประชด

          “เรื่องนี้เดี๋ยวพระองค์ก็รู้เอง” ว่าแล้วก็เดินเข้าประชิด ก่อนขยับตัวอิงแอบบุรุษผู้สูงศักดิ์ ริมฝีปากเอ่ย “ครั้งก่อนฝ่าบาทอาจจะทรงลบร่องรอยของหม่อมฉันไปได้ แต่ครั้งนี้จะไม่ง่ายดายเช่นนั้นแน่”

          สิ้นเสียงมือบางก็ลูบไล้แผงอก ลากไปยังหน้าท้องแกร่ง จากนั้นค่อยๆ เลื่อนลงสู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า จนใกล้ถึงจุดหนึ่งเขาก็ปัดมือนางทิ้งโดยแรง “ปล่อย”

          เจินเริ่นผิงหัวเราะน้อยๆ ไม่ใส่ใจกับท่าทีปฏิเสธนี้ นางหยอกเย้า “ทรงอายหรือเพค่ะ ทั้งที่ออกจะมีความสุขเมื่อได้กอดก่ายหม่อมฉันแท้ๆ หรือบางทีเทียบกันแล้วอาจจะสุขสมมากกว่าปีศาจอสรพิษนั่นเสียอีก”

          “เหลวไหล” แค่ต้องเห็นเรือนกายนี้เขาก็นึกรังเกียจแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงตวาด ครู่ต่อมาจึงได้รู้สึกผิดปกติ ทั้งที่มนต์ของหงเว่ยควรจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่กระนั้นกลับยังคงไร้วี่แววใดๆ

          “มองหาใครรึเพค่ะ” เห็นสีหน้าหยิ่งทะนงแปรเปลี่ยนไป ร่างอรชรก็เหยียดยิ้ม เผยใบหน้าชิงชังทั้งใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราด “รึจะเป็นปีศาจอสรพิษที่คอยสร้างภาพมายาตบตาหม่อมฉัน”

          “......” คำกล่าวนั้นทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ชะงักไป คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายรู้ตัวไวขนาดนี้ ดูว่าปีศาจที่อยู่เบื้องหลังนางจะระแคะระคายเปิดโปงพวกเขาในที่สุด ดังนั้นหงเว่ยจึงมิอาจใช้มนต์มายาช่วยเขาได้อีก

          “แปลกใจรึเพค่ะว่าหม่อมฉันทราบได้อย่างไร ความจริงหม่อมฉันอยากจะถามฝ่าบาทอยู่เช่นกัน...” เจินเริ่นผิงหยุดเสียง เขย่งปลายเท้า สองแขนโอบรอบลำคอเพรียวไว้ “ปีศาจตนนั้นได้บอกรึไม่ หนอนทุกข์ระทมแฝงตัวอยู่ร่างผู้ใด มันผู้นั้นก็เปรียบเสมือนทาส ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้เป็นนายคงอยู่ มันอยู่ หากผู้เป็นนายตาย มันก็ต้องดับสูญ”

          น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมดังขึ้นริมหู เขาถึงกับตัวชาวาบ ดวงตาสีดำขลับทอประกายโทสะปนสับสน

          “ฉะนั้นหากทรงขัดใจหรือตุกติกกับหม่อมฉันอีก ก็อย่าหวังว่ามันจะอยู่อย่างเป็นสุข” ใช่แล้ว หนอนทุกข์ระทมรับเลือดผู้เป็นนายอย่างนางไป ดังนั้นต่อให้เขาอยากจะฆ่านางสักแค่ไหน ก็ทำได้เพียงฝัน “อ้ะ จริงสิในเมื่อฝ่าบาทมิอาจมอบราชโองการปลดเซียวฮองเฮา หม่อมฉันเลยถือวิสาสะกระทำแทนแล้ว”

          “เจ้า! หมายความว่าอย่างไร” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาใส่ มือพุ่งบีบแขนเรียว ทว่านางกลับยิ้มเป็นคำตอบ ครั้นเมื่อนึกถึงร่างเล็ก เขารีบผละตัวออก หมุนตัวทะยานกายไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว ในใจได้แต่ภาวนา

          ...ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าพึ่งเป็นอะไรไป ได้โปรด

          “ต่อให้ท่านไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” เจินเริ่นผิงยิ้มกล่าวทิ้งท้าย


 

******************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 30.2 แผนร้าย

 

            ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ร่างสีม่วงอมดำแหวกม่านหมอกหนาทึบบดบังทัศนียภาพ เหาะเหินเข้าสู่ตำหนักหลันฮวา แลหยุดฝีเท้าไว้ยังหลังคาเรือนที่มีแสงสว่าง ดวงตาแหลมคมทอดมองไปรอบด้าน น่าแปลกที่วันนี้ไร้วี่แววข้ารับใช้คนใด บรรยากาศจึงเงียบกริบผิดปกติกว่าทุกที

          เขาหยุดสายตาไปยังปากทางเข้า เฝ้าคอยคนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามา ทว่าฉับพลันนั้นกลับต้องชะงักกึกด้วยกลิ่นอายปีศาจ อันผลักดันให้เขาพุ่งตัวไปยังห้องด้านล่าง ก่อนสบถออกมาเมื่อห้องนั้นว่างเปล่า ดูว่าเขากับคนแซ่ซวนหยวนติดกับเข้าอย่างจัง ปีศาจตนนั้นลงมือโต้ตอบอย่างที่มิให้พวกเขาทันตั้งตัว และเกรงว่าเพลานี้ไป่ไป๋จะตกอยู่ในอันตรายแล้ว

          หงเว่ยมุ่งตรงกลับไปยังตำหนักของร่างน้อย ครั้นไปถึงครึ่งทางเบื้องหน้ากลับมีเสียงกรีดร้องหนึ่ง หัวใจเขาคล้ายดิ่งลงเหว ครั้นใกล้ต้นเสียงจึงได้เห็นร่างคุ้นตานอนฟุบอยู่กลางอุทยานหลวง

          “ไป่ไป๋” เขาประคองเจ้างูน้อยเข้ามาในอ้อมกอด ยามนี้ดวงหน้าของอีกฝ่ายซีดขาว คิ้วเรียวย่อย่นด้วยความเจ็บปวด อาภรณ์สีเขียวอ่อนชื้นเหงื่อแนบติดผิวกาย รอจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวสะลึมสะลือ เขาก็โพล่งถาม “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วคนแซ่ซวนหยวนเล่า”

          “ขะ ข้าไม่รู้”

          สีหน้าของไป่ไป๋ดูมึนงงสับสน แต่แล้วพริบตานั้นกายกลับสั่นกระตุกบิดเร่าทรมาน หงเว่ยตกใจได้แต่ลนลานกอดคนตรงหน้าไว้แนบแน่น

          “อึก ชะ ช่วยข้าที ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”

          ไป่ไป๋ส่งเสียงครวญสลับกับคำเว้าวอน หงเว่ยจึงรีบผละตัวงูน้อยออกคิดจี้จุดสลบ ทว่าจังหวะนั้นเจ้าตัวกลับโผเข้ามาจุมพิต ส่งผลให้เขาตะลึงวูบ สมองว่างเปล่าในบัดดล แลไม่นานความอ่อนนุ่มอันติดตรึงริมฝีปากก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามา ต้อนเอาความต้องการที่เก็บกักซ่อนเร้นไว้ภายในให้ปรากฏขึ้น

          ต้องการร่างตรงหน้านี้ ...เป็นของเขาคนเดียว

          ทันทีที่เปลือกตาปิดลง มือก็รั้งท้ายทอยระหง กดจูบตอบรับอย่างหนักหน่วงจนแทบจะกลายเป็นการบีบบังคับ ทั้งยังรุกไล่ปลายลิ้นที่สร้างความร้อนรุ่มให้อีกฝ่ายต้องหอบหายใจกระชั้น เขาตักตวงดื่มด่ำรสหวานเนิ่นนาน ต่อเมื่อถอนริมฝีปากดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็มองตนอย่างเลื่อนลอย

          “ปลดปล่อยข้าที ได้โปรด” น้ำเสียงเย้ายวนเจือแหบแห้งกระซิบบอก บันดาลให้คนฟังลุ่มหลงยากจะถอนตัว มือเรียวปลดเสื้อตัวนอกสีเขียวพร้อมทั้งเสื้อตัวในสีขาวออก ผิวกายนวลเนียนสีขาวดุจหิมะเปิดโล่งสู่สายตา ต่อเมื่อร่างแกร่งนิ่งค้างไปก็เอ่ยกระตุ้น “ช่วยข้า ปลดปล่อยข้าไปจากความทรมานนี้ที”

          สิ้นเสียงร่างงดงามก็โน้มกายเข้ากอด ดวงหน้าซุกไซ้บริเวณลำคอ มือน้อยแหวกเข้าไปในสาบเสื้อ แต่แล้วหงเว่ยกลับเผยสีหน้าเจ็บปวด พลันดีดนิ้วด้วยนึกละอาย ยังผลให้ไป่ไป๋ตรงหน้าสูญสลายเฉกเช่นหมอกควัน ความจริงนับแต่ร่างเล็กจุมพิตก็รับรู้ได้ทันทีว่าตกอยู่ในห้วงมายา กระนั้นชั่ววูบตนกลับมิอาจห้ามจิตหยาบช้า มิสนถูกผิดต้องการครอบครองอีกฝ่าย

          “นึกไม่ถึงว่าในใจท่านต้องการเขา ...ลึกล้ำถึงเพียงนี้” น้ำเสียงกึ่งหัวเราะกึ่งหยันดังขึ้น บุรุษหนุ่มในชุดสีขาวกระจ่างตาเดินเข้าไปหาคนที่ยังก้มตัวหันหลัง สายตายังคงอาลัยควันจางๆ ที่พึ่งหายไป “ข้ามีวิธีทำให้เขาเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว ท่านจะไม่ลองพิจารณาดูหน่อยหรือ”

          ได้ยินดังเช่นนั้นร่างแกร่งจึงหยัดยืนขึ้นอย่างแช่มช้า เบนสายตาเย็นเยียบกลับไป “ถ้ากล้าเสนอหน้าออกมาก็จงเผยร่างแท้ของเจ้าซะ”

          “ท่านยังคงมีสายตาเฉียบแหลม” นักพรตอันหลงยิ้มดีใจ ในที่สุดคนผู้นี้ก็เห็นตนอยู่ในสายตา เขาอ้าแขนมองตัวเองซ้ายขวา ทันใดนั้นร่างก็แปรเลี่ยนเป็นสตรีในชุดน้ำเงินคลุมด้วยเสื้อขนนกยูงสีเขียวสดสง่างาม

          ที่แท้เป็นปีศาจนกยูงที่อยู่เบื้องหลัง อีกทั้งดูว่าตบะบำเพ็ญเพียรของนางยังก้าวกระโดดไปไกลกว่าครั้งที่ประมือกันมากนัก หงเว่ยจ้องปีศาจสาวด้วยหางตา จากนั้นจึงเอ่ยถามถึงข้อเสนอก่อนหน้านี้ “วิธีอันใด”

          “ขอเพียงท่านสูบเลือดเนื้อพระชายาเจิน เท่านี้ไป่ไป๋ก็จะเป็นของท่าน ไม่ว่าท่านจะสั่งกระไร เขาย่อมกระทำตาม หรือต่อให้ท่านต้องการร่างกายเขา เขาก็ยิ่งมิอาจขัดขืน” วั่นอู่หงยิ้มยวน ดวงตาทอประกายอำมหิต นางต้องการเห็นบุรุษผู้นี้ตกต่ำ กลับกลายเป็นปีศาจชั่วช้าในที่สุด

          เดิมทีการบำเพ็ญเพียรสั่งสมตบะถูกแบ่งเป็นสองด้าน ด้านสว่างเป็นการบำเพ็ญเพื่อบรรลุสู่ขั้นเซียน โดยต้องละเว้นต่อความชั่วทั้งปวง ผิดกับด้านมืดที่ต้องคอยช่วงชิงชีวิตและโลหิตของมนุษย์เพื่อบรรลุสู่ขั้นมาร แลหากก้าวข้ามเส้นทางสายนี้ไปเมื่อไหร่ก็อย่าหวังจะได้หวนกลับ ต้องมีชีวิตแปดเปื้อนเลือดต่อไปเท่านั้น

          “เจ้ายังต้องการอะไร” แน่นอนว่านางคงมิได้บอกเขาโดยไร้ข้อแลกเปลี่ยน

          “ปราณมังกรของซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ ท่านเพียงนำคนของท่านไป ทิ้งเขาไว้ให้ข้าก็พอ” นกยูงสาวยิ้ม เมื่อไหร่ก็ตามที่อสรพิษเกร็ดอัคคีดื่มกินเลือดมนุษย์ ตบะด้านสว่างของเขาจะตกต่ำ รอจนนางดูดกลืนปราณมังกรแล้วเสร็จ เขาย่อมมิใช่คู่มือนางอีกต่อไป ถึงตอนนั้นนางค่อยเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเขา เล่นสนุกกับเขาจนเบื่อแล้วจึงดูดกลืนตบะ ส่วนอสรพิษเกร็ดหิมะผู้นั้นไม่แคล้วพ้นมือนาง หากนำมาถลกหนังคงงดงามไม่น้อย

          มาตรว่าแผนการของนางจะดูอ้อมค้อม ให้เจินเริ่นเผิงเป็นฝ่ายลงมือ ส่วนนางเพียงนั่งดูเฉยๆ หากแต่สุดท้ายตนกลับบรรลุถึงทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นปราณมังกร หรือปีศาจอสรพิษเกร็ดอัคคีและเกร็ดหิมะ ล้วนตกอยู่ในกำมือนางทั้งสิ้น

          “หึ หึ” เพียงได้ฟังแค่นั้น หงเว่ยก็แค่นหัวเราะ เขามีหรือจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของปีศาจสาว “ข้าได้ตัวไป่ไป๋ไปแล้วอย่างไร หนอนทุกข์ระทมในตัวเขามีทางแก้หรือ มิใช่ว่าเขาก็ต้องตายหรือ”

          ยิ้มที่เหยียดอยู่เป็นอันต้องหุบลง วั่นอู่หงขมวดคิ้ว จะหลอกบุรุษผู้นี้ไม่ง่ายจริงๆ “ท่านรู้ถึงเพียงนั้น เกรงว่าท่านคงได้พบยายเฒ่าที่ชนเผ่าหมอผีแล้ว เช่นนั้นนางบอกรึไม่ ยังมีสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่งที่ช่วยเขาได้”

