ตอนที่เจ็ดเขาเคยชวนนิพัทธ์ค้างคืนที่บ้านมาหลายครั้งแล้วแต่นิพัทธ์ก็ปฏิเสธทุกที ต่างไปจากครั้งนี้ที่นิพัทธ์ยอมตอบตกลง เขาถามถึงเหตุผลอย่างอดสงสัยไม่ได้ นิพัทธ์ทำเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบ บ้านสองชั้นของพิรัลไม่ได้วิเศษเลิศเลอใหญ่โตไปกว่าใคร มันเป็นเพียงบ้านสองชั้นที่มีรูปทรงทั่วไปตามหมู่บ้านจัดสรร แต่มีพื้นที่ใช้สอยรอบรั้วกว้างขวางอยู่สักหน่อย คืนนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านเพราะไปเที่ยวต่างจังหวัดหลายวัน ภายในบ้านที่เรียบง่ายหลังนั้นจึงมีเพียงแค่พิรัลกับนิพัทธ์อยู่กันสองคน
ตอนที่นิพัทธ์เข้ามาในห้องของพิรัล เขาปรี่ตรงไปยังกีต้าร์โปร่งซึ่งพิงอยู่ตรงมุมห้อง พิรัลเปิดแอร์ก่อนจะหายตัวเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้แขกคนพิเศษนั่งไล่คอร์ดกีต้าร์เล่น ออกมาอีกทีก็เห็นนิพัทธ์ยังคงคลำเล่นเพลงอะไรสักเพลงไม่ปะติดปะต่อกัน เขาบอกให้นิพัทธ์ไปอาบน้ำและหยิบจับกีต้าร์ตัวสีน้ำตาลแบบทั่วๆไปมาเล่นบ้าง ที่จริงแล้วช่วงหลังนี้เขาไม่ค่อยได้หยิบกีต้าร์มาเล่นบ่อยนักเพราะงานที่ทำอยู่พรากเวลาไปจนเกือบหมด จากที่เคยเล่นบ่อยครั้งความถี่ก็ลดน้อยลงจนนึกถึงอีกทีก็ได้เล่นเฉพาะช่วงไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนบ้าง
นึกถึงสมัยที่กีต้าร์ตัวนี้อยู่ไม่ห่างมือก็คงจะเป็นช่วงตั้งวงดนตรีกับเพื่อนสมัยเรียนชั้นมัธยม ช่วงนั้นเพลงฮาร์ดคอร์ต่างๆ หรือง่ายๆก็คือเพลงร็อคกำลังเฟื่องฟูจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้พิรัลเล่นดนตรีหนักหนาพอควร เขาชอบดนตรี ทั้งฟัง ทั้งเล่นเองแต่งเพลงเองบ้างในช่วงนั้น แต่วงดนตรีไปไม่รอดเพราะสมาชิกต่างต้องให้เวลากับการสอบเข้ามหาวิทยาลับมากกว่า วงดนตรีของพิรัลเกือบจะถูกก่อตั้งขึ้น แล้วก็หายสลายไปทั้งที่ยังไม่มีชื่อวงเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเล่นกีต้าร์มาเรื่อยๆเป็นงานอดิเรก
ในตอนที่พิรัลกำลังลองเล่นพลางดูคอร์ดไปด้วยอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำและขอกีต้าร์ไปเล่น นิพัทธ์พึมพำร้องออกมาเป็นเพลงท่อนหนึ่ง เสียงของเขางึมงำอยู่ในลำคอฟังไม่ได้ความ บานประตูในห้องนอนที่เชื่อมกับระเบียงเปิดอ้า พิรัลออกไปยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นขณะที่หันหน้าเข้ามาในห้องเพื่อมองดูเด็กหนุ่มตัวขาวเกลากีต้าร์อย่างสุขใจอยู่พักใหญ่ เสียงกีต้าร์เริ่มกลายเป็นท่วงทำนองขึ้นบ้างแล้ว นิพัทธ์เงยหน้าขึ้นมามองชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหลบสายตาไป ท่าทีดูขัดเขินอยู่ไม่น้อย
