บรรยากาศอาหารเย็นในค่ำวันนี้คึกคักกว่าวันก่อน ๆ เสียงการพูดคุยก็มากขึ้น อาจเพราะมีสมาชิกเพิ่มเข้ามา แต่ผมกับเขายังไม่ได้พูดกันสักคำตั้งแต่ทางนั้นมาถึง ไม่มีช่องว่างให้ได้พูด เพราะแทบไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย
“คิดถึงอาหารไทยแล้ว!”
“คิดถึงส้มตำ!”
ไอ้เด่นกับไอ้รุ่งโวยวาย วันนี้เราตั้งโต๊ะกันที่ด้านนอก ตรงสวนหลังบ้านริมสระว่ายน้ำ...
“มึงเพิ่งมาเองไม่ใช่เรอะ” ไอ้เข้มบ่นไอ้รุ่ง
“แฮะ ๆ” คนถูกบ่นยิ้มเขิน
“เอาตำผลไม้แทนได้ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ทำให้” สมุทรที่กำลังช่วยพายุจัดโต๊ะอยู่เสนอ
“ได้ครับ” พวกมันขานรับทันควัน
“คุณไฟจะดื่มอะไรก่อนดีครับ” พี่ธานถามผมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ อีกฝ่ายเพิ่งจัดแจงโต๊ะเครื่องดื่มที่แยกไปอีกโต๊ะหนึ่งเสร็จพอดี เมื่อที่นี่ไม่มีแม่บ้านอยู่ประจำก็เลยจำเป็นต้องหยิบจับกันเอง
“........” ผมนิ่งมอง ใช้ความคิดอยู่ครู่
“มะนาวโซดามีไหม” ผมย้อนถามกวนไปอย่างนั้น นึกอยากกิน แต่ก็เห็นว่าบนโต๊ะเครื่องดื่มนั้นไม่มีสิ่งที่ผมต้องการด้วย
“ได้ครับ” อีกฝ่ายยิ้มรับไม่ปฏิเสธ
“สมุทร พี่วานทำน้ำมะนาวโซดาใฟ้คุณไฟหน่อยสิ” พี่ธานส่งไม้ต่อ
“ครับ” สมุทรหันมาผงกหัวรับน้อย ๆ ก่อนเดินกลับเข้าบ้านไป
“รับปากแล้วก็ทำเองสิ” ผมว่า
“คิดว่าอีกฝ่ายทำน่าจะถูกใจกว่าน่ะครับ” อีกฝ่ายตอบ
“........” ผมเงียบ ช้อนตาขึ้นมองหน้าพี่ใหญ่ที่ยังคงยิ้มอย่างใจเย็น
“พี่ยังไม่รู้สินะ ว่าตัวเองจะถูกหักปันผลห้าเปอร์เซ็นต์ของปีนี้” ผมแสยะมุมปากเล็กน้อย
“ครับ?!” พี่ธานอุทานงง ๆ
“โบนัสไอ้พวกนี้ปีนี้พี่มีหน้าที่จ่าย สมเหตุสมผลไหมครับ” ผมย้อนถามถึงบทลงโทษที่อีกฝ่ายควรได้รับ คนตรงหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง
“ครับ แล้วแต่คุณเลย” อีกฝ่ายผลิยิ้ม
“อา ไม่สนุกเลย” ผมเบือนหน้าบ่นเซ็ง ๆ ที่คนตรงหน้ายอมรับง่ายเกินไป
“หึ ๆ แล้วคุณดินโทรมารึยังครับวันนี้”
“โทรแล้ว น่ารำคาญจะตาย ให้มันอยู่นั่นแหละ” ผมบ่นพลางถอนหายใจ ไอ้ดินยังอยู่เซี่ยงไฮ้กับยูและเฮียกานต์ ซึ่งยังไม่มีแผนที่จะไปรับกลับมา
มุมย่างบาร์บีคิวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะที่ผมนั่งอยู่วุ่นวายไปด้วยพวกไอ้เด่น โต๊ะของผมกับพี่ธานแยกห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อความเป็นส่วนตัวของพวกมันและเพื่อไม่ให้บทสนทนาระหว่างผมกับพี่ธานต้องถูกรบกวนด้วย บาร์บีคิวที่ถูกปรุงสุกเรียบร้อยแล้วค่อย ๆ ทยอยนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ไม่นานนักน้ำมะนาวโซดาก็นำมาวางให้ตรงหน้าเช่นกัน
