ตอนที่ 21 พบเพื่อจาก
แค่ก แค่ก
“ควันอะไรเนี่ยลุงเพิ่ม”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ อยู่ดีๆ ควันก็ลอยออกมาตามท่อแอร์เต็มเลยครับ” คนที่อาศัยบนคอนโดเอ่ยถามกับลุงยาม
“เวรละ แล้วนี่แจ้งนิติหรือตามช่างยังเนี่ย”
“ช่างมาแล้วครับ มาทันใจเลยผมยังไม่ทันได้โทร สงสัยคงมีคนในคอนโดแจ้งละครับ”
ตอนนี้คนในคอนโดต่างพากันกรูลงมาอยู่ชั้นล่างกันหมด เพราะเกิดมีควันอะไรไม่รู้ออกมาจากท่อแอร์ส่วนกลางและลอยเข้าห้อง ทุกคนต่างคิดว่าไฟไหม้แต่พอมองดีๆ มันมีแต่ควันสีขาวและไม่มีเปลวไฟอะไรเลย
“อ้าว ช่างเสร็จแล้วเหรอ แล้วมันควันอะไร” ลุงเพิ่มเอ่ยถามช่างที่เพิ่งขึ้นไปได้ไม่นานก็ลงมา
“เรียบร้อยแล้ว อีกสักพักควันก็หาย”
“แล้วมันเกิดจากอะไร เฮ้...อ้าว อะไรของมัน ไปซะแล้ว” อะไรของมันวะ มาไวเคลมไว
[ตะวัน]“ออกไป.....อย่ามายุ่งกับคนของกู”“เฮ้ยยยยย อะไรวะ” พี่วายุตกใจร้องเสียงหลงก่อนจะถอยหลังล้มลงก้นกระแทกพื้น “เสียงใครอะ ทำไมมองไม่เห็นตัว” พี่วายุถามขึ้น
“วิณณ์” ผมกระตุกชายเสื้อวิณณ์ให้หันมามองพร้อมกับว่ายหน้าเป็นเชิงว่า อย่า “กลับเถอะ กลับเถอะวิณณ์”
“ทำไมตะวันมีอะไร”
“กลับเถอะ” ผมพยายามทำหน้า ทำสายตาหวังว่าวิณณ์จะเข้าใจว่าผมอยากจะสื่ออะไรแต่ก็ไม่ *___*
“เอ่อ...คุณครับ คุณผู้หญิงครับ” ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งก้มหน้าโดยไม่สนใจคนตรงหน้า
“คุณให้ผมช่วยนะครับ” วิณณ์ค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้พลางเอื้อมมือออกไป
“ออกไป.....” ฟู่ฟฟฟฟฟฟฟ แต่ก่อนที่จะถึงตัว เสียงเดิมก็ดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด มันดังจนน่ากลัว ตามมาด้วยลมที่พัดแรงจนฝุ่นที่พื้นปลิวไปทั่วบริเวณ
“เฮ้ยอะไรวะ อยู่ๆลมมาจากไหน จะมีพายุหรือไงวะพัดซะขนาดนี้” พี่วายุนี่ก็ขี้โวยวายกว่าปกติ
“วิณณ์เชื่อเรา ไปเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย นะ นะ ไปเถอะ นะ”
วิณณ์หันมามองหน้าผมที่ส่งสายตาเว้าวอนไปให้ และเหมือนจะเข้าใจเพราะวิณณ์หยุดนิ่งไม่เดินเข้าไปต่อและถอยหลังออกมาหาผม แต่...
‘พี่คะ ช่วยด้วย ช่วยหนูทีหนูอยากออกไปจากที่นี่’แต่ก่อนที่ใครจะคิดหรือตัดสินใจอะไรได้ ผมก็ฉุดกระชากลากวิณณ์ออกมาจากตรงนั้น ส่วนพี่วายุไม่ต้องพูดถึงรายนั้นวิ่งตามติดมาเลยละ
“แฮ่ก แฮ่ก ผู้กองรอด้วย รอผมด้วย โหยวิ่งเร็วเป็นบ้าเลย” พวกเราวิ่งกลับมาถึงที่หน้าห้องน้ำเมื่อกี้
“ไปไหนมากันมาหะ”
“เหวยยยย”
“เป็นบ้าอะไรเนี่ยคุณ แล้วนี่ไปทำอะไรมา ทำไมหอบแฮ่กกันแบบนี้”
“มาแบบนี้ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว เฮ้ออออ”
“แล้วจะบอกได้หรือยังว่าไปทำอะไรกันมา ทำไมเหมือนวิ่งหนีอะไรมาซักอย่าง” ดารินถามขึ้นมาทันทีที่พวกเรากลับมานั่งที่โต๊ะภายในร้าน วิณณ์กับวายุมองหน้ากันเลิ่กลัก ผมเองก็พอสบตากับวิณณ์ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดี
“สรุป จะไม่มีใครพูดอะไร?”
“ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ไอ้ที่เจอเมื่อกี้มันคืออะไรยังไม่รู้เลย”
“อ้าว”
“รู้แค่ว่ามันตกใจและก็พากันวิ่งมานี่ละ”
“........” สุดท้ายก็เป็นวิณณ์ที่เล่าให้น้องสาวตัวเองฟัง
“ตัว ตัวแน่ใจนะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคน” ผมชักจะเริ่มกลัวน้องสาววิณณ์จริงๆแล้วซิ คนอะไรฟังเรื่องแบบนี้แล้วทำหน้าได้สยองปนเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนั้น สงสัยจะชอบแนวนี้
“ทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่คน นายวายุก็เห็นนะไม่เชื่อลองถามดิ”
“ใช่ มันก็เห็นอะนะ แต่ผมก็ไม่ชัวร์ว่า เป็น คน จริง หรือ เปล่า” แหม ตอนท้ายนี่เสียงเบาเชียวนะ
“นี่ตัวลองคิดดูนะ ผู้หญิงที่ไหน อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย คนที่ไหนจะไปอยู่ที่มืดคนเดียวแบบนั้น แล้วไหนไอ้เสียงที่ตัวบอกได้ยินอีก ได้ยินแต่ไม่เห็นคนพูด มันไม่แปลกเหรอ”
นั่นแหละคือสิ่งที่ผมพยายามจะบอกวิณณ์ตั้งแต่แรก ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอมาอยู่ตรงนั้น ผมรู้แค่เธอไม่สามารถไปไหนได้ และสิ่งที่พันธนาการเธอไว้ก็คงจะเป็นเจ้าของเสียงนั้น เสียงที่แค่ได้ยินก็รู้สึกกลัวไปจนสุดขั้นหัวใจ
ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น ผมไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่เธอเอ่ยขอร้องมาแล้ว เว้าวอนอย่างน่าสงสาร แล้วผมควรทำยังไง จะให้ทิ้งเธอไว้อย่างนั้นเหรอ
เฮ้อออ เรื่องหมายังไม่ทันเคลียร์ ดันมีเรื่องเพลียเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว
ผมกับวิณณ์แยกกับดารินและพี่วายุ โดยพี่วายุเป็นคนส่งดาริน สงสัยพี่ชายผมคงจะเดินหน้าจีบคนนี้อย่างจริงจังแน่นอน ผมว่าดูไปก็เหมาะกันดีนะ เอาใจช่วยแล้วกันนะพี่วายุ
“ใต้คอนโดมีอะไรกัน” ผมหันไปดูเมื่อวิณณ์พูดขึ้น
“นั่นดิ คนลงมาทำอะไรเต็มไปหมดเลย” วิณณ์ขยับรถจอดเข้าที่เรียบร้อยและพากันเดินไปที่หน้าคอนโด
“นี่มายืนทำอะไรกันเหรอครับ”
“ก็เมื่อกี้ซิคะผู้กอง จู่ๆ ก็มีควันอะไรไม่รู้คะเต็มคอนโดไปหมดเลยพวกเราตกใจนึกว่าไฟไหม้ แต่พอดูอีกทีมันมีแต่ควัน ไม่มีไฟคะ” พี่นิดเจ้าของร้านทำผมใต้ดึงลุงยามออกไปและเบียดตัวเองเข้ามากระแซะเพื่อคุยกับวิณณ์จนผมต้องหลุดขำ
“หึหึ” ไม่วายโดนวิณณ์ทำตาดุใส่
“ควัน? ควันอะไรครับ”
“โอ๊ยย ไม่รู้หรอกคะผู้กอง ควันเต็มไปหมด แต่ไม่ต้องห่วงนะคะช่างมาดูให้แล้วคะ เขาบอกว่าเดี๋ยวก็หายไม่มีอะไรน่าห่วง” ป้าน้อยร้านข้าวแกงพูดแทรกบ้าง
“ช่าง?.. แล้วเขาไม่ได้บอกเหรอครับว่าเกิดจากอะไร”
“ไม่ได้บอกคะ แต่ช่างมาไวมากเลยนะคะ มาถึงปุปจัดการปัปแล้วก็ไปเลยคะ” พี่กิ่งผู้ช่วยพี่นิดก็เอากับเขาด้วย
“หืม ช่างของคอนโดเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกคะ ช่างที่ไหนก็ไม่รู้คงใครซักคนในคอนโดโทรตามมามั้งคะ” ป้าจันเจ้าของร้านขายของชำพูดต่อและตบท้ายด้วยพี่กิ่ง “แต่ตอนนี้ไม่ต้องห่วงนะคะผู้กอง ควันจางลงไปมากแล้วคะ ผู้กองขึ้นห้องไปได้เลยคะ”
“ครับ”
“ฮาาาา” ผมถึงกับหลุดขำกับท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมา
“หัวเราะอะไรหะ” วิณณ์หันมากระซิบกับผม พวกเราเดินมาหยุดรอหน้าลิฟท์ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวไป คนในลิฟท์ก็พุ่งออกมาซะก่อน
“เฮ้ยยย”
“ขอโทษครับๆ อ้าว....ผู้กองมาแล้วก็ดีเลย มานี่เลยครับ ผู้กองมานี่ก่อน”
“เดี๋ยวๆ ครับ ใจเย็นๆ มีอะไรครับ”
“ห้อง 702 แฮ่กๆ โอ๊ยเหนื่อยยยย ห้อง 702 นะครับ เหอ เหอ ผมว่า....ว่า.....ผู้กองไปดูเองดีกว่าครับ”
ห้อง 702 702 เฮ้ย... นั่น มัน ห้อง ของ....
