บทที่ 14
{ ปวดใจ }
ช่วงนี้เป็นฤดูกาลสอบกลางภาคครับ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเราชาว’ถาปัตย์เลยสักนิด เพราะถ้าให้เทียบกับกองงานขนาดเท่าภูเขาเลากาแล้ว การสอบนี่ถือว่าอีซี่โคตร!
แล้วก็เพราะว่าไอ้เจ้าพวกงานกองใหญ่ที่เหล่าอาจารย์รุมกันโยนใส่นักศึกษาเนี่ยแหละ ที่ทำให้ผมกับกลุ่มเพื่อนต้องมานอนกองกันที่บ้านหลิวตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยมีเหล้ารัมตามมาแอ๊บทำงานด้วย ซึ่งก็ถือว่าวิเศษมาก เพราะไม่ว่าใครจะติดปัญหาในการทำงานใดๆ ก็แล้วแต่ นายพ่อมดเหล้าของเราก็สามารถแอบช่วยจัดการให้ได้หมดทุกคน จนผมแอบคิดเล่นๆ ว่า.. ไอ้เอก หลิว แล้วก็ไอ้บอยนี่ต้องขอบคุณผมนะเนี่ย ที่มีแฟนเป็นพ่อมดที่เก่งแบบนี้ ไม่งั้นมีหวังงานไม่คืบหน้าแน่ อิอิ : )
ว่าแต่.. แสงแดดแยงตากันขนาดนี้แล้ว จะมีแค่ผมคนเดียวที่ตื่นจริงๆ หรอเนี่ย?
“...” คือตอนนี้พวกเราทั้งหมดนอนกองกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น (ที่เนรมิตให้กลายเป็นห้องทำงาน) ครับ โดยมีหลิวที่นอนหลับอย่างเรียบร้อยอยู่บนโซฟาเหนือหัวผม ในขณะที่ไอ้เอกกับไอ้บอยนอนเอาหัวชนกันอย่างหมดสภาพ ส่วนผมกับเหล้ารัม.. เอ่อ.. กำลังนอนหันหน้าเข้าหากันอยู่..
“...” จริงๆ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ ที่ผมกับนายพ่อมดเหล้าได้นอนใกล้ๆ กันแบบนี้ เพราะว่าเราสองคนเคยนอนด้วยกันแล้วตั้งแต่ตอนที่ไปตั้งเต็นท์ดูฝนดาวตกเมื่อสองวันก่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม..หัวใจมันถึงได้รู้สึกวูบวาบนัก..
หรืออาจจะเพราะว่าตอนนั้น..เหล้ารัมตื่นนอนก่อน เลยทำให้ผมไม่มีโอกาสได้มานอนมองหน้าเขาตอนหลับแบบครั้งนี้ก็เป็นได้ : )
ดูสิ คนอะไรก็ไม่รู้ ทำไมถึงได้หน้าตาดีแม้กระทั่งตอนกำลังหลับแบบนี้นะ ถึงแม้ว่าจะหัวยุ่งจนไม่เป็นทรง แถมบริเวณทีโซนก็ออกจะมีความมันนิดๆ แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ผมก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่หลับได้ดูดีอยู่ดี เหมือนเวลาตอนตื่นก็อย่างนึง แต่พอนอนหลับก็จะดูเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีที่สิ้นฤทธิ์ไปอีกอย่างนึงอะไรแบบนั้น
ตึกตัก ตึกตักเฮ้ออออ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งวูบวาบอะ นี่สรุปว่าเค้าจะมีพลังทำลายล้างสูงแม้กระทั่งยามหลับเลยใช่มั้ยเนี่ย!
ทว่า.. “นี่คุณ” ในขณะที่ผมกำลังนอนมองหน้าเหล้ารัมอยู่เพลินๆ นั้น “นอนมองผมซะขนาดนี้ ไม่จูบผมเลยล่ะครับ” จู่ๆ เขาก็ดันพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่เลย!
“บ้า!” ด้วยความตกใจระคนเขินอาย ผมเลยเผลอฟาดแขนเขาซะเต็มแรง ทำเอาเหล้ารัมถึงกับลืมตาตื่นขึ้นมาร้องโอดโอยในทันที น่ะ..นี่สรุปว่าแกล้งหลับหรอเนี่ย!?