“ขอบใจ” ผมบอก อีกฝ่ายผงกหัวตอบน้อย ๆ แล้วปลีกตัวกลับไปยืนประจำที่เตาเช่นเดิม
“ใครปิดประตูไม่สนิทเนี่ยฮะ?!” พายุโวยวายลั่น หมายถึงบานประตูตรงห้องนั่งเล่นซึ่งสามารถทำให้กลิ่นปิ้งบาร์บีคิวผ่านเข้าไปในตัวบ้านได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ
“พี่สมุทรครับ” ไอ้เด่นชี้นิ้ว
“เอ๊ะ..” สมุทรชะงัก หันไปมองหน้าพายุครู่หนึ่งอย่างงง ๆ
“ขอโทษครับ” เขาผงกหัวยอมรับผิด
เพียะ!“มึงออกหลังพี่สมุทร กูเห็น” ไอ้เข้มพูดพร้อมตบหัวน้องชายไปหนึ่งที
“หึ ๆ ๆ ขอโทษครับ” ไอ้เด่นลูบหัวปรอย ๆ ยอมรับผิด
“นิสัยไม่ดีเลย ให้พี่เขาขอโทษก่อนได้ยังไง” พายุบ่น เดินมาต่อว่าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอโทษครับ” ไอ้เด่นยิ้มเจื่อน ก้มหัวขอโทษพายุกับสมุทรอีกครั้ง
“หึ ๆ” พี่ธานหัวเราะ
น้ำมะนาวโซดาถูกหยิบขึ้นจิบ รสชาติไม่เลวนัก แก้วเครื่องดื่มของผมหมดลงอย่างรวดเร็ว เดือดร้อนให้พี่ธานต้องชงเหล้าให้ อาหารที่โต๊ะผมพร่องลงช้ากว่าอีกโต๊ะหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นการกินอย่างละเลียดระหว่างพูดคุยซะมาก เพราะมีเรื่องให้คุยกันเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ อาหารค่ำจบลงดึกกว่าวันก่อน ๆ ที่มาถึงฮ่องกง ผมไม่ได้ออกปากห้ามอะไร ปล่อยให้สนุกสนานกันตามสบาย เพราะพวกมันก็ทุ่มเทกับหน้าที่ของตัวเองมาพักใหญ่แล้ว
ผมปลีกตัวกลับเข้าบ้านก่อน ตั้งใจอาบน้ำแล้วพักผ่อน เกือบ ๆ เที่ยงคืนมื้อเย็นของพวกมันก็ถูกหยุดลง พากันเก็บกวาดทำความสะอาด ปิดบ้าน ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าห้องตัวเอง ห้องนอนของผมเงียบสงบ เป็นห้องซึ่งอยู่ที่ชั้นสองและอยู่ในมุมที่ดีที่สุดของบ้านหลังนี้ ระเบียงด้านข้างตำแหน่งเตียงสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำและชายหาดที่ไกลออกไปได้ ผมนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง โคมไฟหัวเตียงเป็นจุดเดียวที่ให้ความสว่างในห้อง ยังไม่รู้สึกง่วงขนาดที่ว่าหากเอนตัวลงนอนในตอนนี้แล้วจะหลับลงได้โดยทันที
แกรก ~“อะไรของกู..” ผมพึมพำบ่นกับตัวเองทันทีเมื่อได้สติ ดันมายืนอยู่ที่ประตูห้องนอนซะอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ความคิดยังคงวนเวียนเรื่องต่อเรื่องอยู่ในหัว ประตูห้องเปิดออกแล้ว เลยตัดสินใจเดินออกมาเพื่อจะหยิบน้ำเปล่าที่ครัว รู้สึกคอแห้งอยู่เหมือนกัน