          แน่นอนว่ายังมีสมุนไพรชนิดหนึ่งช่วยรักษาไป่ไป๋ แต่การจะหาสิ่งนั้นมีเพียงหนึ่งในล้าน โอกาสน้อยนิดริบหรี่ยิ่งกว่าดอกพราวแสง ทั้งนี้เพราะมันได้สาบสูญไปนานแล้ว “แล้วอย่างไร จะบอกว่าเจ้ามีมันกระนั้นหรือ”

          “ถึงข้าจะไม่มีผลซวงเซิง แต่ข้าพอจะรู้ว่ามันอยู่ที่ใด” นางยิ้มเช่นคนที่อยู่เหนือกว่า หากแต่จู่ๆ บุรุษตรงหน้ากลับปลดปล่อยรังสีสังหารอย่างไม่ยี่หระ ส่งผลให้นางรีบเอ่ย “หรือท่านไม่ต้องการช่วยชีวิตเขา? ขอเพียงท่านกระทำตาม ข้าจะบอกสถานที่ของผลซวงเซิงทันที”

          ดูจากท่าทีร้อนรนข่มขู่ เห็นได้ชัดว่าปีศาจนกยูงโป้ปด “ข้าสัญญากับไป่ไป๋ไว้ว่าต้องฆ่าปีศาจร้ายเช่นเจ้าให้จงได้” ราวกับมิต้องการเสียเวลาแม้เพียงเค่อเดียว หงเว่ยวาดฝ่ามือใส่ปีศาจสาว

          วั่นอู่หงปัดป่ายฝ่ามือที่โจมตีกะทันหันอย่างตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่านางหลอกเขามิสำเร็จ ผลซวงเซิงมีแค่ในตำนาน ผู้พบเห็นมันจริงๆ มีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ “ท่านจะต้องเสียใจ” นางขู่เสียงเย็น

          ปีศาจสาวหมุนตัววูบสะบัดเสื้อคลุมสง่างาม ทันใดนั้นปรากฏเป็นขนนกยูงจำนวนหนึ่งพุ่งโจมตีในระยะประชิด หงเว่ยหักข้อมือปลดปล่อยพลังต้านทานไว้ ทว่ากลับป้องกันมิได้หมดจด ยังคงมีขนนกยูงส่วนหนึ่งแหวกผ่านม่านพลังสร้างรอยแผลเป็นริ้วๆ บนใบหน้าเย็นชา

          มองดูบาดแผลที่มีโลหิตไหลซึม นกยูงสาวก็หัวร่อ “เป็นอย่างไร ฝีมือของข้า มิอาจดูแคลนใช่รึไม่” ครั้นพูดจบก็ร่ายระบำด้วยท่วงท่าดุดัน เป็นเหตุให้การโจมตีหนักหนายิ่งขึ้น

          “.......” หงเว่ยได้แต่นิ่งงันใช้ม่านพลังต้านนางปีศาจ มือหนึ่งป้องลมพายุที่กระทบดวงตา ต่อให้ตอนนี้กายเกิดเป็นบาดแผลนับไม่ถ้วน เขาก็ยังคงเผชิญหน้าโดยมิบ่ายเบี่ยง สองเท้าค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างมั่นคง

          ขนนกยูงตรงกระหน่ำร่างสีม่วงอมดำไม่ลดละ ให้กายแกร่งหลั่งชโลมโลหิตไม่หยุดหย่อน ระหว่างนี้วั่นอู่หงบังเกิดความย่ามใจ มิได้สังเกตว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาทีละนิด รอจนนางเริ่มรู้สึกผิดปกติ อสรพิษเกร็ดอัคคีก็ขยี้ปลายเท้าโจนตัวรวดเร็ว

          “สำหรับเจ้าเพียงกระบวนท่าเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้ว”

          สิ้นเสียงคำราม ลำคอระหงก็ถูกรวบกดชีพจร ลำตัวถูกยกลอยขึ้นสูงจนเห็นดวงหน้าคมฉายแววโทสะ กลางหน้าผากปรากฏดวงตาสีดำประดุจดั่งดวงตาพญายม วั่นอู่หงเผลอจ้องนัยน์ตานั้น ฉับพลันกายก็ร้อนลวกราวกับอยู่ท่ามกลางไฟนรกอเวจี

          “ม่ะ ไม่” ตบะในกายลดฮวบ ยังผลให้ความหวาดกลัวครอบงำจิต ช่วงระยะเวลาสั้นๆ นางคล้ายเห็นจุดจบตนเอง เรื่องนี้เป็นนางคิดง่ายเกินไป บุคคลระดับนี้ย่อมมิให้ใครจูงจมูกง่ายๆ สองตาเหลือกขึ้นหวาดหวั่น ครั้นใกล้หมดความอดทน สัญชาตญาณก็สั่งให้นางเค้นเสียงตะกุกตะกัก

          “เอาสิ ขอเพียง... ท่านเสียเวลาอีกนิด ไป่ไป๋ของท่าน... ก็เข้า... ใกล้ความตายไปทุกที”

          ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของมือก็ชะงักไป นกยูงสาวจึงถือโอกาสสาดสิ่งหนึ่งในมือเข้าใส่ แม้หงเว่ยมีปฏิกิริยาว่องไว กระนั้นก็ไม่สามารถหลบฝุ่นละอองสีเทาซึ่งตลบฟุ้งไปทั่วใบหน้า ส่งผลให้นัยน์ตาทั้งสามแสบร้อนราวมีดกรีด กระทั่งหยาดโลหิตหลั่งไหลจากกลางหน้าผาก


 

******************************************************

 

            อาการรวดร้าวยังคงแผ่ซ่านในสมอง มิหนำซ้ำยังลามเลียไปถึงปลายเท้าทุกช่วงขณะ ดูว่าต้นสายปลายเหตุมาจากกำยานในมือคู่นั้น คล้ายกลิ่นของมันกระตุ้นความเจ็บปวด ไป๋เซ่อพยายามหรี่ตามองก็พบเป็นสตรีที่คุ้นตา

          ทำไม...เป็นเจ้า

          พลันบังเกิดคำถามหลากหลายในใจ หากแต่กลับมิอาจเปล่งเสียงออกมา นางเองก็จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่ง แล้วจึงวางกำยานไว้ตรงโต๊ะข้างผนัง จากนั้นเดินออกไปโดยมิสนใจเขาที่ทุรนทุรายบนพื้น

          คล้ายเวลาดำเนินไปอย่างช้ายิ่ง ไป๋เซ่อข่มกลั้นต่ออาการเจ็บปางตาย ใบหน้าไร้สีเลือด ริมฝีปากเม้มกัดกลายเป็นสีม่วง ข้อมือข้อเท้าเกร็งจนข้อเขียว เหงื่อรินรดกาย แลบางทีที่ทนอยู่ได้โดยยังไม่ขนาดสติจนบัดนี้ อาจเป็นเพราะตนยังเฝ้ารอคนผู้หนึ่ง

          ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนตนจึงได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนวิ่งตรงเข้ามา ไม่นานประตูก็เปิดผาง ปรากฏเป็นบุรุษที่มีใบหน้าซีดขาวดูมิได้ ครั้นเห็นเขาที่นอนคู้กายตัวงอกับพื้นก็ร่ำร้องเสียงดัง เขาเผลอยิ้มออกมา

          ...ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ซวนหยวนหมิงไท่

          หลังจากที่เจ้าชีวิตหนุ่มออกตำหนักหลันฮวาก็ใช้กำลังภายในเร่งรุดไปหาร่างเล็กราวกับคนบ้า ทั้งยิ่งมิอาจควบคุมสติใดๆ ได้อีก ฝีเท้าเหินร่อนลงหน้าห้องบรรทมอันเงียบกริบจนน่ากลัว มือผลักประตูซึ่งขวางกั้นทาง ให้ร่างสีเขียวยังกลางห้องปรากฏสู่สายตา

          “ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ถลาเข้าไปรวบคนตรงหน้าไว้ ก่อนรีบอุ้มขึ้นมุ่งตรงไปด้านในอย่างลนลาน สภาพของไป๋เซ่อถึงกับทำให้เขาพูดไม่ออก เสมือนมีก้อนสะอึกติดค้างในลำคอ หัวใจพลอยบีบรัด เขาวางไป๋เซ่อลงบนเตียง มิกล้าแตะต้องคนในอ้อมกอดมากนัก ด้วยกลัวจะทำให้เจ้าตัวเจ็บ “ปะ เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหน”

          เห็นสีหน้าราวจะร้องไห้แล้ว ไป๋เซ่อตื้นตันอย่างไรบอกไม่ถูก พอคิดอยากยกมือขึ้นลูบแก้มเจ้าตัวให้สงบลง ด้านหลังชายหนุ่มกลับปรากฏร่างคนผู้หนึ่งแล้ว ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงกับเบิกกว้าง สองมือยื้อเกร็งชุดสีขาวนวลไว้ ทั้งยิ่งฝืนเค้นกำลังทั้งหมดเพื่อเปล่งเสียงบอกเขา “ระ...วัง ชิว”

          สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติเขาจึงเอียงใบหน้าลงฟัง ทว่ายังมิทันเข้าใจดี คนผู้หนึ่งก็วิ่งปราดเข้ามา ครั้นตนเบี่ยงตัวผินหน้ากลับไป มีดสั้นเล่มหนึ่งก็บรรลุถึงตัวเขาแล้ว

          “ม่ายยย” เลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปตามใบหน้า ครานี้น้ำเสียงของงูเผือกน้อยเล็ดลอดจากริมฝีปาก

          อาวุธแหลมคมปักตรึงตรงหัวไหล่ซ้าย เหนือขึ้นไปจากหัวใจพอดิบพอดี ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานซวนหยวนหมิงไท่พลันโคจรพลังไปยังฝ่ามือ ก่อนวาดใส่เจ้าของมีดทันทีที่ผิวกายฉีกขาด วิถีพลังรุนแรงขับดันให้อีกฝ่ายรวมไปถึงมีดเปื้อนเลือดกระเด็นไปกระแทกเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้าม

          “กรี๊ด” ชิวเยี่ยนกรีดร้องใบหน้านองไปด้วยน้ำตา กระดูกหัวไหล่ไล่ไปจนปลายนิ้วมือซ้ายแตกละเอียด

          ซวยหยวนหมิงไท่ทรุดกายก้มหน้า โลหิตหลั่งทะลักย้อมเสื้อสีขาวนวล แต่เขาหาได้ใส่ใจเพราะแววตาของไป๋เซ่อสะท้อนอาการตกตะลึงสุดขีด ยังมีร่างกายนิ่งงันทำให้เขาใจไม่ดี “ไป๋เซ่อ ไม่เป็นไรนะ ไป๋เซ่อ”

          เป็นเพราะได้เห็นบุคคลที่ตนหวงแหนถูกทำร้ายต่อหน้า จิตใจของไป๋เซ่อจึงจวนเจียนจะแตกสลาย กระทั่งโสตประสาทสัมผัสถึงกลิ่นคาว จักษุแลเห็นสีเลือดเข้มข้นดุจดอกไห่ถัง ฟางเส้นสุดท้ายก็พาลขาดสะบั้นลง ปลุกความมืดที่แอบแฝงในจิตใต้สำนึกออกมา

          พลังขุมหนึ่งระเบิดออกจากร่างสีเขียว ดวงตาคู่สดใสกลับกลายเป็นสีรัตติกาล ซวนหยวนหมิงไท่ถูกม่านพลังผลักออก ให้ซวนเซถอยหลังเข่าทรุดลงไป เห็นทีว่าไป๋เซ่อไร้สติสัมปชัญญะแล้ว เพราะเจ้าตัวเอาแต่จับจ้องมองสตรีที่คร่ำครวญสะอื้นไห้อย่างกินเลือดกินเนื้อ

          ด้านชิวเยี่ยนถึงกับหน้าซีดตัวสั่น เพียงจุดกำยานกระตุ้นให้เซียวฮองเฮาเผยร่างปีศาจ รอจนฝ่าบาทเสด็จมานางสร้างบาดแผลให้ เท่านี้ปีศาจงูก็จะไม่ทำร้ายนางแล้วมิใช่หรือ พระชายาเจินรับสั่งไว้เช่นนี้นี่ แต่แล้วทำไม... นางพยายามกระถดร่างปวกเปียกหนี

          เดิมนางเสี่ยงกระทำเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นทำร้ายเจ้าชีวิต ต่อให้มีสิบหัวก็ยังมิพอ แต่ด้วยความคิดที่ว่ายามนี้ตระกูลเจินถือไพ่เหนือกว่า หากยอมกระทำ อนาคตนางก็อาจมีสิทธิ์เป็นถึงนางข้าหลวงชั้นสูง

          ในชั่วอึดใจนั้นไหล่บางถูกคว้า ตัวชิวเยี่ยนถูกฉุดกระชากประจันหน้า ไป๋เซ่อผู้มีดวงตาทะมึนเผยเขี้ยวแหลมสองซี่วาววับในปาก สมองบอกให้ฉีกทึ้งสตรีอ่อนแอผู้นี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ให้นางเปราะเปื้อนด้วยโลหิต ก่อนกลืนกินชิ้นเนื้อให้หมดสิ้น

          “กรี๊ด” นางกรีดร้องสุดเสียง ด้วยสองแขนถูกรั้งฉีกโดยแรง แทบจะหลุดออกจากร่าง

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ตะลึงลาน ครั้นได้สติก็ถลาเข้ากอดร่างเล็กจากทางด้านหลัง “ไป๋เซ่อ อย่า! เจ้าฆ่านางไม่ได้นะ” คราก่อนเพื่อช่วยชีวิตตนจากนักฆ่า เจ้างูน้อยถึงกับต้องสละดวงพันลี้ไป แลครั้งนี้เขาจะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีกไม่ได้เด็ดขาด “ปล่อยนางไป ไป๋เซ่อ ปล่อยมือ”

          “ไว้ชีวิตข้า ได้โปรดไว้ชีวิตข้า”

          แลดูคำพูดของเขาส่งไปไม่ถึง ไป๋เซ่อยังคงลงมือกับชิวเยี่ยนรุนแรง ทำเอาดวงตานางแทบถลน ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ตัวสั่นเทาไร้ทางสู้ ฮ่องเต้หนุ่มคิดหาทางช่วย จวบจนครู่หนึ่งก็โพล่งออกไป

          “ไป๋เซ่อ ข้ามิเป็นไร ข้ายังอยู่ตรงนี้ เด็กดีข้าอยู่ตรงนี้ อย่ากลัว”

          ต่อเมื่อถ้อยคำสิ้นสุดลง มือเรียวก็หยุดค้าง งูเผือกน้อยชะงักงัน รู้สึกคุ้นเคยไปกับน้ำเสียงราวกับปลอบโยน เขาเบนหน้ามองคนกล่าว ดวงตาสีดำทะมึนเริ่มก่อประกายบุรุษผู้หนึ่ง

          “ใช่ เด็กดี มองตาข้า นี่ข้า... เจ้าลูกเต่าของเจ้าไง”

          ไป๋เซ่อมองคนกล่าวอย่างเลื่อนลอย ครู่ใหญ่จึงหลุดเสียง “เจ้าลูกเต่า” มือพลันปลดปล่อยชิวเยี่ยน หันไปสวมกอดซุกไซ้ร่างที่ให้สัมผัสอบอุ่นอย่างเคยตัว

          ชิวเยี่ยนเมื่อเป็นอิสระสองขาก็ทรุดฮวบ อาเจียนเอาน้ำย่อยในกระเพาะออกมาจนหมด จากนั้นคืบคลานผ่านประตูที่เปิดค้างไว้ด้วยสภาพน่าเวทนา ปากร่ำร้องตะโกนด้วยความกลัว “ปีศาจ ปีศาจจะฆ่าข้า”

          ปีศาจ...

