หยุดสงกรานต์ไปนานตั้งแต่ 12-21 เมษา เปิดมาก็ _22 _แล้วค่ะ เอาคอมไปซ่อม (แล้วไง
)
แง่มๆๆๆๆ ซ่อนเสร็จมีทุกภาษา ....ยกเว้นภาษาไทย
เชรดดดดดดดด
ตามไปฆ่าแม่งซะดีมั้ย
... สุดท้ายไปปรึกษาน้องที่ออฟฟิศ ได้ใจความว่า....
ถามอากู๊ดิพี่
....อ่านะ เลยพึ่งได้ภาษาไทยมาเป็นของตัวเองซะที เห้อ
ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
เวิ่นจนพอใจแล้ว มาอ่านกันดีกว่า
ตอน.. กลับมายืนที่เดิม
ผมขับรถกลับมาที่คอนโด ในหัวสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากมาย อาจจะรู้สึกผิดนิดๆ แต่ไม่ได้เสียใจ เพราะ..ผมเลือกแล้ว
อ๋อมเป็นเพื่อนที่ดี ...ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ มันคงจะดีกว่านี้มาก เรื่องที่อ๋อมกรีดแขนตัวเอง.....เพราะผม มันยังไม่ถึงหูใคร
แค่บอกว่ามีเศษแก้วแตก อยู่ในห้องพออ๋อมเก็บทำความสะอาดก็พลาดโดนเศษแก้วที่ว่า ก็ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่
เรื่องที่น่าพูดสักเท่าไหร่ มาถึงคอนโดก็เกือบ 6 โมงเช้า ในสภาพที่อ่อนล้าทั้งกายและใจ เมื่อคืนนี้แทบไม่มีเวลาไหน
ที่ได้พัก ฉะนั้นอย่าถามถึงเรื่องพักผ่อนนอนหลับ แค่จะหยุดพักหายใจกับเรื่องตื่นเต้นก็แทบไม่มีเวลา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
ก่อนจะเดินตรงไปยังลิฟท์ กดชั้นที่เป็นห้องพัก รอจนประตูลิฟท์ปิดลงถึงได้เลือกที่จะปิดเปลือกลงตาม พักสายตาสักนิด
“ติ๊ง” เสียงลิฟท์ดังขึ้นปลุกผมให้ตื่น และเตือนกลายๆ ให้ทราบว่าถึงชั้นที่เป็นจุดหมายเสียที ผมสาวเท้าก้าวยาวๆ
ไปยังห้องที่เป็นจุดหมาย อยากจะพักผ่อนจนแทบทนไม่ไหว หัวสมองทั้งตื้อ ทั้งมึนงงอย่างถึงที่สุด
แต่พอมาถึงหน้าห้องพักจริงๆ กลับนิ่งงัน ใจกระตุกสั่นอย่างบอกไม่ถูกเริ่มลังเลว่าจะเปิดประตูเข้าไปหรือไม่
ความสับสนวิ่งวุ่นในหัวอีกรอบ ไม่รู้จะเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังไง เพื่อไม่ให้น้องเข้าใจผิด แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่าย
เสียหายเช่นกัน ถ้าถามว่าความเป็นเพื่อนยังหลงเหลือในความรู้สึกผมไหม? ตอบได้คำเดียวว่า “มี”
แต่ก็ไม่มากพอ....ที่จะยอมให้อีกฝ่ายยืนอยู่ข้างๆ กัน เพราะไม่อย่างนั้นผมอาจต้องเสียคนสำคัญของผมไป
ซึ่งแน่นอนว่า “ผมไม่ยอม” ผมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบๆ หกโมงเช้า ตอนนี้น้องคงยังนอนพักผ่อน
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เพราะตัวเองก็ไม่รู้จะปั้นเรื่องราวให้มันออกมาแบบไหน
แบบไหนถึงจะไม่เป็นการทำร้ายใคร? แบบไหนถึงจะไม่มีคนเสียหาย? แบบไหนที่เราทุกคนจะยังคงเดินหน้าต่อไป
ด้วยกันได้โดยไม่มีใครระแวงใคร? ถึงผมจะยืนยันว่าผมจะอยู่ตรงนี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ของแพน ... แต่ระยะทางที่ห่างไกล
ผมไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่า... ความห่างจะเบียดบังความเชื่อใจที่มีอยู่ไปหรือไม่ ถ้าความจริงทั้งหมดถูกถ่ายทอด..