“โอ๊ย! เจ็บนะครับวาฬ”
แล้วก็ไม่ใช่แค่เหล้ารัมที่ตื่นไง เพราะพอเราทั้งคู่ทำเสียงดัง ก็เป็นผลให้คนอื่นๆ ตื่นตามไปด้วย เริ่มจากหลิวที่ลุกขึ้นนั่งด้วยหน้าตางัวเงีย พร้อมกับพูดว่า “อ้าว ตื่นกันแล้วหรอ งั้นเดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาคิดกันว่าจะกินอะไรดี” ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินลากคาขึ้นไปบนบ้าน
“...” ต่อมาก็ไอ้เอกครับ รายนี้มันก็ตื่นแล้วเช่นกัน แต่เป็นการตื่นขึ้นมามองผมสองคนด้วยแววตาหงุดหงิดนะ.. ราวกับว่าต้องการจะต่อว่าทางสายตาใส่ผมกับเหล้ารัมเรื่องที่ทำเสียงดังจนมันสะดุ้งตื่นอะไรประมาณนั้น ก่อนที่สุดท้าย..ไอ้เอกเพื่อนรักของผมมันจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง อย่างหมดสภาพ..
เอ่อ... กูขอโทษที่รบกวนก็แล้วกันนะมึง
ส่วนบอย รายนี้ตายครับ ไม่มีการขยับเขยื้อนอะไรทั้งนั้น เข้าใจแล้วว่าคำว่าหลับเป็นตายน่ะมันเป็นยังไง ขนาดว่าผมกับเหล้ารัมส่งเสียงดังกันซะขนาดนี้ มันยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลยสักนิด นี่ถ้าเกิดมีเหตุฉุกเชิญอะไรขึ้นมา เพื่อนผมมันจะตื่นมั้ยวะเนี่ย?
“อ๊ะ!” พอสำรวจเพื่อนแบบคร่าวๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันกลับมาหาเหล้ารัมอีกครั้ง ละ..แล้วก็เป็นอันต้องสะดุ้งเข้าให้! เพราะดูเหมือนว่านายพ่อมดเหล้าจะขยับเอาหน้าเข้ามาใกล้กันมากกว่าเดิม แถมยังส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาอีก จนผมนี่ถึงกับต้องรีบถามออกไปทันที ว่าไอ้ยิ้มแบบนี้น่ะมันยังไงกันแน่? “ยะ..ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงครับ?”
“เปล๊าาา : )”
“บอกว่าเปล่า แต่เสียงสูงเลยเนี่ยนะ!?” แบบนี้ใครมันจะไปเชื่อกันว่าเขาไม่ได้มีอะไรน่ะ!?
“อะไร ไม่ได้เสียงสูงสักหน่อย : )”
“...” ยัง ยังไม่ยอมตอบใช่มั้ย ได้! งั้นผมจะไม่ถามต่อแล้ว
แต่ทำการหรี่ตามองเพื่อกดดันเขาแทนก็แล้วกัน!
แต่ถึงอย่างงั้นเหล้ารัมก็เอาแต่ปิดปากยิ้มอยู่เกือบนาทีเลยนะ จนในที่สุด... “โอเค ยอมก็ได้ ผมก็แค่..อยากจะรอถามคุณเฉยๆ ว่ายังอยากจะจูบผมอยู่รึเปล่า : )” ..เขาก็ตอบออกมา
แล้วดูสิ่งที่เขาตอบสิ อะเราก็นึกว่าอะไร ที่แท้ก็ตั้งใจจะแกล้งกันชัดๆ!
“คนบ้า!”
งานนี้ผมก็เลยได้ฟาดคนเข้าให้อีกหนึ่งที เพราะที่แท้เหล้ารัมก็แค่อยากจะแกล้งผมต่อจากตอนที่นอนมองหน้าเขาเท่านั้นเอง ระ..ร้ายมาก!
