.: บทเรียนที่ 9:.
“พี่ไม่อนุญาตให้คบกัน”
“พี่จี!” คนเป็นน้องร้องขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“ฉันแค่อนุญาตให้ขึ้นไปคุยกันบนห้อง แต่นายกลับพาน้องฉันไปพัทยาสามวันสองคืนแบบนี้ นายยังไว้หน้ากันบ้างหรือเปล่า” ผู้หญิงคนเดียวในห้องนั่งไขว่ห้างกอดอกแน่น หันไปประจันหน้ากับคนร่างใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว เห็นเธอตัวเล็กร่างบางแบบนี้ เวลาโกรธทีเอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่ทั้งนั้น
“พี่จี แต่น้องเป็นคนอยากไปเอ...”
“เงียบไปเลยนะ แกนั่นแหละตัวดี ปิดเครื่องหนีแบบนั้น พี่ติดต่อไม่ได้ตั้งหลายวัน” กีรติหุบปากฉับ หลุบตาลงต่ำไม่รู้จะจะหาคำพูดใดมาเถียง ก็เขาผิดจริงๆ นั่นแหละ ตอนแรกที่ว่าจะกลับวันอาทิตย์แต่กว่าจะกลับมาจากพัทยาจริงๆ ก็วันจันทร์ตอนเย็น มีเรียนก็ไม่ได้ไป ไอ้อินมันคงโกรธเขาไปแล้ว หลังจากวันนั้นเขาโทรไปมันก็ไม่ยอมรับ แต่ก็สมควรแล้วแหละ
คราวนี้เขาทำตัวเหลวไหลจริงๆ นี่น่า
“ถ้าจะคบกันแล้วพากันออกนอกลู่นอกทางแบบนี้ พี่บอกเลยว่าไม่ให้คบ ป๊ากับแม่ให้พี่ดูแลแก ถ้าทำตัวแบบนี้ พี่จะมีหน้ากลับไปหาป๊ากับแม่ได้ยังไง”
“พี่จี...น้องขอโทษ...” เขาเอ่ยเสียงอ่อน จับแขนเล็กของพี่สาวแกว่งไปมาเล็กน้อยก่อนจะเอาหัวซบเป็นการออดอ้อน จีระนันท์พยายามไม่สบตาน้อง น้องชายคนเดียวของเขา เขารักเขาหวงยิ่งกว่าใคร ทั้งชีวิตก็ตามใจน้องมันมาตลอด จะให้มาเล่นบทโหดแบบนี้ บอกเลยว่าเก็กจนเมื่อยหน้า แต่ถ้าไม่ทำมันก็หมายถึงเขาทำหน้าที่ของพี่ที่ดีได้ไม่สมบูรณ์น่ะสิ
“ผมผิดเองครับพี่ ผมเป็นคนชวนกีไปเอง” ตั้งต้นที่นั่งนิ่งฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น “ผมสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีกแล้ว”
“ก็ยังดีที่รู้ตัว” สาวร่างเล็กยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ “แล้วฉันขอเตือนนะ ถ้านายไม่ได้จริงจังกับน้องฉัน...”