“ห้องคุณแอน วิณณ์ห้องคุณแอน”
พูดแค่นั้นวิณณ์ก็รีบกระโจนเข้าลิฟท์ทันที และทันทีที่พวกเรามาถึงก็ต้องตกใจกับสภาพห้องที่ถูกรื้อมาทุกซอกทุกมุม ต้องบอกว่ารื้อมาหมดจริงๆ โซฟาที่วางอยู่ติดกำแพงก็ถูกลากออกมา และกรีดเบาะจนขาดไม่เหลือสภาพที่จะนั่งได้ รูปภาพที่แขวนก็ถูกรื้อและโยนลงกับพื้ นจนกรอบแตกกระจัดกระจายเกลื่อน และเมื่อเข้าไปในห้องนอนสภาพแทบจำไม่ได้ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน ตู้เสื้อผ้า เตียง ที่นอน ก็ไม่เว้นถูกทำลายจนหมด เหมือนพยายามจะหาอะไรซักอย่าง
“คนร้ายน่าจะเข้ามาหาอะไรซักอย่าง”
“หรือว่า หรือว่า ” วิณณ์ หันมามองหน้าผม “เมม.....เมมโมรี่การ์ดอันนั้น”
“ก็อาจจะใช่นะ ดูแล้วคนที่เข้ามาในห้องนี้ก็เพื่อต้องการหาอะไรซักอย่าง”
“ใช่คะ คุณผู้กองฉลาดปราดเปรื่องสมเป็นว่าที่ ซะมี ของแอนเลยคะ”“เฮ้ยยย เจ๊มาไม่ให้สุ่มให้เสียงตกอกตกใจหมด แล้วมานั่งมโนเพ้อพบอะไรไม่ทราบ ว่าแต่เจ๊พูดมาแบบนี้คือรู้ ว่าฝีมือใครงั้นดิ?”
“อะไรตะวัน ใครมา”
“คุณเจ้าของห้องเขามา”
“อ้ออ แล้ว เขาว่าไงบ้างอะ”
“อะ เจ๊ว่าไง เหลามาดิใครเข้าห้องเจ๊? แล้วเข้ามาทำอะไร? แล้วเขาต้องการ? แล้ว...”
