Page 20 : ไม่ผิดสักคน
ร้านกาแฟใต้คอนโดของแนนนี่คือจุดนัดพบในเย็นนี้ สิปป์คิดว่าคงไม่ดีหากต้องปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอาจต้องรับความเสียใจจากการตัดสินใจของเขาต้องขับรถกลับเพียงลำพัง เมื่อมาถึงที่หมาย คนที่เตรียมใจมาอย่างดีกลับใจสั่น มือเรียวที่กำลังจะผลักประตูร้านเข้าไปจึงหยุดชะงักนิดหน่อย ทว่าเป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวในร้านเงยหน้าจากสมาร์ทโฟนขึ้นมาพอดี ...แนนนี่เห็นเขาแล้ว สิปป์เลยจำต้องเดินเข้าไป แม้ใจจะอยากหันหลังกลับไปเต็มที
“เป็นไงบ้าง” ผู้มาเยือนเอ่ยทักคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว แนนนี่ยู่หน้าเป็นคำตอบ
“หายเงียบไปเลยนะ นึกว่าต้องไปแจ้งคนหายซะแล้ว” หญิงสาวเอ่ยแซวแฟนตัวเอง ซึ่งก็ได้รอยยิ้มแหยๆ ตอบกลับมา
“กินข้าวป่ะ” เจ้าของถิ่นเอ่ยถามต่อ
“เอาชาร้อนดีกว่า ยังไม่ค่อยหิวอ่ะ” แนนนี่จัดการเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ร้าน ปล่อยให้อีกคนนั่งกุมมือเย็นเฉียบของตัวเองไปพลางๆ ....สิปป์ไม่รู้ว่านี่คืออาการตื่นเต้นหรือกลัว รู้แต่ว่าเขาเกลียดตัวเองในช่วงเวลานี้ที่สุด
“สั่งชาพีชไปนะ” หญิงสาวกลับมาพร้อมรอยยิ้ม วันนี้แนนนี่สวมเชิ้ตสีดำขนาดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีซีด มีเครื่องประดับนิดหน่อยพอสร้างสีสัน สิปป์เคยนึกชมรสนิยมของแฟนตัวเองในใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สวยเฉี่ยวแบบต้องมองเหลียงหลัง ไม่ได้น่ารักอ่อนหวานน่าทะนุถนอม แต่เป็นคนที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความกระตือรือร้น ที่มองปราดเดียวก็รู้สึกได้ว่าเท่และเก่งทัดเทียมกับผู้ชาย
“สร้อยสวยนะ” คนมองชี้ไปยังสร้อยเงินที่เป็นแผงสามเหลี่ยมไล่เรียงกันสวยงาม
คนถูกชมยิ้มกว้าง “ลูกค้าซื้อให้ ออกตัวแรงด้วยว่าจะจีบแนน”
“แล้วตัวเองสนใจป่ะ”
ชาร้อนกลิ่นหอมฉุยมาเสิร์ฟพอดี แนนนี่มองดูแล้วรีบเรียกพนักงานไว้ ก่อนจะเอ่ยขอน้ำตาลกรวดที่สิปป์ชอบ
“เมื่อกี๊ว่าไงนะ” หญิงสาวหันมาถามอีกรอบ สิปป์เลยทวนคำถามอีกครั้ง
“ก็ไม่เชิงว่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร” คนได้ฟังคนตอบหรี่ตาเป็นเชิงล้อเลียน ไม่รู้ว่าอีกคนตอบตามความจริงหรือตอบเพราะลองใจ
“แต่ก็เอาสร้อยเขามาใส่น๊า แหม...แหม” คนถูกล้อยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่แคร์
พนักงานนำโถใส่น้ำตาลกรวดมาให้ สิปป์หยิบใส่แก้วชาสองเม็ด ในขณะที่แนนนี่หยิบไปกินเล่นเป็นกำ
“แนน...ตัวเองเหมือนน้ำตาลกรวดนะรู้ป่าว” สิปป์ศิลป์คนชาร้อนไปด้วยเบาๆ ขณะพูด ผู้หญิงที่ถูกเปรียบเทียบกับน้ำตาลกรวดเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“ไม่หวานมาก แข็งแกร่ง ไม่ละลายไปกับอะไรง่ายๆ เหมือนพวกน้ำตาลทราย” คนพูดปล่อยช้อน แต่กลับไม่แตะต้องชากลิ่นหอมกรุ่นตรงหน้า