บุหรี่ที่สูบอยู่ถูกขยี้ลงในที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งวางอยู่บนขอบเหล็ก พิรัลเดินเข้ามาในห้องและนั่งลงบนเตียงฝั่งที่คุ้นชินโดยไม่ลืมฉุดรั้งแขนของอีกฝ่ายให้เข้ามานั่งอยู่ตรงหว่างขา แล้วกอดซบวางใบหน้าลงบนไหล่ เขามองนิพัทธ์เริ่มดีดกีต้าร์อีกครั้งและร้องเพลงร่วมด้วย พิรัลนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันทั้งที่ก่อนหน้านี้นิพัทธ์บอกเองว่าไม่ค่อยรู้เรื่องเพลงแต่กลับร้องและเล่นดนตรีได้เสียอย่างนั้น มันทำให้พิรัลฉุกคิดว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้
เพลงที่นิพัทธ์ร้องคือเพลง If it mean a lot to you ของ A day to remember มันเป็นเพลงที่ค่อนข้างดังในยุคสมัยเพลงอีโมเฟื่องฟูจริงๆ ตัวพิรัลเองก็ร้องและเล่นกีต้าร์ได้เมื่อได้เห็นฝีมือของนิพัทธ์ก็คิดว่าเด็กคนนี้น่าฟอร์มวงได้เลยทีเดียว หลังจากร้องจบไปท่อนหนึ่งนิพัทธ์ก็หยุดและหันมามองชายหนุ่มที่กอดตัวเองอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มยิ้มขยับเข้าไปจูบที่สันกรามอย่างรักใคร่
“เล่นดีนี่ ไหนบอกไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรี”
นิพัทธ์หัวเราะนิดหน่อยก่อนจะเด้งตัวออกหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย “เล่นให้ผมฟังมั่งสิครับ”
พิรัลรับกีต้าร์มาก่อนจะยิ้มกริ่ม “นี่จะลองเชิงผมใช่มั้ย” เขาเอ่ยขณะที่ปรับสายอีกนิดหน่อย
“ผมแสดงฝีมือแล้วจะเรียกว่าลองเชิงพี่เจตน์ไม่ได้หรอก” นิพัทธ์กล่าวแล้วขยับนั่งขัดขาเท้าแขนมองด้วยสายตาท้าทาย
“โห แล้วงี้ผมจะกล้าเล่นมั้ยเนี่ย” พิรัลยิ้มเขิน เขาเองก็ไม่ได้เล่นกีต้าร์จริงจังมานานจึงต้องใช้เวลารำลึกคอร์ดอยู่บ้าง แต่พอเมื่อจับจุดได้ก็เริ่มบรรเลงเพลงที่คาดว่าน่าจะเป็นเพลงโปรดของอีกฝ่าย
เพลงที่เขาเล่นคือเพลง High & Dry ของ Radiohead มันเป็นแบนด์คลาสสิคสำหรับพิรัลในการหยิบจับมาเล่นเขาจึงค่อนข้างมีความมั่นใจอยู่บ้าง ในตอนแรกเขาไม่คิดจะร้องเนื้อเพลงด้วยแต่ไปๆมาๆก็แอบคลอเบาๆไปตามอารมณ์ เขาเหลือบมองอีกฝ่าย นิพัทธ์กำลังอมยิ้ม ใบหน้าแสดงออกว่าชื่นชอบ เมื่อถูกมองนานเข้าก็รู้สึกเขิน เขาจึงหยุดเล่นเมื่อจบเพลงท่อนแรก
นิพัทธ์ยิ้มมองพิรัลไม่วางตา เขาเคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูดว่าผู้ชายที่เล่นดนตรีจะมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ไม่เคยเล่นดนตรีเพื่อให้ดูเท่หรืออะไร เล่นเพราะชอบ เล่นเพราะมันไม่เงียบเหงาเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนก็เท่านั้น แต่ตอนนี้เห็นทีคงจะคล้อยตามความคิดเหล่านั้นอยู่บ้าง พิรัลดูเท่ไม่หยอก มันทำให้เขารู้สึกภูมิอกภูมิใจที่มีคนรักเท่ขนาดนี้
พิรัลก้มหน้าลงมองคอร์ดอีกครั้ง แล้วเริ่มเล่นเพลงใหม่ เป็นเพลงที่ยากขึ้นแต่เป็นเพลงในตำนานของ Eagles อย่าง Hotel California นิพัทธ์ส่งเสียงร้องแซวพอเป็นพิธี
