กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 26 ลงแขก
“ลงแขก เป็นประเพณีที่สื่อให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในการช่วยเหลืองานการต่างๆ ระหว่างชาวบ้าน แต่ลงแขกที่คนสมัยใหม่รู้จักมักจะเข้าใจความหมายไปในทางที่ไม่ดี ทั้งที่ในความหมายแท้จริงแล้ว การลงแขกนั้นเป็นประเพณีอันดีงามของไทยที่เราควรอนุรักษ์และรักษาเอาไว้ ซึ่งในอดีตชาวอีสานจะมีการลงแขกช่วยกันทำงานใหญ่ๆ ที่เกินกำลังของคนในครอบครัวเพื่อให้งานเสร็จเร็วๆ โดยส่วนมากก็จะมีตั้งแต่การลงแขกดำนา การลงแขกเกี่ยวข้าว ลงแขกนวดข้าวหรือตีข้าวที่ต้องใช้แรงคนมาก นี่จึงเป็นการแสดงน้ำใจที่คนในชุมชนมีให้แก่เพื่อนบ้านญาติพี่น้อง โดยไม่ได้ค่าจ้างหรือสิ่งตอบแทน แต่จะมีการเลี้ยงข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม และช่วยเหลือหมุนเวียนกันไป ซึ่งสังคมเกษตรมักจะเป็นสังคมแบบพึ่งพาอาศัยกัน การลงแขกช่วยกันทำงาน จึงถือเป็นการสร้างความสามัคคีในชุมชนอย่างหนึ่ง เพื่อช่วยให้งานการต่างๆ เสร็จลุล่วงไปด้วยดีและรวดเร็วโดยไม่ต้องมีการว่าจ้าง
การไปช่วยเหลืองานลงแขก ยังเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะพูดคุยเพื่อศึกษากันและกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในสมัยก่อนใช่ว่าจะไม่มีเรื่องไม่ดีทำให้เกิดความเสื่อมเสียขึ้น แต่ก็น้อยมากเพราะการพบปะส่วนใหญ่จะอยู่ในสายตาผู้ใหญ่คอยดูแลตลอด หากรักใคร่ชอบพอก็เข้าตามตรอกออกตามประตูให้ผู้ใหญ่รับรู้ การลงแขกทำงานจึงเหมือนเป็นการเปิดโอกาสกลายๆ มีการร้องเพลงเกี้ยวกัน จีบกัน และร่วมกันรับประทานอาหารที่ทางเจ้าของนาจัดเอาไว้อย่างสนุกสนาน ถือเป็นประเพณีสานสัมพันธ์อันดีงามที่เลือนหายไปตามกาลเวลา เมื่อสังคมสมัยใหม่ที่มีแต่การดิ้นรนเอาตัวรอดมากขึ้น ต้องการเงินมาเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตมากขึ้น ทุกวันนี้จึงแทบจะไม่ค่อยเห็นมีการลงแขกเพื่อช่วยกันทำงานแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นการว่าจ้างแทน”อ่านมาถึงตรงนี้ต้นกล้าก็ให้นึกเสียดาย ที่ประเพณีอันดีงามนี้ได้ถูกลดความสำคัญลง จนแทบเลือนหายไปหมดแล้ว เพราะจะว่ากันตามจริงตัวต้นกล้าเองก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ลงแขก’ ผิดจากความเป็นจริงไปในอีกความหมายหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะเป็นความหมายในทางไม่ดี อย่างที่ในบทความได้กล่าวเอาไว้นั่นแหละ จึงได้แต่นั่งเสียดายประเพณีดีงามที่น่าอนุรักษ์ไว้นี้ เขามองออกไปยังท้องทุ่งกว้างที่ห่มคลุมด้วยสีทองอร่ามตาของรวงข้าวจนสุดปลายนา ฝั่งนั้นมีต้นไผ่ปลูกเรียงเป็นทิวแถวที่ไอ้จ๋าบอกว่ามันเป็นไผ่หวาน หน่ออ่อนที่ได้มาจะมีรสหวานๆ นุ่มลิ้นผิดกับหน่อไม้ทั่วไปที่รสชาติขมฝาด แต่ต้นกล้ายังไม่เคยชิมสักครั้ง