คนตรงหน้าจะเลือกเชื่อผมรึเปล่า ผมไม่ได้มีพยานยืนยัน... มีแต่ความจริงใจจากปากผมเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์
ซึ่งไม่รู้ว่า...มันจะเพียงพอรึเปล่า ผมยื่นมือไปจับลูกบิดประตู ไม่อยากหนีปัญหา....เพราะถึงจะหนีเท่าไหร่
สุดท้าย.....ก็ต้องกลับมาสู้กับมันอยู่ดี
“แกร๊ก” ผมดันประตูออกเบาๆ ภายในห้องที่เงียบสนิท หากแต่....กลับสว่างจ้าไปด้วยแสงของหลอดไปที่ดูเหมือนว่า
ไอ้ตัวเล็กตั้งใจจะเปิดมันทิ้งไว้ เพื่อรอการกลับมาของผม.... แต่คงรอไม่ไหว ผมกำลังมองไปรอบๆ ห้อง
ราวกับกำลังสำรวจร่องรอยไอ้ตัวเล็ก ว่าเป็นกังวลสักเพียงไหนกับการหายไปของผมครั้งนี้ ถึงได้ร้อนรนทุรนทุราย
เดินพล่านไปทั่วห้อง เพียงเพื่อจะตามหาผมให้เจอ ข้าวของหลายอย่างล้มระเกะระกะจากมุมเดิมๆ ที่เคยอยู่
ไม่ว่าจะเป็นแก้วกาแฟ สามสี่แก้ว กระจัดกระจายตามมุมต่างๆ บางแก้วล้มคว่ำ.....มีรอยเครื่องดื่มที่หลงเหลืออยู่
หกไหลออกมานิดๆ ดูเป็นรอยคราบที่ยังสดใหม่ เพราะหยดน้ำยังไม่ได้ซึมลงไปบนพรมเสียหมด
หมอนอิงบนโซฟาก็เหมือนกัน มันล่วงลงมาบนพื้นผมยื่นมือไปหยิบ เพื่อเก็บไปวางที่เดิม พลันก็สัมผัสถึงรอยด่างชื้น
บนหมอน ร้องไห้.... ผมทำน้องร้องไห้อีกแล้ว อยากจะเดินเข้าไปปลอบเสียเดี๋ยวนี้ แต่อีกใจก็อยากรับรู้
ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ยังหลงเหลือร่องรอยให้ผมเห็น สมุดโทรศัพท์ที่ผมมักจะจดเบอร์เพื่อนๆ ทิ้งไว้
เพราะเคยทำโทรศัพท์หาย แล้วไอ้เบอร์สำคัญๆ เลยพลอยหายไปด้วย มันถูกกางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าทีวี
สภาพเอียงกระเท่เร่จะตกแหล่มิตกแหล่ ราวกับถูกปัดทิ้ง คาดว่าไอ้ตัวเล็กคนเปิดค้นเพื่อหาเบอร์เพื่อนสนิทผมสักคน ...