“........” ทันทีที่เดินลงมากลับต้องชะงักเพราะเห็นว่ามีคนยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงห้องนั่งเล่น แสงไฟอัตโนมัติที่ให้ความสว่างตามจุดต่าง ๆ ระหว่างทางเดินเมื่อเดินผ่าน ทำให้คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดี ผมหยุดยืน ห่างจากสมุทรคืบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะสำรวจมองเขาหัวจรดเท้า สงสัยว่ามายืนทำอะไรที่นี่ในยามวิกาลแบบนี้
“คุณอยากได้อะไรเหรอครับ” สมุทรถามขึ้นก่อน
“หิวน้ำน่ะ” ผมตอบ
“เดี๋ยวผมไปเอาให้ครับ” อีกฝ่ายตัดบทแล้วรีบตรงไปยังครัวเปิด ซึ่งส่วนนั้นเป็นที่สำหรับจัดเตรียมอาหารและเก็บเครื่องดื่มที่แยกออกจากครัวหลัก ผมรอยืนอยู่ที่เดิมจนน้ำเปล่าแก้วหนึ่งถูกนำมายื่นให้
“แล้วนายมาเอาอะไร” ผมถามถึง ยังไม่ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำมาจากเขา
“........” สมุทรไม่ตอบ จ้องมองผมอยู่ครู่ก่อนค่อย ๆ เหสายตาลงเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างเงียบอย่างนั้นอยู่สักพัก
“คุณไม่ชอบที่ผมมาเหรอครับ” เขาถามขึ้น ผมไม่ตอบ เพียงผลิยิ้มเล็กน้อยขณะจ้องมอง ก่อนเอื้อมมือออกไปเพื่อที่จะรับแก้วน้ำมา แต่ทันทีนั้นกลับถูกมืออีกข้างหนึ่งของสมุทรจับลงมาที่ข้อมือของผม ทำให้มือของเราที่อยู่ระหว่างแก้วกระทบกันจนแก้วที่ถืออยู่ขยับ น้ำที่ปริ่มแก้วนั้นหกลงพื้น ส่วนหนึ่งเปื้อนมือผมด้วย
“ขอโทษครับ” อีกฝ่ายตกใจ รีบตรงไปหยิบกระดาษทิชชูที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์ห้องครัว ผมยืนมอง ในมือถือแก้วค้างไว้อย่างนั้นจนเขานำกระดาษทิชชูมาเช็ดให้ แล้วรีบนั่งยอง ๆ ลงเพื่อเช็ดที่พื้นต่อท่ามกลางความมืดสลัวอย่างนั้น ผมเหลือบมองตามก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงเสมอเขา
จุ๊บ ~“........” สมุทรชะงัก ไม่หันมามองผมที่เพิ่งหอมแก้มเขา ผมกวาดตามองด้านข้างใบหน้านั้น คิดหาคำตอบให้ผู้ที่ถามคำถามก่อนหน้านี้
“แล้วนายล่ะ มาทำไม” ผมตั้งคำถามกระซิบกลับไป ใบหน้านั้นค่อย ๆ หันกลับมาและจ้องมองผมไม่วางตาเช่นกัน
“คิดว่าฉันควรตอบนายว่ายังไงดี” ผมยิ้มพูด ต้อนคำถามทิ้งไว้ให้เขาได้คิดก่อนลุกขึ้นยืน
“ฝันดีนะ” ผมตัดบทก่อนเดินจากมา
อา ~ ใจเต้นแรงเป็นบ้า น่าจะเพี้ยนแล้วล่ะ ตอนเห็นระเบิดยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้เลย...
..
