ต่อจ้า ------- Sunday In Bed -------
กว่าชั่วโมงที่อยู่บนรถนั้นกฤติไม่ได้พูดอะไรออกมา
เลขาคนเก่งที่แย่งเอากุญแจจากอีกฝ่ายแล้วสถาปนาตัวเองเป็นคนขับรถชั่วคราวก็ไม่กล้าทักอะไร วัดที่ใช้จัดงานศพอยู่คนละฝั่งของกรุงเทพ
นรินทร์ไม่ได้มารถบริษัทอย่างที่ตัวเองบอกหัวหน้าไป เขาเพียงแต่ติดรถเมฆที่พาแทนใจมางาน แล้วบอกให้สองคนนั้นทิ้งเขาเอาไว้ โน้ตตั้งใจว่าวันนี้เขาจะต้องคุยกับกฤติให้ได้
ตั้งแต่ที่แยกกันวันนั้น กฤติก็ลางานด่วนด้วยธุระเรื่องงานศพของพ่อ เขาไม่ได้คุยกับอีกฝ่ายนอกเหนือจากงานปกติ เนื่องจากเป็นเลขา พอหัวหน้าไม่อยู่ ช่วงนี้เขาเองก็หัวหมุนกับงานพอตัว อันที่จริงเขาจะรอจนกว่ากฤติจะกลับมาทำงานก็ได้ แต่เพราะครั้งสุดท้ายที่คุยกัน มันเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด
เขาอยากอธิบายในสิ่งที่คุยกับลูกไป
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควร
“คุณ…”
“ผมขออยู่เงียบๆ นะครับ”
น้ำเสียงของกฤติไที่โต้ตอบกลับมาทันทีไม่ได้เรียบนิ่งเหมือนทุกครั้ง มันแผ่วเบาและสั่นไหวเล็กน้อย จนโน้ตแทบจะไม่สังเกต หากไม่ใช่เพราะว่าเขาใส่ใจอีกคนมาเป็นเวลาหลายเดือน
เมื่ออีกคนบอกแบบนั้น แม้แต่เพลง นรินทร์ก็ไม่แม้แต่จะเปิดฟัง พวกเขาสองคนนั่งกันอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด จนกระทั่งมาถึงที่พักของกฤติ นรินทร์ขยับตัวอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก ตามปกติเขามักจะตื๊ออีกคนขอเข้าไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายเสมอ
แต่วันนี้ เขากลับต้องการคำอนุญาต
“ขึ้นมาบนห้องด้วยกันสิ”
เพียงแค่ประโยคสั้นๆ นั่น ทำให้นรินทร์พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องที่คุ้นเคยจนได้
ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมสำรวจห้องของอีกฝ่ายตามใจ ที่ห้องนี้ยังคงให้ความรู้สึกคล้ายกับครั้งสุดท้ายที่เขามาเหยียบ ข้าวของมีความเป็นระเบียบมากขึ้น หากแต่ผ้าปูที่นอนสีเขียวมะนาวที่เขาเลือกเอาไว้ยังคงอยู่เหมือนเดิม ซึ่งมันดูเด่นออกมาอย่างน่าประหลาด
เหมือนกับตัวตนของกฤติในชีวิตเขา
หลังจากที่ได้ชีวิตโสดกลับคืนมา ชีวิตของนรินทร์มีเพียงลูกสาวเท่านั้น เขาคิดว่าตัวเองสามารถอยู่เป็นโสดไปจนตายได้หากในชีวิตเขามีน้องนิ้งอยู่ด้วยกัน ความเชื่อของเขาพังทลายลงอย่างหมดท่าเพียงแค่เพราะกฤติเข้ามามีตัวตนอื่นในชีวิตของนรินทร์ เข้ามาทำให้เขารู้สึกอยากจะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ อีกครั้ง
อยากปกป้อง อยากโอบกอด อยากทำให้ยิ้ม อยากเป็นทุกอย่างให้กับเขา
และอยากให้เขามองนรินทร์แบบนั้นเช่นเดียวกัน