“ลวกแต่พอสุก กินกับตำหมากหุ่งหรือปลาป่นอร่อยนักแลครับลูกพี่” ไอ้จ๋ามันว่าเอาไว้อย่างนั้น ต้นกล้ากวาดตามองไปตามไผ่ใบอ่อนสีเขียวลู่ไปตามลม ถัดจากแถวของกอไผ่หวานที่เรียงเป็นทิวคือคลองส่งน้ำเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมานาน เวลาน้ำหลากจะมีน้ำเต็มคลอง แต่เวลาที่เข้าหน้าแล้งอย่างนี้ แม้จะมีน้ำเหลืออยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอสำหรับการเพาะปลูก ต้นกล้ารู้สึกตื่นเต้นไม่หายที่ได้มาสัมผัสมันกับความประทับใจของท้องไร่ท้องนาใกล้ๆ ด้วยตัวเอง ที่หากใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ไม่มีวันได้เจอแน่ คิดเล่นๆ ว่าหากจะมีการนัดกันลงแขกเกี่ยวข้าวบ้าง เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม สมัยนี้ยังจะมีใครมาอยู่อีกหรือเปล่า
“เด็ดเดี่ยว”
“พี่เดี่ยว”
“เด็ดเดี่ยว”
“พี่เดี่ยว”
“เดี๋ยวไม่คุยด้วยเลยนิ”
“โอเคๆ ครับยังไงก็ได้ แล้วเรียกพี่ทำไม” ต้นกล้าอยู่บนเปลนอนเล่นโทรศัพท์มือถือ เข้าเพจก็มีแต่เรื่องเดิมๆ น่าเบื่อพักหลังมาจังไม่ค่อยอัปเดตอะไรลงไปนัก แถมยังมีข้อความต่างๆ ส่งเข้ามาหามากมาย ที่หากต้นกล้ามานั่งตอบทีล่ะคนคงใช้เวลาเป็นอาทิตย์ แต่ก็ยังมีคนติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเดิม ต้นกล้าชักจะเบื่อๆ เลย เปิดดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยจนนึกอยากหาข้อมูลการเกี่ยวข้าว เอาไปเอามาเลยไปเห็นบทความเรื่องการลงแขกเพื่อช่วยกันทำงาน พอได้อ่านแล้วก็เลยสนใจและนึกสนุกขึ้นมา
“ว่ายังไงครับ เรียกพี่ทำไมหืม”
“เราอยากลงแขก” !!
“ห๊า! ได้ไง ลงแขกใครที่ไหนเมื่อไหร่ ไม่เอานะพี่ไม่ยอมมันไม่ดีอย่าทำ” เด็ดเดี่ยวฟังยังไม่ได้จับใจความดีก็ดีดตัวขึ้นมาโวยวาย เมื่อได้ยินต้นกล้าบอกว่าอยากลงแขก เพราะเขาคิดถึงความหมายไปในทางไม่ดีที่คนสมัยนี้นำมาใช้กัน ต้นกล้าได้แต่มองหน้าเด็ดเดี่ยวงงๆ แต่พอเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของคนตัวโต ที่กำลังมองตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่ยอม พลางคิดทบทวนคำพูดของเด็ดเดี่ยวไปด้วยเลยเข้าใจ จึงได้แต่หัวเราะขำพรืดออกมา
“อ่าว หัวเราะทำไม”
“ก็คิดไปถึงไหน เราหมายถึงการลงแขกเกี่ยวข้าวหรอก”
“วู้...พี่ก็นึกว่าจะลงแขกแบบนั้น”
“แบบไหน”
“ก็..แบบที่..เอ่อ..ช่างมันเถอะ”
“แล้วคิดว่าถ้าเราลงแขกเกี่ยวข้าวจะมีคนมาช่วยหรือเปล่า”
“ก็คงมีมาบ้างอยู่นั่นแหละลองดูมั้ยล่ะ”
“ลองได้เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ก็เห็นเขาเขียนว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีการลงแขกแล้วนี่ มีแต่จ้างแทนแล้วหันไปลงแขกอย่างอื่น” ต้นกล้าชูโทรศัพท์มือถือเครื่องบางๆ ของตัวเองให้เด็ดเดี่ยวดู ซึ่งยังมีเนื้อหาของการลงแขกเกี่ยวข้าวเปิดค้างเอาไว้อยู่
“ลงแขกอย่างอื่นอย่างไหนล่ะ” เด็ดเดี่ยวแกล้งทำนัยน์ตาวาวและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่เปิดบัง จนคนถูกถามขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ
“อย่างนั้นล่ะ”
“นั่นแน่คิดอะไรอยู่”
“คิดว่าท่าทางมันน่าสนุกเนอะ”
“ลงแขกเนี่ยนะ กับพี่สองคนสนุกกว่า”
“ลงแขกเกี่ยวข้าวโว้ย!” ถึงจะแกล้งโวยวายต้นกล้าก็อดจะยิ้มขำออกมาไม่ได้ที่เด็ดเดี่ยวพาวกเข้าการลงแขกของคนสมัยนี้จนได้ จึงพากลับมาที่ลงแขกเกี่ยวข้าวเหมือนเดิม บอกแล้วก็อมยิ้มมองกันอยู่อย่างนั้น เด็ดเดี่ยวมองตอบต้นกล้ายิ้มๆ เช่นกันเมื่อเห็นแววตาที่เปล่งประกายความสนุกออกมาอย่างปิดไม่มิด ตอนนี้ทั้งสองพักเที่ยงรอลงเกี่ยวข้าวช่วงบ่าย ที่มุมสบายมุมโปรดของต้นกล้า หนุ่มหล่อเกาหลีนอนเล่นบนเปลรับลมธรรมชาติเย็นๆ ใต้ร่มไผ่เหมือนเดิม ที่คนไม่เคยนอนใกล้กอไผ่จะไม่รู้หรอกว่ามันเย็นสบายมากแค่ไหน ส่วนเด็ดเดี่ยวเหยียดขาสุดความยาวเอนหลังพิงต้นมะม่วงอยู่ใกล้ๆ กัน
กว่าจะทำลานข้าวเสร็จเวลาก็สายมากแล้ว ต้นกล้าหิวจนอยากอาละวาดไอ้ลูกน้องคนสนิท ที่มันบอกจะไปเอาข้าวมาให้กินก็ไม่มาสักที เล่นหายไปจนเกือบสิบโมงจึงได้โผล่หัวมาให้เห็น ต้นกล้านี่หิวจนไส้จะขาดเลยไม่มีอารมณ์สนใจอะไร ได้อาหารก็ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว โดยนั่งลงกินมันข้างลานข้าวที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ นั่นแหละ ขี้ควายที่ทาเอาไว้ก็ยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าความหิวทำให้เขาลืมกลิ่นเหม็นๆ ของขี้ควายไป หรือว่ากลิ่นมันอ่อนลงเอง หรือเพราะความคุ้นชิน หรือเพราะคนที่นั่งกินด้วยกันที่คอยหาเรื่องให้ป้อนและคอยป้อนกลับ แต่หนุ่มหล่อเกาหลีที่ร้องยี้และรังเกียจในตอนแรก ก็นั่งกินข้าวได้อย่างสบายอารมณ์ทีเดียว ส่วนไอ้จ๋าเอาข้าวมาส่งลูกพี่ของมันเสร็จก็หายไปอีก เห็นบอกว่าต้องเอากับข้าวไปส่งคนงานต่อ ธุระของมันนี่ก็เยอะจริงๆ
“เอาจริงเหรอ”
“เอาดิ”
“งั้นมาเลย”
“อะไรๆ ๆ”
“อ้าวก็เมื่อกี้บอกว่าอะไรล่ะ”
“อย่าๆ อย่ามาทำตัวเนียนลามกแถวนี้”
“พี่ล้อเล่น” แต่ได้ก็ดี โว้ย! ..เด็ดเดี่ยวอยากเขกหัวตัวเอง ที่วันนี้ทั้งวันเอาแต่คิดเรื่องไม่ดีไร้สาระ คิดแต่เรื่องจะเอาเปรียบคนตัวเล็กกว่า ทั้งที่ต้นกล้าให้ความใกล้ชิดและเปิดใจมากขึ้นขนาดนี้ ถอนใจให้กับความคิดของตัวเองดังๆ แล้ววางมือบนหัวที่ประดับด้วยเส้นผมสีแดงแล้วกดขยี้เบาๆ (?) จนอีกคนหัวสั่นหัวคลอน
ถึงแม้ว่าต้นกล้าจะดูเหมือนพะวักพะวนอยู่หน่อยๆ ก็คงเป็นเพราะกังวลเรื่องผู้ใหญ่ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นและชัดเจนกว่าเมื่อก่อนมากโขเลยทีเดียว ทั้งที่เจอกันวันแรกคนตัวเล็กกว่ามีท่าทางต่อต้านและไม่ยอมรับในตัวเด็ดเดี่ยว แม้แต่อยากทำความรู้จักกันก็ไม่ค่อยจะยอม แต่วันนี้ที่ต้นกล้ารู้ใจตัวเองแล้ว ยังแสดงออกมาอย่างเต็มที่ทั้งเขินๆ อยู่นั่นแหละ ความน่ารักกระแทกโดนใจจนเด็ดเดี่ยวแทบอดไม่ไหว ที่จะดึงร่างสูงโปร่งของต้นกล้าเข้ามากอดให้สมรัก แล้วจูบปากให้หนำใจสักครั้ง ฮึ่ม มันเขี้ยว!!