“Stopped…..” แหม ภาษาอังกฤษมาเลยนะ -___-
“ถามไม่เว้นช่วงเลยนะ คิดว่าฉันจะฟังทันไหม”“แหะๆ”
“ก็ตามที่นายเข้าใจนะแหละ พวกมันมาหาเมมโมรี่การ์ด มันไม่รู้ว่าตำรวจได้ไปแล้ว และคิดว่าคงยังอยู่ในห้องถึงมาหา แต่ตอนนี้มันคงรู้แล้ว ส่วนไอ้แผนก่อความวุ่นวายก็ฝีมือพวกมัน”ผมได้แต่ถอนหายใจ พอจะมีเรื่องก็มีกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องเลยนะ แต่อย่างน้อยก็สบายใจไปได้เรื่องหนึ่ง เพราะน้องหมามันนี่ก็ตามหาเจอแล้ว เหลือแค่พาคุณป้าไปรับกลับ ส่วนเรื่องวิญญาณผู้หญิงคนนั้นผมสองจิตสองใจว่าควรเข้าไปยุ่งไหม แต่เธอเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือมาแล้ว ถ้าผมปล่อยไปไม่สนใจ ผมจะผิดกฎไหมอะ ส่วนเรื่องที่สามนี่หนักใจสุด เรื่องยายเจ๊แอน เรื่องเธอดูอุรุงตุงนังมาก และท่าทางจะยืดเยื้อไม่จบง่ายๆ
“นี่หนู หนนนนนนนนู หนู คิดอะไรอยู่จ้ะ” อือหือ ตะโกนเข้าหูมาได้ แล้วไอ้หนูเนี่ย เรียกผมเหรอ ผมเนี่ยนะหนู
“หนูไหนละ เจ๊ ผมชื่อตะวันครับ”
“ก็แหม หน้านายอะยิ่งดูใกล้ยิ่งน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้ม หน้าขาว เนียน สวยกว่าฉันอีก ไม่เรียกหนูแล้วจะให้เรียกอะไรละยะ”“เฮ้อออ ว่าแต่เจ๊ แล้วพวกมันไม่ได้อะไรไปก็กลับง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ”
“ก็อย่างนั้นแหละ มันรื้อจนห้องเละซะขนาดนี้แถมไม่เจออีก ฉันว่ากลับไปมันคงโดนหนักอะ”“ทำไมอะ”
“ก็ฉันได้ยินมันบอกว่า งานนี้นายใหญ่ต้องเล่นงานมันหนักแน่”“อืมมม”
“นี่หนูตะวัน เจ๊ว่าเรื่องนี้มันต้องใหญ่กว่าระดับพวกไอ้เอ็ม หรือไอ้เสี่ยที่ฉันคั่วอยู่แน่ๆ เพราะดูแล้วไอ้พวกนี้ก็แค่ลูกน้องหางแถวทำตามคำสั่ง ยังไงก็รีบจัดการให้จบเรื่องไวๆ เถอะ ปล่อยยืดเยื้อไว้มันไม่น่าจะโอเค”“ไม่โอเค? ไม่โอเคยังไง”
“ไม่รู้ซิ แค่สังหรณ์อะ มันเป็นสัญชาตญาณผู้หญิงไง โอเคปะ”“...............”
หลังจากที่คุยกับยายเจ๊แอนโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ผมกับวิณณ์ก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง ส่วนห้องนั้นวิณณ์ก็ได้โทรให้จ่าเติมส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจดูอีกครั้งเพื่อจะเจอร่องรอยของคนร้ายที่เข้ามา
“ตะวัน วิญญาณคุณแอนเขาพูดอะไรบ้างเหรอ” วิณณ์เอ่ยถามทันทีที่เรากลับเข้าห้องมา
“ก็อย่างที่วิณณ์คิดนะแหละ พวกที่เข้าไปรื้อห้องก็คือพวกไอ้เอ็ม ที่ก่อความวุ่นวายก็พวกมันอีก”
“มันคงจะมาหาเมมโมรี่การ์ด”
“ใช่ แต่มันไม่เจอ คราวนี้มันก็คงรู้แล้วละว่าตำรวจน่าจะได้ไปแล้ว แต่คุณแอนบอกว่าเธอสังหรณ์ว่าเรื่องนี้น่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่าพวกไอ้เอ็ม หรือไอ้เสี่ยที่เธอไปยุ่งด้วย”
“อืม”
