00.11 am.
จบเรื่องเล่าของซินเดอเรลล่า พระจันทร์ก็ไม่เหมือนเดิม
เรื่องราวของเขาเรียบง่าย ทว่าลึกซึ้ง มองจากมุมทั่วไปไม่ต่างจากคนอกหักที่แอบหลงรักเพื่อนสนิท เสียแต่ลัลผูกตัวเองติดกับคนที่ชื่อฮิมไว้นานเกินไปจนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ โดยที่ฮิมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธลัล และเมื่อถึงเวลาต้องแยกจาก ฮิมดันใช้วิธีการที่รุนแรงที่สุด ไม่ต่างจากการใช้มีดผ่าเลือดเนื้อของลัลที่ติดอยู่กับเขา สภาพเจ้าเด็กนี่ถึงได้โซซัดโซเซราวกับคนไม่มีแรงเช่นนี้
ผมเข้าใจความรู้สึกของการโดนผ่าออก
จากที่คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ แต่กลับถูกอีกฝ่ายเฉือนทิ้งราวกับตนเป็นเนื้อร้ายนี่ทำให้เจ็บปวดมากพอสมควร ผมเอื้อมไปลูบหัวคนเด็กกว่า ที่ตอนนี้ดูเซื่องซึม เขาเอนหัวรับสัมผัส ไถหัวไปมาราวกับลูกแมวออดอ้อน
“ผมน่าสงสารนะว่ามั้ย”
“อืม...”
“เมื่อไหร่คุณจะกอดปลอบผมสักที”
ผมหลุดขำ เมื่อลัลวกไปประเด็นอย่างว่าอีกแล้ว
“แล้วเมื่อไหร่นายจะเลิกคิดเรื่องใต้สะดือสักที แค่กอดเฉยๆ ไม่พอหรือไง”
เขาถอนหายใจพรืด เอนหน้าหนีมือผมที่บูบหัวเขาอยู่ “ทำไมคุณยังเอาแต่คิดเรื่องใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั่นแหละ ผมทำให้คุณมีอารมณ์ตั้งหลายครั้งแล้วแต่คุณก็ไม่ยอมทำอะไรสักที หรือว่าจริงๆ แล้วไม่เคย? ยังซิงหรือ ผมช่วยได้นะ”
“พอเลย” ผมว่า รีบเบรกก่อนที่ความคิดเขาจะไปไกลกว่านี้ “ฉันแค่ยังไม่แน่ใจตัวเอง...”
“ไม่แน่ใจอะไร”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่อยากกอดนายทั้งๆ ที่ฉันยังไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเอง”
“มันก็แค่กอด”
“ฉันกลัวจะทำให้นายเสียใจ”
“ผมเลือกแล้ว ไม่เสียใจหรอก”
ครานี้ตาผมถอนหายใจ “ใครจะรู้”
“อย่ารีบนักเลย ฉันอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนหรอก” ว่าจบพร้อมลูบหัวคนหน้าหงอ ลัลไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
สองวันถัดมาลัลถึงยอมแกะตัวออกจากเตียง สลัดความเกียจคร้าน ลุกไปทำหน้าที่มาสคอตหลังจากที่อู้มานาน วันนี้ผมยอมเป็นสารถี ขับรถไปส่งไอ้เด็กตัวดีถึงที่ ลัลไม่ได้พูดถึงเรื่องคนที่ชื่อฮิมอีก ทว่าแค่การไม่ได้พูดถึง หรือการที่สารภาพความจริงออกมา ไม่ได้ทำให้ซินเดอเรลล่าหายจากความเศร้าทันที ถึงอย่างนั้น...ผมก็เห็นว่ามันค่อยๆ ดีขึ้น ลัลเหม่อน้อยลง และป่วนผมหนักขึ้น...
“มดเป็นสัตว์กินเนื้อเหรอ?”