จนเจอ แล้วก็รีบโทรหาเสียจนไม่คิดจะใส่ใจสมุดตรงหน้า มือปัดป่ายไปโดนเข้า ถึงได้แทบหล่นจากโต๊ะ
แต่ถึงกระนั้น...ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน น้องคงถึงกลับหมดแรง เลยทิ้งตัวบนโซฟาตัวนี้ ซุกหน้าเข้ากับหมอนอิง
และเริ่มร้องไห้ เมื่อไม่ว่าจะพยายามยังไง การติดตามหาผมก็ช่างดูไร้วี่แววที่ปรารถนา และคงจะลุกขึ้นจากตรงนี้
กดโทรศัพท์อย่างบ้าครั่ง มือจิกหมอนแน่น เดินไปรอบห้อง จนหมอนตวัดไปโดนแก้วกาแฟที่ตัวเองวางไว้ฝั่งโน้นล้มคว่ำ
แต่คงไม่ใส่ใจ ผมเห็นสีกาแฟจางๆ ยังเปื้อนอยู่บนริมปอกหมอน คงจะเดินไปเดินมาจนทั่ว จนสุดท้ายก็เขวี้ยงหมอนทิ้ง
อยู่ตรงนี้ แล้วเดินหนีเข้าห้องไป ผมเดินตามรอยที่ตัวเองจินตนาการ ไม่รู้สักกี่สิบเที่ยว ...ในค่ำคืนที่ยาวนาน
จนมาถึงหน้าห้องนอนบิดลูกบิดเชื่องช้า “แกร๊ก” ดันประตูให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
มองภาพคนที่ผมถวิลหาอยู่ทุกเมื่อ นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้ายังชื้นไปด้วยคราบน้ำตา ดูท่าพึ่งจะหลับไปไม่นาน
เห็นแล้วสงสารจับใจ น้องจะร้อนใจขนาดไหน....ที่อยู่ดีผมหายไปอย่างนี้ เสียใจจนพูดไม่ออก ทิ้งตัวลงข้างกัน
ไล้มือเช็คคราบน้ำตาบางเบา กดจูบหน้าผากมนอย่างทนุถนอม จนเนิ่นนานแล้วถอนออก กระซิบเสียงแผ่วเบา
ด้วยเกรงว่าจะปลุกให้อีกฝ่ายตื่นจากห้วงนิทรา
“ภาคอยู่นี่แล้วครับคนดี ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง” ผมวางหน้าผากตัวเองแนบกับหน้าผากของอีกฝ่าย
น้องก็เอื้อมมือมาคว้าหาราวกับอยู่ในฝัน เสียงละเมอครางออกมาแผ่วเบา พร้อมเสียงสะอื้นไห้ ลำตัวไหวสั่น
“ภ..ภาค... ฮึก.... ฮึก” ผมลูบหัวน้องเบาๆ อย่างปลอบโยน
“อยู่นี่แล้วครับ อย่าร้องนะคนดี” ผมกระซิบเสียงเบา แล้วก้มลงจูบขมับน้อง
“อืออออ~” ไอ้ตัวเล็กครางเบาๆ ก่อนจะขยับตัวเล็กๆ แล้วเปลือกตาบาง ก็ค่อยๆ กระพริบถี่ๆ
“ภาค” ไอ้ตัวเล็กเรียกเสียงแผ่ว แม้น้ำเสียงจะแฝงความดีใจ แต่ดูก็รู้ว่าร่างกายอ่อนล้าเหลือเกิน น้องหลับตาลง
ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองผมอีกครั้งเต็มตา
“เมื่อวานภาคหายไปไหนมา?” เสียงเล็กๆ เอ่ยถาม ขอบตาร้อนผ่าวรื้นด้วยน้ำตา ผมได้แต่กอดน้องไว้
น้องคงเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว เรื่องราวมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวผม ผสมปนเปกัน จนเรียบเรียงไม่ถูก
ไม่รู้จะเริ่มยังไง ยิ่งคนตรงหน้าเหนื่อยล้าเช่นนี้แล้ว ผมอยากให้น้องได้พัก... พักซะก่อน
“................” ผมพูดไม่ออก จึงมีแต่เพียงความเงียบงันแทนคำตอบ ผมกอดน้องแน่นขึ้นไปอีก รู้สึกทั้งรัก
ทั้งสงสารอีกฝ่ายจับใจ หยุดก่อนได้ไหม? .. หยุดเพื่อให้ตัวเองได้พักเหนื่อยหายใจ
“ภาค?” แพนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ปากบางๆ ได้แต่เม้มเข้าหากันแน่น ลมหายใจติดขัด รู้สึกเหมือนน้องจะร้องไห้
คงเหนื่อยอ่อน กับการที่ต้องอดทนรอทั้งคืน ดวงตาหวาน หลุบต่ำมองพื้น กลืนน้ำลายลงคอหนักๆ อย่างประท้วง
“แพน......เอ่อ.... ภาคไม่รู้ จะเริ่มต้นยังไง” ผมตอบ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สบสายตากับอีกฝ่าย
ซึ่งนิ่งเงียบอยู่เช่นกัน
“..........”