วิณณ์หายเข้าไปอาบน้ำได้สักพัก ส่วนผมก็พยายามคิดเรื่องที่เกิดขึ้นให้ได้เรื่องมากที่สุด เฮ้ย ต้องเน้นคำว่าให้ได้เรื่องเลยละก็ผมอะมันเป็นพวกไม่ชอบคิดซับซ้อนอะไร ชอบหรือไม่ชอบก็บอกตามตรง คิดแบบไหนก็บอกแบบนั้น พอมาเจอไอ้เงื่อนงำซ่อนเงื่อนอะไรพวกนี้บอกตรง ตะวันปวดหัว
แกร่ก
“นั่งคิดอะไรตะวัน”
“ก็คิดเรื่องวันนี้นะแหละ”
“แล้วคิดออกไหม”
“หึ” ผมตอบพลางส่ายหน้า
“แล้วถ้าคิดออก คิดว่าจะช่วยได้ไหม”
“หึ...” เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนด่างะ “โหหห ถ้าจะพูดขนาดนี้นะ ด่ากันดีกว่า”
“ฮาา ก็เปล่า แค่ไม่อยากให้เครียดนะ ดูดิคิ้วติดกันเป็นโบว์แล้ว” ว่าแล้ววิณณ์ก็เอามือมาวางคลายคิ้วตรงกลางออกจากกัน
“ก็นี่ไง พยายามช่วยคิดไง เดี๋ยวจะว่ากินแรง” เอ้า พูดอะไรโดนผลักหัวอีกละ
“เออ วิณณ์บอกยังว่าแม่ของตะวันให้ของวิณณ์มาชิ้นหนึ่งด้วยละ”
“ของ? ของอะไร” วิณณ์เปิดลิ้นชักที่หัวเตียงก่อนจะหยิบอะไรซักอย่างแล้วเดินกลับมาที่ริมหน้าเตียงที่ผมนั่งอยู่
“ล๊อคเก็ต ล๊อคเก็ตของตะวันนี่ ทำไมแม่เอามาให้วิณณ์ละ”
“ไม่รู้ซิ แต่แม่ตะวันบอกอยากให้วิณณ์เก็บไว้ แล้วก็คิดว่าตะวันน่าจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“เหรอ” ตะวันแอบคิดไม่ได้ว่าทำไมแม่ถึงคิดแบบนั้น แต่มันอาจจะดีก็ได้นะ คิดดูแล้วถ้าเกิดเขาทำภารกิจไม่สำเร็จไม่ได้กลับคืนร่าง เขาก็จะไม่ได้เจอกับวิณณ์อีก หรือถ้าเขาทำสำเร็จเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีใครล่วงรู้
แต่อย่างน้อย แค่อย่างน้อยล๊อคเก็ตนี่ก็เหมือนตัวแทนเขา วิณณ์จะได้คิดถึงเขาบ้าง
“ตะวันตอนเด็กๆ นี่น่ารัก หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงเลยนะ มิน่าละทั้งแม่แล้วก็นายวายุถึงได้ทั้งห่วงและหวง”
“ไหนๆ” ตะวันเอาหน้าแทรกเข้าไปอยู่ข้างหน้าวิณณ์ “ก็ไม่ได้เหมือนอะไรขนาดนั้นไหม ออกจะหล่อเนอะ”
“หล่อออออ หล่อมากกกกก”
“โอ๊ะ ผลักหัวไมเล่า แล้วนั่นเป็นอะไรไม่สบายเหรอ หน้าแดงเลยอะ สงสัยเพราะตากแดดเมื่อตอนกลางวันแน่เลยใช่มะ งั้นคืนนี้ก่อนนอนอย่าลืมกินยานะ เดี๋ยวมาสบาย รู้ไหม”
“....................”
“แหนะ ถามว่ารู้ไหม”
“รู้คร้าบบบบบ” ดุกว่าแม่กว่าน้องสาว ก็คงเป็นตะวันนี่ละ
[วิณณ์]อยากจะหลับก็ยังหลับไม่ได้ จะให้เขาหลับได้ไงละ ตอนนี้จิตใจมันว้าวุ่นไม่เข้ารูปเข้ารอยแล้ว ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาต้องพยายามบังคับตัวเองอย่างมาก กับความรู้สึกตอนนี้ที่เกิดขึ้น เพราะทุกๆ การกระทำของตะวัน มันมีผลต่อจิตใจและความรู้สึกเขาเหลือเกิน
เขารู้ว่าเขามีหน้าที่ต้องช่วยให้ตะวันทำภาระกิจให้สำเร็จเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกๆวันมันเกินกว่านั้นมาก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง
เขาทั้งห่วงและหวงตะวัน
เขาอยากให้ตะวันทำภารกิจให้สำเร็จ
เขาอยากให้ตะวันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
อยากให้ตะวันได้กลับมาเจอแม่ เจอครอบครัว เจอเพื่อน และที่สำคัญ....