“หา”
ระหว่างที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่ในร้านไอ้จ๊าก ไอ้เด็กมาสคอตก็เอ่ยถามประโยคแปลกๆ
“ผมตบยุงแล้วเอาซากยุงวางไว้ข้างโต๊ะ ตอนนี้โดนมดแทะเหลือแต่ปีก”
“...”
“ผมเพิ่งรู้ว่ามดกินเนื้อ”
ผมไม่ได้มีคำตอบอะไรให้มัน คิดว่าถ้าไปจริงจังกับคำถามของคนบ้า น่าจะเครียดกว่าเดิม เลยได้แต่ลุกขึ้นออกจากโต๊ะ
“คุณจะไปไหน”
“ไปเอายากันยุง”
ผมได้ยาจุดกันยุงจากไอ้จ๊ากมาหนึ่งอัน ไอ้จ๊ากจุดไฟให้ควันไล่ยุงทำงานก่อนนำมันมาวางไว้ใต้โต๊ะของลัลพร้อมกับผมที่เดินตามเขามา
ลัลนั่งเอานิ้วจุ่มแก้วเบียร์ ใช้นิ้วคนน้ำแอลกอฮอล์เล่นจนน่าตีมือ เขาดื่มน้อยลงมากๆ เหมือนวันนี้มาเพื่อนนั่งประดับร้านเฉยๆ เวลาเขาเมาแล้วดูยั่วยวนก็จริง แต่ผมชอบตอนที่เขามีสติครบมากกว่า และถ้ามองไม่ผิดไป ดวงตาสีฟ้าของเขามีประกายสวยงามกว่าเดิม
ผมนั่งจ้องเขาได้ไม่นาน ไอ้จ๊ากก็เริ่มขัดจังหวะ ชวนไอ้ลัลคุยโน่นนี่ตามประสาคนคุยเก่ง จนกระทั่งวกไปเรื่องคืนก่อน
“ลัล...เรื่องฮิม...” เจ้าของชื่อลัลเหลือบตาไปมองคนพูด “กู...ขอโทษว่ะ”
“ขอโทษทำไม”
“คือ...กูขอให้ไอ้ฮิมอย่ามาที่ร้านในวันที่มึงอยู่ แต่เมื่อวันก่อนมันจู่ๆ ก็โผล่มา...”
“ไม่เป็นไรหรอก ร้านจ๊ากไม่ใช่ที่ส่วนตัวนี่ ใครจะเข้าก็ได้ไม่เห็นแปลกเลย”
“เพราะกูเล่าเรื่องพี่คุณให้มันฟัง...”
คราวนี้มีชื่อผมอยู่ในบทสนทนา เลยหันไปมองหน้าเจ้าของร้านอีกคนอย่างต้องการคำอธิบาย
“คือ...ไอ้ฮิมมันเป็นห่วงมึงนะ พอกูบอกว่ามึงมีพี่คุณมันเลยอยากมาเจอ...”
“อืม”
ลัลส่งเสียงตอบรับ ผมอ่านสายตาเขาไม่ออก เหมือนเขากำลังท่องไปยังสถานที่นึงที่ไกลแสนไกล ไกลเกินขอบจักรวาล ไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วง ลอยเคว้งคว้างหาที่ยึดจับไม่ได้
“กูรู้ว่ามึงยังไม่พร้อมจะเจอมัน...ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบแทบจะทันที น้ำเสียงเปล่าเปลี่ยว เดียวดายจนผมต้องจับไหล่เขาเพื่อหวังให้คนข้างตัวรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
คืนนี้เรากลับเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย ปกติแล้วลัลจะช่วยจ๊ากเก็บร้านก่อนกลับ แต่ครั้งนี้เรารอแค่ร้านปิดแล้วกลับเลย ไม่ได้ช่วยจ๊ากเหมือนทุกที เหตุเพราะไอ้จ๊ากไล่กลับเนื่องจากลัลมีสีหน้าไม่สู้ดี คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮิมอีกเช่นเคย ลัลจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดตัวเองอีกแล้ว เขาเหม่อลอย นิ่งเงียบ จนผมอยากดึงให้เขาหลุดออกมาจากห้วงอวกาศ
ทว่าไม่รู้ต้องใช้วิธีไหน
“ยังคิดถึงเขาอยู่อีก”
ผมเอ่ยถามตัดความเงียบ ท่ามกลางแสงจันทร์และท้องถนนตรงไปยังเส้นทางกลับบ้าน
“คุณไม่เข้าใจ เขาเคยเป็นโลกทั้งใบ”
“ไหนว่าตอนนี้จะให้ฉันเป็นโลกให้ไง”
“ก็คุณไม่ตอบตกลงเสียที...”
