คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 67
ของเจ้า
---------
ห้องหนังสือของเรือนอหัสกรยังคงมีแสงจากตะเกียงเทียนเรืองรอง
รติช่วยเก็บหนังสือและม้วนกระดาษที่ตรัสขนออกมาอ่าน เรื่องอาการตาบอดของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพยายามหรือถอดใจ เรื่องบางเรื่องก็มิอาจแก้ไข แต่การเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน รู้จักปรับเปลี่ยนในสิ่งที่เปลี่ยนได้และมีสติก็เป็นสิ่งสำคัญ
“ถ้าอหัสกรไม่เปิดร้านยาและรักษาคน ข้าว่าเปิดร้านหนังสือน่าจะดี ตำรับตำราเยอะจริง”
“หืม? ตำราเล่มนี้ สมัยก่อนสกุลข้าก็มี แต่ก็ขายออกไปจนหมดแล้ว”
หยิบหนังสือใดมาเก็บ รติเป็นต้องได้พินิจหน้าปกสักเล็กน้อย
ตรัสหันไปมองคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการหยิบจับหนังสือเข้าที่ แล้วก็ยิ้มจาง
“ถ้าอยากอ่าน ก็มาหยิบไปอ่าน” เขาเอ่ย ทำเอารติหันไปมอง ดวงหน้าสดใส ดวงตาเป็นประกายวาว
“จริงหรือ? ข้าเข้ามาอ่านได้ใช่ไหม”
“ได้”
รติหยิบหนังสือออกมาพลิกดูอย่างตื่นตาตื่นใจ ท่าทีเช่นนั้นยิ่งทำให้ตรัสรักใคร่เอ็นดู แล้วก็คล้ายมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด ชายหนุ่มผละจากชั้นหนังสือเข้าไปยืนซ้อนหลัง คราแรกเพียงแค่อยากใกล้ชิด แต่พอใกล้แล้วก็กลับไม่อาจห้ามใจ เป็นต้องสอดมือเข้าไปโอบเอวรติจากด้านหลังด้วย
คนที่จู่ๆก็ถูกประชิดตัวถึงกับสะดุ้งโหยง แก้มขึ้นสีเรื่อมาจนถึงใบหู ตรัสเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งเอ็นดู ก้มลงหาแล้วกระซิบเบา
“จะหยิบจับอะไรในอหัสกรก็ได้ ทุกอย่างในอหัสกร...นับเป็นของเจ้า”
แล้วพอได้โอบ ก็ไม่อาจห้ามใจอีก ตรัสยิ่งขยับกายชิด แผ่นอกของเขาแนบสนิทกับแผ่นหลังของรติ ความ ‘คิดถึง’ ผุดวาบขึ้นในอก
“ตรัส...”
สามีภรรยามีหรือจะไม่รู้ว่าการเข้าใกล้เช่นนี้เพราะต้องการอะไร แต่ที่นี่คือห้องหนังสือ แม้จะลับสายตาจากผู้อื่นเพราะดึกมากแล้ว และคงไม่มีใครเข้ามาในนี้ แต่ก็ไม่นับว่าส่วนตัวอยู่ดี
“...นี่ห้องหนังสือ...” รติปรามเบา แต่พออีกฝ่ายซุกใบหน้าลงกับคอของเขา ก็กลับเปิดเผยให้ตรัสได้มอบสัมผัสวาบหวามนั้นอย่างถนัดถนี่ ริมฝีปากลากไล้ไปกับผิวเนื้ออ่อนพร้อมกับเสียงกระซิบเบา
“คิดถึงเจ้า...ไม่ได้หรือ”
“ค...คิดถึงอีกแล้วหรือ...”
“เมื่อวานไม่ได้... ‘คิดถึง’ ...”