โดยไม่ทันรู้ตัว สายตาของเลขาจับจ้องไปที่หัวหน้าของตัวเอง เจ้าของห้องยังคงอยู่ในชุดสูทสีดำ ใบหน้ามีร่องรอยของความเหนื่อยอ่อนปรากฎให้เห็น ทั้งที่อีกคนเพียงแค่นั่งอยู่บนโซฟาคล้ายกับว่ากำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เขากลับรู้สึกว่าไหล่นั่นช่างดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว
ในงานศพนั่น ตลอดทั้งงานสายตาเขาจับจ้องอยู่ที่ตัวหัวหน้า เขาเห็นอีกฝ่ายวิ่งวุ่นไปมา ไม่ยอมรับความช่วยเหลือของใคร ปฏิเสธเขาอย่างเรียบง่ายและนุ่มนวล บอกว่าเพราะมันไม่ใช่งานของบริษัท นรินทร์ไม่ได้ถูกจ่ายเงินเดือนให้มาช่วยกฤติตรงนี้
ถึงแม้อยากจะพูดต่อว่าเต็มใจ แต่สายตาประหลาดจากหญิงวัยกลางคนที่น่าจะเป็นมารดาของกฤตินั้นทำให้เขายอมผละออกไปนั่งอย่างเสียไม่ได้
เขาทำอะไรผิดหรือเปล่า?
หลังจากนั้นเขาได้รับสายตา ‘ประหลาด’ จากหญิงคนนั้นหลายต่อหลายครั้ง บางทีคนอื่นอาจจะไม่สังเกต แต่นรินทร์เห็น รวมถึงสายตานั่นยังคงเผื่อแผ่ให้กฤติด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณหิวมั้ย?”
นรินทร์ถูกปลุกจากภวังค์ของตัวเองอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงของหัวหน้า อีกคนดูเหนื่อยจนเขาไม่กล้าเอ่ยปากกวนประสาทเหมือนกับที่เคย จึงได้แต่ส่ายหัวเท่านั้น
“ถ้าไม่หิวก็โอเค ผมว่าจะไปอาบน้ำ”
ในขณะที่นรินทร์กำลังจะอ้าปากบอกว่า ‘งั้นเดี๋ยวผมนั่งรออยู่ตรงนี้’ กฤติกลับแทรกขึ้นมาก่อน
“คุณจะมาอาบด้วยกันมั้ย?”
แน่นอนว่า นรินทร์พยักหน้ารัวเสียจนหัวแทบหลุดออกจากบ่า
.
.
.
กฤติดูแปลกไป
คุณพ่อลูกหนึ่งคิดตอนที่เขากับอีกฝ่ายยืนเช็ดตัวกันอยู่คนละมุมห้อง อาบน้ำกฤติเมื่อสักครู่นั้นไม่ได้มีอะไรให้ชวนวาบหวาม แน่นอนว่าเขาอยากที่จะสัมผัสอีกฝ่าย แต่ด้วยสถานการณ์แล้ว นรินทร์รู้สึกว่าตัวเองอาบน้ำอยู่ในมุมเงียบๆ อาจจะดีเสียกว่า
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่คุณพ่อลูกหนึ่งไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องยอมแพ้แต่อย่างใด เขาหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่ในตู้ เดินไปหาอีกคนที่กำลังดูโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิมไม่มีผิด
“ผมเช็ดผมให้นะ”
กฤติพูดตอบกลับนรินทร์นิ่งๆ ทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากโทรศัพท์มือถือ
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะครับ”
“นี่ค่อยสมกับเป็นคุณหน่อย”
นรินทร์พูดติดตลก พร้อมกับยืนประชิดเจ้าของห้องที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือของชายหนุ่มเช็ดผมให้อีกคนเบาๆ ถึงแม้ว่ากฤติเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่เขาอยากปฏิบัติกับอีกคนอย่างทะนุถนอมเท่าที่จะทำได้
