- หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)  (อ่าน 54211 ครั้ง)

ออฟไลน์ mew.kani

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากเห็นพี่เจตน์กับน้องกานต์รักกันไปนานๆๆ
คุณนักเขียนคะ ขออย่าให้เป็น bad end เลยนะคะ
ขอร้องหละค่ะ ด้ายยยโปรดดด

ออฟไลน์ waiieiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อิพี่เอ๊ย ไปหาหมอซีกที

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่เจ็ด



เขาเคยชวนนิพัทธ์ค้างคืนที่บ้านมาหลายครั้งแล้วแต่นิพัทธ์ก็ปฏิเสธทุกที ต่างไปจากครั้งนี้ที่นิพัทธ์ยอมตอบตกลง เขาถามถึงเหตุผลอย่างอดสงสัยไม่ได้ นิพัทธ์ทำเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบ บ้านสองชั้นของพิรัลไม่ได้วิเศษเลิศเลอใหญ่โตไปกว่าใคร มันเป็นเพียงบ้านสองชั้นที่มีรูปทรงทั่วไปตามหมู่บ้านจัดสรร แต่มีพื้นที่ใช้สอยรอบรั้วกว้างขวางอยู่สักหน่อย คืนนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านเพราะไปเที่ยวต่างจังหวัดหลายวัน ภายในบ้านที่เรียบง่ายหลังนั้นจึงมีเพียงแค่พิรัลกับนิพัทธ์อยู่กันสองคน

ตอนที่นิพัทธ์เข้ามาในห้องของพิรัล เขาปรี่ตรงไปยังกีต้าร์โปร่งซึ่งพิงอยู่ตรงมุมห้อง พิรัลเปิดแอร์ก่อนจะหายตัวเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้แขกคนพิเศษนั่งไล่คอร์ดกีต้าร์เล่น ออกมาอีกทีก็เห็นนิพัทธ์ยังคงคลำเล่นเพลงอะไรสักเพลงไม่ปะติดปะต่อกัน เขาบอกให้นิพัทธ์ไปอาบน้ำและหยิบจับกีต้าร์ตัวสีน้ำตาลแบบทั่วๆไปมาเล่นบ้าง ที่จริงแล้วช่วงหลังนี้เขาไม่ค่อยได้หยิบกีต้าร์มาเล่นบ่อยนักเพราะงานที่ทำอยู่พรากเวลาไปจนเกือบหมด จากที่เคยเล่นบ่อยครั้งความถี่ก็ลดน้อยลงจนนึกถึงอีกทีก็ได้เล่นเฉพาะช่วงไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนบ้าง

นึกถึงสมัยที่กีต้าร์ตัวนี้อยู่ไม่ห่างมือก็คงจะเป็นช่วงตั้งวงดนตรีกับเพื่อนสมัยเรียนชั้นมัธยม ช่วงนั้นเพลงฮาร์ดคอร์ต่างๆ หรือง่ายๆก็คือเพลงร็อคกำลังเฟื่องฟูจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้พิรัลเล่นดนตรีหนักหนาพอควร เขาชอบดนตรี ทั้งฟัง ทั้งเล่นเองแต่งเพลงเองบ้างในช่วงนั้น แต่วงดนตรีไปไม่รอดเพราะสมาชิกต่างต้องให้เวลากับการสอบเข้ามหาวิทยาลับมากกว่า วงดนตรีของพิรัลเกือบจะถูกก่อตั้งขึ้น แล้วก็หายสลายไปทั้งที่ยังไม่มีชื่อวงเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเล่นกีต้าร์มาเรื่อยๆเป็นงานอดิเรก

ในตอนที่พิรัลกำลังลองเล่นพลางดูคอร์ดไปด้วยอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำและขอกีต้าร์ไปเล่น นิพัทธ์พึมพำร้องออกมาเป็นเพลงท่อนหนึ่ง เสียงของเขางึมงำอยู่ในลำคอฟังไม่ได้ความ บานประตูในห้องนอนที่เชื่อมกับระเบียงเปิดอ้า พิรัลออกไปยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นขณะที่หันหน้าเข้ามาในห้องเพื่อมองดูเด็กหนุ่มตัวขาวเกลากีต้าร์อย่างสุขใจอยู่พักใหญ่ เสียงกีต้าร์เริ่มกลายเป็นท่วงทำนองขึ้นบ้างแล้ว นิพัทธ์เงยหน้าขึ้นมามองชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหลบสายตาไป ท่าทีดูขัดเขินอยู่ไม่น้อย

บุหรี่ที่สูบอยู่ถูกขยี้ลงในที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งวางอยู่บนขอบเหล็ก พิรัลเดินเข้ามาในห้องและนั่งลงบนเตียงฝั่งที่คุ้นชินโดยไม่ลืมฉุดรั้งแขนของอีกฝ่ายให้เข้ามานั่งอยู่ตรงหว่างขา แล้วกอดซบวางใบหน้าลงบนไหล่ เขามองนิพัทธ์เริ่มดีดกีต้าร์อีกครั้งและร้องเพลงร่วมด้วย พิรัลนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันทั้งที่ก่อนหน้านี้นิพัทธ์บอกเองว่าไม่ค่อยรู้เรื่องเพลงแต่กลับร้องและเล่นดนตรีได้เสียอย่างนั้น มันทำให้พิรัลฉุกคิดว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้

เพลงที่นิพัทธ์ร้องคือเพลง If it mean a lot to you ของ A day to remember มันเป็นเพลงที่ค่อนข้างดังในยุคสมัยเพลงอีโมเฟื่องฟูจริงๆ ตัวพิรัลเองก็ร้องและเล่นกีต้าร์ได้เมื่อได้เห็นฝีมือของนิพัทธ์ก็คิดว่าเด็กคนนี้น่าฟอร์มวงได้เลยทีเดียว หลังจากร้องจบไปท่อนหนึ่งนิพัทธ์ก็หยุดและหันมามองชายหนุ่มที่กอดตัวเองอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มยิ้มขยับเข้าไปจูบที่สันกรามอย่างรักใคร่

“เล่นดีนี่ ไหนบอกไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรี”

นิพัทธ์หัวเราะนิดหน่อยก่อนจะเด้งตัวออกหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย “เล่นให้ผมฟังมั่งสิครับ”

พิรัลรับกีต้าร์มาก่อนจะยิ้มกริ่ม “นี่จะลองเชิงผมใช่มั้ย” เขาเอ่ยขณะที่ปรับสายอีกนิดหน่อย

“ผมแสดงฝีมือแล้วจะเรียกว่าลองเชิงพี่เจตน์ไม่ได้หรอก” นิพัทธ์กล่าวแล้วขยับนั่งขัดขาเท้าแขนมองด้วยสายตาท้าทาย

“โห แล้วงี้ผมจะกล้าเล่นมั้ยเนี่ย” พิรัลยิ้มเขิน เขาเองก็ไม่ได้เล่นกีต้าร์จริงจังมานานจึงต้องใช้เวลารำลึกคอร์ดอยู่บ้าง แต่พอเมื่อจับจุดได้ก็เริ่มบรรเลงเพลงที่คาดว่าน่าจะเป็นเพลงโปรดของอีกฝ่าย

เพลงที่เขาเล่นคือเพลง High & Dry ของ Radiohead มันเป็นแบนด์คลาสสิคสำหรับพิรัลในการหยิบจับมาเล่นเขาจึงค่อนข้างมีความมั่นใจอยู่บ้าง ในตอนแรกเขาไม่คิดจะร้องเนื้อเพลงด้วยแต่ไปๆมาๆก็แอบคลอเบาๆไปตามอารมณ์ เขาเหลือบมองอีกฝ่าย นิพัทธ์กำลังอมยิ้ม ใบหน้าแสดงออกว่าชื่นชอบ เมื่อถูกมองนานเข้าก็รู้สึกเขิน เขาจึงหยุดเล่นเมื่อจบเพลงท่อนแรก

นิพัทธ์ยิ้มมองพิรัลไม่วางตา เขาเคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูดว่าผู้ชายที่เล่นดนตรีจะมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ไม่เคยเล่นดนตรีเพื่อให้ดูเท่หรืออะไร เล่นเพราะชอบ เล่นเพราะมันไม่เงียบเหงาเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนก็เท่านั้น แต่ตอนนี้เห็นทีคงจะคล้อยตามความคิดเหล่านั้นอยู่บ้าง พิรัลดูเท่ไม่หยอก มันทำให้เขารู้สึกภูมิอกภูมิใจที่มีคนรักเท่ขนาดนี้

พิรัลก้มหน้าลงมองคอร์ดอีกครั้ง แล้วเริ่มเล่นเพลงใหม่ เป็นเพลงที่ยากขึ้นแต่เป็นเพลงในตำนานของ Eagles อย่าง Hotel California นิพัทธ์ส่งเสียงร้องแซวพอเป็นพิธี

พิรัลเขินอาย แต่เมื่อได้กลับมาเล่นกีต้าร์จริงจังเหมือนครั้งสมัยเรียนเขาเองก็รู้สึกคึกคักราวกับร่างอวตารศิลปินเข้าสิง จะว่าเข้าสิงก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวเพราะเขาชอบเล่นดนตรีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัยโลกของผู้ใหญ่กลับผลักไสให้นึกถึงการทำเงินเลี้ยงชีพมากกว่าความเพ้อฝัน พิรัลเข้าใจข้อเท็จจริงนั้นดีและไม่อาจโทษใครได้เลย เป็นโชคดีของเขาเสียอีกที่เลือกเรียนสิ่งที่ชอบเป็นอันดับสองเพราะตัวเขาเองยังไม่แน่ใจเลยว่าฝีมือการเล่นดนตรีของตัวเองจะเก่งกาจมากพอจนสามารถนำไปประกอบอาชีพได้หรือเปล่า

เพลง Hotel California นั้นเล่นยากและพิรัลเองก็ไม่ได้เล่นดีอะไรนักหนาด้วย แต่นิพัทธ์กลับชื่นชมออกมาทางสายตาแม้ปากจะเอ่ยแซวว่าเขาอวด พิรัลยักคิ้วกวนอารมณ์ขณะที่นิ้วไล่จับคอร์ดไปตามเรื่องตามราว เขาจำคอร์ดเพลงหลายเพลงได้โดยไม่ต้องเปิดดู แต่อาจจะมีเล่นเพี้ยนบ้าง เสียงแบนบ้าง เพราะขาดการฝึกฝนไปนาน คิดว่าหลังจากนี้คงจะหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นบ่อยกว่าเดิมเสียแล้ว

“พี่เจตน์เล่นดนตรีชิ้นอื่นอีกมั้ยครับ” นิพัทธ์ถามหลังจากเพลง Hotel California ท่อนแรกจบลง เขายื่นมือรับกีต้าร์แล้วลองไล่คอร์ดดูบ้าง

“ตีกลองก็พอได้อยู่”

“แล้วเปียโนได้มั้ย”

“เคยลองเรียนแล้วผมไม่ชอบเท่าไหร่”

“ไว้มีโอกาสผมจะเล่นเปียโนให้ฟัง ผมถนัดมากกว่ากีต้าร์” นิพัทธ์กล่าวแต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เครื่องดนตรีในอ้อมแขน “ผมเป่าแซ็กโซโฟนด้วยนะ ถ้าผมกลับบ้านผมจะไปเอาแซ็กโซโฟนมาเป่าให้พี่เจตน์ฟังนะครับ”

พิรัลรู้สึกหูพึ่งนิดหน่อยเมื่อได้ยินนิพัทธ์พูดถึงบ้าน เขาอยากรู้เรื่องราวครอบครัวของนิพัทธ์บ้าง แต่จากที่เคยเลียบเคียงถามถึงครอบครัวอีกฝ่ายกลับเฉไฉไม่ยอมตอบ ครั้งนี้พิรัลจึงเก็บความอยากรู้เอาไว้

“And I don’t want the world to see me…”

นิพัทธ์เริ่มต้นเพลงใหม่ขึ้นอีกในท่อน Chorus ดวงตาของเขาจดจ้องมาที่พิรัลราวกับสื่อความหมายบางอย่าง

“‘Cause I don’t think that they’d understand
When everything’s meant to be broken
I just want you to know who I am…”

เด็กหนุ่มถือกีต้าร์ไว้เช่นนั้นเมื่อร้องจบท่อนคอรัส พวกเขามองตากันและเงียบกันไปพักใหญ่ก่อนที่นิพัทธ์จะเผยอปากเริ่มต้นบทสนทนา

“พ่อผมชอบเล่นกีต้าร์เหมือนพี่เจตน์ ไว้ผมจะพาไปดวลฝีมือด้วย”

“ได้สิ” พิรัลตอบรับเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่าย พยายามไม่ถามอะไรเป็นการกดดัน เขารู้สึกได้ว่าครอบครัวของนิพัทธ์คงจะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะพูดออกมา

“ผมรักพี่เจตน์นะครับ” ดวงตาที่จ้องมองนั้นดูจริงจังจนพิรัลจุกปรี่อยู่ในลำคอ เขารักนิพัทธ์อย่างไม่ต้องกังขาแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงบอกรักกลับไปบ้างได้ยากเย็น

“อืม” พิรัลตอบรับเพียงแค่นั้นแล้วจับประคองใบหน้าของนิพัทธ์ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ลูบไล้เบาๆที่พวงแก้มด้วยความเอ็นดู

บางทีที่ยังไม่กล้าพูดคำว่ารักออกไปอาจเป็นเพราะเขาไม่ยังไม่แน่ใจว่านิพัทธ์รักเขาจริงหรือเปล่า



นิพัทธ์งัวเงียเป็นที่สุดเพราะตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง บ้านของพิรัลอยู่ชานเมืองจึงต้องออกแต่เช้าเพื่อให้ทันเวลาเข้างาน แม้ว่าที่บริษัทจะไม่เคร่งครัดเวลาเข้างานอะไรมาก แต่พิรัลก็ต้องไปให้ถึงลานจอดรถของรถไฟฟ้าก่อนเจ็ดโมง เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีที่จอด ชีวิตในกรุงเทพ ชีวิตดีดีที่ลงตัวมันไม่มีอยู่จริงเลยสักนิด

พิรัลบอกให้เขานอนไปโดยไม่ต้องเกรงใจ ไม่มีความจำเป็นจะต้องถ่างตานั่งอยู่เป็นเพื่อน พอได้ยินเช่นนั้นถึงจะสบายใจอยู่บ้างแต่นิพัทธ์ก็หลับๆตื่นๆไปตลอดทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงลานจอดรถ เมื่อได้ที่จอดสมใจก็เปิดแง้มกระจกและงีบหลับไปต่ออีกนิดหน่อย นิพัทธ์เพิ่งรู้ว่าพิรัลทำแบบนี้ทุกวันในการทำงาน เหนื่อยกับการเดินทางมากกว่าทำงานเสียอีก เขารู้สึกโชคดีที่มีห้องพักซึ่งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า

“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปค้างบ้านพี่เจตน์นะ แต่ผมไม่อยากตื่นเช้ามาทำงานแบบนี้บ่อยๆอะ ผมง่วง”

พิรัลหัวเราะพรืดแต่เช้าเมื่ออยู่ๆขณะที่โดยสารรถไฟฟ้าเพื่อไปทำงานนิพัทธ์ก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูขาดความมั่นใจนิดหน่อย ซึ่งตรงนี้พิรัลคิดว่าเด็กหนุ่มคงจะเกรงใจกับการพูดอย่างตรงไปตรงมา

“พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะ”

“โกรธเรื่องอะไรครับ”

“ถ้าชวนผมไปค้างที่บ้านวันทำงานแล้วผมปฏิเสธน่ะ”

พิรัลยิ้มเอ็นดู นึกอยากลูบศีรษะเด็กหนุ่มตรงหน้านี้เหลือเกิน แต่เวลาแปดโมงเช้าแบบนี้คนโดยสารอยู่ในรถไฟฟ้าแน่นขนัดคงจะไม่เหมาะหากจะแสดงออกอะไรมากมาย ทั้งๆที่ความจริงพิรัลสามารถกระทำดั่งใจต้องการได้ เขาไม่อายสายตาของใครเพราะสิ่งที่อยากทำมันไม่ได้สร้างความเสียหายหรือละเมิดสิทธิของใครเลย แต่เขากังวลถึงตัวของนิพัทธ์มากกว่า คิดไปต่างๆนานาว่าหากเมื่อได้สัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันตามประสาคู่รักนิพัทธ์จะอับอาย

ขณะที่คิดอะไรมากมายอยู่ในสมองตอนนั้นอยู่ๆมือของเขารู้สึกถึงไออุ่นจากฝ่ามือของใครบางคน เป็นนิพัทธ์ที่จับมือกับเขาและซ่อนมันไว้ที่ด้านหลัง ส่วนที่ยืนอยู่ในรถไฟฟ้าเป็นช่วงรอยต่อของขบวนเพราะฉะนั้นมันจึงค่อนข้างมืด อีกทั้งคนแน่นมากจนแทบไม่มีช่องว่าง พิรัลจึงวางใจให้เด็กหนุ่มจับต่อไปเช่นนั้น แต่เมื่อคิดอีกทีเป็นเขาหรือเปล่าที่ไม่กล้ามากพอสำหรับการเปิดเผยสิ่งนี้ เป็นเขาหรือเปล่าที่กังวลสายตาของคนอื่นมากเกินไป

สำหรับนิพัทธ์ไม่อายเลยที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองชอบเพศเดียวกัน เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขารู้จักการแสดงออกอย่างเหมาะสม เขาพอรู้อยู่บ้างว่าพิรัลเป็นคนละเอียดอ่อนคิดอะไรเยอะแยะไปหมด ตัวเขานั้นตรงกันข้ามหากไม่ได้กระทำอะไรผิดก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสายตาของใคร เขาคิดอยากพูดเรื่องนี้กับพิรัลแต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้สักที

ชายหนุ่มลองขยับมือออกมาปล่อยไว้ด้านข้างลำตัวแต่ยังคงจับกระชับมือของนิพัทธ์ไว้ เด็กหนุ่มกลั้นยิ้มและมองสบตากับคนอายุมากกว่า อย่างน้อยก็ขอให้ได้กระทำในสิ่งที่ใจต้องการ แม้ว่าเมื่ออยู่ในออฟฟิศจะแสดงอะไรออกไปไม่ได้ แต่นอกเหนือจากนั้นพิรัลก็อยากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามที่หัวใจปรารถนา

นิพัทธ์เคยคิดไว้แล้วว่าพิรัลที่อยู่ในออฟฟิศดูดุดันกว่าปกติ สิ่งนั้นสามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์บางอย่างในตัวนิพัทธ์ได้และมันกำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่เชิงว่าพอเห็นพิรัลดุก็จะแข็งอะไรทำนองนั้นหรอก แต่มันพอจะทำให้นิพัทธ์นึกถึงช่วงเวลาบนเตียง พิรัลอ่อนโยนกับเรื่องนั้นมากที่สุดเท่าที่เจอมา เขารู้สึกเหมือนได้รักและถูกรักในเวลาเดียวกัน พิรัลทำให้เขารู้ว่าเซ็กส์ที่มาพร้อมกับความรู้สึกทางจิตใจนั้นอิ่มเอมความสุขมากขนาดไหน พอคิดเช่นนั้นจึงรู้สึกต้องการขึ้นมาเสียอย่างนั้น

พิรัลดูหัวเสียหลังจากออกมาจากห้องประชุม พอออกมาเจองานซ่อมเครื่องที่เวนเดอทำได้ไม่ดีและต้องส่งซ่อมใหม่เป็นครั้งที่สามก็โทรออกหาเวนเดอเจ้านั้นทันที เกิดการปะทะฝีปากขึ้นนิดหน่อย คิ้วของพิรัลขมวดดูตึงเครียด เขานั่งเขย่าขาสลับกับใช้นิ้วเคาะโต๊ะไปมา ตอนเที่ยงวันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ หญิงกับโอมส่งสายตาชวนนิพัทธ์ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่เขาบอกหญิงว่ายังไม่หิวและต้องการทำงานต่อทั้งสองคนจึงเดินออกไป เหลือเพียงเขากับพิรัลในคอก

จากที่ฟังพิรัลพูดนั้นดูท่าจะจบลงได้ไม่ดีเท่าไหร่ ใบหน้าดูเคร่งครึมไม่จางหายแม้แต่ตอนวางโทรศัพท์ไปแล้ว

“แม่ง พูดไม่รู้เรื่อง ซ่อมไม่ได้ยังจะมาเก็บเงินอีก”

นิพัทธ์ฟังแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงแค่แตะเบาๆที่หลังมือของอีกฝ่ายแล้วก็ชักมือกลับมาที่เดิม ป้องกันไว้ไม่ให้คนอื่นเห็น เห็นเช่นนั้นพิรัลก็ถอนหายใจยาวก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือของเด็กหนุ่มมากอบกุมไว้เอง

“ผมเหนื่อยจังเลยว่ะกานต์” เขาพูดแล้วมองใบหน้าของเด็กหนุ่มราวกับเป็นที่พึ่งพา หากอยู่ด้วยกันตามลำพังนิพัทธ์คงจะกอดแนบแน่นให้กำลังใจ แต่เมื่ออยู่ที่ออฟฟิศพวกเขาต่างก็ต้องสงวนท่าทีจึงกลายเป็นความอัดอั้นสุมอยู่ในใจพอควร

นิพัทธ์ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบาๆที่มือของอีกฝ่าย “เย็นนี้ไปดูหนังกัน ผมเลี้ยง”

พิรัลยิ้มแต่ใบหน้ายังคงดูเหนื่อยล้าจนปิดไม่มิด เขาบีบมือของเด็กหนุ่มแรงๆหนึ่งทีก่อนจะปล่อยมือ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปทำงานที่ค้างไว้ ในคอกที่เคยอยู่กันสองคนกลับมีแขกหน้าใหม่เข้ามาเยือน พิรัลไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจอะไรใดๆเพราะชินกับการถูกทีมอื่นเข้ามาคุยงานด้วยบ่อยครั้ง แต่ผู้ชายที่เห็นตรงนี้กลับไม่คุ้นหน้าอีกทั้งจากบุคลิกท่าทางการแต่งตัวคงจะไม่ใช่พนักงานทั่วไปอย่างแน่นอน

“คุณคงจะเป็นคุณเจตน์… ใช่มั้ยครับ”

“ใช่ครับ” พิรัลตอบพลางยืนขึ้น

ชายคนนั้นยกยิ้มมุมปาก สายตาเบนมาทางด้านหลังที่ซึ่งนิพัทธ์กำลังยืนอยู่ “ว่าไงกานต์ ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง”

เจ้าของชื่อนั่งตัวแข็งทื่อแทบไม่ขยับไหว ใบหน้าที่ปกติขาวอยู่แล้วกลับดูซีดเผือดจนพิรัลสังเกตได้ เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติกับสถานการณ์ตรงหน้านี้แต่ยังไม่ผลีผลามพูดอะไรออกไป “ก็ดีครับ”

“อืม…” เขาตอบแล้วก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สายตาสอดส่ายสำรวจไปทั่วแต่ไม่ได้ใส่ใจนัก “อยู่แต่คอนโด กลับบ้านมั่งสิ แม่เขาคิดถึง”

“ครับ”

ชายหนุ่มผู้มาเยือนอยู่ในชุดสูทเรียบกริบ ทรงผมจัดแต่งมาอย่างดี ตัวหอมฟุ้งจากกลิ่นน้ำหอมสไตล์ผู้ชาย เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านิพัทธ์และค้อมตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะจ้องมอง ใบหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้มมุมปาก “อาก็คิดถึงหลานเหมือนกัน”

พิรัลได้ยินประโยคท้ายแม้ว่าจะเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา แต่เขารับรู้ได้ว่ามันเป็นการกระซิบกระซาบที่ตั้งใจให้ได้ยินกันทั้งหมด ชายในชุดสูทหันกลับมาส่งยิ้มให้พิรัล มันเป็นรอยยิ้มการค้าและพิรัลรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเลยสักนิด

“คุณเจตน์ ถ้าหลานผมทำงานไม่ดีตำหนิได้เลยนะครับ”

“ครับ” พิรัลรับคำส่งๆไปเช่นนั้นแต่ในสมองกำลังพรั่งพรูด้วยด้วยคำถามต่างๆมากมาย ส่วนของคำว่า ‘หลาน’ กำลังวนเวียนเด่นชัดมากที่สุด

“อ้าว คุณกรณ์ มาแอบส่องห้องหวานเหรอคะ”

“คุณหวาน ห้องรกแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ” เขาถามเสียงกลั้วหัวเราะไม่ได้ดูจริงจังอะไรมากนัก

“ค่ะ ถ้าจะมาดูก็บอกล่วงหน้าก่อนสิคะ หวานจะได้บอกให้น้องในทีมเอาผักชีโรยไว้” หัวหน้าของพิรัลกับนิพัทธ์หัวเราะกับชายหนุ่มในชุดสูทเรียบกริบ

“ผมไม่บอกหรอกครับ ห้องรกๆสิดี แสดงว่าน้องๆทำงานกันจริง” คนที่ชื่อกรณ์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี ท่าทางดูต่างไปจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง แต่ดวงตาของเขาที่จับจ้องมายังพิรัลและนิพัทธ์ยังคงดูไม่น่าไว้วางใจ “อ้อ คุณหวานครับ ขอบคุณที่รับหลานผมเข้ามาทำงานนะครับ มีอะไรตำหนิหลานผมได้เลยครับ ว่ากันไปตามเนื้องาน”

“น้องกานต์ทำงานดีมากค่ะคุณกรณ์ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ เอ้อ คุณกรณ์คะ นี่เจตน์ค่ะกำลังจะมาเป็นมือขวาของหวานเต็มตัวแล้ว เจตน์นี่คุณกรณ์เจ้านายคุณซูเชง”

“สวัสดีครับคุณกรณ์” พิรัลยกมือไหว้ ส่วนอีกฝ่ายก็รับไหว้ไปตามเรื่องตามราว ในใจของเขากำลังกู่ร้องเต็มไปด้วยคำถามล้านแปด
หากหวานบอกว่าเป็นเจ้านายคุณซูเชงนั่นหมายความว่าคนที่ชื่อกรณ์เป็นอีกหนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทที่เขาทำงานอยู่นี้ แม้จะยังไม่รู้ลึกตื้นหนาบางอะไรมากนัก แต่แผนผังองค์กรล่าสุดเขาจำได้ว่าซูเชงชาวอเมริกันเชื้อชาติสิงคโปร์เป็นผู้บริหารสูงสุดร่วมกับคนไทยที่เขาจำชื่อไม่ได้ แต่ที่จำซูเชงได้เพราะมีบทบาทในองค์กรเป็นอย่างมาก และหากหัวหน้าของเขาบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นเจ้านายซูเชงตำแหน่งก็ต้องสูงกว่า