“ฉันอยากให้นายลืมเขาได้ด้วยตัวนายเอง ไม่ใช่การใช้ฉัน”
“ผมก็พยายามทำอย่างนั้นอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนี่”
“ก็เลยยังอยู่ในโลกพังๆ นั้นน่ะเหรอ”
“แล้วจะให้ผมทำไง...คุณไม่ยืนยันให้ผม ผมก็ไม่กล้าเสี่ยง”
“ไหนว่าตัดสินใจแล้วไง”
“...ผมแค่อยากมั่นใจ”
“มั่นใจว่าชอบฉันจริงๆ หรือยังชอบเขาอยู่...”
“...”
“ลองไปเรียบเรียงสติให้ดีๆ ก่อนไหม”
เขาไม่ตอบ แต่คล้ายจะผงกหน้าเห็นด้วยกับผม เมื่อมาถึงจุดหมาย ผมจอดรถไว้ที่บ้านเขา บอกให้เขาลองอยู่ตัวคนเดียวดูอีกทีเพื่อหาคำตอบในความรู้สึกให้ได้ บอกตามตรงว่าผมไม่สามารถเชื่อเขาได้ทั้งใจ เขาอาจจะแค่หวั่นไหวกับผม ถ้าแค่นั้นเราทั้งคู่ยังพอถอยกลับได้ แต่ถ้าเขายังรักคนเก่า แล้วมาหาผม ผมก็คงเสียใจ หรือถ้าผมรีบตอบรับเขาไปทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ ผมก็กลัวว่าเขาจะเสียใจ
คืนนี้ เราไม่ได้นอนด้วยกัน
ห้องนอนดูเงียบเหงากว่าปกติ
และอาจจะเป็นผมเองที่ค้นพบความรู้สึกในใจตัวเอง
เป็นอาทิตย์แล้วที่ซินเดอเรลล่าไม่ยอมมาทำความสะอาดบ้านให้ผมเหมือนที่แล้วมา ผมไม่ได้ต้องการคนทำความสะอาดอะไรหรอก เพียงแต่ผมเริ่มอยากเห็นหน้าเขาแล้ว การที่ผมไล่เขาให้ไปขบคิดดีๆ ไม่ได้คิดว่าเขาจะหายไปนานขนาดนี้ ถึงแม้การมีอยู่ของเขาจะไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าบ้านมันเงียบกว่าเดิม
ผมพังเฟรมวาดรูปเฟรมแล้วเฟรมเล่าเพราะไม่สามารถวาดงานออกมาได้ดั่งใจ ผมบังคับพู่กันไม่ได้ ไม่มีสมาธิเลยสักนิด ทว่าพอลองวาดรูปเขาจากสมุดสเก็ตช์ครั้งนั้นแล้วผมกลับวาดออกมาได้อย่างง่ายดาย รูปภาพนางฟ้ายามหลับใหลที่มีลัลเป็นต้นแบบถูกวาดออกมาได้สำเร็จ รวดเร็วกว่ารูปภาพไหนๆ