คำว่า ‘คิดถึง’ ของตรัสและรตินี้มีความหมายสองอย่าง
ความหมายอย่างแรกคือความรู้สึกคิดถึงอย่างที่คนทั่วไปรู้กันดี คิดถึงเพราะจากไกล คิดถึงเพราะไม่เห็นหน้า ความรู้สึกเช่นนั้นให้เกิดกับคู่สามีภรรยาที่พบหน้ากันทั้งเช้าค่ำก็เห็นจะไม่ใช่ ดังนั้นคำว่า ‘คิดถึง’ ของพวกเขาจึงมีความหมายที่สอง
คิดถึง...เพราะไม่ได้กกกอด
คิดถึง...เพราะไม่ได้แนบชิด
คิดถึง...จนอยากเกี่ยวกวัดกันและกัน ไม่แยกจากจนกว่าจะรุ่งสาง
ความหมายนี้ เป็นความนัยที่สามีภรรยารู้กันดี ดังนั้นเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่าคิดถึง อีกคนย่อมซาบซ่านไปทั้งกาย
“...ต...แต่...ที่นี่...ด...เดี๋ยวมีคนเห็น...”
“ใครเห็น” ตรัสเงยหน้าขึ้นจากซอกคอ พลิกกายคนในอ้อมแขนมาถาม ดวงตาของเขามีประกายกล้าของความรักใคร่ร้อนแรง คนถูกจ้องร้อนวาบไปทั้งหน้า รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายกลายเป็นกองเพลิงที่พร้อมจะหลอมละลาย
รติเม้มปาก พูดไม่ออก ยิ่งมือไม้ของสามีบีบขย้ำตามเนื้อตัวเขา ก็ยิ่งเผลอเบียดกายชิดอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว แล้วพอใกล้ชิด...ก็ยิ่งรับรู้ว่าความรู้สึกของตรัสนั้น...แข็งแกร่งเพียงใด
จากห้องหนังสือของเรือน ต้องเดินลัดเลาะสวนด้านหลังกลับไปยังเรือนพักผ่อนของพวกเขา แต่...ความรู้สึกเช่นนี้จะกลับไปถึงได้อย่างไรกัน
รติซุกหน้าลงกับแผ่นอกของสามี แล้วพึมพำเสียงเบา แต่...ตรัสไม่ได้ยิน เขาจึงก้มลงหา กระซิบถามข้างหู ในขณะที่สองมือเลื่อนไล้ลงสู่สะโพกกลมของภรรยา
“ว่าอย่างไร รติ...”
ใบหน้าแดงก่ำเงยขึ้นมอง ในดวงตามีแววอัดอั้นเล็กน้อยที่ต้องพูดซ้ำ อีกทั้งยังเขินอาย แต่...หากไม่พูดอีกครั้ง ตรัสคงนวดเฟ้นสะโพกเขาไม่หยุด
“...ถ้าจะ...ที่นี่...ก็เข้าไปข้างใน...”
ราวกับเป็นคำอนุญาต ตรัสยิ้มพราว รวบร่างของภรรยาขึ้นจากพื้น ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจแผ่วเบามาจากคนในอ้อมแขน แต่เมื่อเขามอบจุมพิตให้กับภรรยา แล้วพาเดินลึกเข้าไปในห้องหนังสือ เสียงของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ห้องหนังสือของเรือนอหัสกรเรียงรายด้วยชั้นหนังสือที่อัดแน่นด้วยหนังสือและม้วนกระดาษ เรื่องความสะอาดสะอ้านไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีบ่าวไพร่เข้ามาดูแลอยู่เป็นนิจ แต่กลางดึกเช่นนี้ ไม่มีบ่าวคนใดขยันขันแข็งอยากจะปัดกวาดแน่แท้
ช่างเป็นที่รโหฐานชั้นดี แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ที่เป็นส่วนตัว รติทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น เลยพลอยให้รู้สึกตื่นตัวเป็นพิเศษ อีกทั้งต้องพยายามกลั้นเสียงร้องเพราะเกรงว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน
แต่ดึกปานนี้...จะมีใครผ่านมาเล่า
ตรัสนึกเอ็นดูภรรยา แต่กระนั้นก็ไม่ปลอบประโลมให้คลายกังวล รติในเวลานี้ ทั้งน่ารัก ทั้งน่ารังแก พอเขาลงน้ำหนักกับฝ่ามือและริมฝีปาก ก็ยิ่งสะดุ้งสะท้าน ยิ่งเขาแตะต้องส่วนลับ ร่างของรติก็ยิ่งสั่นระริก เสียงครางหวานหูได้ยินเพียงผะแผ่วเพราะเจ้าตัวเอาแต่ยกฝ่ามือกลั้น
แต่ไหนเลย...จะทนไหว
ตรัสเพิ่มน้ำหนักกับฝ่ามือ รูดรั้งแตะต้องส่วนไวต่อสัมผัส จนรติสะท้านไปทั้งร่าง เขาก็คว้าร่างคนรักขึ้นมาคร่อมตัก
ดวงตาคู่สวยเหลือกโตด้วยความตกใจ แต่ฝ่ายสามีกลับกดสะโพกลงหาความเป็นชายของตนเองที่เหยียดเกร็งรอรับการครอบครอง
“อ๊ะ! ตรัส!”