“เจ้านายคุณซูเชงอะไรกันคุณหวาน เราเป็นพาร์ทเนอร์กันต่างหาก”

พาร์ทเนอร์ในวงการธุรกิจคือคำสวยหรูของการรวมกิจการของสองบริษัท แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์แต่ต้องมีฝ่ายหนึ่งได้ผลประโยชน์มากกว่าอยู่แล้วและคงจะเป็นทางบริษัทของคนที่ชื่อกรณ์อย่างแน่นอน

แผนผังองค์กรฉบับล่าสุดยังไม่ประกาศเลยด้วยซ้ำ เขาคิดว่างานทาวน์ฮอลของบริษัทในรอบหน้าจะต้องประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่เรื่องเหล่านั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับระดับหัวหน้าอย่างเขามากนัก และถึงแม้ในอนาคตจะได้ทำแหน่งสูงขึ้นแทนตำแหน่งตั้มก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีส่วนแสดงความคิดเห็นกับแนวทางของบริษัทเลย หน้าที่ของเขายังคงได้รับคำสั่งลงมาจากทางหวานและบริหารงานต่อกับน้องในทีม สิ่งที่เขาสนใจและเป็นเพียงความสนใจเดียวในเวลานี้คือความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ชื่อกรณ์กับนิพัทธ์

ตลอดบ่ายวันนั้นนิพัทธ์เงียบกริบและหมกมุ่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานจนพิรัลรู้สึกได้ว่าผิดปกติ เขาอยากถามหลายสิ่งหลายอย่างแต่จากที่เห็นเขาคิดว่านิพัทธ์ยังคงไม่พร้อมพูดถึง ในตอนเย็นหลังเลิกงานพิรัลซื้อขนมจีบจากร้านสะดวกซื้อมาให้เด็กหนุ่มเพราะเจ้าตัวยังไม่ได้กินมื้อกลางวัน ถึงจะสงสัยอะไรมากมายแต่เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คงไม่สู้ดีและนึกเป็นห่วงนิพัทธ์จากใจจริง นิพัทธ์หันมาขอบคุณก่อนจะหยิบขนมจีบไปกินอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายมอบรอยยิ้มเป็นกำลังใจให้แม้ว่าจะยังไม่รู้อะไรเลยก็ตามที

“กานต์จะมาค้างที่บ้านผมมั้ย”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยขณะที่ปากยังเคี้ยวขนมจีบไม่หยุด

“ผมบอกตามตรงผมเป็นห่วงกานต์”

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ”

เจ็บปวดในใจอยู่ไม่น้อยกับประโยคที่ได้ยิน เขารู้ว่านิพัทธ์ดูแลตัวเองได้แต่ความหมายจริงๆก็คือเขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนนิพัทธ์และไม่อยากให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวก็เท่านั้น

“งั้นผมไปค้างห้องกานต์นะ”

“อยู่ทำโอทีกันเหรอครับ”

เสียงจากผู้มาเยือนดังขึ้นอยู่ที่ประตูห้อง พิรัลคุ้นเสียงของคนคนนี้แล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“คุณกรณ์ยังไม่กลับเหรอครับ” พิรัลเอ่ยทักด้วยเพราะเป็นผู้น้อยกว่า อย่างไรก็ตามที่นี่ยังคงเป็นสังคมทำงาน

“ผมคุยงานอยู่กับคุณอัลฟี่เพิ่งเสร็จครับ กำลังจะกลับเลยแวะมารับกานต์ด้วย” ท้ายประโยคเขามองข้ามไหล่พิรัลไปยังเด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังก่อนจะหันกลับมามองพิรัล “งานเยอะมากมั้ยครับ ไว้ทำพรุ่งนี้ได้มั้ย”

พิรัลรู้ว่าความหมายแฝงของประโยคนั้นคืออะไร คนที่ชื่อกรณ์กำลังบอกกลายๆว่าจะพานิพัทธ์กลับไปด้วยไม่ว่างานจะเยอะหรือไม่เยอะก็ตาม “เยอะครับ อีกสองวันจะต้องติดตั้งเครื่องให้ร้าน ผมเลยให้กานต์ลองทยอยลงโปรแกรมก่อนเพราะน้องยังช้าเรื่องนี้อยู่”

เมื่อเอาเรื่องงานมาอ้างกรณ์ก็ไม่อาจโต้แย้งได้ เขาพยักหน้ารับใบหน้ามีรอยยิ้มบางเบาแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม “ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนนะ” กรณ์กล่าวกับพิรัลก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลัง “กานต์…” เขาเอ่ยเรียกทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตา “แล้วอาจะโทรหา”

นิพัทธ์จ้องมองแต่ไม่ได้ตอบรับจนกระทั่งคนที่ชื่อกรณ์เดินออกไปเด็กหนุ่มจึงได้สติขยับตัว สิ่งที่เหนือความคาดหมายตามมาหลังจากนั้นเมื่อนิพัทธ์เดินเข้ามากอดพิรัลไว้อย่างแนบแน่น

“พี่เจตน์ ผมรักพี่เจตน์นะครับ”

นี่อาจจะเป็นคำบอกรักที่ฟังดูเศร้าโศกที่สุดเท่าที่พิรัลเคยพบเห็น



************************************




 :a5:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คุณกรณ์อะไรนี่ดูไม่น่าไว้ใจเลย
ตัวสร้างปัญหาแน่ๆ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
น้องกานต์ดูกลัวคุณกรณ์นะ​ ดูไม่อยากคุยด้วย
หรือกรณ์เคยทำอะไรน้องไว้​ ฮืออ​ คิดแล้วเครียด

พี่เจตตตตต​ต​ พี่ต้องดูแลตัวเองกว่านี้​ กินยาด้วย
ไม่อยากตายแต่ก็ไม่กินยา​ ไม่อยากอยู่กับน้องหรอ

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่แปด




นิพัทธ์รับผิดชอบงานได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องนี้พิรัลต้องขอชื่นชมเพราะถึงแม้จะมีเรื่องส่วนตัวที่ทำให้ไม่สบายแต่การออนไซต์ติดตั้งเครื่องให้ลูกค้ายังคงเป็นไปตามแผนอย่างสมบูรณ์แบบ

คืนวันศุกร์นั้นหลังจากออนไซต์เสร็จรถตู้ของบริษัททำหน้าที่มาส่งเด็กหนุ่มยังที่พัก พิรัลติดงานอยู่อีกที่หนึ่งพอเสร็จสิ้นงานก็ตรงดิ่งมาที่คอนโดของนิพัทธ์ทันที ตัวเขาเองก็ออนไซต์ลูกค้ามาตั้งแต่เช้าเพราะเป็นโปรเจคใหม่ที่เพิ่งดีลงานกันได้ นอกจากพิรัลจำเป็นจะต้องคอยควบคุมงานเขายังต้องปะทะฝีปากกับพวกเวนเดอเจ้าอื่นที่เป็นพวกก่อสร้าง ไหนจะพวกช่างไฟที่ทำงานไว้ไม่เรียบร้อยทำให้เขาต้องทำงานลำบาก รับมือกับลูกค้าเจ้ากี้เจ้าการอีก

วันนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่เหนื่อยหนักสำหรับพิรัลเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องงานมันไม่หนักหนาสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับอาการแน่นหน้าอกที่เป็นอยู่ตอนนี้ พิรัลสังเกตว่าตัวเองแน่นหน้าอกบ่อยขึ้นและหายช้าลงกว่าเดิม เขาสรุปเอาเองว่าที่เป็นแบบนี้เพราะโหมทำงานหนักแต่เมื่อได้พักผ่อนก็จะดีขึ้น อย่างน้อยแค่ได้เห็นหน้าของนิพัทธ์คงจะพอทำให้ทุเลาลงได้บ้าง เขาหัวเราะกับความคิดหลังเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน ความจริงที่เผชิญอยู่นี้ต่างหากคือเรื่องจริง เขาแน่นหน้าอกเหมือนมีหินมาทับ หายใจเหมือนไม่เต็มปอด ร้อน และเหงื่อแตก เขาตระหนักได้ว่าใบหน้าของนิพัทธ์ในเวลานี้ก็ไม่อาจช่วยให้หายได้

ดวงตาของเขาปิดลง เอนหลังพิงเบาะหนังสีน้ำตาลอ่อน มือสั่นเทาแต่ไม่แน่ใจนักว่าเพราะผลข้างเคียงจากอาการที่กำเริบหรือเพราะความกลัว ในสมองค่อนข้างมืดทึบคิดอะไรไม่ออก แต่เขารู้ตัวดีว่าในเวลานี้กำลังนึกถึงครอบครัวของตัวเองและนึกถึงนิพัทธ์

พิรัลยังไม่อยากตายแต่กลับไม่กินยารักษาตัวเอง มันเป็นความคิดขัดแย้งที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจ หน้าอกของเขาสะท้อนขึ้นลง ริมฝีปากเผยออ้าเพื่อหายใจ อาการแย่ลงจนคิดว่าอาจจะต้องโทรหานิพัทธ์ที่อยู่ชั้นบนของคอนโดแห่งนี้ แต่เพียงแค่จะเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือเขาแทบจะไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ

ในเวลาไม่กี่นาทีนั้นเขารู้สึกชั่วกัปชั่วกัลป์ สิบกว่านาทีบนโลกแต่เขารู้สึกเหมือนเป็นสิบกว่านาทีบนดาวพุธ สิบกว่านาทีที่โดดเดี่ยวเหมือนล่องลอยอยู่บนเวิ้งสีดำ มันสุดลูกหูลูกตา ดำมืดรัตติกาล อาการแน่นหน้าอกยังไม่หายใจแต่กลับชินชาประหนึ่งเป็นอีกความรู้สึกที่ผูกติดกันมานาน

ที่ตรงนั้นเรืองแสงเป็นจุดเล็กจิ๋ว เขาเพ่งมองมัน พยายามแหวกว่ายตัวเองเข้าไปหาแต่ยาวนานเหลือเกิน เขาอาจจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ อาจอยู่ที่ไหนสักแห่งซึ่งกาลเวลายืดยาว แสงสว่างจุดเล็กจิ๋วนั่นจางหายไปแล้วก่อนที่พิรัลจะหายใจเฮือกใหญ่และดวงตาเบิกกว้าง เขายังอยู่ในรถของตัวเองใต้คอนโดของนิพัทธ์ โทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่ข้างกายสั่นเทา หน้าจอสว่างขึ้นปรากฏชื่อของคนที่โทรมา

“แม่”

“เจตน์ คิดถึงจังเลยลูก พรุ่งนี้กลับมากินข้าวที่บ้านบ้างสิ”

“ได้ครับ”

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่ จะนอนแล้วหรือยัง”

พิรัลเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหัวเราะในลำคอ “แม่ นี่สี่ทุ่มกว่าเอง เจตน์เพิ่งเลิกงาน”

“งานเยอะเหรอลูก แม่เป็นห่วงนะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก นี่เจตน์ถึงห้องกานต์แล้ว”

คนในสายเงียบไปครู่หนึ่ง พิรัลได้ยินเสียงลมหายใจผ่านทางเครื่องมือสื่อสาร หัวใจของเขาสงบสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยินเสียงลมหายใจของแม่ “พาเพื่อนมาด้วยสิลูก วันพรุ่งนี้น่ะ”

เป็นพิรัลที่เงียบลง สมองครุ่นคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ “แม่”

“ว่าไงลูก”

“เจตน์อยากกินไข่น้ำ แม่ทำให้เจตน์หน่อยนะ”

แม่ส่งเสียงหัวเราะ เขาได้ยินเสียงพ่อเล็ดลอดผ่านเข้ามาแต่ฟังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ “เดี๋ยวแม่ทำไข่น้ำให้ พ่อเค้าฝากบอกว่าเพิ่งซื้อเนื้อวัวมาจากซุปเปอร์มาเก็ตเค้าจะทำเนื้อผัดน้ำมันหอยให้นะ”

พิรัลยิ้มปริ่มอาหารโปรดของเขาทั้งนั้น “เจตน์คงไปถึงสายหน่อย สักสิบโมงคงถึงบ้าน”

“จะมากี่โมงก็มา กว่ากับข้าวจะเสร็จก็สายๆนั่นแหละ พาเพื่อนมาด้วยนะลูก”

ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่แม่พูดชวนถึง ‘เพื่อน’ อีก เขาตอบรับแต่ก่อนจะวางสายแม่ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายกำชับให้พา ‘เพื่อน’ มาด้วยอีกรอบ พิรัลหัวเราะอารมณ์ดีลืมเลือนอาการจะเป็นจะตายก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น

อาทิตย์นี้เขาเองก็ขลุกอยู่แต่กับนิพัทธ์ แวะไปที่บ้านในต้นอาทิตย์เพื่อเอาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนแล้วก็อาศัยนอนอยู่ที่คอนโดของนิพัทธ์จนถึงวันศุกร์นี้ เขาคิดถึงบ้านเหมือนกัน คิดถึงอาหารรสมือของแม่กับพ่อ คิดถึงกีต้าร์ เขาอยากเล่นมันเพื่อนิพัทธ์อีก

อาหารประมาณหกอย่างจัดวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ผู้ร่วมรับประทานอาหารมื้อนี้นั่งรายล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าวนส่งโถข้าวเวียนรอบโต๊ะพร้อมทั้งรอยยิ้ม อาหารมื้อเช้าแบบสายของครอบครัวพิรัลดูครื้นเครงเพราะสมาชิกครบหน้า ทั้งพ่อแม่ จุ๊บแจง ใหญ่ น้องจ๊ะจ๋า และตัวเขากับนิพัทธ์ หลายชีวิตพบปะสุขสรรค์เพื่อร่วมมื้ออาหารกัน

นิพัทธ์ถูกนั่งขนาบด้วยพี่สาวและแม่ของพิรัล พ่อของพิรัลนั่งอยู่กับจ๊ะจ๋าที่พยายามกินผัดผัก ส่วนเขาเองนั่งอยู่กับเพื่อนสนิทที่เป็นสามีของพี่สาวและชวนพูดคุยกันถึงเรื่องที่ทำงาน

หลังจากข้าวสวยถูกเวียนตักจนครบพวกเขาเริ่มกินอาหารกันอย่างจริงจัง พิรัลไม่ได้สนใจนิพัทธ์มากนักเพราะคุยสนุกปากอยู่กับเพื่อนสนิท จวบจนกระทั่งรู้สึกแรงสะกิดที่ปลายเท้าเขาถึงได้ค่อยๆเหลือบมองมายังฝั่งตรงข้าม นิพัทธ์ลอบส่งสายตาขอความช่วยเหลือ สมองของเขาไวพอที่จะรับรู้ถึงสายตานั้น อีกทั้งยังเห็นว่าจุ๊บแจงพล่ามถามอะไรมากมายก็พอจะเดาได้ว่านิพัทธ์กำลังถูกแม่กับพี่สาวของเขารุมถาม

“กานต์ ช่วยผมยกน้ำหน่อย” พิรัลเอ่ยปากและลุกขึ้นนำก่อน

เด็กหนุ่มกล่าวขอตัวแล้วรีบตามพิรัลเข้าไป เขาเห็นพิรัลยืนรออยู่ในห้องครัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนล้อเลียน

“มีอะไรรึเปล่า”

“พี่เจตน์ ผมถูกคุณน้ากับพี่แจงรุมถามเรื่องของเรา ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี”

พิรัลยิ้มไม่มีท่าทีเดือดร้อน ผิดจากอีกฝ่าย “แล้วกานต์อยากตอบว่ายังไงล่ะ”

“ผมไม่รู้ ที่บ้านของพี่เจตน์รู้เรื่องพี่เจตน์หรือเปล่า”

“ไม่รู้มั้ง”

“โอ้ย งั้นผมก็ไม่รู้แล้วอะ”

เสียงพูดคุยของพวกเขาเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ใบหน้าของนิพัทธ์เต็มไปด้วยความกังวล ส่วนพิรัลยังคงยิ้มอารมณ์ดีเขาโอบรั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาแต่เพียงแค่นั้นนิพัทธ์ก็ขยับห่างพร้อมด้วยสีหน้าที่ดูหวาดระแวง มองแล้วก็ตลกดี

“พี่เจตน์…” เด็กหนุ่มปรามกดเสียงต่ำลงนิดหน่อย

“แม่กับแจงถามอะไร”

“ถามทุกเรื่องเลย ถามเรื่องที่พี่เจตน์มาค้างห้องผมด้วย ผมตอบไม่ถูกเลย”

พิรัลหัวเราะลงคอพลางรั้งอีกฝ่ายเข้ามาและไม่มีท่าทีจะปล่อยเสียด้วย เขาจับมือนิพัทธ์ขึ้นมาจูบ มองสบตา ความมั่นคงที่ฉาบฉายออกมาจากพิรัลทำให้นิพัทธ์รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างอธิบายไม่ถูก “ผมไม่รู้ว่ากานต์คิดยังไงกับครอบครัวของผม แต่ผมรู้ว่าครอบครัวของผมเอ็นดูกานต์นะ”

เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้พิรัลจับมือไว้เช่นนั้นโดยไม่หลีกหนี เขาเองก็ต้องการพึ่งพิงจากผู้ชายคนนี้

“เรื่องที่ผมเป็นแบบนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่รู้หรือเปล่า แต่แจงกับใหญ่รู้” เขาเว้นวรรคไปเพื่อสบมองดวงตาสีเข้มเช่นเดียวกันซึ่งฉายแววครุ่นคิด “ส่วนเรื่องที่เราเป็นอะไรกันนั้นกานต์อยากตอบแบบไหนก็ได้ ผมรับได้หมด” หัวใจของนิพัทธ์สั่นไหวทั้งที่มันไม่ใช่คำพูดสวยหรูราวกับหลุดมาจากวรรณกรรม มันเป็นประโยคเรียบง่ายที่ทำให้อารมณ์ตื่นเต้นสงบลง ผิวแก้มของเขารู้สึกถึงไออุ่นจากฝ่ามือของพิรัล นิ้วโป้งไล้ลูบก่อนจะออกแรงคลึงนิดหน่อยให้รู้สึกดี “อึดอัดหรือเปล่าครับ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าบางเบาแทนคำพูด ไม่ได้อึดอัดอะไรเขาแค่ทำตัวไม่ถูก ตอบไม่ถูก เป็นกังวลไปหมดไม่อยากให้พิรัลมีปัญหากับครอบครัวที่คบหากับเพศเดียวกัน เขาไม่ใช่คนดีอะไรถึงขนาดจะรักใคร่สนใจความรู้สึกของครอบครัวพิรัล ที่เขาสนใจคือความรู้สึกของคนกลางอย่างพิรัลมากกว่า ไม่อยากให้ครอบครัวสุขสันต์ของพิรัลต้องพบเจอปัญหา แต่นิพัทธ์เองก็ไม่สบายใจนักที่ต้องตอบหลบเลี่ยงไปมา เมื่อพิรัลไม่ได้ท้วงห้ามเขาเองก็กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจริงอยู่นี้เหมือนกัน

พวกเขากลับเข้ามายังโต๊ะอาหารอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำเปล่าเย็นเฉียบชวนดับกระหาย นิพัทธ์ตั้งมั่นว่าจะตอบไปตามความจริงอย่างเหมาะสมหากแม่กับแจงถามอีก แต่เพียงแค่เริ่มต้นกินข้าวกันไปได้พักหนึ่งพวกเขาทุกคนต่างต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ๆพ่อของพิรัลเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา

“เจตน์ ลองให้แฟนกินเนื้อผัดน้ำมันหอยหน่อยสิ พ่อว่ามันหวานไป ผัดตอนเช้าลิ้นมันเพี้ยน”

เนื้อวัวผัดน้ำมันหอยคืออาหารจานโปรดของพิรัลและแจง ฝีมือของพ่อผัดอาหารจานนี้ได้อร่อยจริงๆชนิดที่ไม่ได้เข้าข้างเลย และพ่อก็ออกจะตัวลอยนิดๆเวลาได้ยินคนชื่นชมถึงฝีมือของตัวเอง พิรัลได้สติตักเนื้อผัดน้ำมันหอยให้นิพัทธ์ลองชิมดู พ่อของเขาตั้งใจรอฟังความคิดเห็น แจงกับใหญ่ยิ้มกริ่ม แม่เองก็ยิ้มแต่เก็บอาการได้มากกว่า หลานสาวตัวน้อยไม่ได้สนใจพวกเขาเพราะมัวแต่สนใจโทรทัศน์ ส่วนนิพัทธ์หน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือเพราะอะไรเหมือนกัน เด็กหนุ่มชิมเนื้อผัดน้ำมันหอยจานเด็ดของพ่อ เคี้ยวอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เป็นไง” แจงเอ่ยถาม

นิพัทธ์ยิ้มหลังจากกลืนอาหารลงไป “อร่อยครับ แต่หวานไปหน่อย ผมติดกินเค็ม”

“เออ พ่อก็ว่าหวานไป ไว้เดี๋ยวแก้มือใหม่นะ เหยาะน้ำปลาไปก่อนแล้วกัน”

จากนั้นพวกเขาก็กินข้าวกันต่อและพูดคุยด้วยเรื่องทั่วไป แต่สำหรับนิพัทธ์ยังคงถูกแจงซักไซ้ถามจนพิรัลต้องคอยปราม “สรุปแล้วเป็นแฟนกันใช่ม้ะ”

“ไอ้แจงเลิกถามกานต์ได้แล้ว” พิรัลใช้มือชุบน้ำที่ละลายจากแก้วน้ำสะบัดใส่หน้าพี่สาวเป็นการห้ามปราม

แต่ดูเหมือนแจงจะไม่สนใจอะไรนอกจากรอคอยฟังคำตอบจากนิพัทธ์ “ว่าไง” เธอรบเร้าถามอีก

“ก็… ครับ” นิพัทธ์ยินยอม แฟนก็แฟน ปฏิเสธไม่ได้เหมือกัน ปฏิกิริยาจากครอบครัวของพิรัลไม่ถือว่าแย่ออกไปในทิศทางที่ดีด้วยซ้ำเขาจึงพลอยคลายกังวลไปบ้าง ทุกคนดูล้อเลียนกับคู่รักใหม่ ไม่มีใครทำเหมือนนิพัทธ์เป็นตัวประหลาด มันทำให้นิพัทธ์รู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัวของพิรัล ทั้งอบอุ่นและเข้มแข็ง

“โถ่เอ้ย ถามตั้งแต่ตอนแรกก็ไม่ยอมบอก”

“ไอ้แจงพอแล้ว”

“แม่ก็ลองเลียบๆเคียงๆถามแต่ไม่ยอมหลุดปากเลยนะเรา” แม่ของพิรัลหัวเราะยิ้มแย้มสดใส “เอ้า กินไข่น้ำของแม่บ้างสิ จะเหยาะซีอิ๊วขาวเพิ่มก็ได้นะ แม่ทำไม่เค็มมาก” เธอมองคนรักของลูกชายที่กำลังตักไข่น้ำใส่ปาก ดวงตาของเธอมีความเอ็นดู แค่เห็นลูกชายมีความสุขเธอก็พร้อมสุขร่วมไปด้วย คนเป็นแม่อย่างเธอไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว



มื้ออาหารกับครอบครัวของพิรัลแบบพร้อมหน้าพร้อมตาจบลงไป ทางพ่อกับแม่ออกไปข้างนอกกันสองคน ส่วนที่เหลือจึงหมกตัวอยู่ในห้องของพิรัล แจงดูการ์ตูนกับลูกสาวอยู่บนเตียง ส่วนหนุ่มๆทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปที่ชานระเบียงห้อง ส่วนมากเป็นใหญ่ที่เปิดประเด็นเรื่องต่างๆ พิรัลดูท่าจะชอบฟังเงียบๆเสียมากกว่า แต่สำหรับนิพัทธ์ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับรถเก่าเก็บจึงย้ายตัวเองเข้ามาในห้อง

แจงกวักมือเรียกให้นั่งที่ด้านข้างด้วยกันแต่ไม่ได้ชวนคุยอะไรมากเป็นพิเศษนอกจากถามเรื่องอาหารที่พ่อกับแม่ทำ ในตอนแรกนิพัทธ์รู้สึกเกร็งอยู่เหมือนกันเพราะกลัวจะถูกถามเรื่องต่างๆแต่แจงไม่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เธอแค่คุยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับจ๊ะจ๋าให้ฟัง เด็กน้อยที่สนใจการ์ตูนพอนานเข้าก็เริ่มเบื่อเธอหยิบแทปเลตขึ้นมาเปิดและชักชวนนิพัทธ์เล่นด้วย

“พี่กานต์เคยเล่นเกมนี้มั้ยคะ”

นิพัทธ์ส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้เขาจะติดเล่นเกมมากขนาดไหนแต่เกมง่อยๆอย่างแคนดี้ครัชแทบไม่เคยได้แตะเลย สำหรับเขาต้องเป็นเกมประเภทวางแผนตีป้อมอะไรเทือกนั้นมากกว่า

จ๊ะจ๋าไม่ได้ตอบอะไรแต่เธอกลับเอนพิงนั่งตักของเขาราวกับสนิทชิดเชื้อกันมานาน นิพัทธ์อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสนใจแคนดี้ครัชที่จ๊ะจ๋าเริ่มต้นเล่น “นี่แทปเลตของจ๊ะจ๋าเหรอคะ” นิพัทธ์ถาม นึกอยู่ในใจว่าถ้าเป็นลูกของตัวเองจะไม่มีทางปล่อยให้เล่นแบบนี้เลย ถ้าอยากจะติดเล่นเกมก็ขอให้เป็นตอนโตที่รู้เรื่องมากกว่านี้

“ใช่ค่ะ แต่จ๊ะจ๋าเล่นได้แค่วันเสาร์กับวันอาทิตย์ค่ะ”

“อ้อ” เด็กหนุ่มรับคำและเงียบลงไป เขารู้สึกเอ็นดูจ๊ะจ๋าแต่เพราะตัวเองไม่ได้คลุกคลีกับเด็กมากนักจึงไม่รู้ว่าควรชวนเด็กคุยด้วยเรื่องอะไรดี “จ๊ะจ๋าชอบเล่นดนตรีมั้ยคะ”