          “พระชายาเจินช่วยข้าด้วย เซียวฮองเฮาจะฆ่าข้า ปีศาจงูจะฆ่าข้า จะฉีกร่างข้า ใครก็ได้”

          ปีศาจ...งู

          คลับคล้ายได้ยินเสียงเรียก ไป๋เซ่อพลันหลุดจากอาการไม่เป็นตัวของตัวเอง ดวงตาเรียวเปลี่ยนกลับเป็นสีฟ้าอมเขียว พริบตานั้นความทรงจำหลากหลายที่ตนมิเคยรู้ตัวก็แล่นผ่านสมอง





****************************************************



            มาเเล้วจ้าเริ่มเข้าสู่จุดพีค เนื้อเรื่องอาจจะยืดไปบ้างนะคะ เเบบว่าตัวร้ายเยอะ เเละเราอยากเก็บกวาดให้ครบ ไม่อยากข้ามเพราะมันจะดูรวบรัดไป ใครรอบทสรุปเจินเริ่นผิงตอนหน้าเลยค่ะ ตอนเเรกกะจะบทนี้เเต่สุดท้ายตัดไปบทหน้าดีกว่า ไม่อยากให้รีดเดอร์รอนาน เพราะนี่ก็นานมากเเล้ว แฮะ แฮะ


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 31.1 ทางเลือก

 

            อนธกาลยังคงปกคลุมท้องฟ้า อากาศยามค่ำคืนกลับกลายเป็นเย็นย่ำ ฟากฟ้าโปรยปรายละอองหิมะสีขาว บัดนี้ที่หน้าตำหนักอันเป็นที่พำนักขององค์ฮองเฮามีกลุ่มทหารในชุดสีน้ำเงินกลุ่มใหญ่วางกำลังล้อมรอบหนาแน่น  ด้านหลังยังมีกลุ่มคนในตำหนักที่ถูกกุมตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลหรูอี้ซึ่งมีผ้าอุดปาก สองมือถูกมัด

          ราวกับมีการนัดแนะ เพราะเมื่อบังเกิดเสียงกรีดร้องขึ้นภายใน ผู้เป็นหัวหน้าทหารก็หันกายมาคำนับสตรีสูงศักดิ์ในชุดคลุมสีชมพูที่นั่งเงียบบนคานหามเก้าอี้ ครั้นนางโบกมือเป็นสัญญาณ เขาก็ตะโกนบอกเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา

          “ทหารทั้งหลายจงฟัง เซียวฮองเฮา ผู้เป็นเจ้าของตำหนักนี้ เป็นปีศาจงูจำแลงกายมาเพื่อทำลายแคว้นซวนหยวนของเรา ทั้งยั่วยวนหวังปลิดพระชนม์ชีพฝ่าบาท ผู้ใดสามารถตัดศีรษะปีศาจอสรพิษตนนี้ จะได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพบัญชากำลังพลนับหมื่น”

          สิ้นเสียงก็เกิดเป็นเสียงฮึกเหิม กลุ่มทหารพากันทั้งกรูเข้าไปยังตำหนักเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เจินเริ่งผิงมองดูแล้วจึงยกยิ้ม ก่อนลุกขึ้นเยื้องย่างติดตามรั้งท้ายพวกเขาไป แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้ล้วนเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของตระกูลเจิน ทั้งยังไม่รวมกลุ่มตระกูลอื่นที่ติดตามบิดาของนางไปที่ตำหนักเสวียนเจิ้ง

          แว่วเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วจ้องมองเงามืดกลุ่มใหญ่ที่ใกล้เข้ามาด้วยสีหน้ามึนตึง พอดีกับชุดภาพความทรงจำที่ถูกทรมานสิ้นสุด ไป๋เซ่อที่นิ่งงันตะลึงไปพักใหญ่ก็พบว่าทหารในชุดสีน้ำเงินดาหน้าเข้ามาล้อมเรือนบรรทมของตนเอาไว้อย่างไม่ประสงค์ดีแล้ว

          กระทั่งอวี้ชิงประคองแขนพระชายาเจินเดินแหวกกลุ่มมาด้านหน้า ดวงตาของชิวเยี่ยนก็เบิกกว้างดีใจ นางรีบคืบคลานเข้าไปกอดขาสตรีผู้สง่างามโดยเร็ว “พระชายา เซียวฮองเฮาเป็นปีศาจ เขาลอบทำร้ายฝ่าบาท ทั้งยังจะฆ่าหม่อมฉันด้วยเพค่ะ”

          เจินเริ่นผิงมองเจ้าของดวงตาชิงชัง ดูว่าบ่าข้างซ้ายของเขามีโลหิตไหลรินหยาดหยดไล่ตามปลายนิ้ว ส่วนของที่อยู่ในอ้อมกอดกลับหลุบตาลงจนไม่อาจรู้ว่ากำลังคิดอันใด แล้วจึงเหลือบสายตาไปยังหญิงสาวซึ่งกำลังกอดขานางราวคนเสียสติด้วยสายรังเกียจ ทว่าคิ้วเรียวพลันขมวดน้อยๆ เห็นทีกำยานจากหญ้าสิ้นซากจะน้อยไป เซียวไป๋จึงหลุดจากการควบคุม แลแว้งกัดนางกำนัลชิวเยี่ยนแทน

          “กล้าติดอาวุธเข้ามาในตำหนักในเช่นนี้ หรือพวกเจ้าคิดก่อการกบฏ” ซวนหยวนหมิงไท่กวาดตามองทหารทุกนาย แล้วจึงตวาดด้วยเสียงอันน่าเกรงขาม กระนั้นพวกเขากลับยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง คล้ายมิได้รับฟังสิ่งที่ตนกล่าวแม้สักน้อย

          “ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันนำพวกเขามาที่นี้มิใช่เพื่อก่อกบฏ แต่มาช่วยพระองค์จากปีศาจอสรพิษต่างหากเพค่ะ”

          เขาสูดหายใจลึกควบคุมโทสะ ก่อนแค่นเสียงหยัน “ดี เจ้าทำได้ดีมาก เจินเริ่นผิง”

          นางยิ้มตอบรับแล้วจึงหันไปสั่งการเหล่าทหาร “พวกเจ้าฟังให้ดี คุ้มครองฝ่าบาท กำจัดปีศาจอสรพิษ”

          “พะย่ะค่ะ”

          เสียงก้องตอบอย่างพร้อมเพรียง เช่นเดียวกับฝีเท้าคุกคามขยับเข้ามา ปลายทวนแหลมคมหันเข้าใส่ ชายหนุ่มรีบดึงเขาไปหลบทางด้านหลัง ให้ตนได้รับการปกป้องภายใต้แผ่นหลังตระหง่านเช่นทุกที

          “ตัดหัวปีศาจอสรพิษ”

          ทหารผู้หนึ่งไม่รั้งรอตะโกนขึ้นแล้วพุ่งทวนตรงมา ยังผลให้คนอื่นลงมือตามโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตผู้เป็นจักรพรรดิ ต่อเมื่อตระหนักได้เช่นนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ผลักดันลมปราณสายหนึ่ง ปลายเสื้อข้างขวาหมุนรับเอาทวนไว้ทั้งหมดแนบสีข้าง จากนั้นซัดพลังขุมหนึ่งออกไป

          พลังดังกล่าวกระแทกร่างผู้เป็นเจ้าให้ผงะหงายหลัง ทว่าพึ่งทลายคนกลุ่มนี้ไปได้ คนกลุ่มใหม่ก็ใช้ทวนโจมตีเข้ามา เขาปัดป่ายได้จำนวนหนึ่ง อีกฝากฝั่งก็ตวัดปลายอาวุธเข้าใส่แล้ว แลด้วยแผลแทงลึกยังไหล่ซ้ายทำให้มิอาจป้องกันได้ทันท่วงที ไป๋เซ่อเห็นว่าร่างสูงหลบไม่พ้นก็สะบัดปลายเท้าเตะด้ามทวนจนหัก ถึงขั้นนี้ตนมิยินยอมเป็นฝ่ายถูกปกป้องข้างเดียวอีก

          “ไป๋เซ่อ เข้าไปด้านใน” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องบอก มิต้องการให้สถานการณ์คับขันนี้บีบงูเผือกน้อยต้องแสดงฝีมือเข้าทางเจินเริ่นผิง

          ถึงเพลานี้ร่างอรชรก็สบเข้ากับนัยน์ตาเย็นยะเยือก วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตัวแข็งค้าง หนาวเสียดกระดูก แต่ไม่นานเจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็ละสายตา กระทำตามคำบอกของมังกรหนุ่ม

          ทั้งสองพากันวิ่งกลับเข้าไปห้อง ติดตามด้วยฝีเท้าดื้อด้านของทหารกบฏ แต่แล้วมิทันไรกลับบังเกิดเสียงร้อง ทหารชุดน้ำเงินซึ่งวิ่งนำหน้าก็ถูกถีบตัวลอยละลิ่วให้คนด้านหลังแตกฮือเสียกระบวนทันที

          ด้วยปรากฏกลุ่มผู้มาใหม่ราวสิบคน ซึ่งอยู่ในชุดดำกลางหน้าอกปักกิเลนสีแดงน่าเกรงขาม สวมใส่หน้ากากเฉกเช่นยักษ์มารข่มขวัญ แลการมาของพวกเขาราวกับภูตผี ต่างเหินตัวลงจากหลังคาตำหนัก ขัดขวางการไล่ล่าของทหารชุดน้ำเงิน

          แน่นอนว่าคนนี้ย่อมเป็นองครักษ์เงา เมื่อมาถึงต่างก็ตวัดดาบลงมือรวดเร็ว พริบตาเดียวแทบเท้าก็ปรากฏร่างไร้ชีวิต แอ่งโลหิตไหลนองพื้น ระหว่างนี้ซวนหยวนหมิงไท่พาร่างสีเขียวเข้าไปในห้องได้สำเร็จ ทว่าคล้ายพละกำลังทั้งหมดสูญสิ้น ต้องทรุดลงนั่งหลังพิงประตูทางเข้า ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากขาวซีด ร่างกายสูญเสียความอบอุ่นไปทีละน้อย

          “ซวนหยวนหมิงไท่” ไป๋เซ่อร้องเสียงดัง สองมือคิดจะยื่นกดบาดแผลหลั่งเลือด หากแต่ยังมิทันแตะต้อง กลิ่นหอมจากภายนอกก็เล็ดลอดเข้ามา ยังผลให้สมองปวดแปลบชาด้าน เสมือนมีเมฆดำพาดผ่านนัยน์ตา สีแดงเข้มข้นตรงหน้าดูน่าโอชะ ร่างกายไวเท่าความคิด เขาโน้มตัวเข้าไปดูดดื่มโลหิตจากทางปากแผลอย่างหิวกระหาย รสชาติหอมหวนล่วงผ่านลำคอ ทำให้ศีรษะหนักอึ้งกลับกลายเป็นล่องลอยไปไกล

          “อึก” ฮ่องเต้หนุ่มกัดฟัน ไหล่ที่ซึ่งมีรอยแผลถูกขย้ำสร้างความเจ็บปวด เพลานี้ดวงตาของไป๋เซ่อกลายเป็นสีดำทะมึนอีกครั้ง  กระนั้นเขาก็ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ทั้งมิอาจทำใจผลักเจ้าตัวออกไป ด้วยสังเกตว่าสีหน้าเจ็บปวดนั้นหายไป “อือ ไป๋เซ่อ” เขายิ้มฝืนมือลูบไล้เรือนผมสีเทา

          หากโลหิตในกายข้าช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเจ้าได้ ข้าก็ยินดีจะมอบให้ เพราะหัวใจและกายของข้า ล้วนเป็นของเจ้า...เพียงผู้เดียว


 

************************************************

 

            ณ ตำหนักเสวียนเจิ้งอันโอ่อ่า กองกำลังกลุ่มใหญ่ซึ่งรวบรวมจากหลายตระกูลซู เจิ้ง หย่วน เมิ่ง กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องทรงพระอักษร โดยเจินหยวนเป็นผู้นำ บรรยากาศโดยรอบในขณะนี้เงียบกริบ ไร้ซึ่งการขัดขวาง หรือต่อให้ต่อต้านก็ถูกฆ่าตายกลายเป็นศพที่ถูกพวกเขาเหยียบย่ำ

          ดูว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน วังหลวงที่ไร้การปกป้องจากทหารกองธงพยัคฆ์ทำให้เขาบรรลุถึงที่หมายโดยเร็ว เจินหยวนลงจากม้าก้าวขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปยังตำหนักที่ยังมีแสงสว่าง ผลักประตูเบื้องหน้า ตราตั้งหยกขาวละเอียด สลักลวดลายมังกรสูงส่งวางไว้บนโต๊ะสีทอง ณ กึ่งกลางห้องก็ปรากฏสู่สายตา เปลี่ยนใบหน้าเคร่งขรึมให้ประดับรอยยิ้มยินดี ฝีเท้าก้าวตรงไปอย่างเร่งรีบ ดวงตาฉายแววละโมบอำนาจ

          ...เพียงแค่มีสิ่งนี้ตัวเขาก็จะครอบครองทุกสิ่งในแคว้นซวนหยวน

          เสนาบดีกรมตุลาการยื่นมือหมายจะหยิบจับ ทว่าปลายนิ้วยังมิทันสัมผัสโดน ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาจากด้านข้าง ปักทะลุฝ่ามือที่กำลังอาจเอื้อมอย่างแม่นยำ

          “อ๊าก” เจินหยวนร้องลั่น ต้องซวนเซถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกระคนเจ็บปวด ครั้นหันไปสบเข้ากับผู้มาใหม่ก็ต้องคำราม “ลู่เหวินเจ้า! เจ้าจะทำอะไร”

          “กำจัดภัยร้ายราชสำนัก ภัยร้ายต่อแคว้นซวนหยวน”

          ลู่เหวินในชุดสีน้ำเงินตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนเผยให้เห็นดวงตาคมกล้าราวพยัคฆ์ร้าย กลิ่นอายสังหารรุนแรง พลอยให้ตัวชาวาบ สายตาแบบนี้ มิใช่... นี่มิใช่ลู่เหวินที่ตนรู้จัก “เจ้าเป็นใคร”

          “เฮ้อ รู้ตัวสักที” บุรุษใบหน้าคมคายส่งยิ้มยียวน อาภรณ์สีน้ำเงินพลันแปรเปลี่ยนเป็นชุดเกราะดำองอาจในชั่วลัดนิ้วดีด “เล่นเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ”

          เจินหยวนอ้าปากตาค้างจ้องภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ สมองครุ่นคิดแทบระเบิด เรื่องนี้ผิดพลาดตั้งแต่ที่ใด แลเป็นครั้งแรกที่เขาผู้มักสุขุมต้องลนลานเหงื่อตก “ไม่จริง เจ้าตายไปแล้ว ลู่เหวิน...”