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทุกคนพากันไปออกกำลังกายตามตาราง มีเพียงผมกับพายุที่อยู่บ้าน เสร็จจากมื้ออาหารเช้าหลังออกกำลังกายต่างก็แยกกันไป สมุทรออกไปซื้ออาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกับพายุ ส่วนพวกที่เหลือขออนุญาตออกไปเที่ยว ซึ่งผมก็อนุญาต เพราะถึงอยู่ติดบ้านไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมานอกจากเสียงดัง พี่ธานถูกบังคับลากไปกับเขาด้วยเพราะต้องไปเป็นตู้ ATM สำหรับจ่ายค่าอาหาร
“ลืมซื้อหัวหอมนี่” พายุบ่นขึ้นหลังถุงอาหารที่ถือมาถูกจัดวางลงบนโต๊ะ ผมที่นั่งอยู่ที่โซฟาตรงห้องนั่งเล่นเหลือบมอง แต่ไม่เข้าไปร่วมบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ที่เพิ่งกลับมาจากการจ่ายตลาด
“ลืมนมอัลมอนด์ของเฮียด้วย”
“เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้ครับ” สมุทรพูดขึ้น
“จะดีเหรอครับ” น้องชายผมพึมพำ มองหน้าสมุทรด้วยความลังเล
“ไม่น่าจะมีอะไรนะครับ ผมจำทางได้ครับ” สมุทรยิ้มตอบ
“งั้นก็ได้ครับ เหมือนฝนจะตกเลย พี่เอาร่มไปด้วยนะ” พายุบอก
“ครับ”
“ซื้อหัวหอม เอ่อ.. งั้นยุฝากซื้อชีสเพิ่มด้วยดีกว่า แล้วก็นมอัลมอนด์ เอายี่ห้อนี้เท่านั้นนะครับ” มันพูดพลางยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้สมุทรดูภาพประกอบ หลังจากนั้นฝ่ายที่ต้องออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้งก็ตระเตรียมของที่จะเอาไป กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าผ้าสำหรับใส่ของ ร่มและพาสปอร์ต ก่อนออกเดินทางก็ถูกพายุกำชับอีกครั้งว่าหากมีอะไรให้ติดต่อมาทันที
บรรยากาศในบ้านเงียบลงอีกครั้ง ผมลุกขึ้นตรงไปที่ห้องนอน หยิบกางเกงยีนส์มาเปลี่ยนใส่ สวมแจ็กเก็ตลวก ๆ ก่อนหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือติดมือมา
“เฮียจะไปไหน” พายุที่นั่งจัดของอยู่ทักทันที
“เดินเล่น” ผมตอบ
“เดินเล่นที่ไหน ไม่มีใครตามไปเลย”
“กูไม่ได้เป็นง่อยนี่” ผมตอบ
“ไม่ได้ เดี๋ยวพี่ธานดุ เอาคนข้างล่างไปด้วย” มันพูดเสียงแข็ง หมายถึงคนติดตามที่เฝ้าอยู่ที่ชั้นล่าง
“ครับ” ผมขานรับปัดไปที
“ครับ แปลว่าโกหก” พายุสวนทันควัน
“หึ ๆ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะ เสือกรู้ทันอีกไอ้เหี้ยนี่
“จะไปซื้อกาแฟ ไปนะ” ผมตัดบท
“เฮียอย่าไปไกลนะ!” อีกฝ่ายตะโกนไล่หลังผมที่เดินตรงไปใส่รองเท้า
“จ้า ~” ผมขานรับกึ่งประชดก่อนจากมา
การออกเดินทางของผมเพียงคนเดียวทำให้ลูกน้องที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ทำท่าจะติดตามมาด้วย แต่ถูกออกปากห้ามไว้ก่อน และเพราะวิเคราะห์ได้ว่าคนที่ต้องกลับไปซูเปอร์มาร์เก็ตจะไปทางไหน จึงเลือกเดินไปทางนั้น เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตเดียวที่อยู่ใกล้บ้านมากที่สุด เดินเท้าประมาณสองกิโลฯ
การเร่งฝีเท้าทำให้ตามสมุทรได้ทันภายในเวลาไม่กี่นาที อีกฝ่ายไม่ทราบว่าผมตามหลังมาด้วย เขาตรงเข้าไปที่ซูเปอร์ เลือกซื้อของตามที่พายุสั่งไว้ ภารกิจเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สมุทรใช้เส้นทางเดิมที่เดินทางมากลับได้ถูกต้อง ผมจึงแยกตัวออกมาอีกทางหนึ่งเพื่อตรงไปยังร้านประจำ
ครืนนนน ~“เอ้าไอ้เหี้ย ลืมเอาร่มมา” ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางบ่นกับตัวเอง แต่ไม่ทันให้ฝนได้ลงเม็ดก็ถึงร้านกาแฟก่อนแล้ว
ร้านกาแฟรีโนเวทใหม่ขนาดกลาง เป็นร้านที่เปิดมานานแล้วในย่านนี้ ตั้งอยู่ชั้น 2 ของตึก ชั้นล่างขายอาหารซึ่งมีเจ้าของเดียวกัน ทางเข้าคาเฟ่ที่ชั้น 2 ดูลึกลับและไม่ค่อยเรียกแขกเท่าไหร่นัก คือถ้าไม่ใช่ขาประจำในย่านนี้ก็สามารถเดินผ่านไปได้เลยเพราะไม่สะดุดตา เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้สไตล์วินเทจกับกลิ่นอายของร้านที่ผสมความเป็นโมเดิร์นและฮ่องกงอย่างลงตัว ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพนักงานวัยกลางคนและชาวต่างชาติที่แวะเวียนมาเป็นขาประจำ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเมื่อไหร่ที่มาพักที่บ้านหลังนี้
กาแฟเย็นถูกสั่งมาหนึ่งแก้วเพราะไม่นึกอยากกาแฟร้อน เนื่องจากดื่มแบบร้อนไปแล้วแก้วหนึ่งเมื่อเช้า บรรยากาศสลัว ๆ กับการจัดวางโต๊ะแต่ละโต๊ะให้อยู่ห่างกันระยะหนึ่งเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับลูกค้าเป็นเสน่ห์หลักของร้าน ประมาณว่า ไม่หวงพื้นที่เพื่อให้ลูกค้าอัดแน่นเป็นปลากระป๋องเพื่อเอายอดขาย
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะคะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเสียงทักใส ๆ กับคนที่เพิ่งเสิร์ฟกาแฟให้ตรงหน้า..