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ” ต้นกล้าถามเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวเอาแต่นั่งสะบัดหน้าไปมา เหมือนหมาสะบัดขน
“พี่เปล่าเป็น” จะให้เด็ดเดี่ยวบอกไปได้อย่างไร ว่ากำลังสะบัดเรื่องบัดสีบัดเถลิงที่เอาแต่คิดถึงร่างอุ่นๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาคืนนั้นอยู่ตลอด ยิ่งเมื่อได้ใกล้ชิด ได้กอด ได้หอม จนถึงได้จูบ สัมผัสนั้นยิ่งดูเหมือนว่าจะเด่นชัดขึ้นมาในความโหยหา จนเกิดการเรียกร้องของหัวใจ ให้ดึงอีกคนมากกอดกันไว้อีกนานๆ พอคิดมาถึงตรงนี้เด็ดเดี่ยวเผลอยกมือขึ้นมาเขกหัวตัวเองจนเจ็บจึงได้รู้ตัว
“อูยย ซี๊ดด เจ็บอยู่นี่หว่า”
“บ้าไปแล้ว”
“เปล่าๆ พี่ยังไม่ได้บ้า”
“คนสติดีที่ไหนมานั่งเขกหัวตัวเอง”
“อืมพี่คงสติไม่ดีอย่างที่ว่านั่นแหละ เพราะเอาแต่คิดถึงตอนที่พี่ได้กอดต้นกล้าตลอดเวลาเลย” ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวที่นั่งทำตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร จึงแสยะยิ้มให้คนตัวโตกว่าเหมือนบอกว่ามันเลี่ยนเกินไป แถมยังส่ายหัวอย่างระอาที่พักนี้โดนอีกคนหยอดคำหวานมาตลอด แม้ในใจลึกๆ จะอดสั่นเพราะความหวั่นไหวกับคำพูดของอีกคนไม่ได้ก็ตาม ไม่อยากยอมรับเลยว่ามีบางครั้งที่ต้นกล้าเองก็เผลอคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคนตัวโต และค่ำคืนที่อีกฝ่ายเอาแต่เรียกชื่อต้นกล้าซ้ำไปซ้ำมาเช่นกัน แต่เรื่องอะไรเขาจะบอกให้รู้ล่ะ แบบนี้มีหวังไอ้คนหน้ามึนได้โอกาสเอาเปรียบเขาแน่ๆ
“ถอยไป!”
“ต้นกล้า”
“ถอยไปเลย”
“แต่...”
“อย่าเข้ามานะเว้ย” ต้นกล้าบอกเสียงเข้มเพราะเห็นสายตาของเด็ดเดี่ยวมันดูเปลี่ยนไป มันมีแววแปลกๆ แต่สามารถทำให้ใจดวงน้อยไหวหวั่นเอาได้ง่ายๆ ก็แล้วกัน ต้นกล้าต้องปกป้องตัวเองก่อนหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำมันจะทำให้สั่นไปมากกว่านี้ มันสั่นไหวไปทั้งตัวและร้อนวาบๆ ขึ้นมาเสียเฉยๆ จนเหมือนกับว่ามันจะทำให้ใบหน้าและร่างกายของเขาระเบิดออกเป็นเสี่ยง เพราะแววตาร้ายกาจที่มีแต่ความปรารถนาคู่นั้น ที่กำลังมองเหมือนต้นกล้าเป็นของหวานชิ้นโปรด
“ใจร้ายจริงๆ ”
“อ่าว”
“ต้นกล้าใจร้ายกับพี่..”
“เอ้า อยู่ดีๆ ก็มาว่าให้กัน บ้าไปแล้ว”
“แต่ถึงจะร้ายพี่ก็จะรักอยู่ดีนะหึๆ ๆ ”
“โอ๊ย”
“ทำไมล่ะ”