ไม่มีใครอยากทำให้ความรักของตัวเองเจ็บ
คนไร้ความละเอียดอ่อนอย่างนรินทร์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“รู้มั้ยช่วงที่คุณไม่อยู่เนี่ยผมโคตรเหงาเลย แต่งานก็เยอะมากเหมือนกัน เลยเหงาน้อยลงมาหน่อย… ”
กฤติปล่อยให้คำพูดของนรินทร์ผ่านหูไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ช่วงที่ผ่านมาเขานอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน ในหัวมีเรื่องมากมายไหลวนเต็มไปหมด เขาคิดไปถึงชีวิตที่ผ่านมา และอนาคตที่กำลังจะเป็นต่อไป
“ผมคิดว่าจะไม่ได้เจอคุณอีกหลายวันแน่ะตอนแรก”
หัวหน้าแผนกเอี้ยวตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ใบหน้าของเลขายังคงหล่อเหลาเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางๆ ที่ประดับอยู่ในตอนแรกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเมื่อสายตาสองคู่ประสานกัน
ชั่วขณะหนึ่ง โลกรอบตัวของพวกเขาหยุดหมุน
และในอีกชั่วขณะ เสียงหัวใจของกฤติก็ดังเสียจนเขาไม่อาจจะปฏิเสธอะไรได้อีกต่อไป
“คืนนี้…” กฤติพูด พร้อมกับหยุดเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง ก่อนที่จะพูดต่อไป “นอนด้วยกันนะครับ”
เป็นอีกครั้งที่นรินทร์ตาโตอย่างที่คนมองแอบกลัวว่ามันจะถลนออกมา เลขาหนุ่มอ้าปากแล้วก็หุบ ก่อนที่จะอ้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแววตาของกฤติไม่ได้มีตรงไหนที่แสดงออกว่าล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“คุณ…”
“กอดผมนะครับ”
ตาย
ดีนะที่กฤติไม่ใช่คนขี้อ้อน ไม่งั้นนรินทร์คงจะต้องตายทุกครั้งที่อีกคนเอื้อนเอ่ยความต้องการของตัวเองแบบนี้ออกมา คุณพ่อลูกหนึ่งอยากจะหัวเราะให้ดังไปทั่วโลก แต่ก็กลัวว่ากฤติจะเกิดเปลี่ยนใจเสียก่อน
ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านั้นให้เปลืองเวลา บทรักของพวกเขาเริ่มขึ้นด้วยการจูบเหมือนทุกครั้ง เนื่องจากรู้จักกันดี ใช้เวลาไม่นานจูบแผ่วเบาในคราแรกก็เปลี่ยนเป็นความร้อนแรงจนแทบจะแผดเผาทุกสรรพสิ่ง
พวกเขาจูบกันเป็นสิบหรือเป็นร้อยครั้งหรือเปล่านรินทร์ไม่ได้สนใจ เขารู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกำลังเมามาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพาตัวเองและเจ้าของห้องเข้ามาที่เตียงโดยที่ยังไม่แยกจากกันได้อย่างไร เสื้อผ้าของพวกเขากองอยู่ตรงหน้าประตูห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งเดียวที่เขารู้ตอนนี้คือกฤติ
การกอดกันครั้งนี้ สะท้อนความเป็นตัวตนของคุณกฤติออกมา