“อ่าว สวัสดีครับ” ผมผงกหัวยิ้มทัก เธอเป็นผู้จัดการร้านนี้ ภาษาอังกฤษดีมาก น่ากลัวนิด ๆ ก็ตรงที่ ทั้ง ๆ ที่ลูกค้าเยอะมากแต่เธอกลับจำลูกค้าประจำได้ทุกคน ผมถูกเธอจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มา เพราะทันทีที่ผมเหยียบร้านนี้เป็นครั้งที่สองก็ถูกเธอทักขึ้นว่า “คุณเพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้ใช่ไหมคะ” ได้ยินแล้วขนลุกไปหมด แต่เพราะติดใจบรรยากาศและพนักงานที่นี่ ถึงแม้จะมีคาเฟ่เปิดใหม่มากมาย แต่สุดท้ายก็มักจะมาตายรังที่นี่เสมอ
“นั่นน่ะสิครับ” ผมตอบทีเล่นทีจริง
“มาวันดีพอดีเลยค่ะ อันนี้เป็นขนมปังของทางร้าน เพิ่งลองทำให้ลูกค้าชิมวันนี้เองค่ะ เอากลับไปชิมดูนะคะ” เธอยื่นถุงกระดาษซึ่งมีขนมปังอยู่ด้านในมาให้
“ขอบคุณครับ” ผมรับมา
“ตามสบายนะคะ” อีกฝ่ายผลิยิ้มอย่างกันเอง ให้หลังผู้จัดการร้านจากไปเพียงสิบนาที ฝนด้านนอกก็เทลงมาอย่างกับใครให้คิว
กาแฟค่อย ๆ พร่องลงจนเหลือครึ่งแก้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง ฝนที่ตกหนักเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ ซาลง เสียงกริ่งที่ติดอยู่ตรงประตูร้านดังขึ้น ความอยากรู้จึงเหลือบมองไปโดยธรรมชาติ ลูกค้าที่เพิ่งมาถึงไม่ใช่ใครที่ไหน..