“สิปป์เลยชอบใช่มั้ย....น้ำตาลกรวดน่ะ” หญิงสาวเอ่ยถามยิ้มๆ
“ใช่...” ชายหนุ่มขานรับ รับรู้ได้ว่าเสียงตัวเองสั่นเครือ มือเย็นเฉียบประสานกันไว้ที่ตัก ตากลมมองตรงไปยังผู้หญิงตรงหน้า แนนนี่สบตาเขา เห็นแววไหวระริกในนั้น
“.....ตัวเองมีอะไรเหรอ” ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่พยายามทำเป็นไม่สนใจ การหายไปของสิปป์ศิลป์ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องปกติ และการนัดกันในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่แนนนี่คิดไว้แล้วว่ามันต้องมาถึง
สิปป์ศิลป์สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะผ่อนออกช้าๆ “แนน...ตอนนี้เค้าไม่ได้ชอบกินน้ำตาลแล้ว”
แนนนี่นิ่งอึ้ง ก้มหน้ามองโถน้ำตาลบนโต๊ะ “ตัวเอง...เบื่อ...น้ำตาลกรวดเหรอ”
มือเย็นเฉียบเอื้อมไปแตะเบาๆ ที่มือของหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม “เค้าไม่ได้เบื่อ...แต่เค้ารู้สึกว่า เค้าไม่ได้ชอบกินน้ำตาล...ทุกชนิด...อีกแล้ว”
แววตาของคนได้ฟังมีแต่ความสับสน น้ำตาที่ไม่เคยไหลมาเนิ่นนานกลับค่อยๆ เอ่อล้น ในใจของเธอมีคำถามมากมาย เกิดอะไรขึ้น ทำไม เพราะอะไร....นานหลายนาทีที่หญิงสาวนิ่งเงียบ ปล่อยให้คนตรงข้ามเช็ดน้ำตาราวกับคนไม่รู้สึกตัว
“เค้าขอโทษนะ” คำสั้นๆ คงไม่เพียงพอจะทดแทนสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิปป์ก็เลือกที่จะพูดมันจากใจ
“ที่ผ่านมา...ฝืนใจมั้ยที่ต้องกินน้ำตาลกรวด” ถ้อยคำง่ายๆ แต่คนถูกถามกลับปวดร้าวไปทั้งใจ
“ไม่เลย ที่ผ่านมาชอบจริงๆ ...อาจจะไม่เคยบอก ไม่เคยแสดงออก แต่ตลอดเวลาที่คบกัน เค้าชอบตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้น...” เขาไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจ แต่นี่คือความรู้สึกแท้จริงที่มีต่อผู้หญิงตรงหน้า คนได้ฟังยิ้มทั้งน้ำตา
“แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้สิปป์เลือกเค้าใช่มั้ย” คราวนี้สิปป์นิ่งเงียบ ปล่อยน้ำตาที่กลั้นไว้ให้ไหลแทนคำตอบ
“ไม่เป็นไรหรอก เค้าไม่โกรธสิปป์หรอกนะ ...ขอบคุณที่มาบอกกัน” แนนนี่กลืนคำถามมากมายไว้ในใจ การที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คบกันมาแบบไร้หัวใจก็ถือว่ามากเกินพอ
“ความรู้สึกที่เค้ามีต่อสิปป์ เค้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาคำไหนมานิยาม” หญิงสาวพูดต่อ หลังจากน้ำตาค่อยๆ เลือนหาย “ถึงเราจะมีความคิดตรงกันว่าความรักไม่มีจริง ...แต่ขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่า รัก เป็นคำที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกที่เค้ามีต่อตัวเองที่สุดแล้ว”