“ผมจริงจังครับ” ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดจบ ตั้งต้นก็แทรกขึ้นมา “อย่างที่ผมบอกพี่วันนั้น ผมอาจจะทำผิดพลาดมาหลายอย่าง แต่ในเมื่อกีให้โอกาสผม ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้นอีก” ชายหนุ่มพูดทุกคำออกมาชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาคมมองตรงมาที่คนตรงหน้าไร้ความไววูบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำสัญญา เขาพูดประโยคพวกนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ไช่พูดเพื่อให้ใครมาเชื่อใจ เขาพูดเพื่อเตือนใจตัวเองต่างหาก
“ดี” หญิงสาวเองก็ไม่ยอมหลบตา ยกยิ้มขึ้นมุมปากอย่างพอใจ “วันศุกร์เราสองคนมีเรียนถึงกี่โมง” พอทั้งคู่บอกเวลาเลิกเรียนแล้วเขาจึงว่าต่อ
“งั้นวันศุกร์ตอนหกโมงมาเจอกันที่บ้าน นายก็เตรียมเสื้อผ้ามาด้วยล่ะ สองวันสามคืน”
“จะไปไหนหรอพี่กี”
“ก็จะพาไปหาป๊ากับแม่” กีรติตาโต หันมองหน้ากับร่างสูงเลิ่กลั่ก เอื้อมมือไปเขย่าเข่าเขาให้พูดอะไรออกมาบ้าง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะทำได้แต่นิ่งไป เขาเข้าใจ เขารู้ว่าต้นคงจะยังไม่พร้อม การไปเจอผู้ใหญ่มันทำให้เรื่องจริงจังขึ้นไปอีกหลายเท่า
“พี่จี ไปทำไม อย่าเพิ่งบอกป๊ากับแม่เลยนะ” คนน้องเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอแทน เมื่อเห็นว่าอีกคนคงเรียกสติกลับมาไม่ได้ง่ายๆ
“ทำไมถึงจะบอกไม่ได้” พี่สาวเอ่ยถามเสียงขุ่น
“ก็มันเร็วไป..มันยังไม่ถึงขั้นนั้น” เขาเริ่มพูดเสียงอ่อยลงเรื่อยๆ หลุบตาลงมองนิ้วที่พันกันด้วยความกังวล ยิ่งพูดแบบนี้ก็เหมือนยิ่งยอมรับว่าเรายังไม่ได้คิดที่จะจริงจังกับความสัมพันธ์ที่มี
“ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมาคบกัน” จีระนันท์ยื่นคำขาด
“โอเคครับ งั้นวันศุกร์เย็นผมมารับที่บ้านนะครับ”
กีรติเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายยอมตกลง “ตั้งต้น!” ร่างสูงไม่ได้ว่าอะไร ไม่ยิ้ม ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ากัน ก็แน่สิ โดนหมัดมือชกซะขนาดนั้น
“ดี และจนกว่าจะถึงวันศุกร์ นายต้องทำตามที่ฉันบอก ห้ามทำตัวเหลวไหล มารับไปออกกำลังตอนเช้า ตอนเย็นก็ต้องมาส่ง กลับมากินข้าวที่บ้านด้วยกัน เลทสุดไม่เกินหนึ่งทุ่ม โอเค๊?”
“พี่จี!!!” เขาว่าพี่เขาเริ่มจะเยอะไปแล้ว
“ครับพี่จี” อีกคนก็บ้าตามไปอีก!!
“ดีมาก” หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นยืน ให้อีกสองคนต้องลุกตาม “นี่ฉันเห็นแก่ที่นายเป็นคนเดินมาบอกฉันเองนะเรื่องที่นายเคยทำอะไรไว้กับน้องฉัน ถ้าฉันไปรู้จากคนอื่น นายอย่าคิดว่าจะได้แม้แต่มายืนอยู่ตรงนี้” สองสายตาสบกัน ต่างไม่มีใครยอมใคร
“ผมรู้ครับ ขอบคุณมากครับพี่”
“เราขอโทษนะ” กีีรติเอ่ยขึ้นเมื่อเดินออกมาส่งร่างสูงหน้าบ้าน “ต้นคุยกันก่อนสิ” เขาว่าอีกครั้งพร้อมดึงชายเสื้อคนที่ไม่ยอมหยุดเดิน น้ำตาเริ่มเอ่อล้นขอบตาเมื่ออีกคนยังไม่ตอบอะไรกลับมา