ท่วงท่านี้ช่างน่าอาย สถานที่ก็ไม่มิดชิด รติอยากผละกายหนี แต่มือหนึ่งของตรัสกดสะโพกของเขาลงหาแท่งร้อนผ่าวที่ค่อยๆชำแรกเข้ามาทีละน้อย ในขณะที่มืออีกข้างรั้งกายของรติให้แอ่นอกเข้าหา แล้วครอบครองยอดอกตึงเขม็งข้างหนึ่งด้วยริมฝีปากร้อน
เพียงเท่านั้นคนอยากผละจาก ก็หมดใจจะต้านทาน
สองมือของรติกอดคอตรัสไว้แน่น อารมณ์วาบหวามและความอึดอัดคับแน่นตีรวนจนทำอะไรไม่ถูก พอถูกริมฝีปากตะโปมดูดยอดอก ก็ทำได้เพียงแอ่นอกเข้าหา พอถูกมือร้อนนำพาให้กดสะโพกลง ร่างกายก็ยินดีทำตามจนแนบสนิท
รติหอบฮัก ครางเครือผะแผ่วอย่างอดไม่ไหว
“ต...ตรัส...อื้อ...ตรัส...”
เสียงของภรรยานั้นช่างหวานหู ความคับแน่นตอดรัด ยิ่งทำให้ตรัสเตลิด สองมือของเขาเลื่อนลงไปกอบกุมเนื้อสะโพก บีบขย้ำจนเนื้อปลิ้นตามร่องนิ้ว จับฉีกแยกให้ปากทางขยายตอบรับความต้องการของเขาจนสุด แล้วบังคับจังหวะขยับขึ้นลงตามใจปรารถนา ยามกดสะโพกลง ก็กระดกเอวสวนกลับขึ้นไป ยามยกสะโพกขึ้นก็ส่ายวนให้รติยิ่งรัญจวนจนแทบขาดใจ
“นี่ของเจ้า...” ตรัสกระซิบกับริมฝีปากที่ครางเครือแผ่วเบา ในขณะที่เสยแก่นกายเข้าฝังแน่นภายในร่องร้อน
“ของเจ้าทั้งหมด...”
สองมือของตรัสกดสะโพกของภรรยาให้แนบชิดลงกับตักของเขา แม้จะสนิทแนบแล้วก็ยังไม่ปล่อย รติดิ้นพล่าน อึดอัดทรมานแต่สัมผัสหยาบกระด้างที่บดกับผิวเนื้ออ่อนก็ซาบซ่านถึงใจ
“ทุกอย่างของอหัสกรเป็นของเจ้า...”