รูปภาพที่สะท้อนคนคุ้นเคย จะเป็นใครไม่ได้นอกจากลัล ผมรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าเด็กคนนี้มีสเน่ห์ ถึงได้ยอมเปิดประตูบ้านให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุเพราะต้องการอยากเชยชมเขาสักนิด ผมเชื่อว่าถ้าเป็นคนอื่นมาเขย่ารั้วหน้าบ้านผมอย่างนั้น วิธีที่ผมทำคือแจ้งตำรวจ แต่กับลัลมันไม่ใช่...ผมยอมให้เขาเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวอย่างง่ายดาย ยินยอมให้เขาอยู่ข้างๆ ไม่ไล่ไปไหน พึงพอใจที่เขาอยู่รอบตัวผม เสมือนว่าได้ครอบครองเพชรเม็ดงามอยู่คนเดียว เพชรล้ำค่าที่พอรู้ว่าเคยมีเจ้าของมาก่อนผมก็หงุดหงิด
ผมควรรู้ใจตัวเองได้แล้ว
หลังจากที่แต้มสีสุดท้ายในเฟรมภาพ ผมนั่งเหม่อมองรูปภาพที่ไม่มีใครจ้างให้วาด นางฟ้าเพศชายผิวขาวผ่องนอนราบไปกับรากไม้ หลับตาพริ้มท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ในป่าใหญ่ ปีกสีขาวกลางหลังของเขาหุบลงปกป้องตัวเองไม่ให้มีอะไรมารบกวนการหลับใหล ผีเสื้อตัวน้อยปีกสีสดสวยบินรอบกายเขา ดอมดมราวกับเจอดอกไม้หอมหวาน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองวาดอะไรลงไปด้วยซ้ำ แต่ภาพที่ออกมาทำให้ผมละสายตาไม่ได้ โดยไม่รู้ว่าผมหลงใหลในภาพวาดของตัวเองหรือหลงใหลคนในภาพวาดกันแน่
แสงอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะหมดไป ผมกำลังจะหมดวันโง่ๆ ด้วยการนั่งจ้องรูปภาพ และจะเป็นอีกวันที่ไม่ได้เจอหน้าเขา
จวบจนพระจันทร์ออกมาทำงาน ผมก็หมดความอดทน
ครั้นจะไปยืนเขย่ารั้วหน้าบ้านเขาก็ดูจะตลกเกินไป เด็กนั่นคงไม่ลงมาเปิดให้ผมหรอก เพราะถ้าอย่างนั้นเขาคงมาที่บ้านผมแล้ว ที่ผมทำก็คือถามไอ้จ๊าก จ๊ากเคยขอช่องทางติดต่อผมเผื่อลัลมันเป็นอะไร นิสัยแบบนั้นยิ่งเอาใจยากอยู่ ถ้าจู่ๆ ติดต่อลัลไม่ได้จะได้ตามจากผมแทน ผมไม่คิดว่าหลังจากที่ให้ช่องทางติดต่อจ๊ากไปจะเป็นตัวเองที่ติดต่อไปหาก่อน
จ๊ากบอกว่าเขาเอากุญแจสำรองของลัลใส่ไว้ในกล่องไปรษณีย์ตรงรั้วบ้าน...
ใจหนึ่งก็อยากจะต่อยไอ้เด็กร้านเหล้าให้ตาย อย่างน้อยก็น่าจะซ่อนกุญแจให้ดีกว่านี้จะได้ไหมล่ะ แต่อีกใจก็นึกขอบคุณที่มันอยู่ในที่ๆ หาง่าย ทำให้ผมเปิดประตูเข้าบ้านเขาไปได้อย่างง่ายดาย
ถ้าลัลแจ้งตำรวจขึ้นมาผมคงโดนซิวอย่างไม่ต้องสงสัย...