เขาน้อยใจ
ทำไมถึงไม่พูดอะไรบ้าง ทำไมถึงต้องช๊อคขนาดนี้ ถึงจะเข้าใจแต่เขาก็แอบน้อยใจเหมือนกันนะ เขาเองก็รู้ดีว่าพี่เขาทำเกินไป การเข้าไปหาผู้ใหญ่มันก็เหมือนการประกาศให้ทุกคนรู้ ถ้าเป็นผู้หญิงผู้ชายก็อาจจะเลยเถิดไปถึงเรื่องแต่งงานได้เลยด้วยซ้ำ ที่บ้านของอีกฝ่ายก็เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม มันอาจจะมีปัญหาตามมาอีกมากมายก็ได้ถ้าทางนั้นรู้เรื่องของเขา
แต่มันก็เป็นต้นเองไม่ใช่หรอ ทั้งที่ตัวเองพูดเองว่ารัก เป็นฝ่ายกลับมาร้องขอโอกาส แล้วพอฝ่ายเขาจริงจังขึ้นมาก็หน้าบึ้งเหมือนโดนจับคลุมถุงชนแบบนี้
ทั้งคู่หยุดเท้าลงเมื่อมาถึงประตูคนขับ ตั้งต้นหันหน้ามาประจันกับอีกคน ยกแขนขึ้นกอดอกแน่น ย่อตัวเอาหลังพิงกับตัวรถทำให้ระดับสายตาของทั้งสองคนอยู่ในระดับพอๆ กัน
“ถ้านายไม่อยากไปเราจะคุยกับพี่จีเอง” เขาพูดจริงๆ ถึงจะน้อยใจแต่มันมีประโยชน์อะไรถ้าอีกคนฝืนใจไปแบบนั้น
“...” อีกฝ่ายยังไม่ตอบ ให้เขาใจนึกเสียใจหนักกว่าเดิม
“มีอะไรก็พูดออกมาสักทีสิ ทำไมต้องเงียบขนาดนี้ด้วย!” จะโกรธอะไรหนักหนา เขาเองก็เริ่มโมโหแล้วนะ
“เมื่อกี้กีหมายความว่ายังไง” ร่างสูงถอนหายใจ ในที่สุดก็เอ่ยถามเสียงห้วน คิ้วสองข้างที่จรดกันแน่นกับกรามที่ขบเกร็งทำให้รู้ว่าเจ้าตัวอารมณ์เสียแล้ว
“อะ..อะไร”
“หมายความว่ายังไง ว่ามันยังไม่ถึงขั้นนั้น” ตั้งต้นถามซ้ำอย่างไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ตลอดเย็นเขาพยายามสงบอารมณ์ให้นิ่งที่สุด พยายามแสดงความจริงใจที่มี ทำตัวให้น่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่อหน้าพี่แฟน แต่เขาก็ต้องมาหมดความอดทนเพราะคำพูดของคนตรงหน้า
“หรือกีไม่อยากให้ต้นไปเจอกับพ่อแม่กีหรอ”
“เฮ้ย อะไรนะ”
“หรือว่าที่จริงกีต่างหากที่อายที่จะบอกที่บ้านว่าคบกับต้น”
“บ้าแล้ว! ไม่ใช่นะ!” เขารีบเอื้อมไปจับแขนที่ยังกอดอกแน่นอยู่ อีกฝ่ายไม่ว่าอะไร เสมองไปด้านอื่น สีหน้าเรียบเฉย มีเพียงปากเรียวที่งุ้มลงที่พอทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์เสีย
“เราแค่ไม่อยากให้นายอึดอัด จู่ๆ ก็โดนบังคับให้ไปบ้านเรา” เขาเริ่มอธิบาย “แล้วเราก็เพิ่งคบกันไม่เท่าไหร่” มองคนที่ยังมองหน้าเขาไม่พูดอะไร
“ต้นเข้าใจแล้ว” คนหน้าบึ้งยืดตัวตรงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหากุญแจรถ “แล้วต้นจะแสดงให้ดู” ตั้งต้นว่า “ถึงจะให้พูดอะไรออกไปตอนนี้ มันก็คงเป็นแค่ลมปากสินะ” เพราะเคยทำไว้แต่เรื่องแย่ๆ คำพูดของเขามันเลยไม่มีน้ำหนัก เห็นได้จากการที่คนตรงหน้าพูดแบบนี้ ถึงอีกฝ่ายจะให้โอกาสเขา แต่เจ้าตัวก็ยังกลัว ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะจริงจังกับตัวเองคนเดียว ต้องเป็นคนยังไงนะที่จะทำให้แฟนคิดว่าขนาดจะไปบ้าน เขายังไม่อยากจะอยากไป
แต่จะโทษใคร ทั้งหมดมันก็เป็นความผิดของเขาเอง
“แล้วต้นจะแสดงให้กีเห็นเอง ว่าสิ่งที่ต้นพูดไม่ใช่แต่คำหวานที่พูดออกมาพล่อยๆ อย่างที่ใครคิด”
.