“ไม่ชอบค่ะ” เธอตอบสั้นๆเพราะให้ความสนใจกับการเล่นเกมมากกว่า นิพัทธ์ไปต่อไม่ถูกจะหันไปคุยกับแจงต่อก็ไมได้อีกเพราะเธอออกไปร่วมสนทนากับน้องชายอยู่ที่ชานระเบียง เงียบกันไปพักหนึ่งแทปเลตที่จ๊ะจ๋าเล่นก็ดับลง เด็กสาวโวยวายนิดหน่อยพอเป็นพิธี แต่เพราะเธอไม่ได้เอาสายชาร์จมาจึงจำต้องหยุดเล่นไปโดยปริยาย “พี่กานต์มีสายชาร์จมั้ยคะ”

“ไม่มีค่ะ”

“โถ่ แย่จัง ไม่มีใครให้จ๋ายืมสายชาร์จเลย”

“ทำไมล่ะคะ”

“คุณแม่ห้ามทุกคนไม่ให้จ๋ายืมสายชาร์จเพราะจ๋าลืมเตรียมมาเองค่ะ”

นิพัทธ์รับคำ มองเห็นหน้าสลดเศร้าของเด็กน้อยที่แสดงอย่างตรงไปตรงมาก็นึกตลกดีอยู่เหมือนกัน เขาชอบจ๊ะจ๋าตรงที่ไม่เป็นเด็กง้องแง้งคงเพราะถูกสั่งสอนมาแบบเข้มงวดให้รับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง ซึ่งเขาเห็นชอบในส่วนนี้มาก ครอบครัวของพิรัลไม่มีใครตามใจจ๊ะจ๋าให้เสียเด็กเลย แต่นิพัทธ์ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นเมื่อแทปเลตเล่นไม่ได้จึงคิดลองชวนเด็กสาวทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน “เล่นกีต้าร์เป็นมั้ยคะ”

“เป็นค่ะ”

“อ้าว นึกว่าไม่ชอบดนตรีซะอีก”

“คุณแม่เคยให้จ๋าเรียนค่ะ จ๋าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่จ๋าเล่นได้นะคะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามปกติ ก่อนจะลุกไปหยิบกีต้าร์ของพิรัลที่พิงอยู่มุมห้องมา กีต้าร์สำหรับผู้ใหญ่ดูเทอะทะไปหน่อยแต่เมื่อจ๊ะจ๋าวางนิ้วตามคอร์ดมันกลับดูคล่องแคล่วในทันที เพลงที่เธอเล่นนั้นเป็นเพลงจังหวะง่ายๆอย่าง ABC song นิพัทธ์ยิ้มเอ็นดูและคิดว่าจ๊ะจ่าน่ารักดี “พี่กานต์เล่นให้จ๋าฟังหน่อยสิ”

นิพัทธ์รับกีต้าร์มาแต่นึกไม่ออกว่าจะเล่นเพลงอะไรให้เด็กฟังดี “จ๋าอยากฟังเพลงอะไรคะ”

“อืม…” เด็กน้อยก็นึกไม่ออกเช่นกัน เธอเอียงศีรษะไปมาสีหน้าครุ่นคิด

“ทำอะไรกันอยู่ เล่นกีต้าร์เหรอ”

ระหว่างที่กำลังขบคิดว่าจะเล่นเพลงอะไรให้จ๊ะจ๋าฟังอยู่นั้น พิรัลก็เดินเข้ามานั่งข้างหลานสาว

“จ๋าจะให้พี่กานต์เล่นกีต้าร์ให้ฟัง แต่นึกไม่ออกว่าจะให้เล่นเพลงอะไรดีค่ะ”

“อ้อ งั้นเอาเพลงนี้แล้วกัน” ชายหนุ่มพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบกีต้าร์จากนิพัทธ์มา เขารำลึกถึงคอร์ดเพลงก่อนจะเริ่มวางนิ้วและบรรเลงเพลงที่คิดไว้ หลานสาวตัวน้อยตั้งอกตั้งใจรอฟังแต่พอคอร์ดแรกถูกเล่นเท่านั้นแหละเธอกลับทำหน้าเบื่อหน่าย นิพัทธ์หลุดหัวเราะลั่น

“Twinkle, twinkle, little star
How I wonder what you are…”

“น้าเจตน์ พอแล้ว จ๋าไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ” เธอโวยวายแต่มีท่าทีเขินอายประกอบไปด้วย

“อ้าว ทำไมล่ะคะ เมื่อก่อนก็ชอบเพลงนี้ไม่ใช่เหรอคะ” พิรัลแสร้งทำหน้างุนงงแต่มือยังคงดีดกีต้าร์ไปตามคอร์ดเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งหลานสาว

“จ๋าอยู่ปอสามแล้วนะคะน้าเจตน์ จ๋าไม่ชอบฟังเพลงเด็กอนุบาลซะหน่อย” ว่าแล้วก็ทำหน้าง้ำหน้างอ

“แล้วจ๋าจะให้น้าเจตน์เล่นเพลงอะไรคะ” นิพัทธ์ที่นั่งขำอยู่เอ่ยถามเด็กน้อย

“ไม่ฟังแล้วค่ะ” เธอลุกขึ้นเดินไปหาพ่อกับแม่ของตัวเองแทน

“น้าเจตน์แกล้งอะไรจ๋าครับ บอกพ่อซิ” ใหญ่ที่ให้ลูกสาวขี่คอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงหัวเราะ

“จ๋าไม่อยากฟังเพลงเด็กอนุบาล แต่น้าเจตน์แกล้งจ๋าค่ะ”

“แกล้งอะไรคะ น้องจ๋าชอบเพลงนี้นี่น้าเจตน์จำได้” ชายหนุ่มลุกขึ้นไปยืนดีดกีต้าร์ข้างๆหลานสาวด้วยเพลงเดิม คราวนี้เธอรีบร้องเรียกให้แม่ช่วย แต่เรื่องกลับตาลปัตรเมื่อคนเป็นแม่หยิบฉวยกีต้าร์มาจากมือพิรัลและเป็นคนเล่นเพลงนั้นเสียเพลง

“คุณแม่จ๋าโตแล้วนะ จ๋าไม่ใช่เด็กอนุบาล” จ๊ะจ๋าโวยวายอีกครั้ง คราวนี้คนเป็นแม่จึงยอมวางมือเพราะกลัวว่าลูกสาวจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 21:56:03 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
จากนั้นครอบครัวสุขสันต์ก็ขอตัวกลับบ้านของตัวเองบ้างเพราะจ๊ะจ๋ามีการบ้านที่ยังทำไม่เสร็จ นิพัทธ์เดินเข้าไปกอดเด็กน้อยเป็นการร่ำลา ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะรู้สึกเอ็นดูจ๊ะจ๋าทั้งที่ตัวเองไม่ชอบเด็กเลยสักนิด พวกเขาสองคนไม่ได้ลงไปส่งจ๊ะจ๋าแต่ยืนโบกไม้โบกมือจากชั้นสองของบ้านขณะที่พ่อแม่ลูกขับรถออกไป พลันหลังจากพ้นระยะสายตาพิรัลจึงเอื้อมไปหยิบกล่องบุหรี่ที่วางอยู่ด้านข้างนิพัทธ์ขึ้นมา

“โอย จะลงแดงแล้ว” พิรัลบ่นพลางจุดไฟแช็คแล้วอัดควันเข้าทันที

“พี่เจตน์ติดบุหรี่มากเลยนะ”

“ก็ประมาณนั้น หลานอยู่สูบไม่ได้”

นิพัทธ์ไม่ได้ตอบรับอะไร เขามองพิรัลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับตัวเข้าไปกอดด้วยนึกอยากรับไออุ่นจากคนรัก

“กับข้าวอร่อยมั้ย”

เด็กหนุ่มตอบรับในลำคอแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อจูบสันกรามของอีกฝ่าย จูบไปตอบไป “อร่อยมาก ผมไม่ได้จะพูดเอาใจนะ น้ำพริกเห็ดก็อร่อย” เขาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากรสบุหรี่ ทั้งๆที่เขาเองก็สูบบุหรี่แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นรสชาติจากปากของพิรัลกลับรู้สึกวาบหวิวในท้องแปลกๆได้ “น้องจ๋าเก่งนะดีดกีต้าร์ได้ด้วย”

“ไอ้แจงบังคับลูกเรียน ตัวมันชอบเองแล้วเอาไปยัดเยียดลูก ดีนะเรียนแค่คอสเดียวก็เลิก จ๋ามันไม่ชอบ”

นิพัทธ์นิ่งเงียบไป เขารู้สึกหลงใหลการมองพิรัลจากมุมนี้อย่างบอกไม่ถูก

“แล้วกานต์รำคาญจ๋ารึป่าว บอกผมได้นะผมรู้ว่ากานต์ไม่ชอบเด็ก”

ฝ่ายคนอายุน้อยกว่าหัวเราะ ปฏิเสธไม่ออกเหมือนกันในเรื่องนั้น

นิพัทธ์นึกถึงวันนั้น พวกเขาชอบไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เมื่อขึ้นชื่อว่าสวนสาธารณะไม่ว่าใครก็ย่อมเข้ามาได้ และคงหนีไม่พ้นกลุ่มเด็กนรกที่เข้ามาเล่นเครื่องเล่น อย่างพวกชิงช้า บ้านที่มีบันได บ้านต้นไม้ เล่นทราย อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ในวันนั้นนิพัทธ์นั่งเล่นอยู่กับพิรัลริมทะเลสาบ กำลังคุยโม้เรื่องสมัยมัธยมที่เคยไปเรียนอยู่ที่เยอรมันสามปี แต่เจ้าเด็กนรกประมาณสามคนซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นมาเฟียเด็กเล่นกรีดร้องเสียงดังจนน่ารำคาญด้วยการเอาหินปาลงในทะเลสาบ หินที่ปาลงไปทำให้วงกระจายของน้ำกระเซ็นอยู่ใกล้ผู้ใหญ่สองคน พิรัลกำลังมองหาพ่อแม่ของเด็กเพื่อบอกกล่าวให้ช่วยตักเตือบุตรหลาน ขณะที่นิพัทธ์คว้าหินแล้วปาลงทะเลสาบใกล้บริเวณที่เด็กพวกนั้นยืนอยู่ น้ำกระจายโดนเด็กสามคนยังผลให้เด็กเหล่านั้นหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง พิรัลนึกว่านิพัทธ์คงจะไม่ทำอะไรอีกแต่ผิดคาดนิพัทธ์เอ่ยไล่เด็กสามคนนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าจริงจังและกดดัน

“ไปเล่นไกลๆ”

ประโยคราบเรียบนั่นทำให้เด็กคนหนึ่งเบะปากและรีบเขย่าแขนเพื่อน แต่พวกนั้นมันเป็นเด็กนรกจึงยังคงดื้อดึงยืนอยู่ตรงนั้น นิพัทธ์วางหน้านิ่งและเริ่มกดดันอีก

“ยังไม่ไปอีก ถ้าไม่ไปจะจับโยนให้ตัวเงินตัวทองกินแล้วนะ” นิพัทธ์ไม่พูดเฉย เขาลุกขึ้นทำท่าจะไปจับเด็กโยนลงทะเลสาบอีกต่างหาก เด็กสามคนกรี๊ดแล้ววิ่งหนี ส่วนพิรัลหัวเราะหน้าดำหน้าแดงชอบอกชอบใจที่เห็นด็กวิ่งหนีกระเจิง เขาเองถ้าไม่ใช่หลานไม่ใช่ญาติก็ขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเด็กจะดีกว่า

เหตุการณ์วันนั้นทำให้พิรัลรู้ว่านิพัทธ์ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย เขายอมรับนิพัทธ์ในส่วนนั้นและไม่อยากให้หลานของตัวเองทำให้นิพัทธ์รำคาญใจ จึงเป็นการดีกว่าหากพูดถามกันอย่างตรงไปตรงมา

“ผมไม่ได้รำคาญน้องจ๋า จริงๆผมก็ไม่ได้เกลียดเด็กอะไรขนาดนั้นแต่ถ้าแหกปากกรี๊ดมากก็ขอไม่ทนแล้วกัน”

พิรัลยิ้มก่อนจะก้มลงจูบอีกฝ่ายแทรกลิ้นเข้าไปแหย่เย้า รสชาติของบุหรี่จึงติดเข้าไปในโพรงปากของนิพัทธ์โดยปริยาย “มีอะไรก็บอกผมตรงๆได้นะกานต์” เขากล่าวติดชิดริมฝีปากสีสดนั่นแล้วเริ่มซุกไซ้ไปยังส่วนอื่นเรียกเสียงครวญพึงใจจากนิพัทธ์

“น้องจ๋าน่ารักจริงๆครับ ผมโอเคกับน้อง” นิพัทธ์ตอบพลางเอียงคอให้อีกฝ่ายดอมดม มือข้างหนึ่งโอบกอดลูบไล้อย่างรักใคร่

“แล้วน้าของจ๊ะจ๋าน่ารักมั้ยครับ”

คนอายุน้อยกว่าหัวเราะในลำคอ พยายามเบี่ยงหน้าออกมาเมื่อรู้สึกว่ามือของพิรัลเริ่มล้วงลงลึกทั้งที่ยืนกันอยู่ตรงระเบียงห้องซึ่งเปิดโล่งกว้าง “พี่เจตน์ ถ้าจะทำก็เข้าไปข้างในครับ”

พิรัลผละใบหน้าออกมาสบตากับเด็กหนุ่มตัวขาว ยกยิ้มมุมปากแววตาวิบวับ นิพัทธ์ขืนมือของพิรัลที่ล้วงเข้ามาในกางเกง มือพัลวันกันไปหมด คนหนึ่งดึงดันจะล้วงจับแต่อีกคนพยายามดึงมือให้ออกห่าง “อย่าครับ อยู่ข้างนอกเดี๋ยวมีคนเห็น”

มือของพิรัลกอบกุมส่วนนั้นของนิพัทธ์ที่ยังไม่แข็งตัว เขาขืนแรงอีกฝ่ายไว้และขยำเบาๆจนนิพัทธ์อยู่ไม่สุข แต่ก็ยินยอมในคราวเดียวกัน “ลองขอดีๆหน่อยสิครับ”

“ไปทำข้างในเถอะครับ”

“พูดไม่เพราะเลย พูดใหม่ซิ” เขากล่าวส่วนมือยังคงรุกเร้าไม่ว่างเว้นจนส่วนนั้นเริ่มมีปฏิกิริยา

นิพัทธ์แก้มแดงระเรื่อจากอารมณ์ที่สูงขึ้น ร้องครางเสียงแผ่วอย่างอดทนไม่ได้ “พี่เจตน์... น้องอยากไปทำในห้องครับ”

พิรัลยิ้มพึงใจก่อนจะปล่อยมือออกเพราะไม่ต้องการแกล้งอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มยกบุหรี่ขึ้นสูบ สายตาลอบมองอีกคนที่ยังคงหายใจแรงกว่าปกติ “ผมไม่แกล้งแล้ว” เขาพึมพำบอกก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปมอง “โกรธผมหรือเปล่า”

นิพัทธ์ส่ายหน้า ดวงตาสีเข้มจ้องมองกลับมาบ่งบอกอะไรบางอย่าง พิรัลประเมินตัวตนของนิพัทธ์ในแง่ของความอ่อนไหวสูงเกินไปเพราะดวงตาที่ได้จ้องมองอยู่นี้กำลังส่อแวววิบวับ

ริมฝีปากของนิพัทธ์หยักยิ้มขึ้น เด็กหนุ่มดึงบุหรี่ในมือพิรัลวางไว้ในที่เขี่ยบุหรี่ โน้มคออีกฝ่ายลงมา “ไม่โกรธครับ” เสียงตอบรับแผ่วหายไปเมื่อริมฝีปากติดชิดสัมผัสกัน “แต่ว่า… น้องอยากให้พี่เจตน์พูดเพราะๆเหมือนกันได้มั้ยครับ”

สำหรับพิรัลเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย เขาบดจูบริมฝีปากสีสดพลางเดินเข้าห้องนอนของตัวเองก่อนจะจัดการกับเสื้อผ้าที่ขวางกั้น ดวงตาของพิรัลพิศมองไปยังเรือนร่างของอีกฝ่ายด้วยแววตาโหยหาต้องการ ริมฝีปากของพวกเขาประกบจูบกันอีกครั้งอย่างไม่เร่งรีบ แผ่นอกของนิพัทธ์แอ่นขึ้นเล็กน้อยยามเมื่อถูกดูดดึงไม่เบาแรง ส่วนล่างที่ถูกเพิกเฉยค่อยๆแข็งตัวขึ้นมาตามธรรมชาติ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการถูกปรนเปรอที่ยอดอกก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้นิพัทธ์เสียวซ่านอยู่ไม่น้อย

“น้องชอบมั้ย” พิรัลถามเสียงแผ่วขณะที่ลากมือลงสัมผัสส่วนที่แข็งขึ้น

นิพัทธ์พยักหน้ารับ ใช้มือโน้มใบหน้าอีกฝ่ายให้เข้ามาดูดดุนที่ยอดอกอีก จากที่คิดว่าคงจะไม่ใช่บทรักที่รีบร้อนอะไรแต่เมื่อโลมเล้าเข้ามากๆที่ยอดอก พลันหน้าท้องของนิพัทธ์เสียววาบและรู้สึกต้องการถูกเติมเต็ม เขาเป็นฝ่ายลุกขึ้นนั่งคร่อมทับพิรัล ท่อนเนื้อที่ขยายขึ้นถูกรูดรั้งก่อนที่ความชื้นแฉะของริมฝีปากจะครอบครอง ส่วนอ่อนไหวของพิรัลอยู่ในโพรงปากของเด็กหนุ่ม เขามองกลุ่มผมสีดำขยับขึ้นลง แก้มของนิพัทธ์ตอบลงเมื่อดูดดึงแรงๆที่ส่วนปลายก่อนที่แก้มนั้นจะเป็นรอยนูนเมื่อนิพัทธ์อ้าปากรับท่อนเนื้อแข็งขืนเข้าไปจนสุดความยาว พิรัลพรูลมหายใจเสียวสะท้านช่วงท้องไปหมด อารมณ์ของพวกเขาไต่สูงอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งตื่นตัว ตื่นเต้น ทุกปลายประสาทถูกปลุกเร้า

สำหรับนิพัทธ์เขาพร้อมกระโจนลงไปในห้วงอารมณ์นั้น แต่สำหรับพิรัลร่างกายของเขากำลังตึงเครียดเกินไป พิรัลรู้สึกได้ถึงอาการแน่นหนึบในทรวงอกแต่ยังไม่รุนแรงมาก เขาคิดที่จะบอกให้นิพัทธ์หยุดแต่เมื่อนึกถึงเหตุผลที่จะใช้แก้ตัวกลับนึกไม่ออกสักเรื่อง หากจะให้บอกว่าตัวของเขานั้นกำลังมีโรคบ้าบออะไรคุกคาม พิรัลยังไม่พร้อมบอกนิพัทธ์ในตอนนี้ ทว่าในช่วงนั้นเองเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น มันส่งเสียงจากการสั่นเครืออยู่บนโต๊ะหัวเตียง พวกเขาไม่ได้สนใจในครั้งแรก แต่เมื่อโทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองพิรัลที่อยู่ใกล้กว่าจึงเอื้อมมือไปหยิบมา

“อากรณ์” พิรัลพึมพำอ่านชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

ทางเด็กหนุ่มที่กำลังปรนเปรอเขาด้วยปากถึงกับนิ่งค้างไป นิพัทธ์เงยหน้าขึ้น ปาดเช็ดคราบน้ำลายด้วยหลังมือ ท่าทางดูลังเลก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมากดรับสาย

“ครับ”

อารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ก่อนหน้านี้มอดลงแต่ยังไม่ถึงกับดับหายไป ส่วนนั้นอ่อนตัวลงเล็กน้อย พิรัลหอบหายใจเข้าเต็มปอดใช้จังหวะที่นิพัทธ์นั่งหันหลังคุยโทรศัพท์มือถือเปิดลิ้นชัก ล้วงหยิบเม็ดยาสีขาวออกมาจากซองสีชาและวางไว้ใต้ลิ้น เขารีบเก็บทุกอย่างลงในลิ้นชักก่อนจะเอนตัวพิงหัวเตียงมองดูแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนิพัทธ์ที่ยังคงคุยโทรศัพท์มือถือกับ ‘อากรณ์’

บทสนทนาที่ได้ยินไม่มีอะไรนอกจากการตอบรับว่า ครับ ครับ และครับ มีบ้างที่ตอบประโยคอื่น เขารู้สึกได้ถึงอาการแปลกๆของนิพัทธ์ในยามที่คุยโทรศัพท์มือถือ เหมือนคนไม่อยากคุยด้วยอย่างไรอย่างนั้น

ช่วงเวลาพักใหญ่เลยทีเดียวกว่านิพัทธ์จะวางสาย มันเป็นช่วงเดียวกับที่พิรัลรู้สึกดีขึ้นจากอาการแน่นหน้าอก ยาที่อมอยู่ใต้ลิ้นคงจะออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นครั้งแรกที่พิรัลใช้ยาและสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจใช้ก็เป็นเพราะนิพัทธ์ เขาแก่กว่านิพัทธ์และไม่รู้สึกว่าความแก่เป็นปัญหาในการคบหากัน แต่โรคที่รุมเร้านี้ต่างหากคือปัญหา พิรัลไม่อยากให้นิพัทธ์มองว่าเขาเป็นคนแก่ใกล้ตาย หากถึงวันนั้นจริงเขาคงทนมองสายตาเวทนาของนิพัทธ์ไม่ไหว

เด็กหนุ่มกลับขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตัวของเขาอีกครั้ง ดวงตาสบมองกันและกันราวกับครุ่นคิดแต่ก่อนที่พิรัลจะได้เอ่ยอะไรออกไปนิพัทธ์ก็โถมตัวเข้ากอดเสียแนบแน่น “พี่เจตน์ครับ…”

นิพัทธ์เอ่ยเรียกแล้วก็เงียบลงไปจนพิรัลต้องเบี่ยงตัวเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “น้องรักพี่เจตน์นะครับ” น้ำเสียงที่ฟังดูออดอ้อนเอ่ยขึ้นอยู่ข้างหูพร้อมๆกับที่ริมฝีปากของนิพัทธ์เริ่มพรมจูบไปตามผิวกายของพิรัล มือข้างหนึ่งโอบใบหน้าของคนอายุมากกว่าเข้ามาขณะที่เอนเอียงยอดอกให้อีกฝ่ายได้ดูดดื่ม นิพัทธ์เสียงกระเส่าตอนที่บอกให้เขาดูดยอดอกแรงๆก่อนจะเอื้อมมือลงปลุกเร้าท่อนเนื้อให้กลับมาแข็งตัวอีก

ใช้เวลาไม่นานนักในการทำให้อารมณ์ของพิรัลคุกรุ่น สะโพกขยับไหวอย่างอ้อยอิ่งเย้ายวนอยู่บนหน้าตัก พิรัลอดใจไม่ไหวเขาคว้าเจลหล่อลื่นมาเปิดใช้งาน สองนิ้วแทรกเข้าไปเชื่องช้าเพื่อให้ช่องทางนั้นคลี่คลายทว่านิพัทธ์บอกให้พิรัลสอดนิ้วเข้าไปและขยับเร็วๆ

ส่วนหน้าของนิพัทธ์ตื่นตัวแต่ไม่แข็งเต็มที่ ในคราวแรกพิรัลลังเลที่จะทำตามคำขอ หากเมื่อได้สอดนิ้วเข้าไป ส่วนนั้นกลับบีบรัด พิรัลขยับไปมาก่อนจะล้วงเข้าลึกกว่าเดิมเพื่อเติมเต็มปรารถนา ฝ่ายที่รองรับนิ้วครางอยู่ในลำคอเมื่อถูกกระตุ้นเร้าถูกจุด มือที่เคยรุกเร้าอยู่บนท่อนเนื้อของพิรัลชะงักลงและแปรเปลี่ยนมาโอบกอดแทน ใบหน้าที่ระเรื่อสีชมพูตามธรรมชาติแนบซบเข้าหา พิรัลจูบลำคอบริเวณลูกกระเดือกนูนเด่น ขบเม้มผิวกายขาวผ่องจนขึ้นรอยแดงทว่าไม่ได้ฝากรอยรักเอาไว้ ส่วนนั้นของนิพัทธ์แข็งตัวขึ้นจนเสียดสีหน้าท้องพร้อมๆกับที่ท่อนเนื้อของเขาประท้วงปรารถนาในการสอดแทรกกายเข้าไปในตัวนิพัทธ์

พิรัลครางเรียกชื่ออีกฝ่าย จูบไปตามผิวกายขณะที่ถอนนิ้วออกมาและจับท่อนเนื้อของตัวเองจดจ่ออยู่ที่ช่องทางด้านหลัง นิพัทธ์ร่ำเรียกให้สอดใส่เข้ามา ท่อนเนื้อส่วนปลายค้างคาอยู่ที่ช่องทางด้านหลังก่อนจะแทรกลึกเข้าไปเรื่อยๆ นิพัทธ์จุกเสียดอยู่ไม่น้อยหากแต่ต้องการถูกเติมเต็มจนต้องลงน้ำหนักรับส่วนนั้นของพิรัลเข้ามาจนสุดความยาว เด็กหนุ่มปลุกอารมณ์เย้าแหย่อีกฝ่ายด้วยการพูดถึงสรีระที่สอดอยู่ภายใน ร่างของเขาขยับเคลื่อนเสียดสีส่วนเชื่อมต่ออย่างไม่รีบเร่งในช่วงแรก พิรัลบีบขยำบั้นท้ายออกกว้างยกกายขึ้นสวนกระแทกเข้าไปเต็มแรงเรียกเสียงครวญพึงใจจากฝ่ายคนอายุน้อยกว่า