สมุทรเราสบตากัน อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงปากประตูหุบร่มลงแล้วนำเสียบไว้ตรงที่เก็บร่มที่ทางร้านมีให้บริการ พนักงานเอ่ยทักตามมารยาท สมุทรเดินผ่านเคาน์เตอร์ตรงมาหาผมที่โต๊ะ ผมเบือนหน้ากลับมา ถึงอย่างนั้นก็สังเกตเห็นความเก้ ๆ กัง ๆ ของคนที่มาถึง เจ้าตัวค่อย ๆ เลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกแล้วนั่งลงโดยไม่พูดอะไร
“อยากกินกาแฟทำไมไม่บอกละครับ ผมมาซื้อให้ก็ได้”
“.......” ผมไม่ตอบ ตั้งศอกลงที่พักแขนเก้าอี้พลางเท้าคางทอดสายตาไปที่วิวด้านนอก ถุงที่เขาเพิ่งไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้ถูกนำมาด้วย เดาว่าคงกลับถึงบ้านไปรอบหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมาถึงร้านนี้ไม่ได้หากพายุไม่บอก
“ร้านเงียบดีไม่ใช่เรอะ” ผมพูด หมายถึง เมื่อซื้อกาแฟก็ต้องนั่ง เพราะสถานที่มันน่านั่ง
“ครับ” อีกฝ่ายเห็นด้วย บทสนทนาจบลง สมุทรกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านก่อนหันมามองความว่างเปล่าตรงหน้าตน ครู่หนึ่งเจ้าตัวก็ลุกขึ้นตรงไปที่เคาน์เตอร์รับออร์เดอร์ ให้หลังห้านาทีเจ้าตัวก็กลับมาพร้อมกับกาแฟร้อนของตน กับกล่องเค้กของทางร้านที่มีเค้กชิ้นเล็ก ๆ หลากหลายรสชาติบรรจุอยู่ภายใน และจานเค้กชิ้นหนึ่งที่วางลงข้าง ๆ แก้วกาแฟของผม
“ฉันไม่ชอบเค้กวานิลลาร้านนี้ มันเลี่ยน” ผมเหสายตากลับมามองวิวและยังคงนั่งเฉยอยู่ท่าเดิม
“........” สมุทรไม่ตอบ อีกทั้งไม่ถาม เขายืนอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับขนมหวานจานใหม่ มันคือ
ทีรามิสุผมเหลือบมอง ครั้งนี้ไม่ได้ติอะไรกลับไป อีกฝ่ายจึงนั่งลง...
เสียงเพลงที่ทางร้านเปิดคลอเบาจนได้ยินเสียงฝนด้านนอกที่ลงเม็ดหนักอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างเงียบอย่างนั้นพักใหญ่ ไม่มีบทสนทนาเลย แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอึดอัดอะไร
“โกรธที่ผมแพ้รึเปล่าครับ” จู่ ๆ คนตรงหน้าก็ถามขึ้นด้วยคำถามที่ผมเองก็ไม่คาดว่าจะถูกถาม
“หึ ไม่มีใครโกรธนักมวยคนไหนที่ชกกับไอ้แผนแพ้หรอก” ผมยิ้มมุมปาก จ้องมองแผ่นกระจกที่ปกคลุมไปด้วยเม็ดฝน ปีนี้เป็นช่วงขาขึ้นของไอ้แผนในวงการมวยไทย จัดเป็นนักมวยแนวหน้าที่ค่าตัวอยู่ในระดับ A++
“........” สมุทรเงียบไป ผมเหลือบมองเขาที่ลดระดับสายตาลงมองแก้วกาแฟของตัวเองก่อนจะยกขึ้นดื่มช้า ๆ
“รึถึงไม่ใช่ไอ้แผน ฉันก็ไม่เคยโกรธนักมวยคนไหนที่พยายามแล้วแต่แพ้หรอก” ผมขยายความ พอมานึก ๆ ดูแล้ว คำถามนี้จากสมุทรทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงอดีต นึกไม่ออกว่าเคยโกรธไหมหรือตอนไหน
“พยายามรึเปล่าล่ะ นายน่ะ ?” ผมย้อนถาม
“ครับ” สมุทรตอบ
“หึ..” ผมหัวเราะเบา ๆ
“เดี๋ยวจะจัดการเรื่องเงินให้ ไม่ต้องห่วงหรอก” ผมพูด
“ครูมวย ทั้งพี่ธานแล้วก็พนักงานที่ค่ายบอกผมหมดแล้วครับ อีกอย่าง.. ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องเงิน” สมุทรย้อน เสียงนั้นแข็งขึ้นเล็กน้อยแสดงจุดยืน แม้กระทั่งไม่หันไปมองตรง ๆ ก็รับรู้ได้ถึงรังสีที่ไม่พอใจ