.
.
.
.
.
.
.
กีรติเดินเข้าบ้านหลังจากที่ส่งอีกคนเรียบร้อยแล้ว เขาเดินขึ้นตรงไปยังห้องนอนพี่สาว อย่างน้อยอยากเขาก็อยากจะพูดให้อีกคนใจอ่อนกับต้นมากกว่านี้ พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงพี่สาวเขาดังแว่วมา พอมองหาก็เห็นว่าร่างเล็กกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียง เห็นดังนั้นก็เลยนั่งลงบนเตียง คว้ารีโมทมาเปิดทีวี ตั้งใจจะดูซีรี่รอไปพลางๆ
“ไอ้อิน~ เพราะแกคนเดียวเลยนะ” มือที่กดรีโมทถึงกับชะงักเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนสนิทลอยมาตามลม เขาตัดสินใจเงี่ยหูตั้งใจฟังทันที
“คืิอพี่ทำตามที่แกบอกทุกอย่าง วันศุกร์นี้จะพาไปบ้าน แกต้องมาเห็นตอนพี่คุย พี่สมควรได้ออสการ์เลยล่ะแก...เฮ้ย... ไอ้กี!!!” จิระนันท์ที่กำลังร่วนหัวเราะตกใจสุดขีดเมื่อหันหลังพิงระเบียงแล้วดันสบตาเข้ากับน้องชายที่นั่งกอดอกอยู่บนเตียงพอดี แล้วแบบคือหน้าโหดมาก
[ตะโกนอะไรพี่จี] ปลายสายยังคงพูดต่อ
“ตะโกนหาพ่อ-มึงไงไอ้อิน”
[ไอ้กี!!!] อินทัชตกใจที่อยู่ๆ เสียงคนที่คุยด้วยเปลี่ยนไป แถมเป็นคนที่กำลังเม้าอยู่ด้วย!
“แล้วมึงจะตะโกนทำไม!!!”
[...]
“กูน่าจะเดาออกว่ามันเป็นแผนของพวกมึง” กีรติว่าเสียงเข้ม เพราะจริงๆ แล้วเขาก็แปลกใจไม่น้อย พี่จีคนใจดีของเขาที่ไม่เคยสักครั้งที่จะดุน้องจู่ๆ ถึงได้เกรี้ยวกราดขึ้นมาขนาดนี้ ถึงจะสงสัยแต่ก็คิดว่าเป็นเพราะอีกคนรักเขามากมันถึงทำให้คนคนหนึ่งทำเรื่องที่ปกติไม่ทำได้ขนาดนี้ แหม๋ ใครจะรู้ล่ะว่าไอ้พวกเพื่อนตัวแสบของเขาจะเป็นคนสร้างแผนขึ้นมา
[มึงยังมีหน้ามาบ่นอะไร]
“...” เมื่อเสียงปลายสายถามมาอย่างหาเรื่องเขาก็พูดอะไรไม่ออก ความผิดที่เคยทำไว้ค่อยๆ ถูกเอ่ยเรียงออกมา
[ปิดเครื่องหนีพวกกู ไปพัทยา ดีกับไอ้ต้น แถมด้วยโดดเรียนวันจันทร์ นี่กูนับครบไหม?]