ข้างในบ้านชั้นแรกเป็นห้องรับแขกที่โล่งกว้าง มีเพียงเก้าอี้โซฟาและทีวีเก่าๆ ตั้งอยู่ หลังบ้านคงเป็นห้องทานข้าวและห้องครัว บันไดอยู่ทางซ้ายมือ ผมเดินขึ้นไปช้าๆ บ้านของลัลมีสามชั้น เพราะอยู่คนละฝั่งกับบ้านผมทำให้รูปแบบของบ้านแตกต่างกัน ทาวน์โฮมสามชั้นไม่ได้มีแปลนซับซ้อนอะไร ชั้นสองมีเพียงสองห้องที่ปิดประตูไว้อยู่ ส่วนผมก็เดินขึ้นชั้นสามตามที่จ๊ากบอกมา
ห้องติดบันไดทางขวามือคือห้องนอนของลัล
เมื่อผมค่อยๆ เปิดประตูออกอย่างแผ่วเบา สิ่งแรกที่โจมตีผมคืออากาศเย็นในห้อง ดูเหมือนเจ้าตัวขี้เกียจจะเปิดแอร์นอนตลอดทั้งวัน ในห้องมืดสนิท มีแสงไฟจากถนนพยายามเล็ดลอดผ่านผ้าม่านผืนหนา แต่ไม่ได้ช่วยให้ห้องสว่างขึ้น
ผมเดินเข้าไปใกล้ก้อนผ้าห่ม พร้อมกับยกมือแตะ
ลัลไม่ได้ตอบรับอะไร เขายังคงนอนนิ่ง ผมเดาว่าเขาอาจจะหลับไปแล้ว...แต่ตอนนี้เพิ่งจะสี่ทุ่มอยู่เลย ปกติเขาแทบจะเข้านอนพร้อมผมด้วยซ้ำ เมื่อนึกอย่างนั้น ผมจึงทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆ ก้อนผ้าห่มที่ขยับขึ้นลงตามแรงหายใจ
“ลัล...”
เขาขยับตัวตอบรับ คงรู้ว่าผมมาตั้งแต่เปิดประตูเข้าห้องแล้วล่ะมั้ง
“ไม่โผล่หน้ามาคุยกันหน่อยล่ะ”
“...ผม...” เขางึมงำตอบกลับแค่นั้นก่อนเสียงจะเงียบไป ผมจ้องก้อนผ้าห่มที่เขาห่อตัวแน่นจนกลมดิ๊ก ความเงียบส่งเสียงดังอยู่สักพัก ก้อนกลมเริ่มขยับตัว เขาโผล่หน้าออกมา
ลัลยังคงเป็นลัล สภาพบู้บี้งัวเงียแค่ไหนเขาก็ยังงดงาม สะกดให้ต้องจ้องมองได้ทุกครา
พอเขาลุกขึ้นมานั่งชันตัว ผ้าห่มที่เคยคลุมร่างผอมก็ร่วงลงไปกองอยู่บนเอวสอบ เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวนวลเปลือยเปล่า นี่คงเป็นสาเหตุที่เขาเอาห้าห่มมาห่อตัวเช่นนี้
“ทำไมแก้ผ้า”
“คุณมาทำไม” เขาตอบกลับมาป็นคำถาม
“มาเจอนาย”
“เพิ่งไล่ให้ผมไปคิดใหม่ไม่ใช่เหรอ”
“อืม นายคิดนานไป ฉันเลยมาหา”
ครานี้ลัลไม่ตอบอะไรกลับมา เขาใช้ดวงตาคู่สวยจับจ้องมาที่ผมราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง น้ำทะเลลึกดึงดูดให้ผมจมลงไป แน่นิ่ง ไม่กล้าขยับตัวราวกับโดนมนต์คำสาปให้กลายเป็นหิน
ขณะที่ตัวเองกำลังโดนสายตาเขาแช่แข็ง เขาขยับเข้ามาใกล้ผม โน้มใบหน้าหวานลงมาคลอเคลียที่ซอกคอ จูบเบาๆ ที่ไหปลาร้า ซุกไซร้ออดอ้อนเหมือนแมวต้องการความรัก แม้ไม่ได้เจอกันสักพัก แต่ลัลยังคงยั่วยวนน่าตีไม่เปลี่ยน
“คิดถึง” เขาเอ่ย
“แล้วทำไมไม่มาหา” ผมตอบเขากลับไปทันทีที่หาเสียงตัวเองเจอ
“ก็คุณใจร้าย...” แมวน้อยเอ่ยด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง “ผมแสดงออกขนาดนี้แล้วคุณยังปฏิเสธ...ผมก็เสียใจสิ”
ผมยกมือไปลูบหัวเขาแทนคำตอบ ชีเปลือยขยับตัวเข้ามาเบียดอย่างที่เขาชอบทำ เขาเอื้อมตัวมากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็น “ผมจะเป็นบ้าอยู่แล้วตอนไม่มีคุณ”
“ก็มาหาสิ”
“...ผมอยากกอดคุณแทบตาย แต่คุณก็ปฏิเสธทุกครั้ง...ถ้าผมไปหาอีกก็คงเหมือนเดิม คุณไม่เคยยืนยันอะไรให้ผมเลย” ลัลเฉลยด้วยน้ำเสียงหงอยเหงา เขามุดหน้าซุกซอกคอผมอีกครั้ง “ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน...”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง นายทำเหมือนตัดใจจากเขาไม่ได้สักที”
“ก็จริง...ผมพยายามกับหลายคนแล้ว ไม่มีใครทำให้ผมรู้สึกอยากตัดใจจากฮิมได้เท่าคุณเลย”
“...”