“ขอโทษนะ ..... เมื่อคืนแบทหมดเลยติดต่อใครไม่ได้” ผมพูดได้แค่นั้น...ไม่รู้จะ ลำดับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง
“........” ยังมีแต่เพียงความเงียบงัน ไอ้ตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาหา พยายามตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่ผมพูด
“เมื่อคืน... ภาคอยู่กับอ๋อม ภาคไม่อยากโกหก” ผมพูดด้วยเสียงแหบพร่า ลำคอตีบตัน ราวกับไม่ได้ดื่มน้ำ
มาสักทศวรรษเศษ ไอ้ตัวเล็กได้แต่กลืนน้ำลายลงคออีกใหญ่ ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นนิด ๆ และกำลังพร่า
ด้วยม่านน้ำตาที่ไหลลงปิดดวงตาคู่สวย
“............” น่าแปลกที่ไม่ได้เสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา ดูน้องล้าจนเกินทนไหว กับสภาพร่างกายที่ต้องการพักผ่อน
“ แพน.....” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา เรียกให้อีกฝ่ายหันมาสนใจได้เช่นเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มหวาน ผมค่อยๆไล้มือ
เช็ดน้ำตาที่ไหลเอื่อยๆ ตามใบหน้า แล้วดึงอีกฝ่ายมากอดแน่นๆ รู้สึกเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก ...
เมื่อต้องเป็นต้นเหตุทำให้คนตรงหน้าเจ็บเช่นนี้
“........” ไร้ซึ่งเสียบตอบกลับเช่นเดิม แม้แต่คำถามก็ยังกลืนหายตามกันไปอีกด้วย ทั้งที่กำลังซุกหน้ากับอ้อมอกผม
แต่น้องกลับสะอื้นไห้จนตัวโยน
“แพน.... อย่าโกรธภาคเลยนะครับคนดี หยุดร้องไห้ก่อนนะครับ” ผมรีบลูบหัวลูบหลังไอ้ตัวเล็กเป็นการใหญ่
ตกใจที่ทำน้องร้องไห้มากขนาดนี้
“อืมมม...... ฮึกๆ ... แพนเข้าใจดี ....ไม่ ฮึกๆ.. ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” น้องว่าเสียงขาดห้วง ซึ่งผมก็ค่อยวางใจ
“ภาคอยากเล่าให้แพนฟัง” กดจูบเบาๆ ที่หัวทุย แต่อีกฝ่ายส่ายหน้ารัว ๆ
“ยัง ฮึกๆ แพน.... แพนยังไม่พร้อม รออีกนิดนะ” ไอ้ตัวเล็ก... พูดเสียงสั่น ทำเอาผมใจไม่ดี แต่ก็ยังไม่อยากฝืนอะไรไปกว่า
นี้
ดูจากสภาพร่างกาย ใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่าย ตอนนี้น้องคงต้องการพักผ่อนเสียมากกว่า ไม่เป็นไร... เดี๋ยวน้องตื่น
ค่อยเล่าอีกที ตอนนี้...แม้แต่ตัวเองก็เหนื่อยเสียจน ดวงตาใกล้จะปิดอยู่รอมร่อ
“ก็ได้ ภาครักแพนนะครับ” ผมกระซิบบอกอีกฝ่าย กลัวน้องจะไม่เข้าใจ ดีที่ง่ายกว่าที่คิดไว้ ไอ้ตัวเล็กไม่ได้โวยวายอะไร
ให้ยืดยาว แค่ขอเวลา.... เพื่อที่จะพร้อมที่จะรับฟัง ก็เท่านั้น ผมกอดน้องไว้แน่นๆ แล้วลูบหัวไอ้ตัวเล็กจนตอนนี้
หยุดสะอื้นแล้ว
“ .......” น้องไม่ได้พูดอะไร
“ป่ะไปนอนกันได้แล้ว” ผมตัดสินใจ ...ถึงเวลาพักผ่อนเสียที ทั้งผม และไอ้ตัวเล็ก
ผมดึงน้องเข้ามาในอ้อมกอด กดจูบบางๆ ที่กระหม่อม กอดซับความอบอุ่นของกันและกัน
ผมเองก็อยากจะหลับฝันดี ถ้าที่ๆ ตรงนี้ ยังมีคนในอ้อมกอดผมอยู่ ไม่ว่าคืนไหน....ก็คงฝันดีทุกคืน
.