“..ไอ้อิน~” เขาว่ากลับเสียงอ่อย
[ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู]
“กูขอโทษ มึงไม่ยอมรับโทรศัพท์กูเลย มึงโกรธกูมากเลยใช่ไหม มึงยังไม่เกลียดกูใช่ไหม” คนทำผิดเอ่ยเสียงอ้อน
[เฮ้อ..รู้ไหมว่าพวกกูเป็นห่วงมึงมากแค่ไหน]
เขาพยักหน้ารับเหมือนมันจะเห็น น้ำตาที่คลอเอ่อเริ่มไหลรินลงมาอาบสองแก้ม
[กูไม่ได้โกรธ แต่กูน้อยใจ] เขารู้สึกหน้าร้อนเมื่อเพื่อนว่าอย่างนั้น
[สองครั้งแล้วนะมึง ที่เวลามีเรื่องขึ้นมาแล้วมึงตัดกูออก ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นกู กูจะวิ่งไปหา กูจะบอกมึงเป็นคนแรก] เขายังจำวันที่อินเลิกกับแฟนเก่าเพราะอีกฝ่ายนอกใจไปมีคนอื่น สิ่งแรกที่อินทำคือโทรมาหาพวกเขา ให้พวกเขาไปรับ ระบายทุกอย่างให้พวกเขาฟัง เราทั้งหมดช่วยพยุง ช่วยดูแลกันและกัน จนอินมันลุกขึ้นและผ่านวันเลวร้ายนั้นมาได้ ในส่วนของเขา เขาเต็มใจทำให้เพื่อน แถมรู้สึกภูมิใจในตัวเองด้วยซ้ำที่เพื่อนพึ่งพาเขา แต่พอมาถึงเรื่องตัวเอง เขากลับเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้กับตัว ตัดสินใจทุกอย่างไปเองคนเดียวโดยไม่คิดจะปรึกษากับใคร เขาคิดแค่ว่าไม่อยากรบกวนเพื่อน แต่จริงๆ แล้วเขาลืมคิดไปเลยว่าอาจจะทำให้เพื่อนเสียใจ
[กูขอโทษแล้วกันที่ยุ่งวุ่นวาย แต่ที่กูทำก็เพราะกูรักมึงนะไอ้กี] เขารีบส่ายหน้าปฎิเสธ
“ไม่เลยไอ้อิน ไม่เลย” เขารีบแก้ทันที “กูขอโทษที่กูไม่เคยบอกใคร แต่กูแค่ไม่อยากรบกวนพวกมึง”
[แล้วเวลากูมีปัญหา คือกูรบกวนพวกมึงหรอ]
“เปล่าเลยมึง กูขอโทษ กูสิ้นคิดเองมึง” เขาว่า “ขอบใจมึงมากที่อยู่ข้างกูมาตลอด ไอ้อินกูโครตรักมึงเลย” เขาปล่อยโฮออกมา ช่วงนี้ต่อมน้ำตาแตกง่ายเหลือเกิน
[เออๆ มึงพอ กูจะร้องตามอยู่แล้ว ไหนๆ มึงก็รู้แล้วว่าพวกกูวางแผนกัน ถ้ามึงยังเชื่อกูบ้าง มึงห้ามเอาไปบอกไอ้ต้นนะ]
“แผนอะไร มึงจะแกล้งอะไรมันอีก” แค่โดนลากไปหาที่บ้านเขาก็หนักพอแล้ว แล้วมันยังจะทำอะไรอีก
[เออน่ะ ไม่ช่วยก็ไม่ต้องมายุ่ง กูกำลังช่วยมึงพิสูจน์รักแท้ไง]
.
.
.
.
.
.
.