“น้องเสียวไปหมดแล้วครับ” นิพัทธ์เอ่ยแล้วยิ่งขยับสะโพกรองรับท่อนเนื้อแข็งขืน บั้นท้ายของเขาแฉะชุ่มจนเกิดเสียงหยาบโลน พิรัลมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์หลากหลายรุมเร้า นิพัทธ์กำลังยั่วเย้า และยั่วขึ้นอีกต่างหาก ทั้งที่คิดว่าเซ็กส์รอบนี้จะปล่อยให้นิพัทธ์เป็นผู้ชักนำแต่พิรัลทนไม่ไหว เขาจับพลิกร่างนิพัทธ์ให้นอนหงาย แยกขาสองข้างออกกว้างหยิบเจลหล่อลื่นมาป้ายท่อนเนื้อของตัวเองก่อนจะสอดใส่กลับเข้าไปยังช่องทางรักอันชุ่มโชก พิรัลไม่อาจออมแรงได้อีก เขาโหมแรงกระแทกแก่นกายอย่างรุนแรง ผิวของพิรัลขึ้นสีเพราะร่างกายกำลังร้อนจากการ ‘ออกกำลังกาม’

“พี่ก็เสียวเหมือนกันค่ะ” เสียงของเขากระเส่ายามเมื่อพูดกระซิบอยู่ข้างหูอีกฝ่าย ในแววตานิพัทธ์ฉายแววประหลาดใจที่ได้ยินพิรัลพูดลงท้ายเปลี่ยนไป แก้มดูแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม “พี่ทำให้น้องเจ็บหรือเปล่าคะ”

นิพัทธ์ส่ายหน้าปฏิเสธ เขารู้สึกได้ถึงแผ่นหลังของตัวเองที่เสียดสีผืนผ้าที่นอน พิรัลที่กำลังกระสันต้องการในตัวเขาดูร้อนแรงจนอารมณ์พุ่งพล่านไปหมด เด็กหนุ่มร่ำร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย คิ้วขมวดมุ่นเมื่อท่อนเนื้อกระแทกโดนจุดอ่อนไหวใกล้ต่อมลูกหมาก สีหน้าที่ดูเสียวสะท้านของนิพัทธ์เรียกร้อยยิ้มมุมปากจากพิรัลได้เป็นอย่างดี ไหนจะเสียงครางครวญนั่นอีก พิรัลเน้นย้ำที่จุดเดิม นิพัทธ์ยิ่งร้องบ่งบอกความรู้สึกตรงไปตรงมา

“พี่เจตน์ เบาหน่อยครับ” นิพัทธ์พูดพลางดันหน้าท้องพิรัลที่ขยับอยู่ด้านล่าง เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไต่สูงเพราะถูกกระตุ้นจุดนั้นโดยตรงซ้ำไปซ้ำมา คิดว่าอีกไม่นานนี้ตัวเองจะต้องถึงฝากฝั่งก่อนในเวลาอันรวดเร็ว

พิรัลขยับกายช้าลงตามคำร้องขอ เขาจูบปลอบประโลมเด็กหนุ่มตัวขาวที่พวงแก้ม จมูกซุกไซ้ซอกคอ “เจ็บเหรอคะ”

“เปล่าครับ แต่… มันจะถึงแล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นเห็นทีพิรัลคงจะทนไม่ไหว เขาขยับสะโพกหนักหน่วงขึ้น นิพัทธ์เผยออ้าปากเมื่อจุดอ่อนไหวถูกกระตุ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เขาร้องไม่ออกด้วยเสียวซ่านไปหมด

“ตรงนี้ใช่มั้ยคะ กานต์จะถึงแล้วใช่มั้ยคะ”

“น้องจะถึงแล้วครับ พี่เจตน์น้องเสียวจังครับ” นิพัทธ์รับคำราวกับคนเพ้อคลั่ง

สะโพกของพิรัลดุนดันโหมกระหน่ำไม่เบาแรง มันตอกย้ำช่องทางอ่อนนุ่มของนิพัทธ์จนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นอนหอบหายใจรองรับแรงกายจากพิรัล ทั้งที่เป็นท่วงท่าแสนธรรมดาไม่มีอุปกรณ์เสริมเติมอรรถรสแต่นิพัทธ์กลับเปี่ยมสุข มีเพียงแค่พิรัลและสัมผัสที่ทั้งอ่อนโยนและดุดันในเวลาเดียวกัน เพียงแค่นั้นมันทำให้นิพัทธ์สามารถถึงจุดสุดยอดจากทางด้านหลังได้ในเวลาถัดมา เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำไปวนมา ร้องครวญครางเป็นสุขในขณะที่น้ำใคร่หลั่งรินเปรอะเปื้อนหน้าท้อง สองแขนโอบกอด ร่างกายเกร็งเขม็ง ลมหายใจรดรินรุนแรง

“กานต์มีความสุขมั้ยคะ” ชายหนุ่มถามก่อนจะจูบตามใบหน้าอย่างรักใคร่

พิรัลทำให้เขาสุขล้นทั้งทางกายและใจอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เด็กหนุ่มพยักหน้ารับหากแต่กลับพูดไม่ออกเพราะยังหอบหายใจเหนื่อยจากบทรักในรอบนี้ เขาอ่อนแรงลงทั้งมือและขาที่เคยโอบพิรัลไว้ถูกปล่อยวางราบไปกับที่นอน พิรัลจับมือของเขาเข้าไปจูบ รู้สึกได้ถึงท่อนเนื้อแข็งขืนที่กำลังขยับไหวอยู่ในบั้นท้าย

“พี่เจตน์ทำให้เสร็จสิครับ” แม้จะสุขสมไปแล้วแต่นิพัทธ์ยังสามารถสุขได้มากกว่านี้เมื่อพิรัลมีความสุขด้วยกัน เด็กหนุ่มโอบรั้งใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามามองตา “น้องอยากให้พี่เจตน์เสร็จในตัวน้องครับ”

พิรัลมองตาคนใต้ร่างค่อยๆขยับสะโพกเมื่อได้รับคำเชิญชวน “พี่ทำแรงกว่านี้ได้มั้ยคะ”

ใบหน้าเรื่อสีแสดงความยินยอม เขาประทับจูบบนริมฝีปากของพิรัล อ้าขาออกกว้างตอบรับทุกสัมผัสเพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุข จากอ่อนหวานกลายเป็นความหนักหน่วงตามห้วงอารมณ์ เขารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวรุนแรงตามความกระสันต้องการ อยากให้พิรัลตักตวงร่างกายนี้อย่างเต็มที่ อยากรู้สึกถึงไออุ่น อยากรู้สึกถึงห้วงอารมณ์ร้อนแรง นิพัทธ์ไม่เคยต้องการใครมากเท่านี้มาก่อน

เขามองทุกการกระทำของพิรัล มองส่วนแข็งขืนที่กำลังขยับเข้าออกอย่างรัวเร็วในช่องทางที่เปียกชุ่ม เขาถามพิรัลว่ามีความสุขมั้ย เขาถามอีกฝ่ายว่าอยากปลดปล่อยในตัวของเขามั้ย เมื่อถูกตอบรับก็ยิ่งสุขใจ ในตอนที่พิรัลถึงจุดสุดยอดและหลั่งน้ำใคร่อยู่ในตัวจนรู้สึกอุ่นวาบนิพัทธ์ยังคงจ้องมองใบหน้าคมคายนั่นไว้ เขาจูบริมฝีปากที่กำลังหอบหายใจ ช่วงชิงลมหายใจก่อนจะจูบที่แก้มแล้วรั้งตัวพิรัลเข้ามากอด

“พี่พูดเพราะถูกใจกานต์มั้ย” เขาเย้าแหย่เอ่ยถามพลางหัวเราะและใบหน้ามีรอยยิ้ม

เมื่อเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีนิพัทธ์จึงยิ้มตาม “พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“อยากไปดวลกีต้าร์กับพ่อผมมั้ย”

เขาเงยหน้าจากแผ่นอกที่ซบอยู่เพื่อมองใบหน้า นิพัทธ์ส่งยิ้มให้พลางลูบศีรษะของเขาไปมา “วันไหน”

“วันไหนก็ได้ที่พี่เจตน์ว่าง”

“งั้นพรุ่งนี้นะ”

นิพัทธ์พยักหน้ารับก่อนจะจูบที่ขมับอีกฝ่าย “ผมรักพี่เจตน์” เด็กหนุ่มกระซิบบอกเสียงแผ่ว สบมองดวงตาลึกซึ้ง

หัวใจของพิรัลอ่อนยวบยาบเหลือทน มันหลอมละลายไม่เหลือชิ้นดีเมื่อได้ฟังคำนั้น “พี่ก็รักกานต์ครับ”

การบอกรักครั้งแรกของพิรัลอยู่ในช่วงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาคิดว่าพร้อมแล้วสำหรับคำนั้น แต่เขาคงไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ในเวลาแห่งความทุกข์จะยังสามารถพูดคำนั้นออกมาได้เช่นนี้หรือไม่ พิรัลไม่รู้เลยสักนิด





************************************


ลงครบเท่าอีกเวบนึงแล้วววว เย้ๆ
หลังจากนี้ก็จะไม่ได้อัพเร็วสายฟ้าแลบแพร่บๆแบบนี้แล้วววว
อ้อ... สำหรับบทเลิฟซีนของพี่เจตน์ คะๆขาๆนั้นนนน พี่เขาแค่ล้อเล่นกับน้องนะคะ ไม่ได้จะพูดแบบนั้นตลอด 55555

 :hao3:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
แสงสว่างข้างหน้ามีจริงไหมคะ  :ling1:

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
อ่านไปก้กลัวไป
คุณพี่อย่าพึ่งตายนะคะ
 :call: :call: :call:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ไปเจอพ่อแล้วจะเจออากรณ์ด้วยไหม
ความลับของใครจะถูกเปิดออกมาก่อน
แต่ขออย่าเปิดพร้อมกันเลยนะคะ จิตใจบอบบาง  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ฮือ​ๆ​ อ่านไปก็กลัวไป​  :z3:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นห่วงพี่เจตน์มาก อยากให้พี่กินยา รับการรักษาอย่างจริงจังสักที

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่เก้า



วันที่ท้องฟ้าแจ่มจรัสเต็มไปด้วยแสงแดดสีสว่าง ทว่าความรู้สึกของพิรัลกลับหม่นหมองเสียเหลือเกิน

นิพัทธ์ชวนเขามาดวลกีต้าร์กับพ่อ เขาคาดหวังถึงการได้พบกับส่วนหนึ่งที่หล่อหลอม ส่วนที่สร้าง และส่วนที่นิพัทธ์เติบโตขึ้นมา แต่มันผิดคาดไปเสียทั้งหมด

เขาได้แต่รู้สึกแปลกประหลาดในวินาทีแรกที่ได้พบพ่อของนิพัทธ์ พ่อที่นอนอยู่ในโรงไม้สี่เหลี่ยม ฝังอยู่ใต้ผืนดินลึกลงไปราวหกฟุต และประดับด้วยช่อดอกไม้แห้งกรังบนแท่นหินสีเทา  เขาเริ่มได้สติเมื่อนิพัทธ์หยิบช่อดอกไม้แห้งกรังที่วางอยู่บนแผ่นหินอ่อนนั่นออกไปทิ้ง และแทนที่ด้วยช่อดอกไม้สีสดสวยงาม พิรัลรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลายิ่งนักที่ไม่ทันสังเกตว่านิพัทธ์ได้ซื้อดอกไม้สดในขณะที่เขาซื้อผลไม้พร้อมกินเพื่อมอบให้แก่พ่อของนิพัทธ์

“พี่เจตน์เอาผลไม้มาให้พ่อครับ”

นิพัทธ์กล่าวเช่นนั้นกับป้ายสี่เหลี่ยมที่สลักด้วยชื่อของคนที่นอนอยู่ใต้ผืนดิน สองมือประคองกล่องผลไม้วางลงด้านข้างก่อนที่ใบหน้าขาวกระจ่างจะเงยขึ้นมาสบมองพิรัลและมอบรอยยิ้มให้

“พ่อชอบกินพวกเบอร์รีมาก ตอนอยู่เยอรมันพ่อกินแทบทุกวันเลยครับ ที่นู่นถูกมาก”

พิรัลพูดไม่ออก ได้แต่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังปัดเช็ดสุสานแห่งนั้น โชคดีเท่าไหร่แล้วที่พิรัลไม่ได้แบกกีต้าร์มาดวลกับพ่อของนิพัทธ์ด้วย เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เขาไม่ตะขิดตะขวงใจมาก่อนเลยว่าพ่อของนิพัทธ์ตายไปแล้ว

นิพัทธ์พูดอะไรกับป้ายสี่เหลี่ยมนั่นอีกหลายประโยคก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขามองรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดไร้คำบรรยาย มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่รู้

“โทษทีนะผมไม่รู้มาก่อนเลย ขอแสดงความเสียใจด้วย”

คนตรงหน้าพิรัลยิ้มรับ ไม่มีท่าทีเศร้าหมองให้เห็น “ขอบคุณครับ” สองขาก้าวเข้าหาก่อนจะจับมือพิรัลไว้แนบแน่น ดวงตาทอดมองไปยังหลุมศพเบื้องหน้า “อวยพรให้เราด้วยนะครับพ่อ”

พิรัลเดินตามแรงฉุดจากนิพัทธ์หลังจากปล่อยให้เด็กหนุ่มได้เยี่ยมเยียนพ่อของตัวเอง เขายังรู้สึกโง่เง่าไม่หาย แม้แต่ตอนที่เข้ามาในรถยนต์แล้วก็ยังรู้สึกเช่นนั้น

“ทำไมกานต์ไม่บอกผมว่าพ่อเสียแล้ว ปล่อยให้ผมซื้อผลไม้มาทำไม”

“แล้วถ้าบอกไปพี่เจตน์จะซื้ออะไรมาให้พ่อผมล่ะ”

“ไม่รู้ แต่อย่างน้อยถ้าบอก ผมจะได้ไปหาข้อมูลมาว่าเวลาไปเยี่ยมสุสานแบบคริสต์เขาทำกันยังไง และถึงจะนับถือพุทธแบบบ้านผมแต่มันก็เป็นเรื่องที่ต้องบอกผมด้วย”

“ผมไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน”

พิรัลรู้สึกฉุนเฉียวที่ได้ยินประโยคนั้น แต่เขาเลือกที่จะเงียบไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไม่โต้ตอบ นิพัทธ์จึงรู้สึกได้ว่าตัวเองพูดจาไม่ดีออกไป เขามองไปตามเส้นทางบนท้องถนนที่รถของพิรัลกำลังขับผ่าน สุสานที่ฝังศพของพ่ออยู่ต่างจังหวัดไม่ไกลจากตัวกรุงเทพมากนัก แต่ใช้ระยะเวลาพอสมควรบนท้องถนนเพราะฉะนั้นหากไม่คุยกับพิรัลไปตลอดทางคงจะรู้สึกอึดอัดน่าดู

“พ่อเสียไปนานแล้วแต่ผมไม่อยากพูดถึง พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะครับ”

“ผมไม่ได้โกรธ ผมแค่รู้สึกขายหน้าที่ซื้อผลไม้ไปให้พ่อกานต์ที่เสียไปแล้ว”

“...............”

“แล้วรู้ไว้ด้วยว่าเรื่องของกานต์สำคัญสำหรับผม... ทุกเรื่อง” พิรัลเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ทำหน้าสลด “มานี่มา” เขาว่าเช่นนั้นแล้วเอื้อมมือไปรั้งตัวอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามานั่งชิดใกล้ก่อนจะจูบที่ขมับเพื่อยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร

“ผมไม่เห็นว่าจะเป็นอะไรเลยที่พี่เจตน์ซื้อผลไม้ไปให้พ่อ ซื้ออะไรไปให้ก็กินไม่ได้อยู่ดี ตายก็คือตายไปแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่เจตน์รู้สึกขายหน้าเลยนะครับ”

พิรัลจูบที่ขมับของนิพัทธ์อีกครั้งเนิ่นนานกว่าครั้งก่อนหน้านี้ “อืม เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มยังคงกอดอีกฝ่ายไว้ ดวงตามองถนนแต่กายสัมผัสเด็กหนุ่มไม่ห่าง “แล้วแม่ของกานต์ล่ะ”

“แม่แต่งงานใหม่ครับ”

“อ่าฮะ”

“หลังๆมานี่ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านก็เลยไม่รู้เรื่องแม่เท่าไหร่”

“กานต์ไม่ค่อยสนิทกับแม่เหรอ”

“กับแม่เหรอ… ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คุย”

พิรัลเงียบ สีหน้าที่เห็นตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น มันไม่แปลกหากลูกจะสนิทกับพ่อหรือแม่มากกว่ากัน นิพัทธ์ดูสนิทใจในการเปิดเผยเรื่องราวของพ่อเมื่อถูกถาม แต่เมื่อเป็นเรื่องของแม่นิพัทธ์กลับดูรังเกียจที่จะพูดถึง เขาอาจคิดมากเกินไป บนโลกใบนี้ไม่มีใครเกลียดพ่อแม่ของตัวเองได้หรอก

ในช่วงที่พิรัลตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง อยู่ๆนิพัทธ์ก็จูบเข้ามาที่ใบหน้า “พี่เจตน์ครับ ถ้าผมชวนพี่มาเล่นกีต้าร์ให้พ่อฟังพี่ว่ามันแปลกมั้ย”

“วันหลังผมจะเอากีต้าร์มาด้วยนะ” พิรัลเลือกตอบในส่วนที่คาดว่าจะทำให้นิพัทธ์สบายใจ หากตอบในสิ่งที่คิดไปทั้งหมดเขาคงโพล่งออกไปว่าแม่งโคตรแปลก เขานึกไม่ออกว่าการเอากีต้าร์มานั่งเล่นอยู่หน้าหลุมศพจะเกิดประโยชน์อะไร แต่เขาไม่ต้องการทำร้ายจิตใจของนิพัทธ์ เรื่องบางเรื่องเก็บไว้เพียงลำพังจะดีกว่า

พิรัลมาส่งนิพัทธ์ที่คอนโด เวลาล่วงเลยจนมืดค่ำเพราะพวกเขาแวะกินเที่ยวกันไปเรื่อยเปื่อย นิพัทธ์บอกให้เขาค้างคืน ใจพิรัลพุ่งตรงไปยังรังรักของพวกเขาแล้วในวินาทีนั้น หากแต่เขาจำต้องปฏิเสธ เพราะในวันรุ่งขึ้นต้องไปโรงพยาบาลตามที่แพทย์นัด

เขาต้องไปหาหมอโดยไม่ทำให้นิพัทธ์ผิดสังเกต แม้จะยังคิดหาคำตอบสำหรับการลาครึ่งเช้าในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ก็ตามที หากนิพัทธ์ถามเขาจนปัญญาเหลือเกินในการหาอ้างเหตุผล ในที่ทำงานเรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้

เขามีความคิดเห็นรุนแรงในเรื่องที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้อาการป่วย หวานที่เป็นหัวหน้าทักท้วงว่าบางอย่างจำเป็นต้องบอกกล่าวคนในทีมบ้างด้วยอ้างถึงเรื่องสุขภาพ แต่พิรัลเกลียดสิ่งนั้น เขามองไม่เห็นถึงความจำเป็นต่อการบอกกล่าวคนอื่น เขาสามารถทำงานได้ หากเจ็บหน้าอกเพียงแค่พักก็จะหายไปจึงค่อยกลับมาทำงานต่อ ในตอนนั้นเขาคิดอย่างง่ายดายแต่เมื่อเร็วๆนี้พิรัลพบว่าการนั่งพักให้หายจากอาการเจ็บหน้าอกมันทำได้ยากลำบากขึ้น

นิพัทธ์เดินจากไปพร้อมกับเสียงประตูรถปิดลง จากนั้นพิรัลจึงมุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมกับการครุ่นคิดหาเหตุผลที่ลางานครึ่งเช้าเพื่อบอกกับนิพัทธ์



“คุณไม่กินยาเลย หมอถามหน่อยได้มั้ยว่าเพราะอะไร”

พิรัลยิ้ม หากไม่ตอบรับสิ่งใด

“กินยาสมุนไพรหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ”

แพทย์สาวผู้เป็นเจ้าของคนไข้มีสีหน้าตึงเครียด เธอลอบถอนหายใจในขณะที่สายตาอ่านบันทึกในหน้าจอคอมพิวเตอร์ “คนไข้ที่มารักษากับหมอพวกเขาอยากหายจากโรคนี้ แต่คุณไม่ช่วยหมอเลย แบบนี้จะให้หมอทำยังไงดี ยังมีคนอื่นที่อยากรักษากับหมออีกเยอะเลยนะ”

พิรัลยังคงเงียบ

“หมอพูดตามตรงว่านัดติดตามอาการแต่ละครั้งมันทำให้เสียเวลาเปล่าถ้าคุณยังไม่ช่วยหมอแบบนี้”

“หมอกำลังจะบอกว่าไม่อยากรักษาผมแล้วใช่มั้ยครับ”

คุณหมอยิ้ม ดวงตาภายใต้แว่นกรอบหนาดูเอื้ออาทรเมตตา พิรัลพอจะเข้าใจว่าเธอปฏิเสธการรักษาไม่ได้ “หมอไม่ได้พูดแบบนั้น แต่หมออยากให้คนไข้ให้ความร่วมมือกับหมอด้วยค่ะ”

“ผมบอกตามตรง ผมมาเพราะแค่อยากให้ที่บ้านสบายใจ ส่วนตัวผมเอง… ผมเบื่อที่จะต้องมา”

“หมอว่าขึ้นอยู่กับตัวคุณนะ คุณจะมาหรือไม่มาก็ได้ แต่อยากให้คิดว่าที่ยังมาตามนัดอยู่เพราะอะไร แค่อยากให้ที่บ้านสบายใจจริงเหรอ หรือลึกๆแล้วคุณคาดหวังอะไรกับการมาตามนัด”

พิรัลมีรอยยิ้มอีกครั้ง “นั่นสิหมอ ผมมาทำไมก็ไม่รู้”



ในสวนสาธารณะที่เขามักมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจยังเป็นเช่นเคย ต้นไม้ที่สูงใหญ่ยังแผ่นกิ่งก้านสาขาให้เขาได้นั่งทอดอารมณ์ครุ่นคิด

พิรัลนึกไม่อยากกลับเข้าออฟฟิศในช่วงบ่าย เขาไม่มีคำตอบหากนิพัทธ์ถามถึง คิดอีกทีเขาสมควรบอกความจริงกับสิ่งที่เป็นอยู่นี้หรือเปล่า หากบอกไปนิพัทธ์จะมองเขาด้วยสายตาแบบไหน ช่วงอายุที่ต่างกันอาจเป็นปัญหา ช่องว่างระหว่างวัยไม่มีทางทับถมเติมเต็มได้ แม้จะมีความชอบคล้ายกันหรือรักกันมากขนาดไหน แต่ความคิดเห็นในการใช้ชีวิตของคนสองคนหากไม่สอดคล้องไปด้วยกันมันอาจทำให้แย่ลงกว่าเดิม เขาลองนึกคิดตั้งสมติฐานขึ้นมา หากแต่พิรัลคิดไม่ตกและยังไร้วี่แววในการหาคำตอบ

ช่วงบ่ายคือเวลาที่พิรัลมาถึงออฟฟิศ เขาพบว่านิพัทธ์ลางานทั้งวัน หวานที่นั่งกินขนมอยู่ในคอกพร้อมกับโอมและหญิงทำหน้าสงสัยที่พิรัลไม่รู้เรื่องนี้

“อ้าว น้องไม่ได้โทรบอกเจตน์เหรอ”

“เปล่าพี่ แล้วน้องโทรบอกใคร”

“คุณกรณ์มาบอกพี่ว่ากานต์ไม่สบาย พี่นึกว่าน้องโทรบอกเจตน์ก็เลยไม่ได้ถามอะไร แต่ก็แปลกใจเหมือนกันแหละที่เจตน์ไม่ได้บอกพี่ว่ากานต์ลา”

“น้องไม่ได้บอกอะไรผมเลยครับ” พิรัลตอบ ชื่อของ ‘คุณกรณ์’ ทำให้เขาอึดอัดหนักหน่วงอย่างไรบอกไม่ถูก อีกทั้งยังนึกสงสัยว่าทำไมกานต์ถึงไม่บอกกล่าวเขาสักคำว่าจะลา หากไม่นับว่าพวกเขากำลังคบหากัน อย่างไรก็ดีพิรัลยังคงเป็นหัวหน้าของนิพัทธ์อยู่ และเมื่อวานนี้นิพัทธ์ไม่มีท่าทีเจ็บป่วยอะไรด้วย ในฐานะหัวหน้าเขามีสิทธิ์สอบสวนเรื่องนี้แต่พิรัลไม่นึกจะทำเพราะเขาอยากรู้เรื่องของคุณกรณ์มากกว่า

“งั้นเหรอ สรุปก็คือน้องลาป่วยนะ คงเป็นหวัดแหละมั้ง”

“พี่หวาน คุณกรณ์นี่เขาเป็นอาของกานต์เหรอครับ”

“เห็นคุณกรณ์เขาบอกแบบนั้น”

“แล้ว…” สายตาของพิรัลระแวดระวังมองไปยังโอมกับหญิงซึ่งนั่งกินขนมและไม่ได้สนใจพวกเขา “เรื่องของกานต์ พี่ได้รับคำสั่งมารึเปล่าครับ”

“โห ถามงี้เลยเหรอ”

“โทษทีพี่ ผมสงสัยน่ะ”

หวานหัวเราะอารมณ์ดี ไม่มีท่าทีเคืองโกรธ “เปล่า พี่รับกานต์มาเองไม่เกี่ยวกับเบื้องบน แล้วนี่ไปหาหมอเป็นยังไงบ้าง”

“เรื่อยๆพี่ เหมือนเดิม”

หวานพยักหน้ารับรู้ เธอไม่คาดคั้นถามอะไรอีกเพราะพิรัลมักยิ้มและไม่ตอบคำถามเรื่องสุขภาพแม้แต่ครั้งเดียว “ตั้มไม่อยู่แล้วนะเจตน์ มีอะไรบอกพี่ได้”

“ได้ครับพี่ เออ พี่หวาน แล้วใครจะช่วยงานพี่ตอนนี้อะ”

“ก็มีหมิงนี่แหละ แต่พี่ไม่ค่อยไว้ใจเลยว่ะ งานฝั่งหมิงเองก็…” หวานเงียบเสียงลง ส่งสายตาเป็นอันรู้กันกับพิรัลว่าคนที่ชื่อหมิงทำงานแย่อย่างไร “ส่วนตอนพี่ลาคลอดไม่ต้องห่วงนะ พี่สแตนด์บาย อาจตอบช้าบ้างแต่พี่เช็คอีเมลตลอด”

“ไม่เป็นไรพี่ ลาคลอดก็คือลาคลอด”