ทั้งสองเดินออกมาจากร้าน สิปป์มองผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่จิตใจเข้มแข็งตรงหน้า ก่อนจะคว้าร่างนั้นเข้ามากอดโดยไม่สนใจสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา จมูกโด่งจรดลงกับเส้นผมนิ่ม สูดกลิ่นหอมคุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้าย แนนนี่เอื้อมมือกอดพลางลูบหลังอีกคนเบาๆ รู้สึกใจหายเมื่อรู้ว่านี่เป็นนาทีสุดท้ายของการรู้จักกันในฐานะคนรัก
“วันหนึ่งเราจะเรียนรู้การคบกันในฐานะอื่นๆ” หญิงสาวเอ่ยเสียงอู้อี้
“เค้าจะรอวันนั้น....ขอบคุณนะ” สิปป์ค่อยๆ ผละตัวเองออก นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาที่หางตาของอดีตคนรัก มองดูเธอเดินเข้าคอนโดไปจนลับตา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิทของแนนนี่
“จุ๊บเหรอ สิปป์เองนะ จุ๊บ...ตอนนี้แนนนี่มีเรื่องไม่สบายใจ เราฝากแนนด้วยนะ ขอบคุณครับ”
หลังวางโทรศัพท์ สิปป์ก็พาตัวเองเดินเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย กรุงเทพฯ ในเวลาทุ่มกว่าๆ ยังคงสว่างไสว ผู้คนในชุดมนุษย์เงินเดือนยืนอัดแน่นกันที่ป้ายรถเมล์ การจราจรยังติดขัดเหมือนเช่นทุกวัน ท่ามกลางทุกชีวิตที่เคลื่อนไหว มีเพียงเขาที่หยุดนิ่ง หัวใจห่อเหี่ยว ความรู้สึกหลากหลายปะปนกันระหว่างความเสียใจกับความรู้สึกผิด ความเหนื่อยล้าถาโถมจนแถมยืนไม่ไหว
สิปป์คิดว่ามันคงจะดี หากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นความรู้สึกที่เขาแบ่งปันมาจากอดีตคนรัก อย่างน้อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้เสียใจน้อยลง แต่ในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้ คนๆ หนึ่งยังต้องแบกรับความรู้สึกมากมายต่อไป เขาคงทำได้เพียงแค่...ภาวนาให้ความเสียใจของเธอจางหายในเร็ววัน
ปิ๊น....ปิ๊น...รถเต่าสีเขียวมะกอกบีบแตรเรียกคนที่เดินใจลอยอยู่ริมทางเท้า เมตตาเห็นสิปป์ตั้งแต่เดินออกมาจากคอนโด แต่เพราะรถที่ติดเป็นทางยาว กว่าเขาจะขับทันอีกคนก็เกือบจะถึงแยกไฟแดง
สิปป์ทำหน้าเลิ่กลั่กเมื่อคนขับเปิดกระจกแล้วส่งสายตาเป็นคำสั่งให้ขึ้นรถ คนที่กำลังเสียใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปถึงกับปรับตัวไม่ทัน
“มึงมาได้ไงเนี่ย” ไม่ทันปิดประตู สิปป์ก็เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตีหน้าซื่อใส่
คนกำลังเอื้อมมือไปเปลี่ยนคลื่นวิทยุตอบเสียงเรียบๆ ว่า “ขับรถมา”
คนถูกกวนอารมณ์ทำหน้านิ่ง มองออกไปนอกกระจกเพราะเหนื่อยจนกว่าจะพูดอะไรได้
“ไปกินข้าวกันป่ะ” เมตตาเอ่ยถามคนข้างๆ ที่นั่งซึม
สิปป์เพียงพยักหน้าน้อยๆ ปล่อยให้เจ้าของรถนำทางไปอย่างเงียบๆ
ร้านอาหารปักษ์ใต้ยามค่ำคืนคึกคักไปด้วยพนักงานออฟฟิศที่มานั่งกินข้าวแกล้มเหล้ากันหลังเลิกงาน เมื่อสิปป์กับเมตตาเดินเข้าไปในร้าน พนักงานเสิร์ฟที่คุ้นเคยกันก็รีบจัดแจงที่นั่งให้อย่างสนิทสนม
“หายไปนานเลยนิ่คุณเมตคุณสิปป์” น้ำอัดลมถูกเสิร์ฟอย่างรวดเร็วพร้อมคำทักทายอย่างอบอุ่น
“งานเยอะมากเลยฮะ” เมตตาตอบยิ้มๆ ในขณะที่ผู้ร่วมโต๊ะอีกคนนั่งเหม่อลอย ขอบตาบวมเล็กน้อยจากการร้องไห้