ในคราแรกนรินทร์จะเป็นคนควบคุมจังหวะ แต่เขากลับโดนอีกคนผลักให้ลงไปนอนบนเตียง โดยเลขาหนุ่มปล่อยให้หัวหน้าแผนกคุมเกมอย่างที่เจ้าตัวอยากจะทำ มันไม่ได้แย่ ตรงกันข้ามเสียเลยด้วยซ้ำ เขาแทบจะกลายเป็นขี้เถ้าเพราะความเร่าร้อนของกฤติเสียตอนนี้ แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถกอดอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
พวกเขาสบตากันก่อนที่รอยยิ้มมุมปากของกฤติจะฉุดให้นรินทร์ตกหลุมรักอีกคนอีกครั้ง
เขาอยากครอบครองกฤติไปทุกส่วน แต่ทำได้เพียงแค่มองดูเจ้าตัวเล่นกับของเขาตอนที่เสร็จยกแรก ไม่รอให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ นรินทร์แกะถุงยางอันที่สอง คราวนี้พวกเขาเปลี่ยนท่ามาเป็นกฤตินอนอยู่ที่นอนเฉยๆ ในขณะที่นรินทร์เปลี่ยนมาเป็นคนที่คุมจังหวะเสียเอง
ทั้งที่อยากจะอ่อนโยนกับอีกคน อยากจะเติมเต็มกฤติด้วยความรัก แต่เมื่อเห็นใบหน้าใกล้จะถึงฝั่งฝัน เลือดที่ไหลเวียนในตัวนรินทร์ก็บังคับจังหวะเป็นรัวเร็วเสียจนอีกฝ่ายถึงกับครางออกมาด้วยความสุขสม นรินทร์พรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าของอีกฝ่าย ปากก็บอกรักอีกคนอย่างไม่กลัวว่ากฤติเบื่อที่จะฟัง
กฤติครางเพราะเขา
หัวใจเขา ก็เต้นเพราะกฤติเช่นเดียวกัน
“ไม่ต่อเหรอ?”
หัวหน้าถามเสียงเบาเมื่อเขาถอดถอนตัวเองออกจากอีกฝ่ายหลังจากเสร็จรอบหลังสุด คุณพ่อคนเก่งเพียงแค่ส่งยิ้มให้อีกคนแล้วก้มลงไปจูบ
“ผมอยากจะคุยกับคุณมากกว่า โอเค ผมก็อยากทำกับคุณนะ แต่ตอนนี้โคตรอยากนอนกอดคุณเลย”
“...”
เมื่อเห็นว่ากฤติไม่ตอบอะไรเพิ่มเติมนรินทร์จึงจุมพิตเบาๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะละไปทิ้งถุงยางที่ใช้แล้ว เขาตั้งใจที่จะไปอาบน้ำตามกฎที่พวกเขาเคยตั้งเอาไว้ว่าจะไม่นอนเตียงถ้าสกปรก แต่กลับถูกอีกคนเรียกเสียก่อน
“อยากกอดก็กอดสิ”
ไม่ทำเพียงแค่พูด แรงดึงจากกฤติที่พยายามจะทำให้นรินทร์ล้มตัวลงนอนข้างๆ เป็นอีกครั้งที่นรินทร์หัวใจชุ่มฉ่ำคล้ายกับต้นไม้ที่ได้รับการรดน้ำอย่างดี นรินทร์หันหลังกลับไปทันทีเพื่อสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับคนข้างๆ กฤติยังคงทำหน้านิ่งเหมือนเดิม แต่แววตากลับสั่นไหวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณ…”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร”
กฤติเอ่ยดักมาเสียก่อน พวกเขาสองคนนอนกอดกันใต้ผ้าห่ม สนทนากันผ่านสายตา ในหัวของทั้งสองเต็มไปด้วยความคิดมากมาย สุดท้ายแล้ว เจ้าของห้องก็เป็นคนพูดออกมา
“คุณ… พูดอีกทีได้มั้ย?”
“พูด?”
“ที่กระซิบเมื่อกี้ไง”
ไม่มีความลังเล นรินทร์พูดออกมาตามที่คิดไว้ในหัวใจ
“ผมรักคุณ”
หากตาไม่ฝาด เขาคิดว่าอีกฝ่ายแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ผมก็…” กฤติกัดปากเล็กน้อย “นั่นแหละ”
“นั่นแหละอะไรครับ?”