“ตอนนั้นผมแค่คิดเรื่องฮิมนิดหน่อยเอง คุณก็ไล่ผมเสียแล้ว”
“ฉันไม่ได้ไล่”
“คุณอาจจะคิดว่าระยะเวลาที่ผมเจอคุณมันน้อย แต่คุณไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ผมพยายามแค่ไหนกับการลืมเขาให้ได้ และสุดท้ายคนที่ผมทำให้อยากลืมฮิมได้ก็คือคุณ”
“ฉันแค่...”
“ผมก็เหนื่อยเป็นนะ...”
เด็กขี้เหงาเอ่ยเสียงเศร้า ผมไม่พยายามเถียงเขาอีกเมื่อรู้ความในใจ จึงขยับมือลูบหัวเขาแทนคำขอโทษ เล่นเส้นผมยาวไล่ลงไปจนถึงปลายผม ก่อนลากมือไล่กระดูกสันหลังทีละข้อลงไปจนถึงเอวเล็ก ผมถึงค้นพบว่าแม้แต่ช่วงล่างของเขาก็ล่อนจ้อน ไม่มีขอบกางเกงใดๆ มาเกะกะ
“ทำไมแก้ผ้า”
“แก้ผ้านอนสบายออก” เขาเฉลยคำสงสัย และผมก็ตอบแทนด้วยการล้วงเข้าไปในผ้าห่มนุ่มที่ปกคลุมช่วงเอวของเขาลงไป ลูบสะโพกมน ไล่ลงไปบีบเฟ้นเนื้อนุ่ม ก่อนใช้นิ้วลากผ่านไปยังรอยแยกตรงกลางของก้อนเนื้อสองข้าง
“คุณ...”
ดวงตาสีสวยจับจ้องมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือแน่ใจแล้วว่าผมเองก็ต้องการเขา ที่ได้ถ่อมาหาถึงที่ขนาดนี้ และจะยินดีไม่น้อยถ้าหากว่าเขายังคงอยากให้ผมกอดอยู่
“รู้อะไรไหม...ครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งที่แล้วมาหรอกนะ”
ว่าจบ ผมค่อยๆ ผลักเขาให้นอนราบลงกับเตียง ซินเดอเรลล่าผู้งดงามนอนเปลือยกายปรากฏอยู่ตรงหน้า แสงอ่อนๆ จากข้างนอกฉาบลงมาบนเนื้อขาวเนียนเบาบาง ทันใดนั้นเองผมถึงได้เข้าใจว่าตัวเองเข้าใจผิดมาโดยตลอด
เขาไม่ได้สวยเพราะแสงจันทร์
เขางดงามกว่ามัน
❍
น้องลัลไม่ได้โลเลแค่คนเดียวนะ
ที่ผ่านมาพี่คุณเองก็ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจนเหมือนกัน
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
#ณพระจันทร์