“โอ๊ยยย ตีที่เดิมแบบนี้มันเจ็บนะวาฬ”
“ผมว่าผมไปอาบน้ำดีกว่า” และโดยที่ไม่สนใจฟังเสียงบ่นเจ็บของอีกฝ่าย ผมก็รีบลุกขึ้นไปยังกระเป๋าเป้.. หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่กับอุปกรณ์ในการอาบน้ำที่เตรียมมา แล้วรีบเดินหนีเหล้ารัมเข้าไปในห้องน้ำชั้นล่างทันที
เพราะถ้าไม่อย่างงั้น.. ถ้าขืนยังนอนหันหน้ามองเค้าอยู่ต่อไปล่ะก็ มีหวังนายพ่อมดเหล้าคงจะได้เห็นแน่ ว่าผมน่ะ เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหยุดเลยเนี่ยยยย~
* * * * * * *
หลังจากที่ผม หลิว และเหล้ารัมอาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยทั้งสามคนแล้ว การประชุมขนาดย่อมเรื่องเมนูอาหารก็เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่คนคิดจะหนักมาทางผมกับหลิว ในขณะที่เหล้ารัม (ผู้ซึ่งไม่สันทัดด้านการทำอาหาร) มีหน้าที่เพียงแค่ยืนจดสิ่งของต่างๆ ที่ต้องออกไปซื้อเท่านั้น
“ขอหมึกผัดไข่เค็มด้วยได้มั้ย” เว้นเสียแต่เมนูสุดท้ายเนี่ยแหละที่จู่ๆ คุณแฟนของผมก็ดันรีเควสขึ้นมา ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงตอนที่ทำเมนูนี้ให้เขากินเป็นครั้งแรก..
“หืมมม หอมจัง อะไรเนี่ย”
“นี่คุณ ปล่อยก่อนครับ ผมผัดไม่ถนัดเลย” จำได้ว่าตอนนั้นผมพยายามอย่างมากที่จะผัดหมึกผัดไข่เค็มในกะทะให้ออกมาดีที่สุด ในขณะที่ช่วงเอวก็จะต้องโดนนายพ่อมดเหล้าที่ตัวสูงกว่าล้อมกอดจากด้านหลังไปด้วย
“โอเค ผมจะยอมปล่อยก็ได้ แต่คุณต้องบอกมาก่อนนะว่าที่อยู่ในกะทะเนี่ย เขาเรียกว่าอะไรกันแน่”
“หมึกผัดไข่เค็มครับ”
“หมึกผัดไข่เค็ม?”
“ใช่ครับ ผมเพิ่งลองทำเป็นครั้งแรก พอดีเมื่อคืนเปิดเจอในยูทูป ยังไม่รู้เลยว่าจะอร่อยมั้ย”
“งั้นไหน มาให้ผมลองชิมซิ” เหล้ารัมยอมปล่อยผมเป็นอิสระในวินาทีนั้น ก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบช้อนมาชิมหมึกผัดไข่เค็มฝีมือผมอย่างที่ว่า
“เป็นไงครับ?” ผมถามอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นว่าเหล้ารัมดูจะนิ่งไปเลย ทั้งที่ปกติเวลาชิมอาหารที่ผมทำทีไร ก็จะออกอาการชมอย่างโอเวอร์เสียทุกครั้ง แต่ครั้งนี้..
“อืม... ขอลองชิมอีกที” นายพ่อมดเหล้ากลับตักชิมอีกครั้ง ตอนแรกก็ชิมน้ำผัดที่ผสมไข่เค็ม ต่อมาก็ชิมเนื้อปลาหมึก
“เป็นไงครับ โอเคมั้ย”แต่ก็เหมือนเดิม
”คือ... ขอชิมอีกทีแล้วกันนะครับ” เหล้ารัมยังคงไม่แสดงอาการอะไรออกมา ทำเพียงแค่ขอชิมอีกครั้ง จนผมต้องเบาไฟ แล้วขยับตัวออกมาทางซ้าย เพื่อให้เหล้ารัมสามารถชิมได้ถนัดขึ้น
ตอนแรกน้ำ ต่อมาก็เนื้อปลามึก แล้วก็วนกลับไปน้ำ ต่อด้วยเนื้อปลาหมึก แล้วทีนี้ก็เริ่มตักทั้งเนื้อทั้งน้ำ ตามด้วยผัก เรียกมาเป็นการชิมอย่างต่อเนื่องจนผมต้องรีบร้องห้าม
“เหล้ารัม คุณชิมเยอะไปแล้วนะ ยังสรุปไม่ได้อีกหรอว่าโอเคมั้ย?”