“...”
กฤติพลิกตัวไปอีกฝั่ง นรินทร์หัวเราะออกมาเล็กน้อย หากไม่ติดว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเหนื่อยมาก แล้วกฤติเองก็ดูเหมือนพร้อมจะหลับได้ตลอดเวลา เขาคงจะแกล้งกวนประสาทอีกฝ่ายให้ยอมรับออกมาตรงๆ ว่าจะพูดอะไรกันแน่
ถึงแม้ว่าในใจเขาจะฟันธงไปแล้วว่าล้านเปอร์เซ็นต์ว่ากฤติคิดเหมือนกันก็ตาม
“นอนเนอะคุณ”
“ครับ”
พวกเขานอนกอดกันในความเงียบอยู่แบบนั้น จนกระทั่งกฤติพูดขึ้นมา
“ผม…”
รักคุณ
ชายหนุ่มคิดต่อในใจ แต่ไม่ยอมพูดออกไปให้อีกคนได้ยิน
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“อ่าฮะ”
“คุยเรื่องของเรา”
“ยิ่งกว่าโอเค”
“อืม”
กฤติรับคำในลำคอ ก่อนที่พวกเขาจะเงียบลงอีกครั้ง ในใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมันล้นทะลักหัวใจเสียจนไม่สามารถถอยหนีได้อีกต่อไป เขารู้สึกกับอีกฝ่ายกว่ากว่าเพื่อนร่วมงาน มากกว่าอะไรทั้งหมด
เขารักนรินทร์
รักแบบที่ไม่อยากเห็นครอบครัวอีกคนจบลงแบบครอบครัวอันเละเทะของเขา
ไม่ว่าจะผ่านมากี่วัน เขาก็ยังไม่สามารถสลัดความคิดว่าเขาเป็นคนทำให้นรินทร์กับลูกต้องทะเลาะกันออกไปได้ การที่พ่อไม่คุยด้วยมันเหงาและทรมานมาก กฤติไม่อยากให้น้องนิ้งต้องมีชะตากรรมเดียวกัน
เขาไม่ต้องการพังครอบครัวไหนอีกแล้ว
“คุณง่วงหรือยัง?”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังปลุกกฤติออกมาจากความลังเลของตัวเอง เขาตัดสินใจแล้ว และจะไม่ให้ความอ่อนแอมาเปลี่ยนทิศของสิ่งที่ควรจะเป็นอีกต่อไป
“ยังครับ”
กฤติตอบเบาๆ ชายหนุ่มเม้มปาก เขากำลังคิดว่าควรจะเริ่มเปิดบทสนทนาอย่างไร ในขณะเดียวกัน รอบเอวเขาก็รู้สึกถึงแรงโอบรัดจากอีกคน พร้อมกับรอยจูบตรงหลังคอ
“คืนนี้ผมต้องฝันดีแน่นอนเลย มีคุณในกอดแบบนี้”
ทั้งที่มันเป็นจูบที่เขาควรจะเขิน หากแต่กฤติกลับรู้สึกจุกในอก กฤติยังคงนิ่ง เขาเงียบไม่โต้ตอบทั้งที่อีกคนลูบไหล่และหลังอย่างโอนโยน เขาไม่ได้ตอบอะไรทั้งที่นรินทร์กระซิบบอกรักข้างหูซ้ำๆ เป็นสิบครั้ง
บางที มันคงจะถึงเวลาแล้ว
“พอเถอะครับ”
“...”