เขาตื่นแต่เช้า เมื่อคืนหลังที่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทอย่างยาวนาน มันก็บอกให้เขาไปรับมันมาออกกำลังกายด้วย ถึงจะแปลกใจแต่ก็รู้ว่าเพื่อนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะให้เขามาซักไซร้อะไรได้ เขาเลยได้แต่ตอบตกลง พอต้นมารับตอนเช้าก็บอกให้อีกคนแวะไปคอนโดดินรับเพื่อนสนิทเขามาด้วย
“เนี้ยนะ แผนมึง” เมื่อมาถึงก็ต้องถามด้วยความสุดฉงน เมื่อเห็นรุ่นน้องสองคนวิ่งตรงเข้ามาหา หันไปมองเพื่อนสนิทที่ยิ้มแป้นโบกมือให้อีกฝ่ายแล้วอยากยกมือขึ้นมานวดขมับเสียจริง
“ใช่ นี่แหละส่วนหนึ่งของแผนกู” ไม่ใช่หมีพูห์หรอกนะ น้องพุทธนี่แหละเป็นหมากตัวต่อไปของเขา
“มึงกูไม่เล่นด้วยนะ มึงไม่สงสารน้องมันหรือไง เอาหัวใจคนอื่นมาล้อเล่นแบบนี้ ไม่ดีนะมึง”
“ไอ้กี มึงเห็นกูเป็นอะไร” อินทัชเอ่ยออกมาอย่างโมโห “กูรู้หรอกน่า กูไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น”
“แล้วมึงเอาน้องมายุ่งทำไม”
“พุทธมันรู้ว่ามึงกลับไปคืนดีกับต้นแล้ว กูบอกมันเองว่ากูอยากให้มันมาช่วยกวนตีนไอ้ต้น มันก็ตอบตกลง” ก็มันน่ะหมั่นไส้ไอ้ต้นมากกว่าใครซะอีก
“อือฮือ กูรู้สึกสงสารดินขึ้นมายังไงไม่รู้” เขากล่าวทีเล่นทีจริง จับแก้มมันสองข้างบิดไปมา “มึงกลืนหนูอินเพื่อนรักกูเข้าไปใช่ไหม มึงเป็นใครกันแน่” มันหัวเราะร่า เอามือมาตีมือเขาให้ปล่อยหลายๆ ที
“กูก็เป็นองครักษ์พิทักษ์มึงไงไอ้กี”
“ไอ้อิน~” เขาอ้าแขนเตรียมเข้าไปโผกอดคนพูดจาซึ้ง แต่มันดันหัวเจาออกเสียก่อน
“มึงพอ ถ้ามึงจะเชื่อฟังกู ก็ช่วยเล่นตามน้ำไปด้วยกันหน่อยแล้วกัน”
เพิ่งมาถึงสวนได้ไม่เท่าไหร่ แต่ตั้งต้นวิ่งมาได้ห้ารอบแล้ว ปกติเขาไม่ได้ตั้งใจวิ่งเร็วและจริงจังขนาดนี้เพราะที่มาวิ่งก็แค่อยากมาใช้เวลากับอีกคนเท่านั้น แต่วันนี้เมื่อเห็นอินมาด้วย เขาก็เลยอยากเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน ยอมปลีกตัวออกมาวิ่งห่างๆ
แต่แม่งมันมาได้ไงวะ
เขาแอบมองจากไกลๆ ตรงลานกลางแจ้งที่กีออกกำลังกายอยู่ เขาเห็นรุ่นน้องที่คณะสองคนยืนคุยอยู่กับกลุ่มแฟนเขา ไอ้น้องหมีก็ไม่เท่าไหร่นะ มันเคยโดยไอ้ดินบังคับให้มาตามดูอินบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่ไอ้พุทธนี่สิ ไม่รู้ว่ามันจะตามมาทำไมทุกครั้ง
ที่จริงเขาก็รู้มาตลอดนั่นแหละว่าพุทธโธมันแอบชอบแฟนเขาอยู่ มันเองก็ไม่เคยคิดที่จะปิดบัง แถมแทนที่จะกลัวเกรงกันบ้าง เวลาอยู่ต่อหน้าเขา มันกลับจงใจแสดงออกมากกว่าปกติซะอีก
อ่ะ มียื่นขวดน้ำให้ด้วย!
แฟนกูเปิดขวดน้ำเองได้!
กี! เอาผ้าขนหนูซับหน้าให้มันทำไม!
มึงเป็นง่อยหรอไอ้พุทธ!!
โอ๊ย! ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!