“...”
“นี่คุณ ฟังผมอยู่รึเปล่าเนี่ย?”
“...”
“เหล้ารัม หยุดชิมเดี๋ยวนี้ จะหมดกะทะแล้วนะ!”
“...”
“เหล้ารัม! หยุด!”
“...”นายพ่อมดเหล้าถึงกับสะดุ้ง ดูยังไงก็เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์ยังไงยังงั้น ขณะที่ช้อนก็ยังคาปากอยู่เลย
“คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย?”
“ผมรักมัน”
“หะ..หา!?”
“ผมรักหมึกผัดไข่เค็มฝีมือคุณ”
“...”
“มันอร่อยมาก”
“...”
“ได้ยินมั้ยวาฬ มันอร่อยมาก!”
“ดะ..ได้ยินแล้วครับ”
“ทำให้ผมกินอีกชามนะ”
“แต่ว่าในนะกะนี่ก็ยัง..”
“ได้โปรดดดดด~”สรุปว่าวันนั้น เหล้ารัมฟาดหมึกผัดไข่เค็มคนเดียวสองกะทะรวด! เขายอมรับสารภาพเลยว่าตอนที่กินเป็นอะไรที่หน้ามืดตามัวมาก เหมือนโดนสะกดจิตอะไรแบบนั้น ซึ่งผมก็เชื่อ เพราะกลายเป็นว่ามื้อนั้นไม่เหลือซากอะไรให้ผมกินเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนสุดท้ายต้องไปเจียวไข่เงียบๆ อยู่ในครัว โดยมีเหล้ารัม (ที่ฟาดหมึกผัดไข่เค็มไปหมดแล้ว) มายืนทำหน้าสำนึกผิดอยู่ข้างๆ ทั้งที่ผมก็ไม่ได้โกรธอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำ
แค่ต้องบันทึกเอาไว้ให้ขึ้นใจเท่านั้นเองว่า..
‘หมึกผัดไข่เค็ม = เมนูอันตราย’ เพราะจะเปลี่ยนจากนายพ่อมดเหล้า ให้กลายเป็นปีศาจจอมเขมือบน่ะสิ!
เพราะฉะนั้น “คุณแน่ใจนะ?” ผมเลยต้องถามย้ำเพื่อความในใจแบบที่รู้กันสองคนว่า..ถ้าทำให้กินแล้ว เขาจะสามารถควบคุมสติตัวเองได้?
แล้วผลก็คือ “เอ่อ.. งั้นขอเป็นไข่น้ำแทนก็แล้วกันครับ” หลังจากที่นิ่งคิดไปนานเกือบนาที เหล้ารัมก็ตัดสินเปลี่ยนเมนูจนได้
แบบนี้แสดงว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ไม่ได้สินะ?
เหอะ เชื่อเขาเลย ให้ตายสิ : )
“งั้นก็ต้องซื้อไข่ด้วย เพราะที่บ้านเหลือสองฟองเอง เรามีกันตั้งห้า ไม่น่าจะพอกินหรอก” แม้จะยังดูงงๆ กับการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันของเหล้ารัม แต่หลิวก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา ทำเพียงแค่เตือนให้ซื้อไข่มาเพิ่มเท่านั้น
“โอเค น่าจะมีแค่นี้เนอะ” ก่อนที่ผมจะขอกระดาษที่จดจากเหล้ารัมเพื่อตรวจเช็คความถูกต้องอีกที “ถ้างั้นเรารีบไปซื้อของกันเถอะ”
พูดจบแค่นั้น ผมก็เป็นฝ่ายนำทีมเหล้ารัมกับหลิวออกจากบ้าน ทว่า..
“เดี๋ยวก่อนวาฬ” หลิวกลับร้องห้ามผมไว้
“มีอะไรหรอหลิว?”