          “จะบอกว่าเขาฆ่าข้าน่ะหรือ เฮอะ อาศัยฝีมือสุนัขๆ แค่นั้น ประเมินข้าต่ำไปหน่อยกระมัง” เซียวถิงฟงแค่นเสียง ให้อีกฝ่ายหน้าซีดเผือดลง ต้องผงะถอยหลังออกไป ก่อนจะสงบความหวาดหวั่นได้

          เซียวถิงฟง เจ้าอย่าพึ่งได้ใจ เจ้าไม่ตายแล้วอย่างไร คนของข้าล้อมวังหลวงไว้หมดแล้ว เจ้าจะทำอะไรได้” ต่อให้อีกฝ่ายจะระแคะระคายว่าเขาก่อกบฏ แต่กระนั้นก็มิมีทางรวบรวมไพร่พลได้ทัน มาตรว่าทหารกองธงพยัคฆ์มีนับหมื่น หากแต่ส่วนใหญ่กลับยังวางกำลังไว้ยังชายแดนทางฝั่งตะวันตก มิมีทางเดินทางยกทัพมาเมืองหลวง หยุดยั้งการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ทันการ

          แต่แล้วแม่ทัพหนุ่มกลับยิ้ม ทั้งถือโอกาสเดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะสีทองของเจ้าชีวิต หยิบเอาตราตั้งมังกรขึ้นมาโยนเล่น “แน่ใจหรือ”

          ครั้นวาจาจบลงก็มีเสียงร้องโหยหวนยังด้านนอก เจินหยวนตกตะลึงวูบพลางรีบวิ่งออกไปทันที แลไม่นานก็เห็นกลุ่มทหารกองธงพยัคฆ์ รวมถึงกลุ่มคนชุดดำสวมหน้ากากไม่รู้ที่มาล้อมปะทะรุนแรง ทางฝ่ายกลุ่มกบฏเองก็คาดได้ถึงจึงพลันเสียกระบวน พริบตาเดียวก็โดนกวาดล้างล้มลงราวใบไม้ร่วง

          ไม่ ไม่จริง นี่เป็นไปไม่ได้” ภาพตรงหน้าบ่งบอกประสบการณ์ฟาดฟันที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ดวงตาของเสนาบดีเบิกกว้าง แผนการที่ข้าสู้อุตส่าห์เตรียมการมานับสิบปี ...กลับทลายลงง่ายๆ “ไม่ ข้าไม่แพ้ มิมีวันพ่ายแพ้” เขาคำรามลั่นแล้ววิ่งออกไปเบื้องหน้า หยิบดาบที่ตกอยู่ขึ้นวาดไปมา กระนั้นผู้ที่ไร้วิทยายุทธ์ย่อมมิอาจสู้ใครได้

          เซียวถิงฟงมองดูชายที่สุดท้ายถูกกดไว้กับพื้น เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง มีอำนาจล้นฟ้าแล้วอย่างไร สุดท้ายต่างต้องลงไปอยู่ใต้ผืนดินอยู่ดี

          มองเห็นความดูแคลนในสายตา เจินหยวนก็ระเบิดหัวเราะราวคนบ้า “ฮึ ฮ่า ฮ่า เซียวถิงฟง ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีความต้องการในบัลลังก์ มิเช่นนั้นเจ้าจะส่งปีศาจตนนั้นไปอยู่ข้างกายฝ่าบาททำไม”

          ได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าที่กำลังจะล่วงผ่านก็พลอยหยุดชะงัก ก่อนก้มยองๆ กระซิบบอก “แย่หน่อยนะตาแก่เฒ่า สิ่งที่ข้าต้องการมีหนึ่งเดียว เพียงเคียงข้างคนที่ข้ารัก อีกอย่างปีศาจที่เจ้ากล่าวเมื่อสักครู่นั่นน่ะ เป็นถึงมือขวาของมหาเทพแดนสวรรค์ เจ้าล่วงเกินเขาเท่ากับล่วงเกินต้าเซียน และเมื่อหากล่วงเกินต้าเซียนแล้วล่ะก็ หึ หึ” เซียวถิงฟงยิ้มเหยียด เห็นทียามนี้หัวใจครึ่งดวงของเฟยหลงในร่างก็ส่งผ่านความโหดเหี้ยมให้แก่เขาเช่นกัน

          “...ย่อมหมายความว่าล่วงเกินข้า”

          เจินหยวนเลิกตาโต นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก คล้ายโดนรังสีอำมหิตข่มขวัญ เซียวถิงฟงลุกขึ้นอย่างมิสบอารมณ์ เป็นเพราะคนกลุ่มนี้แท้ๆ ที่ทำให้ต้าเซียนต้องตระเวนหาผลซวงเซิง มิอาจกลับบ้านกลับช่องจนป่านนี้

          มารดามันเถอะ ไม่ได้เห็นหน้าเจ้า ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว ต้าเซียน


 

************************************************

 

         

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 31.2 ทางเลือก

 
            “เสี่ยวไป๋ ปล่อย!”

          ราวกับได้เสียงเรียก...

          “ปล่อยฝ่าบาทเร็ว พระองค์จะไม่ไหว จะไม่ไหวแล้ว ได้โปรด”

          ใคร... ใครไม่ไหวกัน

          ไป๋เซ่อสะลึมสะลือเสมือนได้ยินน้ำเสียงสั่นของเสี่ยวลู่ จึงอ้าริมฝีปากคิดถามไถ่ หากแต่กายกลับถูกคนลากดึงออกมา ยังผลให้ภาพตรงหน้าเปิดโล่งสู่สายตา แม้แรกเริ่มเลือนรางทว่าตอนนี้กลับชัดเจนแล้ว

          เบื้องหน้าปรากฏร่างสูงที่ก้มหน้าหลับตา สีหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ทั้งนั่งนิ่งไม่ขยับกายราวกับไร้ลมหายใจ ส่งผลให้ลมหายใจเขาขาดห้วง คมมีดนับพันนับหมื่นทิ่มแทงทั่วร่าง ใจจะขาดรอนๆ น้ำตาสายหนึ่งร่วงหล่นจากดวงตาที่เลิกกว้าง “ม่ะ...อื้อ”

          ก่อนที่ร่างสีเขียวจะหลุดเสียงกรีดร้องสะเทือนใจ เสี่ยวลู่ซึ่งอยู่ด้านหลังก็รีบใช้สองมือปิดปากน้อยเอาไว้แน่น “เสี่ยวไป๋ อย่าร้อง อย่าพึ่งร้องตอนนี้” หัวหน้าขันทีร้องบอกด้วยดวงตาแดงก่ำ

          “อึก อื้อ” เมื่อมิอาจส่งเสียงไป๋เซ่อก็ได้แต่สะอื้นไห้ เพียงมองหัวหน้าองครักษ์จิ้งจับชีพจรของชายหนุ่มแล้วเผยสีหน้าหนักใจ แลกล่าวก่อนก้าวเข้าไปถ่ายทอดลมปราณผ่านทางแผ่นหลัง

          “เสี่ยวลู่ จากนี้ไปเจ้าต้องจัดการเองแล้ว”

          นับตั้งแต่ฮ่องเต้หนุ่มรีบร้อนไปจากตำหนักหลันฮวา ขบวนเสด็จก็ถูกกลุ่มทหารของพระชายาเจินห้อมล้อมเอาไว้ จวบจนนางเสด็จออกไป หัวหน้าองครักษ์จิ้งก็ฝ่าวงล้อมพาเขาออกมา ด้วยการช่วยเหลือคุ้มกันจากทหารองครักษ์คนอื่น ต่อเมื่อเล็ดรอดออกมาได้ สถานการณ์ภายนอกก็ตึงเครียด ทหารกบฏเพ่นพ่านไปทั่ว พวกเขามีแต่ลักลอบเข้ามาในตำหนักฮองเฮาผ่านทางรูกำแพงท้ายตำหนัก ก่อนจะได้มาเห็นสภาพมิสู้ดีของเจ้าชีวิตและเซียวฮองเฮาซึ่งถูกครอบงำสติ

          เสี่ยวลู่นึกแล้วก็ปาดเช็ดน้ำตา ใช้น้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจัง “เสี่ยวไป๋ฟังข้าให้ดี ตอนนี้เป็นเวลาคับขัน องครักษ์เงาที่ด้านนอกคงสกัดกั้นไว้ได้อีกไม่นาน เจ้าต้องใช้โอกาสนี้หนีออกไป”

          “หนี... ข้า” ได้ฟังแล้วสีหน้าของร่างเล็กก็มึนงงสับสน “ให้ข้าหนี แล้วซวนหยวนหมิงไท่เล่า ข้าไม่ไป ข้าจะไม่ทิ้งเขาไปไม่มีวัน” ไป๋เซ่อพูดแล้วก็ส่ายหน้าทั้งน้ำตา หนำซ้ำยังคืบคลานไปกอดขาคนสลบไสลเอาไว้แน่น

          “ไม่ได้ เจ้าต้องหนีไป” เสี่ยวลู่กล่าวห้าม ทั้งพยายามดึงตัวไป๋เซ่อที่ยื้อยุดออกมา ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องกระทำตามรับสั่งขององค์เหนือหัวให้ได้

เสี่ยวลู่จำไว้ หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า จงพาไป๋เซ่อหนีไป ไปหาหงเว่ย เขา... จะปกป้องไป๋เซ่อได้แน่
         
          คำพูดที่เหมือนสั่งเสียนั้นเจือด้วยความขมขื่นระคนหมองเศร้า พระพักตร์ราวกับคนเป็นที่ตายไปแล้ว ยากจะให้ผู้คนลืมเลือน “ไป๋เซ่อ เจ้าต้องไป ...เพื่อฝ่าบาท”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ชะงักหยุดกึก พึมพำออกมาแล้วเบนหน้ามองไปยังร่างสูง “เพื่อซวนหยวนหมิงไท่”

          “ใช่ เพื่อฝ่าบาท” เสี่ยวลู่ไม่มีเวลาอธิบาย ได้แต่เอ่ยเร่งรัด

          ครานี้ดวงตาสีฟ้าอมเขียวหันกลับมามองสองมืออันเปราะเปื้อนโลหิตของคนที่ตนรัก ทันใดนั้นภายในอกก็บีบรัดหนักหน่วง ทั้งยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก ต้องหลั่งรินน้ำตาเงียบๆ ทว่าหัวใจกลับเกิดเป็นแผลสาหัสยิ่ง

          ใช่แล้ว เพื่อเขา เพื่อปกป้องเขาจากปีศาจร้าย ...อย่างข้า

          “ได้”

          ในที่สุดไป๋เซ่อก็กล้ำกลืนกล่าว เสี่ยวลู่จึงโล่งใจเอ่ย “เสี่ยวไป๋ ยามนี้ทหารกบฏอยู่ด้านนอกเต็มไปหมด เจ้ามิอาจไปเช่นนี้ ดังนั้น...”