“คุณกำลังดูถูกผมนะครับ” อีกฝ่ายขยายความ
“ก็เมื่อคืนฉันถามแล้วไม่ใช่เรอะว่ามาทำไม” ผมย้อนตอบ
“........” คนตรงหน้าเงียบลง ผมหันกลับไปมองก่อนค่อย ๆ ขยับร่างกายมานั่งตัวตรงตามเดิม มือที่เท้าคางอยู่เลื่อนวางไปกับที่พักแขนด้วย เราจ้องมองกันในความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ เหมือนว่าจะไม่มีใครยอมแพ้ใครในประเด็นนี้
“ฉันเป็นพวกชอบพูดเรื่องเงินให้มันกระจ่างน่ะ ไม่ได้มีใครกินลมแทนข้าวได้สักหน่อย..” ผมต่อประเด็นอย่างจงใจ
“ทั้งก่อนเริ่มงานทั้งหลังจบงาน เราต่างก็ยอมขึ้นไปเจ็บตัวเพราะเรื่องนั้นนี่ คิดว่าคนที่ลงแรงก็คงอยากรู้ด้วยเหมือนกัน ไม่ดีเรอะ ? ที่ฉันไม่ใช่เจ้านายประเภทที่ว่า เงินเดือนตามความสามารถ” ผมเลิกคิ้วกวน กล่าวถึงวิถีการทำงานของผมที่มีฐานการวัดงานที่มีมาตรฐานชัดเจน ส่วนความสามารถรายบุคคลค่อยว่ากันไปตามความสามารถนั้นอีกทีหนึ่ง
“หึ..” อีกฝ่ายหลุดยิ้ม เหลือบตามองไปอีกทางคล้ายปฏิเสธไม่ได้
“ฉันอยากมีเซ็กซ์กับนาย” ผมพูดสวนทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น
“........” สมุทรชะงักไป หันกลับมาจ้องมองผมไม่วางตาขณะที่รอยยิ้มค่อย ๆ หุบลง
“เหมือนที่นายทำกับแฟนนาย อยากรู้ว่าเสียงนายเป็นแบบไหนเวลาที่ของฉันอยู่ในตัวนาย สมุทร.. ฉันอยากทำให้นายเป็นบ้าไปเลย” ผมพูด ไม่ละสายตาไปจากคนตรงหน้าเลยแม้เสี้ยววินาที
“รึต่อให้นายอยากจะทำฉันเหมือนที่นายทำกับผู้หญิง นั่นฉันก็ไม่สนเหมือนกัน ไอ้ประเด็นหลังนี่น่ะนะ มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า อา.. ฉันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงนะ” ผมพึมพำพูดบอก โทนเสียงที่ไม่ถูกกดไว้ด้วยความเกรงใจกับภาษาไทยที่ใช้ได้อย่างอิสระในที่โจ่งแจ้งนี้ ไม่คิดว่าใครในละแวกนี้ฟังออก หรือถ้าฟังออก นั่นก็ไม่สนด้วยเช่นกัน
“........” ผมเงียบลง สายตาของสมุทรเริ่มเคลื่อนไหวในขณะที่ร่างกายของเขายังคงนิ่งไม่ขยับ
“..แฟนเก่าครับ” อีกฝ่ายขยายความ แก้ไขคำพูดของผมเมื่อครู่นี้ทั้งที่ผมไม่ได้ติดใจอะไร
“สำคัญเรอะ?” ผมย้อน หมายถึงการแก้คำพูดเล็กน้อยนั้นของเขา
“สำคัญครับ ผมเองก็ชอบพูดให้กระจ่างเหมือนกัน” อีกฝ่ายตอบอย่างหนักแน่น
“หึ..” ผมพ่นหัวเราะที่ตนถูกประชดกลับบ้าง
“การมาของนายมันเหมือนต้องการบอกฉันว่า คืนนั้นมันโอเค” ผมพูด กวาดตามองทุกปฏิกิริยาบนใบหน้านั้น ต้องการเก็บทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้น เสียงฝนค่อย ๆ เบาลง ทำให้บทสนทนาที่เป็นปกติได้ยินชัดเจนขึ้นกว่าก่อนหน้า
“แค่มีอะไรกันเหรอครับ” คำพูดเชิงถามนั้นถูกเอ่ยขึ้นอย่างนุ่ม ๆ
“แค่เซ็กซ์รึเปล่านะที่คุณต้องการ นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งคำถาม..” เขาขยายความ ผมปิดปากสนิท จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าไม่มีประโยคไหนที่ควรพูดแทรกออกไปได้
“คุณไฟ...” สมุทรผลิยิ้ม