พิรัลเขินอาย แต่เมื่อได้กลับมาเล่นกีต้าร์จริงจังเหมือนครั้งสมัยเรียนเขาเองก็รู้สึกคึกคักราวกับร่างอวตารศิลปินเข้าสิง จะว่าเข้าสิงก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวเพราะเขาชอบเล่นดนตรีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัยโลกของผู้ใหญ่กลับผลักไสให้นึกถึงการทำเงินเลี้ยงชีพมากกว่าความเพ้อฝัน พิรัลเข้าใจข้อเท็จจริงนั้นดีและไม่อาจโทษใครได้เลย เป็นโชคดีของเขาเสียอีกที่เลือกเรียนสิ่งที่ชอบเป็นอันดับสองเพราะตัวเขาเองยังไม่แน่ใจเลยว่าฝีมือการเล่นดนตรีของตัวเองจะเก่งกาจมากพอจนสามารถนำไปประกอบอาชีพได้หรือเปล่า
เพลง Hotel California นั้นเล่นยากและพิรัลเองก็ไม่ได้เล่นดีอะไรนักหนาด้วย แต่นิพัทธ์กลับชื่นชมออกมาทางสายตาแม้ปากจะเอ่ยแซวว่าเขาอวด พิรัลยักคิ้วกวนอารมณ์ขณะที่นิ้วไล่จับคอร์ดไปตามเรื่องตามราว เขาจำคอร์ดเพลงหลายเพลงได้โดยไม่ต้องเปิดดู แต่อาจจะมีเล่นเพี้ยนบ้าง เสียงแบนบ้าง เพราะขาดการฝึกฝนไปนาน คิดว่าหลังจากนี้คงจะหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นบ่อยกว่าเดิมเสียแล้ว
“พี่เจตน์เล่นดนตรีชิ้นอื่นอีกมั้ยครับ” นิพัทธ์ถามหลังจากเพลง Hotel California ท่อนแรกจบลง เขายื่นมือรับกีต้าร์แล้วลองไล่คอร์ดดูบ้าง
“ตีกลองก็พอได้อยู่”
“แล้วเปียโนได้มั้ย”
“เคยลองเรียนแล้วผมไม่ชอบเท่าไหร่”
“ไว้มีโอกาสผมจะเล่นเปียโนให้ฟัง ผมถนัดมากกว่ากีต้าร์” นิพัทธ์กล่าวแต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เครื่องดนตรีในอ้อมแขน “ผมเป่าแซ็กโซโฟนด้วยนะ ถ้าผมกลับบ้านผมจะไปเอาแซ็กโซโฟนมาเป่าให้พี่เจตน์ฟังนะครับ”
พิรัลรู้สึกหูพึ่งนิดหน่อยเมื่อได้ยินนิพัทธ์พูดถึงบ้าน เขาอยากรู้เรื่องราวครอบครัวของนิพัทธ์บ้าง แต่จากที่เคยเลียบเคียงถามถึงครอบครัวอีกฝ่ายกลับเฉไฉไม่ยอมตอบ ครั้งนี้พิรัลจึงเก็บความอยากรู้เอาไว้
“And I don’t want the world to see me…”
นิพัทธ์เริ่มต้นเพลงใหม่ขึ้นอีกในท่อน Chorus ดวงตาของเขาจดจ้องมาที่พิรัลราวกับสื่อความหมายบางอย่าง
“‘Cause I don’t think that they’d understand
When everything’s meant to be broken
I just want you to know who I am…”
เด็กหนุ่มถือกีต้าร์ไว้เช่นนั้นเมื่อร้องจบท่อนคอรัส พวกเขามองตากันและเงียบกันไปพักใหญ่ก่อนที่นิพัทธ์จะเผยอปากเริ่มต้นบทสนทนา
“พ่อผมชอบเล่นกีต้าร์เหมือนพี่เจตน์ ไว้ผมจะพาไปดวลฝีมือด้วย”
“ได้สิ” พิรัลตอบรับเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่าย พยายามไม่ถามอะไรเป็นการกดดัน เขารู้สึกได้ว่าครอบครัวของนิพัทธ์คงจะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะพูดออกมา
“ผมรักพี่เจตน์นะครับ” ดวงตาที่จ้องมองนั้นดูจริงจังจนพิรัลจุกปรี่อยู่ในลำคอ เขารักนิพัทธ์อย่างไม่ต้องกังขาแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงบอกรักกลับไปบ้างได้ยากเย็น
“อืม” พิรัลตอบรับเพียงแค่นั้นแล้วจับประคองใบหน้าของนิพัทธ์ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ลูบไล้เบาๆที่พวงแก้มด้วยความเอ็นดู
บางทีที่ยังไม่กล้าพูดคำว่ารักออกไปอาจเป็นเพราะเขาไม่ยังไม่แน่ใจว่านิพัทธ์รักเขาจริงหรือเปล่า
นิพัทธ์งัวเงียเป็นที่สุดเพราะตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง บ้านของพิรัลอยู่ชานเมืองจึงต้องออกแต่เช้าเพื่อให้ทันเวลาเข้างาน แม้ว่าที่บริษัทจะไม่เคร่งครัดเวลาเข้างานอะไรมาก แต่พิรัลก็ต้องไปให้ถึงลานจอดรถของรถไฟฟ้าก่อนเจ็ดโมง เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีที่จอด ชีวิตในกรุงเทพ ชีวิตดีดีที่ลงตัวมันไม่มีอยู่จริงเลยสักนิด
พิรัลบอกให้เขานอนไปโดยไม่ต้องเกรงใจ ไม่มีความจำเป็นจะต้องถ่างตานั่งอยู่เป็นเพื่อน พอได้ยินเช่นนั้นถึงจะสบายใจอยู่บ้างแต่นิพัทธ์ก็หลับๆตื่นๆไปตลอดทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงลานจอดรถ เมื่อได้ที่จอดสมใจก็เปิดแง้มกระจกและงีบหลับไปต่ออีกนิดหน่อย นิพัทธ์เพิ่งรู้ว่าพิรัลทำแบบนี้ทุกวันในการทำงาน เหนื่อยกับการเดินทางมากกว่าทำงานเสียอีก เขารู้สึกโชคดีที่มีห้องพักซึ่งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า
“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปค้างบ้านพี่เจตน์นะ แต่ผมไม่อยากตื่นเช้ามาทำงานแบบนี้บ่อยๆอะ ผมง่วง”
พิรัลหัวเราะพรืดแต่เช้าเมื่ออยู่ๆขณะที่โดยสารรถไฟฟ้าเพื่อไปทำงานนิพัทธ์ก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูขาดความมั่นใจนิดหน่อย ซึ่งตรงนี้พิรัลคิดว่าเด็กหนุ่มคงจะเกรงใจกับการพูดอย่างตรงไปตรงมา
“พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะ”
“โกรธเรื่องอะไรครับ”
“ถ้าชวนผมไปค้างที่บ้านวันทำงานแล้วผมปฏิเสธน่ะ”
พิรัลยิ้มเอ็นดู นึกอยากลูบศีรษะเด็กหนุ่มตรงหน้านี้เหลือเกิน แต่เวลาแปดโมงเช้าแบบนี้คนโดยสารอยู่ในรถไฟฟ้าแน่นขนัดคงจะไม่เหมาะหากจะแสดงออกอะไรมากมาย ทั้งๆที่ความจริงพิรัลสามารถกระทำดั่งใจต้องการได้ เขาไม่อายสายตาของใครเพราะสิ่งที่อยากทำมันไม่ได้สร้างความเสียหายหรือละเมิดสิทธิของใครเลย แต่เขากังวลถึงตัวของนิพัทธ์มากกว่า คิดไปต่างๆนานาว่าหากเมื่อได้สัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันตามประสาคู่รักนิพัทธ์จะอับอาย
ขณะที่คิดอะไรมากมายอยู่ในสมองตอนนั้นอยู่ๆมือของเขารู้สึกถึงไออุ่นจากฝ่ามือของใครบางคน เป็นนิพัทธ์ที่จับมือกับเขาและซ่อนมันไว้ที่ด้านหลัง ส่วนที่ยืนอยู่ในรถไฟฟ้าเป็นช่วงรอยต่อของขบวนเพราะฉะนั้นมันจึงค่อนข้างมืด อีกทั้งคนแน่นมากจนแทบไม่มีช่องว่าง พิรัลจึงวางใจให้เด็กหนุ่มจับต่อไปเช่นนั้น แต่เมื่อคิดอีกทีเป็นเขาหรือเปล่าที่ไม่กล้ามากพอสำหรับการเปิดเผยสิ่งนี้ เป็นเขาหรือเปล่าที่กังวลสายตาของคนอื่นมากเกินไป