“คือ.. จะเป็นไรมั้ย ถ้าให้วาฬไปกับเหล้ารัมแค่สองคนน่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมหันมองหน้านายพ่อมดเหล้าอย่างงงๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะหันกลับไปรอฟังคำตอบจากหลิว
“งานหลิวยังไม่เสร็จดีน่ะ เลยอยากจะขอทำต่อก่อน ได้มั้ย?”
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” ผมยิ้มอย่างเห็นใจหลิวในทันที เมื่อสีหน้าของอีกฝ่ายดูแสดงความเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด “สบายมาก หลิวทำงานเถอะ ซื้อของแค่นี้เอง สองคนก็เกินพอแล้ว ไว้เดี๋ยวกลับมา เราค่อยมาช่วยกันเตรียมอาหารก็แล้วกัน : )”
พอได้ยินผมพูดแบบนั้น หลิวก็ดูจะยิ้มได้อย่างสบายใจขึ้น ก่อนที่หลังจากนั้นผมกับเหล้ารัมจะรีบพากันขับรถออกมา เพราะถ้าขืนมัวแต่ชักช้ากันอยู่ล่ะก็ เกิดไอ้เอกกับไอ้บอยฟื้นคืนชีพขึ้นมา คงจะทำไม่ทันกินแน่
“มา เดี๋ยวผมเข็นให้” แล้วพอมาถึงที่ห้างฯ เหล้ารัมก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษโดยการแย่งรถเข็นไปเข็นเอง ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายเดินตัวปลิวหยิบของต่างๆ ใส่รถเข็นแทน
“ขอบคุณนะครับ”
จะว่าไป ห้างฯ ที่เราสองคนมาในวันนี้เป็นห้างฯ ที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ เคยมาเดินสองสามครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยประทับใจกับการจัดวางสินค้าของที่นี่สักที ถ้าไม่ติดว่าอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของหลิวล่ะก็ ผมไม่มีทางยอมมาเด็ดขาด
แต่ถึงจะเป็นห้างที่ผมไม่โปรดปรานนัก การจับจ่ายสิ้นค้าของผมกับเหล้ารัมก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอย่างไร้ปัญหา จนกระทั่ง.. ”คุณครับ คุณว่าเราควรซื้อยี่ห้อไหนดี?” ..มาสะดุดเอาที่ผงหมักทอดกรอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลิวต้องการ
“...” ทว่า.. แทนที่เหล้ารัมจะตอบอะไรกลับมาในทันทีเหมือนที่ชอบทำ แต่ในวินาทีนั้น.. นัยน์ตาสีม่วงอ่อนคู่สวยของเขาที่มองมา..กลับสั่นไหวรุนแรงเสียจนผมทนเก็บความสงสัยเอาไว้อีกไม่ได้
“เหล้ารัม.. เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
“เอ่อ..” ซึ่งพอโดนทักเข้า ความสั่นไหวราวกับเปลวเทียนต้องลมก็พลันสลายหายไป “ผมแค่..คิดถึงแม่ของผมน่ะครับ” ก่อนที่เค้าจะยอมบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกมา..
วินาทีนั้นผมไม่สนใจอีกแล้วว่าจะต้องเป็นผงหมักทอดกรอบของยี่ห้อไหน เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือความรู้สึกของร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก
“คุณโอเคนะ” ผมโยนทั้งสองซองในมือใส่รถเข็น ก่อนจะเดินเข้าไปจับแขนเขาอย่างปลอบโยน
“ผมโอเคครับวาฬ แต่แค่เมื่อกี้.. ตอนที่คุณหันมาถามผมว่าควรจะซื้อยี่ห้อไหนดี มันทำให้ผม..อดคิดถึงตอนที่มาเดินซื้อของกับแม่สมัยเด็กๆ ไม่ได้ เพราะว่าท่านเอง ก็เป็นคนที่ชอบถามผมแบบนี้เหมือนกัน”
พอได้ฟังแบบนั้น ผมก็เริ่มยิ้มได้ เพราะถึงแม้ว่าสิ่งที่เล่ามาจะชวนให้รู้สึกเศร้า ทว่านัยน์ตาคู่นั้นของเค้า..กลับเป็นประกาย
แสดงว่าภาพความทรงจำในหัวของเหล้ารัมตอนนี้.. คงจะต้องสวยงามมากแน่ๆ : )
“...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เลือกที่จะรวบกอดนายพ่อมดเหล้าเอาไว้แน่นๆ แทน โดยที่ไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น
“...” ในขณะที่เหล้ารัมเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นเดียวกัน..