“ผมว่าเราพอแค่นี้เถอะ”
นรินทร์ที่กำลังอ้าปากหาวหยุดชะงักเมื่ออีกคนพูดเรียบๆ ในขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้น เจ้าของห้องก็พลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าของกฤติยังคงดูเรียบนิ่งเหมือนกับทุกครั้ง แต่วันนี้มันดูต่างออกไป แววตาของกฤติสั่นไหวจนแม้กระทั่งคนไม่ละเอียดอ่อนอย่างเขายังรู้สึกได้
ถึงแม้จะรู้สึกหนักอึ้งคล้ายกับมีคนโยนหินก้อนใหญ่เข้ามาไว้ในท้อง นรินทร์ก็ยังคงปั้นหน้ายิ้มให้
“คุณ ไม่เอาดิ ไม่ล้อเล่นแบบนี้”
“ผมพูดจริงครับ”
กฤติยังคงยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูด น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่หนักแน่น คล้ายกับว่าตัวเองจะไม่เปลี่ยนใจ ถึงแม้ว่าใบหน้าของอีกคนจะทำให้เขาอยากจะร้องไห้ออกมาก็ตาม
“แต่…” นรินทร์หยุดพูด ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเสียงของเขาหายไปไหน “เมื่อกี้เราเพิ่งจะนอนด้วยกัน…”
“มันเป็นครั้งสุดท้าย”
กฤติตอบพร้อมตั้งใจจะพลิกตัวหนี แต่กลับถูกอีกคนจับมือเอาไว้แน่น
“โน้ตทำอะไรผิดเหรอครับ? กฤติตอบโน้ตได้มั้ย?”
“...”
“โน้ตไม่ทำแล้วก็ได้นะ อย่าเป็นแบบนี้เลย โกรธอะไรโน้ตเรามาคุยกันดีๆ นะครับ… นะ”
ชั่ววินาทีนั้น กฤติอยากจะดึงตัวคนที่กำลังทำหน้างอยมาโอบกอดเอาไว้ เขาอยากบอกรัก อยากบอกว่าคุณพ่อคนเก่งไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด หากเรื่องนี้จะมีใครสักคนที่เป็นคนผิดล่ะก็ คนนั้นคือเขาเอง
“คุณไม่ได้ทำผิดอะไร”
“แล้วทำไมถึงได้จะเลิกกัน?” นรินทร์ถามต่ออย่างไม่ลดละ เขาอยากรู้ว่าทำไมกฤติถึงได้เป็นแบบนี้ “หรือว่าเพราะน้องนิ้ง ผมจะคุยกับลูก…”
“มันไม่ใช่เพราะน้องนิ้ง”
กฤติสวนอีกคนไปทันที นัยน์ตาคมกริบจ้องมองอีกคนที่กำลังมองมาทางนี้เหมือนกัน
“มันเป็นเพราะ..”
ผม
ผมเป็นตัวทำลายทุกความสัมพันธ์ ทุกครอบครัว
“ช่างมันเถอะครับ” กฤติตัดบท เลือกที่จะกลืนคำตอบเอาไว้ด้านใน “ถ้าคุณนอนพักพอแล้ว ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วเก็บของกลับไปเลยนะครับ”
“ผมไม่กลับ”
นรินทร์ยืนกรานหัวชนฝา ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งบนที่นอน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความไม่เข้าใจ เขาอยากจะกู่ร้องออกมาหรือตะโกนอะไรบางอย่างเพื่อระบายก้อนความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก ชายหนุ่มกำลังจะเป็นบ้า หรือไม่ก็เขาอาจจะเป็นบ้าไปแล้วก็ได้
“งั้นคุณไปนอนข้างนอก...”