เขาอยากให้ตะวัน กลับมาเจอเขา เจอเขาในแบบที่เราสามารถจับต้องกันได้
แล้วดูอย่างตอนนี้ซิ เจ้าตัวเองทำอะไรก็คงไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเหมือนเดิม การที่เอาหน้าเอาตัวเข้ามาสอดแทรกกลางมือเขาทั้งสองข้างโดยที่ตัวเขาเองซ้อนหลังตะวันอยู่แบบนี้
มันเหมือน.....เหมือนเขากำลังกอดตะวันอยู่
วิณณ์ต้องบังคับหัวใจตัวเองอย่างมาก เพราะมันเต้นจนเหมือนจะหลุดออกมานอก อก ยังไงยังงั้นเลย
เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
สุดท้ายกว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบเช้า เฮ้ออออออออ
“เย้ยยยยย เป็นอะไรอะ ตาดำเป็นหมีแพนด้าเลยอะ”
“นอนไม่ค่อยหลับนะ”
“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” ตะวันเข้ามาใกล้แล้วเอามือแตะหน้าผากเหมือนวัดไข้ “แหะๆ ลืมไปเป็นวิญญาณไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวนี่น่า”
เขาได้แต่ขำคนตรงหน้า บิดขี้เกียจอยู่สองสามรอบก่อนจะลุกไปอาบน้ำ เพราะยังไงวันนี้เขาก็ยังมีงานต้องทำต่อให้จิตใจยังไม่คงที่แต่ภาระหน้าที่ต้องมาก่อน
“วิณณ์ วันนี้เราจะไปกันบ้างเหรอ” เสียงตะวันตะโกนถามเข้ามา
“ก็ไปหาคุณป้าที่โรงพยาบาลเมื่อวานไอ้หมอมันไลน์มาบอกไว้แล้วว่าคุณป้าสามารถกลับบ้านได้แล้ว แกเลยจะมารับมันนี่ไปพร้อมกัน”
“อ่อออ”
“เออ นี่วิณณ์”
“เฮ้ยยย อะไร เข้ามาทำไม”
“ก็คุยกันแล้วมองไม่เห็นหน้ามันไม่ชินอะ”
“รออาบน้ำเสร็จก่อนก็ได้”
“ทำไม? อาย? ไม่ต้องหรอกน่า กระจกมันขุ่นมองเห็นที่ไหนเล่า”
“เปล๊า ใครอาย ไม่มี๊”
“เหรอออ จะยอมเชื่อก็ได้นะ”
Rrrrrrr
“วิณณ์เสียงโทรศัพท์อะ” เจ้าตัวพูดเสร็จก็เดินออกไปยังไม่วายตะโกนกลับมาอีก “วิณณ์ ชื่อหมอมาร์คอะ”
Rrrrrrr
“รู้แล้วๆ เสร็จแล้วๆ”
“สวัสดีครับ”
[คุณวิณณ์นะครับ ผมมาร์คนะครับที่คลินิครักษาสัตว์ที่เราเจอกันเมื่อวานนี้]
“ครับๆ จำได้ครับ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ”
[คุณวิณณ์จะมารับมันนี่วันนี้หรือเปล่าครับ]
“ใช่ครับ”
[ดีครับ ผมอยากให้มาไวซักหน่อยได้ไหมครับ]
“ผมต้องไปรับคุณป้าที่โรงพยาบาลก่อน แล้วถึงไปที่คลินิกก็น่าจะบ่ายได้นะครับ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ” วิณณ์ถามออกไปเพราะรู้สึกว่า การที่หมอโทรมาหาเขามันน่าจะมากกว่าแค่ถามว่าเขาจะมาหรือไม่มา หรือมาเวลาไหนมากกว่า
[คือ อย่างที่คุณวิณณ์รู้ มันนี่แก่มากแล้ว ประกอบกับร่างกายเขาล้าอย่างมากแล้วไม่ค่อยยอมกินอาหารเท่าไหร่ วันนี้มันนี่ก็ซึมขึ้นอีก หมอจึงค่อนข้างกังวลนะครับ หมอคิดว่าถ้าเขาได้เจอคุณป้าเจ้าของไวๆ เขาอาจจะดีขึ้นนะครับ]
ไม่ต้องให้หมอขยายความวิณณ์ก็พอเข้าใจความหมายนั้น
“ผมจะรีบไปให้ไวที่สุดครับ รบกวนคุณหมอช่วยดูแลมันนี่ด้วยนะครับ”
[ครับ ผมจะดูแลให้ดีที่สุดครับ]
“มีอะไรเหรอวิณณ์”
“เราคงต้องรีบไปรับคุณป้าแล้วละ”
“ไอ้หมอ ไอ้หมอ” ผมตะโกนเรียกไอ้เพื่อนหมอทันทีที่เห็นมันออกมาจากห้องคนไข้
“ว่าไงไอ้ผู้กอง เรียกเสียงดังขนาดนี้คนไข้ตกใจทั้งโรงพยาบาลแล้วมั้ง”
“ขอโทษวะ แต่มึงช่วยอะไรกูหน่อย กูต้องพาป้าที่ห้องพักฟื้นออกไปตอนนี้ก่อนวะ”
“ทำไมวะ รีบอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เออ มึงช่วยจัดการเรื่องตรงนี้ให้ก่อนได้ไหม เสร็จแล้วกูจะรีบพาป้าแกกลับมาจัดการเรื่องอื่นๆต่อ”
“กูเป็นแค่ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลนะเว้ย ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ”
“กูรู้ ช่วยกูหน่อยดิวะ”
“เออๆ มึงพาไปเถอะ ยังไงก็รีบกลับมาแล้วกัน แต่กูบอกก่อนนะว่ากูไม่ได้กลัวป้าหรือมึงหนีไปไหนหรอก แต่กูไม่อยากให้พวกหมอ พยาบาลหรือพนักงานคนอื่นมองว่ากูใช้อภิสิทธิ์พ่อเท่านั้น”
“เออ กูรู้นิสัยมึงดีอยู่แล้วละน่า ขอบใจมึงมาก”
“อืมมม”
หมอมองตามหลังเพื่อนตัวเองออกไป ยิ่งนับวันเพื่อนเขาก็ยิ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาด เอาไว้คราวหน้าคงต้องจับมานั่งคุยกันซะหน่อยแล้ว
“ผู้กองเจอมันนี่แล้วเหรอจ้ะ” คุณป้าที่กำลังนั่งบนรถเข็นผู้ป่วยเอ่ยถามวิณณ์
“ครับ เจอแล้วครับ”
“เหรอ ดีใจจัง ดีใจที่สุดเลย”
ป้าแกพูดออกมาเสียงสั่นๆ เขาไม่อยากจะคิดว่าถ้าป้าเจอสภาพมันนี่ตอนนี้ป้าแกจะเป็นยังไง ถ้าคิดอย่างเลวร้ายที่สุด ถ้ามันนี่เกิดเป็นอะไรขึ้นมาป้าแกจะทำยังไงแล้วผมจะทำยังไงวะเนี่ย
“......”