จนกระทั่งผมผละกอดออกจากเขานั่นล่ะ ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีรอยยิ้มที่สดใสขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีน่ะนะ : )
“งั้นเราไปซื้อของสดกันเถอะครับ จะได้รรบกลับไปทำกับข้าวกินกัน : )”
“โอเคครับ : )”
พูดจบแค่นั้น เราสองคนก็เดินไปยังโซนของสดที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดของซุปเปอร์ฯ ผมเลือกนั้นหยิบนี่อย่างดีที่สุดตามที่ได้เรียนรู้มาจากทั้งแม่และพี่ฟ้า จนหลายๆ ครั้งก็ทำเอาเหล้ารัมอึ้งไปเลยที่ได้รู้ว่าผมเป็นคนที่พิถีพิถันกับเรื่องอาหารการกินมากขนาดนี้
ไม่ได้หรอก นี่มันของกินนะ เป็นของที่เราต้องนำเอาใส่ปากเข้าไป ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันมีผลกับร่างกายของเราโดยตรง เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกแต่ของดีๆ สุขภาพของเราก็จะดีตามไปด้วย แต่ถ้าเราหลับหูหลับตาเลือกแต่ของเสียๆ เข้าไปล่ะก็ ผลลัพธ์อาจเลวร้ายกว่าที่พวกคุณคิดก็ได้
“ต่อไปก็ปลากะพงครับ อย่างสุดท้ายแล้ว” เหล้ารัมอ่านสิ่งสุดท้ายในลิสต์ที่เราเขียนกันมา จังหวะเดี๋ยวกันกับที่ผมเพิ่งจะหยิบเนื้อวัวสามแพ็คใส่ลงไป
เราทั้งคู่ก็เลยเดินไปยังโซนขายปลานานาชนิด จนได้พบกับปลากะพงที่เราต้องการ
“เดี๋ยวครับ” แต่ในขณะที่ผมกำลังจะทำการเลือก เหล้ารัมก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ “ครั้งนี้ผมของลองเลือกดูนะครับ”
อ๋อ อย่างงี้นี่เอง งั้นก็.. “เอาเลยครับ เชิญเลือกตามสบาย”
พอผมตกลง นายผมบลอนด์หน้าหล่อก็ยืนกอดอกเพื่อพิจารณาปลากะพงสดอย่างจริงจัง จนผมอดยิ้มกับท่าทางแบบนั้นของเค้าไม่ได้ เพราะว่ามันดู..เท่เป็นบ้า!
“ผมว่าตัวนี้ชัวร์” ซึ่งหลังจากที่ยืนพิจารณาอยู่นานนับนาที เหล้ารัมก็หยิบถุงมือพลาสติกที่ทางห้างฯ เตรียมไว้ให้ขึ้นมาใส่ ก่อนจะเลือกหยิบปลาตัวที่..