“ผมรักคุณ” คำบอกรักที่จริงจังและหนักแน่นถูกเอ่ยออกมาอีกครั้ง นรินทร์จ้องมองไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย เขาแทบจะกรีดหัวใจตัวเองออกมาวางไว้ตรงหน้าอีกคนเพื่อพิสูจในสิ่งที่พูด นรินทร์รักผู้ชายตรงหน้า รักจนไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไรให้อีกคนรับรู้ถึงมันได้มากกว่านี้
“ผมก็รักคุณ แล้วยังไงต่อ?” คำตอบกลับอย่างเรียบง่ายของอีกคนทำให้สิงโตตัวใหญ่นิ่งบ้าง กฤติในมุมนี้ดูเปราะบางกว่าเดิมหลายเท่า หัวหน้าที่คอยเปิดประชุมทุกวันจันทร์ บัดนี้มองเขาด้วยแววตาสิ้นหวังอย่างน่าสงสาร
โน้ตเคยจินตนาการเอาไว้ว่าหากกฤติยอมบอกรัก เขาคงจะวิ่งรอบห้องด้วยความดีใจ หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว เขากลับทำอะไรไม่ได้แม้แต่แค่จะอ้าปากพูดเลยด้วยซ้ำ
เมื่อนรินทร์ควานหาเสียงของตัวเองเจอแล้ว ชายหนุ่มก็พูดตอบคนที่รักออกไป
“พวกเราก็คบกันไงครับ เป็นแฟนผม เป็นครอบครัวเดียวกัน…”
“มันเป็นไปไม่ได้”
พวกเขาไม่ใช่เด็กมอปลายที่แค่ถูกใจแล้วก็ตกลงคบกัน นอนด้วยกัน บอกรักกันสามเวลา มันมีอะไรมากกว่านั้น พวกเขามีหน้าที่การงาน นรินทร์มีครอบครัว มีลูก และอาจจะมีญาติคนอื่นอีก
หากคนที่นรินทร์รักรู้ว่าแฟนใหม่ของเจ้าตัวเป็นผู้ชาย? หากว่าน้องนิ้งเกิดรับไม่ได้แล้วทะเลาะกับนรินทร์ใหญ่โตจนถึงขั้นบ้านแตกเพราะพ่อของตัวเองเลือกเขาแทนแม่คนเก่า?
คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบพวกนี้วนอยู่ในหัวของกฤติ จุดจบของมันมีเพียงทางเดียวเท่านั้น
จบความสัมพันธ์เสียตั้งแต่ตอนที่หัวใจยังไม่ถลำลึกเกินไป
“ผมคุยกับลูกได้ ถ้าหากนั่นคือเรื่องที่คุณกังวล”
“มันไม่ใช่แค่น้องนิ้ง” กฤติตอบไม่เต็มเสียง “มันคือทุกอย่าง”
“...”
“ทุกอย่างระหว่างเรามันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก คุณควรที่จะได้เป็นพ่อมีครอบครัวดีๆ”
ส่วนผม ก็ไม่ควรที่จะอยู่ในครอบครัวของใคร
กฤติเลือกกลืนประโยคนั้นไว้ข้างใน เขาเบือนสายตาหนีแววตาตัดพ้อของนรินทร์ที่ส่งมาให้ บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเงียบและอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก
“เราค่อยๆ หาทางไปด้วยกันได้มั้ย?”
นรินทร์ถามออกมาอีกครั้ง ท่าทางของคนตัวใหญ่ตอนนี้น่าสงสารเสียจนกฤติเจ็บในอกเพียงแค่ชายตามอง แต่เขาทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
“แล้วคุณจะปล่อยให้น้องนิ้งอยู่ตรงไหนในระหว่างที่เราหาทาง?”
“ลูกก็ไปด้วยกันไง”
“ถ้าน้องไม่ไปล่ะ?”
“... คุณ ไม่เอาแบบนี้”
“คุณโตแล้วนะคุณโน้ต” กฤติพูดเสียงเรียบนิ่ง เขาใช้ทุกความพยายามในการจบบทสนทนานี้ให้เร็วที่สุด “คุณมีครอบครัวที่ดี มีลูกที่รักคุณ”
“มีคุณที่รักผมด้วย”
กฤติถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก รักกันแล้วยังไง? ในเมื่อโลกแห่งความจริงไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเสียหน่อย
“ผมรักคุณ แต่ผมไม่อยากคบกับคุณ ไม่อยากเข้าไปเป็นครอบครัวคุณ เข้าใจมั้ย?”