ผมก้มมองที่มือตัวเอง เมื่อตะวันเอื้อมมาจับมือผมที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่ พร้อมกับตะวันส่งยิ้มมาให้ ผมยิ้มตอบกลับไป หน้าผมดูแย่อย่างนั้นเลยเหรอ ผมเป็นตำรวจต้องพบเจอเรื่องแบบนี้มันธรรมดามาก แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็เลือกที่จะเลี่ยง ถ้าเราต้องเดินเข้าไปหาใคซักคนแล้วบอกว่า
‘ผมเสียใจด้วยนะครับ / ญาติของคุณ พ่อแม่ของคุณ หรือ แม้แต่ลูกของคุณเสียชีวิตแล้ว’ ผมไม่อยากเห็นสีหน้าของพวกเขาตอนนั้นเลยบอกตรงๆ ต่อให้เป็นแค่สัตว์อย่างแมว หมา เขาก็มีชีวิตนะ แล้วถ้ายิ่งเขาเลี้ยงผูกพันกันมาเหมือนครอบครัวแล้ว มันไม่ต่างกันมากนักหรอก
ผมพยักหน้าให้ตะวัน อย่างน้อยตอนนี้ข้างๆ ผมก็ยังมีตะวัน ถ้าจะต้องเจอเรื่องหนักกว่านี้ผมก็โอเค ผมขับรถพาคุณป้ามุ่งหน้าไปร้านของหมอมาร์ค อยากจะบอกใจนี่ร้อนล่วงหน้าไปถึงที่ร้านหมอนานแล้ว และก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันนี่เข้มแข็งรอคุณป้าให้ไปถึงก่อน
ใช้เวลาไม่นานจากโรงพยาบาลผมก็มาถึงร้านหมอหมา มาร์ค (เรียกติดกันแล้วมันแปลกๆ แฮะ)
“หมอครับ สวัสดีครับ”
“คุณวิณณ์สวัสดีครับ นี่คุณป้าเจ้าของน้องหมาที่บอกใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีคะ หมอเป็นคนช่วยมันนี่ไว้ใช่ไหมคะ ป้าขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆคะ” คุณป้าเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงสั่น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่อ....แต่ว่าหมออยากคุยกับคุณป้าก่อนไปเจอมันนี่ก่อนนะครับ”
“คะ?”
“มันนี่อายุมากแล้วใช่ไหครับ”
“ใช่คะ 10 กว่าปีแล้วคะ ป้ากับลุงเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเด็ก อยู่ด้วยกันมาตลอด ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินนอนด้วยกันเลยคะหมอ”
“หมอพอจะสังเกตได้ เพราะมันนี่ติดคนมาก และยิ่งเขาต้องหลงกับเจ้าของ เวลาแค่ 2 วันก็ทำให้มันนี่ยิ่งกลัว”
“เหรอคะ หมอไปเจอมันนี่ยังไงคะ แล้วเขาเป็นอะไรมากไหมคะ เข้าปลอด...ปลอดภัย ใช่..ไหม..คะ” คุณป้าถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก เป็นผมก็คงไม่ต่างกัน
“คุณป้ามาทางนี้กับหมอหน่อยนะครับ” หมอประคองป้าไปทางห้องที่ผมไปหามันนี่เมื่อวานนี้
“มันนี่ มันนี่” ป้ามองเข้าไปและเห็นมันนี่ที่นอนหลับอยู่บนเตียงโดยมีแฟนหมอนั่งอยู่เป็นเพื่อนเพื่อน “หมอคะ มัน...มันนี่....มันนี่ เป็นอะไรเหรอคะ”
“แค่นอนหลับเท่านั้นครับ อย่ากังวลเลยครับ” ฟู่ ผมกับตะวันลอบถอนหายใจพร้อมกัน “แต่ว่าที่หมออยากคุยกับคุณป้าก่อนให้ไปเจอมันนี่เพราะว่าที่หมอจะบอกคือ มันนี่แก่มากแล้วนะครับ ร่างกายก็แก่ตามสภาพ โรคก็มีตามประสาหมาแก่ แต่จากภาวะที่เขาหลงทางหายไป ทำให้ร่างกายอิดโรยยจากการขาดน้ำขาดอาหาร ร่างกายจึงยังไม่ฟื้นเต็มที่”
“........”