เขาวิ่งออกไปสุดแรงเกิด เร็วกว่านี้ก็คือยูเซน โบลต์แล้วล่ะ มึงยุ่งกับใครไม่ยุ่ง มายุ่งกับแฟนกูทำไมไอ้พุทธ
“ทำอะไรกันนะ” ถามออกไปทั้งที่ยังเหนื่อยหอบ คนในกลุ่มหันมามองเขา
“อ้าว มาแล้วหรอ” กีกล่าวทักด้วยรอยยิ้มสดใส เขาแอบชะงักไป ยิ้มน่ารักแบบนี้แล้วเขาจะทำหน้าขรึมต่อไปได้ไง
“หายไปไหนมาตั้งนาน” ร่างเล็กถามต่อ
ก็ไปแอบดูกีนั่นแหละ! อยากจะพูดแบบนี้แต่เขายังต้องรักษามาดไว้บ้าง
“ต้นเพิ่งวิ่งเสร็จน่ะ” ต้นคนคูลยังต้องอยู่ต่อไป
“น้องๆ ชวนไปกินข้าวที่โรงอาหารน่ะ ไปด้วยกันไหม” เขาเหลือบไปมองด้านหลัง อินที่ยืนเล่นโทรศัพท์เหมือนไม่สนใจ ไอ้หมีที่ยิ้มเจื่อนหลบหน้าเขา และไอ้พุทธ! ไอ้พุทธที่ยกยิ้มมุมปากไม่ยอมหลบสายตากัน
“แล้วกีจะไปเปลี่ยนชุดห้องต้นไหมวันนี้”
“ไม่ล่ะ วันนี้จะไปกับอิน” เขาแอบเห็นว่าอินยกยิ้มมุมปาก
“งั้นต้นไปกินข้าวด้วย”
“พี่ต้นวันนี้ปีสามมีเรียนเช้าไม่ใช่หรอครับ ถ้าไม่ไปอาบน้ำตอนนี้จะไม่ทันนะครับ” พุทธโธเอ่ยแทรกขึ้นมา
“เสือก” ตั้งต้นตอบกลับเพียงคำเดียว พูรินรีบปิดปากเพื่อน แต่เสียงหัวเราะของมันเล็ดลอดออกมาก่อน เขาพยายามลากจูงเพื่อนตัวเองให้เดินนำไปทางโรงอาหาร กลัวเหลือเกินว่าเพื่อนจะมีเรื่องกับเพื่อนพี่รหัสตรงนี้
ไม่ได้ห่วงมันนะ กูห่วงตัวเองนี่ล่ะ ต้องคอยตามเก็บตามกวาดตลอด!!
เมื่อถึงโรงอาหารอินทัชกับกีรตินั่งจองโต๊ะ ที่เหลือแยกย้ายกันไปซื้อข้าวเช้า ตั้งต้นไปรอซื้อก๋วยเตี๋ยวเพราะกีอยากกินเกาเหลาน้ำ เขาต่อแถวไปก็แอบมองที่โต๊ะไป เห็นรุ่นน้องมันกลับมาที่โต๊ะกันแล้ว แน่นนอนว่าไอ้พุทธมันเลือกที่นั่งใกล้แฟนเขา โกรธก็โกรธ โมโหก็โมโห แต่ที่เป็นมากที่สุดคือน้อยใจ กีก็รู้ว่าเขาหึงมัน แล้วยังมาปล่อยให้มันอยู่รอบตัวแบบนี้ได้ไงกันนะ
เขาสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ ไอ้ต้น ถ้ากีบอกว่าไม่มีอะไรมึงก็ต้องเชื่อ การมานั่งระแวงแบบนี้มันคือการไม่ให้เกียรติกีชัดๆ
“ตกลงศุกร์นี้ต้นไปรับกีกับพี่จีที่บ้านนะ” เมื่อนั่งกินกันไปสักพัก ต้นก็เอ่ยขึ้นกลางวง
“ไปไหนกันอ่ะพี่ต้น” ไอ้หมีมึงถามได้ดี!