สำหรับนิพัทธ์ไม่อายเลยที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองชอบเพศเดียวกัน เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขารู้จักการแสดงออกอย่างเหมาะสม เขาพอรู้อยู่บ้างว่าพิรัลเป็นคนละเอียดอ่อนคิดอะไรเยอะแยะไปหมด ตัวเขานั้นตรงกันข้ามหากไม่ได้กระทำอะไรผิดก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสายตาของใคร เขาคิดอยากพูดเรื่องนี้กับพิรัลแต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้สักที
ชายหนุ่มลองขยับมือออกมาปล่อยไว้ด้านข้างลำตัวแต่ยังคงจับกระชับมือของนิพัทธ์ไว้ เด็กหนุ่มกลั้นยิ้มและมองสบตากับคนอายุมากกว่า อย่างน้อยก็ขอให้ได้กระทำในสิ่งที่ใจต้องการ แม้ว่าเมื่ออยู่ในออฟฟิศจะแสดงอะไรออกไปไม่ได้ แต่นอกเหนือจากนั้นพิรัลก็อยากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามที่หัวใจปรารถนา
นิพัทธ์เคยคิดไว้แล้วว่าพิรัลที่อยู่ในออฟฟิศดูดุดันกว่าปกติ สิ่งนั้นสามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์บางอย่างในตัวนิพัทธ์ได้และมันกำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่เชิงว่าพอเห็นพิรัลดุก็จะแข็งอะไรทำนองนั้นหรอก แต่มันพอจะทำให้นิพัทธ์นึกถึงช่วงเวลาบนเตียง พิรัลอ่อนโยนกับเรื่องนั้นมากที่สุดเท่าที่เจอมา เขารู้สึกเหมือนได้รักและถูกรักในเวลาเดียวกัน พิรัลทำให้เขารู้ว่าเซ็กส์ที่มาพร้อมกับความรู้สึกทางจิตใจนั้นอิ่มเอมความสุขมากขนาดไหน พอคิดเช่นนั้นจึงรู้สึกต้องการขึ้นมาเสียอย่างนั้น
พิรัลดูหัวเสียหลังจากออกมาจากห้องประชุม พอออกมาเจองานซ่อมเครื่องที่เวนเดอทำได้ไม่ดีและต้องส่งซ่อมใหม่เป็นครั้งที่สามก็โทรออกหาเวนเดอเจ้านั้นทันที เกิดการปะทะฝีปากขึ้นนิดหน่อย คิ้วของพิรัลขมวดดูตึงเครียด เขานั่งเขย่าขาสลับกับใช้นิ้วเคาะโต๊ะไปมา ตอนเที่ยงวันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ หญิงกับโอมส่งสายตาชวนนิพัทธ์ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่เขาบอกหญิงว่ายังไม่หิวและต้องการทำงานต่อทั้งสองคนจึงเดินออกไป เหลือเพียงเขากับพิรัลในคอก
จากที่ฟังพิรัลพูดนั้นดูท่าจะจบลงได้ไม่ดีเท่าไหร่ ใบหน้าดูเคร่งครึมไม่จางหายแม้แต่ตอนวางโทรศัพท์ไปแล้ว
“แม่ง พูดไม่รู้เรื่อง ซ่อมไม่ได้ยังจะมาเก็บเงินอีก”
นิพัทธ์ฟังแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงแค่แตะเบาๆที่หลังมือของอีกฝ่ายแล้วก็ชักมือกลับมาที่เดิม ป้องกันไว้ไม่ให้คนอื่นเห็น เห็นเช่นนั้นพิรัลก็ถอนหายใจยาวก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือของเด็กหนุ่มมากอบกุมไว้เอง