“รู้ๆ แต่พี่อยู่เฉยๆไม่ได้ว่ะ”

“พี่ ผมว่าเลี้ยงลูกน่าจะไม่มีเวลานะ เห็นตอนพี่สาวผมเพิ่งคลอดอะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย”

“เอาน่าๆ พี่มีเวลาให้น้องเจตน์แน่นอน น้องไม่ต้องกลัวเหงานะจ๊ะ” หวานหัวเราะพูดติดตลกพลางกินขนมไปเรื่อยเปื่อย ชวนพิรัลคุยถึงเรื่องงานและไม่ถามเรื่องสุขภาพ ส่วนพิรัลเองเมื่อเปิดเช็คอีเมลเขากลับลืมเรื่องของนิพัทธ์ไปโดยปริยาย

พิรัลขาดการติดต่อกับนิพัทธ์ ไม่มีแม้แต่ข้อความซึ่งเคยส่งหากันบ่อยครั้ง มีการโทรออกแต่ไม่มีการโทรเข้า พิรัลเริ่มร้อนรนในช่วงหลังเลิกงาน สุดท้ายเขาตัดสินใจเข้ามาพบอาของนิพัทธ์โดยไม่ทันนึกคิดว่ามันช่างดูน่าสงสัย

กรณ์ติดประชุมและกลับมาที่โต๊ะของตัวเองในเวลาหกโมงครึ่ง เขายิ้มเมื่อเห็นพิรัลในท่าทีเก้กังก่อนจะเดินเข้ามาหา กรณ์คาดการณ์ไว้ไม่ผิด “คุณเจตน์ มาถามเรื่องกานต์เหรอครับ” เขาเอ่ยพูดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา

พิรัลชะงักไปด้วยนึกไม่ถึงว่าจะโดนถามกลับมาอย่างไม่อ้อมค้อม “ครับ”

“โทษทีนะครับ หลานผมเป็นหวัด เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาทำงานแล้วแหละ มีใบรับรองแพทย์มาด้วย”

“ไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์หรอกครับ เพราะไม่ได้หยุดติดต่อกันหลายวัน คือผมแค่จะมาถามว่ากานต์ไม่สบายมากหรือเปล่าครับ ผมโทรหาจะถามเรื่องงานแต่กานต์ไม่รับสายเลย”

“อ้อ คงไข้ขึ้นนอนซมทั้งวัน เดี๋ยวผมกลับถึงบ้านแล้วจะบอกกานต์ให้นะ”

“ขอบคุณครับคุณกรณ์ ผมรบกวนฝากบอกน้องด้วยว่าออนไซต์ที่นครปฐมผมจะให้น้องไปคนเดียวนะครับ”

กรณ์เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย ใบหน้าของเขายังปรากฏรอยยิ้มหากแต่พิรัลรู้สึกถึงความเสแสร้ง “ได้ครับ คุณมั่นใจเหรอว่าจะปล่อยให้กานต์ออนไซต์เอง”

“ต้องลองดูครับ”

“อืม ผมจะบอกกานต์ให้เตรียมตัวไว้” กรณ์โน้มตัวลงเท้าแขนบนโต๊ะทำงาน ดวงตาของเขาจดจ้องมายังพิรัลราวกับค้นหาบางอย่าง “แล้วคุณเป็นยังไงบ้างครับ”

“ครับ?” พิรัลไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายถาม และมั่นใจว่าคงไม่มีใครพูดถึงอาการป่วยของเขาด้วย

“คุณคบกับกานต์อยู่ไม่ใช่เหรอ”

ความอึดอัดตีตื้นขึ้นมาและจุกเสียดเข้าที่หัวใจ เขาไม่คิดว่าจะมีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ มันไม่ดีต่อหน้าที่การงานเลยแม้เพียงน้อยนิด แต่สุดท้ายพิรัลเลือกที่จะแสร้งยิ้มแต่ไม่ตอบรับสิ่งใด “คุณกรณ์งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

กรณ์เอ่ยคำร่ำลากับพนักงานหนุ่มอายุรุ่นราวใกล้เคียงกัน ดวงตาของเขาจ้องมองตามแผ่นหลังผึ่งผายที่เดินออกไป ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มเสมอยังไม่แปรเปลี่ยน หากแต่ใครเล่าจะล่วงรู้ถึงความคิดและความรู้สึกที่สุมอยู่ภายในว่าเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการแสดงออก

นิพัทธ์ขาดการติดต่อราวกับไร้ตัวตน หากแต่พิรัลผู้ซึ่งวุ่นวายกับอาการป่วยของตัวเองในคืนนั้นทำให้เขาไม่ได้พยายามติดต่อนิพัทธ์มากเท่าที่ควร ช่วงก่อนถึงบ้านเขาเกิดแน่นหน้าอกจนต้องแวะจอดรถข้างทาง มือของเขาสั่นไปหมดด้วยความหวาดกลัว กระนั้นเขารอจนอาการทุเลาจึงมุ่งหน้ากลับบ้านไปตามปกติ

แม่คือบุคคลผู้เป็นแสงสว่างสำหรับพิรัลเสมอมา เพียงแค่กลับมาถึงบ้านความรู้สึกอบอุ่นมากมายนั้นอบอวลอยู่ในจิตใจโดยธรรมชาติ เขาไม่เล่าขานถึงอาการป่วยแม้ยามแม่เอ่ยถาม แม่ของพิรัลไม่ฝืนบังคับเปิดปากลูกชายด้วยรู้ว่าลูกไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ เธอพยายามค้นหาวิธีต่างๆนานาเพื่อให้พิรัลยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเธอรู้ว่าการไม่พูดถึงสิ่งนี้มันหมายถึงว่าพิรัลยังไม่สามารถอยู่กับความผิดปกติได้ เธอรู้จักลูกชายของเธอดีแต่สุดท้ายทุกอย่างไม่ว่าพิรัลจะเลือกปฏิบัติแบบใดมันเป็นสิทธิ์ของพิรัลทั้งหมดทั้งมวล

พิรัลกินข้าวมื้อเย็นและขึ้นนอนตามปกติ เขาพลิกตัวไปมาบนเตียง กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ สุดท้ายเขาเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก หยิบถุงยาขึ้นมามอง เขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยู่ในมือ ลังเลว่าควรทำอย่างไรต่อไป




ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1




นิพัทธ์นั่งยิ้มแป้นอยู่ที่โต๊ะอาหาร เจ้าของบ้านอย่างพิรัลนิ่งค้างไปเมื่อสบมองใบหน้าขาวกระจ่างที่คุ้นเคย เขาวางท่าเมินเฉย เดินไปดื่มน้ำตรงตู้เย็นก่อนจะบอกกล่าวแม่ว่าจะออกไปทำงานในตอนเช้าตีห้าครึ่ง เขาได้ยินเสียงนิพัทธ์ร่ำลาแม่และเดินตามเขามาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก เด็กหนุ่มคว้ามืออีกฝ่ายไว้ด้วยเริ่มรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“มาหาผม มีอะไร” พิรัลเอ่ยถาม เขารู้สึกอารมณ์ไม่คงที่ รู้สึกหงุดหงิดที่อยู่ๆนิพัทธ์นึกจะมาก็มา นึกจะไม่รับสายก็ไม่รับ ข้อความก็ไม่ส่งหา ทำเหมือนกับว่าไม่ห่วงความรู้สึกของฝ่ายที่เฝ้ารอบ้างเลย

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ฟังจากน้ำเสียงแข็งกระด้างแบบนี้เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่าพิรัลคงจะโกรธ “ผมคิดถึงพี่เจตน์ก็เลยมาหาครับ รอเจอที่ทำงานไม่ไหว”

คิ้วพิรัลขมวดเข้าหากัน เขาเปิดประตูรถก่อนจะเข้าไปโดยไม่พูดกล่าวสิ่งใด นิพัทธ์ลนลานเปิดประตูตามเข้าไปนั่งก่อนรถเก่าเก็บสุดที่รักของพิรัลจะขับทะยานออกไปตามเส้นทาง เขารู้แล้วว่าการออดอ้อนครั้งนี้คงไม่อาจทำให้พิรัลหายขุ่นเคืองได้ แต่นิพัทธ์ยังคงเก็บงำเรื่องส่วนตัวเอาไว้อย่างมิดชิด เขายอมถูกพิรัลโกรธ ยอมถูกพิรัลเข้าใจต่างๆนานาไปเอง มันคงดีกว่าการรู้ความจริง

“ผมรู้ว่าพี่โกรธที่ผมหายไป…”

“ส่งข้อความมาบอกผมหน่อยไม่ได้เหรอ กานต์” ชายหนุ่มพูดแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เขาถอนหายใจยาว คิดว่าถึงจะโกรธ ถึงจะโมโหไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้

“ผมไม่ได้ดูมือถือเลย เพิ่งมาดูตอนเที่ยงคืนกว่าๆ จะโทรหาพี่เจตน์ก็กลัวว่าจะหลับไปแล้ว”

“ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” พิรัลตัดบท ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องต่อล้อต่อเถียง อีกประการหนึ่งเมื่อได้สบหน้าเด็กหนุ่มแล้ว ความรู้สึกต่างๆมันเบาบางลง ราวกับว่าเขาพร้อมยอมให้อภัยไม่ว่านิพัทธ์จะทำอะไรมา

“พี่เจตน์ น้องขอโทษนะครับ” เด็กหนุ่มเริ่มเข้าปะเหลาะ กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มกว้าง ราวกับไม่มีเกิดอะไรขึ้น

“แล้วนี่มายังไง แท็กซี่เหรอ”

“นั่งแท็กซี่มาครับ” เขาขยับเข้าไปใกล้เกยคางไว้ที่ไหล่อีกฝ่าย ส่วนมือเลื้อยลงต่ำ “พี่เจตน์ แวะคอนโดน้องได้มั้ยครับ” มือที่เลื้อยลงต่ำนั้นกอบกุมเป้ากางเกงพิรัลอย่างเต็มไม้เต็มมือ นวดคลึงเบาๆให้รู้สึกวาบหวาม หากแต่พิรัลกลับดึงมือออกด้วยสีหน้าเฉยชา ยังผลให้นิพัทธ์เริ่มใจไม่ค่อยดี

“โทษที ผมไม่มีอารมณ์” พิรัลโกหก ในใจของเขานั้นถวิลหาอยากสัมผัสนิพัทธ์ แต่เขารู้ถ้าหากปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ มันจะยาวนานเลยเถิดและเขายังมีงานอีกมากมายต้องสะสาง รวมถึงงานของนิพัทธ์เองก็ด้วย

“นี่ยังโกรธผมอยู่ใช่มั้ย”

“ผมไม่ได้โกรธ แต่มันเช้าอยู่ผมไม่มีอารมณ์”

นิพัทธ์ขมวดคิ้วสงสัย เขาเอื้อมมือไปสัมผัสที่เบื้องล่างอีกครั้ง ต้านแรงมือจากพิรัลที่พยายามดึงออก ส่วนนั้นยังคงอ่อนตัวในคราวแรก พิรัลพะว้าพะวงกับการขับรถเพราะยิ่งขับเข้าใกล้ตัวเมืองรถก็ยิ่งมากขึ้น กลายเป็นว่าเขาปล่อยให้นิพัทธ์นวดคลึงส่วนนั้นพลางตั้งสติคิดแต่เรื่องบนท้องถนน แต่เมื่อถูกรุกเร้าเข้ามาก มือที่จับพวงมาลัยเริ่มบีบแน่นระบายอารมณ์ เขารู้ตัวว่าอวัยวะที่อยู่ใต้กางเกงสแล็คสีดำขยับขยายจึงเบี่ยงหลบและจับมือนิพัทธ์ออกห่าง

เด็กหนุ่มล่วงรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง เขารุกเร้าต่อด้วยการผ่อนปรนให้พิรัลจับมือออกแต่ตลบหลังด้วยมืออีกข้างซึ่งเอื้อมไปรูดซิปกางเกงลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวใสก้มลง มุดอยู่ที่เป้า พิรัลกระสับกระส่ายเมื่อลมหายใจปะทะเข้ามาผ่านกางเกงชั้นใน

“กานต์ ผมไม่มีอารมณ์หรอก ผมขับรถอยู่”

คำพูดของพิรัลไม่อาจส่งถึงอีกฝ่ายได้ เพราะนิพัทธ์เริ่มใช้ลิ้นแลบเลียอวัยวะที่โผล่พ้นเนื้อผ้า แม้ว่ามันยังไม่ขยายตัวเต็มที่แต่ก็ดูอวบอัดยวนใจนิพัทธ์มากพอแล้ว เด็กหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลง ลิ้นชื้นแฉะทำหน้าที่ ผสมผสานด้วยมือคลึงเคล้า เขาพอใจที่เห็นมันพองตัวขึ้นทีละน้อยเมื่อรับเข้าปากไปทั้งหมด

พิรัลลงความเห็นแล้วว่าตัวเองแพ้อย่างราบคาบ เขาเลี้ยวเข้าไปในซอยหนึ่งที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น จอดอยู่ในซอกที่พบเห็นโดยไร้การฉุกคิดสิ่งใด เขาจับกลุ่มผมนิพัทธ์ดึงออก รูดซิปลงจนสุด เผยท่อนเนื้อที่ขยายตัวสู่ภายนอก ก่อนโน้มหน้านิพัทธ์เข้าหาและยัดเยียดสิ่งนั้นเข้าปากด้วยความร้อนรน เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีผลักไส เขาชอบเสียอีกเวลาเห็นพิรัลเผยด้านดิบเถื่อน ท่อนเนื้อที่แทรกอยู่ในปากขยายใหญ่กว่าเดิม ส่วนปลายเริ่มถูไถไปตามกระพุ้งแก้ม นิพัทธ์ดูดมันหนักหน่วงราวกับกระหาย น้ำลายของเขาเคลือบแก่นกายไปถ้วนทั่ว เขาเห็นมันในตอนที่คายออกเพราะไม่สามารถรับสิ่งขยายใหญ่นั่นได้ทั้งหมด

ชายหนุ่มอายุมากกว่าฝืนบังคับ เขาจับศีรษะของนิพัทธ์ไว้มั่นเหมาะและชำเราปากของนิพัทธ์ด้วยท่อนเนื้อซึ่งแข็งตัวเต็มที่ ดวงตาสีเข้มจดจ้องมองดูสีหน้ากระอักกระอวนของอีกฝ่ายแต่ไม่มีท่าทีอ่อนข้อให้ ในเมื่อห้ามแล้วไม่ฟัง ในเมื่อห้ามแล้วแต่ยังดื้อดึง เขาก็จะสนองให้ เป็นแบบนี้ดีเสียอีก เขาเองก็เป็นเพียงชายหนุ่มผู้ซึ่งชอบการถูกปรนเปรอด้วยปากเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ผ่านมาเป็นเพราะไม่อยากให้คนรักต้องทนอึดอัดที่ใช้ปาก จึงไม่ค่อยได้สนองแบบจัดเต็มให้ แต่คราวนี้พิรัลไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังแทรกกายอยู่ในโพรงปากดั่งใจต้องการ

มือสองข้างจับกดศีรษะนิพัทธ์ให้รองรับท่อนเนื้อที่ขยายเหยียดยาว เสียงอู้อี้ที่ดังเล็ดลอดออกมานั้นฟังไม่ได้ความ เขารู้สึกได้ถึงแนวฟันที่เสียดสีในบางคราว รู้สึกถึงส่วนปลายที่เบียดอัดเข้ากับเพดานปาก ใช้เวลาพักใหญ่จากท้องฟ้าสีมืดในเวลาเช้าตรู่เริ่มเห็นแสงรำไรจากดวงอาทิตย์ที่ซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆ

พิรัลดึงศีรษะของเด็กหนุ่มออกห่าง บีบปากก่อนจะสาวท่อนเนื้อรัวเร็วเมื่ออารมณ์วาบหวามกระจุกตัวจนแน่นล้น เขามองน้ำขาวขุ่นพุ่งใส่เข้าปากอีกฝ่ายด้วยความพึงใจ มันไหลเยิ้มอยู่ที่ข้างแก้มบางส่วนก่อนจะเปรอะคางโดยไม่ได้ตั้งใจ พิรัลพรูลมหายใจเมื่อเห็นลิ้นแลบเลียน้ำที่เลอะอยู่มุมปาก เขาถึงกับร้องด้วยความเสียวซ่านยามเมื่อนิพัทธ์กลับมาครอบครองส่วนนั้นด้วยปากอีกครั้งราวกับเป็นแท่งแห่งความหฤหรรษ์

“อร่อยมากมั้ย”

นิพัทธ์ผงกหัวขึ้น มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และครางเครือตอบรับแท่งหรรษา ดวงตาสีเข้มเหลือบมอง มือถือครองส่วนที่เริ่มอ่อนตัวพลางแลบเลียจากส่วนโคนจนสุดความยาวของอวัยวะด้วยลิ้น พิรัลยิ้มมุมปากพึงใจค่อยๆไล้ลูบแก้มก่อนรั้งใบหน้าแสนรักเข้ามามองตา แล้วคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำกามให้อย่างแผ่วเบา

“พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“ผมรักพี่จริงๆนะ อย่าเพิ่งเบื่อผมนะครับ”

พิรัลนิ่งเงียบครุ่นคิดสิ่งต่างๆ และมองลึกสำรวจดวงตาของคนตรงหน้า เขาไม่ใช่พวกพูดก่อนคิด ในบางครั้งมันทำให้เขาตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามได้ช้ากว่า แต่ทุกครั้งที่เขาพูดมันผ่านการกรั่นกรองมาเป็นอย่างดี

“กานต์ ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมกานต์ถึงคิดแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ผมพูด ผมก็จะพูดตรงๆ ผมอายุจะสี่สิบแล้วนะกานต์ ผมไม่เคยมีแฟนเด็กเท่ากานต์มาก่อนเลย แต่ผมอยากให้กานต์รู้ว่าผมจริงจังเรื่องของเรามาก ผมไม่ได้มองแค่เรื่องที่เราเข้ากันได้ดี แต่ผมมองไปถึงว่าถ้าวันหนึ่งผมจะต้องเจอหน้ากานต์ทุกวันไปเรื่อยๆผมจะเบื่อกานต์มั้ย ถ้าวันหนึ่งผมจะต้องมีอะไรแค่กับกานต์คนเดียวผมจะเบื่อมั้ย หรือถ้าวันหนึ่งผมไม่สามารถมีอะไรกับกานต์ได้อีกผมจะยังเบื่อกานต์มั้ย ผมไม่อยากบอก ไม่อยากสัญญาอะไรทั้งนั้น แต่ผมอยากให้กานต์เชื่อว่าผมจริงจังกับกานต์มาก… เป็นผมหรือเปล่าที่ควรกลัวว่ากานต์จะเบื่อผม เบื่อที่ผมแก่แล้ว เบื่อที่ผมไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กวัยอย่างกานต์…”

พิรัลเงียบเสียงลง มองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะจูบที่ริมฝีปาก “กานต์ อย่าเพิ่งเบื่อที่ผมจริงจังกับความรักของเรา อย่าเพิ่งเบื่อถ้าผมจะรักกานต์มากกว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ อย่าเพิ่งเบื่อผมนะกานต์”

ชายหนุ่มร้องขอด้วยประโยคคล้ายคลึงและมีความหมายเดียวกัน เขาไม่อาจเรียกร้องให้นิพัทธ์รักเขามากกว่าที่เป็นอยู่ มันเป็นเรื่องเหนือการควบคุม พิรัลตระหนักแก่ใจว่าคนเราย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเสมอ และแม้ว่าเวลานี้เขาจะลุ่มหลงรักนิพัทธ์มากขนาดไหน แต่เสี้ยวหนึ่งในความรู้สึกพิรัลรู้ดีว่ามันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง คนเราต้องจากลากันเสมอ เพียงแค่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเราจะจากกันด้วยเรื่องอะไร สำหรับพิรัลความรักไม่เป็นอนันต์เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อเขาตายความรักก็สลายไปพร้อมกับลมหายใจของเขานั่นแหละ

นิพัทธ์ไม่ตอบรับหรือมีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ เขาเพียงแค่นั่งฟังถ้อยคำยืดยาว และคิดสาปแช่งความจริงจากอดีต สาปแช่งให้มันกลายเป็นสสารและแตกหักดับสูญก่อนพิรัลจะพาลพบความจริงนั้น

แต่นิพัทธ์คงลืมไปว่าสสารไม่มีวันสลายหายไปจากโลกนี้ เพียงแต่แปรเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่น



จำนวนงานมากล้นจนเด็กใหม่(ค่อนไปทางเก่า)อย่างนิพัทธ์แทบรับมือไม่ไหว ในช่วงแรกของการทำงานเขายังจัดการบริหารงานได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ฉายเดี่ยวติดตั้งอุปกรณ์ไอทีในร้านค้าขนาดใหญ่ เขาเพิ่งรู้ตัวว่านี่แหละคือเนื้องานที่แท้จริง ก่อนหน้านี้เขาเคยไปออนไซต์ติดตั้งอุปกรณ์ให้ลูกค้าแล้ว แต่มันเป็นเพียงร้านค้าเล็กและเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งง่ายไม่ซับซ้อน

ไซต์ที่ร้านฟาสฟู้ดแห่งหนึ่งนิพัทธ์พบเจอปัญหาซึ่งเกิดจากช่างรับเหมาก่อสร้างที่มาทำงานเกี่ยวกับระบบน้ำอะไรสักอย่าง เขาเรียนวิศวะฯมาก็จริง ผ่านการซ่อมอุปกรณ์เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆมามากมาย หรือแม้กระทั่งทำงานช่างฝีมือก็ดี แต่เขาไม่มีความชำนาญทางด้านประปาเลยแม้เพียงน้อยนิด และตอนนี้เขาถูกลูกค้าคาดหวังว่า ‘เอนจิเนียร์นิพัทธ์’ จะซ่อมท่อน้ำแตกให้

นอกจากจะไม่สามารถทำงานในส่วนของตัวเองได้ ปัญหาจากคนอื่นคงไม่ต้องพูดถึง เขาพยายามอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่าเมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตัวเขาเองไม่สามารถรับผิดชอบให้ได้ เพราะไม่อยู่ในขอบเขตของงาน แต่ลูกค้าที่มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการไม่รับฟังเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเมื่อคิดว่ารับมือไม่ไหวเขาจึงต่อสายด่วนถึงพิรัลที่เป็นหัวหน้า เขายืนอยู่ที่หน้าเค้าเตอร์รับออเดอร์อาหาร มองน้ำที่ไหลเจิ่งนองเฉอะแฉะ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงคิดว่าคนเป็นวิศวะกรจะสามารถซ่อมทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ นิพัทธ์ก็แค่ชำนาญในสาขาที่ร่ำเรียนมาก็เท่านั้น

เด็กหนุ่มพบว่าตัวเองล้มเหลวทางด้านการต่อรองกับคนอื่น เมื่อเป็นทางการเขายังอ่อนประสบการณ์เหลือเกิน ใช้เวลาอึดใจใหญ่กว่าผู้จัดการร้านจะเดินมาคืนโทรศัพท์มือถือให้ พร้อมกับบอกว่าจะให้ช่างรับเหมาก่อสร้างมาจัดการเรื่องท่อแตกก่อน และจะนัดหมายให้ทางนิพัทธ์เข้ามาติดตั้งอุปกรณ์อีกครั้ง วันนั้นการออนไซต์ของนิพัทธ์จบลงโดยยังไม่ได้แสดงศักยภาพเลยสักนิด

จากนครปฐมใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเข้าสู่ตัวเมืองได้ เกือบบ่ายสามที่นิพัทธ์มาถึงออฟฟิศ เขาเข้ามาจัดการงานเอกสาร และเช่นเคยไม่มีใครอยู่ที่คอกเพราะหญิงกับโอมออนไซต์อยู่ที่ต่างจังหวัด หวานและพิรัลประชุมงานทั้งปีทั้งชาติ เขาเปิดแลปทอปทำงาน เช็คอีเมลตอบอีเมลไปตามเนื้องาน สมาธิที่มีจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำจนไม่ล่วงรู้ว่ามีคนเข้ามาประชิดตัว

“ไปออนไซต์คนเดียวมาเป็นไงบ้าง”

เสียงที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้สมาธิหลุดออกจากงานตรงหน้า นิพัทธ์หันกลับมาตามเสียงก่อนจะถอนหายใจยาวแต่ไม่ตอบรับคำถาม

กรณ์นั่งลงด้านข้าง เท้าแขนบนโต๊ะ จดจ้องมองเด็กหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นหลานด้วยรอยยิ้ม “ว่าไง จะไม่พูดกับอาหน่อยเหรอ”

“เลิกยุ่งกับผมสักที”

อีกฝ่ายไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน อีกทั้งยังหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องน่าขบขันสักนิด “ไม่ยุ่งไม่ได้สิ เราเป็นญาติสนิทกันนะ”

นิพัทธ์เมินเฉย พยายามจดจ่อตั้งสมาธิกับงานตรงหน้า

“เห็นกานต์ตั้งใจทำงานแบบนี้อานึกถึงสมัยที่เราอยู่ชตุทท์การ์ทเลยนะ”

ท้ายประโยคเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มจนมือที่กำลังพิมพ์เนื้อหางานชะงักค้าง

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ห้องใต้หลังคาจะเป็นยังไง ห้องที่เราเคย...”