.
.
.
.
.
.
.
ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ดี ถ้าในตอนที่ตื่นขึ้นมาตอนนี้............................ ผมจะมีน้องอยู่ข้างกาย
รอยยับยู่ยี่บนเตียงที่เรานอนกอดกันเมื่อครู่ ไม่หลงเหลือร่องรอยความอบอุ่นใดๆ ผมไล้มือผ่านเบาๆ
ก็สัมผัสได้แค่...... ความเย็นชืดของเตียง ตอนนี้ผมนั่งนิ่งมองมัน เริ่มรู้สึกร้าวที่กระบอกตา
พร้อมกับกวาดสายตามองรอบห้อง ไม่เห็นวี่แวว....ของสิ่งมีชีวิตใดๆ ผมลุกขึ้นนั่งราวกับคนละเมอ
มองไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ปลายเตียง มีกระดาษโน๊ตสีชมพูติดอยู่ ผมเดินไปหามันอย่างเชื่องช้า
ทั้งที่ใจรุ่มร้อนเหมือนไฟที่เผาผลาญ ภาวนา....อย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย
ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงรัวถี่ยิบ แรงเสียจนแม้แต่มือตัวเองยังกระตุกสั่น เอื้อมมือไปหยิบกระดาษสีชมพู
มาไว้ในมือ ผมหลับตาลง ... ยังไม่กล้าอ่าน ลมหายใจถูกระบายออกมายาวๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่ออ่านกระดาษข้อความบนกระดาษตรงหน้า
“ขอโทษ....ที่ยังไม่พร้อมจะรับฟัง ไม่ได้โกรธ ... แพนเข้าใจดี ความรักแบบเรา....ยังไงก็คงได้แค่นี้”
คราบน้ำตาที่ล่วงหล่นจนตัวหนังสือพร่าเลือน หัวใจผมกระตุกวูบ .... ขาเหมือนอ่อนแรงทันทีทรุดฮวบลงกับพื้น
นั่งจุ้มปุ๊กด้วยท่าคู้เข่า
“แพน....” ได้แต่เอ่ยเสียงสั่น เจ็บไปทั่วหัวใจ น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ เหลือบมองรอบๆ ห้อง
ไม่มีข้าวของของแพน ดวงตาพร่าไปม่านน้ำตา ... สะอื้นไห้อย่างไม่อาย
แพนไปแล้ว..... คงกลับไปแล้ว ไปในที่ที่ผมไขว่คว้าไม่ถึง ทำไมต้องจากกันแบบนี้
ทำไมผมต้อง.....รอ ทำไมไม่รีบอธิบาย แพนกำลังเข้าใจผิด.... ผมไม่ได้มีอะไรกับอ๋อม
ไม่เคยมีอะไรกับใครทั้งนั้น รัก.....คนที่ผมรัก ก็มีแค่คนเดียว.....ผมรักได้แค่แพน
เกลียด................... เกลียด ตัวเองตอนนี้เหลือเกิน