“กะ ก็..เปล่าหรอก เราว่าเราไปคุยเรื่องลงแขกเกี่ยวข้าวกับลุงสมควรดีกว่า” ต้นกล้าต้องหลีกหนีสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด เพราะคนตัวโตต้องคิดอะไรไม่ดีในแบบสัปดี้สัปดนอยู่แน่ๆ ถึงได้มองต้นกล้าเหมือนกับจะขย้ำมาเคี้ยวแล้วกลืนกินอย่างนี้ ส่วนเด็ดเดี่ยวจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหน้ายิ้มขำ ทั้งขำตันกล้าและขำตัวเองนี่ล่ะ เพราะไม่รู้ว่ามองคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาแบบไหน อีกคนถึงได้ทำหน้าอย่างนี้ แต่แค่เห็นท่าทางของต้นกล้าเป็นแบบนี้ ใจเขามันยิ่งเต้นกระหน่ำโครมคราม จนห่วงว่ามันจะวายตายลงไปเสียก่อน แต่ใครจะไปห้ามใจได้ล่ะ ก็รักซะขนาดนี้ ทุกลมหายใจเข้าออกก็คิดถึงแค่คนนี้คนเดียว
“ไม่ต้องไปหรอกอยู่นี่ล่ะ พี่ไม่มองต้นกล้าก็ได้”
“ไม่มองก็หันไปทางอื่นสิ”
“หึๆ ๆ “ต้นกล้ารู้สึกว่าตัวเองร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าจนจะลามไปทั้งตัวอยู่แล้ว เล่นจ้องซะอย่างกับไม่เคยเห็นกันมาก่อนมันเลยทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะสายตานั่น แววตาแบบนั้นมันคืออะไรทำไมต้นกล้าจะไม่รู้ มองซะจนต้นกล้าคิดว่าตัวเองเป็นของหวานชิ้นโตก็ไม่ปาน นี่หากคนตัวโตน้ำลายยืดออกมา ต้นกล้าเป็นได้เผ่นอย่างไม่ต้องคิดมากเลย
“บ้าบอที่สุด” พอทำอะไรไม่ได้ก็ด่ากลบความเขินแล้วเอาหมวกมาปิดหน้าหลับตานอนมันซะเลย สุดท้ายต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ เพราะต่างมีเรื่องให้คิด แต่กระนั้นคนตัวโตก็ไม่ลืมที่จะไกวเปลเบาๆ อย่างที่ต้นกล้าชอบ ลมเย็นๆ บรรยากาศดีๆ มีคนที่ใจปฏิพัทธ์อยู่ใกล้ๆ ทำให้ต้นกล้าแทบจะเผลอหลับไปทีเดียว
อะไรจะดีเท่าได้นอนท่ามกลางอากาศเย็นสบายและสดชื่น ที่สามารถสูดมันเข้าปอดได้อย่างเต็มที่ มีใครบางคนอยู่ข้างๆ สายลมอ่อนพัดผ่านผิวหน้าว่าสดชื่นแล้ว ยังไม่เท่ากับความสุขใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน ต้นกล้าแม้จะหลับตาก็สัมผัสรู้ได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เปล ยังคงเคียงข้างกันอยู่ไม่ไปไหน แล้วเสียงของคนคนนั้นก็ดังแทรกเข้ามาในหัว
“ไปเดินเล่นกับพี่ดีกว่าปะ”
“เดินที่ไหน”
“แถวนี้ล่ะ”
“ไม่เอาเราขี้เกียจเดิน”
“งั้นขี่หลังพี่ไป” ต้นกล้าดึงหมวกออกจากใบหน้าลืมตามองเด็ดเดี่ยวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ เพราะใจจริงก็อยากไปเดินเล่นนั่นแหละ เมื่ออีกคนยิ้มตอบอย่างรู้ทันเลยไม่รู้จะปฏิเสธไปเพื่ออะไร ยักคิ้วให้พร้อมกับยกมือขึ้นกวักให้อีกคนหันหลังมาในท่าเตรียมพร้อม ซึ่งเด็ดเดี่ยวก็รีบทำตามทันทีอย่างว่าง่าย คนที่นั่งอยู่บนเปลจึงเปลี่ยนมาเกาะอยู่บนหลังคนตัวโตเหมือนลูกลิงตัวน้อยแทน
“เอ้าเดินดีๆ หน่อย”