“ไม่”
“คุณเข้าใจ”
กฤติพูดรวบรัดอย่างที่เขาไม่ชอบทำ แต่ตอนนี้เขางัดนิสัยหัวหน้ากลับมาใช้ อย่างน้อยอะไรก็ได้ที่จะบังคับให้สิงโตตัวใหญ่กลับไปหาครอบครัวของมันได้แล้ว
“ผม...” นรินทร์ทำท่าเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายแล้วสิ่งที่ออกมาจากปากมีเพียงแค่คำถามสั้นๆ
“เราต้องหยุดทุกอย่างเลยเหรอ?”
“ครับ”
“ผมไม่เข้าใจ ผมรู้ว่าผมแม่งโคตรโง่ แต่ผมไม่เข้าใจอะไรเลย”
“คุณเข้าใจ คุณแค่ไม่อยากยอมรับมัน”
กฤติย้ำอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนั้นตีแสกหน้านรินทร์จนชายหนุ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว
“ผมว่าคุณเหนื่อยแล้ว วันนี้คุณกลับไปก่อนเถอะครับ”
กฤติพูดต่ออีกครั้งด้วยเสียงนิ่งๆ เขาหลบสายตาของนรินทร์ที่มองมาคล้ายกับไม่เชื่อหู หัวใจของกฤติคล้ายกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตอนที่เห็นแววตาตัดพ้อของอีกคน
นี่คือทางที่ดีที่สุดแล้ว
“เขิญ”
เมื่อมาถึงขนาดนี้นรินทร์ไม่สามารถอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป เขาสวมเสื้อผ้าของตัวเองในความเงียบ ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป โดยมีกฤติออกมายืนกอดอกมองตามแผ่นหลังที่หายออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายหยุดใส่รองเท้าที่ประตูห้อง
กฤติมองตามนรินทร์ไปจนสุด เขามองจนสายตาหลุดโฟกัสความรู้สึกตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา เพียงแค่คิดว่าเขาจะไม่มีนรินทร์กับรอยยิ้มสดใสของเจ้าตัวอีกต่อไป หัวใจก็ชาไปหมด มันทรมานเสียจนเขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้
การลาจากกันมันทรมานเหมือนกับหัวใจถูกฉีกเป็นสองส่วนขนาดนี้เชียวหรือ?
ไม่มีคำพูดใดๆ เพิ่มเติม มีเพียงสายตาโหยหาของคนที่หน้าประตู
นรินทร์หวังว่ากฤติอาจจะรั้งเขาบ้าง เพียงแค่กฤติยอมบอกว่าทั้งหมดเป็นเรื่องล้อเล่น เพียงแค่อีกคนแสดงออกว่าต้องการให้เขาอยู่ตรงนี้ ต้องการก้าวไปด้วยกัน นรินทร์สาบานเลยว่าเขาจะยอมสลัดรองเท้าแล้ววิ่งกลับไปกอดคนที่รักสุดหัวใจ มันเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เมื่อสิ่งที่ได้กลับมา มีเพียงสายตานิ่งเรียบของกฤติเท่านั้น
สุดท้าย นรินทร์ยอมกอบโกยเศษซากความหวังของตัวเองขึ้นมากอบกุมเอาไว้ พร้อมทั้งเดินออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น
‘ปัง’
ทั้งที่สามารถอดทนมาได้ทั้งวัน แต่เพียงแค่ประตูปิดลงนั้นทุกอย่างเหมือนจะพังทลายไปตรงหน้า กฤติที่ไม่ได้ร้องไห้มาหลายปีพบว่าตัวเองไม่ได้แปลกใจเมื่อรู้สึกถึงความชื้นตรงหางตา เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่เขาจะเช็ดมันออกไปอย่างรวดเร็ว
ประตูห้องของกฤติปิดลง
พร้อมกับหัวใจที่แหลกสลายของผู้ชายทั้งสองคน
.
.
.
------ TBC ------
อิอิอิอิ
ด้วยรักและ #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์