          “ได้” ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบ เขาก็แปลงเป็นงูเผือกทันที

          หัวหน้าขันทีแม้รู้ถึงร่างแท้จริงของไป๋เซ่ออยู่บ้าง แต่มาตรว่าได้เห็นคนกลายร่างเป็นอสรพิษต่อหน้าต่อตาก็อดที่จะตกตะลึงมิได้ กระนั้นก็ยังคงกลับคืนสติได้รวดเร็ว โอบอุ้มร่างสีขาวเย็นซ่อนในอกเสื้อ ออกวิ่งไปยังท้ายตำหนัก

          เสี่ยวลู่พางูเผือกน้อยลัดเลาะออกจากเรือนบรรทม ตรงไปยังห้องครัวเล็กท้ายเพียงลำพัง เนื่องเพราะชีวิตของฝ่าบาทแขวนอยู่บนเส้นด้าย จำต้องให้หัวหน้าองครักษ์จิ้งถ่ายเทลมปราณรักษา กระทั่งไปถึงอุทยานก็มิอาจหลบสายตาเหล่าทหารกบฏได้อีก เขาได้แต่จ้ำอ้าวสุดแรงเกิด มุ่งตรงไปยังทางที่ตนใช้เข้ามา ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงคมหอกคมดาบไล่หลังติดๆ เมื่อตระหนักได้ว่าหนีไม่พ้น จึงตัดสินใจนำร่างสีขาว โยนออกไปทางรูกำแพงเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล

          “ไป เสี่ยวไป๋ ไปหาหงเว่ย”

          เสียงตะโกนของเสี่ยวลู่ดังก้อง ทั้งสิ้นสุดลงเมื่อร่างงูของไป๋เซ่อกระเด็นออกไปยังนอกตำหนัก พร้อมกับใจที่เคว้งคว้างว่างเปล่า


 

************************************************

 

            บัดนี้ใบหน้างดงามฉาบทับความเย็นชา ดวงตาประดุจลูกกวางน้อยทอประกายโกรธเกรี้ยว คนชุดดำสวมหน้ากากทั้งสิบยังคงสกัดกั้นขวางทางมิขยับไปไหน ต่อให้มีกองทหารนับร้อยก็ยังมิสามารถฝ่าเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นนางจึงต้องสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนกว่านี้

          กำยานหญ้าสิ้นซากถูกจุดแล้วจุดอีก หากแต่ภายในยังไร้การเคลื่อนไหว เสมือนวิธีการนี้มิสามารถบีบบังคับปีศาจอสรพิษได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นคนของนางเองก็ลดน้อยถอยลง ซากศพทับถมเป็นกองพะเนินสูงยากจะก้าวข้ามไปได้โดยง่าย

          ร่างอรชรกัดริมฝีปากอย่างมิค่อยไม่พอใจ ตัดสินใจให้หัวหน้ากองทหารส่งข่าวยืมกำลังคนจากบิดา ซึ่งประจวบเหมาะกับทหารจากอีกกองกำลังหนึ่งรีบร้อนมาพอดี สภาพศีรษะแตก ชุดเกราะเปื้อนเลือด สีหน้าแตกตื่น ทำให้นางขมวดคิ้ว

          “พระชายาแย่แล้ว ท่านเสนาบดีเจินถูกทหารกองธงพยัคฆ์ล้อมไว้ที่ตำหนักเสวียนเจิ้ง จำต้องขอกำลังจากทางนี้เข้าช่วยเหลือเร่งด่วน”

          ดุจดั่งสายฟ้าฟาดดินฟ้าถล่ม ขาเรียวซวนเซแทบล้มทั้งยืน โชคดีที่อวี้ชิงร้องลั่นเข้าประคองไว้ “คะ ใคร...ใครเป็นผู้นำทัพ” เจินเริ่นผิงถามเสียงตะกุกตะกัก เมื่อไม่มีแม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟง ทหารกองธงพยัคฆ์ที่ขาดผู้นำสมควรระส่ำระสาย มิมีทางเป็นปึกแผ่นได้ในระยะเวลาสั้นๆ หรือว่า...

          “เป็นท่านแม่ทัพใหญ่เซียว เซียวถิงฟงพะยะค่ะ”

          คำตอบนี้ทำให้ผู้เป็นชายารู้สึกราวถูกตบหน้าฉาดใหญ่ นางมิควรดูแคลนแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ และยิ่งมิอาจดูแคลนคนที่ฝ่าบาทไว้วางใจตั้งแต่ต้น พลันผินดวงหน้าย่ำแย่ไปยังเรือนบรรทมที่ยังคงปิดสนิทไร้ความเคลื่อนไหว ประเมินมองดูแล้วการส่งกำลังคนจากทางนี้ไปช่วยทั้งที่บิดาคุมกำลังกว่านางหลายเท่าในเพลานี้ มิใช่การตัดสินใจที่ดี มีแต่ต้องจับตัวเจ้าชีวิตเป็นตัวประกันเท่านั้นสถานการณ์จึงจะพลิกกลับ

          “ไม่ว่าอย่างไรต้องฝ่าคนชุดดำจับเป็นฝ่าบาทให้ได้” นางกล่าวออกมาพลางพยายามสงบใจให้นิ่ง แลจับจ้องการกลุ่มคนสวมหน้ากากเริ่มเหน็ดเหนื่อยเรรวน ทว่าสวรรค์กลับมิให้เวลานางเท่าไรนัก เพราะเมื่อหิมะเริ่มตกหนัก อากาศเย็นเฉียบ เสียงฝีเท้าม้าอึกทึกก็ทะยานมาถึง พร้อมกับเสียงคำรามก้องของคนผู้หนึ่ง

          “คุมตัวกบฏทั้งหลาย ใครขัดขืนฆ่าได้ทันที” เป็นเซียวถิงฟงเปล่งน้ำเสียงทรงพลัง ติดตามด้วยทหารกองธงพยัคฆ์ที่ขึ้นชื่อดุดันฮึกเหิม ยังผลให้ทหารชุดน้ำเงินหน้าถอดซีดตระหนักได้ว่าไร้ทางหนี จึงมีคนบางส่วนทิ้งอาวุธลงแต่โดยดี

          “พระชายารีบเสด็จหนีเถอะเพค่ะ”

          อวี้ชิงเห็นท่ามิดีก็รีบกล่าวเตือน ยามนี้เจินเริ่นผิงพลันได้สติ ก่อนใช้โอกาสที่ยังคงมีคนบางส่วนสู้ตายพากันถอยร่นไปยังท้ายตำหนัก

          แม่ทัพเกราะดำบนหลังม้ากวาดมองเบื้องหน้า เห็นองครักษ์เงาที่ยังคงปกปักษ์คุ้มครองเรือนบรรทมก็พลันโล่งอกไปส่วนหนึ่ง เนื่องเพราะกบฏที่ก่อการครั้งนี้ลงมือรวดเร็ว มิให้เวลาเขารวบรวมกำลังพลได้มากนัก มาตรว่าต่อให้เข้าควบคุมตระกูลซึ่งเข้าร่วมกับเจินหยวนไว้ ก็ยังคงมีอีกสามสี่ตระกูลที่เล็ดรอดมายังวังหลวง ดังนั้นมีแต่ให้ถิงถิงหัวหน้าหน่วยสอดแนมติดต่อหยิบยืมกำลังคนจากองครักษ์เงาในเมืองหลวงอย่างฉุกละหุก ทั้งนี้โอกาสแจ้งเตือนซวนหยวนหมิงไท่จึงไม่ทันการ

          ม้าถูกควบไปด้านหน้า เมื่อถึงจุดหนึ่งเซียวถิงฟงก็ตบหลังมันผลักดันตัวขึ้น ใช้ฝีเท้าทะยานตัวข้ามทหารสองกลุ่มซึ่งกำลังโรมรันปะทะ ผ่านองครักษ์เงาทั้งสิบอีกชั้นไปหาคนในเรือน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเหนือความวุ่นวาย

          อาภรณ์สีม่วงอมดำสะบัดไหวไปตามกระแสพายุหิมะ หงเว่ยทอดสายตาพร่ามัวค้นหาร่างๆ หนึ่ง ต่อให้นัยน์ตาเจ็บร้าวด้วยพิษกัดกร่อน ตนก็ยังฝืนใช้ ไม่สนว่าสุดท้ายว่ามันจะมืดบอดรึไม่

          ...ไป่ไป๋ เจ้าอยู่ที่ไหน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว


 

************************************************

 

            ทหารเกราะดำไล่กวาดล้างจับกุมกบฏแข็งขัน เพียงไม่นานคนที่ติดตามเจินเรินผิงก็ถูกไล่ต้อนหายไปทีล่ะคน บ้างไปคนละทิศทาง บ้างถูกสังหารตาย ส่งผลให้นางกับอวี้ชิงหนีหัวซุกหัวซุน ต้องหลบซ่อนตัวหลังพุ่มไม้ใหญ่ใกล้ครัวท้ายตำหนัก

          “พระชายาทางนั้นมีทางออก” เป็นนางกำนัลสาวตาดีมองเห็นรูโหว่ตรงกำแพงตำหนักในมุมลับตา ซึ่งห่างจากจุดซ่อนตัวออกไปราวเจ็ดแปดก้าว รอจนทหารบางตานางก็ดุนหลังผู้เป็นนายออกไป

          เจินเริ่นผิงมิกล้าหันไปมองรอบด้าน ทำได้แต่มุ่งหน้าไปเท่านั้น นางคลุกคลานกองหิมะที่เริ่มทับถมสูงขึ้น ลอดผ่านช่องเล็กๆ ออกไปอย่างทุลักทุเล กระทั่งโผล่พ้นทั้งตัวนางก็รีบลุกขึ้น หันกลับไปเรียก “อวี้ชิง”

          “........”

          “อวี้ชิง...” นางร้องเรียก กระนั้นกลับไร้สุ้มเสียง แม้แต่เงาร่างของนางกำนัลคนสนิทก็หาได้มีไม่ วูบหนึ่งหัวสมองก็พลันวูบโหวง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการอยู่เพียงลำพังช่างน่ากลัว ยิ่งยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นเลวร้ายแล้ว...

          สวบ สวบ

          “ใคร” บังเกิดเป็นเสียงไหวของพงหญ้า ร่างสีชมพูตวัดสายตามองต้นเสียง ฉับพลันนั้นก็ต้องรู้สึกหนาวเยือกสะท้านไปถึงขั้วกระดูก เหงื่อกาฬหลั่งไหลแนบแก้ม แม้หิมะจะเริ่มตกหนัก

          ต่อให้ตอนนี้นางมีกำยานหญ้าสิ้นซากในมือ ก็ไม่มั่นใจว่าจะควบคุมอีกฝ่าย เนื่องเพราะในดวงตาสีฟ้าอมเขียวคู่เล็กนั้นมีประกายอาฆาต นางตัวชาวาบ ใจเกิดพรั่นพรึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงจะสามารถขยับหนี ทว่าตลอดทางรังสีชิงชังนั่นก็หาได้ลดละ คลับคล้ายว่ามิยอมปละปล่อยนางไปง่ายๆ

          สุดท้ายเมื่อไร้หนทางไปก็ได้แต่ย้อนกลับไปยังตำหนักหลันฮวา ใจภาวนาถึงคนอีกผู้หนึ่ง ถ้าเป็นเขาต้องช่วยนางหนีไปได้แน่ๆ มือเรียวผลักประตูโถงตำหนัก ทันใดนั้นก็เห็นเป็นบุรุษชุดสีขาวกระจ่างยืนหันหลังให้ด้านใน “นักพรตอันหลง ช่วยข้าเร็วเข้า ปีศาจอสรพิษมันตามข้ามา” เจินเริ่นผิงร้องเรียกอย่างดีใจ มิได้สังเกตเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในเงามืด

          “พระชายาเจิน มาทางนี้สิ”

          เสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้น นางไม่รีรอรีบสาวเท้าเข้าไป แต่แล้วคนผู้หนึ่งกลับทัดทาน
         
          “อย่าเข้าไป คนผู้นั้นเป็นปีศาจ ออกมาให้ห่างจากเขา” เป็นไป๋เซ่อในร่างมนุษย์กล่าวเตือน คิ้วเรียวขมวด สีหน้ามีแววเคร่งเครียด หากแต่เจินเริ่มผิงกลับตีความตรงข้าม คิดว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวคนที่อยู่ด้านใน

          “ฮึ ฮึ ใครกันที่เป็นปีศาจ อย่าคิดว่าข้าจะหลงกลเจ้าได้” พูดจบนางก็เหยียดยิ้มหยัน ก่อนผินหน้ากลับไปหานักพรตอันหลง แต่แล้วก็เป็นอันตกตะลึงสุดขีด เนื่องเพราะใบหน้าครึ่งซีกของนักพรตหนุ่มเป็นรอยไหม้ช้ำเลือดช้ำหนอง “กรี๊ด อั่ก”

          ยังมิทันได้ร้องสุดเสียง ลำคอก็ถูกกระชากดึง บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะแหลมที่ฟังดูชายก็มิใช่หญิงก็ไม่เชิง แม้แต่รูปร่างบริสุทธิ์เช่นผู้ทรงศีลก็กลับกลายเป็นอาภรณ์สีน้ำเงินซึ่งคลุมทับด้วยชุดขนนกยูง

          “อะไรกันตกใจหรือ” วั่นอู่หงยิ้มถามสตรีที่ทำดวงตาเบิกถลน ก่อนจะตวาด “ตกใจร่างแท้จริงของข้า หรือใบหน้าเน่าเฟะนี่กันแน่”

          หลังจากที่เอาตัวรอดโดยการสาดผงกัดกร่อนเข้าใส่ดวงตาทั้งสามของอสรพิษเกร็ดอัคคี ในชั่วขณะที่กำลังจะเร้นกายลับไปได้สำเร็จ อีกฝ่ายกลับระเบิดขุมพลังเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ใบหน้าของนางถูกเผาไหม้ไปซีกหนึ่ง นอกจากตบะบำเพ็ญเพียรแล้ว อิทธิฤทธิ์ในกายนางเองก็ลดฮวบดั่งปีศาจชั้นปลายแถว จำเป็นต้องหาพลังมาทดแทนเร่งด่วน และแน่นอนว่าสิ่งนั้นก็คือพลังชีวิตของมนุษย์

          “หากเจ้าขยับมาอีกก้าวเดียว นางตายแน่” ปีศาจสาวขู่ใส่ ทำให้ร่างสีเขียวตรงหน้าชะงักฝีเท้า

          “ที่แท้เป็นเจ้า” ไป๋เซ่อเอ่ยเสียงเรียบ นับแต่ตวนผิงซางอ๋องตาย หงลิ่วบาดเจ็บสาหัสตน ปีศาจตนนี้ก็หายสาบสูญ คิดไม่ถึงว่านางจะอยู่ ร่วมมือกับเจินเริ่นผิง วางแผนใช้หนอนทุกข์ระทมทำร้ายตน

          สังเกตเห็นคราบโลหิตที่มีกลิ่นอายพลังฟ้า นกยูงสาวก็เลียริมฝีปากถาม “รสชาติเลือดเนื้อมังกรเป็นอย่างไรบ้าง ในที่สุดเจ้าก็ตกต่ำไม่ต่างจากปีศาจชั้นต่ำ” นางยิ้ม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าขมขื่นก็นึกสะใจ รอให้นางดูดกลืนพลังชีวิตสตรีในมือเสียก่อน ปราณมังกรเหล่านั้นก็ต้องตกเป็นของนางเช่นกัน

          มือที่กุมลำคอพลันบีบแน่นขึ้น เจินเริ่นผิงขาดอากาศหายใจจนหน้าเขียว นางดิ้นรนตะเกียกตะกาย ก่อนปัดคมเล็บเข้าใส่ซีกหน้าเหวอะหวะ

          “โอ้ย” วั่นอู่หงมิทันระวังร้องลั่น ครั้นนังตัวดีผละตัวหลุดพ้นกำมือ นางก็ถลึงตาตวาดก้อง “เป็นแค่ภาชนะกล้าดียังไงมาทำร้ายข้า” สองมือใช้พลังดึงดูดร่างเหยื่อให้ย้อนกลับ ดังนั้นเจินเริ่นผิงวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกพลังดังกล่าวลากตัวลอยกลับไป