“นิ่งๆ สิอย่าดิ้นเดี๋ยวตกคันนา” เมื่อสองมือคล้องคอสองขาเกี่ยวเอวแน่นแล้ว ต้นกล้าก็ทิ้งแผ่นอกแนบไปกับแผ่นหลังกว้างๆ เชยคางแหลมวางที่ไหล่แกร่ง ปล่อยให้แก้มนวลแนบชิดกับผิวแก้มกร้านสากเครา ผิวพรรณเห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อได้ชิดใกล้ ต้นกล้ามีหนวดบางๆ ที่ยังคงเป็นไรขนอ่อนตัดกับผิวขาวน่ามอง ผิดกับเด็ดเดี่ยวที่ทั้งหนวดทั้งเคราขึ้นดกหนาและเขาต้องโกนออกทุกวัน ไม่เช่นนั้นใบหน้าที่หล่อคมคร้ามๆ นั่นจะดูเหมือนโจรไปเลยทีเดียว คนตัวโตให้ต้นกล้าขี่หลัง โดยใช้สองแขนแกร่งเกี่ยวรองไว้ที่ต้นขาของต้นกล้าอีกที ร่างทั้งสองจึงกระชับเข้ากันแนบแน่น ชายหนุ่มเดินตรงไปตามคันนา ร้องเพลงรักหวานแนวลูกทุ่งเพลงโปรดอย่างอารมณ์ดี
บนคันนาที่ทอดยาวไปสู่จุดหมายเบื้องหน้า ต้นกล้าเหมือนลูกลิงที่เกาะหลังพ่อลิงตัวใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยว ท่ามกลางรวงข้าวสีทองเป็นพยาน และสายลมอ่อนๆ ที่โชยมาเป็นระยะ คันนาสูงนำพาไปสู่ทิวไผ่ที่ปลูกเรียงเว้นระยะไว้อย่างเป็นระเบียบ ถัดจากตรงนั้นเป็นคลองส่งน้ำมีช่วงหนึ่งที่เป็นแอ่งกว้างพอประมาณน้ำลึกที่สุดเพียงเอว และใสจนเห็นพื้นเบื้องล่าง เถาผักบุ้งนาสีแดงคล้ำเลื้อยหนีแล้งลงสู่กลางน้ำ ดอกผักบุ้งนาสีขาวแกมม่วงออกดอกแซมกับดอกบัวสีชมพูบานเย็น ตัดด้วยสีเขียวของใบดูงามตา เด็ดเดี่ยวพาลูกลิงที่เกาะหลังนั่งลงบนสันคูใต้ร่มไผ่ โดยที่คนตัวเล็กกว่าก็ยังนั่งซ้อนหลังไขว้ขารัดเอวกอดคอเขาแน่นอยู่เหมือนเดิมในท่าเดิม
“มาที่นี่ทำไมอะ”
“มาดูดอกบัว”
“ไม่เคยเห็นหรือไง”
“พี่ไม่เคยเห็นตอนอยู่กับต้นกล้าไง”
“เหอะนะ ว่าแต่นี่คือบัวที่เขาเอาไปแกงสายบัวปะ”
“แน่นอน”
“เหรอๆ งั้นเราเก็บไปแกงกันนะ ลงไปเก็บให้เราหน่อยสิเราไม่อยากเปียก”
“ได้ครับไม่มีปัญหา แต่...”
“แต่อะไร ไปๆ ลงไป” เห็นสายตาแล้วต้นกล้ารู้ทันว่าข้อแม้ของเด็ดเดี่ยวเป็นอะไรที่เขาเสียเปรียบแน่ๆ ล่ะ จึงรีบผลักอีกคนออกห่าง แต่มีหรือที่คนคิดค้ากำไรจะยอม เด็ดเดี่ยวหันกลับมารวบร่างที่ยังเกาะแจอยู่ข้างหลัง แล้วรั้งให้ต้นกล้าขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของตัวเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่รอให้ตั้งตัวชายหนุ่มครอบครองปากสวยสีสดๆ ที่เขาเอาแต่เฝ้ามองมาทั้งวันนั่นทันที ลิ้นร้ายของเขามันร้ายกว่าที่เคย เมื่อพยายามกวาดต้อนความหวานละมุนละไมอย่างกระหายใคร่อยาก ในแบบที่ต้นกล้าตอบโต้แทบไม่ทัน แต่กระนั้นไอ้หัวแดงจอมรั้นของเด็ดเดี่ยวก็ไม่ยอมแพ้ ต่างฝ่ายต่างป้อนจูบให้กันด้วยความเสน่หา หวาน หวานเหลือเกิน หวานชื่นใจจริงๆ
จุ๊บ
“ไปเก็บบัวให้เราเลยนี่แน”
“เฮ๊ย!!”
“เฮ๊ย อ๊าก เด็ดเดี่ยว” !! ต้นกล้าที่มีแผนในหัวอยู่แล้วจึงผลักเด็ดเดี่ยวออก แล้วบอกให้ไปเก็บบัวพลางยกเท้าจะยันส่ง หวังจะให้หงายหลังตกน้ำ เพื่อลงไปทำตามที่สั่งให้ทันใจ แต่คนตัวโตที่รู้ทันคว้าข้อมือของคนเจ้าเล่ห์ได้พอดี ทั้งสองจึงตกลงไปในน้ำด้วยกัน
ตูม!!!
ตุบ!!
!! เฮือก
“เปียกๆ เปียกหมดแล้ว เปียกหมดแล้ว เปียกหมดแล้ว อ้าว”
“ฝันร้ายเหรอครับลูกพี่?!”
