HEARTBREAKER
28
(50%)
เวลาเลิกเรียนของเด็กมัธยมปลายที่สถานศึกษาอยู่ใจกลางเมืองกรุง มีนักเรียนกลุ่มใหญ่ทยอยกันเดินออกจากโรงเรียนท่ามกลางเสียงพูดคุย เด็กหนุ่มหน้าหวานผิวขาวจัดโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น เจ้าตัวเดินคุยกับเพื่อนสนิทอย่างออกรส รอยยิ้มสดใสร่าเริงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว เพราะทุกครั้งที่เพื่อนๆเห็นหน้า เจ้าตัวก็จะส่งรอยยิ้มกว้างทักทายอยู่เสมอ
“เฟียซ ไปกินไอติมกัน”
ชวนเพื่อน นัยน์ตาเป็นประกาย แต่ได้รับสีหน้าบึ้งตึงตอบกลับมา
“ไม่กินสักวันจะตายมั้ย”
“ตาย”
ตอบทันควัน ปากบางยื่นออกน้อยๆที่ถูกเพื่อนขัดใจ
“งั้นมึงก็ตายไป ตายไปเลย”
“โห! พูดอย่างนี้กับเพื่อนหรอ ใจร้ายวะ แช่งให้เพื่อนไปตาย”
เจ้าตัวโวย หยุดเดินประท้วง แต่อีกฝ่ายไม่แคร์เดินต่อไปหน้าตาเฉย
“เฟียซ! รอด้วย!”
ทนเก็กได้ไม่นานก็ส่งเสียงร้องตามหลังพร้อมวิ่งไปให้ทันเพื่อน
“กูจะกลับบ้าน มีงานต้องทำ”
“อือ กลับก็กลับ ไม่กินก็ได้”
ตอบเสียงแผ่วอย่างยอมจำนน
เดินมาถึงป้ายรถเมล์ ยืนรอรถสายที่ผ่านแถวบ้านได้สักพักจู่ๆก็มีรถBMWสีขาวขับมาจอดเทียบตรงหน้า เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนอย่างงุนงง ฝ่ายเพื่อนเองก็งงไม่แพ้กัน แต่พอกระจกรถเลื่อนลงทั้งคู่ก็หายข้องใจ
“จะกลับบ้านใช่มั้ย ขึ้นรถสิ จะไปส่ง”
เสียงเข้มบอก นัยน์ตาคมมองหน้าหวานของน้องชายเพื่อนอย่างให้ความสนใจ
“สวัสดีครับพี่แซท ขอบคุณนะครับที่ใจดีจะไปส่ง แต่ไม่เป็นไรครับ พวกผมกลับบ้านเองได้ เดี๋ยวรถเมล์ก็มาแล้ว”
บอกปัดอย่างสุภาพด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขึ้นมาเถอะ ยังไงก็ผ่านแถวนั้นอยู่แล้ว ไปด้วยกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา”
ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธ
พอดีกับที่เสียงบีบแตรรถเมล์ดังไล่ เด็กหนุ่มทั้งสองคนเลยลนลานมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็ยอมเปิดประตูก้าวขึ้นรถด้วยกลัวว่ารถเมล์คันใหญ่จะบีบแตรไล่อีกรอบ
“บ้านพี่แซทอยู่ทางเดียวกับบ้านผมเหรอฮะ”
หันไปถามคนขับเมื่อรถติดไฟแดงอยู่
“คนละทาง”
“อ้าว”
หันไปมองเพื่อนที่นั่งเบาะหลังอย่างขอความเห็น แต่อีกฝ่ายกลับตีหน้านิ่ง
“ทำไม คนละทางแล้วไปส่งไม่ได้หรอ”
เจ้าของรถหันไปถาม กระตุกยิ้มมุมปากมองสบนัยน์ตากลมใส
“ได้สิครับ ผมแค่งง ตอนแรกพี่แซทบอกว่ายังไงก็ผ่านทางบ้านผมอยู่แล้ว แต่เมื่อกี้ผมถาม พี่แซท
บอกอยู่คนละทาง”
ยิ้มเจื่อน กลัวว่าเพื่อนพี่ชายจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่อยากให้ไปส่ง
“ต้าร์ โทรศัพท์ เดี๋ยวลงรถแล้วลืม”
เฟียซส่งโทรศัพท์มือถือให้ แวบนึงที่ต้าร์หันมารับโทรศัพท์ไป สายตาคมดุจากเจ้าของรถเขม่นมองมา พอไฟเขียวแล้วรถเคลื่อนตัวออก เฟียซลองมองไปที่กระจกหน้าแล้วก็เจอกับสายตาเดิมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว เจ้าตัวตีมึนเมินหน้าหนีทำทีเป็นมองวิวนอกรถ
“กลับบ้านเองตลอด ไอ้เนสไม่มารับหรอ”
“ครับ พี่เนสให้ผมกลับบ้านเอง แค่นั่งรถเมล์ต่อเดียวก็ถึงบ้านแล้ว ไม่ลำบากอะไร แต่ถึงต้องนั่งหลายต่อ พี่เนสก็ให้ผมกลับเองอยู่ดี”
ยิ้มตอบ ไม่ใช่ว่าพี่ชายไม่เป็นห่วง แต่เขาต้องการสอนให้รู้จักมีความรับผิดชอบตัวเอง สอนให้รู้จักเดินทางด้วยตัวเอง ถ้าแค่เรื่องกลับบ้าน ยังกลับเองไม่ได้ ต่อไปจะมีปัญญาหาเลี้ยงตัวเองได้ยังไง
“แล้วเพื่อนล่ะ บ้านอยู่แถวไหน”
ถามพลางเหลือบมองกระจก
“บ้านเฟียซอยู่ก่อนถึงซอยบ้านผม3ป้ายรถเมล์ครับ ใกล้ถึงแล้วผมจะบอก”
ตอบแทนเพื่อนก่อนหันไปมอง ส่งยิ้มกว้างให้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสายตาคมดุดันจากเจ้าของรถมองมาด้วยความไม่พอใจ
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งมองตรงไปเบื้องหน้าออกอาการเกร็งจนคนขับสังเกตได้ หลายครั้งที่หันมามองคล้ายจะเอ่ยปากพูดคุยด้วยแต่สุดท้ายก็เงียบไป คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างสงสัยในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย ปกติเวลาเจอกันเด็กหนุ่มจะยิ้มร่าเริง แต่ครั้งนี้กลับดูเงียบไป หรือว่าไม่พอใจที่ต้องขึ้นรถมากับเขา?
“ช่วยจอดตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าด้วยครับ”
เสียงดังมาจากเบาะตอนหลัง ดึงสติให้เจ้าของรถชะลอความเร็ว
“จะลงตรงนี้เหรอ ไม่ให้พี่เขาเข้าไปส่งในซอยล่ะจะได้ไม่ต้องเดินไกล”
“ไม่เป็นไร เกรงใจพี่เขา ลงตรงนี้แหละ”
รถจอดเทียบหน้าป้ายรถเมล์ เฟียซเปิดประตูก้าวลงจากรถ
“ขอบคุณครับ”
ผงกศีรษะขอบคุณเจ้าของรถแต่อีกฝ่ายไม่ได้หันมามอง
“เจอกันพรุ่งนี้”
เสียงใสบอกเพื่อนพลางโบกมือลา เฟียซพยักหน้าให้ก่อนปิดประตู รถขับออกไปไกลสายตา หากคนที่เพิ่งลงจากรถยังยืนอยู่ที่เดิม ในใจหวนคิดถึงท่าทีของเจ้าของรถหรู
ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่คิด
“เอ่อ…พี่แซทครับ เรื่องเมื่อวานก่อน ผม…เอ่อ…ผม…”
“มีอะไรก็พูดมา”
ตัดสินใจจอดรถเทียบเข้าข้างทาง หันไปมองเด็กหนุ่มที่ทำท่าอ้ำอึ้งพูดจาตะกุกตะกักอย่างจริงจัง
“ผมขอโทษนะครับที่แกล้งพวกพี่ พอดีวันนั้นคุณป้าแม่บ้านท่านทำทุเรียนกวน ผมเลยเข้าไปช่วย แต่ช่วยไปช่วยมาครัวเละ คุณป้าก็เลยไล่ผมออกมา”
ท้ายประโยคเสียงแผ่วอย่างอับอาย ผิดกับคนฟังที่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างรู้สึกชอบใจปนเอ็นดูในความซุกซน อยากเข้าไปช่วยแต่กลายเป็นเข้าไปทำครัวเละซะงั้น เด็กจริงๆ
“ไม่เป็นไร แค่เสื้อเปื้อน”
บอกอย่างไม่ใส่ใจ เพราะไม่เคยคิดจะโกรธ
“จริงนะครับ พวกพี่ไม่โกรธผมใช่มั้ย”
“ไม่โกรธ”
ได้ยินคำยืนยันก็ยิ้มได้ อาการเกร็งตั้งแต่ขึ้นรถมาก็พลอยหายไปด้วย
“ขอบคุณนะครับ”
ยิ้มบอก ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ตอนแรกก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธที่เล่นพิเรนทร์เอาทุเรียนเละๆไปป้ายเสื้อ เลยลังเลไม่กล้าถาม แต่พอได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่โกรธก็ดีใจ เพราะจุดประสงค์ที่แกล้งไปก็เพื่อต้องการอยากเป็นมิตรด้วย
แซทถือโอกาสเอื้อมมือไปลูบผมนุ่ม ส่งความรู้สึกผ่านทางสายตาให้น้องชายเพื่อนอย่างไม่ปิดปัง เด็กหนุ่มก็ยิ้มรับสัมผัสอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ได้คิดอะไรไปไกลเกินกว่าคำว่าพี่ชาย ผิดกับอีกฝ่ายที่กำลังคิดว่า
ยิ่งได้อยู่ใกล้ ได้พูดคุยกัน ความรู้สึกมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากที่เอ็นดูก็เริ่มชอบ จากชอบก็ยิ่งชอบมากขึ้น
“เอ่อ…งั้นเรารีบกลับบ้านกันเถอะครับ พี่แซทจะได้ไม่เสียเวลา”
“ไม่เป็นไร ไม่รีบ”
ตอบง่ายๆ ขับรถต่อไปอย่างสบายอารมณ์ จู่ๆก็นึกอยากให้ถนนมันยาวเป็นพันไมล์ เพื่อที่ได้ยืดเวลาออกไปนานๆ
มาถึงที่หมาย รถจอดที่หน้ารั้วบ้าน เด็กหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัย มองเข้าไปในบ้าน ไม่เห็นรถพี่ชายอยู่ก็ขมวดคิ้ว
คงกำลังขับรถมา
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง พี่แซทจะเข้าบ้านก่อนมั้ยครับ”
หันไปยกมือไหว้ขอบคุณในความมีน้ำใจ พลางเอ่ยชวนด้วยความหวังดี เพื่ออีกฝ่ายจะหิวน้ำหรืออยากทานกาแฟ
“ก็ดี”
ตอบรับ มองใบหน้าหวานก่อนที่เด็กหนุ่มจะลงจากรถไปเปิดประตูรั้ว พอขับรถเข้ามาจอดเรียบร้อยเจ้าของบ้านก็ยังมีน้ำใจยืนรอด้วยรอยยิ้มสดใส ต้องย้ำเตือนตัวเองไม่ให้เผลอตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายเกินสมควร
เดินเข้าบ้านพร้อมกัน ร่างสูงก็ลอบมองเสี้ยวหน้าหวานไปหลายรอบ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกชอบกับทุกส่วนประกอบบนใบหน้าเรียวเล็ก เจอเด็กผู้ชายหน้าตาดีมาก็มาก แต่ยังไม่มีใครสะดุดตาเท่าเด็กคนนี้ ทั้งรูปร่างหน้าตาอีกทั้งนิสัย เหมือนมีแรงดึงดูดให้เขาสนใจจนไม่สามารถละสายตาไปได้
“พี่แซทนั่งรอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้ หรือพี่แซทอยากดื่มกาแฟ”
หันไปถามเมื่อเดินมาถึงห้องรับแขก
“แค่น้ำเปล่าก็พอ”
บอกพลางจ้องที่ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน จู่ๆความคิดนึงก็พุ่งพรวดเข้ามา ‘น่าจูบ’
“งั้นรอแป็ปนึงนะครับ”
เจ้าของบ้านยิ้มตอบ เดินตรงไปที่ห้องครัว ทิ้งให้คนรอมองตามหลังจนลับสายตา
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดัง เจ้าตัวหยิบออกมาดู พอเห็นชื่อคนโทรเข้ามาก็ทำหน้าเซ็งก่อนกดรับ
“ครับแม่”
“แซทอยู่ไหน แม่มีธุระด่วนอยากให้แซทช่วย”
“ธุระด่วนอะไร”
“เอาน่า รีบกลับบ้าน มาถึงแล้วแม่จะบอก”
“น่าเบื่อ”
“แซท นี่แม่นะ”
“รู้แล้ว จะรีบไป แค่นี้นะ”
ตัดสายอย่างหงุดหงิด ยัดเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป่ากางเกงตามเดิม หันไปมองทางที่เจ้าของบ้านหน้าหวานเดินไปอย่างรอคอย ไม่นานเจ้าตัวก็เดินยิ้มเข้ามาพร้อมถือถาดที่มีแก้วน้ำกับจานขนม
“นี่ครับน้ำ ส่วนนี่ขนมสอดไส้ คุณป้าท่านทำเมื่อเช้า อร่อยนะครับ พี่แซทลองชิมดู”
วางแก้วน้ำไว้ตรงหน้าตามด้วยจานขนม
“ขอบใจ”
บอกก่อนยื่นมือออกไปหยิบช้อนตักขนมเข้าปาก ด้วยไม่อยากให้เด็กหนุ่มเสียน้ำใจแม้ตัวเองจะไม่ชอบทานขนมหวานก็ตาม ปกติไม่ใช่คนที่จะรักษาน้ำใจใครแม้กระทั่งคนในครอบครัว แต่กับคนนี้ไม่ใช่
“เป็นไงครับ อร่อยมั้ย”
ถามพลางจ้องมองสีหน้าคนกินอย่างลุ้นในคำตอบ
“อร่อย”
คำตอบสั้นๆแต่ทำให้คนฟังคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจแทนคุณป้าแม่บ้านของตน
“ต้องกลับแล้ว อยู่บ้านดีดี”
บอกก่อนหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มล้างคอ
“อ้าว จะกลับแล้วหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
ร่างสูงลุกขึ้นพยักหน้าให้ เดินนำออกไป มาถึงรถร่างเล็กก็หยุดยืนส่งยิ้มให้
“ขับรถดีดีนะครับ”
แซทมองสบนัยน์ตากลมใสโดยไม่เอ่ยตอบอะไร ขึ้นรถปิดประตูสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป มองไปที่กระจกข้างก็เห็นว่าเด็กหนุ่มยังยืนยิ้มพร้อมโบกมือให้
“ยิ้มเก่งฉิบ”
--------------------------------------------------------------------------------------
เอาไป 50% ก่อนนะคะ
เพราะถ้ารอ 100% คงอีกนาน
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และการติดตามมากๆค่ะ
เห็นคอมเมนท์บางคนบอกอยากให้เก๋เพิ่มบทพี่แซทหน่อย
จากที่อ่านคอมเมนท์มา ดูเหมือนแซทจะมีแฟนคลับเยอะกว่าควินนะ
ไปเจอในทวิตเตอร์ก็เห็นคนอ่านบอก พี่ควินต้องเป็นพระเอกแน่เลยเพราะเห็นเก๋เอารูปควินขึ้นดิส
ขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะคะว่าไม่ใช่ เรื่องนี้ก็อย่างที่ทราบกันว่าจบไม่แฮปปี้ เพราะฉะนั้นไม่มีพระเอกหรอกค่ะ
*วิ่งหลบรองเท้า* เรื่องนี้คือ 3P ความหมายของ 3P ก็ชัดเจนอยู่แล้วเนอะ
ควินกับแซทมีบทบาทเท่าๆกันนะคะ เก๋ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากว่านะ
พยายามเฉลี่ยบทให้เท่าๆกัน
ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามเรื่องนี้กันอยู่ แม้คนแต่งจะหาย(หัว)ไปนานก็ตาม
เวิ่นเยอะแระ อ่านให้สนุกนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