          “ช่วยด้วย ช่วยข้าที กรี๊ด”

          นางร่ำร้องหวาดกลัว ต่อให้เจินเริ่นผิงจะชั่วดีอย่างไรตนก็มีหน้าที่ปกป้องมนุษย์ ไป๋เซ่อขยี้ปลายเท้าพุ่งตัวเข้าช่วยอีกฝ่าย ทว่ายังไม่ทันบรรลุถึง เสื้อคลุมขนนกยูงก็สยายออกตัดหน้า คลุมร่างบอบบางในชั่วอึดใจ เพียงทันเห็นสีหน้าสุดท้ายอันซีดขาวตื่นตระหนก ก่อนที่ปีศาจนกยูงจะนำร่างของพระชายาพลิ้วหมุนกลางอากาศราวพายุ

          แลไม่นานวั่นอู่หงก็หยุดตัว ก่อนทิ้งร่างเหี่ยวแห้งไร้โลหิตหล่อเลี้ยงลงสู่พื้น ไป๋เซ่อรับร่างปวกเปียกของชายาเจินไว้ ดูว่าพริบตาเดียวนางปีศาจก็เปลี่ยนหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งให้มีสภาพน่าอเนจอนาถ ใบหน้าบิดเบี้ยวห่อเหี่ยว ดวงตากลมโตราวลูกกวางน้อยลึกโหลไร้ประกาย ริมฝีปากอ้าค้างบ่งบอกความทรมาน ยังมีผิวกายแห้งเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เขาวางร่างแข็งเกร็งลงเบาๆ จากนั้นคำรามก้อง “วันนี้ข้าจะกำจัดปีศาจร้ายเช่นเจ้าให้ได้”

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นกยูงสาวระเบิดหัวเราะด้วยใบหน้าไร้รอยแผล แล้วจึงเอ่ยความจริงข้อหนึ่งที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ “เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ยามนี้โลหิตของเจินเริ่นผิงวนเวียนในกายข้า หนอนทุกข์ระทมเปลี่ยนเจ้าของ หากแต่ทาสอย่างเจ้าทำได้เพียงเชื่อฟังข้าเท่านั้น”

          “ฝันไปเถอะ” สิ้นเสียงสบถ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าก็ก่อเกิดประกายมุ่งมั่น เขาถีบเท้าทะยานตัวโดยแรง เข้าประมือกับปีศาจสาวพัลวัน ระหว่างสมองก็ค่อยๆ บีบรัดทรมานขึ้นเรื่อยๆ ไป๋เซ่อกัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวด มิไยต้องแลกด้วยชีวิต จักต้องกำจัดภัยร้ายนี้ให้ได้

          ...ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าจะไม่เจ็บตัวเปล่า ข้าจะลากนางไปลงนรกพร้อมกันให้ได้

          ตูม

          บังเกิดระเบิดขนาดใหญ่ อันเกิดจากการแลกฝ่ามือเป็นตายของทั้งสอง วั่นอู่หงเหาะเหินแหวกฝุ่นควันคละคลุ้ง แล้วลอยตัวเหนือหลังคาตำหนัก นัยน์ตาสีแดงจับจ้องดูซากปรักปรักพังด้านล่าง พร้อมกับกวาดหาร่างๆ หนึ่งที่หายลับไป ทว่าผ่านพ้นไปครู่ใหญ่ทุกอย่างก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว คล้ายทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว

          “ที่แท้ก็มีเพียงแค่นี้” นกยูงสาวหัวเราะ ฝีมือของอีกฝ่ายไม่นับว่าดีกระไร ทั้งออกไปทางอ่อนด้อย เห็นทีที่ผ่านมาคงอาศัยเพียงใบหน้าอันมีเอกลักษณ์ ยั่วยวนบุรุษให้ได้มาซึ่งการคุ้มครอง ซึ่งหากในกายอีกฝ่ายมิได้มีปราณมังกร ก็ไม่คู่ควรให้นางต้องลงมือด้วยซ้ำ

          ขณะปีศาจสาวย่ามใจ กลับรู้สึกถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง จู่ๆ ซากตำหนักที่ถล่มจะปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ความเย็นเยือกแผ่ลามไปทั่วบริเวณ พื้นเบื้องล่างเกิดการสั่นไหว ทันใดนั้นร่างอสรพิษสีขาวเงางามขนาดมหึมาก็พลันกระโจนตัวขึ้นมา

          มันอ้าปากเผยเขี้ยวแหลม ลิ้นแฉกสีแดงท่ามกลางโพรงมืดมิด วั่นอู่หงคาดคิดไม่ถึงจึงทำได้แต่เพียงจ้องมองอย่างตะลึงงัน “ม่ะ ไม่ เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้ หากผู้ควบคุมหนอนทุกข์ระทมตาย เจ้าเองก็ตายไปด้วย”

          กระนั้นไป๋เซ่อมิให้โอกาสนางต่อรอง ต่อเมื่อถ้อยคำจบลงร่างของปีศาจนกยูงก็ถูกกลืนกินเข้าไปในคำเดียว รอจนบรรยากาศกลับคืนความสงบ ตนจึงสัมผัสถึงบางสิ่งที่แดดิ้นในสมอง ดูว่าหนอนทุกข์ระทมรับรู้การตายของผู้เป็นนาย มันจึงออกอาละวาดกัดกินเนื้อสมอง ไม่ช้าไม่นานนักภาพสีดำก็วูบวาบผ่านนัยน์ตา สมองปวดร้าวจนมิอาจบังคับกาย สุดท้ายต้องคืนสู่ร่างมนุษย์ ค่อยๆ ร่วงหล่นกลางอากาศ

          ครั้นรู้สึกตัวอีกทีตนก็อยู่ในอ้อมกอดเย็นๆ ของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ริมฝีปากยังเอาแต่พร่ำโทษตัวเองไม่หยุด แม้เขาคิดเอ่ยปลอบ แต่ก็มิอาจฝืนเปลือกตาอันหนักอึ้ง ทำได้เพียงเอ่ยในใจ

          นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นข้าผิดเอง เป็นข้าเลือกทางนี้เอง หงเว่ย


 

 

************************************************

 

          บทหน้านี้ บทที่ 32 เป็นดราม่าสุดท้าย เเต่ว่าคาดว่าจะจบเนื้อเรื่องหลักในบทที่ 33 นะจ้ะ สเปเชี่ยลว่ากันทีหลังจ้ะ

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 32.1 ละทิ้ง

 

            “เจ้าตื่นแล้ว”

          เสียงใจดีปลุกเขา ให้เปลือกตาเรียวลืมขึ้นมองคนชะโงกหน้ายิ้มให้ข้างเตียง แล้วจึงรู้ว่าตนอยู่ในห้องนอนอบอุ่น

          “ครั้งนี้ข้าอาละวาดนานรึไม่” ไป๋เซ่อกล่าวถามบุรุษที่ตอนนี้ลุกขึ้นไปยังโต๊ะกลมกลางห้อง แล้วใช้มืออันหยาบกร้านไปเล็กน้อยจากการทำงานเทน้ำชากรุ่นไอร้อนยื่นให้

          “เกือบครึ่งชั่วยาม นับว่าดีกว่าช่วงแรกมาก เห็นทีสมุนไพรที่พี่ใหญ่หามาจะได้ผลจริงๆ”

          อีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้าสงบแฝงความอ่อนโยน น้ำเสียงใสราวสายน้ำในลำธาร เจ้าตัวสวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนตัวหนา ขับความงามตามธรรมชาติ

          “แต่อย่างไรก็มิหายขาด”

          “........” หงอู่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไป จากนั้นเอื้อมมือลูบศีรษะน้อยปลอบ “เมื่อสักครู่สามีข้าพึ่งตกได้ปลาตัวใหญ่ เย็นนี้เราคงมีน้ำแกงปลากินแล้ว หิมะปีนี้รุนแรงจริงๆ ของดีเช่นนี้คงช่วยไป่ไป๋ฟื้นฟูร่างกายได้ไม่น้อย”

          นับแต่ตนกำจัดปีศาจนกยูง ส่งผลให้หนอนทุกข์เกิดคลุ้มคลั่งกัดกินสมอง เพลานั้นตนคิดว่าคงจะตกตายตามกันไปแล้ว หากแต่ก็ยังฟื้นตื่นขึ้นมาในที่สุด ก่อนจะได้พบเครือญาติของหงเว่ยและหงลิ่วผู้นี้กำลังนั่งเฝ้าตนอยู่

          “เจ้าอยากออกไปเดินเล่นรึไม่” หงอู่เอ่ยชวน ดูว่าหิมะที่ตกกระหน่ำตลอดคืนได้หยุดลงเมื่อตะวันทอแสง

          ไป๋เซ่อพยักหน้าก้าวลงจากเตียงติดตามอีกฝ่ายไป สถานที่ที่เขาพักฟื้นเป็นเพียงบ้านเรือนไม้สองชั้น เบื้องหลังมีหุบเขาสั่วซีตั้งตระหง่านซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน บัดนี้ที่ลานกว้างของเรือนชั้นแรกปรากฏบุรุษร่างบึกบึนผิวคล้ำแดด ใบหน้าแม้มิได้หล่อเหลา กระนั้นก็ดูซื่อสัตย์ยิ่ง เจ้าตัวกำลังนำปลาส่วนหนึ่งที่จับมาได้เสียบไม้ย่างไฟ โดยมีหงลิ่วนั่งยองๆ ต้มยาอยู่ด้านข้าง ใช้สายตาจับจ้องการกระทำของอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ

          “สามี ไยท่านมาย่างปลาตรงนี้ หากพลั้งเผลอไป มิถูกเจ้าเด็กตัวดีขโมยปลาย่างไปหรือ”

          “เป็นเขาย้ายมาต้มยาทีหลังข้า” หยางเฉินตอบผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้าราวจะร้องไห้ ให้หงอู่ยิ้มละมุนเดินเข้าไปนั่งอิงแอบช่วยอีกฝ่าย

          “พี่ห้า ท่านพูดเกินไป ข้ามิใช่แมวสักหน่อย” หงลิ่วบ่นอุบอิบ ก่อนหันไปคุยกับคนอีกผู้หนึ่ง “พี่ชายไป๋ ท่านตื่นแล้วก็ดื่มยาสักถ้วยก่อนเถิด”

          เด็กน้อยส่งถ้วยยาชามใหญ่ซึ่งเตรียมไว้ก่อนแล้วมาให้ หากแต่เขาเพียงก้มดูน้ำสีน้ำตาลแดงที่มีกลิ่นแลรสชาติขมเจือโลหิตนิ่งๆ จากนั้นเบนสายตาไปยังหม้อยาที่ยังคงต้มอยู่

          “ยาในหม้อนี้ส่วนผสมยังไม่ครบ รอพี่ใหญ่นำเห็ดหลินจือโลหิตกลับมาเพิ่มเติมจึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์” อาจเป็นเพราะกลิ่นที่แตกต่างผิดกันทำให้หงลิ่วรีบอธิบาย

          “อืม” ไป๋เซ่อตอบรับสั้นๆ แล้วจึงรับถ้วยยากลั้นใจยกดื่ม ตามคำบอกเล่าของอีกฝ่าย ในป่าลึกของเมืองหนานผิงมีเห็ดหลินจือวิเศษบำรุงสมอง ทว่ามีรสชาติดุจเลือดเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยลดอาการคลุ้มคลั่งจากหนอนทุกข์ระทมในเพลานี้ได้

          “ให้เจ้า”

          “ขอบคุณเจ้ามาก” จู่ๆ หยางเฉินยื่นปลาย่างที่สุกแล้วมาให้ ด้วยนิสัยยังซื่อๆ ทั้งยังเอาใจใส่คนรอบข้าง ยังผลให้ไป๋เซ่อยิ้มอ่อนมิกล้าปฏิเสธ สามีของหงอู่ผู้นี้เป็นเพียงชาวนาธรรมดา ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวอีกฝ่ายกับหงอู่จะทำไร่นาในแถบเจ้อเจียง กระทั่งย่างเข้าฤดูหนาวจึงได้กลับมาใช้ชีวิตกันที่หุบเขาสั่วซี

          “อ้ะ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” ขณะที่ทุกคนกำลังละเลียดชิมเนื้อปลาอันหอมหวาน ฝีเท้าคู่หนักแน่นก็ย่ำหิมะเข้าใกล้ หงลิ่วเห็นร่างสีม่วงอมดำเป็นคนแรกก็ร้องดีใจ รีบวิ่งเข้าไปประจบ “มีของฝากข้ารึเปล่า”

          “........” หงเว่ยไม่ตอบ มือยื่นกระบอกน้ำไปให้อย่างทุกที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคืออะไร เด็กน้อยเห็นแล้วก็เบะปากรับไปอย่างว่าง่าย

          ด้านไป๋เซ่อได้แต่มองบุรุษที่พันผ้าสีขาวรอบดวงตาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ที่หงเว่ยได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียตบะไปราวสามพันปีเช่นนี้ สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะปกป้องตน

          “เจ้ายังคงรู้สึกผิด” ร่างแกร่งโพล่งออกมาทั้งที่มองมิเห็น เนื่องเพราะใช้ใจสัมผัสจึงได้รู้สึก “ไป่ไป๋ หากมิใช่เจ้า ข้ากับปีศาจนกยูงต่างก็มีความแค้นกันอยู่แล้ว”

          .......”