“รู้ไหมครับว่าสำหรับผมมันยากแค่ไหนที่จะต้องยอมรับความรู้สึกที่ผมมีให้คุณ” อีกฝ่ายพูดขณะมองแก้วกาแฟของตัวเอง
“เหตุผลเพราะคุณเป็นผู้ชายเหรอ หึ.. ไม่ใช่หรอกครับ มียากกว่านั้นอีก เพราะมันเป็นคุณต่างหาก” เขาเงยหน้าขึ้นพลางผลิยิ้ม
“ผมตั้งทางเลือกให้ตัวเอง.. ว่าควรไปต่อแบบนี้ข้าง ๆ คุณโดยไม่อนุญาตให้อะไรเกิดขึ้น หรือว่าควรคว้าความรู้สึกนี้ไว้”
“แต่ในใจมันมีคำตอบของมันอยู่แล้วครับ ชัดเจนซะจนผมเองก็รู้สึกว่ามันน่ากลัว” สมุทรพูด ดวงตาที่จ้องมองผมพาดำดิ่งลึกลงไปในความหมายนั้น ก่อนจะทิ้งช่วงประโยคแล้วเงียบไป
“ผมเป็นคนใช้ความจำเป็นเป็นเหตุผลให้ตัวเองก่อนตัดสินใจไม่ว่าจะซื้ออะไรหรือทำอะไร แม้แต่เรื่องทำนองนี้ก็เคยคิดว่ามันจำเป็นไหม มันช่วยไม่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมบังคับให้โตมาแบบนี้”
“........” ผมเพียงเงียบฟัง ไม่คิดที่จะพูดแทรกแม้แต่ประโยคเดียว ต้องการรับรู้ทุกความนึกคิดที่ถูกเปิดเผยนั้นออกมาอย่างใจเย็น บทสนทนาของเราเป็นไปโดยเรียบง่าย ไม่มีโทนเสียงกระแทกกระทั้นเลยเช่นกัน
“แต่ครั้งนี้ ผมแทบไม่สนเรื่องจำเป็นไม่จำเป็นนั้นเลยครับ มีอีกกี่พันเรื่องกันนะที่ผมยังไม่รู้จากคุณ คุณที่ผมยังไม่เคยเห็นเป็นแบบไหน อดีตคุณเป็นยังไง ทำไมคุณมีบ้านที่นี่ล่ะ นี่ฮ่องกงนะ ลูกน้องพวกนั้นด้วย มีอะไรอีกที่ผมควรรู้แต่ไม่ควรถาม แล้วถ้าผมอยากรู้ผมควรทำยังไง หรือมีเรื่องไหนอีกไหมที่ผมควรปิดหูปิดตาไปซะ
หึ.. คุณไฟ ผมจะยืนอยู่ข้างคุณได้ยังไงครับ ผมนึกไม่ออกเลย แต่ถึงอย่างนั้น ตัวผมเองก็ดันเถียงเหตุผลที่จำเป็นนั้นกับตัวเองอีก หึ.. ไม่เคยรู้เลยว่าการตัดสินใจไม่คว้าไว้มันยากขนาดนี้มาก่อน”
“คุณคิดว่าเราควรจัดการมันยังไงดีล่ะครับ” อีกฝ่ายพูดเชิงถาม ทุกอย่างถูกตัดบทจบทันทีคล้ายกับผู้พูดเองก็ได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว
“ฉันรักนาย” ผมพูด การยอมเปิดปากพูดก่อนเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่แน่ชัดในตอนนี้ ยอมที่จะไม่เอ่ยกล่าวออกไปในมุมตัวเอง ว่าแม้แต่ผมเองการที่จะยอมรับความรู้สึกนี้ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายเหมือนกัน
“........” สมุทรมองผมไม่กะพริบตา ผมเองก็เช่นกัน
“นายจะจัดการมันยังไงล่ะ” ผมต้อนถาม อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาที่มองผมอยู่ค่อย ๆ เปลี่ยนความหมายไปจากก่อนหน้า
“ผมตอบรับคุณได้เหรอครับ..”
“ลองตอบดูสิ” ...............(ไฟ)..............
ผู้เขียน:1. นิยายเรื่องนี้จะย้ายไปที่ห้องนิยายจบแล้ว
และไม่มีการต่อตอนพิเศษที่นี่ 2. ประกาศฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 64 เกี่ยวกับเนื้อหาตอนจบ ความเป็นไปของนิยายเรื่องนี้ในอนาคต และกรณีปิดรับแบบสอบถามความสนใจ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โพสต์ลำดับที่ 20 ลิงก์นี้นะคะ
ประกาศแจ้ง 11 Dec 20213. อธิบายเนื้อหาที่โพสต์ถัดไป
ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และกำลังใจ
ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ^ - ^