“อะ ไอ้จ๋า! อะ อะไรวะ “ต้นกล้าถามทั้งที่ยังตาปรือและมีสีหน้างงๆ พลางมองไปรอบๆ หัวใจเต้นจนได้ยินเสียงดังตุบๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะจูบดูดดื่มเมื่อสักครู่ แต่มันเป็นเพราะว่าเขาที่นอนอยู่บนเปลในตอนแรก บัดนี้กลับลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแบบไม่รู้ตัว มีไอ้จ๋านั่งมองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ ท่าทางของมันเหมือนคนหงายหลังแล้วเอามือทั้งสองข้างยืนพื้นไว้ ใช่นะสิมันตั้งใจจะมาปลุกลูกพี่ใหญ่ตามคำสั่งของลูกพี่รองที่ฝากเอาไว้ แต่อะไรคือการมาถึงและได้เห็นคนเป็นลูกพี่กำลังนอนดูปากตัวเอง จ๊วบๆ อย่างเมามัน
“ลูกพี่เป็นอะไรครับ ตื่นยังนิ”
“อะไรนะ” ต้นกล้าคิดว่าตัวเองหลุดถามอะไรโง่ๆ ออกมา เพราะยังก้ำกึ่งว่าตื่นหรือยังไม่ตื่น กวาดตามองไปรอบๆ ตัว คูน้ำเมื่อกี้มันหายไปไหน คนหน้ามึนหายไปไหน มันคือความฝันอย่างนั้นหรือ แล้วจูบเมื่อกี้ก็ความฝันด้วยใช่ไหม เมื่อกี้เขาตกน้ำ แต่ทำไมเสื้อผ้าไม่เปียก นี่คือฝันกลางวันใช่ไหม บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ ฝันเฟื่องอย่างนั้นเหรอ โอ๊ย! ต้นกล้ารับตัวเองไม่ได้ เกลียดตัวเองขึ้นมาทันที
ต้นกล้ากวาดตามองรอบๆ อีกครั้ง จนสายตาวกกลับมาเจอใบหน้าเกรียนๆ ของไอ้จ๋าที่มองเขาอยู่ยิ้มๆ แล้วตั้งคำถามในใจอีกครั้ง ว่าเด็ดเดี่ยวหายไปไหนทำไมถึงมีแต่ไอ้จ๋า ไอ้คนหน้ามึนตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องตกน้ำไปไหน แม้จะในความฝันก็ตามเถอะ แต่มันก็เล่นเอาต้นกล้าตกใจเผลอดิ้นจนตกเปลลงมานอนคลุกฝุ่นได้เลยทีเดียว แบบนี้ต้องมีการเอาคืนเน้นๆ
“ลูกพี่มองหาลูกพี่เดี่ยวเหรอครับ” มันเป็นลูกน้องที่รู้ใจลูกพี่จริงๆ แต่ก็นั่นแหละ อย่างไอ้จ๋าคนเกรียนไม่มีใครเดาทางมันได้ถูกหรอก ดูอย่างเมื่อเช้านั่นปะไรที่มันยังหักหลังเขาได้ลงคอ ด้วยการผลักลงในลานขี้ควายน่ารังเกียจ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ต้องลงมานอนคลุกฝุ่นเพราะเปลพลิก คิดๆ แล้วต้นกล้าก็ถามตัวเองว่ายังไว้ใจมันได้อยู่หรือเปล่า
“..”
“ลูกพี่ตื่นได้แล้วนะครับเย็นมากแล้ว” ไอ้จ๋าเตือนเมื่อเห็นว่าต้นกล้ายังมีท่าทางงงๆ
“อะ เออๆ ตื่นแล้วๆ แล้วแกไปไหนมาวะ”
“ไอ้จ๋าก็อยู่แถวๆ นี่ล่ะครับ ว่าแต่..”
“ว่าแต่อะไรวะ” ทำไมไม่ชอบพูดให้มันจบๆ ไปทีเดียววะ ทำไมต้องเว้นเอาไว้ให้ถามต่อทุกทีสิน่า ต้นกล้าแอบคิดอย่างพาลๆ เพราะในใจเริ่มหงุดหงิดที่ตื่นมาแล้วไม่เห็นคนที่ควรจะอยู่ตรงนี้อย่างที่บอก
“ลูกพี่ฝันว่าอะไรครับ ทำไมทำปากจ๊วบๆ เหมือนคนจูบกันเลย คิกๆ ๆ ”
“ไอ้บ้า! ใครจะไปจูบกันในฝันวะ” ร้อนตัวเห็นๆ ทั้งที่ไอ้จ๋ามันก็แค่เปรียบเทียบเฉยๆ
“เอ๊า ไอ้จ๋ายังเคย เอ๊ย! ไม่ใช่ครับ ก็ลูกพี่ทำปากเหมือนกำลังจูบกันนี่ครับ แล้วยัง...” สายตาของไอ้จ๋ามองตรงที่ใบหน้าของคนเป็นลูกพี่แล้วหรี่ลงเหมือนจับผิด ริมฝีปากเม้มแน่นแต่แบะมุมปากทั้งสองข้างลงเมื่อมันเว้นช่วงแกล้งทำเป็นหายใจ แล้วก้มลงมาหาลูกพี่ใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบ “...ยังมีเสียงจ๊วบจ๊าบให้เสียวตับเล่นอีกด้วยนะครับลูกพี่ คึๆ ๆ ”
“ใครจะไปหมกมุ่นแบบนั้นถ้าไม่ใช่แก”
“นั่นสิครับ แต่ไอ้จ๋าก็ไม่เคยจูบใครในฝันเลย นิ”
“เออนะสิ”
“ว่าแต่....” เอาอีกแล้ว ว่าแต่... อีกแล้ว อะไรของมันนักหนาวะ ต้นกล้าคิดทั้งหงุดหงิดและมองไอ้จ๋าตาขวางแต่มันก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้าน ต่อความไม่พอใจของลูกพี่ใหญ่เหมือนเดิม
“..?”