          มาตรว่าเขาพูดเช่นนั้น ร่างเล็กก็ยังคงเงียบงัน หงเว่ยจึงถามสืบต่อ “อยู่ที่นี่สบายดีรึไหม หงลิ่วทำเจ้ารำคาญบ้างรึเปล่า”

          “สบายดี หงอู่กับหยางเฉินดูแลข้าดีมาก หงลิ่วเองก็เช่นกัน” ไป๋เซ่อรีบบอก ตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นี่มาเดือนกว่า เขาก็มิได้รับความลำบากกระไร

          ...แต่เจ้าไม่มีความสุข

          หงเว่ยแย้งในใจ เขารับรู้อยู่เต็มอก กระนั้นก็มิกล้ากล่าววาจาหนึ่งออกมา เป็นเขาเห็นแก่ตัว พาไป่ไป๋มาดูแลรักษามิให้ไกลสายตายังที่นี่ ใจหวังให้งูน้อยหายดีและกลับมาสดใสอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างกลับผิดไป

          ผ่านมาเดือนกว่าฮ่องเต้หนุ่มเดินทางมารับงูเผือกน้อยถึงสี่ครั้ง แต่ทุกครั้งไป่ไป๋มิเคยยอมพบหน้า ทั้งเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้อง เพียงมองส่งชายหนุ่มที่กลับไปในยามรุ่งสาง จากนั้นอาการก็กำเริบอย่างหนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ใจเขาก็มีแต่ร้าวราน ต่อให้ดีใจที่ได้อยู่ร่วมกัน

          ...แต่นานแค่ไหนแล้ว ที่ข้ามิได้เห็นรอยยิ้มแฉ่งของเจ้า

 

************************************************

 

          เพลาผ่านไปรวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานตะวันก็ตกดิน น้ำแกงปลาน่ากินพร้อมกับข้าวอื่นๆ ก็ทยอยขึ้นโต๊ะ หงอู่ตักข้าวใส่ถ้วย ยื่นส่งให้ทุกคนแข็งขัน เห็นเป็นแม่ศรีเรือนเช่นนี้ แต่แท้จริงแล้วอาหารทั้งหมดล้วนเป็นหยางเฉินลงมือทำ หงลิ่วจึงมักพูดเป็นประจำว่าพี่ห้าหลอกตาผู้คน เป็นเหตุให้ถูกหงอู่เขกศีรษะน้อยๆ

          ระหว่างที่ทุกคนลงมือรับประทานอาหารพร้อมหน้า เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะ กระนั้นทุกสายตาพลันมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว ตนรีบวางตะเกียบคิดวิ่งขึ้นไปหลบยังห้องเช่นทุกที แต่แล้วประตูกลับถูกถีบจนเปิดผางเสียก่อน กระแสลมพัดเอาเกร็ดหิมะเข้ามาภายใน ส่วนตัวเขาแข็งค้างมิกล้าหันไปมอง ด้วยกลัวจะเห็นคนผู้หนึ่ง

          “เฮอะ ในที่สุดก็ถึงซะที หนาวจะแย่อยู่แล้ว”

          ...มิใช่เขา เสียงบ่นอันไร้มารยาทดังขึ้น ทำให้ไป๋เซ่อโล่งอก แต่ในเวลาเดียวกันหัวใจก็วูบโหวงแปลกๆ ก่อนจะเกิดคำถาม ...ทำไมมิใช่เขา หรือจะเกิดอะไรขึ้นกัน

          ด้านผู้มาใหม่เมื่อมาถึงก็ไม่ชักช้ากล่าวถึงจุดประสงค์ “ข้ามารับเจ้ากลับ ไป๋เซ่อ” เซียวถิงฟงกอดอกบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

          “ขะ ข้าไม่กลับ” ไป๋เซ่อตอบเสียงตะกุกตะกัก “ข้าจะกลับก็ต่อเมื่อเขามารับเอง”

          “หึ หึ ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าทำบ่ายเบี่ยง ต่อให้เขามารับ เจ้าก็ไม่กลับอยู่ดี มิใช่ก่อนหน้านี้เจ้าก็ปฏิเสธรึ” แม่ทัพหนุ่มในชุดลำลองสีน้ำเงินคลุมเสื้อขนจิ้งจอกแค่นหัวเราะ ครั้นอีกฝ่ายไม่ตอบก็เค้นถาม “ตอบมาคำเดียว เจ้าอยากเห็นซวนหยวนหมิงไท่ตรอมใจใช่ไหม”

          “ไม่” ไป๋เซ่อโพล่งตอบหน้าตาแตกตื่น เขาไม่ได้หวังให้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่...

          “เช่นนั้นก็กลับไปกับข้า”

          “แต่...” จากมือขวาของมหาเทพแห่งสวรรค์ กลับกลายเป็นปีศาจชั้นต่ำดื่มด่ำเลือดมนุษย์ ความจริงข้อนี้ทำให้เขาวิตก กลัว...กลัวว่าจะเผลอทำร้ายซวนหยวนหมิงไท่อีก

          เห็นสังเกตเห็นท่าทีลังเลเซียวถิงฟงก็ทอดถอนใจเอ่ย “ไป๋เซ่อ ข้ารู้ว่าเจ้ากังวล แต่บัดนี้วังหลวงคืนความสงบ จะไม่มีใครทำร้ายซวนหยวนหมิงไท่กับเจ้าได้อีก ส่วนอาการของเจ้า แม้ยังไม่มีหนทางรักษา ทว่าขอเพียงมีหวังทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้ เข้าใจไหม” ...เพราะอย่างนี้ทุกคนจึงได้ห่วงเจ้านักหนาไงเล่า

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ดวงตาแดงก่ำ คาดไม่ถึงว่าคนแซ่เซียวก็พูดอะไรซึ้งๆ เป็นกับเขาเหมือนกัน “ฮึกๆ เซียวถิงฟง” เขาถลาเข้ากอดร่างสูง ทำเอาเจ้าตัวเกาแก้มทำตัวไม่ถูก “เสื้อนี่มัน กลิ่นของท่านมหาเทพนี่นา โฮ ท่านมหาเทพ”

          เซียวถิงฟงถึงกับกรอกตาสบถในใจ ...มารดามันเถอะ

          รอจนสงบสติอารมณ์ได้ ไป๋เซ่อก็หันไปหาคนผู้หนึ่ง ในอกเต็มไปด้วยความลำบากใจ “หงเว่ย...”

          “เจ้ากลับไปอยู่ข้างกายเขาเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า” เจ้าของนามตอบกลับน้ำเสียงเรียบ ทว่าในใจเสมือนถูกมีดกรีดลึก ในที่สุดคำพูดนี้ก็หลุดออกมาจากปากเขา หากต้องแลกกับรอยยิ้มของร่างเล็ก ความเจ็บปวดทั้งมวลนี้ เขาก็จะ ...ทนรับมันเอง

          “ฮือ พี่ชายไป๋แล้วข้ากับพี่ใหญ่ พี่ห้า พี่เขยจะไปเยี่ยมท่านที่วังหลวง” เมื่อต้องจากกันอีกครั้ง หงลิ่วก็ร่ำร้องฟูมฟาย

          “อะไรกัน มิได้จากกันชั่วชีวิตสักหน่อย จะอย่างไรเจ้าก็ยังต้องรับหน้าที่ต้มยาอยู่มิใช่รึ” หงอู่ยิ้มกล่าวกับน้องชายซื่อบื้อ

          “เอ๊ะ นั่นสิ ข้าจะร้องทำไม” หงลิ่วพูดแล้วก็เกาศีรษะ

          “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เซียวถิงฟงเอ่ยเร่งรัด แต่แล้วก็พลันรู้สึกถึงพลังกดดันขุมหนึ่ง ให้เขาต้องกล่าวสำทับอีกหลายคำ “วางใจ ข้าจะส่งเขาถึงที่ อย่างปลอดภัย”

          ได้ยินเช่นนั้นหงเว่ยก็ยอมก้มหน้าลง ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนเร้นพลังเซียนไว้ และหากให้แสดงฝีมือทั้งหมด ต่อให้เป็นตนเข้าต่อกรก็ยากจะคาดเดาผล กระนั้นตนก็อดห่วงไป่ไป๋มิได้ อาจเพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายเล็ดลอดสายตา ก็มักเกิดเรื่องถึงขั้นอาจมิได้พบหน้าอีก แต่มาตรว่าเรื่องราวดำเนินถึงขั้นนี้ หากตนยังรั้นตามไปส่ง เกรงว่าสุดท้ายคงมิอาจห้ามใจที่เห็นแก่ตัว ฉุดรั้งร่างเล็ก ทำลายความสุขของเจ้าตัว

          “ข้าจะรอพวกเจ้าที่วังหลวง”

          หลังจากที่หยางเฉินกวาดเสบียงใส่ห่อผ้ามาให้ ไป๋เซ่อก็ตะโกนบอกทุกคน จากนั้นเหาะเหินติดตามเซียวถิงฟงลับหายไปในเมฆซึ่งโปรยปรายหิมะสีขาว ทิ้งให้หงเว่ยยืนส่งงูเผือกน้อยตรงลานหน้าบ้าน จวบจนกระทั่งหิมะหยุดตกก็เป็นเพลาเช้าพอดี
[/size]

 

************************************************

 

            ฝีเท้าสองคู่ฝ่ามวลเมฆมืดครึ้มอันมีหิมะตกหนัก ดูว่ายิ่งใกล้ถึงที่หมาย หัวใจก็ยิ่งหนักอึ้ง ที่ผ่านมาเป็นเขาขลาดเขลาหลบหนี จึงบังเกิดเป็นช่องว่างให้อึดอัดทำตัวไม่ถูก

          ณ เรือนบรรทมตำหนักฮองเฮา ในเพลานี้ปรากฏขันทีผู้หนึ่งยืนเฝ้าหน้าประตูด้วยท่าทีกลัดกลุ้ม ครั้นเมื่อเงยหน้ามองเห็นคนที่ลอยตรงเข้ามาก็โพล่งเสียงดัง

          “ขอบคุณสวรรค์” ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวไปครั้งนี้นับว่าประสบผลแล้ว เสี่ยวลู่ประนมมือร่ำร้องยินดี หางตาปริ่มน้ำใส

          ก่อนหน้านี้บุรุษนามหงเว่ยกลับออกไปได้ไม่กี่ชั่วยาม เจ้าชีวิตหนุ่มก็พลันทรุดหนัก ด้วยอาการบาดเจ็บที่ยังมิหายดี บวกกับทรงรั้นตากหิมะรอรับฮองเฮาน้อยอยู่หลายครา ส่งผลให้มิอาจฝืนกาย ต้องล้มหมอนนอนเสื่อไม่รู้สึกตัว ท้ายที่สุดแม่ทัพใหญ่เซียวจึงตัดสินใจไปตามตัวร่างเล็กเองกับตัว

          “เร็วเข้า เสี่ยวไป๋ ฝ่าบาททรงเพ้อเรียกหาแต่เจ้า”

          ไป๋เซ่อมิทันได้เตรียมใจ เสี่ยวลู่ก็ผลักเขาเข้าไปในห้องแล้ว แสงสลัวจากเทียนไขเผยให้เห็นแผ่นหลังเดียวดายบนเตียงกว้าง นี่เป็นแผ่นหลังที่เขาเฝ้ามองอยู่ห่างๆ กว่าหนึ่งเดือน สองขาเดินเข้าไปอย่างแช่มช้า มือเรียวหมายยื่นสัมผัสด้วยคะนึงหา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อชายหนุ่มพลิกตัวหันมาเสียก่อน

          ทันทีที่ใบหน้าซูบตอบสะท้อนเข้าสู่ดวงตา ความตกใจแลรู้สึกผิดท้วมท้นก็จู่โจมจิตใจ “ไม่จริง ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”

          “ใคร เสี่ยวลู่หรือ?” แว่วน้ำเสียงเบาบางใกล้ๆ ซวนหยวนหมิงไท่ที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็เปล่งเสียงแหบแห้งถาม ทั้งๆ ที่เปลือกตายังคงข่มปิดแน่น

          “........”

          “ป่ะ ไป๋เซ่อ เป็นเจ้าใช่ไหม เจ้ากลับมาหาข้าแล้วใช่ไหม” ร่างสูงพร่ำเพ้ออย่างมีความหวัง มือควานไขว่คว้ากลางอากาศไปมาไม่หยุด เพราะแม้แต่ในฝันก็ยังตามหา ...งูเผือกน้อยของเขา

          การกระทำดังกล่าวทำให้ไป๋เซ่อต้องรีบเกาะกุมมือนั้นให้สงบลง ความร้อนผ่าวที่ส่งผ่านกายทำให้รู้ว่าร่างนี้ทรมานแค่ไหน เขาก้าวขึ้นไปกอดคนนอนกระสับกระส่ายบนเตียงไว้แน่น จากนั้นกระซิบปลอบ “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่” กล่าวจบดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็หลับลง น้ำตาสายหนึ่งไหลกลิ้งข้างแก้ม

          “อือ” ไอเย็นที่แทรกซึมผิวกายทำให้เขารู้สึกสบายตัว คิ้วขมวดมุ่นคลายลง ใจว้าวุ่นสับสนเสมือนได้รับการเยียวยา พลอยให้ยินยอมปล่อยวางหลับลึก

 

          จวบจนรุ่งสางร่างกายอันเมื่อยล้าก็บรรเทาลง ดวงตาสีดำขลับลืมขึ้น ก่อนรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับหน้าท้อง หรือว่า...

          “ไป๋เซ่อ” เขาสะดุ้งตัวผุดลุกขึ้น แล้วจึงเห็นใบหน้าเย้ายวนกำลังหลับใหล เสียงเมื่อคืนมิใช่ความฝันจริงๆ ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มดีใจ มือลูบไล้เรือนผมสีเทาอย่างเบามือ

          ถึงช่วงเย็นย่ำ คนที่นอนลืมเวลาก็รู้สึกตัว ครั้นมิเห็นร่างสูงใกล้ๆ ก็เกิดกระวนกระวาย ขณะกำลังจะร้องหาประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มเห็นเขาตื่นแล้วก็ยิ้มร่า

          “ไป๋เซ่อ เจ้าหลับทั้งวัน คงหิวมากแล้วมากินข้าวเถอะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จูงเขาไปยังโต๊ะอาหาร คีบเนื้อบนจานให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งอิ่มท้องยังคะยั้นคะยอพาออกไปเดินเล่น ก่อนจะกลับห้องนอนกอดตนหลับพร้อมรอยยิ้ม แม้ระหว่างนั้นตนแทบไม่พูดไม่จา เจ้าตัวก็ไม่ได้เซ้าซี้ไถ่ถาม ทั้งยิ่งมิได้ตำหนิว่ากล่าว คล้ายเรื่องราวเดือนกว่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

          ส่วนเรื่องราวช่วงที่เขาไม่อยู่ หรูอี้เป็นคนบอกเล่าให้ฟังในวันต่อมา ได้ความว่าคืนนั้นโชคดีที่เซียวถิงฟงถ่ายทอดลมปราณช่วยซวนหยวนหมิงไท่ที่สูญเสียโลหิตเป็นจำนวนมากต่อจากหัวหน้าองครักษ์จิ้งได้ทัน เสี่ยวลู่เองหลังจากช่วยเขาก็ถูกทำร้าย เกิดเป็นแผลฟาดฟันกลางหลัง รักษาได้ไม่ถึงเดือนก็หายดี

          ด้านเจินเริ่นผิง ทหารในกองธงพยัคฆ์เป็นผู้พบศพ แต่เพราะนางมีส่วนร่วมกับกองกำลังกบฏจึงมิอาจร่วมฝังในสุสานหลวงตามกฎมณเฑียรบาลได้ ผู้นำกลุ่มกบฏอย่างเจินหยวนหลังถูกคุมขังในคุกหลวงก็เอาแต่โวยวายไม่หยุด ต่อเมื่อทราบข่าวบุตรสาวตาย ผู้เป็นพันธมิตรล้วนถูกจับกุม ตนไร้ที่พึ่งหมดสิ้นหนทางก็ชิงผูกคอตายหนีความผิด นางกำนัลชิวเยี่ยน นางถึงกับวิกลจริต เมื่อรู้ว่าต้องรับโทษทัณฑ์ประหาร

          ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วราวพายุ ไม่นานวังหลวงก็คืนความสงบเฉกเช่นเดียวกับที่เซียวถิงฟงบอก จะไม่มีใครทำอันตรายตนและซวนหยวนหมิงไท่อีก เขาจึงพลอยใช้ชีวิตอย่างวางใจ ทว่าเมื่อถึงเพลาต่อมา...