“ท่าทางคุณสิปป์จะทำงานหนักนะ ดูโทรมไปเยอะเลย” คนโดนแซวไม่รู้สึกตัว ยังคงทอดสายตาเรื่อยเปื่อยจนเมตตาต้องแตะเบาๆ ที่หลังมือ
“เป็นไงมึง กินข้าวหน่อยละกันนะ” เมตเลื่อนกับข้าวที่สิปป์ศิลป์ชอบไปให้ เจ้าตัวเขี่ยหมูเข้าปาก เคี้ยวเนือยๆ ไร้อารมณ์
“กินดีๆ ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะจับป้อนให้ดู” เจอคำขู่อย่างนั้น นักเขียนเลยต้องจำใจกินข้าวทั้งๆ ที่ไม่หิวเลยสักนิด
เห็นสีหน้าท่าทางของคนที่ทำหน้าเหมือนใกล้ตายแล้วก็ได้แต่สงสาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวตัดสินใจจบความสัมพันธ์กับแนนนี่ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากตัวเขาเอง แม้เมตตาจะยอมรับอย่างเต็มใจว่าตกหลุมรักเพื่อนตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ยินดีที่จะทำให้ใครสักคนต้องเสียใจ และยิ่งร้อนใจเมื่อเห็นอาการของคนที่นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมา
“เฮ้อ...เดี๋ยวมันก็ผ่านไปว่ะมึง” มือใหญ่เอื้อมมาตบไหล่เพื่อนสนิทเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะเลื่อนมากุมมือเย็นเฉียบแล้วบีบเบาๆ สิปป์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของความอบอุ่นนั้น น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาหม่นแสงทำท่าจะไหลลงมาอีกรอบ
“กูแม่งโคตรเลวเลยว่ะ” เสียงสั่นเครือเอ่ยโทษตัวเอง
เมตตากระชับมือเรียวแน่นขึ้น “ไม่มีใครดีหรือเลวหรอก มึงทำถูกแล้วล่ะ ดีกว่ารั้งเค้าไว้ให้เค้าเจ็บกว่านี้”
“กูมันเลวจริงๆ นะ” คนรู้สึกผิดย้ำคำเดิม
“เออ...มึงแม่งเลว กูก็เลว เลวพอกัน ส่วนแนนนี่เค้าเป็นคนดี มึงปล่อยเค้าไปแล้วมาคบกับคนเลวๆ อย่างกูนี่แหละ ดี!!”
หลังได้ยินข้อสรุปแบบนั้น รอยยิ้มแรกในรอบวันก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ก่อนจะตามด้วยเสียงโวยวายแก้ตัวตามประสา เมตตาถอนหายใจโล่งอก มือหนาเลื่อนไปขยี้ผมอีกคนแรงๆ
“กินข้าวเดี๋ยวนี้เลยไอ้เลว!” คนตัวโตออกคำสั่ง
“กูไม่ได้เลว มึงอ่ะเลวคนเดียว!”
“อ้าวๆๆ กูอุตส่าห์เลวเป็นเพื่อนมึง มึงจะมาทิ้งกูเหรอ”
“ไอ้บ้า! เออ...เลวมันทั้งคู่ที่แหละ ฮ่าๆๆ”
คนเลวสองคนหัวเราะให้กัน... เรื่องบางเรื่องก็ต้องยอมปล่อยให้มันเป็นไป วันนี้เสียใจให้พอ ซึมซับความรู้สึกผิดเอาไว้ ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ที่เราต้องก้าวผ่าน ในทุกครั้งที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ เป็นธรรมดาที่อาจมีใครสักคนต้องเสียใจ แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาที่คบกัน เราดีต่อกันแบบไม่ต้องมานั่งนึกเสียดาย...ก็พอแล้ว
TBC.
ตอนนี้สั้นมาก เพราะเนื้อหามันจบตอนพอดีค่ะ
เดี๋ยวตอนต่อไปจะตามมาเร็วๆ นี้ (ต้องมาเร็ว ทดแทนกับความสั้นกุดของตอนนี้ แฮ่ๆ)
ปล. ตอนที่ 20 อุทิศแด่...แนนนี่ ผู้หญิงที่สละตัวเองเพื่อสาววาย