“ลูกพี่จะอยู่ท่านี้อีกนานมั้ยครับเปื้อนดินหมดแล้วนะ”
“เฮ้ย แล้วก็ไม่บอกแต่ทีแรกวะ” ต้นกล้ารีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าตัวเองยังนั่งแหมะอยู่ที่พื้น มือก็ปัดเศษดินเศษหญ้าที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออกไปด้วย ในใจให้นึกหงุดหงิดที่ไอ้จ๋าปล่อยเขาให้นั่งคลุกดินเป็นตัวตลกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน โดยไม่บอกให้เร็วกว่านี้สักคำ เด็ดเดี่ยวก็ไม่รู้หายไหนสิปล่อยให้ต้นกล้านอนอยู่คนเดียวอยู่ได้มันน่าเจ็บใจนัก ต้นกล้าเอาแต่คิดโทษคนนั้นคนนี้ ความผิดเหล่านี้ต้องโยนให้ไกลตัวและหาทางเอาคืน
“เออ ว่าแต่ตัวเล็กเป็นไงบ้างวะ” ต้นกล้าถามขึ้นเมื่อทั้งสองเดินไปตามทางเพื่อกลับขึ้นบ้าน ส่วนไอ้จ๋ายิ้มออกมาน้อยๆ แม้ว่ากำลังมีปัญหาบางอย่าง แม้อีกคนจะโกรธแต่อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องให้สบายใจและโล่งอก คิดถึงแล้วก็อยากไปหาอยากเจอหน้า อยากกอด อยากจูบให้สมใจ แต่งานที่เยอะช่วงนี้ทำให้ปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย ไอ้จ๋าจึงได้แต่คิดถึงๆ ทุกวัน มีแอบโทรหาบ้างแต่อีกคนกลับไม่รับสาย ไอ้จ๋าคนงานยุ่งจึงคิดเอาเองง่ายๆ ว่าคงเป็นเพราะอีกคนก็งานยุ่งเหมือนกัน โดยไม่เอะใจเลยว่าทำไม่น้ำส้มไม่เคยโทรกลับมา ทั้งที่ไอ้จ๋าก็ส่งข้อความหวานๆ หาก่อนนอนทุกคืน ปล่อยให้เงียบไปเถอะเดี๋ยวเจอไอ้จ๋างอนแล้วจะไปไม่เป็น
“เฮ้ย เงียบไมวะ”
“...” ไอ้จ๋าคิดไปเพลินๆ แล้วก็เอาแต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้น คิดถึงใบหน้าของน้ำส้มตอนตกใจที่โดนมันกอดและหอม จนลูกพี่เรียกมันก็ยังเฉย ในหัวมีแต่ใบหน้าสวยเนียนใสของใครบางคนเท่านั้น
“เป็นเอามากว่ะ”
“ครับลูกพี่”
“ฉันว่าจะลงแขกเกี่ยวข้าวแกว่ามันจะเป็นยังไงวะ”
“ครับลูกพี่”
“แกว่าจะมีคนมาหรือเปล่าวะ”
“ครับลูกพี่”
“ไอ้จ๋า”
“ครับลูกพี่”
“แกจะเหยียบขี้หมาแล้วนั่น” ผลั๊วะ!!
“ครับ เฮ้ย”
ตุบ!!
“อูย..อะไรกันครับลูกพี่ ถีบไอ้จ๋าทำไมหน้าคะมำเกือบได้กินหญ้าแล้วมั้ยล่ะ” ไอ้จ๋าพ่นเศษหญ้าออกจากปากตอนนี้มันนั่งอยู่บนคันนาในท่าตะครุบอะไรบางอย่าง ที่ชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่าตะครุบกบตะครุบหนูนั่นแหละ ตอนล้มหน้าเกรียนๆ กร้านๆ ของมันยังไถไปกับพื้นหญ้าด้วย มือข้างหนึ่งลูบก้นตัวเองตรงที่โดนลูกพี่ใหญ่ถีบด้วยความรัก ส่วนอีกข้างลูบใบหน้าตัวเองป้อยๆ เมื่อหันกลับมาแหงนมองลูกพี่ใหญ่งงๆ เหมือนกับสงสัยว่าตัวมันเองนี้ลงมานั่งที่พื้นได้อย่างไร ซึ่งคนเป็นลูกพี่นั้นก็กำลังหัวเราะขำอย่างสะใจให้จนไอ้จ๋านึกเคือง
ต่อ...