“ผมเหนื่อยจังเลยว่ะกานต์” เขาพูดแล้วมองใบหน้าของเด็กหนุ่มราวกับเป็นที่พึ่งพา หากอยู่ด้วยกันตามลำพังนิพัทธ์คงจะกอดแนบแน่นให้กำลังใจ แต่เมื่ออยู่ที่ออฟฟิศพวกเขาต่างก็ต้องสงวนท่าทีจึงกลายเป็นความอัดอั้นสุมอยู่ในใจพอควร
นิพัทธ์ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบาๆที่มือของอีกฝ่าย “เย็นนี้ไปดูหนังกัน ผมเลี้ยง”
พิรัลยิ้มแต่ใบหน้ายังคงดูเหนื่อยล้าจนปิดไม่มิด เขาบีบมือของเด็กหนุ่มแรงๆหนึ่งทีก่อนจะปล่อยมือ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปทำงานที่ค้างไว้ ในคอกที่เคยอยู่กันสองคนกลับมีแขกหน้าใหม่เข้ามาเยือน พิรัลไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจอะไรใดๆเพราะชินกับการถูกทีมอื่นเข้ามาคุยงานด้วยบ่อยครั้ง แต่ผู้ชายที่เห็นตรงนี้กลับไม่คุ้นหน้าอีกทั้งจากบุคลิกท่าทางการแต่งตัวคงจะไม่ใช่พนักงานทั่วไปอย่างแน่นอน
“คุณคงจะเป็นคุณเจตน์… ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ” พิรัลตอบพลางยืนขึ้น
ชายคนนั้นยกยิ้มมุมปาก สายตาเบนมาทางด้านหลังที่ซึ่งนิพัทธ์กำลังยืนอยู่ “ว่าไงกานต์ ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง”
เจ้าของชื่อนั่งตัวแข็งทื่อแทบไม่ขยับไหว ใบหน้าที่ปกติขาวอยู่แล้วกลับดูซีดเผือดจนพิรัลสังเกตได้ เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติกับสถานการณ์ตรงหน้านี้แต่ยังไม่ผลีผลามพูดอะไรออกไป “ก็ดีครับ”
“อืม…” เขาตอบแล้วก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สายตาสอดส่ายสำรวจไปทั่วแต่ไม่ได้ใส่ใจนัก “อยู่แต่คอนโด กลับบ้านมั่งสิ แม่เขาคิดถึง”
“ครับ”
ชายหนุ่มผู้มาเยือนอยู่ในชุดสูทเรียบกริบ ทรงผมจัดแต่งมาอย่างดี ตัวหอมฟุ้งจากกลิ่นน้ำหอมสไตล์ผู้ชาย เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านิพัทธ์และค้อมตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะจ้องมอง ใบหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้มมุมปาก “อาก็คิดถึงหลานเหมือนกัน”
พิรัลได้ยินประโยคท้ายแม้ว่าจะเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา แต่เขารับรู้ได้ว่ามันเป็นการกระซิบกระซาบที่ตั้งใจให้ได้ยินกันทั้งหมด ชายในชุดสูทหันกลับมาส่งยิ้มให้พิรัล มันเป็นรอยยิ้มการค้าและพิรัลรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเลยสักนิด
“คุณเจตน์ ถ้าหลานผมทำงานไม่ดีตำหนิได้เลยนะครับ”
“ครับ” พิรัลรับคำส่งๆไปเช่นนั้นแต่ในสมองกำลังพรั่งพรูด้วยด้วยคำถามต่างๆมากมาย ส่วนของคำว่า ‘หลาน’ กำลังวนเวียนเด่นชัดมากที่สุด
“อ้าว คุณกรณ์ มาแอบส่องห้องหวานเหรอคะ”