“พี่จะไปแนะนำตัวกับพ่อแม่พี่กีน่ะ” กีรติสำลักน้ำแข็ง หน้าแดงหันไปมองข้างๆ แต่เขาไม่สนพูดต่อลอยหน้าลอยตา “พี่จีพี่สาวพี่กีเป็นคนชวนพี่เองเลยนะ บอกอยากให้พ่อแม่รู้จักแฟนพี่กีสักที” พูดไปสายตาก็เหลือบไปมองไอ้รุ่นน้อง หึงไม่ได้ หวงไม่ได้ แต่ขอเบ่งหน่อยแล้วกันว่ะ
“กลับวันจันทร์ใช่ป่ะ” อินทัชเอ่ยแทรกขึ้นมา “พอกลับกันมาแล้ว กีมึงไปดูหนังกับกูนะ” หันไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งนวดขมับอยู่ เมื่อไหร่วันนี้มันจะจบสักทีว่ะ
“กูนัดกับพวกที่ค่ายไว้ มึงต้องไปด้วยกันนะ” พูดกับกีแต่อินทัชจงใจมองหน้าอีกคนที่ตอนนี้จ้องเขาตาไม่กระพริบ
“จำเพื่อนไอ้นทได้ไหม วันที่มึงไปช่วยมันที่มันเมาน่ะ”
“อ่อ ไอ้กันต์อะน่ะ”
“อืม มันขอเบอร์มึงกับกูด้วย แต่กูไม่ได้ให้ไปว่ะ” อินทัชยังจงใจเน้นทุกคำ เขาไม่สนหรอกนะ ดินยังช่วยเพื่อนตัวเองมาตั้งเยอะ ถ้าเขาจะช่วยเพื่อนเขาบ้างมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา
“ถ้ามึงจะให้ มึงก็ให้เองวันไปดูหนังแล้วกัน”
กีรติค่อยๆ หันไปมองคนที่น่าบึ้งไปแล้ว รู้ดีว่าต้นเป็นคนเลือดร้อนแถมคิดมากมากแค่ไหน เขาอยากจะบอกให้อีกคนสบายใจ อยากบอกว่าระหว่างเขากับน้องไม่มีอะไรจริงๆ ไอ้อินมันแค่แกล้งเล่นเท่านั้น แต่มาคิดดูๆ แล้วที่เห็นต้นเป็นแบบนี้ก็อดดีใจไม่น้อยเหมือนกัน
ดีใจที่เห็นต้นไม่โวยวายออกมา ทั้งที่โมโหขนาดนี้
ดีใจที่เห็นต้นยังนั่งฟังได้เงียบๆ ทั้งๆ ที่จะเดินหนีไปก็ได้
ดีใจที่ในที่สุด...ต้นเริ่มหัดเชื่อใจกันแล้ว
เขายกยิ้มให้คนหน้าบึ้งเมื่ออีกฝ่ายบังเอิญหันมาสบตากัน จ้องกันสักพักในที่สุดคนที่ทำหน้างอก็มีสายตาอ่อนลง ยกยิ้มมุมปากมาให้เขา เหมือนในที่สุดเจ้าตัวก็รับรู้ในสิ่งที่เขาพยายามสื่อผ่านสายตาออกไป
เขาอยากให้รู้ว่ามันไม่มีอะไรน่ากังวลเลยสักนิด เพราะเขาเลือกแล้ว ขอแค่ต้นเชื่อใจและมั่นใจในตัวเขา ก็ไม่มีอะไรน่าหวั่นไหวเลยสักนิด...
*********
ตอนใหม่มาแล้วเนาะ ทีมหนูอินต้องมาแล้ว 5555
ช่วงนี้แอบไปเขียนหมีพูห์ เรื่องต้นมันเครียดอ่ะ เลยขอผ่อนอารมณ์หน่อย เรื่องนั้นอย่างน่ารักอะ ไม่ได้โม้เลยนะ!! แต่เรื่องนี้ก็ไม่ทิ้ง จะพยายามให้จบภายในเดือนกันยานะคะ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
#ต้นคนรักไม่เป็น