“เลิกยุ่งกับผมสักที”

แม้ว่าจะถูกพูดแทรกแต่กรณ์ยังคงลอยหน้าลอยตา ต่างจากนิพัทธ์ที่มีท่าทางขึงขังอย่างเห็นได้ชัด

“ผมต้องรีบส่งรีพอตให้พี่เจตน์แล้ว”

“อ้อ ส่งงาน...” กรณ์โน้มตัวเข้าหาอีกฝ่าย จ้องตาก่อนจะยิ้มราวกับท้าทาย “ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ” เขาทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะเดินออกไป


ความเครียดสุมกองอยู่ในอกของพิรัลตลอดช่วงเวลาประชุม เขาถูกกดดันอย่างหนักด้วยเรื่อง Performance ภาพรวมของทีม ปัญหาการซ่อมอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของร้านแห่งหนึ่งกลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โต เพราะลูกค้าแจ้งซ่อมมาหลายครั้ง เปลี่ยนเครื่องสำรองให้ก็แล้ว ซ่อมให้ก็แล้ว แต่อุปกรณ์ชิ้นดังกล่าวยังคงใช้งานไม่ได้ดี จนเรื่องบานปลายทะลุมาถึงระดับหัวเรือใหญ่ ตัวเล็กหัวลีบอย่างพิรัลจะสามารถโต้แย้งสิ่งใดได้เนื่องจากหน้าที่นี้เป็นความรับผิดชอบของเขาทั้งหมด

พิรัลปวดหัวจนรู้สึกถึงอาการเต้นตุบตับที่ขมับ อีกทั้งยังปวดลามมาถึงเบ้าตา และเนื่องจากจ้องหน้าจอแลปทอปมาตลอดทั้งวันดวงตาของเขาจึงพร่ามัวนิดหน่อย พิรัลโดนหวานเรียกประชุมตัวต่อตัว หากพูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือพิรัลโดนหัวหน้าเรียกมาด่า เขาน้อมรับคำตำหนิ เถียงบ้าง อธิบายบ้าง ก้มหน้าก้มตารับความผิดบ้างไปตามเนื้องาน หวานออกไปจากห้องประชุมเล็กก่อนเพราะมีธุระส่วนตัว พิรัลนั่งอยู่ในห้องนั้นต่ออีกพักหนึ่งเพื่อคิดงานก่อนจะเดินออกไปบ้างเมื่อท้องร่ำร้องประท้วงบอกถึงความหิวโหย

เวลาล่วงเลยหลังจากเลิกงาน แต่พิรัลยังเห็นแผ่นหลังคุ้นเคยในคอกทำงาน เพียงเท่านั้นเขารู้สึกราวกับได้รับพลังชีวิตมหาศาลแล้ว พิรัลก้าวยาวๆหมายประชิดตัวคนรักแต่เขาสังเกตเห็นใครอีกคนนั่งเท้าแขนลอยหน้าลอยตาอยู่ด้วย สองเท้าที่เคยก้าวเร็วชะลอลง หูคอยเงี่ยฟัง หัวใจของพิรัลเต้นแรง มันปวดหนึบขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย เขาหลีกเข้ามาอีกทางซึ่งเป็นห้องที่เชื่อมต่อกับคอกทำงาน ยืนทำทีเป็นกดโทรศัพท์มือถือ แต่ประสาทการรับรู้นั้นอยู่ที่เหตุการณ์ตรงหน้าทั้งหมดทั้งมวล

พิรัลรู้ว่ากรณ์คือมลพิษที่คอยบั่นทอนความสุขในตัวนิพัทธ์ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่ได้โง่งมเหมือนพระเอกละครหลังข่าวที่มารู้ทุกอย่างภายหลังในตอนอวสาร พิรัลรู้ว่าระหว่างนิพัทธ์กับกรณ์ต้องมีความหลังบางอย่าง แต่จะให้เขาทำอย่างไร จะให้เขาง้างปากนิพัทธ์เพื่อเค้นความจริงก็ดูจะโหดร้ายไปเสียหน่อย ความอยากรู้มาพร้อมกับความเป็นห่วงแต่หากนิพัทธ์ตรองดูแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดถึง พิรัลคงจะต้องยินยอมน้อมรับสิ่งนั้นไว้

เขาเห็นกรณ์ลุกขึ้นกำลังเดินออกจากคอก แต่แล้วกรณ์กลับชะงักและเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง นิพัทธ์สะดุ้งตกใจในตอนที่กรณ์เข้ามาประชิดตัว ดวงตาของเด็กหนุ่มเลิ่กลั่กลนลาน ร่างกายเกร็งด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของพิรัลบีบแน่น มันหนักที่หน้าอก และเขาเริ่มหายใจลำบาก ภาพของกรณ์กำลังฝืนบังคับกอดนิพัทธ์ทำให้พิรัลปวดหนึบในทรวงอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มือของเขาข้างหนึ่งกำโทรศัพท์มือถือแน่น ส่วนอีกข้างพยุงตัวเองกับประตูจึงทำให้เกิดเสียงดัง หูของพิรัลอื้ออึงเหมือนมีลมหวีดหวิว เขาฟังเสียงเรียกจากนิพัทธ์ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาไม่รู้เรื่อง เขามองหน้านิพัทธ์ เห็นปากขยับเอื้อนเอ่ย มันช้าลงเรื่อยๆ เขามองเห็นกรณ์ สีหน้าที่มักระรื่นลอยไปลอยมาดูสงบนิ่ง พิรัลมองมาที่นิพัทธ์อีกครั้ง และหยุดสายตาไว้ที่เด็กหนุ่มคนนี้

“คุณเจตน์ คุณจะไปไหน ต้องกินยาอะไรมั้ยผมจะหยิบให้” กรณ์เดินมาดักทางพิรัลไว้ด้วยสีหน้าสงบเช่นเคย

หากแต่นิพัทธ์กลับลนลานไปหมด เขาไม่รู้ว่าทำไมพิรัลถึงต้องกินยา เพราะในหัวตอนนี้เขาครุ่นคิดถึงแต่เรื่องอื่น เรื่องที่พิรัลเห็นเขาอยู่กับกรณ์ “กินยาทำไม พี่เจตน์เป็นอะไรครับ” นิพัทธ์ไม่ถึงกับแตกตื่นเป็นบ้าเป็นหลัง แต่เขาเป็นกังวลไปเสียทั้งหมด กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น กังวลกับสภาพย่ำแย่ของพิรัลในเวลานี้

กรณ์ยืนนิ่ง มองดูหลานของตัวเองที่ช่วยพยุงชายหนุ่มอีกคน เขาแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะเฉลยในสิ่งที่คิดว่านิพัทธ์ยังสงสัย “กานต์ไม่รู้เหรอว่าคุณเจตน์เป็นโรคหัวใจ”

นิพัทธ์ค้างชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะช่วยพยุงพิรัลมานั่งบนเก้าอี้ในคอก พิรัลเองก็นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยหัวใจอันหนักหน่วง กรณ์มองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะราวกับกำลังเบื่อหน่ายฉากละครน้ำเน่า

“นี่คบกันยังไงกานต์ถึงไม่รู้ว่าแฟนมีโรคประจำตัว”

“..................”

“อ้อ หรือว่าไม่ได้คบกันจริงจัง เป็นแค่คู่นอนกันเฉยๆ...”

“..................”

กรณ์มองดูอีกสองคนที่ยังคงไม่พูดกล่าวสิ่งใด นิพัทธ์จ้องมองพิรัลด้วยอาการตกตะลึง ส่วนอีกฝ่ายกำลังพังพาบสภาพย่ำแย่จากโรคประจำตัว เขาตัดสินใจหยิบกระเป๋าของพิรัลขึ้นมารื้อค้นหายา “โทษทีนะที่รื้อของส่วนตัว ผมจะหายาให้คุณ ยาอยู่ตรงไหนล่ะ”

“ไม่มี” พิรัลกล่าวสั้นๆ หากแต่เรียกสายตาแห่งความประหลาดใจจากคนสองคนเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี

กรณ์เลิกคิ้วสูงขณะมือยังล้วงค้นเพื่อหายาประจำโรคให้ เขาไม่คาดหวังว่าจะให้มีใครตายลงไปต่อหน้าต่อตาเสียหน่อย “หมายถึงยังไง”

พิรัลกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “ไม่มียา” เขาคว้ากระเป๋าของตัวเองมาจากมือของกรณ์ นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจอันหนักเหนื่อยเหมือนมีก้อนหินสุมทับไม่รู้จบ




************************************



 :katai5:



ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

ออฟไลน์ yodyahyee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ต่างคน...ก็ต่างเก็บงำ แล้วเมื่อไหร่ อะไรๆมันจะดีขึ้นล่ะ :mew2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เกลียดอีคุณอา น้องรู้แล้ว ทีนี้ก็มาทำให้อิพี่กินยานะลูก  :katai1:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เอาอีอากรณ์ไปเก็บ​ เกลียดดดดดดด :z6:
พี่เจตกินยาเถอะนะคะ​น้องรู้แล้ว  จะได้อยู่กับกานต์นานไง

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่สิบ




อาการปวดหนึบของพิรัลไม่หายไปเสียที อีกทั้งยังรู้สึกกดดันจากสายตาสองคู่ที่มองมา เขาเกลียดสายตาแห่งความเห็นอกเห็นใจจากคนอื่น ยิ่งเป็นสายตาจากนิพัทธ์ยิ่งทำให้รู้สึกราวกับว่าตัวเขานั้นไร้สภาพไปหมดสิ้น เขาเกลียดหากนิพัทธ์จะปฏิบัติต่อเขาเช่นคนป่วย พิรัลไม่เคยต้องการสายตาแบบนี้จากใครทั้งสิ้น

พวกเขาอยู่ที่ตรงนั้นในความเงียบงัน จมอยู่ภายใต้ความคิดของตัวเอง จนกระทั่งกรณ์เป็นคนเอ่ยถามถึงอาการป่วยของพิรัลอีกครั้งทุกอย่างที่ถูกแช่แข็งไว้พลันละลายลง พิรัลปฏิเสธรับความช่วยเหลือ เขาเก็บของส่วนตัวลงกระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นหมายมุ่งตรงกลับบ้าน ทว่าหัวใจของเขาประท้วงร้องปวดหนึบ เขาอดกลั้นเดินไปจนถึงบริเวณโถงยืนรอลิฟต์ แต่เพียงแค่จะยกนิ้วกดปุ่มพิรัลยังรู้สึกไร้กำลัง เขาพยุงร่างด้วยการเท้าแขนพิงกับกำแพง กระเป๋าถูกปล่อยลงพื้น มือข้างหนึ่งกอบกุมหน้าอกที่รวดร้าว เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ได้ยินเสียงเรียก รับรู้ว่าเป็นกรณ์กับนิพัทธ์แต่เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ทุกอย่างช่างดูหนักเหนื่อย เชื่องช้า พิรัลปิดเปลือกตาลง เสียงขานเรียกชื่อจากนิพัทธ์แผ่วเบาลางเลือนลงทุกที

พิรัลเหมือนอยู่ในสถานที่ซึ่งเคว้งคว้าง เหมือนหลุดลอยอยู่ตรงไหนสักแห่งที่ไม่มีผืนแผ่นดิน หัวใจของเบาโหวงมันคงหล่นหายไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง น่าแปลกทั้งที่เป็นเพียงอวัยวะชิ้นเดียว แต่เมื่อมันหายไปตัวของเขากลับเบาหวิว ขาของเขาลอยขึ้นจากพื้น อยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก เขาอาจอยู่บนดวงจันทร์หรืออาจลอยละล่องมายังดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก

พิรัลมองเห็นจุดสีสว่าง ณ ที่แห่งนั้น เขาแหวกว่ายตัวเองเข้าไปหาประกายสีอ่อน มันยังอยู่ที่เดิม แต่ร่างกายของเขาแทบไม่เคลื่อนไหว เขาออกแรงสุดพลังที่มี ทว่าไม่ไปไหน เขายังอยู่ที่เดิม พิรัลพยายามอีกครั้ง ตัวของเขาขยับเคลื่อนเล็กน้อย มันไม่อยู่นิ่ง แต่ใช้เวลายาวนานเหลือเกินในการเดินทางไปยังจุดสว่างตรงนั้น มันไม่เหมือนทุกที มันต่างออกไป ยากกว่าเดิมและใช้เวลานานราวกับไม่ใช่เวลาบนโลกมนุษย์ ชายหนุ่มเกิดความสงสัย เมื่อไหร่กันกว่าจะเดินทางไปถึงที่ตรงนั้น

ใจของนิพัทธ์ร้อนรนเหลือเกิน เขาคาดไม่ถึงว่าความรู้สึกวูบโหวงเหมือนถูกพรากทุกอย่างออกไปจากชีวิตจะขึ้นในเวลานี้ เขารักพิรัล รักที่ไม่เกี่ยวข้องกับนิสัย ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด แม้แต่กาลเวลายังไม่สัมพันธ์กับความรักที่เขามีให้ชายหนุ่มคนนี้ เขาไม่เชื่อหากกล่าวว่าระยะเวลาเพียงเท่านี้จะสามารถรักคนแปลกหน้าได้ นิพัทธ์รักพิรัลเข้าเต็มหัวใจ เขาประจักษ์แก่ตนเองแล้วในเสี้ยววินาทีที่เห็นพิรัลทรุดลงต่อหน้าในบริเวณโถงกลางที่ทำงาน ความรู้สึกของเขาก้าวผ่านความคลางแคลงใจ ไม่ว่าอย่างไร ณ เวลานี้เขารักพิรัลอย่างไร้ข้อกังขา ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ความรักของเขามันท่วมท้นในสถานการณ์เลวร้าย มันทวีความห่วงใยอาทร และหวงแหนชีวิตของพิรัลยิ่งกว่าสิ่งใด

กรณ์กับเขาช่วยพยุงร่างพิรัลเพื่อไปหาหมอ โชคดีที่กรณ์ไม่ใจจืดใจดำทิ้งขว้างกันในช่วงเวลาแบบนี้ แต่กระนั้นนิพัทธ์ขับไสกรณ์ให้หายจากไป เขายืนกรานว่าตอนนี้ขอใช้ชีวิตอยู่กับพิรัล กรณ์มีสีหน้านิ่งเฉยด้วยสติที่พรั่งพร้อมมากกว่า เขาวางกุญแจรถไว้ให้นิพัทธ์ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น ไม่ว่าเขาจะมีความหลังอย่างไรต่อนิพัทธ์แต่นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสม เขาไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ใช่เลวเสียทีเดียว

นิพัทธ์ติดต่อพี่สาวของพิรัล แจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พิรัลอยู่ในความดูแลของแพทย์แล้ว ไม่ได้ฉุกเฉินชนิดหมดสติอะไรขนาดนั้นแต่ก็อาการหนักพอควร เธอไม่ได้ตื่นตกใจเหมือนอย่างที่เขาคิด เธอเพียงแค่บอกให้นิพัทธ์อยู่ที่โรงพยาบาลจนกว่าเธอจะเดินทางไปถึง

ระหว่างนั้นนิพัทธ์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาไปติดต่อที่ฝ่ายลงทะเบียนผู้ป่วย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิรัลมีสิทธิรักษาพยาบาลอะไรหรือเปล่า ทางเจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้เขาโทรหาญาติของพิรัล เขาบอกเจ้าหน้าที่ว่าติดต่อไปแล้วและไถ่ถามว่ามีอะไรที่เขาสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ คำตอบช่างน่าผิดหวัง เขารักพิรัล ได้แต่รักและห่วงใย แต่ไม่สามารถช่วยเหลือทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย

จุ๊บแจงมาถึงโรงพยาบาลในเวลาถัดมา ถามถึงความคืบหน้าแต่นิพัทธ์เองก็ไม่รู้อะไรเพิ่มเติม ในตอนนั้นพวกเขาทำได้เพียงแค่รอ

“อย่าเพิ่งบอกแม่นะ” เธอว่าเช่นนั้น “พี่ไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเจตน์”

“พี่เจตน์ไม่เคยบอกผมเลยว่าเป็นอะไร”

จุ๊บแจงถอนหายใจยาว สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน

“ผมไม่เข้าใจ เจอหน้ากันแทบทุกวันแต่เขาไม่เคยบอกอะไรผมเลย”

“อืม นี่แหละเจตน์” จุ๊บแจงส่งยิ้มเบาบางให้ ตอนนั้นนิพัทธ์เพิ่งสังเกตว่าเธอมาถึงโรงพยาบาลด้วยใบหน้าเปลือยเปล่า ไม่มีแม้แต่คิ้วที่ปกติมักเขียนอย่างสวยงาม “กับที่บ้านยังแทบไม่ค่อยได้คุยเรื่องนี้กันเลย กานต์ไม่ต้องแปลกใจหรอก”

“ไม่ค่อยคุย หมายถึงยังไงครับ เรื่องแบบนี้มันปิดกันได้เหรอ”

“ที่บ้านรู้แค่ว่ามันเป็นโรคหัวใจ แต่เจตน์ไม่เคยบอกเลยว่ามีอาการอะไรยังไงบ้าง ทำเหมือนว่ามันเป็นหวัดเดี๋ยวก็หาย”

นิพัทธ์จับน้ำเสียงโกรธเคืองจากจุ๊บแจงได้ เขาเข้าใจเพราะตอนนี้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกัน

“เดี๋ยวพี่ไปฝ่ายทะเบียนก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงบ้าง ปกติไม่ได้รักษาที่นี่น่ะ”

นิพัทธ์ส่งเสียงตอบรับ เขานั่งอยู่ตรงนั้นมองแผ่นหลังของแจงเดินจากไป ในสมองของเขาครุ่นคิดถึงหลายสิ่งอย่าง ทั้งอาการป่วยของพิรัล รวมไปถึงเรื่องระหว่างเขากับกรณ์

นิพัทธ์เห็นพยาบาลเดินออกมาพร้อมกับพิรัล เธอพูดอะไรสักอย่างคงจะชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการเข้ารับรักษาของที่โรงพยาบาลแห่งนี้ พิรัลตอบรับก่อนเดินมาหานิพัทธ์ที่กำลังเดินก้าวขาเข้าไปหาเช่นกัน

“เดี๋ยวผมไปจ่ายเงินก่อน”

“เอาใบเสร็จมาครับ เดี๋ยวผมไปจ่ายให้พี่เอง”

พิรัลมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉยก่อนจะเดินผ่านไป

“ผมโทรบอกพี่แจงแล้วนะครับ ตอนนี้พี่แจงกำลังไปถามเรื่องสิทธิรักษา”

“อืม” ชายหนุ่มตอบรับ แต่ยังก้าวขาไปในทางที่นิพัทธ์ไม่รู้เช่นกันว่าจะไปไหน

“พี่เจตน์” เขาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ โชคดีที่เวลานี้ผู้ป่วยไม่ขวักไขว่มากนักเขาจึงกล้าเข้าประชิดตัวพิรัล “ทำไมไม่บอกผมเรื่องนี้ พี่เห็นว่าผมพึ่งพาอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ”

พิรัลเงียบไม่ยอมตอบ

“พี่เจตน์โกรธอะไรผมหรือเปล่าครับ ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้โกรธจริงๆ”

“ผมไม่ได้โกรธ เลิกคิดว่าผมโกรธกานต์ได้แล้ว” พิรัลเสียงแข็ง มองหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะพยายามระงับอารมณ์

“จะให้ผมคิดยังไงล่ะในเมื่อพี่เจตน์เงียบแบบนี้อะ”

“จะให้ผมพูดยังไงล่ะกานต์ ให้ผมบอกกานต์เหรอว่าผมเป็นโรคห่าเนี่ย”

ในช่วงนั้นแจงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหรอหรา แต่เธอพอจะเดาได้จากสีหน้าของชายหนุ่มทั้งสองว่ากำลังทะเลาะกัน “เจตน์ กานต์ อย่ามาทะเลาะกันที่นี่ โตๆกันแล้ว” เธอกล่าวเช่นนั้นก่อนจะคว้าเอกสารจากมือของพิรัลมาอ่านดู “พี่จะไปจ่ายเงินกับรับยาให้ เธอสองคนไปเคลียร์กันให้รู้เรื่อง”

“แจง เดี๋ยวเจตน์ทำเอง แจงกลับบ้านไปอยู่กับลูกเถอะ”

เธอถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “ฉันยังเป็นคนในครอบครัวแกอยู่รึเปล่าเจตน์”

สายตาตัดพ้ออ่อนใจจากพี่สาวทำให้พิรัลมีแต่ความเงียบงัน สองพี่น้องมองตากันก่อนที่แจงจะเป็นฝ่ายเดินไปจัดการเรื่องต่างๆโดยทิ้งท้ายบอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อน



ความเงียบส่งเสียงแทนพวกเขาระหว่างที่อยู่ในรถยนต์ นิพัทธ์ขับรถของกรณ์พาพิรัลมาที่คอนโดของตัวเอง ชายหนุ่มอายุมากกว่าเงียบปากสนิท ไม่ว่านิพัทธ์จะถามอะไรพิรัลไม่เอ่ยพูดด้วยเลย แต่ถึงอย่างนั้นพิรัลยังคงเดินตามเขาขึ้นมายังด้านบน นิพัทธ์วางของไว้บนโต๊ะตามความคุ้นเคย เขายืนดื่มน้ำอยู่ที่หน้าตู้เย็นพลางมองพิรัลที่กำลังล้างมือ

นิพัทธ์รู้สึกโกรธที่พิรัลไม่ยอมเปิดปากพูดความจริงว่ากำลังถูกโรคทางหัวใจรุมเร้า แต่เวลานี้หัวใจของนิพัทธ์หนักหน่วง มันร่ำร้องให้เขาสารภาพความอัปยศในชีวิตออกไป เขาไม่แน่ใจนักว่าพิรัลตีความต่อสิ่งที่เห็นในที่ทำงานแบบใด นิพัทธ์ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมอยู่ๆกรณ์ถึงทำแบบนั้น เขามีเพียงความจริงจากอดีตที่พูดออกมาได้อย่างยากลำบาก

“ผมเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดมันตีบ ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอพูดอะไรบ้าง ผมไม่ค่อยได้ฟัง”

พิรัลเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากหุบปากสนิทมาเป็นเวลานาน

“ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง ไม่อยากให้กานต์มองว่าผม… เป็นคนป่วย” ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้บริเวณนั้น ดวงตาจดจ้องอยู่ที่มือตัวเองราวกับมีอะไรน่าสนใจ หากว่ากันตามตรงเขาไม่กล้ามองตานิพัทธ์ เขาจิตนาการไปถึงแววตาแห่งความเวทนาต่อผู้ป่วย แววตาที่มองว่าเขาจะกลายเป็นภาระหากคบหากันสืบเรื่อยไป

“ผมเข้าใจว่ากานต์ยังเด็ก ยังไม่อยากดูแลคนป่วยแบบผม”

“ที่ผมเห็นลาครึ่งเช้าก็คือไปหาหมอเหรอ”

“อืม ใช่”

“ยาก็ไม่กินเหรอ ทำไมอะ ผมไม่เข้าใจ”

“ผมเลือกที่จะไม่กิน ยังไงสักวันก็ต้องตายอยู่แล้ว ทำไมผมจะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำด้วย”

“แล้วผมล่ะ พี่เจตน์ไม่อยากมีชีวิตอยู่กับผมเหรอ”

พิรัลเกือบเผลอเงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่เขายังคงอยู่ในอิริยาบถเหมือนเดิม “ผมไม่รู้…”

นิพัทธ์เงียบลง หัวสมองทึบขึ้นมาชั่วขณะนั้น ตัวของเขาเย็นเยียบไปหมด คำตอบจากพิรัลทำให้เขาสิ้นหวังอย่างไม่สามารถหาเหตุผลรองรับได้

“ถ้าอยากเลิกกันก็บอกมาตรงๆ ผมเข้าใจ” พิรัลเงยหน้ามองอีกฝ่าย หัวใจของเขารวดร้าวเมื่อเห็นสีหน้าสลดเศร้า ไม่มีน้ำตาแต่พิรัลรับรู้ได้ว่านิพัทธ์กำลังรู้สึกอย่างไร แต่เขาจะปล่อยให้นิพัทธ์อยู่กับตัวเองไม่ได้อีก เขาเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแต่จะให้เขาล้มเลิกเคารพความต้องการของตัวเองก็คงทำไม่ได้ พิรัลเป็นแบบนี้ เขาเลือกที่จะไม่รักษาตัวเอง เขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปและไม่สนใจคำแนะนำหรือคำปลอบประโลมจากคนอื่น เขาแค่อยากเป็นพิรัลในวัยสามสิบหกปีผู้ใช้ชีวิตสืบต่อไป โดยไม่ต้องทนต่อสายตาแห่งความเวทนาจากใครทั้งปวง

“พี่เจตน์อยากเลิกกับผมเหรอ”

“เปล่า ไม่เคยอยากเลิกเลย”

“แล้วทำไมพี่ถึงคิดว่าผมอยากเลิกกับพี่ล่ะ”

“………..”