“คุณหวาน ห้องรกแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ” เขาถามเสียงกลั้วหัวเราะไม่ได้ดูจริงจังอะไรมากนัก
“ค่ะ ถ้าจะมาดูก็บอกล่วงหน้าก่อนสิคะ หวานจะได้บอกให้น้องในทีมเอาผักชีโรยไว้” หัวหน้าของพิรัลกับนิพัทธ์หัวเราะกับชายหนุ่มในชุดสูทเรียบกริบ
“ผมไม่บอกหรอกครับ ห้องรกๆสิดี แสดงว่าน้องๆทำงานกันจริง” คนที่ชื่อกรณ์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี ท่าทางดูต่างไปจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง แต่ดวงตาของเขาที่จับจ้องมายังพิรัลและนิพัทธ์ยังคงดูไม่น่าไว้วางใจ “อ้อ คุณหวานครับ ขอบคุณที่รับหลานผมเข้ามาทำงานนะครับ มีอะไรตำหนิหลานผมได้เลยครับ ว่ากันไปตามเนื้องาน”
“น้องกานต์ทำงานดีมากค่ะคุณกรณ์ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ เอ้อ คุณกรณ์คะ นี่เจตน์ค่ะกำลังจะมาเป็นมือขวาของหวานเต็มตัวแล้ว เจตน์นี่คุณกรณ์เจ้านายคุณซูเชง”
“สวัสดีครับคุณกรณ์” พิรัลยกมือไหว้ ส่วนอีกฝ่ายก็รับไหว้ไปตามเรื่องตามราว ในใจของเขากำลังกู่ร้องเต็มไปด้วยคำถามล้านแปด
หากหวานบอกว่าเป็นเจ้านายคุณซูเชงนั่นหมายความว่าคนที่ชื่อกรณ์เป็นอีกหนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทที่เขาทำงานอยู่นี้ แม้จะยังไม่รู้ลึกตื้นหนาบางอะไรมากนัก แต่แผนผังองค์กรล่าสุดเขาจำได้ว่าซูเชงชาวอเมริกันเชื้อชาติสิงคโปร์เป็นผู้บริหารสูงสุดร่วมกับคนไทยที่เขาจำชื่อไม่ได้ แต่ที่จำซูเชงได้เพราะมีบทบาทในองค์กรเป็นอย่างมาก และหากหัวหน้าของเขาบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นเจ้านายซูเชงตำแหน่งก็ต้องสูงกว่า
“เจ้านายคุณซูเชงอะไรกันคุณหวาน เราเป็นพาร์ทเนอร์กันต่างหาก”
พาร์ทเนอร์ในวงการธุรกิจคือคำสวยหรูของการรวมกิจการของสองบริษัท แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์แต่ต้องมีฝ่ายหนึ่งได้ผลประโยชน์มากกว่าอยู่แล้วและคงจะเป็นทางบริษัทของคนที่ชื่อกรณ์อย่างแน่นอน
แผนผังองค์กรฉบับล่าสุดยังไม่ประกาศเลยด้วยซ้ำ เขาคิดว่างานทาวน์ฮอลของบริษัทในรอบหน้าจะต้องประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่เรื่องเหล่านั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับระดับหัวหน้าอย่างเขามากนัก และถึงแม้ในอนาคตจะได้ทำแหน่งสูงขึ้นแทนตำแหน่งตั้มก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีส่วนแสดงความคิดเห็นกับแนวทางของบริษัทเลย หน้าที่ของเขายังคงได้รับคำสั่งลงมาจากทางหวานและบริหารงานต่อกับน้องในทีม สิ่งที่เขาสนใจและเป็นเพียงความสนใจเดียวในเวลานี้คือความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ชื่อกรณ์กับนิพัทธ์