“ใช้ไม่ได้ครับ”
“หา!?” เหล้ารัมถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เพราะดูเขาจะมั่นใจมากจริงๆ ว่าปลากะพงตัวที่เลือกต้องเป็นของดีแน่
แต่ผิดครับ “คุณดูนี่สิ” ผมชี้ให้ดูตากับเกล็ดของปลาตัวที่เหล้ารัมเลือก “ตากับเกล็ดปลาขุ่นมาก ใช้ไม่ได้เลย แล้วลองดูตัวนั้น” ก่อนจะชี้ไปที่ปลาอีกตัว “เห็นมั้ย เหงือกสีแดงสด ตาใส เกล็ดกับหนังไม่ขุ่น ทีนี้คุณลองกดที่ตัวมันดู”
“กดลงไปเลยหรอครับ”
“ใช่ครับ ลองกดดู แต่อย่าแรงมากนะ ขอแบบพอดีๆ”
“โอเคครับ”
พอผมยืนยันว่าให้เขาลองกดดูที่ตัวปลาอีกครั้ง เหล้ารัมก็วางเจ้าปลาตัวที่เขาเลือกลง ก่อนจะเริ่มทำตามที่ผมบอก
แล้วผลปรากฏก็คือ “นั่นไงครับ พอคุณกดลงไปแล้ว เนื้อมันไม่บุ๋มตามรอยนิ้ว แสดงว่าเนื้อแน่น ใช้ได้ครับ”
“แบบนี้นี่เอง คุณเก่งจังเลยครับวาฬ : )”
“เอ่อ.. ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมเองก็จำๆ ที่แม่สอนมาอีกที”
“รับอะไรดีครับ” แล้วในขณะที่ผมกำลังทำตัวไม่ค่อยถูกกับขำชมของเหล้ารัมอยู่นั้น พนักงานขายที่หายไปไหนมาก็ไม่รู้ก็ดันโผล่มาซะก่อน ผมก็เลยพยักหน้าเป็นเชิงบอกเหล้ารัมให้ส่งปลากะพงตัวที่ดีให้พนักงานซะ
“เอาตัวนี้ครับ”
“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายจะเอาปลาไปทำอะไรครับ”
“ทอดครับ”
“งั้นได้เลยครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” พูดจบ คุณพนักงานก็รับปลาจากมือเหล้ารัมไปจัดการต่อเองตามความต้องการของลูกค้า ก่อนที่จะส่งกลับมาเป็นถุงซิปล็อคอย่างดีที่ภายในบรรจุปลากับน้ำแข็งเอาไว้
“วาฬครับ คุณรู้วิธีการเลือกของทุกอย่างเลยหรือเปล่า” แล้วในขณะที่เราเดินกันต่อเพื่อไปยังจุดชำระเงิน เหล้ารัมก็ถามขึ้น
“ไม่หรอกครับ ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น” ผมเลยตอบกลับไปตามความเป็นจริง เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนหนึ่งคนจะรู้ไปซะทุกอย่างน่ะ
“แล้วถ้า.. คุณอยากจะเลือกแฟนที่ดีสักคนล่ะ ต้องเลือกแบบไหนกัน : )”
เดี๋ยวนะ! นี่ผมถึงกับหยุดเดินเลยเมื่อเจอเขาถามแบบนั้น ในขณะที่ตัวคนถามก็หยุดเดินด้วย ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ ระ..ร้าย!
ซึ่งถ้าเป็นปกติ ผมก็คงแกล้งทำเป็นโวยวายแก้เขิน หรือไม่ก็ก้มหน้าก้มตาทำเป็นเงียบๆ ไปซะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม กับคราวนี้ ผมถึงอยากต่อปากต่อคำก็ไม่รู้
“รู้สิครับ”
“อ้าว รู้ด้วยหรอ งั้นไหนบอกผมมาทีว่าถ้าจะเลือกแฟนที่ดีต้องเลือกยังไง : )”
“ง่ายมากครับ ก็แค่.. เลือกคนที่ชื่อเหล้ารัมก็พอ : )”
แต่แทนที่เหล้ารัมจะหงายเงิบกับหมัดสุดท้ายที่ผมตัดสินใจปล่อยตรงออกไป
กลับกลายเป็นว่าเขาดันยื่นหน้าเข้ามาใกล้.. “งั้นคุณก็เลือกได้ถูกต้องแล้วล่ะครับ : )” ..แล้วจัดการผมด้วยหมัดสุดท้ายของเขาแทน!!
“..,”
เมื่อเหล้ารัมพูดจบ เขาก็เข็นรถเข็นต่อไปเพื่อนำสินค้าไปชำระเงินตามความตั้งใจแรก โดยไม่ได้หันกลับมามองเลยสักนิด.. ว่าเค้าได้ทิ้งแฟนของตัวเองให้หยุดยืนอยู่กับที่.. ด้วยความร้อนจากความเขินอายที่แผดเผาไปทั่วทั้งร่างกาย...
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..หะ..ให้มันอย่างงี้เซ่!!!
/ ต่อด้านล่าง /