ราวกับต้องการตอกย้ำให้รติรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของ ตรัสกดสะโพกอีกฝ่ายให้แนบนิ่งอยู่กับที่ ให้รติรับรู้ตัวตนของเขาจนถึงที่สุด ให้ครอบครองทั้งใจและกายของตรัส อหัสกรอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้
“อ๊ะ...ต...ตรัส...ไม่ไหว...อ๊ะ ไม่ไหวแล้ว...ข...ขยับ...” รติสั่นสะท้านไปกับความรัญจวน รับรู้ถึงความใหญ่โตร้อนผ่าวที่ฝังเข้ามาในร่างกายของเขา แม้จะทรมานแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าไม่ต้องการ
“รับรู้ไว้ รติ...อหัสกรเป็นของเจ้า...ตรัส อหัสกรก็เป็นของเจ้า...”
สิ้นเสียงนั้น ร่างของรติก็ถูกตวัดลงนอนราบกับพื้น ตรัสขึ้นคร่อม ตวัดขาของรติข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่าได้แล้วก็กระหน่ำกระแทก ฉุดพาอารมณ์ทั้งมวลให้พุ่งทะยานไปด้วยกัน
“อ๊า ตรัส...” แม้แต่ตนเองก็ยังรับรู้ว่าเสียงครางนั้นไม่ได้เบาแผ่วอีกแล้ว ความต้องการทำให้ไร้ซึ่งความอดทน แต่ความอับอายทำให้ตัดสินใจคว้าคอสามีก้มลงหาแล้วใช้ริมฝีปากของอีกฝ่ายปิดเสียงร้องของตนเอง
การกระทำเช่นนั้นราวกับเป็นคำอนุญาตที่แสนหวาน
ตรัสโหมแรงโจนทะยาน บดจูบและบดขยี้ร่างของภรรยา เขากระแทกกายเข้าจนสุด ฝากฝังความใหญ่โตให้รติได้ครอบครองจนสุดความยาว แล้วถอนถอยออกจนเกือบสุด จากนั้นก็อัดกระแทกเข้าไปใหม่
อารมณ์รักโหมกระพือ บทรักถี่กระชั้น ริมฝีปากแทบไม่ถอยห่าง ปลายลิ้นเกี่ยวกวัด แผ่นอกถูไถ ในขณะที่เบื้องล่างกระแทกกระทั้น เสียงเนื้อกระแทกเนื้อทั้งซ่านเสียวและเหนอะหนะ แม้จะฟังแล้วช่างหยาบโลนแต่กลับไม่อยู่ในความสนใจของพวกเขาเลย คล้ายต่างคนต่างมัวเมาอยู่ในโลกของความรักใคร่ร้อนแรง คนหนึ่งโจนทะยานเข้าหา อีกคนหยัดกายตอบสนอง บทรักนี้ของสองสามีภรรยาทั้งถึงใจและเต็มไปด้วยอารมณ์รักใคร่ จนห้วงสุดท้ายมาถึง
“อื้อ!!” รติเกร็งไปทั้งร่าง กระตุกเฮือกพุ่งทะยานเอาความต้องการออกมาจนเปรอะเลอะหน้าท้องของพวกเขา ในขณะที่ภายในช่องทางร้อนตอดรัดจนตรัสทนไม่ไหว เขากดกายเข้าหาสุดลึก แล้วปลดปล่อยความต้องการเข้าไปในร่างของภรรยาจนหมดสิ้น
เสียงครางเงียบลงเหลือเพียงเสียงหอบหายใจ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อและคราบไคล กระนั้นสองร่างก็ยังแนบชิดอยู่บนพื้นภายในห้องหนังสือ
“เก่ง” ริมฝีปากของตรัสยังวนเวียนอยู่กับริมฝีปากของภรรยา และผิวแก้ม แต่ก็ยังชื่นชมเอาใจ รติทั้งเขินทั้งอาย แต่ครั้นจะปล่อยให้อีกฝ่ายชมอยู่เพียงลำพังก็ใช่ที่
“ท่านก็ด้วย”
ตรัสเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกกระหยิ่มที่ได้รับคำชม ผละออกห่างเพื่อมองสบเข้าไปในดวงตาของภรรยาผู้เป็นที่รัก
“แล้วชอบไหม”
คำถามนี้ตอบยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่ไม่ส่วนตัว
หากกล่าวว่าชอบ ก็ไม่รู้จะถูกอีกฝ่ายรวบรัดว่าชอบเพราะสถานที่ หรือชอบเพราะคน หรือชอบเพราะท่วงท่า
“ชอบไหม รติ...” แต่พอไม่มีคำตอบให้ ร่างก็ถูกรวบขึ้นไปนั่งทับตักอีกครั้ง รติตาโต ส่วนที่ยังเชื่อมกันก็ยังแนบสนิท จากที่เมื่อครู่อ่อนตัวลงก็กลับมาเริ่มแข็งขืนจนรู้สึก
“ท...ท่าน...”
“ไม่ตอบ...เห็นทีต้องพิสูจน์อีกรอบ”
“อ๊ะ ต...ตรัส...ท...ที่นี่อีกหรือ...”
“ที่นี่ก็ที่ของเจ้า” ตรัสเอ่ย มีรอยยิ้มจางที่มุมปาก มือร้อนนวดวนสะโพกกลมแล้วกดลงแนบตักเขาจนรติสั่นขึ้นมาอีก
“อ๊ะ...ต...ตรัส...”
“ตรงนี้...ก็ของเจ้า...”
“ด...เดี๋ยว...อื้อ...” รติข่มตา กายสั่นระริก อารมณ์รัญจวนเริ่มก่อตัวระลอกใหม่อีกแล้ว
ท่าทางของภรรยานั้นน่าเอ็นดูในสายตาของตรัส เขาก้มลงหา จุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปากราวกับปลอบประโลม
“รติ...” เสียงเรียกนั้นทำให้คนที่กำลังข่มตาเพราะอารมณ์วาบหวามต้องลืมตาขึ้นมา แล้วก็ได้พบว่าเจ้าของเสียงกำลังทอดมองด้วยทั้งรักใคร่และเอ็นดู
“...อหัสกรเป็นของเจ้า รวมถึง...ใจและกายของตรัส อหัสกรก็ด้วย...”
ใครเลยจะคาดคิด คราแรกเมื่อเหยียบย่างมาที่นี่ เพียงแค่หวังจะมาอาศัยไม่นาน เมื่อทุกอย่างลุล่วงตามประสงค์แล้วจะจากไป แต่วันนี้...คนที่นี่...กลับยกทุกอย่างให้
โดยเฉพาะ ‘ใจและกายของตรัส อหัสกร’
ดวงตาของรติที่แต้มด้วยเฉดสีประหลาดในความสลัวของแสงตะเกียงเทียน เอ่อคลอด้วยน้ำใสยามทอดมองใบหน้าของผู้นำสกุลอหัสกรที่ออกปากมอบทุกอย่างให้กับเขา
สิ่งใดจะมีค่ามากไปกว่าความรู้สึกของชายผู้นี้...ชายที่ชื่อ ตรัส อหัสกร...
รติประคองใบหน้าของตรัสด้วยสองมือแล้วแนบริมฝีปากเข้าหาแผ่วเบา จากนั้นจึงผละออกมาเอื้อนเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง
“ใจและกายของข้า ก็เป็นของตรัส อหัสกรเช่นกัน...”
แล้วจากนั้น สองใจและสองกายของสองสามีภรรยาก็หลอมรวมเป็นของกันและกันอีกครั้ง
ห้องหนังสือของเรือนอหัสกรในคืนนี้...จึงมีแสงสลัวจากตะเกียงเทียนสว่างไปอีกค่อนคืน
--------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMO926
---------
ไม่ใช่แค่เป็นสองสามีภรรยาที่ปากแข็ง ปากหนักและซื่อบื้อเรื่องความรักเหมือนกันหรอกค่ะ แต่เรื่องแบบนี้ก็เข้าขากันดีด้วยนะคะ ฮ่าฮ่า
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ
เจอกันวันพุธค่ะ