ตลอดบ่ายวันนั้นนิพัทธ์เงียบกริบและหมกมุ่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานจนพิรัลรู้สึกได้ว่าผิดปกติ เขาอยากถามหลายสิ่งหลายอย่างแต่จากที่เห็นเขาคิดว่านิพัทธ์ยังคงไม่พร้อมพูดถึง ในตอนเย็นหลังเลิกงานพิรัลซื้อขนมจีบจากร้านสะดวกซื้อมาให้เด็กหนุ่มเพราะเจ้าตัวยังไม่ได้กินมื้อกลางวัน ถึงจะสงสัยอะไรมากมายแต่เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คงไม่สู้ดีและนึกเป็นห่วงนิพัทธ์จากใจจริง นิพัทธ์หันมาขอบคุณก่อนจะหยิบขนมจีบไปกินอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายมอบรอยยิ้มเป็นกำลังใจให้แม้ว่าจะยังไม่รู้อะไรเลยก็ตามที
“กานต์จะมาค้างที่บ้านผมมั้ย”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยขณะที่ปากยังเคี้ยวขนมจีบไม่หยุด
“ผมบอกตามตรงผมเป็นห่วงกานต์”
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ”
เจ็บปวดในใจอยู่ไม่น้อยกับประโยคที่ได้ยิน เขารู้ว่านิพัทธ์ดูแลตัวเองได้แต่ความหมายจริงๆก็คือเขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนนิพัทธ์และไม่อยากให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวก็เท่านั้น
“งั้นผมไปค้างห้องกานต์นะ”
“อยู่ทำโอทีกันเหรอครับ”
เสียงจากผู้มาเยือนดังขึ้นอยู่ที่ประตูห้อง พิรัลคุ้นเสียงของคนคนนี้แล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่
“คุณกรณ์ยังไม่กลับเหรอครับ” พิรัลเอ่ยทักด้วยเพราะเป็นผู้น้อยกว่า อย่างไรก็ตามที่นี่ยังคงเป็นสังคมทำงาน
“ผมคุยงานอยู่กับคุณอัลฟี่เพิ่งเสร็จครับ กำลังจะกลับเลยแวะมารับกานต์ด้วย” ท้ายประโยคเขามองข้ามไหล่พิรัลไปยังเด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังก่อนจะหันกลับมามองพิรัล “งานเยอะมากมั้ยครับ ไว้ทำพรุ่งนี้ได้มั้ย”
พิรัลรู้ว่าความหมายแฝงของประโยคนั้นคืออะไร คนที่ชื่อกรณ์กำลังบอกกลายๆว่าจะพานิพัทธ์กลับไปด้วยไม่ว่างานจะเยอะหรือไม่เยอะก็ตาม “เยอะครับ อีกสองวันจะต้องติดตั้งเครื่องให้ร้าน ผมเลยให้กานต์ลองทยอยลงโปรแกรมก่อนเพราะน้องยังช้าเรื่องนี้อยู่”
เมื่อเอาเรื่องงานมาอ้างกรณ์ก็ไม่อาจโต้แย้งได้ เขาพยักหน้ารับใบหน้ามีรอยยิ้มบางเบาแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม “ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนนะ” กรณ์กล่าวกับพิรัลก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลัง “กานต์…” เขาเอ่ยเรียกทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตา “แล้วอาจะโทรหา”
นิพัทธ์จ้องมองแต่ไม่ได้ตอบรับจนกระทั่งคนที่ชื่อกรณ์เดินออกไปเด็กหนุ่มจึงได้สติขยับตัว สิ่งที่เหนือความคาดหมายตามมาหลังจากนั้นเมื่อนิพัทธ์เดินเข้ามากอดพิรัลไว้อย่างแนบแน่น
“พี่เจตน์ ผมรักพี่เจตน์นะครับ”
นี่อาจจะเป็นคำบอกรักที่ฟังดูเศร้าโศกที่สุดเท่าที่พิรัลเคยพบเห็น
************************************