“ใจจริงหมออยากให้มันนี่พักฟื้นกับหมอก่อน ถ้าคุณป้าไม่ว่าอะไร แต่อีกใจหมอก็คิดว่าถ้าเขากลับไปบ้านกับคุณป้าเขาอาจจะดีขึ้นได้ แต่.....”
“แต่อะไรคะ”
“แต่ลึกๆ หมอก็กลัว กลัวว่าถ้ามีอะไรฉุกเฉิน มันนี่จะได้รับการรักษาไม่ทันนะครับ”
“หมอ หมายความว่ายังไงคะ มันนี่ มันนี่ จะ......จะตายเหรอคะ”
“......”
“มันนี่จะตายเหรอคะ หมอ....หมอบอกป้า มันนี่ ฮึก.....ก”
“ป้าครับใจเย็นๆนะครับ ฟังที่หมอพูดก่อนนะครับ” ผมไปประคองไหล่ป้าพร้อมกับปลอบ
“ป้าครับนั่นคือสิ่งที่แย่สุดที่หมอบอก แต่หมอไม่ได้หมายความว่ามันนี่จะเป็นอะไรตอนนี้ หมออยากให้มันนี่หายนะครับ อยากให้มันนี่กลับไปอยู่กับป้าเพราะเขาเองก็คงรักป้ามากพอกับที่ป้ารักเขา แต่อายุของหมาต่างจากคนเยอะนะครับ 10ปีของหมาก็เท่ากับคนอายุเกือบ 60 แล้วนะครับ ผมอยากให้คุณป้าเข้าใจ”
“เข้าใจในความหมายของหมอก็คือ วัฎจักรของชีวิตไม่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทไหนก็ต้องเจอเหมือนกัน ถ้าป้าอยากฝากมันนี่ให้หมอช่วยดูแลก่อนหมอยินดีนะครับ แต่ถ้าคุณป้าอยากรับมันนี่กลับเพื่อให้เขาได้กลับไปในที่คุ้นเคยหมอก็ไม่ว่าอะไร หมอจะแนะนำวิธีการดูแล และให้ยากับอาหารบำรุงกับคุณป้าไปด้วยครับ”
“คะหมอ ขอบคุณนะคะหมอ”
“ป้าเข้าไปหามันนี่เถอะครับ”
“หมอครับ มันนี่ หมอคิดว่ายังไงครับ” ผมปล่อยให้ป้าเข้าไปในห้องใช้เวลามันนี่ ส่วนตัวเองก็เดินตามหมอมาด้านนอก
“ผู้กอง ผมบอกไม่ได้จริงๆ นะครับ ตอนนี้ขึ้นอยู่กำลังใจของมันนี่เอง ร่างกายเขาไม่ได้มีอะไรบอบช้ำหรือมีแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเลย แต่น่าจะเป็นที่จิตใจของเขา หมอเลยคิดว่าการที่มันนี่กลับไปอยู่บ้าน อยู่ในที่ที่คุ้นเคยเขาอาจจะดีขึ้น มีแรงที่จะมีชีวิตขึ้นมา”
“ผมเข้าใจครับ”
“ตอนนี้ก็ต้องอยู่ที่คุณป้าตัดสินใจแล้วละครับ”
“หมอ พี่หมอ มันนี่....มันนี่ พี่หมอมาที่ห้องเร็วๆ ครับ”-- มาต่อแล้วนะคร้าบ ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อยแต่ก็พยายามรีบมาลงให้แล้วน้า (แอบได้คะแนนติดลบด้วย เค้าเสียใจ 55 ล้อล่นจ้า) มีแก้ไขชื่อหมอคลินิคหมาด้วยนะคะ ตั้งชื่อ หมอมาร์ค เขียนหมออาร์มได้ไง กำลัง งง แฮร่ --