“ผมไม่เข้าใจพี่เจตน์ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ยอมรักษาตัวเอง แต่ทำไมพี่เจตน์ถึงคิดว่าผมจะไม่เคารพในสิ่งที่พี่เจตน์เลือกล่ะ ผมเด็กกว่าพี่เจตน์ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองนี่”

เช่นเดิม พิรัลยังคงเงียบ แต่โสตประสาทของเขานั้นรับฟังในสิ่งที่นิพัทธ์พูดทุกถ้อยคำ

“ผมรู้สึกเหมือนพี่เจตน์ไม่มั่นใจในตัวผมเลย ผมรักพี่เจตน์ ผมชอบพี่เจตน์มาก มีอะไรที่ผมยังแสดงออกมาไม่มากพอหรือเปล่าว่าผมรักพี่เจตน์มากขนาดไหน”

“งั้นบอกผมเรื่องที่บ้านได้มั้ยล่ะ ผมอยากรู้ว่ากานต์กับคุณกรณ์เป็นอะไรกันแน่”

นิพัทธ์เป็นฝ่ายชะงักไป เขามองชายหนุ่มอีกคนด้วยความรู้สึกหลากหลายรุมเร้า “ผมไม่อยากพูด”

“แล้วกานต์จะให้ผมเอาความมั่นใจจากไหนมาเชื่อว่ากานต์จริงใจกับผมล่ะ”

“…………”

“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกกานต์ว่าเป็นอะไร…” ชายหนุ่มอายุมากกว่าคว้ามือของนิพัทธ์มาแนบเข้าที่ใบหน้า พิรัลเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องพรรณนี้ เขาเกลียดการเผยว่าตัวเองนั้นเป็นโรคหัวใจ แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างปรากฏขึ้นต่อหน้าคนที่เขารักจนหมดสิ้นแล้ว พิรัลเองจะพยายามยอมรับในความจริงส่วนนั้น ขอเพียงแค่เขาต้องการรับรู้ทุกความจริงจากตัวนิพัทธ์บ้าง เขาต้องการความมั่นใจมากกว่าที่มีอยู่

“ผมขอโทษจริงๆที่ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร กานต์อย่าโกรธผมนะ”

ฝ่ายคนที่เด็กกว่ายังคงเงียบ พิรัลนึกอยากยุติบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้ เขามีเรื่องที่ต้องครุ่นคิด และทางนิพัทธ์เองคงอยากได้เวลาในการทบทวนสิ่งต่างๆ แต่ช่วงขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก นิพัทธ์กลับบีบมือของเขาแน่น มันแน่นมากและเย็นเยียบ อีกทั้งยังสั่นเทาจนรู้สึกได้

“ผมเคยมีอะไรกับอากรณ์”

พิรัลนิ่งค้าง สบมองใบหน้าแสนรักด้วยความสับสน เขามั่นใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดและได้ยินประโยคนั้นชัดเจน

“กานต์หมายถึงเขาขืนใจกานต์เหรอ”

พิรัลหวังเหลือเกินว่านิพัทธ์จะมีคำตอบที่สามารถคลี่คลายความหมองหม่นนี้ลงได้ แต่ไม่ใช่เลย คำตอบเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับความสุข ใบหน้าขาวกระจ่างที่มักเปล่งประกายความร่าเริงดูสลดเศร้า ดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ฉาบฉายความทุกข์ระทมจนพิรัลรู้สึกรวดร้าว

นิพัทธ์เมินหน้าไปอีกทาง กล้ำกลืนฝืนทนไม่ให้ร้องไห้ อดีตของเขามันช่างน่ารังเกียจ “พ่อผมป่วยเป็นมะเร็งที่ปอด เงินทองที่มีหายไปกับการรักษาจนหมด แต่ว่าอากรณ์ช่วยเอาไว้ ทั้งเงิน ทั้งดูแลครอบครัวผม อาการพ่อแย่ลงอากรณ์เลยให้พ่อไปรักษาตัวที่เยอรมัน ก็ไม่เชิงว่ารักษาตัวหรอกแค่อยากให้พ่อผมอยู่ในที่ที่อากาศดีก่อนตาย”

เด็กหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้า พิรัลยังคงนิ่งเงียบ มือที่จับกันอยู่นั้นคลายลง มันทำให้เขารู้สึกวูบโหวงใจเกินจะทานทน แต่สุดท้ายแล้วเมื่อความจริงปรากฏมาถึงขนาดนี้นิพัทธ์คงไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้อีก

“อากรณ์เป็นน้องชายของพ่อผมก็จริง แต่เขาดีกับครอบครัวผมมาก แม้แต่ตอนที่แม่ผมจะแต่งงานใหม่เขาก็ยังดีกับแม่ผมอีก” ถึงตอนนี้นิพัทธ์ดูมีอารมณ์ขุ่นแค้นขึ้นมาเล็กน้อย เขาถอนหายใจยาวก่อนจะมองมาที่พิรัลอีกครั้ง “ตอนนั้นผมเด็กแล้วช่วงนั้นผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ผมทะเลาะกับพ่อแต่อากรณ์ก็ช่วยให้ผมกับพ่อเข้าใจกัน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอากรณ์ถึงดีกับครอบครัวผมมากขนาดนี้ ผมรู้สึกดีกับเขามากและไม่รู้ว่ามันเลยเถิดไปขนาดนั้นได้ยังไง…”

ใจพิรัลเต้นตุบตับ เขาไม่แน่ใจเลยว่าควรรู้สึกอย่างไรกับเรื่องแบบนี้ และถึงแม้ว่าจะเป็นนิพัทธ์ที่เขารักมากขนาดไหน แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวในอดีตอันผิดบาป โลกทั้งใบของพิรัลสั่นคลอนไปเสียทั้งหมด โลกที่เขาคิดว่ารู้จักดีกลับกลายเป็นโลกอีกใบที่พิรัลยังไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย

“ผมเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว และไม่อยากพูดซ้ำอีก”

พิรัลมองคนตรงหน้า ครุ่นคิด ทบทวนหลายสิ่งอย่าง

นิพัทธ์เริ่มปวดหัว มันร้าวไปหมดที่บริเวณนั้น “ผมผิดไปแล้วครับพี่เจตน์ ผมตัดสินใจผิด ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้นลงไป พี่เจตน์ครับ ผมรักพี่เจตน์นะครับ พี่เจตน์อย่าทิ้งผมไปไหนนะครับ”

พิรัลอื้ออึงไปหมด เขาไม่มีคำตอบหากนิพัทธ์เอ่ยถาม เพราะพิรัลไม่รู้ว่าเขายังรักและพร้อมยอมรับทุกอย่างที่เป็นตัวตนของนิพัทธ์หรือเปล่า พิรัลไม่มีแม้แต่ความคิดเห็นต่อสิ่งนั้น ทุกอย่างช่างว่างเปล่า



เป็นค่ำคืนที่พิรัลรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้ได้แตกสลายลง ไม่เชิงว่ามันแตกสลายไปแล้ว แต่โลกกำลังมีรอยร้าวเกินกว่าการเยียวยา และแม้ว่าจะนอนอยู่บนเตียงเดียวกันแต่พิรัลกลับรู้สึกอ้างว้างไม่เป็นเช่นเคย เขาอาจดูเป็นคนเลวร้ายหากกล่าวว่าเวลานี้ความรู้สึกที่มีต่อนิพัทธ์ได้แปรเปลี่ยนไป พิรัลไม่มีความมั่นใจ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรเอาอะไรมามั่นใจต่อความรักที่มีให้กับนิพัทธ์ มันผิดคาดไปเสียทั้งหมด เขาเคยคิดไปต่างๆนานาว่าวันหนึ่งความรักของพวกเขาอาจจบลง แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่สถานการณ์อันยากเกินกว่าจะรับไหว พิรัลไม่ทราบถึงเหตุผลที่นิพัทธ์ได้กระทำลงไปและเขาไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะเป็นตัวของเขาเองที่เจ็บปวดจากการได้รับฟังความจริง

พิรัลทบทวนความรู้สึกของตัวเอง แต่มันว่างเปล่าไปทั้งหมด เขารักนิพัทธ์อยู่หรือไม่ เขาสามารถยอมรับ ‘เรื่องนั้น’ จากอดีตได้มากแค่ไหน และปัจจุบันนี้นิพัทธ์รู้สึกอย่างไรกับอดีต ในหัวของพิรัลวนเวียนด้วยความคิดหลากหลายไม่จบสิ้น ความสันสน ความซับซ้อนในความรักครั้งนี้คือสิ่งที่เขาไม่เคยพาลพบ และไม่คิดว่าจะพบมันอีกในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่พิรัลตระหนักรู้ได้จากเรื่องนี้นั่นคือหัวใจของเขาเปราะบางเกินกว่าจะยอมรับว่านี่คือเรื่องจริง

ในคืนเดียวกันนั้นอีกความคิดหนึ่งที่ฉายชัดคือความรู้สึกของกรณ์ เขาไม่คิดว่ากรณ์พลาดพลั้งเลยเถิดกับนิพัทธ์ แต่เพราะอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น พิรัลหาคำตอบอื่นไม่ได้นอกเสียจากกรณ์ชอบนิพัทธ์ในเชิงชู้สาว เขาไม่อาจปิดกั้นความคิดส่วนนี้ ไม่อาจหยุดยั้งคิดถึงช่วงเวลาที่นิพัทธ์ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าอะไรที่กลายเป็นจุดกำเนิดความอัปยศนั่น พิรัลครุ่นคิด มีสิ่งใดบนโลกของนิพัทธ์อีกบ้างที่เขายังไม่รู้ พิรัลได้แต่คิด และไร้คำตอบให้กับทุกสิ่งอย่าง



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1


รุ่งเช้าที่คิดว่าจะได้เผชิญหน้ากัน แต่พิรัลไม่อยู่บนเตียงแล้ว นิพัทธ์ตัวเย็นเยียบไปหมดแต่เมื่อเขาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็พบว่ามีข้อความจากพิรัลบอกเพียงแค่ว่าเจอกันที่ทำงาน แค่เพียงเท่านั้น สำหรับนิพัทธ์ความหวังได้ประกายฉายส่องขึ้นกลางใจ เขามีความหวังว่าพิรัลอาจรักเขาอย่างจริงใจ และพร้อมยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต

เด็กหนุ่มไปทำงานตามปกติ เขาเห็นพิรัลในคอกตามเดิม เมื่อพบหน้ากันอีกครั้งเขาได้รับอาหารเช้าแบบง่ายๆจากพิรัลเหมือนที่หลายครั้งเคยได้รับ นิพัทธ์เผยยิ้ม ไม่เชื่อว่ารอยยิ้มนี้จะทำให้พิรัลหายโกรธเพียงแต่อย่างน้อยรอยยิ้มอาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับสิ่งดีๆในอนาคต

ในคอกไม่มีใครอยู่ นิพัทธ์จึงถือโอกาสนี้เข้าประชิดตัวพิรัลด้วยคิดว่าอยากทำตัวเหมือนเก่าก่อน แต่ผิดคาดเมื่อพิรัลแสดงออกถึงอาการชะงักค้าง ก่อนจะขยับตัวออกห่างและหาอ้างเหตุผลที่เหมือนจะฟังขึ้น แต่นิพัทธ์รู้ว่าพิรัลไม่คิดเช่นนั้น เด็กหนุ่มไม่ตอแยฝืนบังคับใจ เขาเปิดแลปทอปเช็คอีเมล พอเช็คไปได้ไม่กี่ฉบับสมาธิของเขาแตกซ่าน พิรัลอยู่ด้านข้าง ไม่คุยกับเขาเช่นเคย เหินห่าง และเปลี่ยนไปจนความหวังในใจดับมลายลง

พิรัลมองตามหลังเด็กหนุ่มที่เดินออกไปจากคอก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงอยากตามไปเพื่อใช้เวลาร่วมกัน แต่ตอนนี้เพียงแค่คิดถึงนิพัทธ์ เขากลับรู้สึกอยากรักษาระยะห่าง ทั้งกายห่างและใจก็ปรารถนาว่างเว้นจากเรื่องที่เกิดขึ้น พิรัลอยากได้เวลายืดยาวเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ อยากออกไปจากสถานการณ์วังวนเดิม เขาควรทำอย่างไร จะลาพักร้อนตอนนี้ก็สุ่มเสี่ยงต่อหน้าที่การงาน หัวหน้าของเขาใกล้จะคลอดทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้มอดีตรุ่นพี่ที่ทำงานก็ลาออกไปแล้ว ทีมของคนที่ชื่อหมิงก็ไม่สามารถ Back up งานในส่วนนี้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน หญิง โอม น้องๆในทีมรวมไปถึงนิพัทธ์ก็ยังไม่สามารถรับมือกับลูกค้ากันได้มากนัก ไหนจะยังไม่นับประสบการณ์ทางด้านการซ่อมอุปกรณ์หรือติดต่ออุปกรณ์หลากชนิดที่ค่อนข้างซับซ้อนอีก พิรัลไม่รู้ว่าควรเดินหน้าไปทางไหนดี

เขาต้องการสูบบุหรี่ แต่เมื่อหันหลังจะเดินออกไปจากห้องบ้างเขากลับพบเจอกับใครอีกคนที่กำลังเดินมุ่งมาทางนี้ และพิรัลไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างโจ่งแจ้งเลย

“จะออกไปสูบบุหรี่เหรอครับคุณเจตน์”

พิรัลตอบรับ เขาเมินมองไปทางอื่นไม่อาจมองตาของกรณ์ได้เลยแม้เพียงน้อยนิด จินตนาการของเขาผุดขึ้นมาไม่ถูกที่ถูกเวลา เขาไม่ต้องการหวนคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เรื่องที่เขาคิดว่ามันช่างผิดบาปและน่ารังเกียจ

“โทษทีนะ แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณเข้าประชุมด้วยน่ะ เรื่องงานทาวน์ฮอล คุณหวานอยู่ในห้องประชุมแล้ว”

พิรัลตอบรับอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินตามกรณ์ออกไป

กรณ์ไม่มีทีท่าเหมือนเมื่อก่อน เขาดูนิ่งสงบและจริงจังในตอนฟังหวานพูดถึงเรื่องแผนผังองกรณ์ฉบับล่าสุด ความจริงแล้วพิรัลแทบไม่เกี่ยวข้องในส่วนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะหัวหน้าของเขาใกล้จะคลอด งานทุกอย่างพิรัลจำเป็นต้องมีส่วนรับรู้เพื่อคอย Back up งานของหวาน พิรัลถือว่านี่เป็นความท้าทายมากที่สุดแล้วตั้งแต่ทำงานมาหลายปี เรื่องของนิพัทธ์หลงหายไปเมื่องานต่างๆถาโถม มันยากต่อการตัดสินใจในระดับบริหาร มันยากยิ่งกว่าการลงมือติดตั้งอุปกรณ์ที่มีความสลับซ้อนเสียอีก เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าระหว่างที่หัวหน้าของเขาลาคลอด งานทุกอย่างจะยังสามารถประคับประคองไปในทิศทางที่ดีงามได้หรือเปล่า

ประชุมครั้งนี้มีแต่การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร แผนการณ์ แนวทาง ทิศทาง หรือแม้แต่ระบบระบอบใดๆถูกถ่ายทอดลงมาจากระดับบริหารของบริษัท พิรัลนึกแปลกใจที่กรณ์ลงมาประชุมกับทีมเซอร์วิสงอกง่อย แต่ไม่ว่ากรณ์จะทำอะไรกับเรื่องงานเขามีหน้าคอยรับฟังคำสั่งเท่านั้นในฐานะลูกน้อง พิรัลเริ่มคิดถึงเรื่องอื่น เริ่มใคร่รู้ถึงตัวตนของกรณ์บ้างแต่เขาจำต้องละทิ้งเรื่องส่วนตัวและคอยบังคับตัวเองให้สมาธิที่มีจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องงาน

“งานทาวน์ฮอลผมอยากให้คุณเจตน์เข้าแทนคุณหวาน ผมคุยกับคุณหวานแล้ว”

พิรัลเลิกคิ้วสูงขึ้นเมื่อพบสิ่งประหลาดใจ เขามองไปที่หวานเพื่อสังเกตสถานการณ์แต่พบเพียงรอยยิ้มเป็นกำลังใจจากหัวหน้า การเข้างานทาวน์ฮอลของบริษัททำให้เขากดดันอย่างหนัก ระดับต๊อกต๋อยแบบเขาจะสามารถรับฟังสารจากเบื้องบนได้ใจความครบถ้วนเหมือนหวานหรือเปล่าพิรัลได้แต่นึกสงสัย

“พี่เชื่อฝีมือเจตน์ พรีเซนต์งานทีมเราแป้บเดียวเท่านั้นแหละ”

พิรัลอ่านสไลด์จากหน้าจอแลปทอปของตัวเองอีกครั้ง ทั้งตื่นเต้นและลังเลสับสนไปหมด เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนอีกสองคนในห้องประชุมก่อนจะรับปากรับคำต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย กรณ์ยิ้มการค้าเขาพูดกล่าวฝากความหวังกับพิรัล แล้วเดินออกไปจากห้องประชุม วินาทีนั้นพิรัลตัดสินใจแน่วแน่เขาขอลาพักร้อนกับหวาน หัวหน้าของเขาแสดงท่าทีประหลาดใจ เธอเปิดปฏิทินงานขึ้นมาดูโชคดีที่ช่วงนี้นอกจากงานทาวน์ฮอลแล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำด่วน สุดท้ายแล้วพิรัลได้รับอนุญาตให้ลาพักร้อนตามที่ขอไป


ช่วงเวลาพักกลางวันนั้นพิรัลชักชวนน้องในทีมไปกินข้าวเหมือนทุกครั้ง เขามองมาที่นิพัทธ์ในใจไม่อยากนึกชวนแต่เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตเขาจึงต้องส่งสัญญาณชวน นิพัทธ์ตามหลังมาด้วยสีหน้าราบเรียบ เด็กหนุ่มรั้งท้ายอยู่กับหญิงคุยเรื่องทั่วไปตามประสาคนติดเกม พิรัลนึกโล่งใจที่บรรยากาศไม่แย่ไปมากกว่านี้ อย่างน้อยการมีคนอื่นอยู่ร่วมด้วยก็ไม่ทำให้เขาฟุ้งซ่านคิดถึง ‘เรื่องนั้น’ อีก

พิรัลรักงานที่ทำ เขาถือว่านี่เป็นอีกก้าวที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพ และยิ่งได้รับงานใหม่ๆเข้ามามันทำให้เขาหมกมุ่นกับสิ่งนี้ พิรัลคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วเพราะไม่เช่นนั้นเขาคงวนเวียนเดินวกวนอยู่ในเขาวงกตที่ชื่อนิพัทธ์ ตลอดบ่ายวันนั้นพวกเขาต่างคนต่างทำงาน ไม่มีแม้แต่การพูดคุยหยอกล้อเหมือนก่อน นิพัทธ์นิ่งเงียบและพูดแค่เรื่องของงาน พิรัลควรรู้สึกแปลกที่เกิดความเงียบงันระหว่างพวกเขา แต่เขากลับโล่งใจเสียมากกว่าที่บทสนทนาไม่มีอะไรไปมากกว่าขอบเขตของงานที่ทำ พอตกเย็นห้าโมงครึ่งต่างคนต่างเลิกงาน พิรัลเก็บกระเป๋ากลับบ้านเร็วที่สุดในรอบห้าปีที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าทำงานที่นี่ เด็กหนุ่มมองแลปทอปที่กำลังถูกยัดลงกระเป๋าก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น

“ผมกลับก่อนนะกานต์” พิรัลว่าอย่างนั้นด้วยท่าทีรีรอเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “ช่วงนี้ผมคงไม่ได้ไปที่ห้องกานต์นะ” เขาต่อท้ายประโยคด้วยเสียงเบาหวิว

ความชาหนึบแล่นริ้วทั่วทุกอณู นิพัทธ์ปวดใจเหลือทานทนแต่เขาแทบจะไม่มีสิทธิ์ทานทัดอะไรได้เลย อดีตที่เคยกระทำลงไปผลบาปของมันฉายชัดอยู่ในวินาทีนี้ “ผมคิดว่าวันนี้เราจะไปดูหนังกันซะอีก พี่เจตน์อยากดูเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

พิรัลนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาหันมองไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจยาว

“พี่เจตน์เคยบอกว่าอยากดูเรื่องนี้กับผม” นิพัทธ์สำทับ “วันนี้มันเข้าวันแรกแล้วนะครับ”

สีหน้าเศร้าหมองของนิพัทธ์ส่งผลต่อใจของพิรัล เขาไม่อาจปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยต่อนิพัทธ์ได้เลย ไม่ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่เพียงใดพิรัลรู้ดีว่านิพัทธ์มีอิทธิพลเหนือเขาเสมอ


มันคงเป็นความทุกข์ทน พิรัลพบว่าเขาต้องการให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่คงเป็นเพราะโลกใบนี้เล่นตลก พิรัลรู้สึกได้ว่าทุกช่วงวินาทีนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า กระนั้น เมื่อทั้งกินข้าวและดูหนังจบลงพิรัลไปนอนค้างคืนที่คอนโดของนิพัทธ์อีกเพราะทนต่อคำอ้อนวอนไม่ไหว

“ผมว่าข้าวร้านนี้มันน้อยไป ผมไม่ค่อยอิ่มเลย” เด็กหนุ่มพูดขึ้นขณะล้มตัวลงนอนบนเตียงอันคุ้นเคย

พิรัลเลิกคิ้วสูงก่อนจะหัวเราะอยู่ในลำคอ “ผมเห็นกานต์สั่งข้าวสองจานนะ ยังไม่อิ่มเหรอ”

“ก็คอหมูย่างมันอร่อย”

“แล้วนี่หิวอีกเหรอ หรือแค่อยากกินเฉยๆ”

“ผมอยากกินคอหมูย่างร้านนี้อีก” นิพัทธ์เฉลยความจริงก่อนจะหัวเราะบ้าง

พิรัลมีรอยยิ้มเจือจางอยู่บนใบหน้า เขายกมือขึ้นลูบไล้ผิวแก้มของนิพัทธ์อย่างที่มักทำประจำก่อนจูบลงไป “กานต์นอนก่อนเลยนะ” เขากระซิบแผ่วเบา สบมองดวงตาเด็กหนุ่มในความมืด “ผมยังนอนไม่ได้งานค้างบานเลย ต้องเคลียร์ให้พี่หวานก่อน”

นิพัทธ์จับมือพิรัลไว้แล้วแนบใบหน้าหันเข้าไปจูบที่ฝ่ามือ “พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“พี่เจตน์เข้าใจใช่มั้ยครับว่าตอนนั้นผมเด็กอยู่ ผมไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้อยากลองแต่ตอนนี้ผมกับอากรณ์ไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะครับ”

พิรัลไม่ตอบรับด้วยคำพูดแต่ในใจของเขากำลังเจ็บปวด เจ็บปวดที่ยังไม่สามารถยอมรับเรื่องจากอดีตของนิพัทธ์ได้ “ขอเวลาผมหน่อยนะกานต์”

นิพัทธ์จดจำประโยคนั้นได้เป็นอย่างดีแม้ว่าเขาจะง่วงงุนมากขนาดไหน พิรัลต้องการเวลาและนิพัทธ์ยินยอมหากเวลาจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เด็กหนุ่มไม่เคยเฝ้าฝันว่าการขอเวลาจากพิรัลหมายถึงการหายไปจากชีวิต

รุ่งเช้าที่ไม่มีพิรัลทำให้นิพัทธ์ตระหนักแล้วว่าเรื่องราวระหว่างพวกเขาสองคนยังเคว้งคว้างอยู่ที่ไหนสักแห่ง



************************************




ใครไม่ไหวหรือไปต่อกับนิยายเรื่องนี้ไม่ได้บ้างคะ
อย่าเพิ่งหนีหายกันไปนะคะ 55555555
คิดเห็นอย่างไร หวีดร้องลงทวิตเตอร์ #หนึ่งวันบนดาวพุธ ได้เลยค่ะ เราติดตามอยู่เสมอ

แล้วก็ขอพื้นที่ตรงนี้แนะนำและฝากนิยายเรื่องอื่นของเราด้วยนะคะ

หนึ่งมิตรชิดใกล้
เรื่องนี้เป็นเรื่องราว Cliché ของคนที่แอบชอบเพื่อนของตัวเองค่ะ >////<

- Affection -
ส่วนเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราว Cliché อีกเช่นกัน ระหว่างรุ่นน้องที่ชื่นชอบรุ่นพี่
เรื่องนี้แฮปปี้มากเว่อออ อ่านสบายๆ ใสๆ วัยรุ่นมหาลัยจับมือกัน 5555
เราจะทยอยเอาลงให้ครบเรื่อยๆนะคะ ตอนนี้ลงถึงตอนที่สิบค่ะ


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เลิกไปเลยไหมพี่เจตต์ จะมาทำตัวห่างเหินแบบนี้ทำไมอ่ะ ให้รู้กันไปเลย เราโกรธจริงๆ ที่เมินน้อง อดีตน้องน้องยังไม่อยากพูดถึงเลย พอบอกออกไปถามว่ามีคนอยู่ข้างๆพร้อมเข้าใจไหม ก็ไม่อ่ะ ตีพี่เจตต์ให้หน้ามืด !!!  :serius2:

ออฟไลน์ yodyahyee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ยังหน่วงต่อไปเรื่อยๆ เอาอีก เอาให้หน่วงกว่านี้อีก มาโซฯเบาๆ
ติดงอมแงมเลย ไม่ปล่อยผ่านไปแน่นอน
ยังลุ้น....อยากให้จบสวย แบบรักกันและเข้าใจในตัวตนของกันและกันนะ :mew2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หน่วงและก็อึดอัดมากเลย แต่ก็คงต้องให้เวลาคิดกันหน่อย แต่อย่าคิดนานเลยนะ อยากให้เข้าใจกันรักกันอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาค่ะ ดราม่ามาได้อีก เราว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจตแล้วว่าจะยอมรับเรื่องอดีตของกานต์ได้มั้ย เรื่องโรคที่เป็นอยู่ถ้ารับการรักษา ถึงจะไม่หาย แต่ถ้าเราได้อยู่กับคนที่เรารักนานขึ้นแค่วันเดียวเราก็จะทำนะ

ออฟไลน์ ฮิ้วฮิ้ว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบภาษาที่ใช้ในการดำเนินเรื่องนะคะ

ในส่วนของความหน่วงนั้น ก็เข้าใจว่าต้องมี

แต่ว่าขออย่างเดียวเลยคืออย่าให้มันยืดเยื้อเกินไป

หวังว่าจะจบสวยนะ <3

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
โกรธพี่เจตน์อ่ะ ตัวเองเป็นคนอยากรู้พอน้องบอกแล้วเป็นอย่างี้หรอ  :fire:
ก็เข้าใจว่าอดีตที่น้องทำไป มันยอมรับยาก แต่อดีตก็คืออดีตมันแก้ไขไม่ได้มั้ย
ทำไมต้องเปลี่ยนไปอ่ะ น้องดูไม่จริงใจตรงไหน ไหนจะเรื่องไม่ยอมกินยาอีก ดื้อจัง
พี่เจ๊ตตตตตตตตตตตน์ ถ้ายังเป็นอย่างงี้อีกจะหาพระเอกคนใหม่ให้น้องไปบดแย้วนะ สงสารน้องหน่อย

ออฟไลน์ doubleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
สงสารน้องกานต์มาก ไม่ไหวแล้ว  :o12:
เข้าใจว่าเป็นเรื่องทำใจยอมรับยาก แต่พี่เจตน์ก็ผ่านโลกมาพอสมควร อยากให้ลองพยายามทำความเข้าใจน้องมากกว่านี้
อ่านไปอ่านมา เหมือนน้องรักพี่เจตน์มากกว่า ยอมบอกเรื่องอากรณ์ ยอมเล่าเรื่องครอบครัว
แต่พี่เจตน์แค่เรื่องโรคหัวใจยังไม่ยอมบอกน้องเลย แถมยังไม่ยอมกินยา ไม่รักษาตัวเพื่ออยู่กับน้องให้นานๆ
เรื่องอากรณ์ ถ้ารับไม่ได้ ไม่รักแล้วจริงๆก็พูดให้ชัดเจนเถอะ น้องจะได้ตัดใจ

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่สิบเอ็ด




แท้จริงแล้วสิ่งที่พิรัลตัดสินใจกระทำลงไปเป็นความสุ่มเสี่ยง พิรัลลางานกับหัวหน้าก็จริงแต่ตามระเบียบและเพื่อความเหมาะสมพิรัลควรใช้สิทธิ์ลาพักร้อนในอาทิตย์หน้า แต่เขากลับไม่มาทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่บริษัทวุ่นวาย ทั้งงานประจำที่รับผิดชอบกันอยู่ และงานอื่นๆจิปาถะประจำวันที่ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด พิรัลหายไปทิ้งไว้เพียงอีเมลเคลียร์งานจำนวนหนึ่งที่พอจะไม่ทำให้ทีมวุ่นวายมากกว่าที่เป็นอยู่ สิ่งที่หวานเป็นกังวลคงเป็นเรื่องงานทาวน์ฮอลที่ฝากฝังอยากให้คนระดับบริหารเห็นฝีมือของพิรัล โชคดีในความโชคร้ายเรื่องที่เธอต้องการให้พิรัลเป็นตัวแทนทีมเพื่อพรีเซ็นต์งานยังไม่มีใครล่วงรู้นอกจากตัวเธอและกรณ์ เพราะไม่เช่นนั้นระดับบริหารคงมองภาพลักษณ์ของพิรัลไม่ดีสักเท่าไหร่

หวานวิ่งวุ่นเข้าพบกรณ์เพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้ แต่เนื่องจากหวานไม่ได้รับรู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้างเธอจึงรู้สึกผิดหวังต่อตัวพิรัลจนถึงที่สุด พิรัลทิ้งงานไว้กลางทาง ทั้งที่ทำเรื่องลาพักร้อนไว้อาทิตย์หน้าแต่กลับหายตัวไปในวันศุกร์โดยไม่บอกกล่าว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพิรัลหายไปไหน แม้แต่ครอบครัวของพิรัลเองยังตื่นตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ พิรัลส่งข้อความบอกกล่าวเพียงแค่ว่าขอโทษต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป แต่ไม่บอกสิ่งใดเพิ่มเติมให้คลายความสงสัย

“เรื่องงานทาวน์ฮอลผมคงต้องให้คุณหวานพรีเซ็นต์เหมือนเดิม แต่ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไหวผมจะให้คุณหมิงพรีเซ็นต์แทน ส่วนเรื่องคุณเจตน์ผมว่าเรารออีกสักนิด คุณเจตน์อาจจะมีปัญหาส่วนตัวจริงๆ”

“หวานเรียนคุณกรณ์ตามตรงว่าค่อนข้างผิดหวังในตัวน้องเจตน์ กว่าหวานจะดันน้องให้มาแทนตั้มได้หวานแทบจะเลียขาอัลฟี่ พอเจตน์มาทิ้งงานไปแบบนี้หวานผิดหวังมากจริงๆ”

“ผมเข้าใจ เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนผมก็เคยเจอ ตอนนี้คุณหวานก็รับผิดชอบไปตามหน้างานก่อน ผมไม่อยากให้คนท้องเครียด ไม่ต้องห่วงนะเรื่องนี้ผมจะช่วยดูแลให้”

หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะขอตัวไปทำงานในเช้าวันนั้น



นิพัทธ์โทรหาพิรัลหลายครั้งจนเริ่มท้อ เขาเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของพิรัลก็วันนี้ เมื่อหลายวันก่อนที่เขาหายตัวไปพิรัลคงกระวนกระวายไม่ต่างกัน วันที่หายตัวไปนิพัทธ์ถูกบังคับให้กลับบ้านเพื่อไปหาแม่ของตัวเอง ถ้าไม่ไปกรณ์ไม่รับประกันว่า ‘เรื่องนั้น’ จะล่วงรู้ถึงหูของพิรัลเมื่อไหร่ เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่กับแม่ ดูแลเธอ เช็ดตัวให้เธอ ป้อนอาหารให้เธอ เขาอาจเป็นเด็กอกตัญญูที่ไม่เหลียวแลแม่ผู้ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งปอดเช่นเดียวกับพ่อ แต่นิพัทธ์คิดเห็นสมควรว่าโรคนี้มันเหมาะกับแม่แล้ว แม่ที่ทอดทิ้งไม่ใยดีลูกเช่นเขามาโดยตลอด

เมื่อนึกถึงคราวสมัยเด็ก นิพัทธ์เติบโตมาในครอบครัวร่ำรวย เขามีพร้อมทุกอย่างแต่เมื่อพ่อป่วยเงินทองที่มีหมดลงไปอย่างเร็วรวดจนน่าใจหายและเวลานั้นแม่ก็เริ่มตีตัวออกห่างเพราะเธออ้างว่าได้พบรักกับชายคนอื่น แม้ว่าจะมีเรื่องราวต่างๆมากมายเกิดขึ้นแต่นิพัทธ์พยายามไม่นำมาเป็นปัญหาในชีวิต ตอนนั้นเขาได้รับความช่วยเหลือจากน้องชายของพ่อ ชีวิตของเขามีกรณ์เป็นดั่งผู้นำ กรณ์มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เยอรมันตั้งแต่เด็กและกลายเป็นพลเมือง เขาไม่รู้เรื่องราวไปมากกว่านี้ รู้เพียงแค่ว่ากรณ์รุ่มรวยมากพอจะรับผิดชอบชีวิตของสองพ่อลูกได้อย่างสุขสบาย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นิพัทธ์ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ชตุทท์การ์ทประเทศเยอรมันอยู่หลายปี

นิพัทธ์ไม่เคยเอาเรื่องที่แม่ทอดทิ้งมาเป็นปัญหา เขามีพ่อกับอาเพียงสองคนในชีวิต ตัวตนของเขาถูกหล่อหลอมอย่างที่เป็นอยู่ก็เพราะผู้ชายสองคนนี้ เพียงแต่ความผิดพลาดครั้งเดียวในชีวิตกลายเป็นตราบาปติดตัวมาโดยตลอด นิพัทธ์รับรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะยอมรับ และเขาไม่คิดโทษพิรัลเลยแม้เพียงน้อยนิด หากมีใครผิดคงเป็นตัวเขาเมื่อหลายสิบปีก่อน ตัวเขาที่สับสน อ่อนไหว ต้องการเรียนรู้ผิดชอบชั่วดี มันพลาดไปแล้วเขาเลือกกระทำในสิ่งผิด แม้แต่วันนี้ตัวของนิพัทธ์เองยังไม่รู้เลยว่าสิ่งใดในอดีตได้ขับเคลื่อนให้เขากระทำ ‘เรื่องนั้น’ ลงไป

หน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงภาพโทรออก ก่อนมันดับลงเมื่อปลายทางไม่รับสาย นิพัทธ์เก็บโทรศัพท์มือถือพลางถอนหายใจยาว พิรัลจะทำทีเป็นลาป่วยก็ได้ แต่น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่พิรัลไม่ทำเช่นนั้น ราวกับว่าที่หายตัวไปไม่ใช่เพราะป่วยการเมืองแต่เป็นเพราะต้องการหนีหายไปเลย นิพัทธ์มองโลกในแง่ดีและไม่ลืมมองโลกแห่งความเป็นจริงประกอบกันไปด้วย แต่เวลานี้นิพัทธ์ยังคงให้ความหวังต่อตัวเองว่าพิรัลไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ อย่างน้อยงานที่ทำอยู่นี้ก็คือสิ่งที่พิรัลชอบ และครอบครัวของพิรัลเองก็ยังอยู่เป็นหลักแหล่ง ความแน่นแฟ้นในสถาบันครอบครัวของพิรัลทำให้นิพัทธ์เชื่อว่าพิรัลจะไม่หนีหายไปไหน

“โทรให้ตายคุณเจตน์ก็ไม่รับสายหรอก”

นิพัทธ์หันไปตามเสียง เห็นกรณ์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้าง เด็กหนุ่มทำหน้าเมินเฉยแม้ในใจกำลังว้าวุ่นไปหมด

“กานต์ อย่าให้อาหมดความอดทนนะ”

“อากรณ์จะบังคับอะไรผมอีก วันนั้นผมก็กลับไปดูแลแม่ทั้งวี่วันแล้วไง ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

“นั่นแม่ของกานต์ กลับไปดูแลแม่จะเป็นอะไรไป แม่เหลือกานต์แค่คนเดียวแล้วนะ”

“ช่วยไม่ได้แม่เลือกแต่งงานใหม่แล้ว พอโดนทางนู้นทิ้งๆขว้างๆก็มาขอให้อาช่วยอีก มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ”

“อากับพี่ก้องไม่เคยสอนให้เราเป็นแบบนี้นะ”

“ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ อาเลิกยุ่งกับชีวิตของผมได้แล้ว” เด็กหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

พวกเขาต่างเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนนิพัทธ์จะถอนหายใจยาวยืดด้วยความเหนื่อยล้า

“เรื่องเมื่อก่อนให้มันจบได้มั้ยครับ ผมพลาดไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้ทำแบบนั้นลงไป”

“เพราะกานต์กับอาชอบกันมากพอที่จะกล้าทำแบบนั้นไง”

“ตอนนั้นผมมีแค่อา ผมเชื่ออาทุกอย่าง แต่ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ทำลงไปมันผิด”

กรณ์แค่นยิ้ม ในสมองหวนนึกถึงเรื่องวันวาน เขารักนิพัทธ์มากและรู้ว่ารักที่มีให้หลานมันล้ำลึกเกินกว่าคนในครอบครัว แต่เขาห้ามใจตัวเองไม่ได้ เขาใช้ช่วงเวลาที่นิพัทธ์สับสน ช่วงที่นิพัทธ์ค้นหาตัวเอง ช่วงที่นิพัทธ์อ่อนไหว เข้าแทรกความคิดลงไป กรณ์หว่านล้อมในจังหวะที่นิพัทธ์คิดว่าไม่เหลือใครที่เข้าใจในสิ่งที่เป็น และเลยเถิดร่วมสัมพันธ์ทางกายกับหลานตัวเอง เขาไม่ถือว่าเป็นการข่มขืนเพราะนิพัทธ์สมยอม กรณ์คิดเข้าข้างว่านิพัทธ์รักเขาในแบบเดียวกัน มันอาจเป็นความรู้สึกนั้นในช่วงเวลาที่อยู่ในห้องใต้หลังคา

แต่เมื่อทุกอย่างจบลงนิพัทธ์ร่ำร้องไห้และบอกว่าพระเจ้าจะไม่ให้อภัยในบาปนี้ กรณ์เห็นตรงกันข้ามเขาคิดเสมอว่าสิ่งที่ทำลงไปคือความรัก นิพัทธ์บอกให้เขาลืม ลืมไปเสียทั้งหมดว่าเคยมีความหลังแบบใด แต่สำหรับกรณ์เขารู้สึกลึกล้ำไปมากกว่านั้นแล้ว เขารักนิพัทธ์ในแบบที่คนทั้งโลกประณามหยามเหยียดและไม่มีใครต้อนรับความสัมพันธ์แบบนี้ กรณ์รู้อยู่เต็มอกและแม้ว่าความรักที่สุมกองอัดแน่นในอกจะมากล้นเพียงใดเขาก็ไม่อาจทำลายอนาคตของหลานลงได้ เขาพยายามทำตัวออกห่างนิพัทธ์แล้วแต่บางครั้งโชคชะตาก็เป็นสิ่งที่เบื้องบนลิขิต หากไม่นับมรดกจากพ่อแม่บุญธรรมชาวเยอรมันที่ตกทอดมาถึงกรณ์ เขาก็เป็นเพียงลูกจ้างในบริษัทเอนจิเนียริ่งเท่านั้น และเขาก็แค่ถูกส่งตัวมาทำงานที่ไทย ทุกอย่างมันเป็นความบังเอิญอย่างน่าเหลือเชื่อ

กรณ์ร่ำรวยจากมรดกของพ่อแม่บุญธรรมชาวเยอรมัน ในวัยเด็กของเขาลำเค็ญมามาก และคงเป็นพรหมลิขิต วาสนา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถูกพ่อแม่ชาวเยอรมันสองคนนี้รับเขาไปอุปการะ ความพร้อมทางการเงินทำให้เขาสามารถรับรองพี่ชายเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่เยอรมันได้ด้วยอ้างเหตุผลถึงเรื่องทางการแพทย์ตอนที่ขอวีซ่า เขาได้พบหลานชาย ใบหน้าอ่อนเยาว์และสดใสทำให้กรณ์ไม่อาจลืมเลือนได้เลย เขารู้ว่ามันผิดและพระเจ้าคงไม่อาจยกโทษในบาปนี้ให้ได้

“อารู้ว่ามันเป็นอารมณ์ชั่ววูบของกานต์ แต่สำหรับอา อาตั้งใจทุกอย่าง”

“มันเป็นบาปครับอา และผมคงชดใช้กรรมนั้นอยู่”

กรณ์ถอนหายใจยาวก่อนจะมองกลับมาที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง “เรื่องคุณเจตน์ กานต์รักเขาเหรอ”

เด็กหนุ่มตัวขาวพยักหน้าแทนคำพูด

“แล้วทำไมกานต์ถึงไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคหัวใจล่ะ คบกันจริงจังหรือเปล่าเนี่ย”

“เขาไม่ยอมบอกผม เพราะไม่อยากให้ผมทำเหมือนเขาเป็นคนป่วย แล้วอารู้ได้ยังไง พี่เจตน์บอกเหรอ”

“อารู้มาจากคุณหวาน แต่ในทีมไม่มีใครรู้นอกจากคุณหวานนะ”

“ผมไม่เข้าใจความคิดพี่เจตน์เลย ผมเด็กเกินไปที่จะรักกับเขาเหรอ”

กรณ์หัวเราะลงคอ ใบหน้าจริงจังก่อนหน้านี้จางหายไปและกลับมาเป็นสีหน้าระรื่นเหมือนเช่นเคย “ถามเรื่องแบบนี้กับคนที่ชอบหลานตัวเองจะดีเหรอกานต์ ถ้าให้อาตอบมันไม่มีเด็กไม่มีแก่ทั้งนั้น รักเกิดขึ้นได้กับทุกคนนั่นแหละ”

ริมฝีปากของนิพัทธ์เม้มแน่น อาของเขามักพูดในสิ่งซึ่งปลอบประโลมเสมอมา ตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากเดิมเลย หากไม่นับเรื่องที่กรณ์รักเขามากกว่าความเป็นญาติ กรณ์คงเปรียบเป็นดั่งพระเจ้าผู้สร้างชีวิตของนิพัทธ์ “ผมรักอานะครับ ผมไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว อากรณ์เข้าใจใช่มั้ยครับว่าเราเหลือกันอยู่แค่นี้”

“เข้าใจและไม่เข้าใจ”

“อากรณ์...”

“กานต์ อาก็มีความคิดของอา กานต์ไม่ต้องเข้าใจทุกเรื่องที่อาพูดหรอก”

นิพัทธ์สลดลง เขาแค่อยากได้ยินอย่างชัดเจนว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะไม่มีทางทำสิ่งผิดบาปอีก “ผมไม่อยากให้อาทำแบบนั้นอีก”

“แบบไหน” กรณ์ทำหน้าไขสือทั้งที่เขารู้ดีว่านิพัทธ์หมายถึงเรื่องอะไร”

“ที่อาทำตัวเหมือนมีลับลมคมในกับผมต่อหน้าพี่เจตน์ อาอย่ามาทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”

“อ้าว ทำไมล่ะ อาอยากล้อเล่นกับหลานไม่ได้เหรอ”

“อากรณ์ผมขอร้อง ผมรักพี่เจตน์จริงๆ ให้เรื่องนั้นมันจบเถอะครับ”

“เอาเถอะๆ เรื่องคุณเจตน์คงต้องรอดูสถานการณ์ก่อน กานต์โฟกัสกับหน้าที่ของตัวเองก็พอ กลับไปทำงานได้แล้ว”

เด็กหนุ่มตัวขาวพยักหน้ารับ เขาพยายามโทรหาพิรัลอีกครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ นิพัทธ์ถอดถอนใจก่อนจะตั้งสมาธิกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง


พนักงานออฟฟิศต๊อกต๋อยอย่างเขาจะปลีกตัวไปติดต่อพิรัลคงทำได้ยากขึ้น เพราะเมื่อขาดคนไปหนึ่งคนจำนวนงานที่มีมันไม่สอดคล้องทำให้เขาต้องรับผิดชอบหน้าที่อื่นเพิ่ม วันนั้นทั้งวันนิพัทธ์ตั้งสมาธิอยู่กับงานและลืมเรื่องของพิรัลไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเลิกงานเขารีบตรงดิ่งไปยังบ้านของพิรัลด้วยความร้อนรน เขาเห็นรถของแจงจอดอยู่ที่หน้าบ้าน เด็กหนุ่มไม่รีรอเขารีบโทรหาพี่สาวของพิรัล ไม่นานนักประตูบ้านก็ถูกเปิดออก

ใบหน้าของแจงนั้นดูไม่ดีเอาเสียเลย เธอยังคงอยู่ในชุดทำงาน แต่ใบหน้ากลับหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด เขาทักทายจ๊ะจ๋าที่ออกมาต้อนรับ ก่อนจะตรงเข้าไปทักทายผู้ใหญ่ในบ้าน แม่ของพิรัลดูนิ่งสงบต่างจากที่เขาคิดไว้มาก เธอรับไหว้เขาแล้วเอ่ยปากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาแต่ไม่ถามถึงพิรัล นิพัทธ์คิดไว้ว่าอาจโดนถามถึงคำถามมากมายเกี่ยวกับการหายตัวไปของพิรัล แต่แม่ของพิรัลที่ดูนิ่งเฉยในเรื่องนี้ทำให้เด็กหนุ่มที่ใจร้อนรนสงบลง

“กินข้าวมาหรือยังลูก”

“ยังครับ แต่ผมยังไม่หิว”

“อืม ถ้าหิวก็ไปตักข้าวเอานะ ตามสบายลูก จะไปคุยกับแจงก็ไปเถอะ” แม่ของพิรัลว่าเช่นนั้นแล้วหันไปตัดก้านดอกบัวอย่างที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้
จุ๊บแจงพานิพัทธ์มาที่ห้องของพิรัล ห้องที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมเหมือนครั้งล่าสุด นิพัทธ์นั่งลงบนเตียง ความทุกข์ใจปรากฏชัดเจนบนใบหน้าไม่ต่างจากจุ๊บแจง

“กานต์รู้มั้ยว่าทำไมเจตน์ถึงทำแบบนี้ ทะเลาะกันเหรอ”

“จะว่าทะเลาะก็ใช่ครับ ผมผิดเองครับ”

“ทะเลาะกันเรื่องอะไร บอกพี่ได้มั้ย”

“.........” นิพัทธ์เงียบลง เมินมองไปทางอื่น

เพียงเท่านั้นแจงก็พอจับใจความได้แล้วว่ามันคงเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน “พี่จะไม่เซ้าซี้แล้วกัน แต่ถ้าอยากเล่าอะไรให้พี่ฟังก็บอกได้นะ ยังไงเจตน์ก็เป็นน้องของพี่ พี่อยากรู้ว่าเกิดอะไรจนทำให้มันหายไปแบบนี้”

“ผมขอโทษนะครับพี่แจง แต่เรื่องนี้มันลำบากใจจะเล่าให้ฟังจริงๆครับ”

“ไม่ต้องขอโทษกานต์ มันเรื่องของคนสองคน พี่เข้าใจ”

นิพัทธ์เผยยิ้มเจือจาง “แล้วนี่คุณน้าเป็นยังไงบ้างครับ”

“แม่โกรธมาก เวลาโกรธจะนิ่งๆอะ แต่กานต์รู้มั้ยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจตน์หายไปแบบนี้”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“เจตน์มันเคยหายไปแบบนี้ตอนรู้ว่าเป็นโรคหัวใจ มันหายไปเชียงใหม่สามสี่วัน ส่งข้อความมาบอกแจงว่าอยู่เชียงใหม่เดี๋ยวกลับแล้ว แม่ง มันจะรู้มั้ยว่าแม่เป็นห่วงมันแค่ไหน ทำอะไรไม่คิดถึงแม่บ้างเลย”

“แล้วตอนนั้นคุณน้าโกรธแบบนี้มั้ยครับ”

“ไม่โกรธ แม่เป็นห่วงมากกว่า แจงนี่สิโกรธมันมาก มันทำให้แม่ร้องไห้”

นิพัทธ์รับคำไปตามเรื่องตามราว เขามองจุ๊บแจงที่เดินเปิดดูนู่นนี่ในห้องพิรัลด้วยความว่างเปล่า เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เด็กหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าควรเริ่มต้นทำสิ่งใดหรือแม้แต่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกแบบไหน

“ผมนอนที่นี่ได้มั้ยครับ”

แจงหันมากลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ “ได้สิ เผื่อเจตน์กลับมาหรือติดต่อมันได้จะได้บอกพี่ด้วยเลย คืนนี้พี่จะอยู่กับแม่อะ เป็นห่วง”

เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้พี่สาวของพิรัล เขาเองก็ได้แต่หวังและรอคอยการติดต่อกลับจากพิรัลเช่นกัน



ตัวตนเหตุที่ทำให้คนรอบข้างวุ่นวายก็ไม่ได้สุขสบายนัก พิรัลเลือกพักโฮสเทลที่เดิมที่เคยพัก เขาเช่าจักรยานขี่ไปรอบเมืองอย่างที่เคยทำ แบกกล้องตัวโตเพื่อเก็บภาพตามทางไปเรื่อย แม้ว่าจะทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำแต่พิรัลรับรู้ดีว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเคยหนีหายจากโลกใบเก่าและสร้างโลกใบใหม่ สถานที่ใหม่และผู้คนแปลกตาทำให้พิรัลสามารถหลีกหนีความเป็นจริงได้ แต่มันเป็นเพียงระยะเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้นเพราะพิรัลรู้ดีว่าเท้าที่เหยียบย่ำอยู่บนพื้นยังเป็นโลกใบเก่า

ชายหนุ่มทำเรื่องลาพักร้อนไว้สี่วันในอาทิตย์หน้าที่จะมาถึง แต่คืนนั้นที่เขาอยู่กับนิพัทธ์ พิรัลทนมองใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ไหว หากกล่าวว่าเขายินยอมน้อมรับอดีตของนิพัทธ์คงเป็นเรื่องโป้ปด เขายังทำใจยอมรับไม่ได้ ยิ่งได้มองใบหน้ายามหลับใหลของนิพัทธ์ หัวใจของเขาบีบรัดด้วยคล้ายกับมีสิ่งแปลกปลอมแทรกสอดอยู่ในนั้น พิรัลจำต้องแยกตัวออกห่างจากอดีตของนิพัทธ์ คนรักของเขาเคยมีความหลังกับญาติแท้ๆของตัวเอง มันเหมือนเป็นโลกใบใหม่ที่พิรัลคงต้องใช้เวลาปรับตัว

เขาทำเรื่องซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเช้าที่สุดเพื่อเดินทางมายังต่างจังหวัด พิรัลไม่คิดอยากแตกหักกับนิพัทธ์ แต่เขาเปราะบางและต้องการใช้เวลาทบทวนครุ่นคิด เขาอยากอยู่กับตัวเองเพื่อคิดให้แน่ชัดว่ารักที่มีให้นิพัทธ์มันยังมีตัวตนและหากมี จะมีมากพอสำหรับการยอมรับทุกอย่างของเด็กหนุ่มหรือเปล่า

ชายหนุ่มหยุดจักรยานเพื่อถ่ายรูปโดยใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอของเขาปรากฏหมายเลขโทรเข้ามากมาย ทั้งจากออฟฟิศ จากลูกค้า และครอบครัวคนรอบข้าง พิรัลเปิดตรวจดูทุกอย่าง เขาไม่ตอบรับ ไม่ส่งข้อความหาใครอื่นเหมือนเช่นเคยแต่พิรัลอดใจไม่ไหว ข้อความจากนิพัทธ์พรั่งพรูความรู้สึกนึกคิดหลากหลายอยู่ในนั้น พิรัลกดเข้าไปอ่านมันมากมายจนต้องลงจากจักรยานเพื่อมานั่งอ่านข้อความ

ในนั้นมีทั้งความเสียใจ โกรธ โมโห สลับกับเศร้าโศก พิรัลไม่อาจเพิกเฉยด้วยรู้ตัวดีว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารอมันทรมานแค่ไหน เขาส่งข้อความตอบกลับไปแค่ว่าสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง ตกใจอยู่เหมือนที่ข้อความถูกกดอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาสั่นขึ้น นิพัทธ์โทรหาเขาอีกเป็นรอบที่ล้านแต่พิรัลกลับไม่รับสาย ล้วงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ทอดอารมณ์อยู่ตรงนั้นกับม่านควันสีเทาพลางเฝ้าดูอีกฝากฝั่งที่ร้อนรนอยากติดต่อด้วย สุดท้ายเขาเลือกปิดโทรศัพท์มือถือ มองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าและปล่อยให้สายลมพัดพาความทุกข์ระทมใจออกไป

สายตาของนิพัทธ์จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กำลังดับลงหลังจากโทรหาพิรัล เขาวางโทรศัพท์มือถือไว้ด้านข้าง มองไปยังห้วงอากาศอันว่างเปล่า เด็กหนุ่มเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจทุกอย่างไปเสียทั้งหมด เขาไม่พอใจต่อสิ่งที่พิรัลเลือกในการดูแลตัวเองแต่เขาเคารพการตัดสินใจนั้นแม้ว่าอีกใจหนึ่งจะคิดเห็นตรงกันข้ามกับพิรัล วันนี้ทั้งวันเขาพยายามคิดต่ออีกฝ่าย โทรออกเป็นร้อยครั้ง ส่งข้อความหาอีกนับไม่ถ้วน และผลตอบแทนของมันเป็นเพียงหนึ่งข้อความแสนสั้น นิพัทธ์หนักเหนื่อยใจกับสิ่งที่ได้รับ ในเวลานี้เขารู้สึกด้อยค่าอย่างไร้คำอธิบาย อดีตของตนเองนั้นยากเกินกว่าจะยอมรับได้แต่นิพัทธ์ไม่คิดว่าเขาสมควรได้รับการกระทำห่างเหินเมินเฉยถึงเพียงนี้ หรือบางทีนี่อาจเป็นบทลงโทษจากคนเบื้องบนต่อบาปที่นิพัทธ์ได้เคยกระทำลงไป

นิพัทธ์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง กดโทรออกหมายเลขของพิรัล และพบว่าการชดใช้บาปอันหนักหนาของตนเองยังไม่ทุเลาเลยแม้แต่น้อย พิรัลปิดช่องทางการติดต่อไปแล้ว...



************************************





 :ling3:

ออฟไลน์ นินนินนิน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โห แย่มากเลยอะ หนีปัญหามากๆนี่คือการกระทำของคนที่เป็นผู้ใหญ่เหรอ แบบนี้เรียกว่าไม่มีความรับผิดชอบนะ แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกแบบนี้ เลิกๆไปเถอะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด