Chapter 11
ข้อตกลง
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเป็นเรียกว่าอาการจิตหลุดหรือเปล่า ตั้งแต่มาถึงคณะผมก็ยังไม่ได้ยินอะไรที่พี่น้ำตาลพูดกับผมได้ชัดถ้อยชัดคำเลยสักประโยค เพราะสิ่งที่กระทบเข้าโสตประสาทของผมกลับถูกสมองตีความแล้วแปลความหมายเป็นเสียงหึ่ง ๆ ของปีกผึ้งไปหมด มารู้ตัวอีกทีสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ก็คือยืนนิ่งๆ ให้พี่น้ำตาลใช้สายวัดตัวมาทาบตามเอวตามแขนขาผมไปเรื่อย ๆ จนดูเหมือนเขาจะพอใจแล้วจึงหยุดการกระทำ แล้วเปล่งเสียงหึ่ง ๆ ออกมาอีกครั้ง
“นิวเยียร์... นิวเยียร์!” พี่น้ำตาลตะโกนสุดเสียง
“คะ...ครับ” ผมตะโกนตอบกลับไปเสียงสั่นพรางตาเบิกโพลงด้วยความตก พลางสัมผัสได้ถึงแรกเขย่าจากไหล่ของผมทั้งสองข้างจนผมหัวคลอนไปตามแรงเขย่า ก่อนที่พี่น้ำตาลจะรีบปล่อยมือเพราะตกใจรีแอคชั่นจากผม
“นิวเยียร์ไม่สบายอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ให้พี่พาไปหาหมอไหม” พี่น้ำตาลถามด้วยความเป็นห่วงที่ดูแล้วคงไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแน่ๆ
“คือผม...”
“อย่าบอกว่าไม่เป็นอะไร” พี่น้ำตาลดักทางผมไว้ “นิวเยียร์เราดูไม่สบายจริงๆ นะตั้งแต่มาถึงแกก็ไม่ได้ไว้พวกพี่เหมือนอย่างเคย ไม่แม้แต่จะทักทาย พี่พูดอะไรก็ไม่ตอบเล่าอะไรให้ฟังจะตลกจะเศร้าก็ไม่มีการตอบสนอง แขกลากไปไทยลากมาแกก็ทำเหมือนตัวเองเป็นหุ่นไม่มีชีวิต” พี่น้ำตาลพูดอย่างจริงจังพลางจับผมให้หันหน้าไปหาเขาจนผมอดจะรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงขนาดนี้
ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดีได้แต่ก้มหน้าก่อนที่จะตระหนักขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายได้สบายใจขึ้นบ้างว่าผมยังมีชีวิตอยู่ “พอดีวันนี้ผมมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะครับเลยไม่ค่อยมีสมาธิต้องขอโทษพี่น้ำตาลด้วยนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”
“เห้อ...ไอ้เด็กคนนี้จะมาขอท่งขอโทษอะไรกันใครๆ ก็มีเรื่องไม่สบายใจได้ทั้งนั้นแหละ” พี่น้ำตาลพูดอย่างไม่ได้ตัดสิน ทำให้ผมเชื่อว่าเขาเข้าใจผมจริงๆ “แต่วันนี้แกดูจะเจอเรื่องมาหนักจริงๆ นั่นแหละ งั้นวันนี้ไปพักเถอะไม่มีอะไรแล้ว เพราะพี่ก็วัดตัวแกไปแล้วพี่จะได้ส่งให้ฝ่ายคอสตูม ว่าแต่ปีนี้ตรีมอะไรนะ” พี่น้ำตาลคุยกับผมเสร็จก็หันไปถามพี่โบว์ที่กำลังเก็บของอยู่
“ได้ยินพี่อาร์บอกว่าตรีมเทพเจ้ากรีกนะคะ” พี่โบว์ตอบพลางคิดให้แน่ใจ
“อ่อแล้วชุดล่ะจะส่งมาให้ฟิตติ้งวันไหนอีกสามวันก็ถ่ายแล้วนี่” พี่น้ำตาลถามอย่างจริงจัง
“เขาบอกว่าอีกสองวันนะคะจะส่งมาให้พี่เลี้ยง แล้วให้เราลองแต่งหน้าปรับลุคน้องดู” พี่โบว์ลุกขึ้นมาคุยอย่างจริงจังบ้าง
“ก็ดีแล้วชุดนิสิตล่ะจะถ่ายวันเดียวกันป่ะ” พี่น้ำตาลถามต่อทำให้ทั้งสองคนตอนนี้หันหน้ามาคุยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะสักที
“ชุดนิสิตได้ยินว่าถ่ายวันเดียวกันนะคะ เป็นชุดนิสิตตอนเช้าแล้วก็ชุดคอนเซ็ปตอนบ่าย” พี่โบว์บอกทำให้พี่น้ำตาลพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อือ งั้นอีกสองวันเรามีนัดฟิตติ้งชุดกันนะนิวเยียร์” พี่น้ำตาลบอกเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ได้ไปไหนถึงแม้ว่าพี่เขาจะอนุญาตแล้ว
“เอ่อ...โทษนะครับชุดอะไรเหรอครับ แล้วทำไมผมต้องมาลองชุดด้วย” ผมถามเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าทั้งสองคุยเรื่องอะไรกันอยู่
“เอา ก็เราเป็นเดือนสาขาก็ต้องมาลองชุดใส่ถ่ายแบบโปรโมทดาวเดือนน่ะสิถามได้” พี่น้ำตาลตอบเสียงเรียบอย่างไม่ถือสา
“อ่อผมได้เป็นเดือนสาขานี่เอง ฮ่ะ! ว่าไงนะครับผมได้เป็นเดือนสาขางั้นเหรอ” ผมร้องขึ้นเสียงดังจนพี่น้ำตาลกับพี่โบว์ต้องเอามือมาปิดหูเอาไว้
“อย่าบอกนะว่าเราไม่ได้ฟังที่พี่บอกว่าเราได้เป็นเดือนสาขาน่ะ งั้นก็แปลว่าที่พี่พูดกับเราทั้งหมดไม่ได้พังเลยเหรอ” พี่น้ำตาลถามอย่างกลัดกลุ้มพลางทำท่าจะเป็นลม
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนให้เขาโดยไม่ได้มีคำตอบใดแต่ว่าในใจกลับกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน ทำไมกันนะทำไมถึงต้องเป็นผม คิดมาแล้วผมก็เริ่มจะคลื่นไส้ขึ้นมาอีกแล้วที่รู้ตัวว่าเองต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนทั้งยังเป็นการแข่งขันไปในตัวอีกผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร มันไม่ต่างอะไรจากการเอาลาแก่ๆ มายืนบนเวทีชัดๆ เพราะผมคงทำอะไรให้เกิดความบันเทิงใจไม่ได้นอกจากยืนโง่ๆ อยู่บนเวทีเท่านั้น
“เดี๋ยวก่อนนะครับพี่น้ำตาลผมว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ คือผมไม่มีทางจะเป็นเดือนได้เลย...” ผมบอกออกไปตามความจริงจากมุมมองของคนที่รู้จักตัวเองมานานมากกว่าทุกคนในห้องนี้
“ไม่ผิดหรอกพี่อาร์เคาะแล้วไม่มีผิดแน่นอน” พี่น้ำตาลบอกอย่างหนักแน่นนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเปราะบางจนจะเป็นลมซะให้ได้ “นั่นไงพี่ว่าเราไม่สบายจริงๆ แหละเรารีบกลับเถอะหรือจะให้พี่พาไปส่ง” พี่น้ำตาลถามอย่างห่วงๆ พลางลืมเรื่องที่ผมติงไปแล้วว่าผมไม่มีทางเป็นเดือนได้
อยากจะบ้าตาย!
“ครับ” ผมตอบอย่างจำยอมต่อโชคชะตาเพราะรู้สึกว่าเถียงต่อคงไม่ได้เพราะรู้สึกเหนื่อยเต็มทนแล้วอีกอย่างในเมื่อพวกเขาเลือกผมแล้วแปลว่าพวกเขาไว้ใจผม ผมไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวังแม้ว่าผมจะไม่ได้อยากทำก็ตามยังไงการที่ทำให้คนรักก็ดีกว่าการทำให้คนเกลียดอยู่แล้ว
ผมยกมือไว้คนทั้งสองพลางเอ่ยปากลาแล้วจึงรีบเดินไปที่ประตูแต่ทันใดนั้นก็มีใครเปิดพรวดเข้ามาจนเขาแทบจะชนเข้ากับผมแต่ก็หยุดไว้ทัน
“เอ่าใบพัดมาช้าจัง” พี่น้ำตาลทักอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไรแล้วล่ะพอดีพวกพี่วัดตัวนิวเยียร์เสร็จแล้วเรากลับไปเลยก็ได้” พี่น้ำตาลบอกอย่างใจดี
“อ่อ งั้นดีเลยครับพอดีผมมีอะไรอยากจะเทรนด์ให้นิวเยียร์สักหน่อยงั้นผมขอตัวนะครับ” ว่าแล้วใบพัดคว้าเข้าที่ข้อมือผมพลางออกแรงดึงโดยที่ไม่ได้สนใจคนอื่นในห้องเลยราวกับไม่ได้ตั้งใจจะมาช่วยอะไรตั้งแต่แรกอย่างไงอย่างงั้น
ใบพัดฉุดกระชากลากถูผมออกมาได้ไม่ไกลก็ปล่อยมือผมออก พลางหันมามองหน้าผมราวกับเสียใจที่ทำอะไรโดยพลการแบบนี้ลงไป ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้ไหมว่าผมรู้สึกกลัวกับการกระทำของเขามากแค่ไหน
“ขอโทษ” ใบพัดบอกออกมาทั้งที่ไม่ได้มองหน้าผม
“มีอะไร” ผมถามเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“เปล่าแค่อยากจะคุยด้วย” ใบพัดตอบราวกับสิ่งที่เขาจะพูดไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ท่าทางของเขาดูลุกลี้ลุกลนเต็มที
“เรื่องอะไร” ผมถามเขาเพราะไม่รู้ว่าผมกับเขามีเรื่องต้องคุยอะไรกัน
“โถ่อ๊อกกี้ ก็กระเป๋าของนายไง เป็นไปได้ยังไงกันที่คนเก็บได้กระตือรือร้นมากกว่าเจ้าของเนี่ย” ใบพัดดึงสติของผมให้กลับมาจำได้เพราะตั้งแต่เห็นเขาพุ่งเข้ามาในห้องผมก็คิดแต่จะหนีเลยลืมที่จะคิดถึงเรื่องกระเป๋าไปเลย แต่สรรพนามที่เขาใช้เรียกผมนี่สิมันกลับแสลงหูจนเกินทน
“อย่าเรียกเราแบบนั้นนะ” ผมพูดออกไปเสียงเขียวแม้สำหรับใบพัดจะไม่ต่างจากลูกแมวขู่ก็ตาม
“ถ้าไม่ให้เรียกอ๊อกกี้จะให้เรียกว่าอะไร นว เหรอ” ใบพัดพูดเสร็จผมก็รีบเอามือไปปิดปากเขาไว้อย่างลืมตัวจนไม่รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังผลักใบพัดเข้าชิดกำแพงแล้วเอามือปิดปากเขาในท่าเขย่งเท้าอยู่ ทำให้ผมสบตากับใบพัดเข้าอย่างจังก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวแล้วรีบผละออก แต่ไอ้โจทก์ตัวดีของผมกลับไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆเพราะเขากลับเอามือมาโอบเอวผมไว้ทำให้เราสัมผัสกันแนบแน่นจนผมรู้สึกว่ามันล่อแหลมเต็มทน ผมรู้สึกราวกับมีคนเอาไฟมาสุมไปทั่วใบหน้า ความร้อนค่อยๆ ไล่ลงมาตั้งแต่ใบหูตลอดคอทำให้ผมรีบใช้มือผลักใบพัดออกด้วยแรงทั้งหมดที่มีทันที
“โอ้ย!” คนเจ้าเล่ห์ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดแต่มันกับเหมือนเสียงของสัตว์ร้ายสำหรับผม
ดีเจ็บซะบ้างก็ดีจะได้รู้ว่าเวลาทำคนอื่นเขาเจ็บยังไง ความสะใจยังไม่ทันหายก็ถูกแทนที่ด้วยความกลัวทันทีเมื่อใบพัดหันหน้าขึ้นมามองผมอย่างเอาเรื่อง นี่ผมจะโดนฉีดน้ำใส่อีกมั้ยนะ
“บ้าเอ้ยผลักมาได้” เขาสบถออกมาราวกับไม่จริงจังนักแต่สำหรับผมมันกลับน่ากลัวเอาซะมากๆ แม้จะรู้สึกว่าสมน้ำหน้าแต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ควรทำอะไรแบบนี้ลงไปเลย
“ไหนว่าจะคุยเรื่องกระเป๋าไงเอามาสิ” ผมรีบเบี่ยงประเด็นทันทีเพราะไม่อยากให้ใบพัดคิดเรื่องที่ผมทำร้ายเขานานนัก
“จะพูดตรงนี้จริงดิแถวนี้คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะจะตายไม่กลัวคนมาได้ยินเหรอ” ใบพัดถามราวกับไม่ได้โกรธอะไรผมมากนักเพราะเขายังส่งหน้ายียวนปนเจ้าเลห์มาให้ผมได้อยู่ ทำใหผมมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็อดที่จะคล้อยตามไม่ได้ “งั้นเอางี้ไปคุยกันในรถชั้นมั้ย”
“ไม่!” ผมตอบเสียงเฉียบด้วยความมั่นใจ
“งั้นก็ได้คุยตรงนี้ก็ได้ฉันก็ไม่ติดเหมือนกัน” ใบพัดพูดอย่างไม่ยี่หระพลางพูดต่ออย่างเร็วๆ “เรื่องหน้าเก่า...”
“เออ!” ผมรีบตัดบทของเขาทันทีแล้วเขาก็พูดเสียงดังมากทำให้ผมประหม่าแล้วกลัวว่าจะมีคนมาได้ยินสิ่งที่เราคุยกันเข้า
“เออ อะไรเหรอครับ” ใบพัดถามอย่างพาซื่อก่อนจะส่งสายตาใสแป๋วมาให้ผม
“เออ กะ ก็ไปรถสิ” ผมตอบอย่างอายๆ เพราะสุดท้ายก็ต้องแพ้ให้ใบพัดทุกที
เมื่อมาถึงรถของใบพัดเขาก็เปิดประตูให้ผมทันทีราวกับกลัวผมจะไปจับประตูรถเขาทำให้เปื้อนอย่างไงอย่างงั้นก่อนที่จะปิดให้แล้วรีบวิ่งไปฝั่งคนขับ
เมื่อใบพัดขึ้นมาบนรถบรรยากาศในรถก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปทันทีจากที่อึดอัดอยู่แล้วกลับทำให้ผมอึดอัดเข้าไปอีกนอกจากอยู่ในถิ่นของศัตรูแล้วยังอยู่สองต่อสองอีก นี่ผมเลือกอะไรได้บ้างเนี่ย แต่อีกคนที่นั่งอยู่ข้างผมนี่สิกลับนั่งยิ้มหน้าระรื่นราวกับเห็นหน้าบูดๆ ของผมเป็นใบหน้าของตัวตลก
“มีอะไรก็รีบพูดมาสิ” ผมรีบเข้าประเด็นเพราะอากาศในนี้เริ่มจะเป็นมลพิษจากใบหน้าของคนข้างๆ
“ทำไมถึงได้ใจดำอย่างนี้นะ นี่ฉันเป็นเพื่อนสมัยเรียนของนายนะไม่คิดจะดีใจที่ได้เจอหรือถามสารทุกข์สุกดิบอะไรกันก่อนหรือไง เฮ้อ...คนเราทำไมถึงได้แล้งน้ำใจอย่างนี้น้า” ใบพัดพูดออกมาราวกับผมเป็นคนใจไม้ไส้ระกำที่ไม่มีเยื่อใยต่อคนรอบข้างโดยที่ไม่คิดเลยว่าเขาทำอะไรกับผมไว้บ้าง ผมว่าสิ่งที่ผมควรถามเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานไม่ใช่คำว่า ‘เป็นไงสบายดีมั้ย’ หรือ ‘ที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง’ สิ่งเดียวที่ผมอยากจะถามเขาที่สุดหลังจากที่เจอกันครั้งล่าสุดคือ ‘ทำไมมันยังไม่ตายวะ’ ซะมากกว่า
“ก็เราเห็นแกสบายดีเลยไม่ได้ถาม” ผมเลือกใช้คำสุภาพแก้ตัวไปแทนคำว่า ‘ไม่ถามคำว่าทำไมยังไม่ตายก็บุญของแกแล้ว’ “รีบเข้าเรื่องเถอะ”
“ก็ได้” ใบพัดไม่ได้ลีลาอีกต่อไป
“จะเอาเท่าไหร่” ผมถามเข้าเป้าทันที
“เฮ้อ...ทำไมชอบคิดว่าฉันร้อนเงินอยู่เรื่อยเลยนะ” ใบพัดบ่นออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“แล้วจะเอาอะไร” ผมถามอย่างยอมให้คนตรงหน้า
“ได้ทุกอย่างมั้ยล่ะ” ใบพัดถามพลางส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยมาให้ผมจนผมอดที่จะขนลุกด้วยความสยองไม่ได้ นี้เขาจะให้ผมขายอวัยวะให้มั้ยนะ เช่นไตอะไรพวกนี้
“ก็บอกมาก่อน” ผมบอกเพื่อดักทางคนเจ้าเล่ห์
“ได้ งั้นต่อไปนี้ไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน” ใบพัดพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
นั่นไงว่าแล้วไอ้หมอนี่หลอกแดกฟรีชัวร์
“เอาแค่เงินไปได้มั้ยไม่ต้องไปนั่งด้วยกันหรอกอึดอัดซะเปล่าๆ” ผมยื่นข้อเสนอแทนคำตอบว่า ‘ไม่มีทาง’
“สองไปปลดบล็อกฉันซะแล้วห้ามบล็อกอีกเด็ดขาด” ใบพัดพูดราวกับไม่ได้ยินคำค้านของผมแต่ในสิ่งที่พูดออกมากลับใส่อารมณ์เป็นพิเศษราวกับไม่พอใจเรื่องนี้อย่างมากทำให้ผมอดจะยิ้มแห้งและขาสั่นไม่ได้ “สุดท้ายห้ามกลัวฉันแล้วเวลาโดนแกล้งอะไรไปก็รู้จักสู้บ้างไม่ใช้ยอมไปทุกอย่าง” ใบพัดบอกอย่างจริงจัง
“ฮ่ะ! ให้เราเนี่ยนะสู้แก” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “แกกล้าสาบานมั้ยล่ะว่าจะไม่ทำร้ายเรากลับ”
“ฉันไม่มีวันทำร้ายนาย” ใบพัดพูดเสียงหนักแน่นราวกับว่าคำพูดนั้นเชื่อถือได้จริงๆ จนผมแอบหวั่นใจ
“เพื่ออะไร” ผมถามในสิ่งที่ผมสงสัยออกไปเพราะข้อสุดท้ายไม่เหมือนกับสองข้อแรกที่เขาขอเพราะสองข้อแรกจะทำให้เขาได้กินข้าวฟรีแล้วโขกสับผมได้ตลอดเวลาแต่ข้อสุดท้ายเนี่ยมันดูแปลกๆ เขาคิดว่าอะไรจากข้อสุดท้ายงั้นเหรอ...
“โอกาสไง” ใบพัดตอบพลางมองเข้ามาในตาผมอย่างที่ไม่คิดจะละสายตา จนทำให้ผมนิ่งกับคำตอบของเขา ผมฟังไม่ผิดใช่มั้ยโอกาส โอกาสงั้นเหรอ โอกาสของอะไรล่ะ...