          ตนจึงตระหนักได้ว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์


 

************************************************

 
         
            แสงอรุณทาบทอไออุ่น ละลายหิมะบางส่วนให้เป็นชั้นบางลง วันเวลาที่เรียบง่ายเช่นนี้กลับมีคู่รักโต้เถียงกันจนคนรอบด้านต้องกลั้นหัวเราะ ไป๋เซ่อทำตาเหลือกไล่ส่งฮ่องเต้หนุ่มซึ่งคอตก วันๆ ดีแต่อู้งานเอาแต่ลูบไล้ผู้อื่นให้ไปสะสางงานราชกิจ ยิ่งเมื่อคืนถูกกวนทั้งคืนด้วยแล้ว เขายิ่งดุร้ายกว่าเดิม

          กระทั่งไล่คนออกไปได้สำเร็จแล้ว ตนก็หาวหวอดๆ ล้มตัวนอนบนเตียงนุ่ม ครั้นศีรษะถึงหมอนก็ผล็อยหลับทันที จวบจนเกิดเสียงลมกระทบประตูดังตึงตังจึงได้เคลิ้มตื่นขึ้น ดูท่าพายุหิมะระลอกใหญ่กำลังพัดผ่านมาในอีกไม่ช้า ร่างเล็กหยัดตัวลุกขึ้นคิดปิดหน้าต่าง ฉับพลันนั้นสมองกลับวูบวาบกะทันหัน

          ...ไม่จริง ทำไมถึงเป็นเพลานี้ เขาเลิกตากว้างตกใจ ก่อนจะลนลานหยิบห่อผ้าเก่าใต้หมอน ในนั้นมียาลูกกลอนที่หงลิ่วทำไว้ล่วงหน้าพอกินไปจนถึงหนึ่งเดือน แต่กระนั้นตนกินไปเมื่อคืน จึงมิน่าเป็นไปได้ที่มันจะออกอาการในตอนนี้

          “กำลังหาอะไรอยู่รึเพค่ะ” หรูอี้เข้ามาปิดหน้าต่างเอ่ยถามขึ้น หากแต่กลับทำให้คนที่อยู่ในห้องสะดุ้งตัว

          “หรูอี้" ไป๋เซ่อพยายามกุมมือสั่นเทาของตนเอง ทั้งบีบบังคับมิให้หันไปมองนาง “อ่ะ ออกไปให้ห่างจากข้า เร็ว”

          “หือ” หรูอี้เลิกคิ้ว ต่อเมื่อเห็นท่าทีฝืนกลั้นผิดปกติก็โพล่งออกมา “หม่อมฉัน หม่อมฉันจะรีบไปตามฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เพค่ะ” นางพูดจบก็วิ่งออกไปมิทันได้ฟังเสียงปรามไล่หลัง

          “ไม่ อย่าตามเขา อย่าตามเขามา”

          ประจวบเหมาะกับที่สองพี่น้องตระกูลหง รวมไปถึงฮ่องเต้หนุ่มมาถึงอุทยานในตำหนักพอดิบพอดี หงลิ่วเห็นนางกำนัลสาววิ่งออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกก็เป็นฝ่ายเอ่ยทัก

          “พี่หรูอี้ ท่านรีบร้อนจะไปไหนกัน”

          “ฝ่าบาท เซียวฮองเฮา เกิดเรื่องกับเซียวฮองเฮาแล้ว” นางระรัวคำพูดทั้งที่ยังหอบฮัก

          “หา ไม่จริงน่า อาการของพี่ชายไป๋ต้องกำเริบหลังจากนี้สามสี่วันสิ ไฉนจึงเร็วเพียงนี้” หงลิ่งอุทาน ผิดกับฮ่องเต้หนุ่มและหงเว่ยที่ตะลึงวูบ ต่างทะยานมุ่งไปหาคนในห้องอย่างร้อนใจแล้ว

          ภายในห้องปิดสนิทบังเกิดเป็นเสียงโครมคราม ข้าวของถูกทำลายลงต่อเนื่อง ซวนหยวนหมิงไท่คิดจะเข้าไป แต่แล้วหงเว่ยกลับวาดแขนหยุดเขาไว้เสียก่อน เจ้าตัวส่งสายตาให้จังหวะ จากนั้นจึงกระแทกประตูเปิดเข้าไป

          ทันทีที่คนในห้องกวาดสายตาดำทะมึนเห็นร่างในชุดมังกรก็พลันชะงักหยุดกึก แต่ไม่ช้าไม่นานริมฝีปากก็อ้าออกเผยเขี้ยวแหลม ไป๋เซ่อถลาวิ่งเข้าใส่ราวกับพบเหยื่อ ส่งผลให้ตนนิ่งอึ้งที่เห็นร่างเล็กคลุ้มคลั่งเช่นนี้ ต่อให้อีกฝ่ายกระโจนใส่ก็หาได้หลบหลีก ยังผลให้บุรุษในชุดสีม่วงอมดำต้องผลักเขาให้ไปอีกทางหนึ่ง

          “พี่ใหญ่ ยามิได้เป็นปัญหา พี่ชายไป๋ยังกินไม่ขาด เช่นนั้นปัญหาอยู่ที่ใด” หงลิ่วที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตะโกนบอก นับดูจากจำนวนยาที่ตกพื้นก็มิได้ขาดเกินแม้แต่เม็ดเดียว

          หงเว่ยรวบตัวไป๋เซ่อจากด้านหลัง ทำให้เจ้าตัวดิ้นพล่านต่อสู้ ระหว่างนั้นก็พยายามคิดใคร่ครวญอย่างหนัก ดูไปแล้วครั้งนี้เจ้าตัวอาละวาดหนักกว่าครั้งใด ทุกทีมีแต่ทำลายข้าวของ ทว่าครานี้เสมือนมีบางสิ่งกระตุ้นให้ทำร้ายคน ซึ่งจำเฉพาะฮ่องเต้หนุ่ม เขาขมวดคิ้วนึกถึงความเป็นไปได้

          ...หรือว่าโลหิตโอรสสวรรค์จะมีส่วนกระตุ้นให้เป็นเช่นนี้

          นับจากตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเจินเริ่นผิง ไป๋เซ่อคล้ายถูกล้างสมองให้เป็นดั่งปีศาจร้าย ต่อเมื่อผู้เป็นนายหนอนทุกข์ระทมดับสูญ เดิมทีเจ้าตัวต้องตกตายตามกัน กระนั้นเลือดของโอรสสวรรค์ที่เผอิญดื่มกินกลับช่วยต่อชีวิตให้คงอยู่

          ดังนั้นตนจึงปรึกษากับซวนหยวนหมิงไท่ นำเอาโลหิตของอีกฝ่ายมาปรุงเป็นยารักษา โดยอุปโลกน์ว่าเป็นเห็ดหลินจือโลหิตวิเศษ แต่ไม่คาดคิดว่านานวันเข้าร่างเล็กกลับเสพติดมันอย่างช้าๆ ต่อให้ยามนี้กินยาลูกกลอนไปมากเท่าใด ก็มิเพียงพอต่อความต้องการอีก ทำให้อาการกำเริบเร็วขึ้น

          “จำต้องใช้เลือดสดแล้ว” หงเว่ยบอกด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม สองแขนยังคงพยายามพันธนาการร่างเล็กมิให้ไปไหน

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่ได้ฟังแล้วก็ยิ่งไม่ลังเล ก้าวเข้าไปหยิบมีดสั้นในอกเสื้อขึ้นตวัดใส่ฝ่ามือตนเองทันที จังหวะที่โลหิตข้นไหลทะลักออกมา ไป๋เซ่อพลันหยุดการดิ้นรน เปลี่ยนมาจับจ้องหยาดหยดสีแดงเขม็ง ครั้นมือนั้นส่งมา ก็ชะโงกหน้าเข้าดูดดื่มอย่างหิวกระหาย

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ดวงตาคู่สีทะมึนจึงพร่าเลือน ก่อนสะท้อนถึงใบหน้าซีดขาว นัยน์สีดำขลับโศกเศร้า สติที่กลับคืนทำให้ไป๋เซ่อตกตะลึง คลายริมฝีปากออก รสชาติคาวในลำคอร้อนลวก ความจริงเขาควรเอะใจแต่แรกแล้ว เพราะรสชาตินี้ ...เป็นรสชาติเดียวกับเห็ดหลินจือโลหิตที่ตนกลืนกินอยู่ทุกค่ำคืน

          พริบตานั้นเขาผละตัวหงเว่ย แล้วถลาเข้าตีคนตรงหน้าโดยแรง “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นโอสถวิเศษหรือไง เจ้าทำได้อย่างไร เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไร” ไป๋เซ่อตวาดคร่ำครวญ สองมือทุบอกอีกฝ่าย หลั่งน้ำตามิขาดสาย เขาควรรู้แต่แรกแล้วเห็ดหลินจือวิเศษอะไรนั่นไม่มีอยู่จริง ยาสมุนไพรที่หงลิ่วต้มให้ก็เป็นเพราะต้องการกลบกลิ่นเลือด

          “ไป๋เซ่อ ข้าเพียงแต่...” ใจของซวนหยวนหมิงไท่ปวดแปลบ เขาคิดมาโดยตลอด ไม่ว่าต้องสละเลือดในกายสักเท่าใด ขอเพียงข้างกายเขายังมีไป๋เซ่อ ตนก็ยินยอม
         
          “ข้าเกลียดเจ้า ซวนหยวนหมิงไท่ ข้าเกลียดเจ้า ข้าเกลียดเจ้า ฮือ” ที่แท้เป็นเขาเองทำร้ายซวนหยวนหมิงไท่ เป็นเขามาตลอด ก่อนหน้านี้เจ้าตัวไม่สบาย ร่างกายซูบเซียวไร้สีเลือด นั่นก็เป็นเพราะเขา ...เป็นเพราะต้องให้เลือดแก่เขา

          “ข้าขอโทษ” เจ้าชีวิตหนุ่มได้แต่พร่ำกล่าวขอโทษ

          หงเว่ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาพูดเสียงอ่อน “ไป่ไป๋ เจ้าอย่าพึ่งโกรธตอนนี้ มิฉะนั้นอาการจะกำเริบอีก” กล่าวพลางเอื้อมมือไปจับแขนอีกฝ่ายเป็นการปลอบ แต่แล้วกลับถูกสะบัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ยังผลให้เขาตัวชาวาบ

          “หงเว่ย เจ้าเองก็หลอกข้า หลอกข้ามาตลอด” ไป๋เซ่อกัดฟันสะอื้นไห้ เหตุการณ์ในวันนี้เสมือนกรีดทับบาดแผลในใจ สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงปีศาจชั่วช้า ดูดกลืนชีวิตมนุษย์ “ออกไป ออกไปให้หมด ตอนนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น”

          สิ้นเสียงร้าวราน บุรุษหนุ่มทั้งสองก็รู้สึกเหมือนฟ้าดินถล่ม มิอาจทนอยู่ให้ร่างเล็กเห็นหน้าได้อีก พวกเขาต่างเดินออกมาอย่างแช่มช้า ราวคนไร้จิตวิญญาณ ความจริงผลลัพธ์เช่นนี้พวกเขาคาดเดาได้แต่แรกแล้ว แต่เพราะความเห็นแก่ตัว มิอาจทนเห็นงูเผือกน้อยดับสูบ จึงได้ตัดสินใจหลอกลวงอีกฝ่าย

          “พี่ใหญ่ พี่ชายหมิง พวกท่านอย่ายอมแพ้เช่นนี้สิ บอกพี่ชายไป๋ไป พวกท่านทำเช่นนี้เพราะต้องการช่วยเหลือ” หงลิ่ววิ่งตามคนทั้งสองพลางกล่าวอย่างร้อนใจ

          “หงลิ่ว ไป๋เซ่อ...” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยแต่แล้วก็หยุดเสียงไป ราวกับมีบางสิ่งติดค้างในลำคอ สองมือเขากำแน่น “เขาละเอียดอ่อนกว่าที่เจ้าคิด เขายอมเป็นทุกสิ่ง แต่จะมิยอมเป็นปีศาจร้ายเด็ดขาด” ตนเข้าใจในความทระนงของไป๋เซ่อดี ยิ่งเมื่อนึกถึงประโยคที่เจ้าตัวมักย้ำว่าเป็นงูเผือกแห่งแดนสวรรค์ มือขวาของมหาเทพอย่างภาคภูมิใจแล้ว ตนเองก็อดยิ้มขมขื่นมิได้

          หนึ่งชั่วยามผ่านไป หากแต่ยาวนานคล้ายแรมปี เสียงสะอึกสะอื้นจบลงไปนานแล้ว หลงเหลือเพียงความเงียบงันสิ้นหวัง หงลิ่วเห็นบุรุษทั้งสองยืนท้อแท้ซึมกะทือคนละฝากฝั่ง ก็ต้องถอนหายใจแล้วฮึดฮัดขึ้นมาใหม่

          “ในเมื่อพวกท่านมิกล้า ข้าจะเข้าไปเอง” ว่าแล้วก็เดินตรงเข้าไปเผชิญหน้ากับคนในห้อง

          ถึงตอนนี้ซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยต่างมองเด็กน้อยอย่างมีความหวัง ทว่าหงลิ่วหายเข้าไปได้ไม่นานกลับโผล่หน้าออกมาเปล่งเสียงแตกตื่น

          “แย่แล้ว พี่ชายไป๋หายตัวไปแล้ว”


 

************************************************

 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด